รายงาน
เรื่อง กาพยเ์ ห่เรือ
โดย
นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปี ที่ ๖/๒
เสนอ
คุณครู ลขิ ิต หล้าแหล่ง
รายงานนเ้ี ป็ นส่วนหนงึ่ ของวชิ าภาษาไทย
ภาคเรยี นท่ี ๒ ปี การศกึ ษา ๒๕๖๕
โรงเรียนสตรภี เู กต็
ก
คำนำ
รายงานเลม่ น้จี ัดทาข้นึ เพอ่ื เป็นส่วนหน่งึ ของวชิ าภาษาไทยเพ่อื ให้ได้ศึกษาความรู้ในเรื่องราวของ กาพย์
เหเ่ รือ โดยได้ศึกษาผา่ นเเหล่งความรู้ต่างๆ อาทิเช่น หนงั สอื เรียนวรรณคดมี .6 เเละเเหล่งความรู้ตามเว็บไซต์
ต่างๆ โดยมีจดุ ประสงค์เพ่อื ให้ผู้จัดทาได้ศึกษาการค้นคว้าเเละนาสิง่ ที่ได้ศึกษาค้นคว้ามาสร้างเป็นชน้ิ งานเพื่อ
เป็นประโยชน์ตอ่ การเรียนการสอนของตนเองและคุณครูอีกตอ่ ไป
ผูจ้ ัดทาได้ศึกษาค้นคว้าเเละรวบรวมเเละเรียบเรียงออกมาเป็นรายงานเลม่ น้ีโดยหวังวา่ จะเป็นประโยชน์
ตอ่ ผู้อา่ น หรือนักเรียน นักศึกษาหากมีข้อผดิ พลาดประการใด ผจู้ ัดทาตอ้ งขอนอ้ มรับไวเ้ เละขออภัยมา ณ ที่น้ดี ว้ ย
คณะผูจ้ ดั ทา
สำรบญั ข
เรื่อง
คำนำ หน้ำ
สำรบญั ก
ประวัตคิ วำมเป็ นมำของกำพยเ์ ห่เรอื ข
หลกั ฐำนกำรเห่เรือในไทย ๑
ประเภทของกำเห่เรอื ๒
วธิ ีกำรและขนั้ ตอนกำรเห่เรอื ของพระรำชพิธี ๔
วธิ ีกำรพำยให้สมั พันธ์กับกำรเห่เรือ ๖
เรือพระรำชพิธี ๑๐
เห่ชมเรอื ๑๑
ทำนองที่ใช้ในกำรเห่เรอื ๑๖
แบบทดสอบ
บรรณำนุกรม ๓๕
๓๖
๕๒
๑
วัตถุประสงค์ของการเห่เรือ
การเหเ่ รือในปัจจุบันมวี ัตถปุ ระสงคท์ ่เี หน็ ได้อย่างเดน่ ชัดกค็ อื การใหจ้ ังหวะแก่ฝีพายจานวนมากในการพายเรือพระ
ราชพิธกี ระบวนพยุหยาตราทางชลมารคใหพ้ ร้อม-เพรียงเป็นระเบยี บเรียบร้อย สงา่ งาม และ เป็นการอนุรักษฟ์ ื้ นฟูมรดก
ศลิ ปวัฒนธรรม ของชาติทเ่ี กย่ี วกบั พระราชประเพณดี งั้ เดมิ ในการใชก้ ระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารค เพ่ือประกอบพระราช
กรณียกจิ ของพระมหา-กษตั ริยไ์ ทยให้คงอย่สู บื ไป
ประวตั ิความเป็ นมาของกาพย์เห่เรือ
ต้นกาเนดิ ของการเหเ่ รือน่าจะมีที่มาไดเ้ ป็น๒ ทาง ดังทีป่ ราชญโ์ บราณไดก้ ลา่ วไว้ คอื
๑. เป็นกิจกรรมท่คี นไทยคดิ ขึ้นเอง และน่าจะมีควบคมู่ ากบั การใช้เรือยาวเป็นพาหนะ เมอื่ ตอ้ งใชก้ าลงั คนจานวนมาก
ในการออกแรงพายเรือ จึงต้องมจี งั หวะสัญญาณเพอ่ื ให้ฝีพายพายไปพร้อมๆ กัน จึงจะไดแ้ รงสง่ ทมี่ ากขึ้น สมเดจ็ พระเจ้าบรม
วงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ ทรงสนั นษิ ฐานไวใ้ นนิทานโบราณคดเี รื่องท่ี ๖(ของ แปลกจากเมอื งพาราณสี)ความวา่ “แต่
เห่เรือเป็นประเพณีของไทย มิใชไ่ ดม้ าจากอินเดยี แต่มมี าเกา่ แกม่ ากเหมอื นกนั ขอ้ น้ีเหน็ ไดใ้ นบทชา้ ละวะเห่ เป็ นภาษาไทยเก่า
มาก คงมีบทเหอ่ น่ื ทีเ่ กา่ ปานน้ันอีก แตค่ นชน้ั หลังมาชอบให้ใชบ้ ทเหเ่ รือของเจา้ ฟ้าธรรมธเิ บศรบทเก่ากเ็ ลยสูญไป เหลือแต่ช้า
ละวะเห”่
๒. เป็นกจิ กรรมทไ่ี ทยไดร้ ับอิทธิพลมาจากอินเดยี เนื่องจากมคี าศพั ทห์ ลายคาในพธิ ีการเหเ่ รือที่เป็นคาภาษาอืน่ สมเด็จ
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพทรงสันนษิ ฐานไว้ในอธบิ ายตานานเห่เรือความวา่ “เวลาพายเรือขา้ มแมน่ ้าคงคา
มตี ้นหนคนหน่งึ ชักบทเป็นภาษาสนั สกฤตขึ้นดว้ ยค้าว่า “โอม รามะ” แลว้ วา่ อะไรตอ่ ไปอกี แตข่ า้ พเจา้ ไมเ่ ขา้ ใจ พอหมดบท
ฝีพายทั้งลาก็รับเสยี งดงั “เยอ่ ว”พรอ้ มกัน ไดค้ วามดงั น้ี จึงสนั นษิ ฐานวา่ เห่เรือหลวงน้ันเหน็ จะเป็นมนตใ์ นตาราไสยศาสตร์ ซ่ึง
พวกพราหมณ์พาเข้ามาแต่ดึกดาบรรพ์ เดมิ กค็ งจะเหเ่ ป็นภาษาสนั สกฤตแตน่ านมาก็เลอื นไปจึงกลายเป็น“เหยอวเยอ่ ว” อย่างทุก
วนั น้ีแต่ยังเรียกในตาราว่า“สวะเห”่ “ช้าลวะเห่” และ “มูลเห่” พอไดเ้ คา้ วา่ มาแต่อินเดีย”
๒
หลักฐานการเห่เรอื ในไทย
สมัยอยธุ ยาตอนต้น
ปรากฏหลักฐานในวรรณกรรมเร่ือง ลลิ ิตยวนพา่ ย ซ่งึ ได้บรรยายถงึ การยกกระบวน พยุหยาตราทพั ของสมเดจ็ พระบรม
ไตรโลกนาถ ท้งั ทางสถลมารค และทางชลมารคอยา่ งยงิ่ ใหญ่
สมยั อยุธยาตอนปลาย
มกี ารจดั กระบวนพยหุ ยาตราทางสถลมารคและทางชลมารคอยา่ งสม่าเสมอทุกรชั กาล ดังปรากฏหลักฐานการบันทึก
รายละเอยี ดไว้ชัดเจนในต้นฉบับหนงั สือสมุดไทยเร่ือง กระบวน พยุหยาตราเพชรพวง ในรัชกาลสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ซ่งึ
บนั ทกึ ขนึ้ ใหม่ พ.ศ. ๒๓๓๖ โดยบอก รายละเอยี ดว่า คดั มาจากฉบับของเกา่ คร้งั พ.ศ. ๒๒๑๙ แม้จะไมไ่ ดบ้ นั ทกึ รายละเอียด
ปลีกย่อย แสดงการเห่เรือไวเ้ ลยกต็ าม แต่หากเป็นกระบวนพยหุ ยาตราไปในการพระราชกุศล เหล่าทหารผ้แู ห่แหน ยอ่ มมีความ
รื่นเริงเบิกบานใจในบญุ กศุ ลท่ไี ดโ้ ดยเสด็จด้วยกจ็ ะมกี ารเหเ่ รือเพื่อแสดงแสนยานภุ าพทางเรืออย่างเอิกกริก ไม่เพยี งแต่เทา่ น้ัน
กระบวนพยุหยาตราทัพทางชลมารคคร้งั ไปตีเมืองเชียงใหมใ่ นรชั กาล สมเด็จพระนารายณม์ หาราช จากบันทึกคาใหก้ ารขนุ
หลวงหาวดั ก็กลา่ ววา่ มเี จ้าหน้าท่ใี นกระบวนเรือทาหน้าท่ีให้จงั หวะสัญญาณในการพายเรือและเหเ่ รือบทเห่เรือท่ีแตง่ ขึน้ ในสมัย
อยธุ ยาอีกบทหน่งึ ทน่ี บั เป็นบทเหเ่ รือท่ไี ดร้ บั ความนยิ มนามาใช้ในการเหเ่ รือพระราชพธิ สี ืบทอดมาจนถงึ ปจั จบุ นั คอื บทเห่เรื อ
พระนพิ นธข์ องเจ้าฟา้ ธรรมธิเบศรช์ ้ใี หเ้ ห็นว่าน่าจะมกี ารเหเ่ รือในยคุ นนั้ แลว้ จากทอ่ นหนง่ึ ทว่ี า่ “พลพายกรายพายทอง รอ้ งโห่โอ้
เห่มา” อยา่ งไรก็ตามไดป้ รากฏหลกั ฐานในวรรณกรรมสมยั อยธุ ยาหลายเร่ืองว่ามีการจัดริ้วกระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารคใน
การบาเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้ากฐิน เสด็จไปนมัสการพระพทุ ธบาทสระบุรี เสด็จประพาส ตอ้ นรับราชทตู ต่างประเทศ
ตลอดจนประกอบการพระราชพธิ ตี า่ งๆ ที่จดั ขน้ึ ในรอบปี ไดแ้ ก่ พระราชพิธี-อาศวยชุ แข่งเรือและพระราชพิธีไลเ่ รือ
สมยั รตั นโกสินทร์
ในสมัยรัตนโกสินทร์มวี รรณคดที ไี่ ดก้ ล่าวถงึ กระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารค คอื ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง นพิ นธ์
โดยเจา้ พระยาพระคลัง(หน)ในรชั กาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราชและลิลติ กระบวนแหพ่ ระกฐนิ พยหุ ยา
ตราทางสถลมารคและทางชลมารค พระนพิ นธใ์ นสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชิตชิโนรสเม่ือคร้งั รชั กาลท่ี๓ แต่
วรรณคดที ง้ั สองเรื่องน้ี มไิ ด้กลา่ วถึงการเหเ่ รือเลย และแมแ้ ตห่ นังสอื เรื่องอ่นื ๆ ที่แตง่ ในสมัยรัตนโกสนิ ทร์กอ่ นรัชกาลท่ี๔ ก็
มิไดก้ ลา่ วถึงเห่เรือกระบวนการหลวงดว้ ยเชน่ กนั บทเหใ่ นสมยั รตั นโกสนิ ทร์ท่จี ดั วา่ เป็นยอดของบทเหค่ อื กาพยเ์ หช่ มเครื่องคาว
หวานและวา่ ดว้ ยงานนกั ขตั ฤกษพ์ ระราชนพิ นธใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หล้านภาลยั ซ่งึ บทเห่เรือน้ใี ชส้ าหรบั การเห่เรือ
เสด็จประพาสต่อมาในรชั กาลพระบาทสมเด็จพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั พระองค์ทรงพระราชนพิ นธ์บทเหเ่ รือ๔
บทใช้เป็นบทเหเ่ รือเลน่ และเหเ่ รือหลวงสบื ทอดเป็นประเพณตี อ่ มาคอื นอกจากจะใช้สาหรับเห่ถวายเวลาเสดจ็ ลอยพระประทีป
