๙๖ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 แนวทางการปฏิบัติในการประดับพระบรมฉายาลักษณ์ และพระฉายาลักษณ์ในสถานที่อาคารราชการต่างๆ
๙๗ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 การทำความเคารพ การถวายคำนับ เป็นการแสดงความเคารพอย่างหนึ่งของบุรุษและสตรีที่สวมเครื่องแบบ(กรณีไม่สวมหมวก) สำหรับถวายแด่ พระมหากษัตริย์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์พระราชวงศ์และผู้แทนพระองค์เมื่อมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ รับเสด็จ ทูลเกล้าฯ หรือน้อมเกล้าฯ ถวายสิ่งของ หรือรับพระราชทานสิ่งของ รวมถึงการถวายความเคารพพระบรมฉายา ลักษณ์พระบรมสาทิสลักษณ์และพระบรมรูป
๙๘ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 การถอนสายบัว แบบสากลนิยม ยืนตรงหันหน้าไปทางพระองค์ท่านวาดเท้าข้างใดข้างหนึ่งไปข้างหลังเล็กน้อยตามถนัดพร้อมย่อตัวลงลาตัว ตรงหน้าตรงสายตาทอดลงปล่อยแขนทั้งสองข้างแล้วยืนตรง แบบพระราชนิยม ยืนตรงหันหน้าไปทางพระองค์ท่านวาดเท้าซ้าย (อนุโลมเท้าขวาสาหรับบุคคลที่ไม่สามารถปฏิบัติได้) ไป ข้างหลังเล็กน้อยตามถนัดพร้อมกับย่อตัวลงขณะที่วาดเท้าให้ยกมือทั้งสองข้างขึ้นวางประสานกันบนขาหน้าเหนือเข่าค้อม ตัวเล็กน้อยทอดสายตาลงเสร็จแล้วยืนขึ้นในลักษณะเดิม
๙๙ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 การทาวันทยหัตถ์ เป็นการแสดงความเคารพของบุรุษและสตรีเมื่อแต่งเครื่องแบบราชการซึ่งสวมหมวก โดยมีข้อ ปฏิบัติดังนี้ ๑. ยืนตรง ยกข้อศอกขวา โดยให้แขนตั้งฉากกับลำตัว ๒. แบมือโดยให้นิ้วทั้งห้าเรียงชิดติดกัน ฝ่ามืออยู่ในลักษณะคว่ำ ปลายนิ้วชี้จรดขอบกระบังหมวกข้างขวา ระดับ เหนือปลายคิ้วข้างขวา ๓. เสร็จแล้ว ให้ลดมือลงแนวลำตัวในท่ายืนตรง
๑๐๐ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 ขั้นตอนการเอางาน สรุปสาระสำคัญรายวิชา ชื่อรายวิชา หลักการดำเนินงานตามกฎหมายผังเมืองและควบคุมอาคาร ผู้บรรยาย อาจารย์อรรจน์ คำวชิรพิทักษ์ อาจารย์ธนวดี เทพคเชนทร์ อาจารย์ธิดารัตน์ ซาเรนแป วันที่ 8 กันยายน 2566 เวลา 13.00-16.00 น. ผู้บันทึก นางผ่องพรรณ เศรษฐประเสริฐ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์นโยบายและแผน กลุ่มที่ 3 หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 “การผังเมือง” หมายความว่า การวาง จัดทำและการดำเนินการให้เป็นไปตามผังเมือง ในระดับต่างๆ สำหรับเป็น กรอบชี้นำการพัฒนาทางด้านกายภาพในระดับประเทศ ระดับภาค ระดับจังหวัด ระดับเมือง ระดับชนบท และพื้นที่เฉพาะ ควบคุมกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเมือง บริเวณที่เกี่ยวข้อง หรือชนบทให้มีหรือทำให้ดี ยิ่งขึ้นซึ่งสุขลักษณะความสะดวกสบาย ความเป็นระเบียบ ความสวยงาม การใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและ การขนส่ง ความปลอดภัยของประชาชน สวัสดิภาพของสังคม การป้องกันภัยพิบัติ และการป้องกันความขัดแย้ง ในการใช้ ประโยชน์ที่ดิน เพื่อส่งเสริมการเศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อม เพื่อดำรงรักษาหรือบูรณะสถานที่และวัตถุประสงค์ที่มี ประโยชน์ หรือคุณค่าในทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี หรือบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ภูมิประเทศที่งดงามหรือมีคุณค่าในทางธรรมชาติ “อาคาร” อาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร รวมทั้งสิ่งก่อสร้างทุกชนิด หรือสิ่งอื่นใดที่วางบนใต้หรือผ่านเหนือพื้นดิน หรือพื้นน้ำ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการผังเมือง ความสำคัญของการวางแผนพัฒนาเมือง/ชุมชนในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ 1. การจัดสรรทรัพยากร 1.1 พื้นที่อนุรักษ์ ได้แก่ 1) ธรรมชาติ 2) มนุษย์สร้างขึ้น 1.2 พื้นที่นำมาพัฒนา 1) ภาครัฐ ได้แก่ ระบบขนส่ง ระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการ และบริการสาธารณะ 2) ภาคเอกชน ได้แก่ พื้นที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรมเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม 2. ปัญหาการพัฒนาเมือง 2.1 ขาดการกำหนดกรอบที่ชัดเจนในการแบ่งพื้นที่ 2.2 พื้นที่พัฒนาขาดการวางแผนในการใช้ที่ดินอย่างเป็นระบบ 3. ประเภท หรือชนิดของผังเมือง 3.1 ผังประเทศ 3.2 ผังภาค 3.3 ผังจังหวัด หรือผังโครงสร้างจังหวัด 3.4 ผังเมืองรวม 3.5 ผังเมืองเฉพาะ 3.6 ผังเฉพาะพื้นที่ 4. กระบวนการทางผังเมือง
๑๐๑ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 5. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กับการผังเมือง มาตรา 38 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการเดินทางและเลือก ถิ่นที่อยู่สำรวจวางและจัดทำประกาศใช้ข้อบังคับพัฒนา 1. องค์กรภาครัฐ 2. เอกชน 3. องค์กรของรัฐร่วมกับเอกชน ควบคุม 1. การใช้ประโยชน์ที่ดิน 2. อาคาร 3. การประกอบกิจการ ประเมินผล 1. กรมการผังเมือง 2. ท้องถิ่น 3. ประชาชน การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมายที่ตราขึ้น เพื่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือสวัสดิภาพของประชาชนหรือการผังเมือง หรือเพื่อรักษาสถานภาพของ ครอบครัวหรือเพื่อสวัสดิภาพของครอบครัว มาตรา 72 รัฐพึงดำเนินการเกี่ยวกับที่ดิน ทรัพยากรน้ำและพลังงาน ดังต่อไปนี้ (1) วางแผนการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาอย่าง ยั่งยืน (2) จัดให้มีการวางผังเมืองทุกระดับและบังคับให้เป็นไปตามผังเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมตลอดทั้งพัฒนาเมืองให้มี ความเจริญโดยสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่
๑๐๒ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 สรุปสาระสำคัญรายวิชา ชื่อรายวิชา การสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน ผู้บรรยาย อาจารย์ศรัณย์ สุขเกษม ปลัด ทน.พระนครศรีอยุธยา วันที่ 9 กันยายน 2566 เวลา 09.00-12.00 น. ผู้บันทึก นางสาววาสนา สนิทโกศัย หัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไป กลุ่มที่ 4 หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 การมีส่วนร่วมของประชาชน (Public Participation) การมีส่วนร่วมของประชาชน คือ กระบวนการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินงานพัฒนา ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจแก้ปัญหาของตนเอง ร่วมใช้ความคิดสร้างสรรค์ความรู้และความชํานาญร่วมกับวิทยากรที่ เหมาะสม และสนับสนุนติดตามผลการปฏิบัติงานขององค์กรและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ แท้จริง จึง หมายถึง การที่ประชาชนหรือชุมชนพัฒนาขีดความสามารถของตนเองในการจัดการและควบคุมการใช้ ทรัพยากร และ ปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ในสังคม เพื่อประโยชน์ต่อการดำรงชีพทางเศรษฐกิจและสังคม และการตัดสินใจ ต่าง ๆ เกี่ยวกับ โครงการที่เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับร่วมกันกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์โดยเน้นการมีส่วนร่วมของ ประชาชน (Public Participation) เป็นแนวความคิดใหม่ที่มีรากฐานมาจากแนวคิดของระบอบประชาธิปไตย เป็น กระแสของความคิดที่ทำให้ ผู้คนในสังคมตระหนักดีว่าการดำเนินกิจการใด ๆ ก็ตาม ผู้ที่ได้รับผลกระทบและมีส่วนได้ เสียควรเป็นผู้มีโอกาสได้แสดง ความคิดเห็นและเสนอแนะความคิด การปฏิบัติงานประชาสัมพันธ์ในยุคปัจจุบันจึงต้อง ประยุกต์แนวคิดให้ตอบรับกับ แนวคิดประชาธิปไตย โดยต้องสร้างกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอัน เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติงาน และ เป็นส่วนสำคัญของแนวคิดการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชาชนกลุ่มที่มีส่วนได้เสียและได้รับ ผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ดังนั้น การพัฒนาจึงเริ่มจากความต้องการของ ชุมชนแทนความต้องการของหน่วยงานภาครัฐ รูปแบบของการมีส่วนร่วม การท ี่ประชาชนภายในพื้นที่มีการรวมกลุ่ม ในรูปของประชาคมหรือชุมชน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ สนับสนุน ความเข้มแข็งของชุมชนและสังคม โดยเน้นการมีส่วนร่วม ของประชาชน ให้ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ไขปัญหา ซึ่ง การแก้ไขปัญหานั้นจำเป็นต้องมีความร่วมมือทำพร้อมๆ กันใน ทุกระดับ ต้องระดมทุกองค์ประกอบในสังคม โดยเฉพาะ ชุมชน เพื่อเสริมสร้างความเป็นชุมชนให้มีความเข้มแข็ง สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง รูปแบบของการมีส่วน ร่วมที่ดำเนินอยู่โดยทั่วไป สามารถสรุปได้เป็น 4 รูปแบบ คือ 1. การรับรู้ข่าวสาร (Public Information) ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องได้รับการ แจ้งให้ ทราบถึง รายละเอียดของโครงการที่ จะดำเนินการ รวมทั้งผลกระทบ คาดว่าจะเกิดขึ้น ทั้งนี้การได้รับแจ้งข่าวสารดังกล่าวจะต้อง เป็นการแจ้งก่อนที่จะมีการตัดสินใจดำเนินโครงการ 2. การปรึกษาหารือ (Public Consultation) เป็นรูปแบบการมีส่วนร่วมที่มีการจัดการหารือ ระหว่าง ผู้ดำเนินการโครงการกับประชาชนที่ เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบ เพื่อรับฟังความคิดเห็นและตรวจสอบข้อมูล เพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความเข้าใจในโครงการและกิจกรรมมากขึ้น 3. การประชุมรับฟังความคิดเห็น (Public Meeting) มีวัตถุประสงค์เพ ื่อให้ประชาชนและฝ่าย เกี่ยวข้องกับโครงการหรือกิจกรรม และผู้มีอำนาจตัดสินใจในการทำโครงการหรือกิจกรรมนั้นได้ใช้เวที สาธารณะในการทำความเข้าใจ และค้นหาเหตุผลในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมในพื้นที่นั้น ซึ่งมี
