1
แบบทดสอบ
รายวชิ าพระพทุ ธศาสนากบั การสอนสังคมศึกษา
อาจารยผ์ อู้ อกขอ้ สอบ
พระมหาสมบรู ณ์ สธุ มโฺ ม, รศ.ดร.
ผทู้ ำแบบทดสอบ
พระยทุ ธนา มาลาวโส (มาลาวงษ์)
รหสั นสิ ติ ๖๔๐๑๑๐๒๑๑๖
หลกั สตู ร ครศุ าสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ สาขาวชิ าการสอนสังคมศกึ ษา
มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั
วนั ที่สอบ ๒๑ สงิ หาคม ๒๕๖๔
2
แบบทดสอบ วิชาพระพทุ ธศาสนากับการสอนสังคมศกึ ษา
อาจารย์ผอู้ อกข้อสอบ พระมหาสมบรู ณ์ สธุ มโฺ ม, รศ.ดร.
ผทู้ ำแบบทดสอบ ชื่อ/ฉายา/นามสกลุ พระยทุ ธนา มาลาวํโส (มาลาวงษ์)
รหัสนสิ ติ ๖๔๐๑๑๐๒๑๑๖
หลักสตู ร ครุศาสตรดุษฎบี ณั ฑิต สาขาวชิ าการสอนสงั คมศกึ ษา
มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
วนั ที่สอบ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๔
1. พระพุทธศาสนามีกระบวนการสอนสังคมใหเ้ กิดปัญญาหยั่งรู้ที่มุ่งใหด้ ำเนนิ ชีวิตบนพื้นฐาน
แห่งความพอดอี ย่างไร
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย ด้วยชนชาติไทยได้นับถือและยกย่องเทิดทูนเป็นสรณะ
แห่งชีวติ สืบทอดตอ่ เนอ่ื งกันมาเป็นเวลาช้านาน ขนบธรรมเนียมประเพณีและศิลปวัฒนธรรมของชาติส่วนใหญ่
มีพื้นฐานมาจากพระพุทธศาสนา องค์พระมหากษัตริย์ซึ่งทรงเป็นพระประมุขของชาติทุกๆ พระองค์ทรงเป็น
พุทธมามกะ ทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก ทรงยกย่องเชิดชูพระพุทธศาสนาตลอดมา
ต้ังแต่อดตี อันยาวนาน จวบจนกาลปัจจุบนั อันแสดงให้เห็นเป็นประจักษว์ ่าพระพุทธศาสนาได้สถิตสถาพรเป็น
มง่ิ ขวญั ของชาตไิ ทยตลอดมาทุกยุคทุกสมยั
กลา่ วไดว้ า่ ชาติไทยได้มีความเจริญมั่นคง ดำรงเอกราชอธปิ ไตยสืบทอดต่อกันมาต้ังแต่โบราณกาลจวบ
จนกาลปัจจุบัน ก็ด้วยคนไทยทั้งชาติยึดมั่นอยู่ในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มีความเคารพบูชาพระ
รตั นตรัย คือพระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์เปน็ สรณะ พระพทุ ธศาสนาจึงมบี ทบาทสำคญั ยิ่งตอ่ ชวี ิตของชาว
ไทย โดยมีส่วนเสริมสร้างอุปนิสัยของคนในชาติให้รักความสงบ มีความเสียสละ แกล้วกล้า อาจหาญ รอบรู้
ฐานะ อฐานะ มคี วามรกั และยดึ มั่นอยใู่ นสามัคคีธรรม
ดงั นนั้ พระพทุ ธศาสนามกี ระบวนการสอนสังคมให้เกดิ ปัญญาหยง่ั ร้บู นพ้นื ฐานแหง่ ความพอดีได้คอื
1) พระพุทธศาสนาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของคนไทย เพราะคนไทยนำหลักธรรมมาประพฤติ
ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และลักษณะนิสัยของคนไทยมีจิตใจที่ดีงามในทุกๆ ด้าน มีความเป็นมิตรกับทุกคน
เป็นตน้
2) พระพุทธศาสนาเป็นหลักในการปกครองประเทศ กษัตริย์ทุกพระองค์ของไทยได้นำเอาหลักธรรม
