The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสาร “สรุปไทยไวยากรณ์” ฉบับนี้ เป็นการรวบรวมใจความสำคัญเกี่ยวกับไวยากรณ์ไทย โดยอ้างอิงทฤษฎีโครงสร้างตามตำราอาจารย์วิจินตน์ ภาณุพงศ์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้อ่านที่สนใจศึกษาไวยากรณ์ไทยในเชิงโครงสร้าง ตลอดจนเพื่อให้นักศึกษาทั้งสาขาวิชาภาษาไทยและสาขาวิชาด้านภาษาอื่น ๆ ได้ใช้ศึกษาเป็นพื้นฐาน นำไปประยุกต์ใช้วิเคราะห์ ทบทวน เตรียมสอบ ฯลฯ ทั้งนี้เอกสาร “สรุปไทยไวยากรณ์” มีเนื้อหาครอบคลุมในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ โครงสร้างของคำในภาษาไทย, คำผสมและคำผสาน, 3 เรื่องที่ต้องพิจารณาในโครงสร้างประโยคภาษาไทย, ชนิดของประโยค, ลักษณะของประโยคสามัญ, การจำแนกคำโดยอาศัย “ตำแหน่ง” ของคำเป็นเกณฑ์, การจำแนกคำโดยอาศัย “หน้าที่” ของคำเป็นเกณฑ์, วลี และ อนุพากย์
ผู้สรุปหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารฉบับนี้จะสามารถช่วยเหลือสนับสนุนวัตถุประสงค์ของผู้อ่านให้บรรลุผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by arthit.ke.60, 2022-06-04 05:05:47

สรุปไทยไวยากรณ์

เอกสาร “สรุปไทยไวยากรณ์” ฉบับนี้ เป็นการรวบรวมใจความสำคัญเกี่ยวกับไวยากรณ์ไทย โดยอ้างอิงทฤษฎีโครงสร้างตามตำราอาจารย์วิจินตน์ ภาณุพงศ์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้อ่านที่สนใจศึกษาไวยากรณ์ไทยในเชิงโครงสร้าง ตลอดจนเพื่อให้นักศึกษาทั้งสาขาวิชาภาษาไทยและสาขาวิชาด้านภาษาอื่น ๆ ได้ใช้ศึกษาเป็นพื้นฐาน นำไปประยุกต์ใช้วิเคราะห์ ทบทวน เตรียมสอบ ฯลฯ ทั้งนี้เอกสาร “สรุปไทยไวยากรณ์” มีเนื้อหาครอบคลุมในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ โครงสร้างของคำในภาษาไทย, คำผสมและคำผสาน, 3 เรื่องที่ต้องพิจารณาในโครงสร้างประโยคภาษาไทย, ชนิดของประโยค, ลักษณะของประโยคสามัญ, การจำแนกคำโดยอาศัย “ตำแหน่ง” ของคำเป็นเกณฑ์, การจำแนกคำโดยอาศัย “หน้าที่” ของคำเป็นเกณฑ์, วลี และ อนุพากย์
ผู้สรุปหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารฉบับนี้จะสามารถช่วยเหลือสนับสนุนวัตถุประสงค์ของผู้อ่านให้บรรลุผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Keywords: สรุปไทยไวยากรณ์,ภาษาไทย,ไวยากรณ์ไทย,ไวยากรณ์โครงสร้าง

1



คานา

เอกสาร “สรุปไทยไวยากรณ์” ฉบับน้ี เป็นการรวบรวมใจความสาคัญเก่ียวกับไวยากรณ์ไทย โดย
อ้างอิงทฤษฎีโครงสร้างตามตาราอาจารย์วิจินตน์ ภาณุพงศ์ เพ่ืออานวยความสะดวกแก่ผู้อ่านท่ีสนใจศึกษา
ไวยากรณ์ไทยในเชิงโครงสร้าง ตลอดจนเพ่ือให้นักศึกษาทั้งสาขาวิชาภาษาไทยและสาขาวิชาด้านภาษาอ่ืน ๆ
ได้ใช้ศึกษาเป็นพ้ืนฐาน นาไปประยุกต์ใช้วิเคราะห์ ทบทวน เตรียมสอบ ฯลฯ ทั้งน้ีเอกสาร “สรุปไทย
ไวยากรณ”์ มเี นอื้ หาครอบคลมุ ในประเดน็ ต่าง ๆ ไดแ้ ก่ โครงสร้างของคาในภาษาไทย, คาผสมและคาผสาน, 3
เรอ่ื งทต่ี อ้ งพิจารณาในโครงสร้างประโยคภาษาไทย, ชนิดของประโยค, ลกั ษณะของประโยคสามัญ, การจาแนก
คาโดยอาศัย “ตาแหน่ง” ของคาเป็นเกณฑ์, การจาแนกคาโดยอาศัย “หน้าท่ี” ของคาเป็นเกณฑ์, วลี และ อนุ
พากย์

ผู้สรุปหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารฉบับนี้จะสามารถช่วยเหลือสนับสนุนวัตถุประสงค์ ของผู้อ่านให้
บรรลผุ ลได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ



สารบญั

หน้า
คานา.............................................................................................................................................................. ก
สารบัญ........................................................................................................................................................... ข
โครงสร้างของคาในภาษาไทย ....................................................................................................................... 1
คาผสม & คาผสาน........................................................................................................................................ 1
โครงสร้างประโยคในภาษาไทยตอ้ งพจิ ารณา 3 เรอื่ ง ................................................................................... 1
1. ชนิดของประโยค....................................................................................................................................... 2
2. ลักษณะของประโยคสามัญ ....................................................................................................................... 3
3. การจาแนกคาโดยอาศัย “ตาแหนง่ ” ของคาเปน็ เกณฑ์ (26 หมวด)....................................................... 7
4. การจาแนกคาโดยอาศัย “หนา้ ที่” ของคาเป็นเกณฑ์............................................................................. 12
5. วลี............................................................................................................................................................ 13
6. อนุพากย์.................................................................................................................................................. 16
แนวคดิ สาคัญของไวยากรณ์โครงสรา้ ง........................................................................................................ 18
อา้ งอิง........................................................................................................................................................... 19

1

โครงสร้างของคาในภาษาไทย

หน่วยคาหรือหน่วยความ = เล็กท่ีสุด & มีความหมาย เชน่ กระโดด เวลา (1 หนว่ ยคา) กนิ ขา้ ว
นอนดกึ (2 หนว่ ยคา)

หน่วยคาแบง่ เป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1) หนว่ ยคาอิสระ = ปรากฏตามลาพังได้ เช่น คน นอน ง่าย ฯลฯ
2) หนว่ ยคาไมอ่ ิสระ = ตอ้ งปรากฏรว่ มกบั คาอ่ืน เช่น ชาวสวน นักเรยี น ฯลฯ

 การแบ่งหน่วยคาไม่อิสระ
o คาที่เติมท้ายคา = เติมแล้วคาไม่เปล่ียนชนิด & จะแสดงลักษณะไวยากรณ์ เช่น
พจน์ กาล มาลา วาจก เชน่
หลาน = เอกพจน์
หลาน ๆ (หลานหลาน) = พหพู จน์
o คาท่ีเติมข้างต้น / ตรงกลาง / ข้างท้าย = เติมแล้วคาที่ได้อาจจะเปลี่ยนหรือไม่
เปลี่ยนชนิด & ไม่แสดงลักษณะไวยากรณ์ เช่น นักเขียน ตารวจ (ต + ำ + รวจ)
วทิ ยากร ฯลฯ

คาผสม & คาผสาน

1) คาผสม = ประกอบดว้ ยหนว่ ยคาอิสระลว้ น ๆ เชน่ ไฟป่า พดั ลม ฯลฯ
2) คาผสาน = ประกอบด้วยหน่วยคาอสิ ระอยา่ งน้อย 1 หนว่ ยคา เชน่ นกั ข่าว วทิ ยากร ฯลฯ

โครงสร้างประโยคในภาษาไทยตอ้ งพิจารณา 3 เรอื่ งคอื

ประโยค วลี หมวดคา
 ชนิดของประโยค  ชนดิ ของวลี  วธิ ีจาแนกหมวดคา
 ส่วนของประโยค  องค์ประกอบของวลี  หมวดคาชนดิ ต่าง ๆ
 โครงสรา้ งของ  โครงสรา้ งของวลี
พร้อมกบั ลกั ษณะ
ประโยค ของหมดคาเหล่านั้น

“ระบบหน่วยคำ” ไม่สำคัญเท่ำ “ระบบควำมสัมพนั ธ์ของคำ”

2

1. ชนิดของประโยค

การแตง่ ประโยคมี 2 วธิ ี

1.1 อาศยั ความหมายของประโยคและสถานการณ์ที่ใช้
 ประโยคเรม่ิ (ขน้ึ ตน้ บทสนทนาได้)
 ประโยคไม่เริ่ม
o แบบปกติ คอื จะใช้เรมิ่ สนทนาไม่ได้
o แบบพิเศษ คอื ไมเ่ ร่มิ แต่ใช้เปน็ ประโยคเรม่ิ สนทนาได้ (อาศัยสถานการณ์)

1.2 อาศัยลกั ษณะโครงสรา้ ง
 ประโยคสามัญ หมายถึง ประโยคซ่ึงมีส่วนประกอบเพียงส่วนเดียวหรือหลายส่วนเรียง
กนั เป็นแบบโครงสรา้ งของประโยคเร่มิ หรอื ไมเ่ รม่ิ แตไ่ มม่ ีสว่ นใดเปน็ อนพุ ากย์ เชน่
ประโยคเริ่ม “น้องหลับแล้วเหรอ”
ประโยคไมเ่ รม่ิ “ยงั ค่ะ”
 ประโยคซับซอ้ น หมายถึง ประโยคซึ่งประกอบด้วย อนุพากย์ ต่างชนิดกัน 2 อนุภาค
ขึน้ ไป อาจจะมีโครงสร้างอย่างเดยี วกับประโยคสามัญหรือตา่ งออกไปกไ็ ด้ เช่น
ประโยคเริ่ม “ฉนั ชอบเด็ก - ทีม่ าหาคุณเมื่อตะก”ี้
อนพุ ากยห์ ลกั - อนพุ ากยค์ ณุ ศพั ท์
ประโยคไม่เริม่ “เขาบอกช้า - ว่าเขาจะไปงานคืนนี้”
อนุพากย์หลกั - อนุพากยน์ าม
 ประโยคผสม หมายถึง ประโยคซึ่งประกอบด้วย อนุพากย์หลัก ต้ังแต่ 2 อนุพากย์ข้ึนไป
และไมส่ ามารถจะวิเคราะหอ์ อกเป็นแบบโครงสร้างต่าง ๆ ได้ เชน่
ประโยคเริ่ม “เธอจะไปกบั ฉนั - หรอื วา่ จะอยูท่ ี่น่ี”
อนุพากยห์ ลัก - อนพุ ากย์หลัก
ประโยคไม่เรม่ิ “เขาชอบดหู นงั - แต่ฉนั ชอบดูละคร”
อนุพากย์หลกั - อนุพากยห์ ลกั
 ประโยคเชื่อม หมายถึง ประโยคชนิดประโยคไม่เริ่ม ซึ่งข้ึนต้นด้วยคาเชื่อม เช่น “ถ้าเขา
ไมม่ าละ่ ”

3

2. ลกั ษณะของประโยคสามัญ

วลี อนพุ ากย์ ประโยค พิจารณาวา่ แตล่ ะส่วนประกอบขึ้นด้วยส่วนต่าง ๆ อย่างไร และแต่ละ
สว่ นทาหน้าที่เกย่ี วข้องกนั อยา่ งไร

ส่วนของประโยค คือ หน่วยไวยากรณ์ชนิดหน่ึงที่ปรากฏอยู่ในตาแหน่งสาคัญ ๆ ของประโยค อาจ
ปรากฏตามลาพังหรือรวมกันเข้าเป็นประโยค

ส่วนของประโยค นับเป็นหน่วยโครงสร้างของประโยค เมื่ออยู่ลาพังหรือนามารวมกันก็จะเกิดเป็น
โครงสร้างของประโยค ซึง่ มีหลายแบบ

ส่วนของประโยค แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ส่วนมูลฐาน กับ ส่วนเสริม ด้วยสาเหตุสาคัญ 2
ประการคอื

1) ในประโยคเร่ิมจะต้องมีสว่ นมลู ฐานเสมอ อยา่ งนอ้ ย 1 ส่วน
2) ตาแหน่งของสว่ นเสรมิ แต่ละชนิดไม่คงทต่ี ายตวั

2.1 ส่วนมูลฐาน

2.1.1 การกาหนดส่วนมูลฐานของประโยค ประโยคสามัญที่เป็นประโยคเริ่มและเป็น
ประโยคส้ัน ๆ ซึง่ มีคาต้งั แต่ 1-4 คาประกอบด้วยสว่ นมลู ฐานต่าง ๆ 6 แบบคอื

(1) ประโยคทม่ี ี 1 สว่ น คอื คานาม เช่น พอ่ / แม่ / สมร
(2) ประโยคท่มี ี 1 ส่วน คอื คากริยา เชน่ เหนื่อย / งว่ ง / ลกุ
(3) ประโยคท่ีมี 2 ส่วน คือ คานาม + คากรยิ า เช่น ฝนตก / เด็กร้องไห้
(4) ประโยคที่มี 2 ส่วน คือ คากรยิ า + คานาม เช่น หวิ น้า / ลา้ งจาน
(5) ประโยคท่ีมี 3 สว่ น คือ คานาม + คากริยา + คานาม เช่น คนเคาะประตู / น้องซักผา้
(6) ประโยคทม่ี ี 4 ส่วน คอื คานาม + คากริยา + คานาม + คานาม เชน่ แม่ใหข้ องตารวจ

2.1.2 การกาหนดสว่ นมูลฐานของประโยค ซง่ึ เป็นหนา้ ที่ของคานาม

เม่ืออาศัยตาแหน่งของคากริยาเป็นหลัก หน้าท่ีของคานามกาหนดได้ในฐานะที่เป็นส่วน
สาคญั ของประโยคเป็น 4 ชนิดคอื

(1) หน่วยประธาน (ป) ทานายเมือ่ ทาหนา้ ที่เปน็ สว่ นของประโยคอยู่ข้างหน้าคากรยิ า
เช่น ฝนตก / เด็กรอ้ งไห้

(2) หนว่ ยกรรมตรง (ต) ทานายเมอื่ ทาหน้าท่ีเป็นสว่ นของประโยคอยู่ขา้ งหลังคากริยา
เชน่ หวิ นา้ / ล้างจาน

(3) หน่วยกรรมรอง (ร) คานามคาสุดท้ายเมื่อทาหน้าท่ีเป็นส่วนของประโยคซึ่งมีคานามอยู่ข้างหลัง
คากริยา 2 คา