แลว้ ยังนามาใช้เหก่ ระบวนพยหุ ยาตราถวายผ้ากฐินดว้ ยจนกลายเป็นประเพณพี ระราชพธิ ีสืบตอ่ มาในรชั กาลพระบาทสมเด็จพระ
๓
มงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์บทเห่เรือดว้ ยพระองคเ์ องและทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯให้พระบรมวงศานวุ งศ์ทรงพระ
นพิ นธ์ขึน้ ใชใ้ นพระราชพิธีดว้ ย
ในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ปรากฏหลกั ฐานวา่ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้จดั กระบวนพยหุ ยา
ตราทางชลมารคคราวฉลอง ๑๕๐ ปี กรงุ รตั นโกสนิ ทรเ์ มื่อพ.ศ.๒๔๗๕ โดยใช้เห่เรือพระนพิ นธ์ ในกรมหมน่ื พิทยาลงกรณ์ ท่ี
แตง่ ทลู เกลา้ ฯ ถวาย หลังจากนั้นการจดั กระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารค กห็ ่างหายไปนานถงึ ๓๐ ปี เนอ่ื งจากเป็นพระราชพิธี
ใหญ่และสนิ้ เปลืองงบประมาณประกอบกบั เรือพระราชพธิ ี หลายลาชารดุ และเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาจวบจนรัชกาล
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวภูมิพลอดลุ ยเดชมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รกั ษาจารีตประเพณกี ารเสดจ็ พระราช
ดาเนนิ ถวายพระกฐนิ โดยใหม้ ีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคข้นึ ใหม่ และใชบ้ ทเห่เรือของเกา่ ท่ีแตง่ ข้ึนเพอ่ื ใชใ้ นโอกาส
สาคญั บทเหเ่ รือในปัจจบุ ันจงึ มหี ลายบทซ่งึ แสดงใหเ้ หน็ ประวัตศิ าสตร์และพฒั นาการของบทเห่เรือได้อย่างดี
๔
ประเภทการเห่เรือ
การเหเ่ รือของไทยสามารถจาแนกตามลกั ษณะความแตกตา่ งได้๒ ประเภท คอื เห่เรือหลวง และเหเ่ รือเลน่
๑. เห่เรอื หลวง
คือ การเห่เรือเนื่องในการพระราชพธิ ที ม่ี กี ารจดั กระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารค ทั้งอยา่ งใหญ่ และอย่างนอ้ ย เพือ่ ให้ริว้ กระบวน
เรือ ที่จดั ข้นึ เป็นพระราชพาหนะ ในการเสดจ็ พระราชดาเนิน มีความพรอ้ มเพรียงเป็นระเบยี บเรียบรอ้ ย และสงา่ งาม โดยใชบ้ ท
เหแ่ ต่ละลกั ษณะเป็นสัญญาณและกากบั จังหวะการพายใหพ้ รอ้ มเพรียงกนั
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดารงราชานภุ าพ ทรงสันนิษฐานวา่ การเห่เรือหลวงนา่ จะได้ตน้ เคา้ จากประเทศอินเดยี
โดยพราหมณเ์ ป็นผู้นาบทมนตร์ในตาราไสยศาสตร์ ซ่งึ แตเ่ ดิมคงเป็นภาษาสนั สกฤตเขา้ มาเผยแพร่ต่อมากเ็ ลอื นกลายไป แต่ยงั คง
เรียกในตาราวา่ “สวะเห”่ “ช้าละวะเห”่ และ“มลู เห่”
๒. เหเ่ รือเล่น
ตามความหมายเดิม คอื การเหเ่ รือแบบไม่เป็นพิธีการของบุคคลทว่ั ไป เพือ่ ความสนุกสนานร่ืนเริง และกากับจงั หวะในการพาย
เรือ ใหพ้ ร้อมเพรียงกนั การพายเรือเล่นของชาวบ้านนนั้ มจี งั หวะการพายเพยี ง ๒ อย่างเทา่ น้นั คือพายจงั หวะปกติและพาย
จงั หวะจ้าจงึ ทาใหก้ ารเห่แตกตา่ งกนั ไป ตามจงั หวะการพายดว้ ย สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรง
กล่าวถึงบทเห่เรือเล่นทใี่ ชใ้ นการพายจา้ ว่า
“ตามทสี่ ังเกตมาดูเหมือนไมม่ ตี น้ บท บทอันใดฝีพายขึ้นใจกเ็ อามาใช้ร้องพรอ้ มๆ กัน เชน่ “หุย ฮา โห่ ฮ้ิว” “มาละเหวยมาละวา”
“สาระพา เฮโล” ส่วนบทเหส่ าหรบั พายปกตินน้ั ใชบ้ ทกลอน มตี น้ บทขนึ้ กอ่ น แลว้ ฝีพายรับตอ่ ไปสันนิษฐานว่าอาจเป็นบท
กลอนจากวรรณกรรมทจ่ี ากนั ได้ขนึ้ ใจ หรืออาจว่าเป็นกลอนสดเช่นเดยี วกบั การเลน่ เพลงเรือหรือกลอนดอกสร้อยสักวาก็
เป็นได้”
นอกจากนนั้ ผู้เช่ยี วชาญด้านการเห่เรือทง้ั ของกองทพั เรือและกรมศลิ ปากรยังไดก้ ลา่ วถงึ การเห่เรือเล่นว่าเป็นการเหแ่ บบไมเ่ ป็น
พธิ ีการในงานต่างๆ ดงั น้ี
พนั จา่ เอก เขียว ศขุ ภูมิ กล่าวว่า
“เป็นการเหใ่ ห้เห็นกระบวนเรือครบเตม็ พิธเี พอ่ื ใหป้ ระชาชนชม บางคร้งั อาจแทรกทานองเพลงไทยลงไปเพ่อื ให้เกิดความ
ครึกครื้น”
๕
ครแู จง้ คลา้ ยสีทอง ศลิ ปิ นแห่งชาติ สาขาศลิ ปะการแสดง (คีตศิลป์ )ประจาพ.ศ.๒๕๓๘ กล่าวถงึ การเหเ่ รือเลน่ วา่
“เป็นการเห่แบบของกรมศิลปากรเพื่อประกอบการรา่ ยราหรือเลน่ ละครตอนทีเ่ ก่ียวกบั การเหเ่ รือ”
กล่าวโดยสรปุ การเห่เรือเลน่ นอกจาก จะเป็นการร้อง เพือ่ ประกอบการพายเรือเลน่ ให้สนกุ สนานแลว้ ยงั หมายรวมถงึ การนา
แบบอยา่ งของการเห่เรือหลวงมาปรบั ปรุง เพื่อการสาธิต หรือใชป้ ระกอบการแสดงกไ็ ดด้ ้วย ดงั ปรากฏหลกั ฐาน คอื
๑. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจา้ ฟา้ กรมพระยานริศรานวุ ดั ตวิ งศ์ ทรงประดิษฐ์ ดัดแปลงทานองเห่เรือหลวงใหเ้ ขา้ กบั ทา่ ราของ
ตัวละคร แล้วนามาใชป้ ระกอบการแสดงละครดกึ ดาบรรพ์ เรียกวา่ “เห่เรือดกึ ดาบรรพ์” กรมศิลปากรไดบ้ นั ทึกเสยี งครปู ระ
เวช กุมทุ ผ้เู ป็นตน้ เสยี ง เก็บรกั ษาไว้เป็นตวั อยา่ ง
๒. พนักงานเหเ่ รือพระราชพธิ ขี องกองทพั เรือ ประดษิ ฐเ์ พ่ิมเติมขนึ้ เพื่อเป็นแนวทางการเห่แบบกองทพั เรือโดยใชท้ านองเห่เรือ
หลวงประสมกบั การรอ้ งเพลงต่างๆ เชน่ เพลงเวสสุกรรม เพลงเตา่ เห่ เพลงพม่าเห่ แลว้ ปรบั จังหวะให้เขา้ กบั การพายเรือเพ่อื
ความสนกุ สนาน เรียกว่า“เหเ่ รือออกเพลงตา่ งๆ” สาหรบั ใช้สาธติ แสดงการเหเ่ รือและแสดงกระบวนเรือในโอกาสต่างๆ
๖
วธิ กี ารและข้ันตอนในการเห่เรอื พระราชพธิ ี
การจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ทง้ั อยา่ งใหญ่ และอยา่ งนอ้ ย เป็นการพระราชพธิ สี าคัญท่ีมคี วามเป็น
ระเบียบแบบแผนตามโบราณราชประเพณี และเกย่ี วเนอ่ื งกบั องค์ประกอบอ่ืนทจ่ี าเป็นอีกหลายประการ ได้แก่
การจดั ตาแหน่งกระบวนเรือ การแตง่ กายของฝีพาย และจงั หวะในการพายเรือ โดยมีสงิ่ สาคัญท่ถี ือได้วา่ เป็น
หวั ใจของกระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารคก็คือ การเหเ่ รือ ซ่งึ มีวิธีการและข้ันตอน ดังน้ี
๑. ระเบยี บวิธีในการเหเ่ รอื
การเห่เรือในปัจจุบนั ยังคงรักษารูปแบบในสมยั โบราณไว้ แตม่ กี ารปรับเปลีย่ นวธิ ีการ และข้นั ตอนบาง
ประการไปตามข้อจากัดของปัจจัยแวดล้อมตามความเหมาะสม คือ
การจัดกระบวนเรือ จะจัดเรือทุกลาไวก้ ลางแม่น้า ยกเว้นเรือพระทน่ี ่ังทรงและเรือพระท่ีนั่งรอง จะจอด
เทยี บทา่ เพื่อรอเสดจ็ พระราชดาเนินก่อน การจัดและควบคุมกระบวนเรือทั้งหมดเป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการ
กระบวนเรือ โดยใช้สญั ญาณแตร และผู้บัญชาการกระบวนเรือจะต้องประจาอยใู่ นเรือกลองใน หรือเรือแตงโม
ซ่งึ แลน่ นาหนา้ เรือพระที่น่งั เมื่อพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั เสด็จพระราชดาเนินมาถึง และประทบั ในเรือพระ
ทนี่ ง่ั ทรงแลว้ จงึ เป็นหน้าท่ีของนายเรือเป็นผใู้ ห้สญั ญาณจับพายดว้ ยการรัวกรบั และให้สญั ญาณมือแกผ่ ้ถู ือแพน
หางนกยูง หวั เรือพระท่ีนัง่ เพ่ือโบกแพนหางนกยงู ใหส้ ัญญาณเริ่มเดินพายแก่ฝีพายอกี ทอดหน่งึ การให้จังหวะ
ในการพายเรือพระท่นี ั่ง จะใชก้ รับแทนการกระท้งุ เส้าให้จังหวะแก่ฝีพาย
การเห่เรือในกระบวนพยุหยาตราอยา่ งใหญ่ แต่เดิมตน้ เสียงจะต้องเห่ในเรือพระท่นี ่งั ทรง และห่างจาก
บุษบก ๑ เมตร แตป่ ัจจบุ ันเปลย่ี นมาเห่ในเรือพระที่นงั่ อนันตนาคราช และมฝี ีพายเป็นลูกคู่รับ การรบั จะรอ้ งรับ
เพยี งลาเดียวเท่าน้ัน ลาอ่ืนๆ ไม่ต้องร้องรับการเห่เรือในกระบวนพยุหยาตราอย่างน้อย กระบวนราบใหญ่ และ
