The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประเภทกลอนสุภาพ(กลอนแปด)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by guide64g2008, 2022-08-15 07:01:13

ประเภทกลอนสุภาพ(กลอนแปด)

ประเภทกลอนสุภาพ(กลอนแปด)

รายงาน

เรอื่ ง ประเภทของกลอนสภุ าพ (กลอนแปด)

จดั ทำโดย...
ด.ช.ภานกุ ร แก้วเยื้อง เลขที่ 10

รายงานนเ้ี ป็นส่วนหน่ึงของวิชา ภาษาไทย
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565



คำนำ
กลอนสภุ าพ เป็นกลอนประเภทหนึ่ง ซ่ึงลักษณะคำประพันธ์ของภาษาไทย ทีเ่ รยี บเรยี งเข้าเป็นคณะ
ใช้ถอ้ ยคำและทำนองเรยี บ ๆ ซง่ึ นับไดว้ ่ากลอนสุภาพเป็นกลอนหลกั ของกลอนทัง้ หมด เพราะเป็นพ้นื ฐานของ
กลอนหลายชนดิ หากเขา้ ใจกลอนสุภาพ กส็ ามารถเขา้ ใจกลอนอน่ื ๆ ไดง้ ่ายขน้ึ
คำประพันธ์ ทต่ี อ่ ท้ายว่า "สภุ าพ" นบั วา่ เป็นคำประพนั ธ์ที่แสดงลักษณะเป็นไทยแท้ ด้วยมขี ้อบังคบั ใน
เรื่อง "รูปวรรณยุกต์" ในกลอนสุภาพนอกจากมีบงั คบั เสยี งสระเป็นแบบแผนเช่นกลอนปกติแล้ว ยังบังคับรปู
วรรณยุกต์เพ่ิม จึงมีข้อจำกดั ทั้งรูปและเสยี งวรรณยุกต์ เป็นการแสดงไหวพริบปฏิภาณและความแตกฉานใน
การใชภ้ าษาไทยของผแู้ ตง่ ใหเ้ ดน่ ชัดยงิ่ ขนึ้
คำประพันธ์กลอนสภุ าพนิยมเล่นกันมากตงั้ แตส่ มยั อยุธยา จวบจนถงึ ปัจจุบนั ในต้นรัตนโกสินทร์นั้น
งานกลอนสภุ าพเด่นชัดมากในรชั สมัยของรชั กาลท่ี 2 ซง่ึ เฟื่องฟถู ึงขนาดมีการแข่งขนั ต่อกลอนสด กลอนกระทู้
ตลอดรัชสมยั มผี ลงานออกมามากมาย เช่น กลอนโขน กลอนนิทาน กลอนละคร กลอนตำราวัดโพธิ์ เป็นตน้
บทพระราชนิพนธ์เรอ่ื ง เงาะป่า กเ็ กิดขนึ้ ในยุคน้ีเช่นเดียวกัน และยังมกี วีทีม่ ชี อ่ื เสียงโดง่ ดัง คือ สนุ ทรภู่ ก็อยใู่ น
ยุคนเี้ ชน่ เดยี วกนั อกี ทั้งในสมัยรชั กาลท่ี 6 กม็ ีปราชญ์กวที างกลอนสุภาพทสี่ ำคัญหลายทา่ น เป็นต้น

สารบญั ข
เรอื่ ง
หนา้
คำนำ
สารบญั ก
บทนำ ข
กลอนสภุ าพ (กลอนแปด) แบง่ แยกตามจดุ ประสงคข์ องการนำไปใช้ 3
5
- กลอนบทละคร
กลอนเสภา 7
กลอนสักวา 8
กลอนดอกสร้อย 9
กลอนอ่าน 10