เช่น แมใ่ หข้ องตารวจ
(4) หน่วยนามเด่ยี ว (นด) คานามเมื่อทาหนา้ ทเี่ ปน็ ส่วนของประโยคอยู่ลาพังโดยไม่มคี ากริยาอย่ดู ้วย

เช่น พ่อ / แม่ / สมร

4

2.1.3 การกาหนดสว่ นมูลฐานของประโยค ซึง่ เป็นหนา้ ที่ของคากรยิ า
เมอ่ื อาศยั ตาแหน่งของคานามท่ีอยู่ข้างหลงั หน้าทขี่ องคากริยากาหนดได้ 3 ชนดิ คอื

(1) หน่วยอกรรม (อ) คากรยิ าเมอื่ ทาหนา้ ท่ีเปน็ สว่ นของประโยคโดยไม่มีหน่วยกรรมตรง
เช่น เหนือ่ ย ง่วง / ลุก

(2) หนว่ ยสกรรม (ส) คากริยาเม่อื ทาหนา้ ทีเ่ ปน็ สว่ นของประโยคโดยมหี น่วยกรรมตรงขา้ งหลงั
เช่น หวิ น้า / ลา้ งจาน

(3) หน่วยทวิกรรม (ท) คากริยาเมื่อทาหน้าท่ีเป็นส่วนของประโยค โดยมีหน่วยกรรมตรงและหน่วย
กรรมรองตามหลัง

เชน่ แมใ่ ห้ของตารวจ

ลักษณะโครงสรา้ งของประโยคสามัญท่เี ป็นประโยคเรม่ิ และเป็นประโยคสน้ั ๆ มี 6 แบบคอื

ประโยค มโี ครงสร้างแบบ

1. แม่ ! นด.

2. เหน่ือย ! อ

3. ฝน ตก ปอ

4. หิว นา้ สต

5. คน เคาะ ประตู ป ส ต

6. แม่ ให้ ของ ตารวจ ป ท ต ร

ส่วนของประโยคท่มี ีคามากกวา่ 1 คา

ประโยคที่มีส่วนของประโยคอย่างน้อย 1 ส่วน ซ่ึงมีคามากกว่า 1 คา สามารถสลับท่ีหรือย้ายท่ีส่วน

ของประโยคได้ เชน่

ปอ ปส ต

คณุ เหนือ่ ยไหม นอ้ ง เพ่งิ ทาน ยา

อป ตป ส

เหนื่อยไหม คุณ ยา น้อง เพง่ิ ทาน

ปท ต ร
ครู ยงั ไมไ่ ด้บอก คะแนน เด็กกลมุ่ นนั้
ตป ท ร
คะแนน ครู ยงั ไมไ่ ดบ้ อก เดก็ กลมุ่ นั้น
รป ท ต
เดก็ กลุม่ นนั้ ครู ยังไมไ่ ดบ้ อก คะแนน

ข้อสังเกต หน่วยกรรตรง หรอื หนว่ ยกรรมรอง เม่ือย้ายท่ีจะต้องมาปรากฏอย่หู น้าหนว่ ยประธานเสมอ

5

ส่วนของประโยคท่ีไมอ่ ยตู่ อ่ กัน
ส่วนของประโยคอาจจะอยูแ่ ยกกันก็ได้ เชน่
ป ส- ต (-ส)
แม่ครัว ซอ้ื กับข้าว มาแลว้
ทั้งนี้ เพราะเม่ือการย้ายที่ สว่ นทอ่ี ยไู่ มต่ ่อกันกส็ ามารถมาอย่ตู ่อกนั เปน็ หนว่ ยเดยี วกนั ได้ ดงั นี้
ตปส

กับขา้ ว แมค่ รวั ซอื้ มาแล้ว

สรปุ ลักษณะโครงสร้างของประโยคสามัญซ่ึงเป็นประโยคเริม่ และประกอบด้วยส่วนมูลฐานล้วน ๆ
เมอ่ื นาหนว่ ยมูลฐานทงั้ 7 ชนิดมาประกอบกันเป็นประโยค จะมีโครงสร้างของประโยคแบบต่าง ๆ ได้

12 แบบ คอื
(1) อ เชน่ เหนือ่ ย
(2) ป อ เชน่ ฝน ตก
(3) อ ป เชน่ เหนอ่ื ยไหม คณุ
(4) ส ต เช่น หวิ นา้
(5) ป ส ต เช่น คน เคาะ ประตู
(6) ต ป ส เช่น ยา นอ้ ง เพ่งิ ทาน
(7) ท ต ร เช่น กาลงั จะ สอน หนังสือ เด็ก
(8) ป ท ต ร เช่น พ่ี ป้อน ขา้ ว น้อง
(9) ต ป ท ร เช่น คะแนน ครู ยังไม่ได้บอก เดก็ กล่มุ นี้
(10) ร ป ท ต เช่น เด็กกลุม่ นี้ ครู ยงั ไม่ได้บอก คะแนน
(11) นด. เช่น แมจ่ ๋า
(12) นด. นด. เช่น นี่ ปากกาใคร

2.2 ส่วนเสริม (ลกั ษณะส่วนเสริมของประโยค) ส่วนเสรมิ มี 3 ชนดิ คือ

(1) หน่วยเสรมิ พิเศษ (พ)
(2) หน่วยเสรมิ บอกสถานที่ (ถ)
(3) หน่วยเสรมิ บอกเวลา (ว)

หนว่ ยเสริม คอื หนว่ ยของประโยค ซงึ่ สามารถย้ายที่ไปปรากฏที่ตาแหนง่ ตน้ ประโยคหรือท้ายประโยค
ก็ได้ แลว้ แต่การเนน้ จึงมคี วามสัมพนั ธ์ซึง่ กันและกนั และกับ ส่วนมลู ฐานนอ้ ยมาก

ตัวอยา่ ง หน่วยเสริมพเิ ศษ แดง เป็น คนขยนั นะ ตามธรรมดา
ตามธรรมดา แดง เป็นคนขยันนะ ไฟ สวา่ งดี ในครัว
อากาศ หนาวมาก กลางคืน
ตวั อย่าง หน่วยเสริมบอกสถานท่ี
ในครวั ไฟ สวา่ งดี

ตวั อย่าง หน่วยเสรมิ บอกเวลา
กลางคนื อากาศ หนาวมาก

6

ลักษณะโครงสร้างของประโยคไม่เร่ิม
ประโยคไม่เร่ิมอาจจะมีโครงสรา้ งแบบเดียวกบั ประโยคเร่มิ ท้งั 12 แบบ และอาจจะมีโครงสรา้ งตาม

แบบของตนเองได้ อกี 8 แบบ คือ
(1) ส เชน่ ยงั ไม่อยากซื้อ
(2) ป ส เชน่ ฉัน ยงั ไม่อยากซื้อ
(3) ท เช่น ทวงแล้ว
(4) ป ท เช่น ฉัน ทวงแล้ว
(5) ท ต เชน่ ไมร่ ้จู ะให้ อะไร
(6) ป ท ต เช่น เขา ขาย บ้านอยา่ งเดยี วนะ
(7) ท ร เช่น ไมอ่ ยากสอน ผใู้ หญ่
(8) ป ท ร เชน่ เขา ไม่บอกขาย ผม

โครงสร้างท่ีประกอบด้วยส่วนเสริมเท่านน้ั
ประโยคไม่เรม่ิ อาจจะมีแต่ส่วนเสรมิ ตามลาพังได้ มี 2 แบบคือ
(1) ถ เช่น ในลนิ้ ชัก
(2) ว เชน่ เม่อื วานฮะ

