The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เป็นผลผลิตจากโครงการศึกษาศักยภาพการปลูกและใช้ประโยชน์ไม้จันทน์หอมและไม้ป่ายืนต้นบางชนิดในเชิงผลิตภัณฑ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Forestry Research Center, 2021-05-12 01:44:47

ไม้จันทน์หอม

เป็นผลผลิตจากโครงการศึกษาศักยภาพการปลูกและใช้ประโยชน์ไม้จันทน์หอมและไม้ป่ายืนต้นบางชนิดในเชิงผลิตภัณฑ์

Keywords: ไม้จันทน์หอม

ไมจ้ นั ทนห์ อม

ทีป่ รึกษา
นายวิรตั น์ ปราบทุกข์ ผูอ้ ำ� นวยการสถาบนั วิจยั และพฒั นาพน้ื ท่สี ูง
ดร.เพชรดา อยู่สขุ รองผู้อ�ำนวยการสถาบนั ด้านการพฒั นา
ดร.อจั ฉรา ภาวศทุ ธิ ์ รักษาการผู้อำ� นวยการสำ� นักวจิ ัย
ผศ. ดร.บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ดร.คงศกั ดิ์ มีแกว้ กรมป่าไม้
ดร.จงรกั วชั รนิ ทร์รตั น์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

ผ้เู ขียนและเรยี บเรยี ง กมลทิพย์ เรารตั น์
นรนิ ธร จ�ำวงษ์ เจษฎา วงคพ์ รหม ธัญญะ เตชะศีลพิทกั ษ์
ณัฐวฒั น์ คลังทรัพย์ กิตติศักดิ์ จินดาวงค ์ อนุชิต เมฆสขุ ใส
เบญ็ จารัชด ทองยนื ชนษิ ฐา จนั ทโชต ิ
ปัทมา แสงวศิ ษิ ฎภ์ ิรมย์

พิมพ์ครัง้ ที่ 1 2564
จ�ำนวนพิมพ ์ 500 เล่ม
จดั พมิ พโ์ ดย สถาบนั วิจยั และพัฒนาพ้นื ทส่ี งู (องคก์ ารมหาชน)
65 หมู่ 1 ตำ� บลสเุ ทพ อ�ำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50200
โทรศัพท์ 0 5332 8496-8 โทรสาร 0 5332 8494, 0 5332 8229
เวบ็ ไซต์ http://www.hrdi.or.th

พมิ พท์ ่ี ห้างหนุ้ ส่วนจ�ำกัด อิงคเ์ บอร์ร่ี
6/5 ถนนรังษเี กษม ตำ� บลในเวียง อำ� เภอเมืองนา่ น จังหวดั นา่ น 55000
โทรศพั ท์ 08 7512 3087
ISBN 978-616-8082-16-4

บทนำ�

เอกสารเผยแพร่ “ไม้จันทน์หอม” เป็นผลผลิตจากโครงการศึกษา
ศักยภาพการปลูกและใช้ประโยชน์ไม้จันทน์หอมและไม้ป่ายืนต้นบางชนิดในเชิง
ผลิตภัณฑ์ ได้รบั ทุนสนับสนนุ จากสถาบนั วจิ ยั และพัฒนาพื้นทส่ี ูง (องคก์ ารมหาชน)
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-2563 โดยเริ่มจากแนวคิดการวิจัยเพ่ือน�ำไปสู่การ
ส่งเสริมการปลูกไม้จันทน์หอมเพ่ือน�ำวัตถุดิบส่วนต่าง ๆ มาผลิตดอกไม้จันทน์
เพื่อเพิ่มรายได้แก่เกษตรกรในพ้ืนท่ีมูลนิธิโครงการหลวงและสถาบันวิจัยและพัฒนา
พนื้ ทส่ี งู ซงึ่ เปน็ พน้ื ทน่ี อกเขตกระจายพนั ธต์ุ ามธรรมชาตขิ องไมจ้ นั ทนห์ อม จงึ จำ� เปน็
ต้องมีการเตรียมความพร้อมของข้อมูลและวิธีการต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับการปลูก
การเตบิ โต การขยายพนั ธไ์ุ มจ้ นั ทนห์ อม รวมถงึ การพจิ ารณาปจั จยั แวดลอ้ มทเี่ หมาะสม
เพอื่ เรม่ิ ตน้ ศึกษาความเปน็ ไปได้โดยการปลกู ทดสอบในพื้นท่ีเปา้ หมาย
เนื้อหาในเอกสารน้ีมุ่งน�ำเสนอข้อเท็จจริงจากการศึกษาทั้งหมดที่เกิดจาก
การด�ำเนินงานทั้ง 2 ปี รว่ มกับการสงั เคราะหเ์ อกสารทางวิชาการ ซง่ึ จะเป็นข้อมลู
พ้ืนฐานแก่ผู้ท่ีสนใจปลูกไม้จันทน์หอม และเป็นประโยชน์ต่อนักเรียน นักศึกษา
นกั วจิ ยั และผู้ทส่ี นใจ เพื่อประโยชน์ด้านการศกึ ษาค้นคว้าต่อไปในอนาคต

คณะผวู้ จิ ยั
ตุลาคม 2563

ไม้จนั ทนห์ อม 3

สารบญั

บทนำ� 3

ไม้จนั ทนห์ อม 5

การกระจายพนั ธุ์ตามธรรมชาติ 6

ลกั ษณะทางสณั ฐานวทิ ยา 14

ฤดูกาลออกดอกออกผลของไม้จนั ทน์หอมในพน้ื ท่ปี า่ ธรรมชาติของประเทศไทย 27

เมล็ดและการจัดการเมลด็ ไม้จันทน์หอม 28

การผลติ กล้าไมจ้ นั ทน์หอม 30

การเจรญิ เตบิ โตของไม้จันทนห์ อม 35

การเติบโตของไมจ้ นั ทนห์ อมในพืน้ ทีท่ ่ีมกี ารปลกู ไมจ้ นั ทน์หอมในประเทศไทย 42

กฎหมายปา่ ไมท้ เ่ี ก่ียวกบั ไมจ้ ันทน์หอมในประเทศไทย 46

บรรณานุกรม 48

ไม้จนั ทน์หอม

ไมจ้ นั ทนห์ อม หรอื ในบางทอ้ งทเ่ี รยี กวา่ จนั ทน์ จนั ทนข์ าว จนั ทนช์ ะมด และ
จันทนพ์ มา่ (เต็ม, 2557) มชี ือ่ วทิ ยาศาสตร์วา่ Mansonia gagei J.R. Drummond
วงศ์ Sterculiaceae ชื่อสามัญคือ Kalamet มีชื่อพ้องเสียงกับไม้อื่นหลายชนิด
และมักเข้าใจผิดกันบ่อย เช่น จันทน์อิน-จันโอ (Diospyros decendra Lour.)
จันทน์ชะมด (Aglaia silvestris Merr.) จันทนแ์ ดง (Myristica iners) ไมห้ อมหรอื
จันทน์หอมอินเดีย (Santalum album Linn.) และไม้หอมกฤษณา (Aquilaria
malaccensis) เป็นต้น (Meekaew et al., 2009) ไม้จันทนห์ อมมีสถานภาพเปน็
ไมป้ า่ ทถ่ี กู คกุ คามตอ่ การตดั ฟนั มาใชป้ ระโยชน์ ในปจั จบุ นั จงึ พบหาไดย้ ากและมแี หลง่
ปลกู นอ้ ยด้วย (วิชาญ, 2551) ปจั จบุ ันได้รับคดั เลอื กเป็นต้นไมพ้ ระราชทานปลกู เพ่ือ
เป็นมงคลของจงั หวดั นครปฐม จัดเปน็ กล่มุ ไมท้ ี่มเี นือ้ ไม้หอม