- กลอนนทิ าน 11
กลอนเพลงยาว 12
กลอนนริ าศ 13-14
บทสรปุ 15
บรรณานกุ รม

หนา้ ที่ 3

บทนำ

กลอนสภุ าพ (กลอนแปด) เปน็ คำประพันธอ์ กี ชนดิ หนงึ่ ที่ได้รบั ความนิยมกนั ทวั่ ไป เพราะเปน็ ร้อย
กรองชนิดทมี่ คี วามเรียบเรียงง่ายต่อการสือ่ ความหมาย และสามารถสอื่ ได้อย่างไพเราะ ซงึ่ กลอนแปดมกี าร
กำหนดพยางคแ์ ละสมั ผสั มีหลายชนดิ แตท่ น่ี ิยมคือ กลอนสภุ าพ

ลกั ษณะคำประพนั ธ์
1.บทหนงึ่ มี ๔ วรรค

วรรคทีห่ นง่ึ เรยี กวรรคสดบั
วรรคที่สองเรยี กวรรครบั
วรรคที่สามเรียกวรรครอง
วรรคทสี่ เ่ี รยี กวรรคส่ง
แต่ละวรรคมีแปดคำ จงึ เรยี กว่า กลอนแปด

2.เสียงคำกลอนทุกประเภทจะกำหนดเสียงคำทา้ ยวรรคเปน็ สำคญั กำหนดได้ ดังน้ี
คำทา้ ยวรรคสดบั กำหนดใหใ้ ช้ได้ทกุ เสยี ง
คำทา้ ยวรรครบั กำหนดหา้ มใชเ้ สียงสามัญกบั ตรี
คำท้ายวรรครอง กำหนดใหใ้ ชเ้ ฉพาะเสียงสามญั กับตรี
คำทา้ ยวรรคสง่ กำหนดใหใ้ ชเ้ ฉพาะเสยี งสามัญกบั ตรี

3.สัมผสั
ก. สมั ผัสนอกหรอื สัมผัสระหว่างวรรค อนั เปน็ สมั ผัสบงั คบั มดี งั น้ี

คำสุดทา้ ยของวรรคทห่ี น่งึ (วรรคสดับ) สมั ผัสกบั คำทสี่ ามหรือห้า ของวรรคที่สอง (วรรครบั )
คำสุดท้ายของวรรคท่สี อง (วรรครับ) สมั ผสั กับคำสุดท้ายของวรรคที่สาม (วรรครอง) และคำที่สามหรอื หา้ ของ
วรรคท่ีสี่ (วรรคส่ง)

สัมผสั ระหว่างบทของกลอนแปด คอื คำสดุ ท้ายของวรรคทส่ี ี่ (วรรคส่ง) เปน็ คำส่งสมั ผัสบังคับให้บท
ตอ่ ไปตอ้ งรบั สมั ผสั ท่คี ำสุดทา้ ยของวรรคทสี่ อง (วรรครบั )

หนา้ ที่ 4

ข. สัมผสั ในแตล่ ะวรรคของกลอนแปด แบง่ ช่วงจงั หวะออกเปน็ สามชว่ ง ดงั น้ี
หนึ่งสองสาม – หน่งึ สอง – หนงึ่ สองสาม
ฉะนนั้ สมั ผสั ในจงึ กำหนดได้ตามช่วงจงั หวะในแตล่ ะวรรคนัน่ เอง ตัวอย่าง

อันกลอนแปด – แปด คำ – ประจำวรรค
วางเป็นหลกั – อัก ษร – สุนทรศรี

หนา้ ที่ 5

กลอนสุภาพ (กลอนแปด)
แบ่งแยกตามจุดประสงคข์ องการนำไปใช้ได้ 2 ประเภท คอื
1.กลอนขับร้อง
2.กลอนอา่ น

กลอนขบั รอ้ ง มีทงั้ หมด 4 ประเภท ไดแ้ ก่
1.กลอนบทละคร
2.กลอนเสภา
3.กลอนสกั วา
4.กลอนดอกสรอ้ ย