โครงสร้างที่ประกอบดว้ ยส่วนคาลงท้าย
ประโยคไม่เรม่ิ อาจจะมีแตค่ าลงทา้ ยเพยี งคาเดยี วก็ได้
เช่น จ๋า เหรอคะ ฮ่ะ

7

3. การจาแนกคาโดยอาศัย “ตาแหน่ง” ของคาเป็นเกณฑ์ (26 หมวด)

หมวด 1. หมวดคานาม
คาท่ปี รากฏในตาแหน่ง X ในกรอบ 1. ก. และ 1. ข. ได้ ถือวา่ เปน็ คาในหมวดคานาม
1. ก. X / แล้ว
1. ข. X กาลงั /
1. ก. ฝน ตก แล้ว
1. ข. ฝน กาลงั ตก

หมวด 2. หมวดคากริยาอกรรม
คาทปี่ รากฏในตาแหน่ง / ในกรอบคนู่ ี้ได้ ถือว่าเป็นคาในหมวดคากรยิ าอกรรม
1. ก. X / แลว้
1. ข. X กาลัง /
1. ก. ฝน ตก แลว้
1. ข. ฝน กาลงั ตก

หมวด 3. หมวดคากรยิ าสกรรม
คาท่ปี รากฏในช่องวา่ งในกรอบ 2. ก. และ 2. ข. ได้ ถือวา่ เปน็ คาในหมวดคา กริยาสกรรม
2. ก. นาม นาม แล้ว
2. ช. นาม กาลงั นาม
2. ก. นา้ ทา กับขา้ ว แล้ว
2. ข. นา้ กาลงั ทา กบั ขา้ ว

หมวด 4. หมวดคากรยิ าทวิกรรม
คาท่ีปรากฏในช่องว่างในกรอบ 3. ก. และ 3. ข. ได้ ถือว่าเป็นคาในหมวดคากริยาทวกิ รรม
3. ก. นาม นาม นาม แล้ว
3. ข. นาม กาลัง นาม นาม
3. ก. แม่ ให้ สตางค์ นอ้ ง แล้ว
3. ข. แม่ กาลัง ให้ สตางค์ นอ้ ง

หมวด 5. หมวดคาคณุ ศัพท์ หรือ คากริยาอกรรมยอ่ ย
คากรยิ าอกรรมทปี่ รากฏในช่องว่างของกรอบ 4. ได้ ถือว่าเป็นคากรยิ าอรรมย่อย
4. นาม กวา่ นาม แลว้
4. เสอ้ื เก่า กว่า กางเกง แลว้

คาท่ปี รากฎหลงั คานาม แล้วรว่ มกันทาหน้าทเ่ี ก่ยี วกบั นามแบ่งเปน็ 2 ประเภท

8

(1) ประเภทท่ีทาหน้าท่ีขยายคานามอย่างเดียว โดยอาจจะมีหรือไม่มี คําลักษณนาม มาช่วยก็ได้ เช่น

เขามีห้องส่วนตัว / ลกู คนหวั ปีเรยี นเก่ง

(2) ประเภทท่ที าหน้าท่ีขยายนามก็ได้ ทาหน้าทีก่ ริยาเป็นกริยาอกรรมยอ่ ยกไ็ ด้

ทาหนา้ ท่ขี ยายนาม ทาหน้าที่กรยิ าเป็นกรยิ าอรรมย่อย

เสือ้ เกา่ ยังใช้ได้ เสอ้ื คงเกา่ กวา่ กางเกงแล้ว

*** ในกรณเี ช่นนจี้ ะถอื วา่ มีคําว่า เกา่ อยู่ 2 คาํ คือ เกา่ 1 เปน็ คําคณุ ศัพท์ และ เก่า 2 เป็น คํากริยา

อกรรมย่อย

หมวด 6. หมวดคาชว่ ยหลังกริยา
คาที่ปรากฏแทนที่คาว่า แล้ว ในกรอบประโยคทดสอบ 1. ก. / 2. ก. หรือ 3. ก. ได้ รวมทั้งคาว่า

แล้ว ดว้ ย เรียกว่า คาช่วยหลังกริยา เชน่

1. ก. ฝน ตก อยู่

2. ก. นา้ ทา กบั ขา้ ว อยู่

3. ก. ครู บอก คะแนน นักเรยี น อยู่

คาในหมวดนม้ี เี พียง 3 คา คือ แล้ว / อยู่ / อยู่แลว้

หมวด 7. หมวดคาชว่ ยหนา้ กรยิ า
คาท่ีปรากฏแทนท่ีคาว่า กาลัง ในกรอบประโยคทดสอบ 1. ข. / 2. ข. หรือ 3. ข. ได้ รวมทั้งคาว่า

กาลงั ด้วย เรยี กว่า คาช่วยหนา้ กริยา เชน่

1. ข. ฝน เพิ่ง ตก

2. ข. นา้ เคย ทา กบั ขา้ ว

3. ข. ครู จะ บอก คะแนน นักเรยี น

คาในหมวดนม้ี ี 31 คา
- ชนิดอยู่หน้าคา ไม่ ได้แก่ เกิด เกือบ กาลัง คง ค่อนข้างจวน จะ ชัก แทบ พลอย เพิ่ง มัก

ย่อม ยัง อาจ ดูเหมอื น คล้ายจะ ทา่ จะ หมายจะ เห็นจะ แสนจะ ออกจะ จะได้
- ชนิดอยหู่ ลงั คา ไม่ ไดแ้ ก่ คอ่ ย น่า ได้ มัว
- ชนดิ อยูห่ นา้ /หลัง ไม่ ได้แก่ ควร เคย ตอ้ ง อยาก

หมวด 8. หมวดคาปฏเิ สธ
คาปฏเิ สธทีใ่ ชบ้ ่อยท่ีสุดในภาษาพดู ได้แกค่ า ไม่

หมวด 9. หมวดคาหนา้ กริยา
คาท่ีไมเ่ คยปรากฏตามลาพัง ตอ้ งปรากฎหน้าคากรยิ า และไม่ลงเสียงเนน้ มี 2 คา คือ ไป มา

หมวด 10. หมวดคาหลงั กริยา
คาที่ไมเ่ คยปรากฏตามลาพงั ต้องปรากฎหลงั คากรยิ า และไม่ลงเสียงเน้น มี 11 คา คือ ไป มา ขึน้

ลง เขา้ ออก เสีย ไว้ เอา ให้ ดู

9

หมวด 11. หมวดคาลงท้าย
คาทป่ี รากฏในตาแหน่งท้ายสดุ ของประโยคหรอื ส่วนของประโยค เช่น คะ จ๊ะ นะ น่า เถอะ ไหม

ล่ะ ฯลฯ

หมวด 12. หมวดคากริยาวเิ ศษณ์
คาทป่ี รากฎหลังคากริยา ในตาแหนง่ ชอ่ งว่างของกรอบประโยคทดสอบ 5.