๑๐๓ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 หลาย รูปแบบ ได้แก่ 3.1 การประชุมในระดับชุมชน (Community Meeting) โดยจัดขึ้นในชุมชนได้รับ ผลกระทบ จากโครงการ โดย เจ้าของโครงการหรือกิจกรรมจะต้องส่งตัวแทนเข้าร่วม เพื่ออธิบายให้ที่ ประชุมทราบถึง ลักษณะโครงการและผลกระทบที่ คาดว่าจะเกิดขึ้นและตอบข้อซักถาม 3.2 การประชุมรับฟังความคิดเห็นในเชิงวิชาการ (Technical Hearing) สำหรับโครงการที่มีข้อ โต้แย้งในเชิง วิชาการ จําเป็นจะต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาจากภายนอกมาช่วย อธิบายและให้ความเห็น ต่อโครงการ ซึ่งผู้เข้าร่วม ประชุมต้องได้รับทราบผลดังกล่าวด้วย 3.3 การประชาพิจารณ์ (Public Hearing) เป็นเวทีในการเสนอข้อมูลอย่างเปิดเผยไม่มี การปิดบัง ทั้งฝ่ายเจ้าของโครงการและฝ่ายผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากโครงการ ซึ่งจะต้องมีองค์ประกอบของ ผู้เข้าร่วมท ี่เป็นที่ยอมรับ มีหลักเกณฑ์และประเด็นในการพิจารณาที่ชัดเจน และแจ้งให้ทุกฝ่ายทราบทั่วกัน 4. การร่วมในการตัดสินใจ (Decision Making) เป็นเป้าหมายสูงสุดของการมีส่วนร่วมของ ประชาชน ซึ่งประชาชนจะมีบทบาทในการตัดสินใจได้เพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของคณะกรรมการที่ เป็นผู้แทนประชาชนในพื้นที่ลักษณะที่สำคัญของการมีส่วนร่วมว่าเป็นเรื่องของกระบวนการ ระดับขั้นการมีส่วนร่วมของ ประชาชนการแบ่งระดับขั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนอาจแบ่งได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และความละเอียดของ การแบ่งเป็นสำคัญ โดยมีข้อพึงสังเกตคือ ถ้าระดับการมีส่วนร่วมต่ำ จำนวนประชาชนที่เข้ามีส่วนร่วมจะมาก และยิ่งระดับ การมีส่วนร่วมสูงขึ้นเพียงใด จำนวนประชาชนที่เข้ามีส่วนร่วมก็จะลดลงตามลำดับ ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนเรียง ตามลำดับจากต่ำสุดไปหาสูงสุด ได้แก่ 1. ระดับการให้ข้อมูล เป็นระดับต่ำสุด และเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดของการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้วางแผนโครงการ กับประชาชน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลแก่ประชาชน โดยวิธีการต่าง ๆ เช่น การแถลงข่าว การแจกข่าวสาร และการ แสดงนิทรรศการ เป็นต้น แต่ไม่เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นหรือเข้ามาเกี่ยวข้องใด ๆ 2. ระดับการเปิดรับความคิดเห็นจากประชาชน เป็นระดับขั้นที่สูงกว่าระดับแรก กล่าวคือ ผู้วางแผนโครงการจะ เชิญชวนให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น เพื่อเป็นข้อมูลในการประเมินข้อดีข้อเสียของโครงการอย่างชัดเจนมากขึ้น เช่น การจัดทำแบบสอบถามก่อนริเริ่มโครงการต่าง ๆ หรือการบรรยายและเปิดโอกาสให้ผู้ฟังแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ โครงการนั้น ๆ เป็นต้น 3. ระดับการปรึกษาหารือ เป็นการเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างผู้วางแผนโครงการและประชาชน เพื่อประเมิน ความก้าวหน้าหรือระบุประเด็นข้อสงสัยต่าง ๆ เช่น การจัดประชุม การจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ และการเปิดกว้างรับฟัง ความคิดเห็น เป็นต้น 4. ระดับการวางแผนร่วมกัน เป็นระดับการมีส่วนร่วมที่ผู้วางแผนโครงการกับประชาชนมีความรับผิดชอบร่วมกัน ในการวางแผนเตรียมโครงการ และผลที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการโครงการ เหมาะที่จะใช้สำหรับการพิจารณาประเด็นที่ มีความยุ่งยากซับซ้อนและมีข้อโต้แย้งมาก เช่น การใช้กลุ่มที่ปรึกษาซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง การใช้ อนุญาโตตุลาการเพื่อแก้ปัญหาข้อขัดแย้ง และการเจรจาเพื่อหาทางประนีประนอมกัน เป็นต้น 5. ระดับการร่วมปฏิบัติ เป็นระดับที่ผู้รับผิดชอบโครงการกับประชาชนร่วมกันดำเนินโครงการ เป็นขั้นการนำ โครงการไปปฏิบัติร่วมกันเพื่อให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ 6. ระดับการควบคุมโดยประชาชน เป็นระดับสูงสุดของการมีส่วนร่วมโดยประชาชน เพื่อแก้ปัญหา ข้อขัดแย้งที่มี อยู่ทั้งหมด เช่น การลงประชามติ แต่การลงประชามติจะสะท้อนถึงความต้องการของประชาชนได้ดีเพียงใด ขึ้นอยู่กับความ ชัดเจนของประเด็นที่จะลงประชามติและการกระจายข่าวสารเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของประเด็นดังกล่าวให้ประชาชนเข้าใจ
๑๐๔ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 อย่างสมบูรณ์และทั่วถึงเพียงใด โดยในประเทศที่มีการพัฒนาทางการเมืองแล้ว ผลของการลงประชามติจะมีผลบังคับให้ รัฐบาลต้องปฏิบัติตาม แต่สำหรับประเทศไทยนั้น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติให้ ผลของการประชามติมีทั้งแบบที่มีข้อ ยุติโดยเสียงข้างมาก และแบบที่เป็นเพียงการให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีซึ่งไม่มีผลบังคับให้รัฐบาลต้องปฏิบัติตามแต่ อย่างใด
๑๐๕ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 สรุปสาระสำคัญรายวิชา ชื่อรายวิชา ปัญหาการปฏิบัติงานในหน้าที่และแนวทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนางานอย่างมืออาชีพ ผู้บรรยาย อาจารย์ศรัณย์ สุขเกษม ปลัด ทบ. พระนครศรีอยุธยา วันที่ 9 กันยายน 2566 เวลา 13.00-16.00 น. ผู้บันทึก นางสาววาสนา สนิทโกศัย หัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไป กลุ่มที่ 4 หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 หลักการครองตน ครองคน ครองงานการครองตน ๑.การพึ่งตนเอง ขยันหมั่นเพียร และมีความรับผิดชอบมี ความวิริยะ อุตสาหะ ในงานหน้าที่ความรับผิดชอบ โดย การอำนวยการ ควบคุมกำกับติดตามงานทั้งในรูปแบบการประชุม และติดตามในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ และมีความตั้งใจที่ จะทำงานในหน้าที่ให้ได้รับความสำเร็จด้วยการ บริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มี ความอดทนไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรคไม่เคยแสดงออกถึงความย่อท้อ มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว และผู้อื่น อย่างจริงใจ ๒. การประหยัดและเก็บออมรู้จัก ใช้จ่ายตามควรแห่งฐานะ ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และรู้จักใช้ทรัพย์สิน ของทางราชการให้เป็นประโยชน์และประหยัด โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์การใช้ทรัพย์สินของทางราชการ เช่น รถยนต์ และ วางมาตรการประหยัดพลังงานในหน่วยงาน รู้จักมัธยัสถ์และเก็บออม เพื่อสร้างฐานะตนเองและครอบครัว ด้วยการออมกับสหกรณ์ออมทรัพย์สาธารณสุข และอื่นๆ นอกจากนี้ยังได้จัดทำแผนดูแล บำรุง และรักษาทรัพย์สินของตนเองและส่วนรวมพร้อมทั้งติดตามตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ๓. การรักษาระเบียบวินัยและเคารพกฎหมาย เป็น ผู้รักและปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดไว้โดยได้ กำชับและมุ่งเน้นให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยได้มีการนำระบบควบคุมภายในและตรวจสอบภายในมา ใช้ในหน่วยงาน พร้อมทั้งได้ประพฤติและปฏิบัติตน ให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาและบุคคลโดยทั่วไปอย่างสม่ำเสมอ และยังได้นำแนวทาง นโยบาย หรือข้อสั่งการของผู้บังคับบัญชามาท่ายทอดสู่การปฏิบัติอย่างทุ่มเทและจริง ใจซึ่งเป็นการ แสดงออกให้เห็นถึงการเชื่อฟัง และให้ความเคารพต่อผู้บังคับบัญชา นอกจากนี้ยังเป็นบุคคลที่ให้ความสำคัญกับการเป็นผู้ ตรงต่อเวลาทั้งในเรื่อง งาน และวินัยส่วนตัว จะสังเกตได้จาก การนัดเวลาประชุม หรือการติดตามงานตามแผนผังกำกับ งาน เป็นต้น ๔. การปฏิบัติตามคุณธรรมของศาสนา เป็น บุคคลที่ประพฤติปฏิบัติตนในฐานะพุทธศาสนิกชนที่ดี โดยละเว้นต่อการประพฤติชั่วและไม่ลุ่มหลงอบายมุข เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมโดยได้เป็นรอง นายกเหล่ากาชาดจังหวัดยโสธร พร้อมทั้งเสียสละแรงกายในฐานะกรรมการ และกำลังทรัพย์เพื่อช่วยเหลือบุคคลอื่นที่ตก ทุกข์ ซึ่งบ่งบอกถึงมีความเมตตา กรุณา โอบอ้อมอารีต่อบุคคลอื่นโดยทั่วไป มีความซื่อสัตย์ สุจริตต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งจะ สังเกตเห็นได้จากการรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้กับผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา และเครือข่ายองค์กรอื่นๆ ๕. การมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ได้ ส่งเสริม สนับสนุนระบบประชาธิปไตย และ ปฏิบัติตามนโยบายของทางราชการและรัฐบาลอย่างจริงจังและทุ่มเทโดยได้ถ่าย ทอดออกมาในรูปแบบแผนปฏิบัติการของ หน่วยงานเพื่อให้เกิดผลในเชิงรูปธรรม ซึ่งปัจจุบันยังได้บรรจุเป็นกำลังพล กอ.รมน.จว.ยส. ในตำแหน่งหัวหน้าส่วนกิจการ มวลชนและได้เข้าร่วมปฏิบัติศาสนกิจและทำนุ บำรุงศาสนาในเทศกาลสำคัญทางศาสนา นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำแก่ ผู้ใต้บังคับบัญชาในการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี เช่น ป้องกันประเทศ เสียภาษี เคารพกฎหมาย เป็นต้น ได้เข้าร่วมพิธีใน
๑๐๖ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 โอกาสสำคัญอย่างสม่ำเสมอปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามพระบรมราโชวาท เป็นกิจวัตรปกติซึ่งแสดงออกให้เห็นถึงมีความ จงรักภักดีและเทิดทูนในสถาบัน การครองคน ๑. ความสามารถในการประสานสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจอันดีกับผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา และผู้มาติดต่องานเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดี ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น กล้าและรับผิดชอบในสิ่งที่ได้ กระทำมี น้ำใจ ช่วยเหลือ และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน ซึ่งเห็นได้จากการได้รับความไว้วางใจจากผู้ว่าราชการ จังหวัด ให้เป็นประธานคณะกรรมการในหลายๆคณะ และหัวหน้าส่วนราชการอื่นได้กล่าวถึงในทางที่ดีอยู่เสมอๆ ๒. ความสามารถในการร่วมทำงานเป็นกลุ่ม สามารถจูงใจให้เกิดการยอมรับและให้ความช่วยเหลือ เป็นผู้มีความสามารถในด้านองค์ความรู้และทักษะในการในการคิดและเสนอเหตุผล ให้ความเห็น ปรึกษา และเสนอแนะใน งานที่รับผิดชอบ และได้มีการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมในงานที่รับผิดชอบ และเปิดโอกาสยอมรับและฟังความคิดเห็น ของผู้ใต้บังคับบัญชา ๓.ให้บริการแก่ผู้มาติดต่องานด้วยความเสมอภาค แนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นผู้มีความสำนึกและถือเป็นหน้าที่ ที่จะต้องให้บริการ ช่วยเหลือ แนะนำในสิ่งที่ดี ตลอดจนให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ ให้การบริการด้วยความเต็มใจ และเสมอภาคกันทุกระดับ มีอัธยาศัยดี เป็นกันเอง และสุภาพต่อทุกคน ๔. การเป็นผู้มีความเป็นธรรมทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่นเป็นผู้ประพฤติและปฏิบัติตรงตามหลักเกณฑ์ กฎ ระเบียบ ที่การกำหนดถือประโยชน์ของทางราชการหรือส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ตัดสิน วินิจฉัย หรือแก้ปัญหาโดยใช้เหตุผล ๕. การเสริมสร้างความสามัคคีและร่วมกิจกรรมของหมู่คณะ ทั้งในและนอกหน่วยงาน เป็น ผู้ให้ความร่วมมือ หรือ เข้าร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นภายนอกหน่วยงานจะเห็นได้จากการได้รับมอบหมาย จากผู้ว่าราชการจังหวัดให้จัดงานเพื่อสังคม อยู่เสมอเสมอ ส่วนภายในหน่วยงานนั้นได้ให้ ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของทีมงานและ ผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นอย่างยิ่ง และที่สำคัญเป็นบุคคลที่ให้ความสำคัญ ยกย่อง หรือให้เกียรติแก่ผู้ร่วมงานอย่างดียิ่ง การครองงาน ๑. ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ strong>เป็นผู้ใฝ่ศึกษา ค้นคว้า หาความรู้ที่จำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงานอยู่เสมอ มีความ ตั้งใจปฏิบัติงานให้ได้รับความสำเร็จ สนใจและเอาใจใส่งานที่รับผิดชอบโดยการกำหนดนโยบาย การบริหารแบบมุ่งเน้น ผลสัมฤทธิ์ สนับสนุนช่วยเหลือให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมี ประสิทธิภาพ ๒. ความรู้ ความสามารถ และความพึงพอใจในการปฏิบัติงานเป็นผู้มีความรู้และเข้าใจในหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบ กฎ ข้อบังคับ มติ กฎหมาย และ นโยบายอย่างถ่องแท้ และมีทักษะ ความสามารถในการนำความรู้ที่มีอยู่ไปใช้ใน การปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดี สามารถแก้ปัญหา ด้วยมีปฏิภาณ ไหวพริบ เป็นอย่างดี รักและชอบงานที่ทำอย่างเต็มใจ จริงใจและทุ่มเท ๓. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และปรับปรุงงาน เป็นผู้ มีความสามารถในการคิดริเริ่ม หาหลักการ แนวทาง วิธีการ ใหม่ ๆ มาใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงาน ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสามารถทำงานที่ยาก หรืองานใหม่ให้สำเร็จเป็นผลดี ๔. ความพากเพียรในการทำงาน และมีผลงานที่เป็นที่น่าพอใจnเป็นผู้ มีความกระตือรือร้น ต้องการที่จะปฏิบัติงาน ที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ ขยันหมั่นเพียร เสียสละ และอุทิศเวลาให้งาน จนได้รับการยกย่องในความสำเร็จของงานอยู่ เป็นประจำจะสังเกตจากการได้รับ รางวัลชนะเลิศในระดับจังหวัด ระดับเขต และประเทศอยู่เป็นประจำนอกจาก นี้ยัง สามารถปฏิบัติงานในภาวะที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การสนับสนุนให้เภสัชกรเรียนเวชปฏิบัติ เพื่อมาปฏิบัติงานใน รพ.ตำบล ทดแทนการขาดแคลนแพทย์
๑๐๗ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 ๕. การคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมและประชาชนการ ปฏิบัติงานได้ยึดหลักผลประโยชน์ของส่วนรวมและประชาชนเป็น สำคัญ และ สอดคล้องกับความต้องการของส่วนรวมและประชาชน โดยคำนึงถึงการใช้วัสดุ อุปกรณ์และสาธารณูปโภคได้ อย่างประหยัดและเหมาะสม ตลอดจนร่วมมือ ช่วยเหลือ และประสานงานระหว่างราชการกับประชาชนอย่างทุ่มเทและ จริงใจ
๑๐๘ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 สรุปสาระสำคัญรายวิชา ชื่อรายวิชา การดำเนินการทางวินัยของ อปท. ผู้บรรยาย อาจารย์แสงจันทร์ ดวงระหว้า วันที่ 13 กันยายน 2566 เวลา 09.00-16.00 น. ผู้บันทึก นายอภิวัฒน์ คำเขื่อน หัวหน้าฝ่ายอำนวยการ กลุ่มที่ 5 หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วินัยและการด าเนินการทางวินัย พนักงานส่วนท้องถิ่น ความหมาย คำว่า “วินัย”มี ๒ ความหมาย คือ ๑. ระเบียบ กฎเกณฑ์แบบแผนความประพฤติที่กำหนดให้ข้าราชการต้องยึดถือปฏิบัติ ๒. ลักษณะเชิงพฤติกรรมที่แสดงออกมาว่าสามารถควบคุมตนเองให้อยู่ในกรอบของวินัยประเภทของวินัย มี ๒ ประเภท คือ ๒.๑ วินัยอย่างไม่ร้ายแรง ๒.๒ วินัยอย่างร้ายแรงฐานความผิด มี๑๘ ฐาน (ศึกษาเพิ่มเติม ที่หัวข้อมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับ วินัย และการรักษา วินัย และการด าเนินการ ทางวินัยฯ ข้อ ๖-๒๓ ) สถานโทษทางวินัยของพนักงานท้องถิ่น (ข้าราชการ) มี ๕ สถาน คือ ๑. วินัยอย่างไม่ร้ายแรง (๑) ภาคทัณฑ์ (๒) ตัดเงินเดือน (๓) ลดขั้นเงินเดือน ๒. วินัยอย่างร้ายแรง (๔) ปลดออก (๕) ไล่ออก สถานโทษทางวินัยลูกจ้าง/พนักงานจ้าง มี ๔ สถาน คือ (๑) ภาคทัณฑ์ (๒) ตัดค่าตอบแทน (๓) ลดค่าตอบแทน (๔) ไล่ออก การจะถือว่าเป็ นความผิดทางวินัยฐานใดได้พฤติ-การณ์ที่กระท าหรือละเว้นการกระท าต้องครบองค์ประกอบความผิดใน ฐานนั้น หากไม่ครบองค์ประกอบความผิด จะถือว่าเป็ นความผิดทางวินัยฐานนั้นไม่ได้หน้าที่ของผู้บังคับบัญชาด้านวินัย ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ มีหน้าที่ ๑) เสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัย โดยปฏิบัติตนเป็ นแบบอย่างที่ดีให้การอบรม จูงใจ สร้างขวัญและก าลังใจ หรือการอื่นใดในการ เสริมสร้างพัฒนาทัศนคติและจิตส านึกให้มีวินัย ๒) ป้องกันมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระท าผิดวินัยโดยเอาใจใส่ สังเกตการณ์และขจัดเหตุที่อาจก่อให้เกิด