1.กลอนบทละคร เป็นคำประพนั ธ์ชนิดหน่ึง ซึ่งแต่งขึ้นเพื่อใช้ในการเลน่ ละคร ต้องอาศัยทำนองขับ
ร้องและเครื่องดนตรีประกอบ แต่งเสร็จต้องนำไปซักซ้อมปรับปรุง ดังนั้น จำนวนคำของแต่ละวรรคจึงไม่
เท่ากนั ขึ้นอยกู่ บั จังหวะขบั ร้องเปน็ สำคญั วา่ โดยหลกั มีแต่ 6 คำ ถงึ 9 คำ แต่ท่ีปรากฏว่าใช้มากสดุ คือ 6 คำ
เชน่ เรื่องรามเกียรต์ิ เฉพาะวรรคแรกขึน้ ตน้ ใช้ 2 คำ ถึง 4-5 คำ บางคราวกส็ ง่ สัมผัสไปยงั วรรคที่ 2 บางคราวก็
ไม่ส่ง คำที่ใช้เช่น เมื่อนัน้ , บัดน้ี, น้องเอ๋ยน้องรัก แม้กลอนสดับ จะใช้คำพูดเพียงสองคำ ก็ถือถือว่าเต็มวรรค
โดยลักษณะสมั ผสั ในวรรคและนอกวรรค นิยมใช้แบบกลอนสุภาพ แต่งเป็นตอน ๆ พอจบตอนหนึ่ง ขึ้นตอน
ต่อไปใหม่ ไมต่ ้องรบั สัมผสั ไปถงึ ตอนทีจ่ บ เพราะอาจเปล่ียนทำนองตามบทบาทตวั ละคร ทขี่ ้ึนต้นวา่ เม่อื นนั้ ใช้
สำหรับพระเอกหรอื ผนู้ ำในเรื่อง บัดน้ัน ใชส้ ำหรบั เสนา กลอนนเี้ ปน็ กลอนผสม คอื กลอน 6 กลอน 7 กลอน 8
หรอื กลอน 9 ผสมกนั ตามจงั หวะ มีแผนผังและตวั อยา่ ง ดังนี้

หนา้ ที่ 6

ตวั อย่าง กลอนบทละคร

หนา้ ที่ 7

2.กลอนเสภา
กลอนเสภา เป็นคำประพันธ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งแต่งเพื่อใช้ขับ เพราะใช้เป็นกลอนขับ จึงกำหนดคำไม่

แน่นอน มุ่งการขับเสภาเปน็ สำคัญ จึงใช้คำ 7 คำ ถึง 9 คำ การส่งสัมผัสนอกเหมือนกับกลอนสุภาพ แต่ไม่
บังคับหรือห้ามเสียงสูง ต่ำ ตามจำนวนคำแต่ละวรรค อยู่ในเกณฑ์กลอน 7-9 เช่น เสภาขุนช้างขุนแผน มี
แผนผังและตัวอยา่ ง ดงั นี้

หนา้ ที่ 8

3.กลอนสักวา
เป็นบทประพนั ธช์ นิดหน่ึง ซงึ่ กำหนดใหแ้ ต่งเพยี ง 8 วรรค ขึ้นดว้ ยคำวา่ สกั วา แลว้ ตอ่ ดว้ ยคำที่

เหมาะสม วรรคท่ี 2 รับสัมผสั ตอ่ ไป เมื่อจบตอ้ งคำวา่ เอย คำวา่ สกั วา และคำว่า เอย เปน็ ข้อบงั คับ หลัก
กลอนทวั่ ไป เหมือนกับกลอนบทละคร ใช้คำวรรคละ 6-9 คำ มแี ผนผงั และตัวอยา่ ง ดงั น้ี

หนา้ ที่ 9

4.กลอนดอกสร้อย
เป็นคำประพนั ธช์ นดิ หนง่ึ ซึง่ กำหนดให้ไว้เพียง 8 วรรค คำท่ี 2 ของกลอนสดับมคี ำว่า เอย แล้วมีคำ

ต่อเอยอีกไม่เกนิ 3 คำ ใช้คำสดุ ท้ายของกลอนสดบั สง่ ไปยงั คำที่ 1,2,3 หรอื 4 คำใดคำหน่ึงของกลอนรับ แล้ว
คำสดุ ท้ายของกลอนรบั สง่ ไปยงั คำสดุ ทา้ ยของกลอนรอง คำสุดทา้ ยของกลอนรองสง่ ไปยังคำที่ 1,2,3 หรือ 4
ของกลอนสง่ คำสดุ ท้ายของกลอนสง่ ส่งสมั ผสั ไปยงั คำสุดท้ายของกลอนในบททีแ่ ตง่ ให้จบ และจบลงด้วยคำวา่
“เอย” มแี ผนผงั และตัวอย่างดังนี้