ไม้จนั ทน์หอม 5

การกระจายพนั ธต์ุ ามธรรมชาติ

ไม้จันทน์หอมพบในประเทศไทย พม่า กัมพูชา และมาเลเซีย โดยใน
ประเทศไทยพบในภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ (นครราชสีมา สระแก้ว
ระยอง) ภาคกลาง (สระบุรี) และภาคตะวันตกเฉียงใต้ (ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี
เพชรบรุ )ี และภาคใต้ (ตรงั กระบ่ี สตลู นครศรธี รรมราช) ทรี่ ะดบั ความสงู 50-500 เมตร
จากระดบั น้ำ� ทะเล (วชิ าญ, 2551) พบข้นึ ประปรายอยูห่ า่ ง ๆ กนั ตามป่าดงดบิ และ
ปา่ เบญจพรรณชน้ื ทวั่ ไป เวน้ แตท่ างภาคเหนอื และอาจพบขนึ้ กระจดั กระจายอยตู่ าม
ภเู ขาหนิ ปนู (Meekaew et al., 2009) มปี รมิ าณนำ้� ฝน 1,000–2,000 มลิ ลเิ มตรตอ่ ปี
(Smitinand, 1977)
จากการตรวจเอกสารงานวิจัยด้านสังคมพืชและการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ
ดา้ นไมจ้ นั ทนห์ อมและเจา้ หนา้ ทด่ี า้ นปา่ ไมใ้ นพนื้ ทท่ี ร่ี ะบวุ า่ พบไมจ้ นั ทนห์ อมอยใู่ นปา่
ธรรมชาติ ในปจั จบุ นั มหี ลกั ฐานยนื ยนั วา่ พบไมจ้ นั ทนห์ อมใน 3 จงั หวดั ไดแ้ ก่ จงั หวดั
เพชรบุรี (อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (อุทยานแห่งชาติ
กุยบุรี อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด และอุทยานแห่งชาติน�้ำตกห้วยยาง) และ
จงั หวดั นครศรีธรรมราช (บรษิ ัท ปนู ซีเมนต์ไทย (ทุง่ สง) จำ� กัด) สำ� หรับพ้ืนท่อี ่ืน ๆ
ท่ีไม่ปรากฏ คาดว่าเกิดจากปัญหาการลักลอบตัดไม้จันทน์หอมซ่ึงเป็นไม้มีค่าและ
หายาก ประกอบกับไม้จันทน์หอมในป่าธรรมชาติมีการพัฒนาของกล้าไม้ไปสู่ระยะ
ไม้รุ่นและไม้ใหญ่ในอัตราส่วนท่ีน้อยมาก ทั้งนี้ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแม่ไม้
และนำ� ไปสกู่ ารสญู หายของไม้จันทนห์ อมจากพ้นื ที่ (Meekaew et al., 2009)


6 ไม้จนั ทน์หอม

อทุ ยานแห่งชาตแิ ก่งกระจาน พ้ืนท่ีกระจายพนั ธต์ุ ามธรรมชาติ
อทุ ยานแหง่ ชาติกยุ บุรี พ้ืนท่ีกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติและ
อุทยานแหง่ ชาตนิ �ำ้ ตกหว้ ยยาง พบไม้จันทน์หอมตามป่าธรรมชาติ
ในปัจจบุ นั

อทุ ยานแห่งชาติเขาสามรอ้ ยยอด

บริษทั ปูนซีเมนต์ไทย (ทุ่งสง) จ�ำกดั

ภาพแสดงจงั หวดั ทม่ี ีการระบวุ ่าพบการกระจายพนั ธุต์ ามธรรมชาติของไม้จันทน์หอม
และพนื้ ท่ที ่ีมีหลักฐานว่ายังพบไมจ้ นั ทนห์ อมในปา่ ธรรมชาติในปจั จุบนั
ไมจ้ นั ทนห์ อม 7

ลกั ษณะพ้นื ท่ที ีพ่ บการกระจายพนั ธุ์ตามธรรมชาติของไมจ้ นั ทน์หอม

อทุ ยานแหง่ ชาตกิ ยุ บุรี จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์

อทุ ยานแหง่ ชาตแิ ก่งกระจาน จังหวดั เพชรบุรี

8 ไม้จันทน์หอม

อทุ ยานแหง่ ชาตนิ �้ำตกหว้ ยยาง จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์
ไม้จนั ทน์หอม 9

อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จงั หวัดประจวบคีรขี นั ธ์
10 ไมจ้ นั ทนห์ อม

ไม้จันทนห์ อม 11

จากการสำ� รวจพืน้ ที่ที่พบการกระจายพันธตุ์ ามธรรมชาติของจันทน์หอม ท้ัง 5 พ้นื ที่
พบว่าการปรากฏของไม้จันทนห์ อมมคี วามจ�ำเพาะกับลักษณะพ้นื ท่ี

โดยลกั ษณะสภาพแวดลอ้ มที่พบการปรากฏของไมจ้ นั ทนห์ อม ดังแสดงในตาราง

ปัจจยั แวดลอ้ ม ค่าขอ้ มลู /ลักษณะ

ภมู ปิ ระเทศ 1) ความสูงจากระดบั น�้ำทะเล 5-650 เมตร

2) ความลาดชัน 0->70%

พชื พรรณ 3) ลกั ษณะพืชพรรณ ปา่ ดิบแลง้ ผสมเบญจพรรณ ป่าดิบแลง้ ระดบั ต่�ำ-กลาง

ภมู อิ ากาศ 4) ปรมิ าณนำ�้ ฝนเฉลี่ยตอ่ ปี 1,000-2,500 มลิ ลเิ มตร

5) คา่ เฉล่ยี อุณหภมู ิ อุณหภมู ิต�่ำสุด 23-24 ํC อุณหภูมสิ งู สุด 31-32.5 Cํ

ดนิ 6) เนื้อดนิ ดนิ รว่ นเหนียวปนทราย (Sandy Clay Loam)
ดนิ รว่ นปนทราย (Sandy Loam)
ดินร่วนเหนยี ว (Clay Loam)

7) ความหนาแน่น ดินบน 0.87-1.55 กรมั ตอ่ ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร
ดินลา่ ง 1.12-1.28 กรัมตอ่ ลูกบาศก์เซนติเมตร

8) ปฏกิ ิริยาดนิ (pH) ดนิ บน 5.9-8.0 (กรดปานกลาง-เบสปานกลาง)
ดนิ ลา่ ง 5.6-7.7 (กรดปานกลาง-เบสอ่อน)