๑๐๙ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 การท าผิดวินัย ๓) ดาเนินการทางวินัยทันทีเมื่อมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระท าผิดวินัย (กรณีเป็น ผู้บังคับบัญชาอื่นที่มิใช่ นายก อปท.จะต้องได้รับมอบอ านาจจากนายก อปท.ก่อน) หากมีการร้องเรียนกล่าวหาว่าพนักงาน ส่วนท้องถิ่นผู้ใดกระท าผิดวินัย โดยมีพยานหลักฐานในเบื้องต้นอยู่แล้ว ให้ด าเนินการทางวินัยทันที(ค าว่า“ทันที” คือ ในขณะนั้นเอง) - กล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงให้สอบสวนตามที่นายก อปท.เห็นสมควร - กล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงให้นายก อปท.แต่งตั้งกรรมการขึ้นทาการสอบสวนการชี้มูลความผิดทาง วินัยเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการทางวินัยซึ่งนายก อปท. ไม่ต้องสอบข้อเท็จ จริงใหม่อีก (เว้นแต่ การชี้มูลซึ่งไม่ปรากฏชื่อผู้ถูกชี้มูล อาจตรวจสอบชื่อจากเอกสารได้) ๑. ชี้มูลว่ากระท าผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้ดำเนินการสอบสวนตามที่นายก อปท. เห็นสมควร ๒. ชี้มูลว่ากระท าผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้นายกอปท.แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นท าการสอบสวนลักษณะการชี้มูล ชี้มูลความผิดโดยหน่วยงานของรัฐ ๑. ป.ป.ช.ชี้มูล ตามมาตรา ๙๒ พ.ร.บ. ป.ป.ช.ให้นายก อปท.ใช้เป็นส นวนการสอบสวนทางวินัยพิจารณาลงโทษผู้ถูก กล่าวหาได้เลยภายใน ๓๐ วันนับแต่วันรับเรื่อง (ส่งให้ก.จังหวัด เห็นชอบก่อน) และส่งค าสั่งลงโทษไปยัง ป.ป.ช.ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันออกค าสั่งลงโทษ ๒. สตง.ชี้มูลตามมาตรา ๔๖ แห่ง พ.ร.บ.สตง. และให้รายงานภายใน ๙๐ วัน หากเป็นการชี้มูลฐานทุจริต (เป็นวินัยอย่าง ร้ายแรง) นายก อปท.ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทาการสอบสวน (ใช้แบบ สว.๑) ๓. สตง.ชี้มูลตามมาตรา ๔๔ แห่ง พ.ร.บ. สตง. และให้รายงานภายใน ๖๐ วัน คือการชี้มูลฐานไม่ปฏิบัติตามระเบียบ นายก อปท.ต้องแต่งตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย (จะเป็นร้ายแรงหรือไม่อยู่ที่การชี้มูล ส่วนใหญ่ควรตั้งไม่ร้ายแรงก่อน หากพบร้ายแรงจึงตั้งใหม่) ๔. กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอชี้มูลตามกฎหมายนั้น ๆ นายก อปท. ต้องตรวจสอบว่าหนังสือแจ้งให้ดำเนินการ ทางวินัยอย่างร้ายแรง “การดำเนินการทางวินัย” ปรัชญาของการด าเนินการทางวินัย มี๓ ประการ ได้แก่ (๑) หลักความยุติธรรม (Justice) (๒) หลักความเป็นธรรม (Fairness) (๓) หลักความรวดเร็ว (Promptness) หมายเหต ุJustice delayed is justice denied = “ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือ ความอยุติธรรม”คุณสมบัติของผู้ด าเนิน การทางวินัย มี ๓ ประการได้แก่ (๑) มีความรอบรู้(knowledge) (๒) มีคุณธรรม (Morality) (๓) มีความกล้าหาญ (Fearlessly) สิทธิของผู้ดำเนินการทางวินัย มี ๓ ประการ ได้แก่ (๑) สิทธิรายงานข้อเท็จจริง (๒) สิทธิใช้ดุลพินิจวินิจฉัยข้อเท็จจริง (๓) สิทธิใช้ดุลพินิจเสนอแนะการลงโทษ ลักษณะเฉพาะของ“วินัย” มี ๓ ประการ ดังนี้
๑๑๐ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 (๑) การด าเนินการทางวินัย ไม่มีอายุความ(นายกอปท.สามารถด าเนินการได้ตลอดเวลาที่ยังรับราชการอยู่) (๒) ผู้ถูกดำเนินการทางวินัยต้องมีสถานภาพเป็นข้าราชการ (เว้นแต่ ถูกร้องเรียนกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง เป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีหน้าที่ สืบสวนสอบสวน แม้จะออกจากราชการไปแล้ว มิใช่ออกเพราะตาย นายกฯ มี อำนาจดำเนินการเสมือนว่ายังมิได้ออก แต่ต้องสั่งลงโทษ ภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ออก) (๓) นายก อปท. สังกัดปัจจุบันเท่านั้นมีอำนาจออกคำสั่ง***จะดำเนินการทางวินัยผู้ออกจากราชการไปแล้ว ได้หรือไม่??? - ต้องถูกกล่าวหาไว้ก่อนออกจากราชการ จึงจะดำเนินการทางวินัยได้ ๑. กล่าวหาเป็นหนังสือ ๒. ต่อผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีหน้าที่สืบสวนสอบสวน หรือตรวจสอบตามกฎหมาย ๓. ว่ากระผิดวินัยอย่างร้ายแรง(แต่ถ้าถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง นายก อปท.ไม่อาจดำเนินการทางวินัย ได้) หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือ ต้องหาคดีอาญา (เว้นแต่ประมาทหรือลหุโทษ) ๔. นายก อปท.สามารถดำเนินการทางวินัยได้เสมือนว่าผู้นั้นยังมิได้ออกจากราชการ ๕. หากผลการสอบสวนพิจารณาเห็นว่าผู้นั้นจะถูกลงโทษทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง (ภาคทัณฑ์/ตัดเงินเดือน/ลดขั้น เงินเดือน) ก็ให้งดโทษเสีย - ต้องสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ภายใน ๑ ปีนับแต่วันที่ออก - สั่งลงโทษทางวินัย ภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ออก - กรณีเป็นความผิดปรากฏชัดแจ้ง สั่งลงโทษ ภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ออก *** อนึ่ง กรณี ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. มีมติชี้มูลความผิดแก่ผู้ที่ออกจากราชการไปแล้ว ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขข้างต้น แต่การดำเนินการทางวินัยและการสั่งลงโทษ จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท.แล้วแต่กรณี
๑๑๑ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 บทที่ 3 กรณีศึกษาการขาดองค์ความรู้ในการทำงานที่ถูกต้อง 1. หลักการและเหตุผล / ปัญหา / อุปสรรค ในองค์กรใดก็ตาม การนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ผู้ขับเคลื่อนนำพา องค์กรคือ นักบริหาร ซึ่งนักบริหารที่ดีนั้นต้องเป็นทั้งผู้มีศาสตร์และศิลป์กล่าวคือ มีความรู้ในเชิงบริหารและ ศิลปะในการใช้คนให้ เหมาะกับงาน โดยหวังความสำเร็จของงานเป็นสำคัญ แต่ทั้งนี้ต้องให้บุคลากรที่ทำงาน ด้วยมีความสุขและความพึงพอใจใน งานนั้น ๆ ด้วย จึงจะถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง เพราะว่า การบริหารไม่ว่าจะรูปแบบผู้นำโครงสร้างระบบ ราชการและหน้าที่ของนักบริหารในองค์กรแห่งหนึ่งสามารถ นำมาประยุกต์ใช้ได้กับองค์กร เรียกว่า วิธีที่ดีที่สุด (One Best Way) อย่างไรก็ตามนักบริหารในแต่ละองค์กรจะเผชิญกับสถานการณ์เฉพาะที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่มีหลักสากลใดที่ไม่ สามารถใช้ได้กับทุก ปัญหา นักบริหารจึงต้องศึกษาการบริหารโดยมีประสบการณ์จากกรณีศึกษาจำนวนมาก และวิเคราะห์ ว่าวิธีการใดที่สามารถใช้ในสถานการณ์นั้น ๆ ได้ดีที่สุด นักบริหารมืออาชีพ คือ ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารงานหรือกิจการต่าง ๆ ในองค์กรให้ประสบความสำเร็จ ตามเป้าหมาย หรือนโยบายขององค์กร ด้วยเหตุผลและหลักการซึ่งเป็นที่ยอมรับ โดยประยุกต์ทฤษฎีหรือแนวทางต่าง ๆ อย่างผสมผสานกลมกลืนกันแล้วนำไปสู้การปฏิบัติ โดยอาศัยความรู้ความสามารถของตนเองและความร่วมมือของผู้อื่น นั้น คือ นักบริหารมืออาชีพจำต้องเป็นบุคคลที่มีทักษะทางความคิดรวมยอดและทักษะทางมนุษย์สัมพันธ์ให้มากกว่าทักษะด้าน อื่น ๆ กล่าวคือมีความเข้าใจว่างานของตนมีบทบาทหน้าที่อย่างไร แบ่งงานอะไรบ้าง และต้องมีความสัมพันธ์กับหน่วยงาน อื่นอย่างไรบ้าง รวมทั้งมีความสามารถที่จะทำงานร่วมกับคนอื่นได้ มีมนุษย์สัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานส่วนทักษะในการ ทำงานที่เกี่ยวกับกิจกรรมเฉพาะอย่าง เช่น การพิมพ์หนังสือ การร่างหนังสือ ก็ควรจะมีเช่นกันแต่มีน้อยกว่าทักษะทาง ความคิดรวมยอดและทักษะทางมนุษย์สัมพันธ์ได้ มีนักวิชาการท่านหนึ่งได้คิดทักษะที่จำเป็นของนักบริหารมืออาชีพ คือ ทักษะทางวิสัยทัศน์ (Vision skill) เป็นทักษะในการมองอนาคตข้างหน้าและคาดการณ์ล่วงหน้าได้ กับทักษะการวางแผนกลยุทธ์(Strategic skill) เ ป็ น ทักษะในการวางแผนในการดำเนินงานทั้งวางแผนคาดการณ์ข้างหน้า วางแผนแก้ปัญหา วางแผนระยะสั้นและวางแผน ระยะยาว สภาพปัญหา 1. ด้านแผนงาน พบปัญหาดังนี้ แผนดำเนินงานประจำปี - กรณีจัดทำงบประมาณเพิ่มเติมหรือจ่ายขาดเงินสะสมหรือได้รับแจ้งแผนงาน/โครงการเพิ่มเติมจาก หน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่ดำเนินการในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน ปีงบประมาณนั้น ๆ ส่วนใหญ่มิได้จัดทำแผนการดำเนินงานเพิ่มเติม ฉบับที่ 1,2,3,....
