คำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ หนังสือประกอบการเรียรีน BY ครูรู รู พี่ รู พี่ พี่ เพี่ เฟิฟิฟิ ร์ฟิ ร์ ร์ น ร์ น
คำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิคืคื คื อคื ออะไร ? คำคำคำคำสมาส คำคำคำคำสมาส : เป็ป็ป็ นป็ นลัลั ลั กลั กษณะของการสร้ร้ ร้ า ร้ างคำคำคำคำขึ้ขึ้ ขึ้ นขึ้ นใหม่ม่ ม่ม่ โดย นำนำนำนำคำคำคำคำบาลีลี ลี หลี หรืรื รื อรื อสัสั สั นสั นสกฤต ตั้ตั้ ตั้ งตั้ งแต่ต่ ต่ต่ 2 คำคำคำคำขึ้ขึ้ ขึ้ นขึ้ นไปมารวมกักั กั นกั น เพื่พื่ พื่ อพื่ อให้ห้ ห้ มี ห้ มี มี คำมี คำคำคำใช้ช้ ช้ ม ช้ มากขึ้ขึ้ ขึ้ นขึ้ นเช่ช่ ช่ น ช่ นเดีดี ดี ยดี ยวกักั กั บกั บคำคำคำคำประสมใน ภาษาไทย มีมี มีมี2 ประเภท คำคำคำคำสมาส คำคำคำคำสนธิธิ ธิ/ธิสมาสสนธิธิ ธิธิ ความหมาย คำคำคำคำสมาส คืคื คื อคื อ การนำนำนำนำคำคำคำคำบาลีลี ลีลีสัสั สั นสั นสกฤต มารวมเข้ข้ ข้ า ข้ าด้ด้ ด้ ว ด้ วยกักั กั นกั น เพื่พื่ พื่ อพื่ อให้ห้ ห้ เ ห้ เกิกิ กิ ดกิ ดคำคำคำคำใหม่ม่ ม่ม่ โดยยัยั ยั งยั งมีมี มี เมี เค้ค้ ค้ า ค้ าความหมายเดิดิ ดิ มดิ มอยู่ยู่ยู่ยู่ เทคนินิ นิ คนิ คจำจำจำจำ “สมาสชน สนธิเชื่อม”
แล้ล้ ล้ ว ล้ วคำคำคำคำสมาส มีมี มี ลัมี ลั ลั กลั กษณะเป็ป็ป็ นป็ น อย่ย่ ย่ า ย่ างไรนะ ?
ราชบุตร แปลว่า บุตรหรือลูกชายของ พระราชา 1. เกิดจากคำ มูลตั้งแต่สองคำ ขึ้นไป 2. เป็นคำ ที่มีรากศัพท์เป็นภาษาบาลี สันสกฤต เท่านั้น เช่น สุขศึกษา อักษร ศาสตร์อุดมศึกษา 3. อ่านออกเสียงสระระหว่างคำ ที่นำ มาสมาส กัน เช่น รัฐ + ศาสตร์ = รัฐศาสตร์ อ่านว่า รัด-ถะ-สาด ภูมิ + ทัศน์ = ภูมิทัศน์ อ่านว่า พูม-มิ-ทัด 4. แปลความจากหลังมาหน้า เช่น (ราช คือ ราชา/พระราชา) (บุตร คือ ลูกชาย) ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาส
เทวบัญชา แปลว่า คำ สั่งของเทวดา ราชการ แปลว่า งานของพระเจ้าแผ่นดิน (เทวะ คือ เทวดา) (บัญชา คือ คำ สั่งของผู้มีอำ นาจบังคับ) (ราช คือ ราชา/พระราชา) (การ คือ งาน/สิ่ง/เรื่องที่ทำ ) ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาส (ต่ต่ ต่ อ ต่ อ) ไปรษณีย์ + บัตร = ไปรษณียบัตร แพทย์ + ศาสตร์ = แพทยศาสตร์ 5. พยางค์สุดท้ายของคำ หน้า หากมีสระ อะ หรือมี เครื่องหมายทัณฑฆาตอยู่ (ตัวการันต์) เมื่อนำ มา สมาสให้ตัดออก แล้วอ่านออกเสียง อะ กึ่งเสียง เช่น อ่านว่า ไปร-สะ-นี-ยะ-บัด อ่านว่า แพด-ทะ-ยะ-สาด