กระบวนราบน้อย ต้นเสียงจะต้องเห่ในเรือทรงผ้าไตร พนักงานเห่เรือ จะเร่ิมเกริ่นเห่เรือ เกร่ินโคลงได้ เม่ือเรือ
พระท่ีนงั่ ทรงออกจากท่า แลว้ กาลังจะเข้ากระบวน เมื่อเกริ่นโคลงจบ เรือพระท่ีนัง่ กพ็ ร้อมที่จะเคลอื่ นตามเรือท้ัง
กระบวนพอดี การขานเสียงรับ ฝีพายจะขานรบั ข้ามทปี่ ระทบั ไม่ได้ เช่น ต้นเสียงเหอ่ ยู่ตอนหัวเรือ ก็ให้ขานรับ
เฉพาะฝี พายที่อยตู่ อนหัวเรือ ฝีพายท้ายเรือขานรับไมไ่ ด้ ถอื ว่าการขานเสียงขา้ มทีป่ ระทับเป็นเร่ืองต้องห้าม พล
ฝีพายในเรือพระทีน่ ั่งทรง เรือพระทน่ี ่ังรอง และเรือทรงผ้าไตร ทง้ั ๓ ลาน้ี สานักพระราชวังจะเป็นผู้กาหนดให้
แตง่ กายรบั เสด็จอย่างเต็มยศ หรือคร่ึงยศ หากแต่งกายเต็มยศ พลฝี พายใช้พายเงนิ พายทอง แต่หากแต่งกายปกติ
จะแต่งกายดา สวมหมวกกลีบลาดวน ใช้พายทาน้ามนั ท่าพายเรือท่ีใช้สาหรับพายในเรือพระท่ีน่งั จะเป็นท่านก
๗
บนิ เป็นหลัก หากจะเปลี่ยนท่าพายเรือ ตอ้ งขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อนเสมอ การเสด็จพระราช
ดาเนนิ กลับ หากเป็นยามพระอาทิตยอ์ ัสดงแลว้ ต้องโห่ ๓ ลา กอ่ น จึงจะออกเรือพระทีน่ ั่งได้
๒. ทานองทีใ่ ช้ในการเห่เรอื
เป็นการให้จังหวะแกฝ่ ีพายใหพ้ ายตามจังหวะ ทานองการร้อง เพื่อบงั คับใหเ้ รือแล่นไปอยา่ งเป็นระเบยี บ
สวยงามและพรอ้ มเพรียงกัน ทานองทีใ่ ชใ้ นการเหเ่ รือปัจจบุ ันมี ๓ ทานอง คือ ช้าละวะเห่ มลู เห่ และสวะเห่
ก่อนการเริ่มต้นเห่เรือตามทานองน้นั เมือ่ เรือพระท่ีน่งั ทรงเริ่มออกจากท่ามาเข้ากระบวน พนักงานต้น
เสียงเห่เรือก็จะข้นึ ตน้ เกร่ินเห่ เป็นทานองตามเน้ือความในโคลงส่สี ุภาพก่อน จึงมกั เรียกว่า เกริ่นโคลง บทเกร่ิน
ทีถ่ ือว่า ไพเราะ และยึดถือเป็นแบบอยา่ งมาจนปัจจุบันน้ี คือ โคลงส่ีสุภาพ บทเห่ชมเรือกระบวนพระนิพนธ์ใน
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร การเกริ่นโคลงเป็นการให้สัญญาณเตือนฝีพาย ให้อยู่ในท่าเตรียมพร้อม เม่ือจบเกริ่นโคลง เรือ
พระทนี่ ่ังทรง ก็เข้าท่ี และพร้อมเคลอ่ื นตามกระบวนได้ พนักงานนาเห่จงึ เร่ิมการเห่ตามทานอง คอื
๑. ช้าละวะเห่ ห รือในการเห่เรือเล่น เรียกว่า เห่ช้า เป็ นทาน องที่ใช้เริ่มต้น การเห่ มีจังหวะช้าๆ
ท่วงทานองไพเราะ ถอื เป็นการให้สญั ญาณเริ่มต้นเคลื่อนเรือในกระบวนทุกลาไปพร้อมๆ กันอย่างชา้ ๆ บทน้ี
ข้นึ ตน้ ว่า “เห่เอ๋ย...พระเสดจ็ ...โดย...แดน (ลูกคู่รบั โดยแดนชล)” การเห่ทานองชา้ ละวะเห่น้ี ฝี พายจะอย่ใู นท่า
เตรียมพร้อม จนกระท่ังลูกค่รู ับทา้ ยตน้ เสียง จึงเริ่มจงั หวะเดนิ พายจังหวะที่ ๑ บทเห่ ทเ่ี ป็นตวั อยา่ งในตอนท่เี ป็น
ทานอง ช้าละวะเห่ คือ บทท่ีเป็นกาพย์ยานีบทแรก ในพระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธเิ บศร ความว่า “พระเสดจ็ โดยแดน
ชล ทรงเรือตน้ งามเฉดิ ฉาย กิ่งแกว้ แพร้วพรรณราย พายออ่ นหยบั จับงามงอน ”
๒. มูลเห่ หรือในการเห่เรือเล่น เรียกว่า เห่เรว็ เป็นการเห่ในจังหวะกระชนั้ กระชับ พนักงานนาเห่ แล้ว
ลกู คู่จะรบั ว่า ชะ...ชะ...ฮา้ ไฮ้ และต่อท้ายบทวา่ เฮ้ เฮ เฮ เฮ...เห่ เฮ ฝีพายจะเร่งพายให้เร็วกว่าเดมิ ตามจังหวะ
กระท้งุ เสา้ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ในตานานเห่เรือว่า มูลเห่ คงหมายความว่า เหเ่ ป็น
พื้น ใช้ขณะพายเรือทวนน้า ต้องพายหนกั แรง จึงพายจังหวะเร็วข้ึน และใช้เห่ทานองเรว็ มีพลพายรับ “ฮะไฮ้”
การเหท่ านองมลู เห่น้เี ป็นทานองท่ีใช้ ขณะเดินทางไปเรื่อยๆ เป็นทานองยืนพ้นื พนักงานเหจ่ ะร้องตามบทเหเ่ ป็น
ทานอง แลว้ ฝี พายจะรับตลอด มูลเห่จึงเป็นทานองทสี่ นกุ สนาน ใช้ประกอบการพายพากระบวนเรือไปจนเกอื บ
ถงึ ที่หมาย บทเห่ท่เี ป็นตัวอยา่ งในทานองมูลเห่ จากกาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์ในเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ความวา่ “คช
สีห์ทีผาดเผน่ ดดู งั่ เป็นเห็นขบขนั าชสหี ์ทยี่ ืนยนั คัน่ สองค่ดู ยู งิ่ ยง”
๘
๓. สวะเห่ เป็นการเหเ่ ม่ือใกล้จะถึงที่หมาย พนักงานนาเห่และพลพายจะต้องจาทานองและเน้ือความ
ทานองสวะเห่ให้แม่น เพราะตอ้ งใช้ปฏิภาณคะเนระยะทาง และใชเ้ สียงส้ันยาวให้เหมาะแก่สถานการณ์ นับว่า
เป็นการเห่ทย่ี ากท่สี ุด แต่แสดงความสงา่ งามของกระบวนเรือได้ดี การเห่ทานองสวะเหเ่ ป็นทานองเห่ตอนนาเรือ
เข้าเทียบทา่ หรือฉนวน คือ เม่ือข้นึ ทานองเหน่ ้ี กเ็ ป็นสัญญาณว่า ฝีพายจะตอ้ งเก็บพายโดยไม่ตอ้ งสงั่ พายลง บท
เห่ทานองน้ี ข้นึ ตน้ วา่ “ช้าแลเรือ” ลูกครู่ ับ “เฮ เฮ เฮ เฮโฮ้ เฮโฮ้” วรรคสดุ ทา้ ยจบว่า “ศรีชัยแกว้ พ่อเอ๋ย” ลกู คู่
รับ “ชัยแก้วพ่ออา” เรือพระท่ีน่งั กจ็ ะเข้าเทียบท่าพอดี และจบบทเห่ บทเห่ที่เป็นตวั อย่างของสวะเห่ในปจั จบุ ัน
พนั จ่าเอก เขยี ว ศุขภมู ิ แต่งข้ึนใหม่ เนื่องจากบทสวะเหใ่ นกาพย์เห่เรือพระนิพนธ์ในเจ้าฟ้าธรรมธเิ บศรไม่
เหมาะสม ตวั อย่างของบทสวะเห่ปจั จบุ ัน มีความว่า
“ชา้ แลเรือ (ลูกคู่รับ เฮ เฮ เฮ) เฮโฮ้ เฮโฮ้ (ลูกคู่รับ เฮโฮ้ เฮโฮ้)
เฮโฮ้ เฮเฮ (ลูกครู่ ับ เฮโฮ้ เฮโฮ้) เจา้ เอ๋ยกพ็ าย (ลูกคูร่ ับ พ่กี ็พาย)
พายเอ๋ยพายลง (ลูกคูร่ บั พายลงใหเ้ ตม็ พาย)
โอ้ละเห่เห (ลกู คู่รบั โอเ้ ห่ เฮ เฮ เฮ)
โอเ้ หม่ ารา (ลกู คู่รบั โอ้เหม่ ารา โอ้เห่มารา)
โอเ้ หเ่ จา้ คะ (ลูกค่รู บั โอ้เห่เจา้ คะ มาระไชโย)
ศรีชัยแก้วพอ่ เอ๋ย (ลกู ครู่ ับ ชยั แกว้ พอ่ อา...เฮ)”
กลา่ วโดยสรุป ปัจจุบันทานองการเห่เรือพระราชพิธีมีอยู่ ๓ ทานองเท่าน้นั หากนับรวมการเกริ่นเหห่ รือ
เกร่ินโคลงด้วย กจ็ ะรวมเป็น ๔ ทานอง นอกจากน้ัน ในปจั จุบนั การเหเ่ รือพระราชพิธจี ะใช้เฉพาะตอนเสดจ็ พระ
ราชดาเนนิ ไปเทา่ น้นั ตอนเสด็จพระราชดาเนนิ กลบั เรือแล่นทวนน้าจะใชว้ ิธขี านยาว โดยพนักงานขานยาวออก
เสียงว่า เยอ้ ว... ซ่ึงแตกต่างจากสมัยโบราณ ดังท่ีสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงเล่าไว้ในนิทาน
โบราณคดีเร่ืองท่ี ๖ วา่
๙
“การเห่เรือพระท่ีน่ังน้นั สังเกตตาม ประเพณีในช้ันหลัง เห่แต่เวลาเสด็จโดยกระบวนพยุหยาตรา ซ่ึง
ชวนใหเ้ ห็นวา่ เหน็ จะใช้เวลาไปทางไกล เช่น ยกขบวนทัพ เพ่ือให้พลพายรื่นเริง ถ้ามใิ ช่พยุหยาตราเป็นแต่ขาน
ยาว... ยงั มคี าสาหรบั เห่ เมื่อพายจา้ เช่น วา่ แขง่ เรือ ต้นบทวา่ “อีเยอวเยอว” ฝีพายรับว่า “เยอ่ ว” คาคล้ายกับท่ใี ช้
ขานยาวดชู อบกล”
๑๐
วธิ พี ายเรอื ให้สมั พนั ธ์กับการเห่เรอื
การพายเรือในกระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารค ซ่งึ เป็นพระราชพิธีแบบโบราณน้นั มีระเบยี บการพาย
อยู่ ๔ วิธี คอื
๑ พายนกบิน เป็นทา่ พายทีย่ กพายข้ึน พ้นน้าเป็นมุม ๔๕ องศา ประดุจนกบิน ทา่ พายน้จี ะใชก้ บั เรือพระ
ทีน่ ง่ั เท่าน้ัน คือ เรือพระท่ีน่ังสพุ รรณหงส์ เรือพระที่น่งั อนนั ตนาคราช เรือพระทีน่ ง่ั อเนกชาติภชุ งค์ และเรือพระ
ท่นี ง่ั นารายณ์ทรงสบุ รรณ รชั กาลท่ี ๙
๒ พายพลราบ เป็นทา่ การพายโดยไม่ให้พายพน้ กราบเรือ ท่าพายน้จี ะใชก้ บั เรือร่วมในกระบวนท้ังหมด
โดยแบ่งการพายเป็น ๔ จังหวะ
๓ พายผสม เป็นท่าการพายที่ผสมกัน ระหว่างท่าพายพลราบกับท่าพายนกบนิ มักใชต้ อนเสดจ็ พระราช
ดาเนินกลับ ซ่ึงเป็นการพายเรือทวนน้า โดยมวี ิธีการพาย คือ พายพลราบ ๒ พาย ต่อด้วยพายนกบนิ อีก ๑ พาย จึง