๑๑๒ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 - รายละเอียดของโครงการ/กิจกรรม และระยะเวลาการดำเนินการในบัญชีโครงการ/กิจกรรม/ งบประมาณ ไม่ครบถ้วน (หนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0810.2/ว 4298 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2548) - การติดตามและประเมินผลแผนพัฒนาท้องถิ่น ทำหน้าที่ไม่ครบถ้วน เช่น กระทรวงมหาดไทย มิได้ กำหนดแนวทาง วิธีการในการติดตามประเมินผลแผนพัฒนา - มิได้รายงานการประเมินผลของปีงบประมาณนั้นๆ ต่อสภาท้องถิ่น ผู้บริหารส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการพัฒนาท้องถิ่น - มิได้ประกาศผลการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนาให้ประชาชนในท้องถิ่นทราบโดยทั่วกัน (ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฑ.ศ.2548 ข้อ 29) - การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น ในการเสนอโครงการเพื่อบรรจุในแผนพัฒนาท้องถิ่นยังไม่สอดคล้องกับ ความต้องการของประชาชนและส่วนใหญ่ยังเป็นความต้องการของคนบางกลุ่มเท่านั้น - คณะกรรมการการจัดทำแผนไม่เข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนเองรวมถึงการให้ความสำคัญในพื้นที่ 2.ด้านการบริหารงาน พบปัญหาดังนี้ 2.1 การจัดทำงบประมาณรายจ่ายให้สอดคล้องกับการจ่ายจริง จึงเป็นผลให้มีการโอนงบประมาณใน ระหว่างปี 2.2 การออกใบอนุญาตต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามห้วงระยะเวลามาตรฐานกำหนด 2.3 การดูแลและควบคุมดูแล งานทะเบียนราษฎร รวมถึงการสวมบัตร 2.4 การเบิกจ่ายงบประมาณในการดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว 3. ด้านบริหารทรัพยากร พบปัญหาดังนี้ 3.1 การบรรจุแต่งตั้ง โอนย้าย พนักงานมีโอกาสที่จะมีการแทรกแซงจากผู้บริหารและมีการกลั่นแกล้ง 3.2 การเลื่อนระดับ ต้องมีการติดตามและการเรียกรับเพื่อเลื่อนระดับ 3.3 การเลื่อนขั้นเงินเดือนมีการเหลื่อมล้ำในการเลื่อนขั้น โดยบางครั้งไม่ได้พิจารณาจากผลงานของ พนักงานอย่างแท้จริง 3.4 การเรียกรับเงินจากประชาชนผู้รับบริการ 4. ด้านบริหารทรัพยากรและงบประมาณ พบปัญหาดังนี้ 4.1 การติดตาม ตรวจสอบทรัพย์สินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่เป็นปัจจุบัน และไม่มีแผนงานใน การบำรุงรักษาและการใช้ที่เป็นปัจจุบัน 4.2 มีข้อจำกัดในเรื่องของงบประมาณสำหรับใช้ในการดำเนินงานแต่ละส่วนงาน
๑๑๓ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 4.3 ครุภัณฑ์ มีความล้าสมัย ไม่เหมาะสมต่อการใช้งานในปัจจุบันโดยเฉพาะครุภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ เทคโนโลยี 4.4 การควบคุมดูแลการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ ในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นการดำเนินงานที่องคาพยพเพื่อเป็นการพลักดันให้ หน่วยงานในองค์กรได้ดำเนินงานให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน นอกจากอำนาจหน้าที่แล้วยังรวมถึงความเข้าใจในระเบียบ กฎหมาย ข้อบังคับ ที่กำหนดแนวทางให้มีการปฏิบัติงานที่ ถูกต้องและโปร่งใส ซึ่งในการดำเนินงานของนักบริหารงานทั่วไปต้องควบคุม ดูแล งานที่อยู่ในความรับผิดชอบหลายด้านจึง ทำให้ขาดองค์ความรู้ในบางเรื่อง จึงทำให้เกิดความผิดพลาดในการทำงานเกิดขึ้นได้ แนวคิดทฤษฎี มีทฤษฎีหลากหลายทฤษฎีทั้งไทยและต่างประเทศที่วิเคราะห์ได้ว่า “นักบริหาร” เป็น “นักบริหารมือ อาชีพ” หรือไม่อย่างไร ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างทฤษฎีสามภูมิ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ทฤษฎีสามภูมิ เป็นทฤษฎีของไทยเรามีมาช้านานแล้วแต่ก็ยังใช้ได้ในปัจจุบัน คือ นักบริหารมืออาชีพ ควรมีทั้งสามภูมิ คือ ภูมิรู้ ๓มิธรรม และภูมิฐาน 1. ภูมิรู้ คือ ความรู้ความสามารถ เช่น มีความรู้ทางทฤษฎีการบริหารและสามารถนำความรู้ทางการ บริหารไปใช้ในการบริหารงานได้ มีความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ของตนว่ามีบทบาทอะไรบ้าง รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับกฎ ระเบียบ หนังสือสั่งการ เหตุบ้านการณ์เมือง เป็นต้น 2. ภูมิธรรม คือ มีความประพฤติดี ประพฤติชอบ มีคุณธรรม เช่นมีความซื่อสัตย์ มีความโปร่งใส มีความ ยุติธรรมในการทำงาน มีหิริโอตตัปปะ และขันติโสรัจจะ เป็นต้น 3. ภูมิฐาน คือ มีบุคลิกลักษณะดี รูปร่างหน้าตาท่าทางดี การแต่งกายเรียบร้อย เป็นแบบอย่างที่ดี แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง หลักการทรงงานของศาสตร์พระราชา 23 หลักการ 1. จะทำอะไรต้องศึกษาข้อมูลให้เป็นระบบ ทรงศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่างเป็นระบบจากข้อมูลเบื้องต้น ทั้งเอกสาร แผนที่ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และราษฎรในพื้นที่ให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ได้จริงอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และตรงตามเป้าหมาย 2. ระเบิดจากภายใน จะทำการใดๆ ต้องเริ่มจากคนที่เกี่ยวข้องเสียก่อน ต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้เกิดความเข้าใจ และอยากทำ ไม่ใช่การสั่งให้ทำ คนไม่เข้าใจก็อาจจะไม่ทำก็เป็นได้ ในการทำงานนั้นอาจจะต้องคุยหรือประชุมกับลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หรือคนในทีมเสียก่อน เพื่อให้ทราบถึงเป้าหมายและวิธีการต่อไป 3. แก้ปัญหาจากจุดเล็ก
๑๑๔ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 ควรมองปัญหาภาพรวมก่อนเสมอ แต่เมื่อจะลงมือแก้ปัญหานั้น ควรมองในสิ่งที่คนมักจะมองข้าม แล้ว เริ่มแก้ปัญหาจากจุดเล็กๆ เสียก่อน เมื่อสำเร็จแล้วจึงค่อยๆ ขยับขยายแก้ไปเรื่อยๆ ทีละจุด เราสามารถเอามาประยุกต์ใช้ กับการทำงานได้ โดยมองไปที่เป้าหมายใหญ่ของงานแต่ละชิ้น แล้วเริ่มลงมือทำจากจุดเล็กๆ ก่อน ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ แก้ไปที ละจุด งานแต่ละชิ้นก็จะลุลวงไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ “ถ้าปวดหัวคิดอะไรไม่ออก ก็ต้องแก้ไขการปวดหัวนี้ก่อน มัน ไม่ได้แก้อาการจริง แต่ต้องแก้ปัญหาที่ทำให้เราปวดหัวให้ได้เสียก่อน เพื่อจะให้อยู่ในสภาพที่ดีได้…” 4. ทำตามลำดับขั้น เริ่มต้นจากการลงมือทำในสิ่งที่จำเป็นก่อน เมื่อสำเร็จแล้วก็เริ่มลงมือสิ่งที่จำเป็นลำดับต่อไป ด้วยความ รอบคอบและระมัดระวัง ถ้าทำตามหลักนี้ได้ งานทุกสิ่งก็จะสำเร็จได้โดยง่าย… ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเริ่มต้นจากสิ่งที่ จำเป็นที่สุดของประชาชนเสียก่อน ได้แก่ สุขภาพสาธารณสุข จากนั้นจึงเป็นเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และสิ่งจำเป็น ในการประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภค เน้นการปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ราษฎร สามารถนำไปปฏิบัติได้ และเกิดประโยชน์สูงสุด “การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน ใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานที่มั่นคงพร้อมพอสมควร สามารถปฏิบัติได้แล้วจึงค่อยสร้างเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้น โดยลำดับต่อไป…” พระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517 5. ภูมิสังคม ภูมิศาสตร์ สังคมศาสตร์ การพัฒนาใดๆ ต้องคำนึงถึงสภาพภูมิประเทศของบริเวณนั้นว่าเป็นอย่างไร และสังคมวิทยาเกี่ยวกับ ลักษณะนิสัยใจคอคน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีในแต่ละท้องถิ่นที่มีความแตกต่างกัน “การพัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิ ประเทศทางภูมิศาสตร์และภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ ในสังคมวิทยา คือนิสัยใจคอของคนเรา จะไปบังคับให้คนอื่นคิด อย่างอื่นไม่ได้ เราต้องแนะนำ เข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไรจริงๆ แล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจหลักการของการพัฒนานี้ก็จะเกิด ประโยชน์อย่างยิ่ง” 6. ทำงานแบบองค์รวม ใช้วิธีคิดเพื่อการทำงาน โดยวิธีคิดอย่างองค์รวม คือการมองสิ่งต่างๆ ที่เกิดอย่างเป็นระบบครบวงจร ทุก สิ่งทุกอย่างมีมิติเชื่อมต่อกัน มองสิ่งที่เกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยง 7. ไม่ติดตำรา เมื่อเราจะทำการใดนั้น ควรทำงานอย่างยืดหยุ่นกับสภาพและสถานการณ์นั้นๆ ไม่ใช่การยึดติดอยู่กับแค่ ในตำราวิชาการ เพราะบางที่ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด บางครั้งเรายึดติดทฤษฎีมากจนเกินไปจนทำอะไรไม่ได้เลย สิ่งที่ เราทำบางครั้งต้องโอบอ้อมต่อสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สังคม และจิตวิทยาด้วย 8. รู้จักประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด ในการพัฒนาและช่วยเหลือราษฎร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงใช้หลักในการแก้ปัญหาด้วยความเรียบง่าย และประหยัด ราษฎรสามารถทำได้เอง หาได้ในท้องถิ่นและประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้นมาแก้ไข ปรับปรุง โดยไม่ต้อง ลงทุนสูงหรือใช้เทคโนโลยีที่ยุ่งยากมากนัก ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “…ให้ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูกโดยปล่อยให้ขึ้นเอง ตามธรรมชาติจะได้ประหยัดงบประมาณ…” 9. ทำให้ง่าย ทรงคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุงและแก้ไขงาน การพัฒนาประเทศตามแนวพระราชดำริไปได้โดยง่าย ไม่ ยุ่งยากซับซ้อนและที่สำคัญอย่างยิ่งคือ สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนและระบบนิเวศโดยรวม “ทำให้ ง่าย”