9) ปรมิ าณอนิ ทรยี วตั ถุ ดนิ บน 3.1-8.3% (สงู )
ดนิ ลา่ ง 5.6-7.7% (ตำ่� -สงู )

10) ปริมาณฟอสฟอรสั ดนิ บน 6-33 ppm (ต่�ำ-สูง)
ดนิ ล่าง 3-17 ppm (ตำ่� -ปานกลาง)

11) ปริมาณโพแทสเซียม ดนิ บน 127-290 ppm (สงู )
ดินล่าง 73-184 ppm (ปานกลาง-สงู )

12) ปรมิ าณแคลเซยี ม ดนิ บน 1,585-5,136 ppm (ปานกลาง-สูง)
ดนิ ลา่ ง 453-3,264 ppm (ตำ่� -สูง)

13) ปรมิ าณแมกนเี ซียม ดนิ บน 118-349 ppm (สูง)
ดนิ ล่าง 142-234 ppm (สงู )

14) ปรมิ าณไนโตรเจน ดินบน 0.26-0.63% (สูง)
ดนิ ลา่ ง 0.19-0.33% (สูง)

15) ปริมาณคารบ์ อน ดนิ บน 2.45-7.16%
ดนิ ล่าง 1.62-3.64%

12 ไม้จนั ทน์หอม

ไม้จันทนห์ อม 13

ลักษณะทางสัณฐานวทิ ยา

ไม้จันทนห์ อมเปน็ ไมย้ ืนตน้ ขนาดกลาง
ถึงขนาดใหญ่ ผลดั ใบ สูง 15-30 เมตร

14 ไมจ้ นั ทนห์ อม

ลำ� ตน้ เปลือก
ล�ำตน้ มีลกั ษณะเปลาตรง
เปลือก สีเทาปนขาว คอ่ นข้างเรียบ ไม้จันทนห์ อม 15
ตามกงิ่ มีขนน่มุ ปกคลุม มีหใู บ

ลกั ษณะเรอื นยอด
เรอื นยอด เป็นรปู กรวยต�่ำ หรือเปน็ พุ่มกลมคอ่ นข้างโปร่ง

16 ไมจ้ ันทนห์ อม

ใบ รูปหอก หลุดร่วงงา่ ย ใบเด่ยี ว เรียงสลับ แผน่ ใบ
รูปไขจ่ นถงึ รี กงึ่ ขอบขนาน ขนาด 3-6 x 8-14 เซนติเมตร
ปลายใบแหลม ฐานใบป้านเว้าเล็กน้อย ขอบใบจักแหลม
เลก็ นอ้ ย ผวิ ใบดา้ นบนสเี ขยี วเขม้ เปน็ มนั ดา้ นลา่ งสจี างกวา่
เสน้ แขนงใบมี 3-5 เสน้ กา้ นใบยาว 5-10 มิลลิเมตร

หน้าใบ

หลงั ใบ

ไม้จันทน์หอม 17

ดอก เป็นช่อแยกแขนงยาวถึง 15 เซนติเมตร

ดอกสมบรู ณเ์ พศกลบี ดอกสขี าวมี5กลบี รปู ชอ้ นเกสรเพศผู้
ท่ีสมบรู ณ์มี 5 อัน และมที เ่ี ปน็ หมัน 5 อนั คารเ์ พลมขี น
ปกคลมุ มี 5-9 ออวลุ ออกดอกเปน็ ชอ่ ตามปลายก่งิ และ
ตามซอกใบใกลป้ ลายกงิ่ ดอกย่อยจำ� นวนมาก มีกลิ่นหอม
ออกดอกเดอื นมถิ ุนายน–ตุลาคม

18 ไมจ้ นั ทนห์ อม

ไม้จันทนห์ อม 19

ผล ผลแหง้ มปี กี ขา้ งเดยี ว

รูปไข่ ปลายปีกโค้ง ปีกผลขนาด
1-1.5 x 2.5-3 เซนตเิ มตร ผลออ่ น
มีสีเขียวเม่ือแก่มีสีเหลืองอ่อนจน
เป็นสีน้�ำตาล ทรงผลรูปกระสวย
เล็ก ๆ กว้าง 5-7 มิลลิเมตร
ยาว 10-15 มิลลิเมตร มีจ�ำนวน
ผลเฉลี่ยประมาณ 2,643 ผล
ต่อกิโลกรัม ผลแก่เดือนธันวาคม
ถงึ มกราคม

20 ไม้จนั ทน์หอม

เนอ้ื ไม้และการใช้ประโยชน์
เนื้อไม้มีสีน�้ำตาลอ่อน ส่วนแก่นสีน�้ำตาลเข้ม เสี้ยนตรง
เนอ้ื ละเอยี ดเลอ่ื ยไสกบตบแตง่ งา่ ยความหนาแนน่ ของเนอ้ื ไม้940กโิ ลกรมั
ต่อลูกบาศก์เมตร ความแข็ง 865 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จัดอยู่ใน
ประเภทไม้เน้ือแข็งตามมาตรฐานกรมป่าไม้ท่ีมีความแข็งแรงสูงและ
ความทนทานตามธรรมชาติต�่ำ (กรมป่าไม,้ 2526 อา้ งตาม Meekaew
et al., 2009)

เน้อื ไม้
แก่น

เน้อื ไม้
ไม้จันทนห์ อม 21

คณุ สมบตั ิไม้ของตวั อยา่ งไมจ้ นั ทน์หอมจากป่าธรรมชาติ
และป่าปลกู มีดังน้ี

1) ความช้ืน (Moisture Content) 10.84-13.32%
2) ความถว่ งจำ� เพาะ (Specific Gravity) 0.72-0.83
3) ความหนาแน่น (Density) 790-940 Kg/m3
4) คา่ สมั ประสิทธก์ิ ารแตกหัก (MOR) 53.11-87.48 Mpa
5) คา่ สมั ประสิทธก์ิ ารยืดหยุ่น (MOE) 8,520.33-8,729.33 Mpa
6) ความแข็งของไม้ (Hardness) 5,782-7,725.67 N
- T (ดา้ นสัมผสั ) 6,174-7,840 N
- R (ดา้ นรัศม)ี 5,390-7,611.33 N
7) ความเค้นอัดตัง้ ฉากเส้ียน (Comprssive Stress) 31.85-46.58 Mpa
8) ความเค้นอดั ขนานเส้ยี น (Comprssive Stress) 42.72-54.19 Mpa
9) แรงเฉือน (Shear Stress) 18.01-20.12 Mpa
10) ความเหนียว (Toughness) 15,680-30,429 N.mm
11) การยึดติดตะปู 33.08-36.48 N/mm
- T (ด้านสัมผัส) 33.72-41.75 N/mm
- R (ดา้ นรัศม)ี 31.22-32.44 N/mm

