The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปผลการเสวนาการส่งออกต้นไม้ไปซาอุ : โอกาส และความท้าทายของธุรกิจไม้ล้อม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Forestry Research Center, 2023-10-23 23:07:30

สรุปผลการเสวนาการส่งออกต้นไม้ไปซาอุ : โอกาส และความท้าทายของธุรกิจไม้ล้อม

สรุปผลการเสวนาการส่งออกต้นไม้ไปซาอุ : โอกาส และความท้าทายของธุรกิจไม้ล้อม

Keywords: ส่งออกต้นไม้,ซาอุ,ธุรกิจไม้ล้อม

และความท้าทายของธุรกิจไม้ล้อม การส่งออกต้นไม้ไปซาอุ : โอกาส สรุปผลการเสวนา โดย สมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ ร่วมกับ ศูนย์วิจัยป่าป่ ไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยากรร่วมเสวนา ผศ.ปารณ ชาตกุล ผู้ช่วยคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย/ ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการบริหารบริษัทยักษ์เขียว จำ กัด คุณบุญสุธีย์ จีระวงค์พานิช ผู้อำ นวยการสำ นักเศรษฐกิจการป่าไม้ กรมป่าไม้ คุณสมศักดิ์ ชัยมาศ เกษตรกรผู้ปลูกสวนป่าเพื่อผลิตไม้ล้อม คุณณัฐศักดิ์ สุขศรี เลขาธิการสมาคมการค้าไม้ขุดล้อมไทย อาจารย์วิเชียร พุทธศรี มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผู้ดำ เนินรายการ คุณณัฐวัฒน์ คลังทรัพย์ ผู้อำ นวยการศูนย์วิจัยป่าไม้ วันพุธที่ 27 กันยายน 2566 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องบรรยาย 202 อาคารวนศาสตร์ 72 ปี คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เข้าร่วมเสวนา ห้องบรรยาย 202 จำ นวน 80 คน ผู้เข้าร่วมผ่านระบบออนไลน์ Cisco Webex จำ นวน 104 คน Facebook Live ของศูนย์วิจัยป่าไม้ จำ นวน 1.9 K views.


1 สืบเนื่องจากที่ผ่านมามีการเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับโครงการส่งต้นไม้ไปประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งมา จาก Saudi Vision 2030 ที่ประกาศเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2559 ที่จะมีการนำเข้าต้นไม้ประมาณ 10,000 ล้านต้น เพื่อให้บรรลุตามนโยบายซาอุดีอาระเบียสีเขียว (Saudi Green Initiative) ซึ่งกำลังอยู่ในความสนใจ ของเกษตรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องภายในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โครงการดังกล่าวหากเป็นจริงก็ ถือว่าเป็นโอกาสของประเทศไทยในการส่งออกต้นไม้ไปยังประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นการช่วยสร้างงาน สร้าง รายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยในธุรกิจไม้ล้อมของไทย ด้วยเหตุนี้ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 สมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ จึงได้ร่วมกับ ศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดงาน เสวนาวิชาการเรื่อง “ส่งออกต้นไม้ไปซาอุ : โอกาสและความท้าทายของธุรกิจไม้ล้อม” ณ ห้องบรรยาย 202 ชั้น 2 ตึกวนศาสตร์ 72 ปี คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมีวิทยากรร่วมเวทีเสวนา จำนวน 5 ท่าน ประกอบด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปารณ ชาตกุล ผู้ช่วยคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย/ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการบริหารบริษัทยักษ์เขียว จำกัด คุณบุญสุธีย์ จีระวงค์พานิช ผู้อำนวยการ สำนักเศรษฐกิจการป่าไม้ กรมป่าไม้ คุณสมศักดิ์ ชัยมาศ เกษตรกรผู้ปลูกสวนป่าเพื่อผลิตไม้ล้อม คุณณัฐศักดิ์ สุขศรี เลขาธิการสมาคมการค้าไม้ขุดล้อมไทย และอาจารย์วิเชียร พุทธศรี มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมีนายณัฐวัฒน์ คลังทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์ เป็นผู้ดำเนิน รายการ การเสวนาครั้งนี้มีผู้เข้าร่วม ณ ห้องบรรยาย จำนวน 80 คน และเข้าร่วมผ่านระบบออนไลน์ Cisco Webex จำนวน 104 คน และมีผู้รับชมผ่าน Facebook live ศูนย์วิจัยป่าไม้ จำนวน 1.9 k views ผลการ เสวนาสรุปได้ดังนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปารณ ชาตกุล กล่าวว่า แม้ซาอุดิอาระเบียจะมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย แต่ มีพื้นที่ใหญ่กว่าไทยมากและมีลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายกว่า มีพื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกต้นไม้อีก หลายแห่งนอกเหนือจากกรุงริยาร์ด ประเทศไทยส่งออกต้นไม้ไปยังประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางมาหลาย สิบปีแล้วเพียงแต่ยังไม่เป็นกระแสข่าวเท่าใดนัก สำหรับโครงการ Saudi Green initiative ที่ต้องการปลูก ต้นไม้ 1 หมื่นล้านต้น และขยายปลูกในกลุ่มประเทศอาหรับอีก 5 หมื่นล้านต้น ปัจจุบันปลูกไม้ยืนต้นไปแล้ว 18 ล้านต้น และตั้งเป้าหมายว่าจะปลูกได้ 1 หมื่นล้านต้น ภายในปีค.ศ. 2030 จากต้นไม้ที่ต้องการทั้งหมด 5 หมื่นล้านต้น นอกจากไทยแล้ว ซาอุฯ มีการนำเข้าต้นไม้จากจีน อินเดีย ฟิลิปปินส์เนเธอร์แลนด์และประเทศ ที่อยู่ติดกันเช่น อียิปต์ เป็นต้น ทั้งนี้ การขนส่งไม้จากไทยจะใช้เรือขนส่งระยะเวลา 30-40 วัน การรักษาความ สดใหม่ของไม้จึงเป็นประเด็นสำคัญเมื่อเทียบกับการขนส่งจากประเทศที่ใกล้กว่า สำหรับรูปแบบการขายต้นไม้ส่งออกต่างประเทศ มีทั้งแบบ Ex-work คือ การขายที่ผู้ซื้อมารับที่หน้า สวน ผู้ขายรับผิดชอบถึงขั้นตอนการปิดตู้/ขายหน้าสวน FOB (Free On Board) ผู้ขายรับผิดชอบสินค้าถึง การวางตู้สินค้าบนเรือที่ท่าเรือต้นทาง CIF แบ่งเป็นผู้ขายขนส่งสินค้าจนถึงผู้ซื้อ/ท่าเรือปลายทาง (CFR) หรือ ผู้ขายขนส่งสินค้าและการประกันสินค้าจนถึงผู้ซื้อ/ท่าเรือปลายทาง (CIF) และ Door to Door เป็นการส่ง สินค้าถึงมือผู้ซื้อ ทั้งนี้แนะนำว่าการขนส่งแบบ Ex-work จัดการง่ายที่สุดแต่กำไรน้อยสุด ส่วน CIF หรือ Door to Door จะได้กำไรจากการขนส่งมากกว่าขณะที่มีความเสี่ยงต่อขั้นตอนการขนส่งและนำเข้ามากกว่า และมี ความท้าทายที่ต้นไม้ที่ขายในโครงการอาจไม่ได้ราคาต่อต้นสูงเท่ากับราคาขายปลีก ต้นไม้บางชนิดที่มีการใช้ งานแพร่หลาย ราคาจึงอาจลดลงจนไม่ต่างจากที่ขายในไทย


2 สำหรับการเตรียมต้นไม้เพื่อการส่งออก มีหลายวิธีด้วยกัน ได้แก่ 1) วิธีการปลูกแบบดั้งเดิม เพาะกล้าไม้ แบบปลูกลงดิน ระยะห่าง 1 x 1 เมตร ไม่ต้องดูแลเพิ่มเติม ไม่ต้องจัดการเยอะ เมื่อโตได้ขนาดจึงทำการขุดล้อม โดยจากข้อมูลรายได้เกษตรกรจากกระทรวงการเกษตรฯ อยู่ที่ 8,000-9,000 บาทต่อไร่ต่อปี มีข่าวออกมาว่า หากต้นไม้ส่งออกขายได้ต้นละ 200-300 บาท ปลูก 1 x 1 เมตร ถ้าเอากำไรถูกที่สุดแค่ต้นละ 20 บาท ใช้เวลา ปลูก 1 ปีก็ได้ 26,000 บาทต่อไร่ต่อปีแล้ว ทั้งนี้ประเทศในแถบนี้รวมถึงประเทศไทยจะไม่ให้นำดินต่างประเทศ เข้ามาในประเทศ เนื่องจากเรื่องของจุลินทรีย์ต่าง ๆ ในดินจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของประเทศนั้น ๆ จึง ต้องมีกรรมวิธีการขุดต้นไม้ขึ้นมาฉีดล้างดินที่รากให้หมด อาจจะโถมด้วยขุยมะพร้าวหรือวัสดุอื่น ๆ (ใช้วัสดุ ปลูกเข้าไปทดแทนดิน) แล้วหุ้มพักไว้ 1 เดือน ให้ต้นไม้เริ่มปรับตัวอยู่ได้จึงค่อยส่งออก (ลงทุนต่ำเสียแค่ค่าแรง) 2) วิธีการปลูกโดยไม่ใช้ดิน โดยการเพาะกล้าไม้ในถุง แล้วแต่เทคนิคของแต่ละราย แต่ต้องมีการดูแลเยอะ เนื่องจากวัสดุปลูกจำกัดต้องมีการเติมปุ๋ยเคมีซึ่งมีค่าใช้จ่าย ลงทุนเยอะแต่ขนส่งง่าย สำหรับขั้นตอนการส่งออกต้นไม้การเตรียมต้นไม้ส่งออกมีขั้นตอนตามลำดับดังนี้ รดน้ำให้ชุ่มก่อนทำ การขนส่ง เพื่อไม่ให้ต้นไม้ตายระหว่างขนส่ง ชั่งน้ำหนัก (ราคาค่าส่งตามน้ำหนัก) ฉีดยาฆ่าแมลง ใส่โพลิเมอร์ อุ้มน้ำเพื่อให้ความชื้นแก่ต้นไม้ห่อหุ้มต้นไม้ด้วยพลาสติกป้องกันการคายน้ำ นำขึ้นตู้ ฉีดยาฆ่าแมลงอีกครั้ง และปิดตู้(หากปลายทางตรวจพบแมลงที่ยังมีชีวิตอยู่จะไม่รับซื้อทั้งตู้) ขนส่งโดยตู้ Reefer ที่ปรับอุณหภูมิ การ ไหลเวียนของอากาศได้ปรับอุณหภูมิต่ำเพื่อลดอัตราการหายใจ (Respiration rate) พืชแต่ละชนิดมีอุณหภูมิ เหมาะสมไม่เท่ากัน ในกรณีที่เป็นต้นไม้ใหญ่ เคยส่งเป็นตู้ Open top ที่ต้องวางไว้ชั้นบนสุดของ ตู้คอนเทนเนอร์มีราคาแพงกว่า ไม่ปรับอากาศ ต้นไม้ได้แสงแต่คุมอุณหภูมิไม่ได้ สำหรับพืชพรรณที่เหมาะสม ต้นไม้ไทยหลายชนิดส่งออกได้แน่นอน เพราะมีการใช้งานอยู่แล้ว ต้นไม้ ต้องทนทานต่อการขนส่งทางเรือ โดยเฉพาะไม้ต้น ทั้งนี้พืชพรรณบางชนิดที่ซาอุฯ เริ่มปลูกเองแล้ว ถ้าเราไป ปลูกขายอาจจะไม่ได้ราคา ซาอุฯ อยากได้ต้นไม้ขนาดใหญ่เช่นกัน แต่จะคุ้มค่าส่งและความเสี่ยงหรือไม่ต้อง พิจารณาด้วย ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก มีพืชพรรณอีก หลากหลายชนิดที่ยังไม่เคยถูกนำมาทดลองใช้งาน สำหรับโรงเรือนอนุบาลต้นไม้ (Plant nursery) ที่ซาอุฯ เพียงแห่งเดียวมีขนาดกว่า 6,500 ไร่ และมีแบบนี้อีกมากที่เริ่มปลูกต้นไม้ใช้เอง โดยชนิดไม้ เช่น สะเดา หาง นกยูงฝรั่ง ไทรต่าง ๆ มะเดื่อ โพศรีมหาโพธิ หูกวาง นนทรี ศรีตรัง พฤกษ์ ยี่เข่ง มะรุม เลี่ยน ส้ม มะตูม หม่อน งิ้ว กระถินเทพา หยีน้ำ รายพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ ปีบ ชงโค มะขามเทศ มะขาม โพทะเล ปอทะเล ต้นไม้เหล่านี้ทาง ซาอุฯ เพาะปลูกเองได้หมดแล้วตามโรงเรือนที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ อย่าเข้าใจว่าซาอุฯ มีแต่ความร้อนและ ทะเลทราย แท้จริงแล้วซาอุฯ เป็นประเทศที่กว้างใหญ่มากและครอบคลุมสภาพภูมิอากาศที่หลากหลาย ดังนั้น จะทำต้นไม้ให้ดีต้องมีมาตรฐาน และมีการลงทุนสูงขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดของเกษตรกรไทยคือ อย่าตัดราคา กันเอง เกษตรกรควรจะรวยไปนานแล้ว เพราะมีการส่งออกต้นไม้ไปตะวันออกกลางมานานนับสิบ ๆ ปี อาจารย์วิเชียร พุทธศรีกล่าว่า แหล่งที่มาไม้ล้อมในไทยปัจจุบันมาจากสวนป่าชุมชนและสวนป่า ปลูกเพื่อการขุดล้อม ในขณะที่ต่างประเทศผลิตไม้ล้อมจากฟาร์มไม้มาตรฐาน (Tree Farming Standard) สำหรับในเรื่องมาตรฐานไม้ล้อมนั้น ต้นไม้มาตรฐาน (Tree standard) จะต้องมีลำต้นที่ตั้งตรง มีการ เจริญเติบโตของทรงพุ่มที่แตกกิ่งก้านมีลักษณะสมดุล รูปแบบคล้ายมงกุฎ แตกแขนงเป็นระเบียบตามลักษณะ สายพันธุ์ “แต่ไม่มีกิ่งเจริญเติบโตขวางทรงพุ่ม” ไม้ล้อมแบ่งตามลักษณะการปลูก มี 3 ประเภท ไม้ล้อมที่ปลูก ลงดินในแปลงปลูก ไม้ล้อมที่ปลูกลงดินแต่อยู่ในภาชนะปลูก ขุดขึ้นมาล้างรากแล้วส่งได้เลย ง่ายแต่ต้นทุนสูง


3 และไม้ล้อมที่ปลูกลงภาชนะปลูก ง่ายแต่ต้นทุนสูง นอกจากนี้ ไม้ล้อมแบ่งตามลักษณะการใช้งาน 3 ประเภท ปลูกเพื่อการตกแต่งและประดับสวน ปลูกเพื่อการใช้งานเฉพาะหรือป้องกันความเสี่ยง เช่นไม้ล้อมที่ปลูกเพื่อบัง สิ่งที่ไม่สวยงาม บังแดด บังลม และปลูกเพื่อเป็นพื้นฐานเศรษฐกิจ (ไม้ผลชนิดต่าง ๆ) สำหรับการเข้าสู่มาตรฐานอุตสาหกรรมไม้ล้อมได้นั้น สิ่งแรกคือ คุณสมบัติของเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าที่ ควรจะตรงสายพันธุ์ หรือเป็นสายพันธุ์แท้(ไทยไม่มีธนาคารเมล็ดพันธุ์ ที่ซื้อมาไม่รู้ว่าแท้มั้ย) เมล็ดคุณภาพดี อัตราเปอร์เซ็นต์การงอกสูง ปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืช ต้องมีลักษณะประจำพันธุ์ที่ชัดเจน มีถิ่นกำเนิด ชัดเจน ตรวจสอบได้หาได้ง่าย มีปริมาณเพียงพอต่อการพัฒนาเชิงพาณิชย์ในส่วนของคุณสมบัติของวัสดุปลูก สำหรับไม้ล้อมเพื่อการส่งออก (ไทยไม่มีวัสดุปลูกที่คุณสมบัติดีพอที่จะทำไม้ล้อมแบบมาตรฐานได้) ควรมี