พระพุทธศาสนาไปใช้ในการปกครองประเทศ เช่น ทศพิธราชธรรม ตลอดมา หรือใช้หลัก “ธรรมาธิปไตย”
และหลักอปาริหานิยธรรม เปน็ หลักในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นตน้
3) พระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมจิตใจ เนื่องจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนามุ่งเน้นให้เกิดความรัก
ความสามัคคีกัน มีความเมตตากรุณาต่อกัน เป็นต้น จึงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชนชาวไทยให้มีความเป็นหนึ่ง
เดยี วกนั
4) พระพุทธศาสนาเป็นที่มาของวัฒนธรรมไทย ด้วยวิถีชีวิตของคนไทยผูกพันกับพระพุทธศาสนาจึง
เป็นกรอบในการปฏิบัติตนตามหลักพิธีกรรมในพระพุทธศาสนาต่าง ๆ เช่น การบวช การแต่งงาน การทำบุญ
เนื่องในพิธีการต่างๆ การปฏิบัติตนตามประเพณีในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนท่ี
กอ่ ใหเ้ กิดวัฒนธรรมไทยจนถงึ ปัจจุบัน
3
5) พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นสถาบันหลักของสังคมไทย พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่สังคมไทย
สว่ นใหญน่ ับถอื และสบื ทอดกันมาเป็นชา้ นาน ดังนัน้ พระพทุ ธศาสนาจึงมบี ทบาทสำคัญของวิถชี ีวิตของคนไทย
พระพุทธศาสนาจงึ มีความสำคญั ในด้านต่างๆ ทงั้ ดา้ นการศกึ ษา ดา้ นสงั คม และดา้ นศลิ ปกรรม
6) พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนไทยผูกพันอยู่อย่างแนบแน่น
กับพระพุทธศาสนา ซึมแทรกผสมผสานอยู่ในแนวความคิด จิตใจและกิจกรรมแทบทุกก้าวของชีวิตโดย
ตลอดเวลายาวนาน โดยยังคงเนื้อหาสาระเดิมที่บริสุทธิ์ไว้ได้ก็มี ถูกดัดแปลงเสริมแต่งตลอดจนปนเปกับความ
เช่อื ถอื และข้อปฏบิ ัติสายอน่ื หรือผันแปรในด้านเหตอุ น่ื ๆ จนผดิ เพ้ยี นไปจากเดิมก็มาก
7) พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นเอกลักษณ์ของชาติ การที่พระพุทธศาสนาอยู่กับคนไทยมาช้านานจึง
ก่อให้เกิดการซึมซาบเอาหลักปฏิบัติของพระพุทธศาสนาให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ก่อให้เกิดความเป็น
เอกลักษณ์ของคนไทยที่ไมเ่ หมือนกบั ชาติอนื่ ๆ ที่เปน็ เอกลักษณ์เด่นไดแ้ ก่ รกั ความเป็นอิสระ และความมีน้ำใจ
ไมตรี
2. กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 กับการพิสูจน์ความจริงของธรรมชาติทาง
วทิ ยาศาสตรม์ ีความเหมอื นและแตกต่างกนั อยา่ งไร
อริยสัจ 4 คือ วิธีการแก้ปัญหา ด้วยปัญญาในการดำเนินชีวิตประจำวัน ตามหลักเหตุและผลและ
ปจั จัยตา่ งๆ เพอ่ื ให้หลุดพน้ จากความทุกข์ โดยอาศัยหลักธรรมอยู่ 4 ประการ
หลกั ธรรม ขอ้ ที่ 1. คือ ทกุ ข์
คอื สิง่ ทีท่ ำให้เราเกดิ ความไมส่ บายกาย และใจ เปน็ ผลทีเ่ กิดมาจากเหตปุ จั จยั ต่างๆ
หลักธรรม ขอ้ ที่ 2. คอื สมทุ ยั