22 ไม้จันทน์หอม

การใช้ประโยชน์ เนื้อไม้ท่ียืนต้นตาย ซ่ึงเรียกว่า
“ตายพราย” สว่ นทเี่ ปน็ แกน่ มกี ลนิ่ หอม ใชท้ ำ� ดอกไมจ้ นั ทน์
ซง่ึ ใช้ในพธิ เี ผาศพ เนอื้ ไมใ้ ชท้ ำ� หบี ใส่เส้อื ผ้า เครอ่ื งกลึงและ
แกะสลัก หวี ธูป การนำ� เนอ้ื ไม้จันทนห์ อมมาใช้ประโยชน์
และท�ำดอกไม้จันทน์พบรายงานระบุเกิดข้ึนในอดีต
ซงึ่ เปน็ การนำ� ไมจ้ นั ทนห์ อมจากปา่ ธรรมชาตมิ าใชป้ ระโยชน์
(วชิ าญ, 2551) สถานวี นวฒั นวจิ ยั ประจวบครี ขี นั ธ์ กรมปา่ ไม้
ซึ่งเป็นหน่วยงานเดียวที่ศึกษาถึงการปลูกและการเติบโต
ของไม้จันทน์หอม ในขณะเดียวกันก็มีความพยายาม
จะพัฒนาผลิตภัณฑ์จากส่วนต่าง ๆ ของไม้จันทน์หอม
แต่เน่ืองจากขาดเคร่ืองมือและเทคโนโลยีการผลิตจึงเกิด
เป็นเพียงผลิตภัณฑ์ต้นแบบเพ่ือการศึกษาวิจัยเท่าน้ัน
ดังภาพดา้ นล่าง

ดอกไมจ้ นั ทนจ์ ากเนื้อไมจ้ ันทน์หอม

ไม้จันทนห์ อม 23

ใบจันทน์หอมท่ีผา่ นกรรมวิธที างเคมี
เพอื่ เปน็ วตั ถดุ บิ ในการทำ� ดอกไมจ้ นั ทน์

24 ไม้จนั ทนห์ อม

ขเ้ี ลือ่ ยไมจ้ ันทน์หอม
เพื่อเป็นวตั ถดุ ิบในการท�ำธปู หอม

กระดาษจากเย่อื ไม้จันทน์หอม

นอกจากนี้ น�้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการกลั่นช้ินไม้จันทน์หอม ใช้ปรุง
เครอ่ื งหอมและเครอ่ื งสำ� อาง ดา้ นสมนุ ไพร นำ�้ มนั ทก่ี ลน่ั จากชนิ้ ไมใ้ ชท้ ำ� ยาบำ� รงุ หวั ใจ
เนอื้ ไมใ้ ชเ้ ปน็ ยาแกไ้ ข้ แกโ้ ลหติ เสยี แกด้ ี แกก้ ระหายนำ้� และออ่ นเพลยี (วชิ าญ, 2551)

ไม้จนั ทนห์ อม 25

26 ไมจ้ ันทนห์ อม

ฤดกู าลออกดอกออกผลของไม้จันทน์หอม
ในพืน้ ทีป่ ่าธรรมชาติของประเทศไทย

ไมจ้ นั ทน์หอมเริ่มผลัดใบในเดือนมกราคมและสิน้ สุดในเดอื นมนี าคม และเรมิ่
ผลใิ บใหมอ่ ยา่ งรวดเรว็ ภายใน 1-2 สปั ดาหต์ อ่ มาจนเตม็ ตน้ ในเดอื นกรกฎาคมจะเรมิ่
มีการพัฒนาตาดอกขน้ึ ทบี่ ริเวณโคนใบ จากนัน้ จะพฒั นาเป็นช่อดอกเล็ก ๆ จนเป็น
ดอกสมบูรณ์ และเริ่มบานในเดือนกันยายน ในระยะเริ่มต้นดอกไม้จันทน์หอม
จะมดี อกเร่ิมบาน 1-2 ดอก จนถึง 20 ดอก เม่อื แก่เตม็ ท่ี โดยดอกจะเร่มิ บานในช่วง
07.00 น. และเริ่มหุบเวลา 09.00-10.00 น. หลังจากนั้นจะเริ่มบานอีกคร้ังในช่วง
17.00–19.00 น. ซง่ึ ดอกจะบานเพยี ง 1-2 วนั และจะรว่ งไป ระยะเวลาการออกดอก
นานประมาณ 1 เดอื น ดอกท่ีไดร้ บั การผสมเกสรแล้ว จะพัฒนาเป็นผลซึ่งจะพฒั นา
จนสมบรู ณเ์ ต็มทใี่ นเดือนตลุ าคม หลังจากนนั้ จะใช้เวลาประมาณ 45-60 วนั ผลจะ
สกุ ในชว่ งปลายเดอื นธนั วาคมถงึ ตน้ เดอื นมกราคม ฤดกู าลออกดอกของไมจ้ นั ทนห์ อม
จนพัฒนาเป็นผลสุกใช้เวลาประมาณ 6 เดือน และพบว่าไม้จันทน์หอมจะให้เมล็ด
ทุก ๆ 3 ปี (Meekaew, 2008)

ฤดกู าลออกดอกออกผลของไมจ้ ันทน์หอม

การพฒั นาดอกและผล ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค.
พัฒนาตาดอก

ช่อดอกพฒั นาจนสมบูรณ์
ดอกบาน (ผสมเกสร)
พฒั นาผล
ผลสกุ **

** ชว่ งเวลาเก็บผล (เมลด็ )

ไม้จนั ทน์หอม 27

เมล็ดและการจัดการเมลด็ ไม้จันทน์หอม

เนื่องจากเมล็ดไม้จันทน์หอมไม่สามารถแยกออกมาจากเปลือกผลได้ง่าย
การเพาะเมล็ดไม้จันทน์หอมจึงเพาะจากผลโดยตรง เพราะฉะนั้นในการศึกษาน้ี
คำ� วา่ ผลและเมลด็ ไมจ้ นั ทนห์ อม จงึ หมายถงึ สว่ นเดยี วกนั Meekaew (2008) รายงาน
ว่าเมล็ดไม้จันทน์หอมท่ีไม่ได้เอาปีกออกมีน�้ำหนัก 36.63±9.28 กรัม/100 เมล็ด
สว่ นเมลด็ ทเ่ี อาปกี ออกแลว้ มนี ำ�้ หนกั 27.29±5.88 กรมั /100 เมลด็ ซง่ึ มจี ำ� นวนเมลด็
2,861±720 เมลด็ /กิโลกรมั และ 3,936±790 เมลด็ /กโิ ลกรมั ตามลำ� ดบั การทราบ
นำ�้ หนกั ของเมลด็ จะทำ� ใหส้ ามารถคำ� นวณปรมิ าณเมลด็ ทจี่ ะปลกู ในแตล่ ะครง้ั ไดอ้ ยา่ ง
ถูกต้อง เน่ืองจากในตลาดเมล็ดไม้จะมีการซื้อขายจากน�้ำหนักเมล็ดไม้จันทน์หอมท่ี
มีปกี พบว่ามขี นาดประมาณ 1.12±0.15 x 3.52±0.46 เซนตเิ มตร และเมอ่ื เอาปีก
ออกแล้วจะมขี นาดประมาณ 0.65±0.08 x 1.18±0.173 เซนติเมตร ลกั ษณะของ
ผลท่ีเหมาะสมตอ่ การน�ำไปผลติ กล้าไม้จนั ทน์หอม โดยใช้สีของผลเปน็ ตัวบง่ ชี้ ไดแ้ ก่
ผลสีเขยี ว ผลสีเขียวแกมน�้ำตาล และผลสนี ้ำ� ตาล พบว่าลกั ษณะผลที่มอี ัตราการงอก
สูงสุดคือผลสีเขียวแกมน้�ำตาล รองลงมาคือ ผลสีน้�ำตาล และผลสีเขียวมีอัตราการ
งอกต่ำ� สดุ คือ รอ้ ยละ 85.25, 82.50 และ 40.75 ตามล�ำดบั (Meekaew, 2008)