น้ำหนักเบา เก็บความชื้นได้ดีระบายน้ำได้ดี(น้ำไม่ขัง) ย่อยสลายช้า (ไม่ต้องเติมบ่อย ยิ่งเติมยิ่งหนัก) มีธาตุ อาหารเพียงพอต่อความต้องการของพืช หาได้ง่าย ราคาถูก มีปริมาณเพียงพอต่อการพัฒนาเชิงพาณิชย์และมี คุณสมบัติพิเศษที่สามารถป้องกันโรครากเน่าโคนเน่าในไม้ล้อมได้ สำหรับรูปทรงไม้ล้อมที่นิยมปลูกเป็นที่ต้องการของตลาด รูปทรงไม้ที่มีมาตรฐาน คือ ความสูง ประมาณ 2-3 เมตร แล้วแต่ขนาดของต้นไม้เนื่องจากต่างประเทศจะใช้ในพื้นที่สาธารณะ คนสามารถเดินลอด ต้นไม้ได้อย่างปลอดภัย ไม่รกรุงรัง ส่วนรูปทรงอื่น ๆ จะมีการปลูกเองอยู่แล้ว โดยระยะการปลูกไม้ล้อมนั้น ต้นไม้แต่ละรูปทรงมีระยะปลูกมาตรฐานที่แตกต่างกัน เช่น ทรงพุ่มรูปทรงพีระมิด ในฝั่งยุโรปมีมาตรฐานการ วัดเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นที่ความสูง 1 เมตรจากพื้นดิน ในขณะที่ Florida วัดต่ำกว่าที่ 6 นิ้วจากพื้นดิน และวัด สูงจากพื้น 12 นิ้ว ในต้นไม้ใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 4 นิ้ว ไม้แต่ละประเภทมีการกำหนดมาตฐาน ของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางและความสูงที่แตกต่างกัน มีการกำหนดน้ำหนักในตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งในไทยยังไม่ มีจึงต้องหาผู้รู้มาร่วมกันวางกฎเกณฑ์เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อธุรกิจไม้ล้อม ในส่วนของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ “มาตรฐานอุตสาหกรรมไม้ล้อม” มีหลากหลาย เช่น ผู้ผลิตภาชนะ ไม้ล้อม ในไทยมีกระถางสำหรับไม้ล้อมมีน้อย ส่วนมากนำเข้ามาจากจีนเพื่อมาปลูกกัญชา การใช้กระถางเฉพาะ (Air-pot) ทำให้ระบายน้ำและอากาศได้ดีรากออกได้รอบด้าน หากย้ายต้นไม้โดยที่รากไม่กระทบกระเทือน ต้นไม้จะไม่ตาย ผู้ผลิตวัสดุค้ำยันและดามไม้ล้อม ไทยยังดามด้วยไม้ไผ่ยาว 1 ฟุต แม้ต้นไม้จะสูงกว่า 1.50 เมตร แต่ในต่างประเทศจะดามสูงกว่าช่วงที่กำหนดมาตรฐาน ทำให้ต้นไม้ตั้งตรง ผู้ผลิตวัสดุห่อหุ้มไม้ล้อม การหุ้มราก ลำต้น ใบ เพื่อป้องกันการสูญเสียความชื้น การเคลื่อนย้ายไม้ล้อมยังขาดความรู้และเครื่องมือที่เป็นมาตรฐาน การขนส่งไม้ล้อม ขนาดตู้คอนเทนเนอร์สำหรับไม้ขนาดเล็กและใหญ่ดังที่กล่าวไปแล้ว ถึงแม้ไม้ขนาดใหญ่จะ บรรจุได้น้อยแต่หากได้มาตรฐานก็จะมีการรับซื้อ ผู้ผลิตเครื่องจักรสำหรับอาชีพไม้ล้อม ในไทยไม้ขนาดเล็กใช้ คนขนย้าย ไม้ขนาดใหญ่ใช้เครน ในต่างประเทศมีการรับไม้ไปอนุบาลให้ได้ตามมาตรฐานแล้วส่งออกเพื่อเป็น การเพิ่มมูลค่าไม้ล้อม เช่น มาเลเซียส่งไปยังสิงคโปร์ นายณัฐศักดิ์ สุขศรีได้กล่าวว่า โดยส่วนใหญ่โมเดลธุรกิจไม้ล้อมจะประกอบด้วยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ ผู้ผลิตไม้ล้อม (เกษตรกร) ปลูกและขายหน้าสวนให้คนกลางมารับซื้อ ซึ่งคนกลางจะรับซื้อไม้ที่มี มาตรฐาน หากผู้ขายต้องการให้คนกลางเหมาสวนต้องมั่นใจในคุณภาพ หากมีของที่ดีจะมีอำนาจต่อรองและมี ความต้องการซื้อเข้ามาเอง คนกลางส่งออก เป็นผู้เชี่ยวชาญในการส่งออก รู้กฎระเบียบการส่งออก รู้วิธีการ ทางศุลกากร รู้วิธีการติดต่ออย่างมั่นใจกับผู้ซื้อ และ โรงเรือนอนุบาลต้นไม้ที่เป็นปลายทางผู้รับซื้อ นอกจากนี้