5. นาม กรยิ าอรรม

5. ขา้ ว สวย จัง

หมวด 13. หมวดคาพิเศษ
คาซงึ่ อาจจะปรากฏต้นประโยคหรอื ระหวา่ งหน่วยประธานกบั หน่วยกรยิ าหรือ ทา้ ยประโยคได้ เช่น

ปกติ ธรรมดานา่ กลัว ฯลฯ

หมวด 14. หมวดคาสรรพนาม
หมวดคาสรรพนามถอื ว่าเป็นหมวดย่อยของคานาม เพราะมลี กั ษณะทั้งที่เหมอื นและตา่ งจากนาม
ลกั ษณะทเ่ี หมือนกับคานามกค็ อื สามารถแทนที่คานามในกรอบประโยค ทดสอบ 3 คู่แรกได้
ลักษณะทตี่ ่างจากคานามกค็ อื ใช้คาคุณศัพทข์ ยายคาสรรพนามไม่ได้
คาสรรพนามแบ่งออกเปน็ 3 บุรุษ คือ

(1) บุรษุ ท่ี 1 หมายถงึ ผพู้ ดู เอง
(2) บรุ ุษท่ี 2 หมายถงึ ผู้ทีพ่ ดู ดว้ ย
(3) บุรุษที่ 3 หมายถึง ผู้ทีเ่ ราพูดถงึ

หมวด 15. หมวดคาลักษณนาม
คาใดก็ตามท่ไี ม่ใชค่ านาม สามารถปรากฏในชอ่ งวา่ งของกรอบทดสอบ 6. ไดถ้ ือว่าเป็นคาลักษณนาม

6. นาม คุณศัพท์ นี่ กรยิ าอกรรม แล้ว

6. มีด เล่ม เล็ก น่ี ท่ือ แลว้

หมวด 16 หมวดคาจานวนนับ
คาใดก็ตาม ท่ีไม่ใช่คาหน้าจานวน ซ่ึงปรากฏในตาแหน่งช่องว่างของกรอบ ทดสอบ 7. ได้ ถือว่าเป็น

คาจานวนนับ

7. นาม คาชว่ ยหนา้ กรยิ า กริยาสรรม นาม ลักษณนาม
7. เพอื่ น จะ
ซ้อื หนงั สือ 2 เลม่

10

หมวด 17. หมวดคาลาดับที่
คาใดก็ตามทไ่ี มใ่ ช่คากริยาอกรรม ไม่ใช่คาบอกกาหนดเสียงตรีและจตั วาซง่ึ ปรากฏในตาแหน่งช่องว่าง

ของกรอบทดสอบ 8. ได้ ถอื วา่ เป็นคาลาดับที่

8. นาม คาชว่ ยหน้ากริยา กริยาสรรม นาม ลักษณนาม -
8. นายก จะ
นงั่ รถ คัน ที่สอง

หมวด 18. หมวดคาหนา้ จานวน
คาทีป่ รากฏขา้ งหน้าคาจานวนนับ คือระหว่างคานามกับคาจานวนนับ ในกรอบทดสอบ 7. ถือว่าเป็น

คาหนา้ จานวน เช่น

7. นาม คาช่วยหนา้ กริยา กรยิ าสรรม นาม ลักษณนาม
7. เพอื่ น จะ
ซื้อ หนงั สือ อกี 2 เลม่

หมวด 19. หมวดคาหลังจานวน
คาใดก็ตามทไ่ี ม่ใช่คากริยาอกรรมย่อย ไม่ใช่คาบอกกาหนดเสียงตรี ไม่ใช่คากริยาวิเศษณ์ ไม่ใช่คาช่วย

หลังกรยิ า ซ่ึงปรากฏหลงั คาลกั ษณนามในกรอบทดสอบ 7. ได้ ถอื ว่าเปน็ คาหลังจานวนเช่น

7. นาม คาชว่ ยหน้ากรยิ า กรยิ าสรรม นาม ลักษณนาม
7. เพอื่ น จะ
ซ้อื ผ้า 2 หลา เศษ

หมวด 20. หมวดคาบอกกาหนดเสียงตรแี ละเสยี งจัตวา
คาทป่ี รากฏในตาแหนง่ ช่องว่างของกรอบทดสอบ 9. ได้ อาจจะปรากฏหลัง คานามทันทีได้ หรือมีคา

ลักษณนามค่ันอยกู่ อ่ นกไ็ ด้

9. นาม จานวนนบั ลกั ษณนาม กริยาอกรรม คาชว่ ยหลงั กริยา

9. เส้ือ สอง ตวั นี้ เก่า แล้ว

9. รถ คัน น้ี เก่า แล้ว

9. รถ น้ี เก่า แลว้

คาในหมวดนี้มี 2 คา คือ น้ี น้ัน โน้น นู้น ไหน กับคาซ่ึงไม่บอกกาหนดอีก 4 คา คือ อ่ืน
อืน่ ๆ ใด ต่าง ๆ

หมวด 21. หมวดคาบอกกาหนดเสียงโท
คาที่ปรากฏในตาแหน่งช่องว่างของกรอบทดสอบ 9. ได้ ซึ่งจะปรากฏหลังคานามทันที่ได้ แต่จะให้มี

คาลกั ษณนามคน่ั อยกู่ ่อนไมไ่ ด้

9. นาม จานวนนับ ลกั ษณนาม กริยาอรรม ชว่ ยหลังกริยา

9. รถ น่ี เกา่ แลว้

คาในหมวดน้ีมี 4 คา คอื นี่ นัน่ โนน่ นู่น

11

หมวด 22. หมวดคาบอกเวลาประเภทท่ี 1
คาซงึ่ มีความหมายบ่งบอกเวลา ทาหนา้ ท่เี ป็นหนว่ ยเสริมบอกเวลาตามลาพังได้ โดยอาจจะปรากฏต้น

หรอื ทา้ ยประโยคก็ได้ เช่น
กลางคืน อากาศหนาวมาก
อากาศหนาวมาก กลางคืน

คาในหมวดน้ี มี 23 คา คือ กลางวัน ค่าๆ เช้า เช้า ๆ ต่อไป ตะกี๊ เท่ียง ๆ บ่าย ปัจจุบัน ปีกลาย
เยน็ ๆ แรก ๆ หนา้ ฝน ใหม่ ๆ ฯลฯ

หมวด 23. หมวดคาบอกเวลาประเภทที่ 2
คาซ่ึงมีความหมายบ่งบอกเวลา ทาหน้าที่เป็นหน่วยเสริมบอกเวลาตามลาพังไม่ได้ จะต้องทาหน้าที่

รว่ มกบั คาบอกเวลาด้วยกนั หรือร่วมกับคาในหมวดอืน่ โดยอาจจะปรากฏตน้ หรือทา้ ยประโยคกไ็ ด้ เช่น
เมื่อตะก้ไี ปไหนมา
ไปไหนมาเมื่อตะก้ี

คาในหมวดนี้ เช่น เมื่อ ตอน ก้ี คืน ขณะ คราว ทุม่ พร่งุ มะรืน วาน พลบ สมัย หมู่ ไหร่ หน

หมวด 24. หมวดคาบุพบท
คาบุพบทคือคาซ่ึงอาจจะปรากฏข้างหน้าคานาม หรืออาจจะปรากฏอยู่ ระหว่างคากริยากับคานามก็

ได้ คืออาจจะปรากฏในตาแหนง่ ช่องว่างของกรอบทดสอบ 10.