มกั เรียกอีกอย่างหน่งึ ว่า พาย ๓ พาย
๔ พายธรรมดา เป็นท่าการพายในท่าธรรมดาของการพายเรือโดยทัว่ ๆ ไป
มขี อ้ สังเกตว่า การพายเรือพระราชพิธใี นกระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารค เฉพาะเรือพระที่นัง่ จะพายท่า
นกบินเป็นหลัก หากจะเปล่ียนท่าพายเรือ ในกรณีมีเหตุฉุกเฉินใดๆ ก็ตามต้องขอพระราชทานพระบรมรา
ชานุญาตก่อนเสมอ
นอกจากน้ัน การจะพายเรือให้พรอ้ มเพรียงกนั ได้ทงั้ กระบวน ต้องอาศัยผู้ให้สัญญาณต่างๆ ด้วย ไดแ้ ก่
สัญญาณเสยี งกรบั จากเรือพระที่น่ัง และเสียงเส้ากระทุ้งให้เขา้ จังหวะการพายจากเรือด้งั และเรือรูปสัตว์ การเห่
เรือจึงมีวธิ ีการ และขั้น ตอน มากมาย ท่ีต้องอาศัยความร่วม มือร่วมใจของผู้ ท่ีมีหน้าท่ีทุกคน จึงจะประสบ
ความสาเรจ็ อย่างงดงามได้
๑๑
เรอื พระราชพธิ ี
๑. เรอื พระที่นัง่ สุพรรณหงส์
เรือพระท่ีน่ังสุพรรณหงส์ลาปัจจบุ ัน สร้างข้นึ ใหม่ในปลายรัชสมัย รชั กาลที่ 5 แลว้ เสร็จในสมัยรัชกาลที่
6 เมือ่ พทุ ธศักราช 2454 โดยต้ังชอื่ ตามเรือพระทนี่ งั่ โบราณของสมเด็จพระมหาจักรพรรดแิ ห่งกรุงศรีอยธุ ยา คือ
เรือศรีสุพรรณหงส์ หรือ เรือพระท่ีนงั่ ชัยสุพรรณหงส์
๒. เรอื พระทน่ี ัง่ อเนกชาติภชุ งค์
ช่ือเรือพระท่นี ัง่ อเนกชาตภิ ุชงคม์ าจากคาภาษาสนั สกฤตวา่ อเนกะชาตะภุชงฺคะ แปลวา่ งูหลากหลาย
ชนดิ ซ่งึ สอดคล้องกับรูปโขนเรือที่ลงรักปิ ดทองมีลายรูปงูตวั เล็กๆ จานวนมาก คาภาษาสนั สกฤตคือ ภุชงคฺ ะ มี
ความหมายเดียวกนั กบั นาคะ
๑๒
๓. เรือพระทีน่ งั่ อนนั ตนาคราช
ชอ่ื เรือพระทน่ี ง่ั อนนั ตนาคราช มาจากคาภาษาสันสกฤตวา่ อนนตฺ นาคราชะ มาจากคา 3 คา คือ อนนฺตะ
(แปลว่า ไม่ส้นิ สุด นริ ันดร) นาคะ (แปลว่า นาค หรือ งู) ราชะ (แปลวา่ เจ้านาย หรือพระราชา) ดงั น้ันคาน้ีจึงแปล
ได้วา่ อนันตะ ราชาแหง่ นาค หรืองทู งั้ หลาย
๔. เรือพระที่นง่ั นารายณท์ รงสบุ รรณ รชั กาลท่ี 9
นารายณท์ รงสบุ รรณ มีความหมายเดยี วกนั กับ พระวิษณทุ รงครุฑ เนอ่ื งจาก นารายณะ (ไทยเรียก
นารายณ์) เป็นพระนามหน่งึ ของพระวิษณุ ส่วนสุบรรณ ก็เป็นชื่อเรียก ครุฑ หรือ พญาครุฑ พาหนะของพระ
วิษณุ ส่วนทเี่ ติมสรอ้ ยว่า รัชกาลท่ี 9 เพ่ือสื่อให้ประจักษ์ว่าเรือลาน้สี รา้ งข้นึ ในรชั สมัยพระบาทสมเด็จ พระ
เจ้าอยหู่ ัวภูมิพลอดุลยเดช รชั กาลท่ี 9
๑๓
๕. เรือเอกชัยเหนิ หาว และ เรอื เอกชัยหลาวทอง
เอกชยั เหนิ หาว และเอกชยั หลาวทอง เป็นชื่อเรือ 2 ลาค่กู ัน ลกั ษณะใกล้เคียงกันคือหัวเรือเป็นรูปดง้ั เชิด
สงู งอนข้นึ ไป ลงรกั ปิดทองเขยี นลายรดน้ารูปเหรา (อ่านเห-รา) ซ่งึ เป็นสัตว์ในตานาน ลักษณะคลา้ ยมงั กรแตม่ ี
หัวเป็นงูหรือนาค อย่างไรก็ตามเรือ 2 ลาน้มี ีรูปลกั ษณข์ องหวั เรือท่ีต่างกนั อยู่บ้างเป็นทส่ี ังเกตได้
๖. เรอื กระบ่ปี ราบเมืองมาร และ เรือกระบร่ี าญรอนราพณ์
ชอื่ เรือทงั้ สองลาน้ี สะทอ้ นความรบั รูว้ รรณกรรมเร่ืองรามเกียรต์ิ ซ่งึ เป็นพระราชนิพนธใ์ น
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช รัชกาลท่ี 1 (พทุ ธศักราช 2325 - 2352) เป็นวรรณกรรมที่
ดาเนนิ เรื่องตามมหากาพย์รามายณะของอนิ เดยี
๑๔
๗. เรอื พาลรี ้งั ทวีป และ เรอื สุครีพครองเมือง
ชอื่ เรือ 2 ลาน้คี อื พาลรี ้งั ทวีปและสุครีพครองเมือง สะทอ้ นความรับรู้เร่ืองรามเกยี รต์ิ พระราชนิพนธ์ใน
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พทุ ธศกั ราช 2325 - 2351) เป็นวรรณกรรมทดี่ าเนนิ เรื่องตาม
มหากาพย์รามายณะของอินเดยี
๘. เรือครุฑเหนิ เห็จ และ เรอื ครฑุ เตรจ็ ไตรจกั ร
ช่อื เรือ 2 ลาน้สี ะท้อนถึงอิทธพิ ลคัมภีรป์ รุ าณะของอนิ เดียที่มีต่อคตนิ ิยมและศิลปกรรม ไทย ตามคมั ภรี ์
ปรุ าณะครุฑเป็นเจ้าแห่งนกทงั้ หลาย หรือเทพปักษิน ซ่งึ ผกู พนั กับพระวษิ ณุ เพราะพระวิษณุทรงทอ่ งไปใน
สวรรคโ์ ดยมีครุฑเป็นพาหนะ
๑๕
๙. เรอื อสรุ วายุภกั ษ์ และ เรืออสรุ ปกั ษี
ชื่อเรือสองลาน้มี าจากคาภาษาสันสกฤต มีความหมายดงั น้ี อสุรวายุภกั ษ์ แปลวา่ “อสูรผู้มีลมเป็น
อาหาร” อสุรปกั ษี แปลว่า “อสูรผูเ้ ป็นนก” หวั เรือของเรือทั้งสองลามลี กั ษณะคล้ายคลงึ กนั คอื มีร่างกายเป็นนก
มหี วั หรือหนา้ เป็นยกั ษ์
๑๐. เรือเสือทะยานชล และเรือเสือคารณสนิ ธุ์
เรือเสอื ทะยานชล และเรือเสอื คารณสนิ ธ์ุ เป็นเรือ 2 ลาทด่ี ัดแปลงมาจากเรือรบ (เรือท่ีใช้ในการรบหรือ
การสงคราม) เป็นเรือนากระบวนเรือพยุหยาตราชลมารค ในสมัยโบราณ เรียกเรือลกั ษณะน้วี า่ เรือพฆิ าต
๑๖
โคลง เห่ชมเรอื
ปางเสด็จประเวศด้าว
ชลาไลย
ทรงรัตนพมิ านไชย กิ่งแกว้
พรง่ั พร้อมพวกพลไกร แหนแห่
เรือกระบวนต้นแพรว้ เพริศพริ้งพายทอง ๆ
พระเจา้ อยู่หวั บรมโกศเสร็จพระราชดาเนนิ ทางน้า ทรงประทบั เรือก่งึ เป็นเรือตนั พร้อมทง้ั เรือ
พลทหารล้อมรอบเป็นขบวน ภาพของเรือตันน้นั งดงามแวววาวระจิบระยบั จากพายสีทอง
กาพย์ ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย
พระเสด็จโดยแดนชล พายออ่ นหยบั จับงามงอน
กิง่ แกว้ แพรว้ พรรณราย
พระเจ้าอยูห่ ัวบรมโกศเสดจ็ พระราชดาเนินโดยทางน้า โดยมีเรือกิง่ เป็นเรือตน้ การพายเรือน้นั
ก็ดูงดงามพรอ้ มเพรียงกนั
นาวาแน่นเป็นขนัด ลว้ นรูปสตั วแ์ สนยากร
เรือลิ่วปลวิ ธงสลอน สาครส่นั คร้นั คร้ืนฟอง
มีเรือมากมายอยู่ภายในแมน่ ้าสายน้ี ลว้ นแลว้ แต่เป็นเรือที่มีหวั เรือเป็นรูปสตั ว์ตา่ งๆ มองเห็นธงปลวิ ไสว
มาแตไ่ กลพรอ้ มทง้ั คลนื่ น้าเป็นระลอกๆ
๑๗
เรือครุฑยุดนาคหิว้ ลิ่วลอยมาพาผนั ผยอง
พลพายกรายพายทอง รอ้ งโหเ่ หโ่ อ้เห่มา
เรือครุฑเป็นเรือท่ีมีพลทหารกาลงั พายเรืออย่างเป็นจังหวะพร้อมกบั เปล่งเสียงโห่ร้อง
สรมุขนขุ สีด้าน เพียงพิมานผา่ นเมฆา
ม่านกรองทองรจนา หลงั คาแดงแยง่ มังกร
เรือสรมุขตอนแล่นมามีความสวยงามเหมือนวมิ านบนสวรรค์ ที่กาลังเคลอื่ นท่ีผา่ นหม่เู มฆ เรือประดบั
ดว้ ยม่านสีทอง และหลังคาสแี ดงลวดลายมงั กร
สมรรถไชยไกรกาบแกว้ แสงแวววับจับสาคร
เรียบเรียงเคียงคจู่ ร ดงั ร่อนฟา้ มาแดนดนิ
เรือสมรรถชัย ประดับด้วยแกว้ สะทอ้ นแสงวาววับกาลังแลน่ มาคู่กบั เรือสรมุข มองภาพน้นั แล้วสวยงาม
เหมอื นกับลอยลงมาจากฟ้า
สุวรรณหงส์ทรงภหู่ ้อย งามชดช้อยลอบหลังสนิ ธ์ุ
เพียงหงสท์ รงพรหมินทร์ ลินลาศเลอื นเตอื นตาชม
เรือสุวรรรณหงส์มพี ูห่ อ้ ยอยา่ งสวยงาม ล่องลอยอยูบ่ นสายน้า เปรียบเหมือนหงสท์ ่ีเป็นพาหนะของพระ
พรหมลอยอยา่ งแช่มช้าสวยงามน่าชม
๑๘
เรือไชยไวว่องวง่ิ รวดเร็วจริงยงิ่ อยา่ งลม
เสยี งเสา้ เร้าระดม หม่ ท้ายเย่ินเดนิ คู่กนั ฯ
เรือชยั เป็นเรือท่แี ลน่ ด้วยความรวดเร็วเหมอื นสายลม มเี สียงเส้าท่ที หารคอยให้จงั หวะอย่ทู ้ายเรือใหแ้ ลน่
ไปเคยี งคกู่ บั เรือพระท่นี ง่ั ลาอ่นื ๆ
คชสีทผี่ าดเผน่ ดดู งั เป็นเหน็ ขบขนั
ราชสหี ท์ ีย่ ืนยนั คั่นสองคู่ดยู ง่ิ ยง
เรือคชสหี ท์ ่ีกาลังแลน่ ดูเหมือนดังมชี วี ิต เรือราชสีหท์ ีแ่ ล่นมาเคยี งกันน้นั ดูมั่นคงแขง็ แรง
เรือมา้ หน้ามงุ่ น้า แล่นเฉอื่ ยฉ่าลาระหง
เพยี งมา้ อาชาทรง องคพ์ ระพายผายผนั ผยอง
เรือม้ากาลังมุง่ หนา้ ไปข้างหนท้ อยา่ งช้าๆ หวั เรือท่มี ลี ักษณะเหมอื นกับม้าทรงทเ่ี ป็นพาหนะของพระพาย
เรือสิงหว์ ่งิ เผน่ โผน โจนตามคล่ืนฝื นฝาฟอง