อุณหภูมิ อ่านว่า อุน-หะ-พูม ประวัติศาสตร์ อ่านว่า ประ-หวัด-ติ-สาด เกตรกรรม อ่านว่า กะ-เสด-ตระ-กำ สิทธิบัตร อ่านว่า สิด-ทิ-บัด 6. คำ บาลีสันสกฤตที่มีคำ ว่า พระ ซึ่งกลายเสียง (แผลงเสียง “วร”) มาจากบาลี สันสกฤต ก็ ถือว่าเป็นคำ สมาส เช่น พระสงฆ์ พระราชวงศ์ พระกร พระจันทร์ 7. ส่วนมากออกเสียงพยางค์ท้ายของคำ หน้า แม้ จะไม่มีรูปสระกำ กับอยู่ โดยจะใช้เสียง อะ อิ และ อุ เช่น ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาส (ต่ต่ ต่ อ ต่ อ)
ศึกษาศาสตร์ ทุกขภาพ จิตวิทยา นาฏศิลป์ วาตภัย เกษตรกรรม อุดมศึกษา ราชการ กรรมกร วรรณคดี ธรรมนูญ 8. ส่วนใหญ่จะลงท้ายว่า ศาสตร์ กรรม ภาพ ภัย ศึกษา ศิลป์ วิทยา เช่น 9. คำ ที่มีคำ เหล่านี้อยู่ด้วย มักจะเป็นคำ สมาส คือ การ กร กรรม คดี ธรรม บดี ภัย ภัณฑ์ ภาพ ลักษณ์ วิทยา ศาสตร์ เช่น ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาส (ต่ต่ ต่ อ ต่ อ)
ราชการ กรรมกร วรรณคดี ธรรมนูญ อธิบดี นิรภัย ผลิตภัณฑ์ สุขภาพ ฉันทลักษณ์ มหาวิทยาลัย ดาราศาสตร์ 9. คำ ที่มีคำ เหล่านี้อยู่ด้วย มักจะเป็นคำ สมาส คือ การ กร กรรม คดี ธรรม บดี ภัย ภัณฑ์ ภาพ ลักษณ์ วิทยา ศาสตร์ เช่น ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาส (ต่ต่ ต่ อ ต่ อ)
ข้ข้ ข้ อ ข้ อสัสั สั งสั งเกตคำคำคำคำสมาส เพิ่พิ่ พิ่ มพิ่ มเติติ ติ มติ ม
เทพเจ้า (เจ้า เป็นคำ ไทย) บายศรี (บาย เป็นคำ เขมร) ประวัติวรรณคดี แปลว่า ประวัติของวรรณคดี วิพากษ์วิจารณ์ แปลว่า การวิพากษ์และการวิจารณ์ ปรากฏการณ์ อ่านว่า ปรา-กด-กาน สุภาพบุรุษ อ่านว่า สุ-พาบ-บุ-หรุด สุพรรณบุรี อ่านว่า สุ-พรรณ-บุ-รี สามัญศึกษา อ่านว่า สา-มัน-สึก-สา 1. ไม่ใช่คำ ที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤตทั้งหมด เช่น 2. คำ ที่ไม่สามารถแปลความจากหลังมาหน้าได้ ไม่ใช่คำ สมาส เช่น 3. คำ สมาสบางคำ ไม่ออกเสียงสระตรงพยางค์ของคำ หน้า เช่น *ไม่ออกเสียง ปรา-กด-ตะ-กาน *ไม่ออกเสียง สุ-พาบ-พะ-บุ-หรุด *ไม่ออกเสียง สุ-พัน-นะ-บุ-รี *ไม่ออกเสียง สา-มัน-นะ-สึก-สา ข้ข้ ข้ อ ข้ อสัสั สั งสั งเกตคำคำคำคำสมาส
คำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ ความหมาย คำคำคำคำสมาสแบบมีมี มีมี สนธิ : การสมาสที่ที่ ที่ เที่ เปลี่ลี่ ลี่ ยลี่ ยนแปลงรูรู รู ป รู ปสระ เชื่ชื่ ชื่ อชื่ อมคำคำคำคำเข้ข้ ข้ า ข้ าระหว่ว่ ว่ า ว่ างพยางค์ค์ ค์ ห ค์ หลัลั ลั งลั งของคำคำคำคำหน้น้ น้ า น้ ากักั กั บกั บพยางค์ค์ ค์ค์ หน้น้ น้ า น้ าของคำคำคำคำหลัลั ลั งลั ง เป็ป็ป็ นป็ นการย่ย่ ย่ อ ย่ ออัอั อั กอั กขระให้ห้ ห้ น้ ห้ น้ น้ อ น้ อยลง เวลาอ่อ่ อ่ า อ่ าน จะเกิกิ กิ ดกิ ดเสีสี สี ยสี ยงกลมกลืลื ลื นลื นเป็ป็ป็ นป็ นคำคำคำคำเดีดี ดี ยดี ยวกักั กั นกั น 1. สระสนธิ 2. พยัญชนะสนธิ 3. นฤคหิตสนธิ ชนิด
แล้ล้ ล้ ว ล้ วคำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ มีมี มี ลัมี ลั ลั กลั กษณะเป็ป็ป็ นป็ น อย่ย่ ย่ า ย่ างไรนะ ?
ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ 1. สระสนธิธิ ธิธิ : การนำนำนำนำคำคำคำคำที่ที่ ที่ ลที่ ลงท้ท้ ท้ า ท้ ายด้ด้ ด้ ว ด้ วยสระไปสนธิธิ ธิธิ กักั กั บกั บคำคำคำคำที่ที่ ที่ ขึ้ที่ ขึ้ ขึ้ นขึ้ นต้ต้ ต้ น ต้ นด้ด้ ด้ ว ด้ วยสระ ซึ่ซึ่ ซึ่ งซึ่ งเมื่มื่ มื่ อมื่ อสนธิธิ ธิ แธิ แล้ล้ ล้ ว ล้ วจะมีมี มี กมี การ เปลี่ลี่ ลี่ ยลี่ ยนแปลงรูรู รู ป รู ปสระตามกฎเกณฑ์ฑ์ ฑ์ฑ์ สระสนธิธิ ธิธิ ราช + อานุภาพ = ราชานุภาพ นิล + อุบล = นิลุบล 1.1 ตัดสระพยางค์ท้ายคำ หน้า แล้วใช้สระพยางค์ หน้าคำ หลัง เช่น อะ เป็น อา อิ เป็น เอ อุ เป็น อู อุ,อู เป็น โอ 1.2 ตัดสระพยางค์ท้ายคำ หน้า และใช้สระพยางค์ต้น ของคำ หลัง โดยเปลี่ยนสระพยางค์ต้นของคำ หลัง ได้แก่
ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ(ต่ต่ ต่ อ ต่ อ) พงศ + อวตาร = พงศาวดาร ปรม + อินทร์ = ปรเมนทร์ มหา + อิสี = มเหสี ชล + อุทร = ชโลทร ราช + อุปถัมภ์ = ราชูปถัมภ์ ตัวอย่างของข้อ 1.2 เช่น อิ อี เป็น ย อุ อู เป็น ว มติ + อธิบาย เปลี่ยนเป็น มัตย + อธิบาย อัคคี + โอภาส เปลี่ยนเป็น อัคย + โอภาส = อัคโยภาส 1.3 เปลี่ยนสระพยางค์ท้ายของคำ หน้าเป็น พยัญชนะ คือ ตัวอย่างคำ “อิ อี เป็น ย” เช่น = มัตยาธิบาย
ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ(ต่ต่ ต่ อ ต่ อ) จัักขุ + อาพาธ เปลี่ยนเป็น จักขว + อาพาธ ธนู + อาคม เปลี่ยนเป็น ธนว + อาคม 1.3 (ต่อ) ตัวอย่างคำ “อุ อู เป็น ว” เช่น = จักขวาพาธ = ธันวาคม กิตติ + อากร = กิตยากร สามัคคี + อาจารย์ = สามัคยาจารย์ ธนู/ธนุ + อาคม = ธันวาคม 1.4 ใช้สระพยางค์ต้นของคำ หลังซึ่งอาจ เปลี่ยนรูปหรือไม่เปลี่ยนรูปก็ได้ ในกรณีที่ สระพยางค์ต้นของคำ หลังไม่ใช่ อิ อี อุ อู อย่างสระตรงพยางค์ท้ายของคำ หน้า เช่น
ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ(ต่ต่ ต่ อ ต่ อ) ศักดิ + อานุภาพ = ศักดานุภาพ หัสดี + อาภรณ์ = หัสดาภรณ์ 1.5 คำ สมาสแบบสนธิบางคำ ไม่เปลี่ยนสระ อิ อี เป็น ย แต่ตัดทิ้ง ทั้งสระพยางค์หน้า คำ หลังจะไม่มี อิ อี ด้วยกัน เช่น *จากที่ต้องเป็น “ศักดยานุภาพ” เพราะ เปลี่ยน “อิ” เป็น “ย” แต่คำ นี้กลับไม่ เปลี่ยน จึงอ่านแบบสนธิปกติ *จากที่ต้องเป็น “หัสยาภรณ์” เพราะเปลี่ยน “อี” เป็น “ย” แต่คำ นี้กลับไม่เปลี่ยน จึง อ่านแบบสนธิปกติ
ลั ๖๗ ลักลั กษณะคำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ(ต่ต่ ต่ อ ต่ อ) 2. พยัยั ยั ญยั ญชนะสนธิธิ ธิธิ : การเชื่ชื่ ชื่ อชื่ อมคำคำคำคำด้ด้ ด้ ว ด้ วยพยัยั ยั ญยั ญชนะ เป็ป็ป็ นป็ นการเชื่ชื่ ชื่ อชื่ อมเสีสี สี ยสี ยง พยัยั ยั ญยั ญชนะ ในพยางค์ค์ ค์ ท้ ค์ ท้ ท้ า ท้ ายของคำคำคำคำ แรกกักั กั บกั บเสีสี สี ยสี ยงพยัยั ยั ญยั ญชนะหรืรื รื อรื อสระในพยางค์ค์ ค์ แ ค์ แรก ของคำคำคำคำ หลัง พยัยั ยั ญยั ญชนะสนธิธิ ธิธิ นิรสฺ + ภัย = นิรภัย ทุรสฺ + พล = ทุรพล อายุรสฺ + แพทย์ = อายุรแพทย์ 2.1 สนธิเข้าด้วยวิธี โลโป คือลบพยางค์สุดท้าย ของคำ หน้าทิ้ง เช่น
มนสฺ + ภาพ = มโนภาพ ยสสฺ + ธร = ยโสธร รหสฺ + ฐาน = รโหฐาน 2.2 สนธิเข้าด้วยวิธี อาเสโท คือแปลง พยัญชนะท้ายของคำ หน้า เป็นสระโอ แล้ว สนธิตามปกติ เช่น ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ(ต่ต่ ต่ อ ต่ อ)