10. นาม ช่วยหนา้ กริยา กริยาอรรม นาม

10. เรือ กาลงั แล่น ใต้ สะพาน

คาในหมวดน้ี เชน่ บน ขา้ ง นอก ใน เหนอื กวา่ ตาม แถว ตลอด ทาง แต่ ตง้ั แต่ หลงั หน้า ที่

หมวด 25. หมวดคาเชื่อมนาม

คาซ่ึงปรากฏอยู่ระหว่างคานาม 2 คาและไม่ลงเสียงเน้นในภาษาพูดมี 4 คา คือ กะ กับ หรือ ของ

เชน่

ช้อน กะ สอ้ ม เส้ือ กับ กางเกง

เน้อื หรือ ไก่ ปากกา ของ น้อง

หมวด 26. หมวดคาเช่อื มอนุพากย์
คาเช่ือมอนุพากย์จะไม่ปรากฏในประโยคสามัญ แต่จะปรากฏในประโยคผสม หรือประโยคซับซ้อน

เชน่ ซึ่ง ที่ วา่ ฯลฯ

12

4. การจาแนกคาโดยอาศัย “หน้าที่” ของคาเปน็ เกณฑ์

จาก 26 หมวดคา ดังได้กล่าวมาแล้ว เมื่อพิจารณาดูหน้าที่ในฐานะท่ีเป็นส่วนของประโยค จะแบ่ง
ออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื

4.1 คาหลกั หมายถึง คาท่สี ามารถทาหน้าท่ีเป็นส่วนของประโยคตามลาพังในประโยคเรม่ิ ไดม้ ี 7

หมวด คือ

(1) คานาม (2) คาากริยาอกรรม

(3) คากริยาสกรรม (4) คากรยิ าทวกิ รรม

(5) คาสรรพนาม (6) คาบอกเวลาประเภทที่ 1

(7) คาพเิ ศษ

4.2 คาไวยากรณ์ หมายถงึ คาที่ไม่สามารถทาหนา้ ทเ่ี ปน็ สว่ นของประโยคตามลาพงั ในประโยคเรมิ่ ได้
จะต้องทาหน้าทนี่ ้นั ๆ ร่วมกับคาหลักแบง่ เป็น 2 พวก คือ คาขยาย กับ คาเช่อื ม

4.2.1 คาขยาย แบง่ ออกเป็น “คาขยายนาม” กับ “คาขยายกริยา”

“คาขยายนาม” มี 11 หมวด คือ

(1) คาลักษณนาม (2) คาคุณศัพท์

(3) คาจานวนนับ (4) คาลาดับที่

(5) คาหนา้ จานวน (6) คาหลงั จานวน

(7) คาบอกกาหนดเสยี งโท (8) คาลอกกาหนดเสียงตรแี ละจตั วา และคาไม่บอก

กาหนด

(9) คาบอกเวลาประเภทท่ี 2 (10) คาลงทา้ ย

(11) คาพิเศษ

“คาขยายกรยิ า” มี 7 หมวด คอื

(1) คาช่วยหนา้ กรยิ า (2) คาช่วยหลังกริยา

(3) คาปฏเิ สธ (4) คาหนา้ กรยิ า

(5) คาหลังกรยิ า (6) คากรยิ าวเิ ศษณ์

(7) คาลงทา้ ย

*** สังเกตว่า คาพิเศษ เป็นได้ทั้ง คาหลัก และ คาไวยากรณ์ ส่วน คาลงท้าย ก็เป็นได้ทั้ง คาขยาย
นาม และ คาขยายกริยา

4.2.2 คาเชือ่ ม มี 3 หมวด คือ

(1) คาเช่ือมนาม (2) คาเช่ือมอนุพากย์ (3) คาบุพบท

13

5. วลี

5.1 “วลี” คืออะไร = คาคาเดียว หรอื คาคาเดยี วกับส่วนขยายซง่ึ ทาหนา้ ทเี่ ปน็ สว่ นของประโยคชนดิ
ใดชนิดหน่ึงใน 10 ชนดิ ได้แก่

หน่วยประธาน (ป) หน่วยกรรมตรง (ต)
หนว่ ยกรรมรอง (ร) หนว่ ยนามเดย่ี ว (นด.)
หน่วยอกรรม (อ) หน่วยสกรรม (ส)
หน่วยทวิกรรม (ท) หน่วยเสรมิ พเิ ศษ (พ)
หน่วยเสริมบอกสถานท่ี (ถ) หนว่ ยเสรมิ บอกเวลา (ว)

5.2 ชนิดของวลี แบ่งออกเป็น 5 ชนิดตามหนา้ ทซ่ี ง่ึ เป็นส่วนของประโยค ได้แก่ นามวลี กรยิ าวลี
พิเศษวลี สถานวลี และ กาลวลี

5.2.1 นามวลี หมายถงึ คานามคาเดียว / คาสรรพนามคาเดียว / คานามกับส่วนขยาย / คา
สรรพนามกับส่วนขยาย ซ่ึงทาหนา้ ท่ีเปน็ สว่ นของประโยค ชนดิ ใดชนดิ หนึ่งใน 4 ชนิดนี้ คือ

หน่วยประธาน (ป) หนว่ ยกรรมตรง (ต) หนว่ ยกรรมรอง (ร) หน่วยนามเดีย่ ว (นด.)

5.2.1.1 โครงสร้างของนามวลี องค์ประกอบของนามวลี ได้แก่สิ่งท่ีประกอบกัน
เขา้ เป็นนามวลี มี 5 ชนดิ คอื

(1) หนว่ ยหลัก (ล) (2) หน่วยคุณศัพท์ (ค)
(3) หนว่ ยจานวน (จ) (4) หนว่ ยกาหนด (ก)
(5) หน่วยขยายเสรมิ (ขส)

องคป์ ระกอบของนามวลีท้งั 5 ชนดิ นข้ี า้ งต้น อาจจะนามาประกอบเข้าเปน็ แบบ
โครงสรา้ งของนามวลีได้ 17 แบบ คือ

(1) ล เช่น เสื้อ / ฉนั / รม่ กะหมวก / บา้ นคุณ
(2) ล ค เชน่ เสอ้ื ใหม่
(3) ล จ เช่น หมอนใบ
(4) ล ก เชน่ เส้ือนี่
(5) ล ค จ เชน่ เส้อื ใหม่สองตวั
(6) ล จ ค เชน่ เน้อื สองชน้ิ ใหญ่
(7) ล ค ก เช่น เสอ้ื ใหม่น้ี
(8) ล จ ก เชน่ เสอ้ื สองตวั นี้
(10) ล ค จ ก เชน่ เสื้อใหมส่ องตัวน้ัน
(11) ล ค ก จ เช่น เสื้อใหม่ตวั นต้ี ัวเดยี ว
(12) ล จ ค ก เช่น เนือ้ สองชิน้ ใหญ่น่ี
(13) ล ขส เช่น หนังสือส่วนมาก
(14) ล ค ขส เช่น รถเลก็ สว่ นมาก
(15) ล ขส จ เช่น คนธรรมดาสองคน
(16) ล ค จ ขส เช่น บ้านหลังใหญส่ องหลังที่บนเนิน

14

(17) ล จ ค ขส เช่น เน้อื สองชนิ้ ใหญ่ในจาน

หนว่ ยขยายเสรมิ (ขส) คือ วลีลดฐานะชนิดใดชนิดหนึ่งใน 3 ชนิด คือ พิเศษวลีลด
ฐานะ / สถานวลลี ดฐานะ / กาลวลลี ดฐานะ

วลลี ดฐานะ คือ วลซี ่งึ ลดฐานะจากการเป็นสว่ นของประโยค มาเปน็ เพยี งส่วน หนึง่
ของวลี เช่น หนงั สอื พมิ พว์ ันน้ี (วันน้ี ซง่ึ เคยเปน็ กาลวลีได้ลดฐานะลงมาเป็นเพียง ส่วนหน่ึง
ของนามวลี)