๑๑๕ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 10. การมีส่วนร่วม ทรงเป็นนักประชาธิปไตย ทรงเปิดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับได้มาร่วมแสดง ความคิดเห็น “สำคัญที่สุดจะต้องหัดทำใจให้กว้างขวาง หนักแน่น รู้จักรับฟังความคิดเห็น แม้กระทั่งความวิพากษ์วิจารณ์ จากผู้อื่นอย่างฉลาดนั้น แท้จริงคือ การระดมสติปัญญาละประสบการณ์อันหลากหลายมาอำนวยการปฏิบัติบริหารงานให้ ประสบผลสำเร็จที่สมบูรณ์นั่นเอง” 11. ต้องยึดประโยชน์ส่วนรวม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงระลึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “…ใคร ต่อใครบอกว่า ขอให้เสียสละส่วนตัวเพื่อส่วนรวม อันนี้ฟังจนเบื่อ อาจรำคาญด้วยซ้ำว่า ใครต่อใครมาก็บอกว่าขอให้คิดถึง ประโยชน์ส่วนรวม อาจมานึกในใจว่า ให้ๆ อยู่เรื่อยแล้วส่วนตัวจะได้อะไร ขอให้คิดว่าคนที่ให้เป็นเพื่อส่วนรวมนั้น มิได้ให้ ส่วนรวมแต่อย่างเดียว เป็นการให้เพื่อตัวเองสามารถที่จะมีส่วนรวมที่จะอาศัยได้…” 12. บริการที่จุดเดียว ทรงมีพระราชดำริมากว่า 20 ปีแล้ว ให้บริหารศูนย์ศึกษาการพัฒนาหลายแห่งทั่วประเทศโดยใช้หลักการ “การบริการรวมที่จุดเดียว : One Stop Service” โดยทรงเน้นเรื่องรู้รักสามัคคีและการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันด้วยการ ปรับลดช่องว่างระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 13. ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเข้าใจถึงธรรมชาติและต้องการให้ประชาชนใกล้ชิดกับ ทรัพยากรธรรมชาติ ทรงมองปัญหาธรรมชาติอย่างละเอียด โดยหากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติจะต้องใช้ธรรมชาติเข้า ช่วยเหลือเราด้วย 14. ใช้อธรรมปราบอธรรม ทรงนำความจริงในเรื่องธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักการแนวทางปฏิบัติในการแก้ไข ปัญหาและปรับปรุงสภาวะที่ไม่ปกติเข้าสู่ระบบที่ปกติ เช่น การบำบัดน้ำเน่าเสียโดยให้ผักตบชวา ซึ่งมีตามธรรมชาติให้ดูด ซึมสิ่งสกปรกปนเปื้อนในน้ำ 15. ปลูกป่าในใจคน การจะทำการใดสำเร็จต้องปลูกจิตสำนึกของคนเสียก่อน ต้องให้เห็นคุณค่า เห็นประโยชน์กับสิ่งที่จะทำ…. “เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและจะรักษา ต้นไม้ด้วยตนเอง” 16. ขาดทุนคือกำไร หลักการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่มีต่อพสกนิกรไทย “การให้” และ “การเสียสละ” เป็นการกระทำอันมีผลเป็นกำไร คือความอยู่ดีมีสุขของราษฎร 17. การพึ่งพาตนเอง การพัฒนาตามแนวพระราชดำริ เพื่อการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้มี ความแข็งแรงพอที่จะดำรงชีวิตได้ต่อไป แล้วขั้นต่อไปก็คือ การพัฒนาให้ประชาชนสามารถอยู่ในสังคมได้ตาม สภาพแวดล้อมและสามารถ พึ่งตนเองได้ในที่สุด 18. พออยู่พอกิน ให้ประชาชนสามารถอยู่อย่าง “พออยู่พอกิน” ให้ได้เสียก่อน แล้วจึงค่อยขยับขยายให้มีขีดสมรรถนะที่ ก้าวหน้าต่อไป
๑๑๖ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 19. เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิต ให้ดำเนินไป บน “ทางสายกลาง” เพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และการ เปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งปรัชญานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งระดับบุคคล องค์กร และชุมชน 20. ความซื่อสัตย์สุจริต จริงใจต่อกัน ผู้ที่มีความสุจริตและบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อย ก็ย่อมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้มากกว่าผู้ที่มี ความรู้มาก แต่ไม่มีความสุจริต ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ 21. ทำงานอย่างมีความสุข ทำงานต้องมีความสุขด้วย ถ้าเราทำอย่างไม่มีความสุขเราจะแพ้ แต่ถ้าเรามีความสุขเราจะชนะ สนุกกับ การทำงานเพียงเท่านั้น ถือว่าเราชนะแล้ว หรือจะทำงานโดยคำนึงถึงความสุขที่เกิดจากการได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นก็ สามารถทำได้ “…ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกัน ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น…” 22. ความเพียร การเริ่มต้นทำงานหรือทำสิ่งใดนั้นอาจจะไม่ได้มีความพร้อม ต้องอาศัยความอดทนและความมุ่งมั่น ดังเช่น พระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” กษัตริย์ผู้เพียรพยายามแม้จะไม่เห็นฝั่งก็จะว่ายน้ำต่อไป เพราะถ้าไม่เพียรว่ายก็จะตกเป็น อาหารปู ปลาและไม่ได้พบกับเทวดาที่ช่วยเหลือมิให้จมน้ำ 23. รู้ รัก สามัคคี รู้ คือ รู้ปัญหาและรู้วิธีแก้ปัญหานั้น รัก คือ เมื่อเรารู้ถึงปัญหาและวิธีแก้แล้ว เราต้องมีความรัก ที่จะลงมือทำ ลงมือแก้ไขปัญหานั้น สามัคคี คือ การแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่สามารถลงมือทำคนเดียวได้ ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกัน ทฤษฎีตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง องค์ประกอบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
๑๑๗ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 เศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วยคุณลักษณะ 3 ประการ และเงื่อนไข 2 ประการ หรือที่เรียกว่า 3 ห่วง 2 เงื่อนไข คือ ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีต่อความจำเป็น และเหมาะสมกับฐานะของตนเอง สังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป และต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจดำเนินการเรื่องต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลตามหลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลัก ศีลธรรมจริยธรรม และวัฒนธรรมที่ดีงาม โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบรู้และรอบคอบ ระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ไม่ ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม เพื่อให้สามารถปรับตัวและรับมือได้อย่างทันท่วงที เงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้การตัดสินใจ และการกระทำเป็นไปพอเพียง จะต้องอาศัยทั้งคุณธรรมและความรู้ ดังนี้ เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องสร้างเสริมให้เป็นพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ ประกอบด้วย ด้านจิตใจ คือการตระหนัก ในคุณธรรม รู้ผิดชอบชั่วดี ซื่อสัตย์สุจริต ใช้สติปัญญาอย่างถูกต้องและเหมาะสมในการดำเนินชีวิต และด้านการกระทำ คือมีความขยันหมั่นเพียร อดทน ไม่โลภ ไม่ตระหนี้ รู้จักแบ่งปัน และรับผิดชอบในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วยการฝึกตนให้มีความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน มีความ รอบคอบ และความระมัดระวังที่จะนำความรู้ต่าง ๆ เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และใน ขั้นปฏิบัติ การนำเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ ต้องคำนึงถึง 4 มิติ ดังนี้ ด้านเศรษฐกิจ ลดรายจ่าย / เพิ่มรายได้ / ใช้ชีวิตอย่างพอควร / คิดและวางแผนอย่างรอบคอบ / มีภูมิคุ้มกัน / ไม่เสี่ยงเกินไป / การเผื่อทางเลือกสำรอง ด้านสังคม ช่วยเหลือเกื้อกูล / รู้รักสามัคคี / สร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัวและชุมชน ด้านทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม รู้จักใช้และจัดการอย่างฉลาดและรอบคอบ / เลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างรู้ค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด / ฟื้นฟูทรัพยากรเพื่อให้เกิดความยั่งยืนสูงสุด ด้านวัฒนธรรม รักและเห็นคุณค่าในความเป็นไทย เอกลักษณ์ไทย / เห็นประโยชน์และคุ้มค่าของ ภูมิปัญญาไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น / รู้จักแยกแยะและเลือกรับวัฒนธรรมอื่น ๆ 3. แนวทางการแก้ไขปัญหา นักบริหาร จะเป็น “นักบริหารมืออาชีพ” ได้ต้องสำนึก รำลึกได้ ปรับใช้เป็น ตามหลักการทรงงาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 นอกจากพระองค์ท่านจะทรงด้วงทศพิธราชธรรมแล้ว ยังทรงเป็นพระราชาที่เป็น