ดยู ิง่ สิงหล์ าพอง เป็นแถวทอ่ งลอ่ งตามกัน
เรือสิงห์ แล่นไปขา้ งหนา้ ด้วยความรวดเร็ว ดูราวกบั ว่าเรือน้นั กาลังจะกระโจนลงส่แู ม่น้า
๑๙
นาคาหน้าดังเป็น ดูขะเมน่ เห็นขบขัน
มังกรถอนพายพัน ทนั แขง่ หน้าวาสุกรี
เรือนาคมองดเู หมือนกบั มีชวี ิต แล่นมาคู่กบั เรือมังกร เหมอื นกาลงั แขง่ ขันกนั ท่ที า่ วาสกุ รี
เลียงผางา่ เท้าโผน เพยี งโจนไปในวารี
นาวาหน้าอนิ ทรีย์ ทีป่ ีกเหมือนเลอื่ นลอยโพยม
เรือเลยี งผาเหมอื นกับเลยี งผาทีก่ าลงั จะกระโจนลงแมน่ ้า เรืออินทรีย์กด็ ูราวกบั วา่ มีปี กและกาลังจะบิน
ข้นึ ฟ้า
ดนตรีมอ่ี งึ อล ก้องกาหลพลแหโ่ หม
โห่ฮึกครึกคร้ืนโครม โสมนัสช่ืนรื่นเริงพล
เสยี งดนตรีประโคมดงั คร้ืนเครง้ จากแตรงอน เสียงพลทหารโหร่ ้องอยา่ งครึกครื้นทาใหเ้ กดิ ความร่ืนเริง
ในหม่พู ลทหาร
กรีธาหมู่นาเวศ จากนคเรศโดยสาชล
เหมิ ห่ืนชื่นกระมล ยลมจั ฉาสารพนั มีฯ
การเคลอื่ นขบวนเรือจากเมอื งโดยทางน้าด้วยความสนุกสนาน พร้อมทงั้ ไดม้ องเหน็ ฝูงปลาที่มีมากมาย
ในสายน้า
๒๐
โคลง เห่ชมปลา
พิศพรรณปลาว่ายเคลา้
คลงึ กนั
ถวลิ สดุ าดวงจันทร์ แจม่ หน้า
มัตสยาย่อมพัวพนั พศิ วาส
ควร ฤ พรากนอ้ งชา้ ชวดเค้าคลึงชม
มองปลาพันธ์ุตา่ งๆ วา่ ยเคล้าคลอกนั พเี่ ฝา้ คิดถงึ นวลนอ้ งนาง ปลาเคล้าเคลียกันตอนทร่ี กั กนั
แตพ่ ี่น้นั ต้องพลดั พรากจากนอ้ งทาให้ไมไ่ ดใ้ กล้ชดิ เหมอื นดังคร้งั ก่อน
กาพย์ คิดถงึ เจา้ เศรา้ อารมณ์
พิศพรรณปลาว่ายเคล้า สมสาใจไม่พามา
มัตสยายงั รู้ชม
มองดูปลาว่ายเคลา้ กนั รู้สกึ เศร้าเนอื่ งจากคิดถึงนางอันเป็นท่ีรกั ปลายงั มเี วลาชนื่ ชมกันเป็นคู่
แต่พี่น้จี ากนอ้ งมา
นวลจันทรเ์ ป็นนวลจริง เจ้างามพริ้งยง่ิ นวลปลา
คางเบือนเบือนหนา้ มา ไมง่ ามเทา่ เจา้ เบือนชาย
ปลานวลจนั ทร์ แมจ้ ะงามเหมอื นชือ่ แตเ่ จา้ ก็งามยงิ่ กว่าปลาคางเบือน เวลาเบอื นหนา้ กว็ า่ งามแลว้
แต่ไม่งามเท่าเจ้าเวลาเจ้าเบือนชาย
๒๑
เพียนทองงามดั่งทอง ไม่เหมือนน้องห่มตาดพราย
กระแหแหห่างชาย ดั่งสายสวาทคลาดจากสม
ปลาตะเพยี นทอง จะงามเหมือนทอง กไ็ ม่งามเหมอื นนอ้ งตอนหม่ ตาด ปลากระแห เปรียบเสมือนพ่ที ่ี
ตอ้ งหา่ งจากน้อง
แก้มช้าช้าใครต้อง อนั แก้มนอ้ งช้าเพราะชม
ปลาทกุ ทุกขอ์ กกรม เหมือนทกุ ข์พท่ี จ่ี ากนาง
ปลาแกม้ ช้า ช้าเพราะโดนใครแตะต้อง สว่ นแกม้ นอ้ งช้าเพราะถูกชม ปลาทกุ ชอ่ื เหมือนพท่ี ท่ี ุกข์ใจ
จากน้องมา
น้าเงนิ คอื เงนิ ยวง ขาวพรายชว่ งสสี าอาง
ไม่เทียบเปรียบโฉมนาง งามเรืองเร่ือเน้ือสองสี
ปลาน้าเงิน คอื สเี งนิ ขาวพรายสวย งาม ยงั ไมง่ ามเท่า ความงามของน้องที่มีเนอื้ สองสี
ปลากรายวา่ ยเคียงคู่ เคล้ากนั อยู่ดูงามดี
แตน่ างหา่ งเหนิ พ่ี เหน็ ปลาเคลา้ เศรา้ ใจจร
ปลากรายวา่ ยน้าค่กู นั ก็ดูดี แตน่ ้องไม่ได้อยู่ใกลพ้ ่ี แมจ้ ะมองปลาว่าย เคลา้ กนั กเ็ ศร้าใจทจ่ี ากน้องมา
หางไก่วา่ ยแหวกวา่ ย หางไก่คลา้ ยไม่มีหงอน
คิดอนงค์องค์เอวอร ผมประบา่ อา่ เอ่ยี มไร
ปลาหางไกว่ ่ายน้า ปลาหางไกไ่ ม่มหี งอนเหมือนไก่ พคี่ ดิ ถึงน้องเอวบาง ผมประบ่าสวยงาม
๒๒
ปลาสรอ้ ยลอยล่องชล ว่ายเวียนวนปนกนั ไป
เหมอื นสรอ้ ยทรงทรามวยั ไมเ่ ห็นเจ้าเศร้า บ่ วาย
ปลาสรอ้ ยว่ายน้าวนเวียนปนกัน เหมอื นสร้อยทีน่ อ้ งใส่ ไมเ่ หน็ นอ้ งกร็ ู้สึกเศรา้ ใจ
เน้อื อ่อนอ่อนแตช่ ือ่ เนื้อนอ้ งฤๅอ่อนท้งั กาย
ใครต้องข้องจติ ชาย ไมว่ ายนกึ ตรึกตรึงทรวง
ปลาเน้ือออ่ นออ่ นแตช่ ือ่ แต่เน้ือน้องออ่ นนมุ่ ไปท้งั กาย ชายใดไดส้ มั ผสั ก็อดใจไม่นึกถงึ น้องไม่ได้
ปลาเสือเหลอื ทตี่ า เล่ือนแหลมกว่าปลาทง้ั ปวง
เหมอื นตาสดุ าดวง ดแู หลมลา้ ขาเพราคม
ปลาเสือตาแหลมกวา่ ปลาท้ังปวง เหมอื นตาของน้องที่ แหลมคม
แมลงภ่คู เู่ คียงวา่ ย เห็นคล้ายคลา้ ยนา่ เชยชม
คิดความยามเมื่อสม สนิทเคลา้ เจา้ เอวบาง
ปลาแมลงภู่ว่ายคู่กัน พีก่ น็ กึ ถึงเมื่อยามมคี วามสขุ กับน้อง
หวเี กศเพศช่อื ปลา คิดสุดาอา่ องค์นาง
หวีเกลา้ เจา้ สระสาง เสน้ เกศสลวยรวยกล่นิ หอม
ปลาหวเี กศ คดิ ถงึ ตอนกาลงั หวผี มใหน้ อ้ ง ผมน้องสวยและหอม
๒๓
ชะแวงแฝงฝั่งแนบ ชะวาดแอบแปบปนปลอม
เหมอื นพี่แอบแนบถนอม จอมสวาทนาฏบงั อร
ปลาชะแวง ปลาวาด ปลาแปบ วา่ ยปนกัน เหมอื นพีแ่ อบแนบกายกบั นอ้ ง
พศิ ดูหมู่มจั ฉา วา่ ยแหวกมาในสาคร
คะนึงนุชสุดสายสมร มาด้วยพจ่ี ะดีใจ
มองดูหมู่ปลาก็อยากใหน้ อ้ งมาน่ังดดู ้วยกนั
๒๔
โคลง เห่ชมไม้
เรือชายชมมิง่ ไม้
มพี รรณ
ริมทา่ สาครคันธ์ กลนิ่ เกล้ยี ง
เพล็ดดอกออกแกมกัน ชชู ่อ
หอมทน่ี รื่นรสเพ้ยี ง กลนิ่ เนือ้ นวลนาง ฯ ฯ
เรือของพ่แี ลน่ คล้อยไปจนพบพรรณไ์ ม้ต่างๆ อยรู่ ิมทา่ น้า มีกลิน่ หอมสดช่นื ผลดิ อกออกช่อ
ผสมกนั กล่นิ หอมนา่ ช่นื เชย เหมือนกล่ินเน้อื ของน้อง
กาพย์ ริมท่าไสวหลากหลายพรรณ
เรือชายชมม่ิงไม้ ส่งกลิ่นเกล้ยี งเพียงกลน่ิ สมร
เพลด็ ดอกออกแกมกัน
กระบวนเจ้าฟา้ ธรรมาธิเบธเคลอื่ นชมพนั ธไ์ ม้กลากหลาย ชนดิ ข้ึนริทน้า ผลิดอกออกชอ่ ผสมกัน มกี ลน่ิ
หอมสดช่ืนเหมอื น กลิน่ กายนอ้ ง
ชมดวงพวงนางแยม้ บานแสล้มแยม้ เกสร
คิดความยามบังอร แยม้ โอษฐ์ยม้ิ พริ้มพรายงาม
ชมพวงดอกนางแยม้ แยม้ กลบี ชดชอ้ ยเหน็ เกสร ทาให้นกึ ถงึ น้องยามแยม้ ปากย้ิมอย่างงดงาม
๒๕
จาปาหนาแนน่ เน่อื ง คลกี่ ลีบเหลืองเรืองอร่าม
คดิ คนงึ ถงึ นงราม ผิวเหลืองกวา่ จาปาทอง
ดอกจาปาดกแนน่ ต้น ตา่ งคลกี่ ลบี สีเหลืองกระจ่างสวย คิดถงึ ผวิ น้องทเ่ี ป็นสเี หลืองสวยกว่าสีดอกจาปา
ประยงค์ทรงพวงห้อย ระยา้ ยอ้ ยห้อยพวงกรอง
เหมอื นอุบะนวลละออง เจา้ แขวนไว้ใหเ้ รียมชม
ดอกประยงค์เป็นพวงห้อยระยา้ เปรียบเหมือนอบุ ะที่น้อง ร้อยแขวนประดับใหพ้ ี่ดู
พุดจีบกลบื แสล้ม พิกุลแกมแซมสกุ รม
หอมช่วยรวยตามลม เหมอื นกล่ินนอ้ งต้องติดใจ
ดอกพุดจีบมกี ลบี สวยงาม ดอกพิกุลข้นึ แซมดอกสุกรมน้นั ต่างโชยกลิ่นหอมระรวยมาตามลม หอม
เหมอื นกลิ่นของนอ้ งท่ีพี่ ตดิ ใจ
สาวหยดุ พุดทชาด บานเกล่ือนกลาดดาษดาไป
นกึ น้องกรองมาไลย วางให้พ่ีข้างทน่ี อน ฯ
ดอกสายหยุด ดอกพุทธชาติ บานเกล่อื นกลาดเตม็ ไปหมด นกึ ถงึ นอ้ งซ่งึ เคยรอ้ ยมาลัยวางไวข้ ้างที่นอน
ใหพ้ ี่
๒๖
พิกุลบนุ นาคบาน กลนิ่ หอมหวานซา่ นขจร
แม้นนุชสดุ สายสมร เห็นจะวอนออ้ นพชี่ าย
ดอกพกิ ุล ดอกบุนนาค กบ็ านสง่ กลนิ่ หอมหวานกระจาย ไปทวั่ หากน้องมาเหน็ ก็คงออ้ นวอนใหพ้ เ่ี กบ็
ให้
เต็งแต้วแกว้ กาหลง บานบุษบงสง่ กลนิ่ อาย
หอมอยู่ไมร่ ูห้ าย คล้ายกลิน่ ผ้าเจา้ ตราตรู
ต้นเตง็ ต้นแต้ว ต้นแก้ว และตน้ กาหลง ตา่ งกม็ ดี อกบาน อบอวนไม่รู้หายเหมอื นกลิ่นผ้าของน้อง
มลวิ ันพนั จกิ จวง ดอกเป็นพวงร่วงเรณู
หอมมาน่าเอ็นดู ชชู น่ื จติ ต์คิดวนดิ า
มะลิวลั ย์เลือ้ ยพันต้นจิก ตน้ จวง มีดอกเป็นพวง กลิ่นหอม ออ่ น ๆ ชื่นใจทาให้นึกถึงน้อง
ลาดวนหวนหอมตรลบ กลิ่นอายอบสบนาสา
นกึ ถวิลกล่ินบุหงา ราไปเจา้ เศรา้ ถึงนาง
ดอกลาดวนก็หอมตระหลบตดิ จมกู คิดถงึ กลนิ่ บุหงาราไป (ดอกไมท้ อ่ี บเคร่ืองหอม ห่อดว้ ยผ้าโปร่ง) ท่ี
น้องทา แล้วเศรา้ ใจ คิดถงึ น้อง
๒๗
รวยรินกล่ินราเพย คิดพ่เี ชยเคยกล่ินปราง
น่งั แนบแอบเอวบาง ห่อนแหหา่ งว่างเว้นวัน
กลน่ิ ดอกไมห้ อมรวยรินมากับสายลม ทาใหคิดถงึ กลน่ิ แกม้ น้อง ยามน่งั แนบชดิ ไม่เคยเวน้ วา่ งหา่ งไกล
กนั เลยสกั วนั เดียว