5.2.2 กรยิ าวลี หมายถึง คากริยาคาเดียว / คากริยากับส่วนขยาย ซ่ึงทาหน้าท่ีเป็นส่วนของ
ประโยคชนดิ ใดชนิดหนึง่ ใน 3 ชนิดน้ี คอื หน่วยอกรรม / หนว่ ยสกรรม / หน่วยทวิกรรม

5.2.2.1 โครงสร้างของกริยาวลี องค์ประกอบของกริยาวลี ได้แก่สิ่งท่ีประกอบกัน
เขา้ เป็นกริยาวลี มี 4 ชนดิ คือ

(1) หนว่ ยแก่น (ก) (2) หนว่ ยช่วยกรยิ าหน้าหนว่ ยแกน่ (ช1)

(3) หนว่ ยชว่ ยกรยิ าหลังหน่วยแก่น (ช2) (4) หน่วยขยาย (ข)

องค์ประกอบของกริยาวลีท้ัง 4 ชนิดน้ีอาจจะนามาประกอบเข้าเป็นแบบโครงสร้าง
ของกรยิ าวลีได้ 10 แบบ คอื

(1) ก เช่น สวย, เดนิ หา, มาพาไป
(2) ก ช2 เชน่ นั่งอยู่
(3) ก ข เชน่ ชอบจงั
(4) ก ช2 ข เช่น หักอยู่กอ่ น
(5) ก ข ช2 เชน่ ปรกึ ษากันอยู่
(6) ชุ1 ก เชน่ คงสวย
(7) ช1 ก ช2 เช่น กาลงั นั่งอยู่
(8) ช1 ก ข เช่น คงมาบอ่ ยทเี ดยี ว
(9) ช1 ก ช2 ช เชน่ น่าจะหกั อยูก่ อ่ น
(10) ช1 ก ข ช2 เช่น ยงั ปรึกษากนั อยู่

5.2.3 พเิ ศษวลี หมายถึง คาพเิ ศษคาเดยี ว / คาพเิ ศษกบั สว่ นขยาย ซึ่งทาหน้าท่ีเป็นส่วนของ
ประโยคชนดิ หน่วยเสริมพเิ ศษ

5.2.3.1 การประกอบของพิเศษวลี อาจจะประกอบดว้ ย คาพิเศษคาเดียว / อาจจะ
มคี าบุพบท “ตาม” นาหน้าก็ได้ เชน่ ธรรมดา ตามปกติ ฯลฯ

5.2.4 สถานวลี หมายถึง คาบุพบท 2 คาเรียงกัน / คาบุพบทกับนามวลี ซ่ึงทาหน้าที่เป็น
สว่ นของประโยคชนิดหนว่ ยเสรมิ บอกสถานที่ โดยท่ีอาจจะมีคาบพุ บทคาเดยี ว / 2 คา / 3 คาก็ได้

15

5.2.4.1 การประกอบของสถานวลี อาจจะประกอบด้วยคาบุพบทตั้งแต่ 1 ถึง 3 คา
กบั นามวลี / คาบพุ บทชนิดเดียว 2 คา ก็ได้ เชน่ ในหอ้ งรับแขก ทห่ี นา้ บา้ นน้ี ตรงข้างหลัง
หอนาฬิกา ฯลฯ

5.2.5 กาลวลี หมายถึง คาบอกเวลาประเภทท่ี 1 คาเดียวหรือหลายคา / คาบอกเวลากับ
ส่วนขยาย ซ่ึงทาหนา้ ท่ีเป็นส่วนของประโยคชนดิ หนว่ ยเสรมิ บอกเวลา

5.2.5.1 การประกอบของกาลวลี อาจจะประกอบด้วยคาบอกเวลาชนิดเดียว
(ตั้งแต่ 1 ถึง 3 คา) หรือ อาจจะมีคาชนิดอ่ืน เช่น คาบอกกาหนดเสียงตรีและเสียงจัตวา คา
จานวนนับ คาลาดับที่ คาหน้าจานวน คาหลังจานวน และ วลีตายตัว ที่ใช้กันอยู่บ่อย ๆ
เช่น ท่ีแล้ว ที่จะถึง ตัวอย่าง กลางคืน เช้านี้ เดือนท่ีแล้ว ตอนสองโมง วันหน่ึง เมื่อสอง
วันกอ่ นน้ี ฯลฯ

16

6. อนพุ ากย์

อนุพากย์ เปน็ สว่ นประกอบของประโยคซบั ซอ้ นและของประโยคผสม
5.1 “อนุพากย์” คืออะไร = ประโยคสามัญท่ีลดฐานะลงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประโยคใหญ่
ประโยคใหญ่ในท่ีนี้ หมายถึง ประโยคซับซอ้ นและประโยคผสมที่ประกอบดว้ ยอนุพากยต์ งั้ แต่ 2 อนุพากยข์ ึ้นไป

5.2 ชนิดและหน้าท่ีของอนุพากย์ อาจแบ่งตามหน้าท่ีออกได้เป็น 4 ชนิด ได้แก่ อนุพากย์นาม
อนพุ ากยค์ ณุ ศพั ท์ อนุพากยว์ ิเศษณ์ และ อนุพากยห์ ลัก

5.2.1 อนพุ ากย์นาม ไดแ้ ก่ อนุพากย์ที่อาจจะทาหนา้ ทอี่ ยา่ งเดยี วกบั นามวลี เชน่

“ใครวง่ิ ชนะ จะได้รางวัล”
จากตัวอย่าง ใครวิ่งชนะ คือ อนุพากย์นาม เป็นหน่วยประธานของประโยคใหญ่ ซึ่งมี
โครงสรา้ ง ป ส ต

5.2.2 อนพุ ากย์คณุ ศพั ท์ ได้แก่ อนุพากยท์ ที่ าหนา้ ท่ีเป็นส่วนขยายหน่วยหลกั ในนามวลี เช่น
“เด็ก ท่ีกาลงั เล่นอยู่ น่ารักมาก”

จากตัวอย่าง ที่กาลังเล่นอยู่ คือ อนุพากย์คุณศัพท์ ซ่ึงทาหน้าท่ีขยายหน่วยหลัก เด็ก ส่วน
เดก็ ทีก่ าลงั เลน่ อยู่ เปน็ หนว่ ยประธานของประโยคใหญ่ ซ่ึงมโี ครงสรา้ ง ป อ

5.2.3 อนุพากยว์ ิเศษณ์ ได้แก่อนุพากย์ทที่ าหนา้ ทเี่ ปน็ ส่วนขยายหนว่ ยแกน่ ในกรยิ าวลี เชน่

“เขาออกไป ตอนท่ีคณุ กาลงั แตง่ ตัว”

จากตัวอย่าง ตอนที่คุณกาลังแต่งตัว เป็นอนุพากย์วิเศษณ์ ซึ่งทาหน้าท่ีขยายหน่วยแก่น
ออกไป สว่ น ออกไป คอื หนว่ ยแก่นของกริยาวลีของประโยคซ่งึ มโี ครงสร้าง ป อ

5.2.4 อนพุ ากย์หลัก ไดแ้ ก่ อนุพากยท์ อ่ี าจจะทาหน้าทอี่ ย่างใดอย่างหนง่ึ ใน 4 อยา่ ง ไดแ้ ก่

1) เปน็ สว่ นหน่ึงของ สว่ นของประโยค ทท่ี าหน้าทขี่ องคากริยา เช่น
“ดีใจ ที่คุณมาในวนั เกดิ ฉันได้”

จากตัวอย่าง ดีใจ คืออนุพากย์หลักซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งของประโยคที่มี
โครงสร้าง อ
2) เปน็ สว่ นของประโยคทเ่ี ป็นหน้าท่ีของคากรยิ า ชนดิ หน่วยอกรรม เช่น