4 ยังมีโมเดลธุรกิจอื่น ๆ เช่น มีผู้ผลิตบางรายที่เป็นผู้ส่งออกไม้เองด้วย ซึ่งจะมีความรู้ความเข้าใจไม้ที่ได้ มาตรฐาน มีการปลูกเองและส่งเสริมเกษตรกรในการปลูกให้มีมาตรฐานและรับซื้อ และมีการติดต่อกับโรงเรือน อนุบาลต้นไม้ที่รับซื้อโดยตรงแต่ต้องยอมรับความเสี่ยงสูง สำหรับการทำธุรกิจไม้ล้อม แบ่งเป็น ทำมากได้เงิน เยอะ คือ ส่งออกเป็นต้นไม้ใหญ่เหนือคอนเทนเนอร์ไม่กี่ต้น และทำเยอะได้เงินเยอะ คือปลูกต้นไม้เป็นพื้นที่ ขนาดอุตสาหกรรมเกษตร (ฟาร์มไม้) ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ เช่น แรงงาน เครื่องจักรกล ผู้ควบคุม มาตรฐานการส่งออก เป็นต้น หากปลูกเป็นธุรกิจเชิงปริมาณต้องยอมรับความเสี่ยงว่าจะต้นไม้จะไม่ดีทุกต้น แต่ ผลตอบแทนคุ้มค่า ผู้ผลิตและคนกลางต้องมีความสัมพันธ์ที่ดี ต้องมีการให้ข้อมูลไม้และสอบถามอย่างต่อเนื่อง มีการปรับปรุงไม้ตามคำแนะนำ โดยอาจสร้างความสัมพันธ์ไปจนถึงโรงเรือนอนุบาลต้นไม้เพื่อให้ผลิตไม้ล้อมได้ กำไรสูงสุด สำหรับกระบวนการส่งออก ต้องดูว่าชนิดไม้ที่จะส่งออกเป็นชนิดไม้ที่ต้องการการรับรองหรือไม่ โดยดู ประกาศรายชื่อชนิดไม้จากกระทรวงพาณิชย์เพื่อขออนุญาตการส่งออกแล้วขอรับรองไม้ล้อมในแปลงปลูกโดย กรมป่าไม้(ไม้ยังไม่ขุดจากดิน) ใบรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) สำหรับออกใบรับรอง ก่อนการขึ้นตู้ผ่านระบบ E-Phyto ของด่านตรวจพืช สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร เพื่อควบคุมโรคพืชโรคแมลง (ห้ามมีแมลง) อย่างไรก็ดี แม้จะมีกฎกระทรวงต่าง ๆ ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ ระบบการรับรองมาตรฐานไม้ล้อม ควรเพิ่มการรับรองมาตรฐานไม้ล้อมที่ได้รับความมั่นใจจากต้นทางและ ปลายทาง และระเบียบต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะเข้มงวดจากการส่งออกที่มากขึ้น จึงควรติดตามประกาศ ทั้งนี้การ ร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนมีความสำคัญมาก นอกจากนี้ การตัดสินใจในการทำธุรกิจไม้ล้อม ควร พิจารณาตลาดเป้าหมายจากลูกค้าว่าเป็นการผลิตส่งตลาดในประเทศหรือการส่งออก หากรับการส่งเสริมการ ปลูก ต้องทำสัญญาให้เรียบร้อยว่าได้โควตารับซื้อเท่าไร มีหน่วยงานหรือสมาคมที่เกี่ยวข้องที่มาส่งเสริม มาตรฐานหรือไม่ หรือหากติดต่อกับโรงเรือนอนุบาลต้นไม้ที่รับซื้อไม้ล้อมโดยตรง ต้องมีความสามารถทางภาษา และบินไปคุยกับต่างประเทศ และต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะถูกปฏิเสธสินค้าได้ นายบุญสุธีย์ จีระวงค์พานิช กล่าวว่า นโยบายป่าไม้ของประเทศไทยมีการส่งเสริมการปลูกป่าเพื่อ เพิ่มพื้นที่ป่าให้ถึงร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ แบ่งออกเป็นป่าอนุรักษ์ร้อยละ 25 ป่าเศรษฐกิจร้อยละ 15 ไม้ ล้อมถือว่าเป็นนโยบายด้านป่าเศรษฐกิจ ดังนั้น ผู้ส่งออกไม้ล้อมควรศึกษาการยื่นเอกสารขอรับรองเพื่อการ ส่งออกไม้ล้อมให้ถูกต้อง สำหรับรูปแบบหนังสือรับรองเพื่อการค้าและการส่งออกจัดทำโดยกรมป่าไม้(หนังสือ รับรอง รม 8 หรือเรียกว่า RFD legal Certificate) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ค้าและส่งออกไม้ล้อม โดยมีการจัดทำเอกสารประชาสัมพันธ์ขั้นตอนการยื่นเอกสารว่า ยื่นที่ไหน ยื่นเมื่อไร ใช้เวลาเท่าไร อย่างไรก็ดี ปัจจุบันการประกอบธุรกิจสวนไม้เศรษฐกิจเพื่อให้ได้รับการรับรองไม้เพื่อการส่งออก จำเป็นต้องคำนึงถึงความ ถูกต้องเกี่ยวกับกฎหมายด้านแรงงาน และสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น เช่น มาตรฐาน มตช. 14061-2566 ซึ่งเป็น การรับรองมาตรฐานการจัดการสวนไม้เศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มั่นใจในผลผลิตที่ยั่งยืน เพื่อลดหรือกำจัดผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อม และเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพใน พื้นที่ที่กำหนดไว้ รวมถึงการทำหน้าที่เพื่อสังคม เป็นต้น นายสมศักดิ์ ไชยมาศ ได้ยกตัวอย่างประสบการณ์การล้อมไม้ เช่น การล้อมไม้บุนนาคที่ล้อมยากที่สุด แบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่ การล้อมดิบ เป็นการขุดดินอย่าให้ดินแตกเด็ดขาด ถ้าแม้ต้นไม้จะตาย ลิดใบออกให้ หมด และการล้อมสุก ซึ่งไม้บุนนาคจะใช้วิธีนี้ ถ้าไม้หน้า 3 ล้อมห่าง 2 ฝ่ามือ แล้วขุดดินอย่าให้ดินแตก เอาราก


5 ไว้ 3 ราก ตัดรากแก้วให้หมด เอาสแลนออกแล้วเอาขุยมะพร้าวยัด จากนั้นรัดให้แน่นอย่าให้หลวม เอาผ้ายาง คลุมรอบต้น รออีก 5 เดือนจึงขุดขึ้นได้(2 เดือนแรกไปตัดราก อีก 2 เดือนตัดอีกหนึ่งราก และเดือนสุดท้ายตัด อีกหนึ่งราก แสดงว่ารากฝอยออกเต็มแล้ว) ขนส่งด้วยรถไปตั้งที่แผงขาย 4-5 เดือนถึงจะปล่อยสู่ตลาดได้ ราคา ตกประมาณ 5,000-10,000 บาทต่อต้น สำหรับการส่งออกไม้ล้อมไปต่างประเทศ มีการรับซื้อต้นทองอุไร 1 หมื่นต้น ที่คาดว่ามาจากต่างประเทศ จึงคิดว่าตลาดมาถึงแล้ว ในมุมมองเกษตรกรแม้ไม่ทราบวิธีส่งออกแต่ได้ ขายพอมีกำไรก็ดีใจแล้ว จากผลการเสวนา เห็นได้ว่า ประเทศไทยมีโอกาสที่จะส่งออกต้นไม้ไปซาอุดิอาระเบียเป็นอย่างมาก เนื่องจากซาอุฯ มีความต้องการต้นไม้เพื่อไปปลูกจำนวนมากตามนโยบาย Saudi Green Initiative ตลอดจน ยังเป็นการสร้างโอกาสพัฒนาอาชีพที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไม้ล้อมของไทยอีกด้วย อย่างไรก็ดี