ลกั ษณะของผลไม้จันทนห์ อมทเี่ หมาะสมตอ่ การน�ำไปผลิตกล้าไม้จันทน์หอม (Meekaew, 2008)

28 ไมจ้ นั ทน์หอม

วธิ กี ารจดั การเมลด็ ไมจ้ นั ทนห์ อมหลงั การเกบ็ เกยี่ วเพอ่ื รกั ษาความมชี วี ติ ของเมลด็
ดำ� เนินการ ดังนี้
1) การคดั แยกผลที่สมบรู ณ์
2) การผงึ่ ใหแ้ หง้ โดยนำ� ผลทค่ี ดั แยกแลว้ มาผง่ึ ใหแ้ หง้ ทอ่ี ณุ หภมู หิ อ้ งเปน็ เวลา
1 สัปดาห์ เพ่ือลดความช้ืนในผล ไม่ควรน�ำไปตากแดดเพราะความร้อนจะท�ำให้
ความมชี วี ติ ของเมลด็ ลดลง
3) การจัดเก็บ โดยน�ำผลท่ีผ่ึงแห้งแล้วใส่ถุงกระสอบและน�ำไปเก็บในบริเวณ
ที่ร่มและแห้ง ณ อุณหภูมิห้อง เมล็ดท่ีเก็บมาจากต้นจะมีความมีชีวิตลดลงเร่ือย ๆ
ตามระยะเวลา และความมชี วี ติ จะหมดลงหลงั จากเกบ็ ผลมาแลว้ 90 วนั เพราะฉะนน้ั
เมอื่ เก็บเมลด็ มาแลว้ ควรรีบเพาะใหเ้ รว็ ท่ีสดุ

อตั ราการงอกของเมล็ดไมจ้ ันทนห์ อมท่ศี กึ ษาโดย Meekaew (2008)

อัตราการงอกของเมล็ดจันทนห์ อมทีแ่ กเ่ ตม็ ที่ หลังจากเกบ็ เมล็ด 120 วัน

ไมจ้ ันทนห์ อม 29

การผลติ กล้าไม้จันทน์หอม
1. การเพาะเมล็ด
ทรายละเอียดเหมาะสมต่อการงอกของเมล็ดจันทน์หอมมากกว่าขุยมะพร้าว
และหน้าดิน ซ่ึงมีอัตราการงอกของเมล็ดร้อยละ 85, 72 และ 60 ตามล�ำดับ
(Meekaew, 2008) ทั้งน้ีทรายละเอียดยังลดปัญหาเร่ืองเชื้อราได้ และในการ
ย้ายช�ำกล้าไม้จากแปลงเพาะลงถุงจะท�ำให้สะดวกและสูญเสียน้อยกว่าใช้ดินหรือ
หน้าดิน หลังจากน้ันดูแลรักษาเหมือนการเพาะเมล็ดไม้อื่นๆ และควรย้ายลง
ถุงช�ำเมื่อเร่ิมแตกใบแท้ คือประมาณสัปดาห์ที่ 5 หลังจากเพาะ เพ่ือให้มีพื้นที่
เพยี งพอต่อการเติบโตของกล้าไม้

สปั ดาห์ท่ี 1 สัปดาหท์ ี่ 2 สปั ดาหท์ ี่ 3

สัปดาห์ที่ 4 สัปดาหท์ ่ี 5 สัปดาห์ที่ 6

30 ไมจ้ นั ทน์หอม

2. การยา้ ยกล้า
เนอ่ื งจากไมจ้ นั ทนห์ อมไมต่ ดิ ดอกออกผลทกุ ปี โดยจะมปี ที ใี่ หผ้ ล (seed year)
ทุก ๆ 3 ปี ซงึ่ ปีลา่ สุดท่ตี ดิ ผลคือปี พ.ศ. 2562 จึงจำ� เปน็ ต้องหาวิธขี ยายพันธโ์ุ ดย
ไมอ่ าศยั เพศ เพ่ือผลิตกลา้ ไมจ้ นั ทน์หอมไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่อื งทุกปี
2.1 การย้ายกล้าจนั ทนห์ อม ดำ� เนนิ การได้ 2 วธิ ี คอื

(1) การขุดล้อมต้นกล้าท่ีงอกจากเมล็ดซ่ึงร่วงหล่นลงมาเองตาม
ธรรมชาติ โดยใชท้ อ่ เหลก็ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 10 เซนตเิ มตร สงู 40 เซนตเิ มตร แลว้ ใช้
คอ้ นยางตอกลงไปในดินใหล้ ึกประมาณ 10 เซนติเมตร แล้วใชเ้ สียมค่อย ๆ ขุดดนิ
เพ่ือเอาท่อและกล้าไม้ข้ึนมา ตัดแต่งรากให้เรียบร้อย น�ำถุงพลาสติกมาหุ้มท่อและ
กลา้ ไมไ้ วข้ ณะทด่ี นั กลา้ ออกมาจากทอ่ ซง่ึ จะไดก้ ลา้ ไมแ้ บบมดี นิ หมุ้ ราก (ball-rooted
seedling) หลงั จากนั้นใช้ถงุ พลาสติกหอ่ ตุ้มดินไว้เพอื่ รกั ษาความชืน้
(2) การถอนตน้ กลา้ ซง่ึ จะไดก้ ลา้ ไมท้ มี่ ลี กั ษณะกลา้ ไมแ้ บบเปลอื ยราก
(bare-rooted seedling)
2.2 ตดั แตง่ กลา้ ไมจ้ นั ทนห์ อมทง้ั ใบและราก ใบตดั ใหเ้ หลอื เฉพาะสว่ นยอด และ
ใบทเี่ หลอื ตดั ครงึ่ เพอื่ ลดการคายนำ้� ตดั แตง่ รากกลา้ ไมแ้ บบเปลอื ยราก (bare-rooted
seedling) ไม่ใหย้ าวเกินไป โดยประมาณใหพ้ อดกี บั ถุงเพาะช�ำ
2.3 การเพาะช�ำกล้าไม้จันทน์หอม ใช้หน้าดินผสมขุยมะพร้าวในอัตราส่วน
1 : 1 เปน็ วสั ดเุ พาะ เพอื่ ใหร้ ากใหมส่ ามารถแตกไดง้ า่ ย บรรจใุ นถงุ ชำ� ขนาดตามเหมาะสม
ให้เต็มถุง การช�ำกล้าไมใ้ หห้ ยิบสว่ นที่เปน็ ล�ำต้น ใสส่ ว่ นของรากลงไปในรูทแี่ ทงนำ� ไว้
ในถงุ ก่อน แลว้ ใชน้ ิว้ มือกดดินโคนต้นใหแ้ นน่
2.4 น�ำกล้าไม้จันทน์หอมมาอนุบาลในเรือนเพาะช�ำที่มีความเข้มของแสง
ประมาณ 50% หมน่ั รดนำ้� ให้ชมุ่ อยู่เสมอจนกล้าไม้ตงั้ ตวั ได้

ไม้จนั ทนห์ อม 31

น�ำทอ่ เหล็กมาครอบกล้าไม้จันทนห์ อม ใชค้ ้อนยางตอก

ใชเ้ สียมค่อย ๆ ขดุ ดนิ เพ่ือเอาทอ่ และกล้าไมข้ ึ้นมา

ตัดแตง่ ราก ดันกล้าออกจากทอ่ ห่อตุ้มดนิ ดว้ ยถงุ พลาสตกิ
32 ไมจ้ ันทนห์ อม

กลา้ ไมแ้ บบมดี นิ หมุ้ ราก

(ball-rooted seedling)

กล้าไมแ้ บบเปลอื ยราก

(bare-rooted seedling)

ไม้จันทน์หอม 33

นรนิ ธร และคณะ (2563) พบวา่ กล้าไมแ้ บบมีดินหุ้มราก เม่ือน�ำมาเพาะชำ�
มีความเพิ่มพูนของเส้นผ่านศูนย์กลางท่ีระดับชิดดินมากกว่ากล้าไม้แบบเปลือยราก
เฉลี่ยประมาณ 0.07 เซนติเมตรต่อปี และพบว่าความเข้มแสงร้อยละ 50 ส่งเสริม
การเตบิ โตทางเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางของกลา้ ไมจ้ นั ทนห์ อมมากกวา่ ความเขม้ แสงรอ้ ยละ
25 ในขณะที่ความเขม้ แสงร้อยละ 100 ทำ� ใหก้ ล้าไม้ตายทงั้ หมด
ความสูงของกล้าจันทน์หอมมีความเพ่ิมพูนเฉลี่ย 4.75 เซนติเมตรต่อปี
ความเพ่ิมพูนของความสูงได้รับอิทธิพลจากประเภทของกล้าไม้และความเข้มแสง
เช่นเดียวกับความโต โดยพบว่ากล้าไม้แบบมีดินหุ้มราก ที่ความเข้มแสงร้อยละ 25
มีความเพมิ่ พูนทางความสงู มากท่สี ุดคอื 8-10 เซนตเิ มตรต่อปี

34 ไมจ้ ันทนห์ อม

การเจริญเติบโตของไมจ้ ันทน์หอม

ปัจจุบันยังไม่มีการปลูกไม้จันทน์หอมเพ่ือการค้า เน่ืองจากในอดีตเป็นไม้
หวงห้ามประเภท ข ซึ่งจะไม่มีการอนุญาตให้ท�ำไม้ เว้นแต่รัฐมนตรีจะได้อนุญาต
ในกรณีพิเศษ ท�ำให้องค์ความรู้ด้านการปลูกที่เหมาะสมกับไม้จันทน์หอมยังไม่มี
เทคนคิ เฉพาะใด ๆ จงึ ดำ� เนนิ การเชน่ เดยี วกบั การปลกู ไมย้ นื ตน้ ทวั่ ไป จากการสำ� รวจ
พนื้ ทที่ ม่ี กี ารปลกู ไมจ้ นั ทนห์ อมในประเทศไทยในลกั ษณะแปลงปลกู พบพน้ื ทท่ี ม่ี กี าร
ปลูกไมจ้ ันทนห์ อมทง้ั หมด 4 พ้นื ที่ ได้แก่
(1) สถานวี นวฒั นวจิ ยั ประจวบครี ขี นั ธ์ หนว่ ยยางชมุ มแี ปลงปลกู ไมจ้ นั ทนห์ อม
เชงิ เดีย่ ว อายุ 21 ปี
(2) โครงการชลประทานยางชุม ปลูกไม้จันทน์หอมผสมกับไม้ชนิดอื่น เช่น
เสลา ยางนา ตะแบก คณู ฯลฯ อายุ 21 ปี
(3) สถานีวนวฒั นวิจัยประจวบครี ขี ันธ์ แปลงปลูกเชงิ เดยี่ ว อายุ 15 ปี
(4) อุทยานแหง่ ชาติแกง่ กระจาน แปลงปลกู ไม้จนั ทนห์ อมแทรกกบั ต้นนนทรี
พะยูง ฯลฯ อายุ 5 ปี

แปลงปลกู ไมจ้ นั ทน์หอมเชงิ เดี่ยว
สถานวี นวฒั นวจิ ยั ประจวบครี ีขนั ธ์ หน่วยยางชมุ อายุ 21 ปี

ไมจ้ ันทน์หอม 35

แปลงปลกู ไมจ้ ันทนห์ อมแบบผสม
โครงการชลประทานยางชมุ อายุ 21 ปี

แปลงปลกู ไมจ้ ันทนห์ อมเชงิ เดย่ี ว
สถานวี นวฒั นวจิ ัยประจวบคีรขี นั ธ์ ส�ำนกั งาน (ริมทะเล) อายุ 15 ปี

36 ไมจ้ นั ทนห์ อม

แปลงปลูกไมจ้ นั ทนห์ อมแบบผสม
อทุ ยานแหง่ ชาตแิ ก่งกระจาน อายุ 5 ปี

ไม้จันทน์หอม 37

การเจรญิ เติบโตของไม้จันทนห์ อม พบวา่ แตกตา่ งกนั ไปตามพน้ื ที่ ซึง่ พบว่ามี
ความเพิ่มพนู ดา้ นความสงู เฉล่ยี 0.49-0.72 เมตรต่อปี และความเพ่มิ พูนด้านขนาด
เส้นผ่านศูนย์กลางที่ความสูง 1.30 เมตร (Diameter at Breast Height: DBH)
เฉลย่ี 0.55-1.08 เซนตเิ มตรต่อปี
นรนิ ธร และคณะ (2563) นำ� กลา้ ไมจ้ นั ทนห์ อมไปปลกู ทดสอบใน 3 พน้ื ทห่ี ลกั
จ�ำแนกเป็นพื้นที่ย่อย 5 พ้ืนที่ พื้นที่ละ 100 ต้น ได้แก่ พ้ืนท่ีในถิ่นก�ำเนิด
ไม้จันทน์หอม มี 1 พ้นื ท่ีหลัก คอื
1) สถานีวนวัฒนวิจัยประจวบคีรีขันธ์ หน่วยยางชุม อ�ำเภอกุยบุรี จังหวัด
ประจวบครี ขี ันธ์
ส่วนพน้ื ทีน่ อกถิ่นกำ� เนดิ ไม้จันทน์หอมมี 2 พน้ื ทหี่ ลัก คอื
2) ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยลึก อ�ำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
แบง่ เป็น 3 พน้ื ท่ียอ่ ย ได้แก่
2.1) แปลงสาธติ โครงการป่าชาวบา้ น ปลกู ไมจ้ นั ทรท์ องเทศ อายุ 15 ปี
2.2) พ้ืนท่ปี ่าธรรมชาติพบไม้สักเป็นไม้เดน่
2.3) พื้นทโ่ี ล่ง
3) สถานีวิจัยและฝึกนิสิตวนศาสตร์หาดวนกร อ�ำเภอทับสะแก จังหวัด
ประจวบครี ขี ันธ์
เนอ่ื งจากไมจ้ นั ทนห์ อมตอ้ งการรม่ เงาในการปลกู ระยะแรก (Meekaew, 2008)
พนื้ ทป่ี ลกู ทดสอบเกอื บทง้ั หมดจงึ คดั เลอื กพนื้ ทท่ี อ่ี ยภู่ ายใตเ้ รอื นยอดของไมป้ า่ ยกเวน้
แปลงปลูกทดสอบบนพนื้ ทโ่ี ลง่ ณ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยลึกเพียง 1 แปลง
ทต่ี ้องการปลกู ทดสอบเพอื่ ยนื ยันถึงความต้องการร่มเงาในการเติบโตระยะแรก