๑๑๘ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 แบบอย่างในการดำเนินชีวิตและการทำงานแก่พสกนิกรของพระองค์และนานาประเทศอีกด้วย ผู้คนต่างประจักษ์ถึง อัจฉริยภาพของพระองค์และมีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ซึ่งแนวคิดหรือหลักการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่น้องนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตการทำงานของ “นักบริหาร” ได้ดีที่สุดของ “นักบริหารมืออาชีพ” คือ 1. จะทำอะไรต้องอาศัยข้อมูลให้เป็นระบบ ควรศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่างเป็นระบบจากข้อมูล เบื้องต้น ทั้งเอกสาร สอบถามจากเจเหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ ให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ ประโยชน์ได้จริง อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และตรงเป้าหมาย 2. ระเบิดจากภายใน พระองค์ทรงมุ่งเน้น เรื่องการพัฒนาคน ทรงตรัสว่า “ต้องระเบิดจากภายใน” จะทำ การใด ๆ ต้องเริ่มจากคนที่เกี่ยวข้องเสียก่อน ต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้เกิดความเข้าใจและอยากทำ ไม่ใช่การสั่ง ให้ทำ คนไม่เข้าใจก็อาจจะไม่ทำก็เป็นได้ในการทำงานนั้นอาจจะต้องคุยหรือประชุมกับลูกน้องเพื่อนร่วมงานด้วย 3. แก้ไขปัญหาจากจุดเล็ก ๆ การมองปัญหาภาพรวมก่อนเสมอ แล้วเริ่มลงมือทำจากจุดเล็ก ๆ ก่อนค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละจุด งานแต่ละชิ้นก็จะลุล่วงไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 4. ทำตามลำดับชั้น เริ่มลงมือทำในสิ่งที่จำเป็นก่อน แล้วลงมือทำสิ่งที่จำเป็นในลำดับถัดรองลงมา ด้วย ความรอบคอบและระมัดระวัง 5. ภูมิสังคม ภูมิศาสตร์ สังคมศาสตร์ การพัฒนาใด ๆ ต่างต้องคำนึกถึงสภาภูมิประเทศของบริเวณนั้นว่า เป็นอย่างไรและสังคมวิทยาเกี่ยวกับลีกษณะนิสัยใจคอคน 6. ทำงานแบบองค์รวม ใช้วิธีคัดเลือกการทำงานอย่างองค์รวม คือ การมองสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเป็น ระบบครบวงจร ทุกสิ่งทุกอย่างมีมิติเชื่อมต่อกัน มองสิ่งที่เกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยง 7. การมีส่วนร่วม เป็นนักประชาธิปไตย เปิดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ได้ มาร่วมแสดงความคิดเห็น รู้จักรับฟังความคิดเห็น แม้กระทั้งการวิพากษ์ วิจารณ์ จากผู้อื่นอย่างฉลาด 8. การยืดประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ 9. การซื่อสัตย์สุจริต จริงใจต่อกัน แม้แต่คนที่มีความรู้ ความสามารถน้อยน้อย แต่ถ้าทำด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตก็ยังเกิดประโยชน์ให้แก่ส่วนร่วมได้มากกว่าคนที่มีความรู้ความสามารถมากแต่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต 10. รู้ รัก สามัคคี รู้ คือ รู้ปัญหาและรู้วิธีแก้ปัญหา รัก คือ เมื่อเรารู้ ถ้าปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหาแล้วนั้น เราต้องมีความรักที่จะลงมือทำ ลงมือ แก้ไขปัญหานั้น ๆ ด้วย สามัคคี คือ การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ไม่สามารถลงมือทำให้สำเร็จด้วยตัวเองได้นั้น จึงมีความ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ ร่วมใจกันของทุกคนในองค์กร ในการระดมความรู้ความสามารถในการช่วยกันแก้ไขปัญหาที่ เกิดขึ้น ให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ถือได้ว่าเป็นความสามัคคีในหน่วยงานที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้บรรลุตาม เป้าหมาย
๑๑๙ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 4. ข้อเสนอแนะ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขององค์กรขึ้นอยู่กับศักยภาพของผู้นำ ผู้บริหาร องค์กรทุกองค์กร ปรารถนาที่จะมีผู้นำ ผู้บริหารมืออาชีพ ที่ประสบความสำเร็จ จนเป็นหลักประกันถึงความเป็นผู้นำ ผู้บริหารที่มีสมรรถนะ สูง มีคุณภาพและมีมาตรฐาน จนเป็นที่ยอมรับ ดังนั้นผู้นำ ผู้บริหารควรมีคุณลักษณะที่โดดเด่น ในเรื่องดังต่อไปนี้ 1. มีบุคลิกที่ดี (Personality) ผู้นำ ผู้บริหารมืออาชีพ ต้องเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ดี คือ “คนที่มีจิตใจแจ่มใส กายสง่า วาจาดี หรือ คนที่มาดต้องตา วาจา ต้องกาย ภายในเยี่ยม จิตแจ่มใส คือ การมีจิตใจที่ดีงาม มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน อารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาไม่บูด บึ่ง กายสง่า คือ การแต่งกาย ท่าทาง การวางตัวต้องถูกต้อง เหมาะสม ๓มิฐานและถูกกาลเทศะ วาจาดี คือ การพูดดี พูดเป็น ต้องคิดก่อนพูดไม่ใช่พูดก่อนคิด ดังคำกล่าวที่ว่า “มาดดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” 2. มีความรู้ดี (Knowledge) ผู้นำ ผู้บริหารมืออาชีพ จะต้องเป็นผู้มีความรู้ดี ผู้มีความรู้จะเป็นผู้มีบารมี เป็นที่ยอมรับ “Knowledge is Power ความรู้คืออำนาจ” ผู้ที่ประสบผลสำเร็จในการบริหารจะเป็นผู้ที่รู้กว้าง และรู้ลึก คือ know something in everything รู้บางสิ่งในทุกสิ่ง (ความรู้ทั่วไป ต้องรู้กว้างและรู้ไกล) know everything in something รู้ทุกสิ่งในบาง สิ่ง (รู้งานในหน้าที่ต้องรู้ลึก) รวมทั้งรู้อย่างถูกหลักวิชา สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาองค์การได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. มีวิสัยทัศน์ (Vision) ผู้นำ ผู้บริหารมืออาชีพต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล วิสัยทัศน์คือ สิ่งที่อยากเห็น อยากมี อยากเป็นใน อนาคตหรือภาพความสำเร็จในอนาคตที่มีความเป็นไปได้ ท้าทาย และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เป้าหมายและค่านิยมของ องค์การ ต้องเป็นผู้เรียนรู้ คือ ได้อ่าน ได้ฟัง ได้เห็น ได้ทำมาก คนที่มีวิสัยทัศน์และมุ่งมั่นปฏิบัติมักจะเป็นผู้ที่ประสบ ความสำเร็จ 4. มีมนุษย์สัมพันธ์ (Human relationship) ผู้บริหารที่สามารถนั่งในใจคนอื่นได้ คือ ผู้ที่สามารถพิชิตความสำเร็จได้อย่างน่าชื่นชมและพร้อมจะให้ อภัย ดังนั้นคุณค่าของการมีมนุษย์สัมพันธ์จึงอยู่ที่การได้รับความร่วมมือในการปฏิบัติงานการให้อภัยเมื่อผิดพลาด มีคำ กล่าวว่า “นกไม่มีขนคนไม่มีเพื่อนขึ้นที่สูงไม่ได้” นักบริหารมืออาชีพต้อง “อุ้มน้อง ประคองพี่ กอดคอเพื่อน ผู้ใหญ่ดึง ผู้น้อยดัน คนเสมอกันพยุง” และ “จริงใจกับมิตร พิชิตใจมวลชน” ดังนั้นนักบริหารมืออาชีพจึงต้องเป็นผู้มีมนุษย์ สัมพันธ์ที่ดีกับทุกคนทั้ง นาย ลูกน้อง เพื่อนและคนทั่วไป เพราะความสำเร็จในการบริหารไม่ได้เกิดจากการทำงานเพียง ลำพังของผู้บริหาร แต่เกิดจากการที่ทุกฝ่ายให้การช่วยเหลือสนับสนุน
๑๒๐ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 5. มีภาวะผู้นำ (Leadership) ผู้บริหารมืออาชีพ จะต้องเป็นผู้มีภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง สามารถนำทีมปฏิบัติงานให้สามารถบรรลุผลสำเร็จ ตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีประสิทธิผล 6. เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Chief Change officer) ผู้บริหารมืออาชีพ จะต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ดีขององค์กรโดยเฉพาะในยุคปฏิรูปยิ่งมีความ ต้องการผู้นำการเปลี่ยนแปลงจึงจะทำให้งานบรรลุผลสำเร็จ ผู้บริหารจะต้องมี “ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีความคิดและ รอบรู้ มีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง” 7. มีคุณธรรมจริยธรรม (Mural & Ethics) คุณธรรมที่สำคัญสำหรับผู้บริหารมืออาชีพ ประกอบด้วย ทศพิธราชธรรม (10) พรหมวิหาร(4) อิทธิบาท (4) เป็นต้น คุณธรรมประดุจดังโลหิตที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณผู้บริหารให้เป็นผู้“คิดดี พูดดีและทำดี” “ผู้ที่มีคุณธรรมประจำ ใจจะมีจริยธรรมที่งดงามเสมอ จึงทำให้ สามารถครองตน ครองคน ครองงาน ได้อย่างสง่างาม มีคำกล่าวว่า “ความดีฉกชิง วิ่งราวกันไม่ได้ ความชั่วทดแทนกันไม่ได้ ความกล้าแบ่งปันกันไม่ได้” นักบริหารมืออาชีพจะต้องหมั่นตรวจสอบตนเองให้ เป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรมอยู่เสมอ เสียงกู่จากผู้น้อยในคำกลอนต่อไปนี้ จะช่วยสะกิดเตือนใจนัก บริหารให้ตระหนักใน คุณค่าของความดีและมีคุณธรรม คือ “อธิษฐานตั้งใจไว้เต็มที่ เกิดชาตินี้ชาติไหนไม่รู้จบ หากเกิดเป็นผู้น้อยคอยไหว้นบ ขอ ได้พบนายที่มีคุณธรรม” 8. บริหารจัดการที่ดี(Administion & manang ement) นักบริหารมืออาชีพจะต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการ สามารถมองภาพงานได้ตลอดแนว คือ รู้จักจุดเริ่มต้นของงานและจุดสิ้นสุดของงาน และรู้จักกำหนดกลยุทธ์ในการทำงานสู่ความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ 9. มีความสามารถพิเศษรอบด้าน (Talent) นักบริหารมืออาชีพจะต้องมีความรู้และทักษะที่สำคัญอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น กล้าตัดสินใจ มีความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นนักประสานสิบทิศ รู้จักบริหารแบบมีส่วนร่วม สร้างทีมงาน และพัฒนาทีมงาน เสริมสร้างพลังอำนาจ ตลอดจนความสามารถในการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการบริหาร 10. ผู้นำวิชาการ (Professional Lader) นักบริหารมืออาชีพ จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในศาสตร์ของวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพเป็นอย่างดี มีความสามารถในการประกอบวิชาชีพจนมีความชำนาญการหรือเชี่ยวชาญในวิชาชีพมีผลงานเป็นที่ประจักษ์เป็นที่ยอมรับ ของผู้ที่ประกอบวิชาชีพด้วยกัน และผู้รับบริการ นอกจากนี้จะเป็นผู้ที่ประพฤติ ปฏิบัติตามจรรณยาบรรณวิชาชีพอย่าง เคร่งครัดเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้ประกอบวิชาชีพด้วยกัน
๑๒๑ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 เอกสารอ้างอิง จันทนา สุขุมาพันธ์.(2548).แมกไม้บริหาร:การบริหารองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยภาวะผู้นำ UBC(11.30, 2 ต.ค. 2548). จำลอง พักฟ้อน.(2548). เส้นทางสู่นักบริหารการศึกษามืออาชีพ http:// www.moe.go.th.go.th./wijai/rood%20map.htm(26 ต.ค.2548) ชมพูนุช อัครเศรณี.(2547).ทำงานแบบไหนถึงจะเป็นมืออาชีพ ELLE Thailand แอล กรุงเทพ : ศิริวัฒนาอินเตอร์พรินท์ พฤศจิกายน 2547 หน้า 244-248 ไชยา ภาวะบุตร.(2555).ความเป็นนักบริหารมืออาชีพ.สกลนคร:มหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร
๑๒๒ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105 ภาคผนวก