สํ + อาคม = สม + อาคม = สมาคม สํ + อุทัย = สม + อุทัย = สมุทัย 3.1 นฤคหิตสนธิกับสระ ให้เปลี่ยนนฤคหิตเป็น ม แล้วสนธิกัน เช่น * ในที่นี้สนธิกับสระ /-า/ จึงเปลี่ยน /-า/ เป็น /ม/ * ในที่นี้สนธิกับสระ /อุ/ จึงเปลี่ยน /อุ/ เป็น /ม/ ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ(ต่ต่ ต่ อ ต่ อ) นฤคหิหิ หิ ต หิ ตสนธิธิ ธิธิ 3. นฤคหิตสนธิ : การเชื่อมคำ ด้วย นฤคหิต เป็นการ เชื่อมเมื่อพยางค์หลังของคำ แรกเป็นนฤคหิตกับเสียง สระในพยางค์แรกของคำ หลัง มี 3 วิธี คือ
ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ(ต่ต่ ต่ อ ต่ อ) วรรคกะ เป็น ง วรรคจะ เป็น ญ วรรคตะ เป็น น วรรคฏะ เป็น ณ วรรคปะ เป็น ม เศษวรรค เป็น ง คำ ว่า “จร” อยู่ในวรรคจะ และเป็นการ สนธิกับพยัญชนะ คือ “จร” หรือ /จ/ จึงเปลี่ยนนฤคหิต คือ “สํ” ให้เป็น พยัญชนะตัวสุดท้ายตามที่วรรคนั้น ๆ กำ หนด ในที่นี้เป็นวรรคจะ คือ “จร” หรือ /จ/ พยัญชนะที่ต้องใช้คู่กับ “สํ” คือ “ญ” นั่นเอง 3.2 นฤคหิต สนธิกับพยัญชนะของวรรค ให้ เปลี่ยนนฤคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท้าย ของพยัญชนะในแต่ละวรรค ได้แก่ เช่น สํ + จร = สญ + จร = สัญจร
ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ(ต่ต่ ต่ อ ต่ อ) คำ ว่า “นิ” อยู่ในวรรคตะ และเป็นการ สนธิกับพยัญชนะ คือ “นิ” หรือ /น/ จึงเปลี่ยนนฤคหิต คือ “สํ” ให้เป็น พยัญชนะตัวสุดท้ายตามที่วรรคนั้น ๆ กำ หนด ในที่นี้เป็นวรรคตะ คือ “นิ” หรือ /น/ พยัญชนะที่ต้องใช้คู่กับ “สํ” คือ “น” นั่นเอง 3.2 (ต่อ) เช่น สํ + นิบาต = สน + นิบาต = สันนิบาต
สํ + คีต = สังคีต สํ + ขาร = สังขาร 3.3 วรรคกะ สนธิกับพยัญชนะวรรค ให้ เปลี่ยนนฤคหิต เป็นพยัญชนะท้ายวรรค ใน ที่นี้พยัญชนะท้ายวรรคของวรรคกะเป็น /ง/ จึงเปลี่ยนนฤคหิต เป็น /ง/ เช่น *คำ ว่า “คีต” หรือ /ค/ เป็นพยัญชนะวรรค กะ เมื่อ “สํ” เจอพยัญชนะวรรคกะ ในที่นี้ คือ “คีต” หรือ /ค/ จึงต้องเปลี่ยนนฤคหิต ให้เป็นพยัญชนท้ายวรรคเป็น “ง” นั่นเอง *คำ ว่า “ขาร” หรือ /ข/ เป็นพยัญชนะ วรรคกะ เมื่อ “สํ” เจอพยัญชนะวรรคกะ ในที่นี้คือ “ขาร” หรือ /ข/ จึงต้องเปลี่ยน นฤคหิตให้เป็นพยัญชนท้ายวรรคเป็น “ง” นั่นเอง ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ(ต่ต่ ต่ อ ต่ อ)