คือเหตุ ของทุกข์ ที่เกิดขึ้น แต่ละคนก็คงจะมีทุกข์ที่แตกต่างกันไปมากน้อยแตกต่างกัน กิเลส ตัณหา
ตา่ งไป ทถ่ี าโถมเขา้ มา ส่งิ เหลา่ นี้ ล้วนเป็นตน้ เหตุของความทุกขท์ ัง้ ส้ิน
หลักธรรม ข้อท่ี 3. คือ นโิ รธ
นิโรธ นนั้ คือ การดับความทุกขท์ เี่ กิดขึน้ ได้อย่างประจกั ษ์ชัด
หลกั ธรรม ขอ้ ท่ี 4. คือ มรรค
เป็นแนวทางของการแก้ไขปัญหา ที่เกิดขึ้น เพื่อการดับความทุกข์ ซึ่งมีแนวทางการปฏิบัติอยู่ 8
ประการ หรือท่เี ราเรยี กวา่ มรรคมอี งค์ 8 หรือท่เี ราสามารถเรยี กแบบสน้ั สนั้ ว่า ทางสายกลาง
การพิสจู น์ความจริงของธรรมชาติทางวิทยาศาสตร์
อาจจะกล่าวได้ว่า เป็นความจริงของธรรมชาติ ที่เราสามารถ พูดคุย และพิสูจน์ได้จากการทดลอง
ตา่ งๆ อย่างเป็นเหตเุ ปน็ ผล
โดยอาศัยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ท่ีมีท้งั หมด 4 ขน้ั ตอน ดงั นี้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ข้อท่ี 1. คอื การกำหนดปญั หา
คอื การตง้ั คำถามต่างๆนานา ท่เี กดิ ขึ้น เชน่ ทำไม ทไ่ี หน เมื่อไหร่ คำพูดต่างๆเหลา่ น้ีล้วนเปน็ คำท่ีกำลัง
บง่ บอกวา่ กำลงั มีปัญหาเกิดข้นึ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ข้อที่ 2. คือ การตั้งสมมติฐาน
เป็นการคาดเดา คำตอบ ของปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไร มันก็จะไม่มีคำตอบที่จะบอก
คณุ ไดห้ รอกวา่ ถกู หรอื ผดิ เพราะมันเป็นเพียงแคก่ ารคาดเดาเท่านั้นเองครบั
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ข้อที่ 3. คือ การทดลอง
4
เป็นขั้นตอนที่ใช้กระบวนการ ขั้นตอนต่างๆรวมไปถึงการรวบรวมข้อมูล เพื่อใช้ในการพิสูจน์ ตามข้อ
สันนษิ ฐาน ว่าเปน็ จริงตามการคาดเดาหรือไม่
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ข้อท่ี 4. คือ การสรปุ ผล
หลังจากการทดลองทุกๆครัง้ สิ่งที่เราต้องทำก็คอื การสรุปผล ในการสรุปผลน้ัน ถ้ามันเป็นไปตามการ
คาดเดา หรือสมมุติฐาน ที่เราตั้งขึ้นมาในตอนแรก ก็ถือว่า เรามาถูกทาง สามารถตอบคำถาม ของปัญหาได้
สำเรจ็
แต่ถ้า ข้อสรุปนั้นยังไม่สอดคล้อง กับสมมุติฐาน เราก็อาจจะพูดได้ว่า มันไม่ใช่หนทางของการ
แกป้ ัญหา ท่เี กิดขนึ้ จึงตอ้ งกลับไปตงั้ สมมติฐาน และทำการทดลองใหมอ่ กี คร้ังหนึง่
เปรยี บเทยี บระหว่าง อรยิ สัจ 4 กบั กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เราจะเห็นว่า ทง้ั สองส่ิงนี้มีความ
คลา้ ยคลงึ กันมากๆ
ทกุ ข์ น้ันเหมือนกับ ปญั หา ท่ที ำให้เราเกดิ ความไมส่ บายกายและใจ ตา่ ง ๆ นานา
สมุทัย ที่เหมือนกับ การตั้งสมมุติฐาน การมองหาสาเหตุของปัญหาและความทุกข์ที่เกิดขึ้นในแต่ละ
วนั อะไรละ ท่เี ปน็ สาเหตุของปญั หาและความทุกข์ ทำไมเราถงึ ไมม่ คี วามสุข...