“การทเ่ี ธอแสดงกรยิ าเชน่ นี้ ไมด่ ีเลย”

จากตัวอย่าง ไม่ดีเลย คืออนุพากย์หลักทาหน้าที่เป็นหน่วยอกรรมของ
ประโยคใหญ่ซง่ึ มโี ครงสร้าง ป อ

3) เปน็ สว่ นของประโยคมากกวา่ 1 ชนิด เช่น

“ฉนั ไม่ชอบ ขบั รถเรว็ มาก ๆ”
จากตัวอย่าง ฉันไม่ชอบ เป็นอนุพากย์หลักทาหน้าที่เป็นทั้งหน่วยประธาน
และ หนว่ ยสกรรม ในเวลาเดยี วกัน

17

4) เป็นท้ังส่วนประกอบของประโยค และส่วนหน่ึงของ ส่วนของประโยค ในเวลา
เดียวกัน เชน่

“เดก็ ทีก่ าลงั เลน่ ตุ๊กตานา่ รกั มาก”

จากตัวอย่าง เด็กน่ารักมาก เป็นอนุพากย์หลักทาหน้าท่ีเป็นทั้งหน่วย
อกรรม และหนว่ ยหลักในหน่วยประธานในเวลาเดยี วกัน

5.3 อนุพากย์อาจจะมีลกั ษณะทเี่ หมอื นหรือแตกตา่ งกนั ในเรือ่ งของคาเช่ือม

- อนุพากย์ ท่ีอาจจะมีคาเช่ือมหรือไม่มีคาเช่ือมก็ได้ คือ อนุพากย์นาม / อนุพากย์คุณศัพท์ /
อนพุ ากย์หลกั

- อนุพากย์ ทตี่ ้องมีคาเชือ่ มเสมอ คือ อนุพากย์วิเศษณ์

5.3 ชนดิ และตาแหน่งของคาเชอื่ มอนพุ ากย์ แบง่ ตาม “ตาแหนง่ ” 3 ชนิด ไดแ้ ก่

5.3.1 คาเชื่อมตน้
เช่น “ดอกไม้ ที่ คุณซอ้ื มาวนั น้ีเหี่ยวแลว้ ”

5.3.2 คาเชอ่ื มใน
เช่น “แดงไม่สบายเขา เลย ไมม่ าโรงเรยี น”

5.3.3 คาเชอ่ื มขนาบ
เชน่ “เขาไม่สบาย แต่ เขา ก็ ยังมาโรงเรียน”

5.4 สว่ นประกอบของคาเช่ือม

คาเชื่อมอาจจะประกอบดว้ ยคาเชื่อมคาเดียว เรยี กวา่ คาเชอ่ื มเดีย่ ว หรอื อาจจะประกอบด้วยคาเช่ือม
2 คา เรียกวา่ คาเชอ่ื มผสม

ตัวอยา่ ง คาเชือ่ มเดย่ี ว = “เชาพยายามทา แต่ ไม่สาเร็จ”
ตัวอยา่ ง คาเชื่อมผสม = “ฉันจะไปเยยี่ มเพ่ือน หลังจากที่ ไปซ้อื ของแล้ว”

5.5 หนา้ ที่ของคาเชือ่ ม คาเชือ่ มแบ่งตามหน้าท่ีได้ 2 ชนิดคือ

5.5.1 คาเชื่อมสามัญ คาเชื่อมสามัญ ได้แก่ คาเช่ือมท่ีทาหน้าที่เช่ือมอนุพากย์ 2 อนุพากย์
อยา่ งเดียวเท่านน้ั เชน่ “ลูกไมย่ อมนอน เพราะแกอยากดโู ทรทัศน์”

5.5.2 คาเชื่อมสัมพัทธ์ คาเช่ือมสัมพัทธ์ ได้แก่ คาเชื่อมท่ีเชื่อมอนุพากย์ 2 อนุพากย์และทา
หน้าที่เป็นส่วนประกอบของอนุพากย์หน่วยใดหน่วยหน่ึง ได้แก่ หน่วยประธาน / หน่วยกรรมตรง
หนว่ ยกรรมรอง / ของอนุพากยด์ ้วย เชน่ “เด็ก ท่ี มาหาคุณวนั น้ีน่ารักมาก”

ท่ี เป็นคาเชื่อมสัมพัทธ์ เช่ือมอนุพากย์ “เด็กน่ารักมาก” กับ “ที่มาหาคุณวันน้ี” และทา
หนา้ ที่เป็นหน่วยประธานของอนุพากย์ “ทีม่ าหาคุณวนั นี้” ดว้ ย

18

แนวคดิ สาคญั ของไวยากรณโ์ ครงสรา้ ง

นกั ภาษาศาสตรโ์ ครงสรา้ งถือเป็นนักภาษาศาสตร์กลุ่มแรก
ทพี่ ยายามศึกษาภาษาตามแนววทิ ยาศาสตร์

การจาแนกหมวดคา
ควรใช้เกณฑ์เดียวในการจาแนก
ไม่ควรใชห้ ลายเกณฑท์ ง้ั ความหมาย หนา้ ท่ี และตาแหนง่

ไม่ควรใช้ “ความหมาย” เป็นหลกั ในการจาแนกคา
เพราะไมม่ คี วามแนน่ อนซับซอ้ นเก่ียวขอ้ งกับประสบการณ์ ความคดิ ความรสู้ ึก รวมถึงอารมณ์

ของคนพดู /ฟงั

แนวคดิ ของนกั ไวยากรณ์โครงสร้างใช้ “กรอบประโยคทดสอบ” ในการแบ่งหมวดคา
โดยมหี ลักวา่ “คาที่ปรากฏในตาแหนง่ เดียวกันได้ เป็นคาในหมวดเดียวกัน”

นักไวยากรณ์โครงสรา้ ง สร้าง “กรอบประโยคทดสอบ”
จากการสังเกตรูปลักษณะ ตาแหน่ง และหนา้ ท่ีของเสียง พยางค์ หน่วยคา คา วลี อนพุ ากย์ และ

ประโยคในภาษา

“หน่วยโครงสร้าง” ประกอบเข้าเป็น “โครงสรา้ ง”

เอกสารสรปุ ฉบบั นจ้ี ะมปี ระสทิ ธภิ าพมากย่งิ ขนึ้
ควรอา่ นตาราอ้างองิ ท้ายเอกสารเพ่มิ เติม

19

อา้ งอิง

“ไวยากรณ์ไทยตามทฤษฎีโครงสร้าง,” LI332-8.pdf. http://old-book.ru.ac.th/e-book/l/LI332(51)/
LI332-8.pdf. 26 เมษายน, 2562.

ชมพูนทุ ธารเี ธยี ร. โครงสร้างประโยคภาษาไทย. อบุ ลราชธานี : โรงพมิ พ์มหาวิทยาลยั อบุ ลราชธานี, 2559.
นา้ เพชร จนิ เลศิ . “การจาแนกหมวดคาในตาราหลักไวยากรณ์ไทย: หลากวิธคี ดิ หลายทฤษฎี.” วรรณวิทัศน์. 6,

(พฤศจกิ ายน 2549) : 189-216.
วจิ นิ ตน์ ภาณุพงศ.์ โครงสร้างของภาษาไทย. ม.ป.ท, 2524.
โศรยา วิมลสถติ พงศ.์ การศึกษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร.์ ม.ป.ท, 2558.


Click to View FlipBook Version