๑๒๓ รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105
124 รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105
125 รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105
126 รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105
127 รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105
128 รายงานผลการศึกษา หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อ านวยการระดับต้น) รุ่นที่ 105
๑๒๙ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 นักศึกษาอบรมหลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป(อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม ถึง 15 กันยายน 2566 ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย สมาชิกกิจกรรม กลุ่มที่ 1
๑๓๐ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 สมาชิกกิจกรรม กลุ่มที่ 2 สมาชิกกิจกรรม กลุ่มที่ 3
๑๓๑ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 สมาชิกกิจกรรม กลุ่มที่ 4 สมาชิกกิจกรรม กลุ่มที่ 5
๑๓๒ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 ภาพประกอบการเรียนการสอน หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วันที่ 26 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 10.00-12.00 น. ลงทะเบียนและพบปะอาจารย์ประจำโครงการฯ วันที่ 26 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 13.00-16.00 น. วิชา การยึดมั่นในความถูกต้องคุณธรรมจริยธรรมเพื่อการปฏิบัติงาน
๑๓๓ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 ภาพประกอบการเรียนการสอน หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วันที่ 27 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 09.00-12.00 น. วิชา การพัฒนาบุคลากร การบริหารงานบุคคล ความก้าวหน้า ความก้าวหน้าและสิทธิประโยชน์ของ ข้าราชการ อปท. อาจารย์ประจำวิชา นายสถาพร เสนาวงค์ ตำแหน่งนักทรัพยากรบุคคล ชำนาญการ วันที่ 27 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 13.00-16.00 น. วิชา การสร้างทีมและการบริหารทีม เวลา 16.00-19.00 น. วิชา ทักษะการประสานงาน การสื่อสาร การนำเสนอและการถ่ายทอดความรู้ อาจารย์ประจำวิชา ผศ.ดร.จินตนา ติยะรังสีนุกุล นักวิชาการอิสระ
๑๓๔ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 ภาพประกอบการเรียนการสอน หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วันที่ 28 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 09.00-12.00 น. วิชา ภาวะผู้นำกับการบริหารการเปลี่ยนแปลง อาจารย์ประจำวิชา ดร.อำนวย เถาตระกูล นักวิชาการอิสระ วันที่ 28 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 13.00-16.00 น. วิชา หลักการทำนิติกรรมและการบริหารสัญญาของท้องถิ่น อาจารย์ประจำวิชา นายกุศล แย้มสะอาด นักวิชาการอิสระ
๑๓๕ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 ภาพประกอบการเรียนการสอน หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วันที่ 29 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 09.00-12.00 น. วิชา ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยวิธีการงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2563 อาจารย์ประจำวิชา อ.ธีรเนศ แสงแป้น วันที่ 29 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 13.00-16.00 น. วิชา การพัฒนาบุคลิกภาพและพิธีการสมาคม อาจารย์ประจำวิชา ดร.มณรัตน์ นิ่มสกุล
๑๓๖ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 ภาพประกอบการเรียนการสอน หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วันที่ 30 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 09.00-12.00 น. วิชา การควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยง เวลา 13.00-16.00 น. วิชา ข้อสังเกตของหน่วยตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน อาจารย์ประจำวิชา อาจารย์พรพิชชา พานแก้ว
๑๓๗ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 ภาพประกอบการเรียนการสอน หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วันที่ 31 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 09.00-12.00 น. วิชา การจัดทำแผนปฏิบัติการและแผนยุทธศาสตร์ อาจารย์ประจำวิชา ดร.สุริยะ หินเมืองเก่า วันที่ 31 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 13.00-16.00 น. วิชา การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นและแผนปฏิบัติการและการบูรณาการแผน อาจารย์ประจำวิชา ดร.สุริยะ หินเมืองเก่า
๑๓๘ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 ภาพประกอบการเรียนการสอน หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วันที่ 1 เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 09.00-12.00 น. วิชา การเขียนแผนที่ความคิดสู่การปฏิบัติ mind mapping อาจารย์ประจำวิชา ดร.นริสานันท์ แมนผดุง วันที่ 1 เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 13.00-16.00 น. วิชา การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ เวลา 16.00 – 19.00 น. วิชา ความสามารถในการบริหารข้อมูลและการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในยุค Thailand 4.0 (Ditital Literacy) อาจารย์ประจำวิชา นายเดชรัตน์ ไตรโภค
๑๓๙ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 ภาพประกอบการเรียนการสอน หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วันที่ 2 เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 09.00-12.00 น. วิชา หลักคิดจิตอาสาและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวทางพระราชดำริฯ อาจารย์ประจำวิชา นายนิพนธ์ คชกาญจน์ นักทรัพยากรบุคคล ชำนาญการ วันที่ 2 เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 13.00-16.00 น. วิชา การบริหารผลงาน การจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ การติดตามและประเมินผล อาจารย์ประจำวิชา นางสาวฌัฌฌา ภู่เหลือ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
๑๔๐ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 ภาพประกอบการเรียนการสอน หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วันที่ 3 เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 09.00-12.00 น. วิชา หลักการบริหารพัสดุท้องถิ่นกับข้อสงสัยของหน่วยตรวจสอบ เวลา 13.00 – 16.00 น. วิชา การจัดทำโครงการและการบริหารโครงการ อาจารย์ประจำวิชา นางสาววรรณวิมล การีเกื้อ ผู้อำนวยการกองคลัง เทศบาลเมืองอโยธยา
๑๔๑ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 ภาพประกอบการเรียนการสอน หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วันที่ 4 เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 09.00-12.00 น. วิชา หลักการปฏิบัติตามระเบียบและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่น อาจารย์ประจำวิชา นายสุวิชชา เพ็งไพบูลย์ ผอ.กต.สถ. วันที่ 4 เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 13.00-16.00 น. วิชา หลักการจัดการภัยพิบัติและสาธารณภัย อาจารย์ประจำวิชา อ.ขวัญใจ ต้องกระโทก
๑๔๒ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วันที่ 4 เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 16.00-19.00 น. วิชา การคิดเชิงกลยุทธ์ อาจารย์ประจำวิชา ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ ดร.พิสิฐ โอ่งเจริญ
๑๔๓ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 ภาพประกอบการเรียนการสอน หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วันที่ 5 เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 09.00-12.00 น. วิชา การบริหารสัญญาและการตรวจรับพัสดุ อาจารย์ประจำวิชา อ.ศิลิกา การดี วันที่ 5 เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 13.00 – 16.00 น. วิชา ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดงาน การจัดกิจกรรมสาธารณะส่งเสริมกีฬาและการ แข่งขันกีฬาของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2564 และระเบียบฝึกอบรมและแนวทางปฏิบัติในการจัดทำ โครงการฝึกอบรมและศึกษาดูงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาจารย์ประจำวิชา อ.วิภาพร อินแก้ววงค์
๑๔๔ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 ภาพประกอบการเรียนการสอน หลักสูตร นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วันที่ 6 เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 09.00-12.00 น. วิชา หลักการและแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการปกครองและความรับผิดทางละเมิดและข้อมูลข่าวสาร ของทางราชการ อาจารย์ประจำวิชา อ.ชัยชนะ โขงจำปา วันที่ 6 เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 13.00-16.00 น. วิชา หลักการเขียนหนังสือราชการ การเขียนรายงานและการสรุปรายงานตามระเบียบงานสารบรรณ อาจารย์ประจำวิชา ผศ.โสภณ สาทรสัมฤทธิ์ผล
๑๔๕ นักบริหารงานทั่วไป (อำนวยการท้องถิ่นระดับต้น) รุ่นที่ 105 วันที่ 6 เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 16.00-19.00 น. วิชา การสร้างความรู้ความ้ข้าใจในองค์กร ระบบงาน และการจัดการองค์กร อาจารย์ประจำวิชา ดร.ภูนท สลัดทุกข์