38 ไม้จันทน์หอม

การสำ� รวจอตั ราการรอดตายครง้ั ท่ี 1 เมอ่ื ปลกู จนั ทนห์ อมครบ 1 เดอื น พบวา่
กล้าไม้จนั ทนห์ อมท่ีนำ� ไปปลกู ณ ศนู ยพ์ ฒั นาโครงการหลวงห้วยลึกพนื้ ท่โี ลง่ มอี ัตรา
การรอดตายร้อยละ 40 หรอื ตายท้ังหมด 60 ตน้ และตน้ ทเี่ หลอื แสดงอาการใบรว่ ง
และเห่ียวเฉา จึงไม่มีการปลูกซ่อมในแปลงน้ี และเม่ือส�ำรวจอัตราการรอดตาย
คร้ังที่ 2 เมอื่ จันทน์หอมอายคุ รบ 2 เดือน พบว่าไม้จันทนห์ อมทเ่ี หลือตายทั้งหมด
ผลการศกึ ษานยี้ นื ยนั วา่ กลา้ ไมจ้ นั ทนห์ อมตอ้ งการรม่ เงาในการเตบิ โตในชว่ งระยะ
ทเี่ ป็นกล้าไม้ การไดร้ ับแสงอย่างเตม็ ท่จี ะท�ำใหก้ ลา้ ไม้ตาย

ไมจ้ ันทน์หอม 39

อัตราการรอดตายท่ีส�ำรวจใน
เดือนที่ 1 พบว่ากล้าไม้จันทน์หอม
ท่ีน�ำไปปลูกเกือบทุกพื้นท่ีมีอัตรา
การรอดตายสูงกว่าร้อยละ 90
เม่ือตรวจวัดอัตราการรอดตายใน
เดือนที่ 2 พบวา่ ไม้จนั ทน์หอมทีป่ ลูก
ณ สถานีวิจัยและฝึกนิสิตวนศาสตร์
หาดวนกร มีอัตราการรอดตายสูงสุด
(ร้อยละ 97.29) รองลงมาคือ
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยลึก
ในแปลงป่าสักธรรมชาติ แปลง
จันทร์ทองเทศ และสถานีวนวัฒนวจิ ัย
ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีอัตราการ
รอดตายเฉล่ียร้อยละ 89.79, 85.00
และ 83.13 ตามล�ำดบั

40 ไมจ้ นั ทน์หอม

ความเพิ่มพูนขนาดเส้นผ่าน
ศูนย์กลางระดับชิดดินเฉล่ียรายเดือน
พบว่ามีความเพ่ิมพนู ระหว่าง 0.00-0.05
เซนติเมตร โดยไม้จันทน์หอมท่ีปลูก
ณ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยลึกใน
แปลงป่าสักธรรมชาติ มีความเพ่ิมพูน
สงู สุด รองลงมาคอื ศูนย์พฒั นาโครงการ
หลวงห้วยลึกในแปลงจันทร์ทองเทศ
ส ถ า นี ว น วั ฒ น วิ จั ป ร ะ จ ว บ คี รี ขั น ธ ์
และสถานีวิจัยและฝึกนิสิตวนศาสตร์
หาดวนกร คือ 0.05, 0.03, 0.03 และ
0.00 เซนติเมตรต่อเดือน ตามล�ำดับ
ความเพ่ิมพูนความสูงเฉล่ียรายเดือน
พบว่าไม่สามารถประมาณการแนวโน้ม
การเติบโตได้เน่ืองจากกล้าไม้บางส่วน
สว่ นยอดมีอาการแหง้ และขาด
ทั้งนี้ ข้อมูลที่รายงานเป็นเพียง
ข้อมลู เบอ้ื งตน้ ชว่ งปลูกและการตั้งตวั ได้
ของกล้าไม้จันทน์หอมเท่าน้ัน ซ่ึงจ�ำเป็น
ตอ้ งมกี ารตดิ ตามการเตบิ โตอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
ในระยะยาว

ไม้จนั ทน์หอม 41

การเตบิ โตของไม้จนั ทน์หอมในพนื้ ทที่ ีม่ กี ารปลกู ไม้จนั ทน์หอมในประเทศไทย

พนื้ ที่ รูปแบบ ระยะปลกู อายุ ความสงู ความเพ่ิมพูน DHB ความเพ่ิมพนู
1. สถานี การปลกู ความสงู (ซม.) DBH
วนวัฒนวจิ ัย เชิงเดี่ยว (ม. x ม.) (ปี) (ม.) (ม./ปี) (ซม./ป)ี
ประจวบคริ ีขันธ์ - - -
หนว่ ยยางชุม 2 x 2 11 0.66±0.23 0.29 - -
0.52 -
21 0.95±0.31 0.76 0.94±0.56 0.38
0.59 1.32±0.67 0.19
31 1.47±0.49 0.74 2.51±1.25 0.13
0.73 3.64±1.57 0.18
41 2.23±0.56 0.67 4.82±1.52 0.16
1.09 5.98±1.75 2.09
51 2.82±0.66 0.54 8.07±1.68 1.09
0.63 9.16±2.14 1.08
61 3.56±0.79
0.49 22.67 0.55
71 4.29±0.88
0.50 11.60 0.61
81 4.96±1.04
0.72 9.22 0.59
91 6.05±1.08
2.94
101 6.59±1.15

จนั ทน์หอม 21 10.20
ดาย

หลายต้น

2. โครงการ ปลกู ผสมกบั ไม้ 2x2 21 10.20
ชลประทายางชุม ชนิดยืน เช่น 3x3 15 7.49
เสลา คณู ปลูกตาม 5 3.62
3. สถานี ยางนา ตะแบก ช่องว่าง
วนวฒั นวิจัย เชิงเดีย่ ว
ประจวบคิรีขันธ์
ส�ำนกั งาน ปลกู ผสมกบั ไม้
4. อทุ ยานแห่งชาติ ชนดิ อนื่ เช่น
แก่งกระจาน นนทรี พะยงู

หมายเหตุ; DBH คอื เส้นผ่านศูนยก์ ลางท่ีระดบั ความสงู 1.30 เมตร
1Meekaew et al. (2009)