หนา้ ท่ี 10

กลอนอ่าน

กลอนอา่ น มที ัง้ หมด 3 ประเภท ได้แก่
1.กลอนนทิ าน
2.กลอนเพลงยาว
3.กลอนนริ าศ

1.กลอนนิทาน กลอนนิทานมีลักษณะเหมือนกลอนนิราศ ข้ึนตน้ ด้วยวรรครบั แล้วแตง่ เปน็ เร่ืองยาวๆ
ทำนองนิทาน หรือ นิยาย มีพระเอกนางเอก มีตัวผู้ร้ายหรือตัวอจิ ฉา อิงหลักธรรมในศาสนา อาจจะมีการรบ
ทพั จับศึก กระบวนการสงครามหรือมคี วามลึกลบั มหศั จรรย์ การแสดงอภนิ ิหาร หรอื ความสามารถของตวั เอก
ในเรอื่ งอาจจะแฝงด้วยลัทธิ ไสยศาสตรม์ กั จะลงเอยด้วย ฝ่ายดหี รอื ฝา่ ยธรรมชนะอธรรม
นิยาย ทำนองนี้มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับกษัตริย์หรือเรื่องจักรๆวงศๆ์ เป็นนิยายประโลมโลก ที่อ่านเพือ่ ความ
บันเทิง แตก่ ไ็ ดค้ ติขอ้ คิดจากเร่ืองเหล่านี้

ตวั อยา่ งเรือ่ งท่แี ตง่ เป็นกลอนนิทานเช่น
-เรอ่ื งพระอภัยมณี
-เรอ่ื งไชยเชษฐ์
-เร่ืองกากี
-เรื่องโคบตุ ร
-เร่อื งลกั ษณะวงศ์
-เรอื่ งทนิ วงศ์
-เร่อื งโสนนอ้ ยเรอื นงาม
-เรื่องนางสบิ สอง
-เรื่องจนั ทะโครพ
-เรือ่ งสงั ข์ทอง
-เรอื่ งพระสธุ น มโนราห์

กฎการแต่งกลอนนทิ าน
1. กลอนนทิ านจะขึน้ ตน้ ดว้ ยวรรครบั ของบาทเอก ส่วนวรรคสดับปล่อยเวน้ วา่ งไว้
2. วรรคหนึ่งกำหนดคำ ตงั้ แต่ 7-9 คำ
3. สัมผสั และความไพเราะอ่ืน ๆ เหมือนกบั กลอนแปด
4.กลอนนทิ านจะแต่งสน้ั ยาวอยา่ งไรก็ตามจะตอ้ งจบด้วยบาทโท

หนา้ ที่ 11

2.กลอนเพลงยาว ลักษณะกลอนเพลงยาวเป็นกลอนที่บังคับบทขึ้นต้นเพียง 3 วรรค จัดเป็นกลอน
ขึ้นต้นไม่เตม็ บท ขึ้นต้นด้วยวรรครับในบทแรก ส่วนบทตอ่ ๆ ไป คงมี 4 วรรคตลอด สัมผัสเป็นแบบกลอน
สุภาพ ไม่จำกัดความยาวในการแต่ง แต่นิยมจบด้วยบาทคู่ และต้องลงด้วยคำว่าเอย จำนวนคำในวรรคอยู่
ระหว่าง ๗-๙ คำ วัตถุประสงค์สำคัญของเพลงยาวคือใช้เป็นจดหมายโต้ตอบ ระหว่างชาย-หญิง เพลงยาว
ปรากฎขึน้ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ได้แก่ เพลงยาวพระราชนพิ นธ์ เจ้าฟา้ ธรรมธเิ บศร์ ที่กล่าวกนั วา่ ทรง
นพิ นธใ์ ห้แกเ่ จา้ ฟ้าสงั วาล โดยเหตุทว่ี ตั ถปุ ระสงคส์ ำคัญของกลอนเพลงยาว คอื ใช้เปน็ จดหมายรัก และ จบลง
ด้วยคำว่า "เอย" จึงเป็นที่มาของสำนวน "ลงเอย" ในภาษาไทยหมายถึงการตกลงปลงใจที่จะร่วมชีวิตคู่ ของ
ชาย-หญิง ส่วนชื่อ "เพลงยาว" น่าจะเกิดจากเนื้อความของจดหมายแต่ละฉบับ ที่มีขนาดยืดยาว หรืออีก
ประการหนึ่งอาจเกิดจากระยะเวลา ในการผูกสมัครรักใคร่ และโต้ตอบจดหมายกันจน"ลงเอย"ใชเ้ วลานานก็
เปน็ ได้