ยังพบประเด็นความ ท้าทายอยู่หลายประการด้วยกัน เช่น ความไม่แน่นอนของข้อมูลทั้งในเรื่องชนิดไม้และปริมาณต้นไม้ที่ซาอุฯ ต้องการจริง ๆ จากประเทศไทย รูปแบบและกระบวนการส่งออกไม้ล้อมตามความต้องการของซาอุฯ กฎหมายหรือระเบียบบางประการที่อาจยังเป็นอุปสรรคในการส่งออก การที่จะปลูกสวนป่าเพื่อผลิตไม้ล้อมให้ ได้คุณภาพมาตรฐานเพื่อการส่งออก หน่วยงานหรือองค์กรที่จะมาบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ สำหรับข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานภาครัฐ และภาคส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมธุรกิจไม้ล้อม เพื่อการส่งออกไปประเทศซาอุดิอาระเบีย มีอยู่ด้วยกัน 6 ประการ ดังนี้ 1) ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งให้ข้อมูลที่ชัดเจนในเรื่องชนิดไม้ลักษณะไม้ที่ต้องการ และปริมาณไม้ล้อมที่ซาอุฯ ต้องการจากประเทศไทย รูปแบบและขั้นตอนการส่งออกต้นไม้ตามความ ต้องการของซาอุฯ ตลอดจนประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสารหรือจัดเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องดังกล่าว กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างต่อเนื่อง 2) ควรมีหน่วยงานที่จะทำหน้าที่บริหารจัดการข้อมูลแบบเบ็ดเสร็จ (one stop service) อย่าง เป็นระบบที่สามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว และครบถ้วนในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการ ตัดสินใจของเกษตรกรหรือผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนปลูกและหรือทำธุรกิจส่งออกไม้ล้อมไปซาอุฯ ตลอดจนอาจมีหน่วยงานหรือองค์กรเข้ามาช่วยกำกับและติดตามการดำเนินงานธุรกิจไม้ล้อมเพื่อการ ส่งออกไปซาอุฯ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการให้ได้รับความเป็นธรรม ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือโดนหลอกลวง 3) ส่งเสริม สนับสนุนการรวมกลุ่มและสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรและ ผู้ประกอบการธุรกิจไม้ล้อมของไทย 4) เร่งสร้างมาตรฐานไม้ล้อมของไทย เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างโอกาสทางการตลาด ของธุรกิจไม้ล้อมทั้งภายในประเทศและการส่งออกไปต่างประเทศมากยิ่งขึ้น 5) ส่งเสริมและสนับสนุนงานวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวขัองกับ ธุรกิจไม้ล้อมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนไปถึงปลายน้ำ เพื่อเพิ่มศักยภาพการประกอบอาชีพธุรกิจไม้ล้อมเพื่อ การค้าของประเทศไทยให้สูงยิ่งขึ้น 6) พัฒนา ปรับปรุง กฎหมาย/ระเบียบ หรือขั้นตอนการส่งออกไม้ล้อมไปต่างประเทศ เพื่อจะช่วย สร้างความได้เปรียบเทียบด้านการแข่งขันทางการค้าของธุรกิจไม้ล้อมของไทยให้มากยิ่งขึ้น


Click to View FlipBook Version