การนำ� กลา้ ไม้จันทน์หอมไปปลกู ในลักษณะแปลงปลูก พบวา่ มีความต้องการ
ร่มเงาในช่วงแรกของการเติบโต โดยพบว่าไม้จันทน์หอมท่ีน�ำไปปลูกในพื้นท่ีโล่งมี
อัตราการรอดภายหลงั ปลกู แลว้ 1 เดือนต�่ำ (ร้อยละ 43.13) และต้นทเี่ หลือแสดง
อาการเห่ียวเฉา ส�ำหรับกล้าไม้ท่ีน�ำไปปลูกภายใต้ร่มเงาของไม้อ่ืนมีอัตราการ
รอดตายมากกวา่ รอ้ ยละ 90

42 ไม้จันทน์หอม

(ก) (ข)

ไม้จนั ทน์หอมอายุ 21 ปี
ปลกู ณ สถานีวนวัฒนวจิ ยั ประจวบครี ีขันธ์ หนว่ ยยางชุม (ก)

และ โครงการชลประทานยางชุม (ข)

ไม้จนั ทน์หอม 43

(ก) (ข)

ไม้จนั ทน์หอมอายุ 15 ปี
ปลกู ณ สถานีวนวัฒนวิจยั ประจวบครี ีขนั ธ์ สำ� นกั งาน (ก)
และ ไมจ้ นั ทนห์ อมอายุ 5 ปี ณ อทุ ยานแหง่ ชาตแิ กง่ กระจาน (ข)

44 ไม้จันทนห์ อม

ไม้จันทนห์ อม 45

กฎหมายปา่ ไมท้ ่เี ก่ยี วกับไมจ้ ันทน์หอมในประเทศไทย
ไมจ้ นั ทนห์ อม(MansoniagageiDrumm.)ถกู กำ� หนดเปน็ ไมห้ วงหา้ มประเภทข
ไม้หวงหา้ มพเิ ศษ ตามพระราชกฤษฎกี าก�ำหนดไมห้ วงหา้ ม พ.ศ. 2530 ซ่งึ มีทั้งหมด
รวม 13 ชนิด ไดแ้ ก่ กระเบา กำ� จดั ตน้ หรอื มะแข่น ก�ำยาน จันทน์ชะมด จันทน์หอม
จนั ทนข์ าว ตีนเป็ดแดงหรือเยลตู ง ประหรือกระ รง สนแผง ส�ำรอง แสลงใจ และ
แหลงหรือยวนผึ้ง (ส�ำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, 2530) ซ่ึงพระราชบัญญัติป่าไม้
พทุ ธศกั ราช 2484 มาตรา 6 กำ� หนดวา่ ไมห้ วงหา้ มประเภท ข เปน็ ไมห้ ายากหรอื ไมท้ ี่
ควรสงวนไว้ ซงึ่ จะไมม่ กี ารอนญุ าตใหท้ ำ� ไม้ เวน้ แตร่ ฐั มนตรจี ะไดอ้ นญุ าตในกรณพี เิ ศษ
เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และส่ิงแวดล้อมที่ต้องการท�ำให้เกิดพ้ืนที่ “ป่าเศรษฐกิจ” ที่ปลูกได้ ตัดได้ ขายได้
โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้า
หน้าที่ จึงมีความพยายามใน
การปรับแก้ พ.ร.บ.ปา่ ไม้ ปี พ.ศ.
2484 เม่อื วนั ที่ 7 สงิ หาคม พ.ศ.
2561 ครม. ได้ผ่านมติเห็นควร
ยกเลิกมาตรา 7 ในพระราช
บัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 โดย
ถือว่า ไม้ทุกชนิดท่ีปลูกในท่ีดิน
กรรมสิทธ์ิครอบครองไม่จัดเป็น
ไม้หวงห้ามตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ
อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มีการ
ปรบั แกเ้ ป็น “ไม้ทกุ ชนิดทข่ี ึ้นใน
ที่ดนิ กรรมสิทธิ์ หรอื สทิ ธิครอบ
ครองตามประมวลกฎหมายทดี่ นิ
ไม่เป็นไม้หวงหา้ ม”

46 ไม้จนั ทน์หอม

และประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ 136 ตอนท่ี 50 ก ลงวนั ท่ี 16 เมษายน
พ.ศ. 2562 พระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้ (ฉบบั ท่ี 8) พ.ศ. 2562 มใี จความสำ� คญั วา่ “กำ� หนด
ให้ไม้ที่ข้ึนในท่ีดินท่ีมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน
ไม่เป็นไม้หวงห้าม หรือไม้ท่ีปลูกขึ้นในที่ดินท่ีได้รับอนุญาตให้ท�ำประโยชน์ตาม
ประเภทหนังสือแสดงสิทธิท่ีรัฐมนตรีประกาศก�ำหนดโดยความเห็นชอบของคณะ
รัฐมนตรีให้ถือว่าไม่เป็นไม้หวงห้าม รวมท้ังก�ำหนดเพ่ิมหลักเกณฑ์การออกหนังสือ
รบั รองไมเ้ พอื่ ประโยชนใ์ นการจำ� แนกแหลง่ ทม่ี าของไมซ้ ง่ึ เปน็ มาตรการในการปอ้ งกนั
การน�ำไม้ท่ีลักลอบท�ำออกจากป่ามาสวมสิทธิว่าเป็นไม้ท่ีท�ำออกจากท่ีดินดังกล่าว
และเพือ่ การค้าหรอื การส่งออกไปนอกราชอาณาจักร”

ไม้จนั ทน์หอม 47

บรรณานกุ รม

กรมป่าไม้. (2526). ไม้และของป่าบางชนิดในประเทศไทย. บางเขน, กรุงเทพฯ.
นรินธร จ�ำวงษ์, เจษฎา วงค์พรหม, ณัฐวัฒน์ คลังทรัพย์, ชนิษฐา จันทโชติ,
ธญั ญะ เตชะศลี พทิ กั ษ,์ เบญ็ จารชั ด ทองยนื และ กติ ตศิ กั ดิ์ จนิ ดาวงค.์ 2563.
รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาศักยภาพการปลูกและใช้ประโยชน์
ไม้จันทน์หอมและไม้ป่ายืนต้นบางชนิดในเชิงผลิตภัณฑ์. มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ.
วิชาญ เอียดทอง. (2551). มารู้จักไม้จันทน์กับธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพ
เจ้านาย.วารสารการจัดการป่าไม้ 2 (4): 29-45.ส�ำนักเลขาธิการคณะ
รฐั มนตรี. 2530. พระราชกฤษฎกี าก�ำหนดไมห้ วงห้าม พ.ศ. (2530).
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF /2530/A/220 /13.
PDF, 7 กุมภาพนั ธ์ 2562.
Meekaew, K. 2008. Silviculture of Mansonia gagei J.R. Drummond in
Prachuap Khiri Khan Province. Ph.D. Thesis Kasetsart Univer
sity, Thailand. 111 p.
Meekaew, K., P. Meunpong and C. Chanittha. 2009. Some Ecological
Aspects of Mansonia gagei J.R. DRUMMOND. Journal of Tropical
Plants Research 2: 38-47.
Phengklai, C. 2001. Sterculiaceae. Flora of Thailand 7 (3): 539-654.
Smitinand, T. 1977. Vegetation and Ground Cover of Thailand. Faculty
of Forestry, Kasetsart University, Thailand.

48 ไม้จันทนห์ อม


Click to View FlipBook Version