ชมดวงพวงมาลี ศรีเสาวภาคย์หลากหลายพรรณ
วนิดามาดว้ ยกัน จะออ้ นพีช่ ้ชี มเชย ฯ
พี่ชมดอกไม้หลากหลายชนิด แลว้ คิดวา่ หากน้องมาดว้ ย คงออ้ นวอนให้พ่ีชว่ ยช้ชี มดอกไม้ด้วยกนั
๒๘
โคลง เหช่ มนก
รอนรอนสรุ ิยโอ้
อัสดง
เร่ือยเรื่อยลบั เมรุลง ค่าแล้ว
รอนรอนจิตจานง นุชพี่ เพียงแม่
เรื่อยเร่ือยเรียมคอยแก้ คลบั คล้ายเรียมเหลียว
แสงพระอาทิตยต์ อนตะวนั ใกล้จะตกดนิ เวลาพระอาทิตยจ์ ะลบั ขอบ ภูเขาเป็นเวลาใกลค้ ่าพระอาทิตย์
กาลงั ค่อยๆลับไปใจพ่ีรอน รอคอยคิดถึงแต่นางอันเป็นที่รกั เพยี งคนเดียว พค่ี อยน้องอยู่ ตลอดเวลาคอยเหลยี ว
มองหาแตน่ อ้ ง
กาพย์ ทพิ ากรจะตกต่า
เร่ือยเรื่อยมารอนรอน คานึงหนา้ เจ้าตาตรู
สนธยาจะใกลค้ า่
เมื่อถงึ เวลาพระอาทิตย์แสงรอน รอนใกล้จะตกดิน เป็นเวลาใกล้ค่าพีก่ ค็ ิดถึแตห่ น้าน้องอนั เป็นทร่ี ัก
เร่ือยเร่ือยมาเรียงเรียง นกบนิ เฉียงไปทัง้ หมู่
ตัวเดียวมาพลดั คู่ เหมอื นพ่อี ยผู่ ู้เดยี วดา
นกบนิ เรื่อย เรียงไปทง้ั ฝูง แต่มีอยู่ตวั เดยี วทต่ี ้องพลัดพรากจากคู่ เหมือนกับพี่ทีต่ ้องอย่คู นเดียว
๒๙
เหน็ ฝูงยูงราฟอ้ น คดิ บงั อรร่อนรากราย
สรอ้ ยทองยอ่ งเยอื้ งชาย เหมอื นสายสวาทนาดนวยจร
เห็นฝูงนกยูงราแพนหาง ก็คิดถงึ เมือ่ ตอนที่นางฟ้อนราให้ดู เห็นนก สร้อยทองกาลังเดินบนดินก็นงึ ถงึ
นางตอนเดนิ นวยนาด
สาลกิ ามาตามคู่ ชมกันอย่สู สู่ มสมร
แตพ่ ่นี ้อี าวรณ์ หอ่ นเหน็ เจา้ เศรา้ ใจครวญ
นกสาลิกาบินตามหาคู่และอย่คู เู่ คยี งกัน แต่พน่ี ้กี ็นึกถึงอาวรณ์นกึ ถึง ไมเ่ หน็ เจ้าทาใหเ้ ศร้าเสียใจ
นางนวลนวลนา่ รัก ไมน่ วลพักตร์เหมือนทรามสงวน
แก้วพน่ี ้สี ดุ นวล ดั่งนางฟา้ หนา้ ใยยอง
นกนางนวลมผี วิ นวลนา่ รัก ยงั ไมม่ ผี วิ นวลเหมือนหน้าของนอ้ งท่ี นวลงามผดุ ผ่องงามราวกับนางฟา้
นกแกว้ แจว้ แจ่มเสียง จับไมเ้ รียงเคียงคู่สอง
เหมือนพน่ี ้ปี ระคอง รับขวัญน้องต้องมอื เบา
นกแกว้ สง่ เสียงแจ๋วจับคอู่ ยู่ด้วยกัน เหมอื นพ่นี ้นั ประคองและ รบั ขวญั นอ้ งอย่างมอื เบา
๓๐
ไกฟ่ า้ มาตวั เดียว เดนิ ท่องเทย่ี วเล้ยี วเหลี่ยมเขาเหมอื น
พรากจากนงเยาว์ เปล่าใจเปลีย่ วเหลยี วหานาง
นกไก่ฟา้ ที่เดินมาตวั เดียวได้เดินท่องเทยี่ วอยู่ทเ่ี หลีย่ มภเู ขา เหมอื นกับพีท่ ่ีพรากจากน้องทีเ่ ป็นที่รัก พน่ี ้นั
ก็รู้สึกเปล่าเปล่ียวใจคิดถงึ เท่ียวเหลียวมองหาน้อง
แขกเต้าเคล้าค่เู คยี ง เรียงจบั ไม้ไซ้ปีกหาง
เรียมคะนงึ ถึงเอวบาง เคยแนบขา้ งรา้ งแรมนาน
นกแขกเต้าทอ่ี ยกู่ นั เป็นคูๆ่ บนต้นไมใ้ ช้ปีกหางให้กนั ทาให้พ่นี ้นั คิดถึงคิดถึงนอ้ งทเ่ี คยแนบขา้ ง ตอนน้ี
จากนางมานานหลายวันแลว้
ดุเหว่าเจ่าจับรอ้ ง สนั่นกอ้ งซ้องเสยี งหวาน
ไพเราะเพราะกงั วาน ปานเสยี งนอ้ งรอ้ งสัง่ ชาย
นกดุเหว่ารอ้ งกนั สนน่ั ก้องมเี สียงทไี่ พเราะกังวานเหมอื นกับเสียงที่ น้องรอ้ งเรียกพี่
โนรีสีปานชาด เหมอื นชา่ งฉลาดวาดแต้มลาย
ไมเ่ ทา่ เจ้าโฉมฉาย ห่มตาดพรายกรายกรมา
นกโนรีน้นั มีลวดลายสแี ดง เหมือนความฉลาดของชา่ งท่มี าวาด ลวดลายไว้ ยงั ไมส่ วยงามเทา่ นน้องที่
ห่มผ้าตาด (ชอื่ ผา้ ชนิดหน่งึ ทอดว้ ย ไหมควบกบั เงินแหง่ หรือทองแล่ง) สวยงามเดินมาหาพี่
๓๑
สัตวาน่าเอน็ ดู คอยหาคอู่ ยู่เอกา
เหมือนพีท่ ่ีจากมา ครวญหาเจา้ เศร้าเสยี ใจ
นกสตั วาทีน่ า่ เอน็ ดคู อยหาคู่อยู่ตัวตวั เหมอื นพี่น้นั ท่ีต้องจากนอ้ ง พ่ีก็คดิ ถึงน้องจึงเศร้าเสยี ใจ
ปกั ษีมีหลายพรรณ บ้างชมกนั ขนั เพรียกไพร
ยิ่งฟังวงั เวงใจ ลว้ นหลายหลากมากภาษา
นกมีหลายพนั ธุต์ า่ งมีคู่สง่ เสียงขนั เรียกอยกู่ นั อย่ใู นป่ า พี่ยง่ิ ฟังก็ รู้สกึ วงั เวงใจดว้ ยความหลายหลากมาก
ภาษาที่ทาให้พ่ีน้นั เศร้าใจ
๓๒
เห่ครวญ
โคลง
เสียงสรวลระรี่น้ี เสียงใด
เสียงนุชพี่ฤๅใคร ใคร่รู้
เสยี งสรวลเสียงทรามวยั นุชพ่ี มาแม่
เสียงบงั อรสมรผู้ อื่นน้นั ฤๅมี
เสียงหัวเราะน้เี ป็นของผู้ใดพ่ไี ม่รู้ว่าเป็นเสยี งน้องหรือเปลา่ เสียงท่ีตามพมี่ า เสยี งของน้องนางอนั เป็นที่
รักไมม่ ีผูใ้ ดเปรียบได้
เสียงสรวลระรี่น้ี เสยี งแก้วพห่ี รือเสียงใคร
เสียงสรวลเสยี งทรามวยั สุดสายใจ ตามมา
เสียงหัวเราะน้เี ป็นของผู้ใด เหมอื นเสียงของน้องนางอนั เป็นทีร่ ักทต่ี ามมา
ลมชวยรวยกลิน่ นอ้ ง หอมเรื่อยต้องคลองนาส
เคลอื บเคล้นเห็นคลา้ ยมา เหลยี วหาเจ้าเปล่าวงั เวง
ลมเบาๆช่วยพัดพากลน่ิ ของนอ้ งนางมาทจี่ มูกของพี่ เหมอื นนอ้ ง ตามพมี่ า แต่พอมองหากลบั ไม่พบ
๓๓
ยามสองฆ้องยามย่า ทุกคนื คายาอกเอง
เสยี งป่ีมคี รวญเครง เหมอื นเรียมคร่าครวญนาน
ยามตีสองเสียงฆ้องดงั ข้นึ บอกเวลา ทุกคนื พี่เฝ้าทกุ ข์ระทม เสียงป่ีที่บรรเลงเหมือนดัง่ เสยี งของพีท่ ่คี ร่า
ครครวญคิดถงึ น้อง
ลว่ งสามยามปลายแลว้ จนไก่แก้วแว่วนบาน
ม่อยหลับกลบั บันดาล ฝนั เห็นน้องต้องตดิ ตา
ยามตสี ามใกล้จะรุ่งเชา้ มเี สียงไกข่ นั พเ่ี ผลอหลับไปก็ฝนั นึกถงึ น้องติดตาพ่ี
เพรางายวายเสพรส แสนกาสรดอกโอชา
อิ่มทกุ ขอ์ มิ่ ชลนา อมิ่ โศกาหนา้ นองชล
เวลาเย็นเป็นเวลาที่ต้องกาข้าวปลา แต่เวลาน้พี ีเศรา้ ใจที่ไม่ไดก้ ิน ข้าว ได้แต่อดิ ่มความทุกข์ อิม่ น้าตา อม่ิ
ความเศร้า หน้าเตม็ ไปด้วยน้าตา
เวรามันแลว้ จึงจาแคล้วแกว้ โกมล
ให้แคน้ แสนสดุ ทน ทกุ ข์ถงึ เจา้ เศรา้ เสยี ดาย
เวรกรรมได้ตามพ่ที นั แลว้ ทาใหพ้ ค่ี ลาดแคล้วจากน้องอนั เป็นทีร่ ัก ทาใหแ้ ค้นใจมากทีส่ ุด และมีแต่
ความทกุ ขท์ ค่ี ดิ ถึงน้อง
๓๔
งามทรงวงดังวาด งามมารยาทนาคกรกราย
งามพริมยมิ แยม้ พราย งามคาหวานลานใจถวลิ
ความงามของน้องนางท่งี ามพรอ้ ม งามทรวดทรงดงั มชี า่ งมาวาด ไว้ งามทั้งมารยาท งามยามย้ิม และงาม
คาพูด ท่ีทาใหพ้ ค่ี ิดถึงตลอดเวลา
แตเ่ ชา้ เท่าถงึ เยน็ กลา้ กลืนเขญ็ เป็นอาจณิ
ชายใดในแผ่นดนิ ไมเ่ หมอื นพีทตี รอมใจ
ต้ังแตเ่ ช้าถึงเยน็ พ่กี ล้ากลนื แตค่ วามทกุ ขต์ ลอดเวลา ไม่มชี ายใดใน แผ่นดนิ น้ี ที่จะตรอมใจได้เทา่ พี่
โคลง
เรียมทนทกุ ข์แตเ่ ช้า ถึงเยน็
มาสู่สขุ คนื เขญ็ หมน่ ไหม้
ชายใดจากสมรเป็น ทุกข์เทา่
เรียมเลยจากค่วู ันเดียวได้ ทุกข์ปิ้ มปานปี
พ่ที นทกุ ขต์ ง้ั แตเ่ ชา้ จวบจนถงึ เยน็ ตอนกลางคนื ที่เคยมีความสขุ กก็ ลบั ยง่ิ มที กุ ขใ์ จมากข้นึ ชายใดกต็ ามท่ี
ต้องจากนางอนั เป็นที่รกั มาย่อมมคี วาม ทกุ ข์ แตค่ วามทุกข์น้นั ยงั ไม่เทา่ ความทุกขข์ องพี่ ทีจ่ ากน้องมาวนั เดยี ว
เหมอื นกบั มีความทุกข์เป็นปี
๓๕
ทานองทีใ่ ช้ในการเห่เรอื
ทานองเป็นการใหจ้ ังหวะแก่ฝีพายใหพ้ ายตามจังหวะทานองการร้อง เพ่อื บังคับใหเ้ รือแล่นไป
อย่างเป็นระเบยี บสวยงามและพร้อมเพรียงกนั ทานองท่ใี ชใ้ นการเหเ่ รือปจั จุบนั มี ๓ ทานอง คือ ช้าละวะเห่ มลู เห่
และสวะเห่
๑. ช้าละวะเห่ หรือในการเหเ่ รือเลน่ เรียกว่า เหช่ ้าเป็นทานองทใี่ ช้เร่ิมต้นการเห่ มจี งั หวะชา้ ๆ
ทว่ งทานองไพเราะ ถือเป็นการใหส้ ัญญาณเร่ิมตน้ เคลื่อนเรือในกระบวนทุกลาไปพรอ้ มๆ กันอยา่ งชา้ ๆ บทน้ี
ข้นึ ตน้ วา่ “เห่เอย๋ ...พระเสดจ็ ...โดย...แดน (ลูกคู่รับ โดยแดนชล)”
๒. มูลเห่ หรือในการเห่เรือเล่น ในขณะทีเ่ ดินทางไปเร่ือยๆ เป็นทานองทสี่ นกุ สนาน เรียกวา่ เห่เรว็ เป็น
การเห่ในจังหวะกระชน้ั กระชบั พนกั งานนาเห่ แลว้ ลกู คู่จะรับว่า ชะ...ชะ...ฮา้ ไฮ้ และตอ่ ท้ายบทว่า เฮ้ เฮ เฮ เฮ...