อน่ึงอาจกล่าวได้ว่า "เพลงยาว" เปน็ ตวั การสำคัญข้อหนึ่งทท่ี ำให้ผูห้ ญิงไทยสมัยก่อนไมม่ ีโอกาสได้รบั
การศึกษา เพราะผู้ใหญ่ไม่สง่ เสรมิ เนื่องจากเกรงว่าเมือ่ อ่านออกเขียนได้แล้ว จะริ "เล่นเพลงยาว" และอาจ
ก่อให้เกดิ เรื่องราวเชงิ ช้สู าวให้เป็นที่เสอ่ื มเสียวงศ์ตระกูล

หนา้ ที่ 12

3.กลอนนิราศ กลอนนิราศ คือคำกลอนที่แต่งขึ้นเพื่อเลา่ เรื่องการเดนิ ทางไปยังแห่งใดแห่งหนึ่งโดย
รำพันถึงการจากคนที่รักไปยังแห่งนั้น และ ไม่จำเป็นว่าคนที่รักจะมีตัวตนจริงหรือไม่ การประพันธ์ต้องใช้
ศลิ ปะในการรำพันใหไ้ พเราะกนิ ใจผอู้ ่าน กลอนนิราศท่ีนยิ มวา่ แตง่ ดี ไดแ้ ก่ นิราศของสุนทรภู่ เช่น นิราศภเู ขา
ทอง นิราศพระบาท เปน็ ต้น สว่ นนริ าศเร่อื งอน่ื ทน่ี ับว่าไพเราะดว้ ยความพรรณนา เช่น นริ าศลอนดอน ของ
หม่อมราโชทยั นิราศรอบโลก ของแสงทอง

กลอนนิราศมีลักษณะบังคับอย่างกลอนทั่วไป กำหนดลักษณะเฉพาะเช่นเดยี วกับกลอนเพลงยาว คือ
ขน้ึ ตน้ ด้วยวรรครับ และ ลงทา้ ยบทดว้ ยคำว่า "เอย"

หนา้ ที่ 13

บทสรปุ

ตามหลักฐานทางวรรณคดีไทย กลอน 8 พบครงั้ แรกในกลบทศิริวิบุลกติ ติ สมยั อยุธยาตอนปลาย ซ่ึง
คน้ พบกนั วา่ จังหวะและลลี าลงตัวทส่ี ุด จึงมคี นแต่งแบบนมี้ ากที่สุด และผู้ท่ีทำใหก้ ลอน 8 รุ่งเรอื งท่ีสุดคือท่าน
สุนทรภู่ ท่ีไดพ้ ัฒนาเพ่ิมสัมผสั อยา่ งเป็นระบบ ซ่ึงใกล้เคยี งกับกลบทมธรุ สวาทใี นกลบทศริ วิ บิ ุลกิตติ์

กลอนแปด นั้นถือวา่ เป็นขนบกวีนพิ นธพ์ ื้นฐานท่ีนิยมท่ีสุดในไทย เหตเุ พราะมีฉันทลักษณ์ที่เรียบง่าย
ไม่ซับซ้อน สามารถแสดงอารมณไ์ ด้หลากหลาย และคนทัว่ ไปสามารถเข้าถึงเน้อื ความได้ไม่ยาก หนึง่ ในรูปแบบ
ของกลอนแปดก็คือ รูปแบบกลอนแปดของสุนทรภู่ ซึ่งความแพรวพราวด้วยสัมผัสใน และขนบ ธรรมเนียม
ดงั กล่าวนี้ ก็ได้รบั การสบื ทอดต่อมาในงานกวีนิพนธย์ คุ หลัง ๆ กระทั่งปจั จบุ นั