สํ + ฐาน = สัณฐาน 3.4 วรรคฏะ สนธิกับพยัญชนะวรรค ให้ เปลี่ยนนฤคหิต เป็นพยัญชนะท้ายวรรค ใน ที่นี้พยัญชนะท้ายวรรคของวรรคฏะเป็น /ณ/ จึงเปลี่ยนนฤคหิต เป็น /ณ/ เช่น *คำ ว่า “ฐาน” หรือ /ฐ/ เป็นพยัญชนะ วรรคฏะ เมื่อ “สํ” เจอพยัญชนะวรรคฏะ ในที่นี้คือ “ฐาน” หรือ /ฐ/ จึงต้องเปลี่ยน นฤคหิตให้เป็นพยัญชนท้ายวรรคเป็น “ณ” นั่นเอง 3.5 วรรคปะ สนธิกับพยัญชนะวรรค ให้ เปลี่ยนนฤคหิต เป็นพยัญชนะท้ายวรรค ใน ที่นี้พยัญชนะท้ายวรรคของวรรคปะเป็น /ม/ จึงเปลี่ยนนฤคหิต เป็น /ม/ เช่น ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ(ต่ต่ ต่ อ ต่ อ)
3.5 (ต่อ) เช่น สํ + บัติ = สมบัติ *คำ ว่า “บัติ” หรือ /บ/ เป็นพยัญชนะวรรค ปะ เมื่อ “สํ” เจอพยัญชนะวรรคปะ ในที่นี้ คือ “บัติ” หรือ /บ/ จึงต้องเปลี่ยนนฤคหิต ให้เป็นพยัญชนท้ายวรรคเป็น “ม” นั่นเอง 3.6 สนธิกับเศษวรรค ให้เปลี่ยนนฤคหิต เป็นพยัญชนะท้ายวรรคเป็น /ง/ เช่น สํ + หาร = สังหาร *คำ ว่า “หาร” หรือ /ห/ เป็นพยัญชนะของ เศษวรรค เมื่อ “สํ” เจอพยัญชนะเศษ วรรค ในที่นี้คือ “หาร” หรือ /ห/ จึงต้อง เปลี่ยนนฤคหิตให้เป็นพยัญชนท้ายวรรค เป็น “ง” นั่นเอง ลัลั ลั กลั กษณะคำคำคำคำสมาสสนธิธิ ธิธิ(ต่ต่ ต่ อ ต่ อ)
ตารางคำคำคำคำบาลีลี ลี สัลี สั สั นสั นสกฤต
ผู้จัดทำ จัดทำ โดย นางสาวจิราพร พุ่มพวง รหัสนักศึกษา 644101005 หมู่เรียน 64/22 สาขาภาษาไทย นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม
เอกสารอ้างอิง อมรา ศรีแก้ว ศภรรดา สุขประเสริฐ และอัจฉราพรรณ ขัดทาน. (2564). คู่มือครูสาระหลักการใช้ภาษาไทยการสร้างคำ สมาส. ตุลาคม,20 จาก https://edu.kpru.ac.th/contents/VideoDLTV/Thai/PDF/4.pdf. ภาษาไทย By ครูพี่เจมส์. (2563). คำ สมาส. ตุลาคม,19 จาก https://web.facebook.com/Krupeejames/photos/ a.665748543757229/1358508257814584/? type=3&_rdc=1&_rdr. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. (ม.ป.ป.). ศิลปะการอ่าน. ตุลาคม,17 จาก https://slideplayer.in.th/slide/17859222/ พีระเสก บริสุทธิ์บัวทิพย์. (ม.ป.ป.). การสนธิ. ตุลาคม,14 จาก http://www.digitalschool.club/digitalschool/m2/th 2_1/lesson1/content1/teacher_3_1.pdf
ทุกคนเก่งมาก เจ๋ ๆ ค่า จ๋ งสุด ๆ