เห่ เฮ ฝีพายจะเร่งพายใหเ้ รว็ กวา่ เดมิ ตามจงั หวะกระทงุ้ เสา้
๓. สวะเห่ เป็นการเห่เมื่อใกลจ้ ะถงึ ทหี่ มาย ผู้นาเหแ่ ละพลพายตอ้ งมคี วามแมน่ ยาในการจาเนอ้ื รอ้ ง
เพราะตอ้ งปฏภิ าณคะเนระยะทาง และใช้เสยี งส้นั ยาวให้เหมาะแก่สถานการณ์ การเห่ทานองสวะเหเ่ ป็นทานอง
เหต่ อนนาเรือเขา้ เทียบทา่ หรือฉนวน คอื เม่อื ข้นึ ทานองเห่น้ี กเ็ ป็นสญั ญาณว่า ฝีพายจะตอ้ งเก็บพายโดยไม่ต้อง
ส่ังพายลง บทเหท่ านองน้ี ข้นึ ตน้ ว่า “ชา้ แลเรือ” ลูกค่รู ับ “เฮ เฮ เฮ เฮโฮ้ เฮโฮ”้ วรรคสุดทา้ ยจบวา่ “ศรีชัยแก้ว พ่อ
เอ๋ย” ลูกครู่ บั “ชัยแก้วพอ่ อา” เรือพระที่น่งั กจ็ ะเขา้ เทยี บทา่ พอดี และจบบทเห่
๓๖
แบบทดสอบกาพย์เห่เรอื
จงเลอื กคาตอบท่ีถูกที่สุดเพยี งข้อเดยี ว
๑. เมือ่ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศทรงทาพิธีปราบดาภเิ ษกน้นั เจา้ ฟ้ากุ้งทรงได้รบั การสถาปนาข้นึ เป็นอะไร
ก. เจ้าฟ้าธรรมธเิ บศรไชยเชษฐส์ ุริยวงศ์
ข. เจา้ ฟา้ กรมขนุ เสนาพทิ กั ษ์
ค. กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ง. สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชเจา้ ฟา้ ธรรมธิเบศร
๒. เจ้าฟา้ ธรรมธเิ บศรทรงนิพนธ์กาพย์แห่เรือข้นึ เนอ่ื งในโอกาสใด
ก. ในงานฉลองกรุงศรีอยุธยา
ข. โดยสมเด็จพระเจา้ อย่หู วั บรมโกศไปนมสั การพระพทุ ธบาท
ค. ในงานเทศกาลทอดผ้าพระกฐนิ
ง. โดยสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั บรมโกศประพาสทางน้าในเดอื นสบิ สอง
๓. วรรณคดตี ่อไปน้ี ขอ้ ใดเป็นพระนพิ นธข์ องเจ้าฟ้ากุ้งท้งั สองเลม่
ก. โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์กับนนั โทปนนั ทสูตรคาหลวง
ข. กาพย์เห่เรือกับปณุ โณวาทคาฉนั ท์
ค. โคลงนิราศพระบาทกบั กาพยห์ ่อโคลงประพาสธารทองแดง
ง. พระมาลยั คาหลวงกบั กาพยห์ ่อโคลงนิราศพระบาท
๔. ลกั ษณะคาประพนั ธข์ องกาพยเ์ ห่เรือคือขอ้ ใด
ก. เป็นคาประพนั ธท์ แี่ ตง่ ด้วยกาพยเ์ ห่
ข. เป็นคาประพันธ์ทแี่ ตง่ ดว้ ยกาพย์ยานแี ละโคลงส่ีสุภาพ
ค. เป็นคาประพันธ์ทีแ่ ตง่ ด้วยกาพย์ยานโี ดยมีโคลงสี่สภุ าพนา ๑ บท
ง. เป็นคาประพนั ธท์ แ่ี ตง่ ดว้ ยกาพย์ยานีสลบั กับโคลงสสี่ ุภาพบทตอ่ บท
๓๗
๕. กาพย์เหเ่ รือของเจา้ ฟ้าธรรมธิเบศรไมม่ ลี กั ษณะข้อใด
ก. บทพรรณนาชมสตั วป์ ่า
ข. บทพรรณนาชมนกชมไม้
ค. บทราพงึ ราพนั ถึงนางผเู้ ป็นทีร่ กั ทานองนริ าศ
ง. บทพรรณนาชมไพร่พล
๖. กาพยเ์ ห่เรือของเจา้ ฟ้าธรรมธิเบศรสมควรได้รับความยกย่องว่าเป็นเลศิ ในดา้ นใด
ก. ชมโฉม
ข. แสดงภาพพจน์
ค. พรรณนาโวหาร
ง. แสดงลกั ษณะการเหเ่ รือ
๗. ศิลปะท่ีเกิดข้นึ สมั พันธก์ บั โอกาสท่พี ระมหากษัตริย์เสด็จประพาสชลมารคคอื ขอ้ ใด
ก. วจิ ิตรศิลป์ และวรรณศิลป์
ข. นาฏศิลป์ และวรรณศิลป์
ค. วิจติ รศิลป์ และนาฏศลิ ป์
ง. วรรณศิลป์ และสังคตี ศิลป์
๘. ขอ้ ใดคือจุดมงุ่ หมายในการเหเ่ รือของไทย
ก. เพ่ือเป็นพทุ ธบชู า
ข. เพือ่ ใชใ้ นพระราชพธิ ี
ค. เพือ่ บชู าเทพเจา้
ง. เพือ่ ให้จังหวะฝีพายและใหค้ วามเพลดิ เพลิน
๓๘
๙. สมเดจ็ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงเล่าว่าในการเห่เรือเม่อื เทย่ี วกลับน้นั ต้องเห่...เพราะ...
ก. ช้าลวะเห่ เพราะพายทวนน้าเรือจึงเคลือ่ นไปไดช้ ้า
ข. สวะเห่ เพราะให้เขา้ กับจงั หวะฝีพายท่ีจ้าลงถ่ี
ค. มลู เห่ เพราะเป็นพืน้ ๆทานองธรรมดา
ง. มลู เห่ เพราะพายทวนน้าใชท้ านองท่จี ะให้เข้ากับจงั หวะพาย
๑๐. เรือพระทน่ี ั่งเมอื่ จวนจะถงึ ทป่ี ระทบั คนเห่จะเห่ทานองใด
ก. มูลเห่
ข. โห่เห่
ค. สวะเห่
ง. ช้าลวะเห่
๑๑. การใชล้ านาการเหเ่ รือแบบใดที่ฝีพายจะบรรจงพายให้งามได้
ก. มูลเห่
ข. โห่เห่
ค. สวะเห่
ง. ชา้ ลวะเห่
๑๒. บทเห่เรือเล่นของเจา้ ธรรมธิเบศร ไดน้ ามาใช้เป็นบทเหเ่ รือหลวงในสมัยใด
ก. พระเจ้าอยูห่ ัวบรมโกศ
ข. พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั
ค. พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ง. พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ ัว
๓๙
๑๓. สมเด็จกรมพระยาดารงราชานภุ าพ ทรงสนั นิษฐานว่าการเหเ่ ร่ือหลวงมีคาวา่ "เหยอวเย่อว" เพราะเหตใุ ด
ก.คงจะเป็นคาศกั ด์สิ ิทธ์ใิ นการเห่เรือ
ข. คงจะเป็นลานาการเห่เรือของอินเดีย
ค. คงจะเป็นคาบอกจงั หวะให้ฝีพายพายพรอ้ มกัน
ง. คงจะกลายมาจากมนตร์ในตาราไสยศาสตร์ของพวกพราหมณ์
๑๔. หนว่ ยราชการท่ีรบั ผดิ ชอบโดยตรงในการจดั กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค คอื ขอ้ ใด
ก. ราชนาวไี ทย
ข. กองราชเลขานุการ
ค. สานักพระราชวงั
ง. กองการพระราชพธิ ี
๑๕. กาพย์เห่เรือของเจา้ ฟ้าธรรมธเิ บศรมีลกั ษณะการดาเนนิ เร่ืองเชน่ ไร
ก. สัมพนั ธก์ บั เวลาใน ๑ ชัว่ โมง
ข. สัมพนั ธ์กับเวลาใน ๑ วัน
ค. สมั พนั ธก์ บั เวลาใน ๑ เดอื น
ง. สัมพันธก์ บั เวลาใน ๑ ปี
๑๖. กาพยเ์ ห่เรือของเจ้าฟา้ ธรรมธเิ บศรสะทอ้ นให้เห็นสภาพเมอื งไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนปลายอยา่ งไร
ก. การคมนาคมใช้ทางน้าเป็นสาคญั
ข. การจราจรตดิ ขดั เพราะสภาพน้าท่วม
ค. มีการละเล่นทางน้าท่สี นุกสนานเมื่อถงึ หน้าน้า
ง. ในแต่ละปีจะมีงานนักขตั ฤกษ์ ซ่งึ มีการเห่เรือหลวงโดยใช้บทเห่เรือของเจา้ ฟ้าธรรมธเิ บศร
๔๐
๑๗. กระบวนเรือทีพ่ รรณนาไว้ในกาพยเ์ ห่เรือมีลักษณะอย่างไร
ก. เป็นกระบวนเรือรบ
ข. เป็นกระบนเรือทม่ี ีหัวเรือเป็นรูปสัตว์ต่างๆ
ค. เป็นกระบวนเรือในพระราชพธิ พี ยหุ ยาตราทางชลมารค
ง. เป็นกระบวนเรือท่ีประดบั ประดาด้วยดอกไม้ต่าง ๆ สวยงามมาก
๑๘. ไมท้ ี่ตอ่ เสริมหวั เรือให้งอนเชดิ ข้นึ ไป เรียกว่าอะไร
ก. กง่ิ
ข. เสา้
ค. โกลน
ง. โขน
๑๙. "แก้มช้าช้าใครตอ้ ง อันแกม้ นอ้ งชาเพราะชม
ปลาทุกทุกขอ์ กตรม เหมือนทุกข์พ่ีที่จากนาง"
คาประพนั ธข์ ้างต้นน้ใี ชศ้ ิลปะในการแต่งบทใด
ก. ใชค้ าซ้า
ข. สัมผสั อักษร
ค. เลน่ คา
ง. สัมผสั สระ
๒๐. คาประพันธใ์ นขอ้ ใดให้คณุ คา่ ทางดา้ นสังคม
ก. นวลจันทร์เป็นนวลจริง เจา้ งามพริ้งยง่ิ นวลปลา
ข. คางเบอื่ นเบื่อนหน้ามา ไมง่ ามเทา่ เจา้ เบ่ือนชาย
ค. เพยี นทองงามด่ังทอง ไมเ่ หมือนน้องห่มตาดพราย
ง. กระแหแหห่างชาย ดั่งสายสวาทคลาดจากสม
๔๑
๒๑. ”ชาย” ในขอ้ ใดทมี่ คี วามหมายต่างกับข้ออนื่
ก. คางเบือนเบือนหนา้ มา ไม่งามเทา่ เจ้าเบือนชาย
ข. กระแหแหห่างชาย ด่งั สายสวาทคลาดจากสม
ค. ไพเราะเพราะกังวาน ปานเสียงนอ้ งร้องส่ังชาย
ง. ชายใดในแผน่ ดนิ ไมเ่ หมือนพท่ี ต่ี รอมใจ
๒๒. "น้าเงนิ คือเงนิ ยวง ขาวพรายชว่ งสีสาอางไม่เทียบเปรียบโจมนาง งามเรืองเรื่อเนือ้ สองส"ี "สองส"ี ที่กลา่ ว
ไว้ข้างตน้ น้คี อื สีอะไร