คณะ กลอนแปด บทหนึ่งประกอบดว้ ย 2 บาท บาทละ 2 วรรค วรรคละ 8 คำ ตามผงั

OOOOOOOO OOOOOOOO
OOOOOOOO OOOOOOOO

หนา้ ที่ 14

สัมผัสนอก ให้มีสัมผัสระหว่างคำสุดท้ายวรรคหน้ากับคำที่สามของวรรคหลังของทุกบาท และให้มี
สัมผัสระหว่างบาทคือคำสุดท้ายของวรรคที่สองสัมผัสกับคำสุดท้ายวรรคที่สาม ส่วนสัมผัสระหว่างบท
กำหนดใหค้ ำสดุ ทา้ ยของบทแรก สัมผัสกับคำสุดท้ายวรรคทสี่ องของบทถดั ไป

สัมผัสใน ไมบ่ งั คับ แต่หากจะให้กลอนสละสลวยควรมีสมั ผสั ระหว่างคำท่ีสามกับคำทสี่ ี่ หรอื ระหว่าง
คำท่หี า้ กบั คำทหี่ กหรือคำทเ่ี จด็ ของแตล่ ะวรรค

หลกั การใชเ้ สียงวรรณยกุ ต์

คำสดุ ทา้ ยของวรรคท่ี 1 ใช้เสียง สามญั เอก โท ตรี จตั วา แต่ไมน่ ยิ มเสยี งสามญั
คำสดุ ท้ายของวรรคที่ 2 หา้ มใช้เสยี ง สามัญ หรอื ตรี นิยมใช้เสยี ง จตั วา เป็นสว่ นมาก
คำสุดทา้ ยของวรรคท่ี 3 ห้ามใชเ้ สียง เอก โท จัตวา นิยมใชเ้ สยี ง สามัญ หรอื ตรี
คำสุดทา้ ยของวรรคท่ี 4 ห้ามใช้เสยี ง เอก โท จตั วา นิยมใช้เสียง สามัญ หรอื ตรี

ตัวอยา่ งกลอนสภุ าพ(กลอนแปด)ของสุนทรภู่

"ท้ังตอ้ งน้ำอำมฤตเมอื่ ดกึ เงยี บ แสนยะเยยี บเนอ้ื เยน็ เป็นเหนบ็ หนาว
ทงั้ หนาวลมหนาวพรมนำ้ คา้ งพราว ไหนจะหนาวซากผาศลิ าเย็น
โอห้ นาวอื่นพอขนื อารมณ์ได้ แตห่ นาวใจยากแคน้ น้ีแสนเข็ญ

ทง้ั หนาวนอนไกลนุชสุดจะเยน็ ใครปะเป็นเหมอื นหนึ่งข้าจะวา่ จริง"

(จาก นิราศพระบาท ของ สนุ ทรภู่)

หนา้ ที่ 15

บรรณานกุ รม
กลอนขบั รอ้ ง

1.กลอนบทละคร - วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวิหาร (watmoli.com)
2.กลอนเสภา - วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวหิ าร (watmoli.com)
3.กลอนสกั วา - วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวิหาร (watmoli.com)
4.กลอนดอกสรอ้ ย- วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวหิ าร (watmoli.com)

กลอนอา่ น
1.กลอนนทิ าน - ฉนั ทลกั ษณ์กลอนไทย (google.com)
2.กลอนเพลงยาว - ฉันทลักษณก์ ลอนไทย (google.com)
3.กลอนนริ าศ - ฉันทลกั ษณก์ ลอนไทย (google.com)

หนา้ ท่ี 16

หนา้ ท่ี 17

หนา้ ท่ี 18

หนา้ ท่ี 19

หนา้ ท่ี 20


Click to View FlipBook Version