ก. ดาแดง
ข. ดาเหลอื ง
ค. ขาวเหลือง
ง. ขาวแดง
๒๓. ครุฑผูกใจเจบ็ นาค เพราะ
ก. มารดของตนถกู นาคแกล้ง
ข. มารดาของนาคแกล้งมารดาตน
ค. นาคเป็นลกู เล้ยี งของบดิ าตน
ง. บดิ าของตนถกู พระกัศยปบิดาของนาคแกลง้
๒๔. ความในข้อใดทแ่ี ฝงความสมั พนั ธอ์ ันลึกซ้งึ ของบุคคลได้อยา่ งแยบยลท่ีสุด
ก. แกม้ ช้าช้าใครต้อง อนั แก้มนอ้ งช้าเพราะชม
ข. เน้อื อ่อนออ่ นแต่ช่ือ เนอ้ื น้องหรืออ่อนท้ังกาย
ค. รวยรินกลิ่นราเพย คดิ พี่เคยเชยกลิ่นปราง
ง. เหมอื นพนี่ ้ปี ระคอง รับขวญั น้องต้องมือเบา
๔๒
๒๕. "ยามสองฆอ้ งยามยา่ ทกุ คืนคา่ ยา่ อกเอง" "ยามสอง" คอื เวลาอะไร
ก. สองทุ่ม
ข. เที่ยงคืน
ค. ตีสอง
ง. ยา่ ค่า
๒๖. "หลังคาแดงแย่งมงั กร" มคี วามหมายตรงกับขอ้ ใด
ก. หลงั คามลี วดลายเป็นมงั กรแดง
ข. หลังคาสแี ดงมลี วดลายเป็นรูปมังกร
ค. หลังคามรี ูปมงั กรสแี ดง
ง. หลังคาแดงเป็นรูปมังกร
๒๗. ข้อใดไมแ่ สดงอาการเคลือ่ นไหว
ก. จาปาหนาแนน่ เนื่อง คลีก่ ลบี เหลอื งเรืองอร่าม
ข. ไม่เทา่ เจา้ โจมฉาย หม่ ตาดพรายกรายกรมา
ค. ประยงค์ทรงพวงห้อย ระยา้ ยอ้ ยห้อยพวงกรอง
ง. มะลวิ ัลยพ์ นั จิกจวง ดอกเป็นพวงร่วงเรณู
๒๘. "พระเสดจ็ โดยแดนชล ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย
กิ่งแก้วแพร้วพราย พายอ่อนหยบั จบั งามงอน"
"พระ" ในคาประพนั ธข์ ้างตน้ น้หี มายถึงผใู้ ด
ก. พระเจา้ อยู่หวั บรมโกศ
ข.เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร
ค. พระเจ้าอย่หู วั บรม โกศและเจ้าฟา้ ธรรมธเิ บศร
ง. เจ้าฟา้ ธรรมธเิ บศรและพระชายา
๔๓
๒๙. "พิศพรรณปลาวา่ ยเคล้า คลึงกนั
ถวิลสุดาดวงจันทร์ แจม่ หน้า
มตั สยายอ่ มพัวพัน พศิ วาส
ควรถพรากน้องชา้ ชวดเคล้าคลึงชม"
โคลงสสี่ ภุ าพข้างต้นน้มี ลี กั ษณะเด่นอย่างไร
ก. มสี มั ผสั อักษรแพรวพราว
ข. มีสัมผสั สระไพเราะ
ค. มสี มั ผสั ในทง้ั สัมผสั สระและอกั ษร
ง. มสี มั ผสั อักษรระหว่างวรรคทุกบาท
๓๐. "มาสู่สขุ คืนเขญ็ หม่นไหม"้ มคี วามหมายตรงกับข้อใด
ก.กลางวันมคี วามสุข กลางคนื กลบั มแี ต่ความทุกข์
ข. เธอมคี วามสุข แต่พีก่ ลบั มีแต่ความทุกข์หม่นไหม้
ค. มาเทีย่ วหวงั จะไดค้ วามสขุ แตก่ ลับตอ้ งได้รับความทกุ ข์
ง. ใจมคี วามทุกข์ แตร่ ่างกายได้รับความสขุ สะดวกสบายดที ุกอย่าง
๓๑. ขอ้ ใดให้ท้ังจินตภาพและอารมณ์สะเทอื นใจ
ก. งามทรงวงดงั วาด งามมารยาทนาดกรกราย
งามพร้ิมยมิ้ แยม้ พราย งามคาหวานลานใจถวิล
ข. จาปาหนาแน่นเน่อื ง คลี่กลีบเหลืองเรืองอร่าม
คิดคะนึงถึงนงราม ผวิ เหลอื งกว่าจาปาทอง
ค. เวรามาทนั แล้ว จงึ จาแคลว้ แกว้ โกมล
ใหแ้ คน้ แสนสุดทน ทุกขถ์ งึ เจา้ เศรา้ เสียดาย
ง. เร่ือยเร่ือยมาเรียงเรียง นกบินเฉยี งไปทง้ั หมู่
ตัวเดียวมาพลัดคู่ เหมอื นพอ่ี ยูผ่ เู้ ดียวดาย
๔๔
๓๒. ขอ้ ใดไม่ใช้วธิ ีอปุ มาในการประพันธ์
ก. นกแกว้ แจว้ แจม่ เสยี ง จบั ไม้เรียงเคยี งคูส่ อง
เหมอื นพ่ีน้ปี ระคอง รับขวัญน้องต้องมือเบา
ข. ไกฟ่ า้ มาตัวเดยี ว เดินท่องเทยี่ วเล้ยี วเหล่ยี มเขา
เหมอื นพรากจากนงเยาว์ เปล่าใจเปลยี่ วเหลียวหานาง
ค. แขกเต้าเคลา้ คเู่ คยี ง เรียงจับไม้ไซป้ ีกหาง
เรียมคะนึงถึงเอวบาง เคยแนบขา้ งรา้ งแรมนาน
ง. ดุเหว่าเจา่ จบั ร้อง สน่นั ก้องช้องเสยี งหวาน
ไพเราะเพราะกังวาน ปานเสียงนอ้ งร้องสงั่ ชาย
๓๓. “เรื่อยเรื่อยมารอนรอน ทิพากรจะตกต่า
สนธยาจะใกล้คา่ คานึงหน้าเจ้าตราตรู
เร่ือยเรื่อยมาเรียงเรียง นกบินเฉยี งไปทั้งหมู่
ตวั เดียวมาพลัดคู่ เหมอื นพอ่ี ย่ผู เู้ ดียวดาย
เห็นฝงู ยงู ราฟ้อน คดิ บงั อรร่อนรากราย
สรอ้ ยทองย่องเย้ืองชาย เหมอื นสายสวาทนาดนวยจร”
คาประพนั ธข์ ้างตน้ น้แี สดงให้เหน็ ถงึ ความรู้สกึ ของกวเี ป็นอยา่ งไร
ก. โศกเศร้า
ข. เงียบเหงา
ค. เดยี วดาย
ง. คดิ ถงึ หญงิ คนรัก
๔๕
๓๔. ในกาพย์เหเ่ รือของเจา้ ฟ้าธรรมธเิ บศร มีคาประพนั ธต์ อนหน่งึ วา่
“อิม่ ทุกขอ์ ่ิมชลนา อิม่ โศกาหน้านองชล” ทเ่ี ป็นเชน่ น้เี พราะ
ก. เปลา่ ใจเปลย่ี วเหลยี วหานาง
ข. ทุกข์ถงึ เจา้ เศร้าเสยี ดาย
ค. สมสาใจไม่พามา
ง. ไมว่ ายนึกตรึกตรึงทรวง
๓๕. “มา่ นกรองทองรจนา” คาทขี่ ีดเสน้ ใต้หมายความวา่ อยา่ งไร
ก. ผา้ ไหมทาเป็นม่านมีลวดลายทอง
ข. ผ้าม่านถกั ด้วยลวดทองทาเป็นลาย
ค. ม่านผา้ โปร่งถกั เป็นลายดว้ ยไหมทอง
ง. ผา้ โปร่งถักดว้ ยไหมแลว้ กรองด้วยไหมทองเป็นลาย
๓๖. “ประยงคท์ รงพวงห้อย ระยา้ ยอ้ ยห้อยพวงกรอง
เหมอื นอบุ ะนวลละออง เจา้ แขวนไวใ้ หเ้ รียมชม” ข้อความทีข่ ดี เส้นใตห้ มายความวา่ อย่างไร
ก. เหมือนอุบะหอ้ ยอย่ทู พี่ ระแกล
ข. เหมือนอุบะหอ้ ยอยทู่ ่ีหขู องนอ้ ง
ค. เหมอื นอุบะหอ้ ยอย่ทู ่ตี ้นประยงค์
ง. เหมือนอุบะหอ้ ยอย่ทู แี่ ทน่ บรรทม
๔๖
๓๗. จงพจิ ารณาวา่ จากโคลงท่ีกาหนดให้น้ี ข้อใดเป็นการสรุปความรู้สกึ ท่เี ด่นชดั ของกวี
“รอนรอนสรุ ิยะโอ้ อสั ดง
เร่ือยเรื่อยลับเมรุลง ค่าแลว้
รอนรอนจิตจานง นชุ พ่ี เพยี งแม่
เรื่อยเร่ือยเรียมคอยแกว้ คลับคลา้ ยเรียมเหลียว”
ก. คะนึงหา
ข. รักแลว้ รอหนอ่ ย
ค. ทาไมถึงตอ้ งเป็นเรา
ง. มรี กั เหมือนมีทุกขล์ ้นปร่ี
๓๘. “แต่เชา้ เทา่ ถงึ เยน็ กลา้ กลืนเขญ็ เป็นอาจณิ
ชายใดในแผ่นดิน ไมเ่ หมอื นพ่ที ีต่ รอมใจ” ข้อความน้มี เี นื้อความสอดคล้องกับข้อใดมากที่สุด
ก. จากเชา้ เท่าถึงเยน็ แสนลาเคญ็ นริ นั ดร
กายใจใหร้ ุ่มร้อน หว่ งอาวรณ์ทอดถอนใจ
ข. เยน็ เช้าพเี่ ฝ้าคดิ ท้ังกายจติ คิดหวัน่ ไหว
บุรุษในแดนใด ไมอ่ ้างวา้ งเท่าพีน่ ้ี
ค. ขนุ แผนแมน้ ขุนชา้ ง ไม่อา้ งว้างเท่าตัวพี่
อิเหนาพระอภยั มณี ไมเ่ ทียบพท่ี ่ตี รอมใจ
ง. อรุณรุ่งจุ่งสนธยา พ่ีสดุ วา้ เหว่ดวงใจ
ชายอ่นื แมแ้ ดนไหน จะโศกเท่าเราไม่มี
๔๗
๓๙. ขอ้ ใดใช้ภาพพจน์
ก. แขกเตา้ เคลา้ คู่เคียง เรียงจับไม้ไซป้ ีกหาง
เรียมคะนึงถึงเอวบาง เคยแนบขา้ งรา้ งแรมนาน
ข. ปกั ษีมหี ลายพรรณ บา้ งชมกันขันเพรียกไพร
ยิ่งฟังวังเวงใจ ลว้ นหลายหลากมากภาษา
ค. ลมชวยรวยกลิ่นน้อง หมอเร่ือยต้องคลองนาสา
เคลอื บเคล้นเหน็ คล้ายมา เหลยี วหาเจา้ เปล่าวงั เวง
ง. พิกลุ บุนนาคบาน กลน่ิ หอมหวานซา่ นขจร
แมน้ นุชสดุ สายสมร เหน็ จะวอนออ้ นพี่ชาย
๔๐. คาประพันธ์ในข้อในใช้อุปลักษณเ์ ป็นภาพพจน์
ก.ตัวเดียวมาพลัดคู่ เหมือนพอี่ ย่ผู ูเ้ ดียวดาย
ข.ไพเราะเพราะกงั วาน ปานเสียงน้องร้องสง่ั ขาย
ค.น้าเงนิ คือเงินยวง ขาวพรายชว่ งสสี าอาง
ง.นาคาหน้าดงั่ เป็น ดเู ขม้นเห็นขบขบั
๔๑. “ล่วงสามยามปลายแล้ว จนไกแ่ กว้ แวว่ ขนั ขาน
มอ่ ยหลบั กลบั บนั ดาล ฝนั เห็นนอ้ งต้องตดิ ตา” พระสบุ นิ ของเจ้าฟา้ ธรรมธิเบศรจดั อยู่ในความฝนั ลกั ษณะใด
ก.บรุ พนิมติ
ข.จติ นิวรณ์
ค.เทพสงั หรณ์
ง.ธาตโุ ขภะ