มรรค ทีเ่ หมือนกบั การทดลอง ดว้ ยวิธกี ารตา่ งๆ อยา่ งมีขั้นตอนและเหตุผล จะทำให้เรานั้นพบกับวิธี
ของการแกป้ ัญหาและการดบั ทุกข์
นโิ รธ ทเ่ี หมือนกบั บทสรปุ ของปัญหาตา่ งๆ ทีท่ ำใหเ้ ราน้ันเกิดความไม่สบายกายและใจ ซ่ึงกว่าที่เรา
จะมาถึงจดุ นี้ได้ ก็ตอ้ งผา่ น การตง้ั คำถาม สมมตุ ฐิ าน และการแกป้ ัญหาตา่ งไป เพอ่ื ท่ีจะได้พบคำตอบท่ีเรียกว่า
ความสุขนนั่ เอง
3. คำสอนของพระพุทธศาสนาที่พัฒนามนุษย์ให้เป็นสัตว์ประเสริฐในสังคมนั้นมีหลักธรรม
พน้ื ฐานในการประพฤติปฏิบัติทสี่ ำคญั อย่างไร
ในทางพระพุทธศาสนานั้น การพัฒนาชีวิตอย่างถูกต้องก็คือ การทำให้ชีวิตดำเนินไปในวิถีที่ถูกต้องที่
จะนำเขา้ ส่จู ดุ มุ่งหมายคือการมวี ิถีชีวิตท่ีถูกต้องดี เราเรียกกนั ว่า มรรค คำวา่ มรรค คอื วถิ ชี ีวิตท่ีถูกต้องดีงามซ่ึง
นำไปสู่จุดมุ่งหมายได้ มรรคนี้เป็นของคู่กันกับหลักการอีกอย่างหนึ่งคือ สิกขา ดังนั้นหากต้องการให้มีชีวิตที่
ถกู ต้องดีงามก็ต้องมีการฝึกฝนหรือฝึกหัด และการฝกึ ฝนฝึกหดั ใหช้ ีวิตดำเนินไปในวิถีท่ีถูกต้องดีงามเราเรียกว่า
สกิ ขา หรือศึกษา เพราะฉะนน้ั การศกึ ษา กค็ อื การฝกึ ฝนใหช้ วี ิตดำเนินไปในวถิ ีท่ีถกู ต้องดีงาม
มนุษยเ์ ปน็ สตั ว์ประเสริฐด้วยการศึกษา
พระธรรมปฎิ ก กล่าวว่ามนุษยต์ ่างจากสตั วอ์ ืน่ ในข้อทว่ี า่ เปน็ สัตว์ที่ตอ้ งฝกึ ตอ้ งศึกษา และฝึกได้ ศึกษา
ได้ มีหลกั การทค่ี วรสงั เกตสำคัญในเรือ่ งนี้ 2 อย่างคือ
1. มนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องฝึก หมายความว่า การดำเนินชีวิตอยู่ได้ มีความเป็นอยู่ที่ดีได้นั้น แทบไม่มี
อะไรเลยที่มนุษย์จะได้มาเปล่า ๆแต่ได้มาด้วยการศึกษาคือเรียนรู้ฝึกหัดพัฒนาขึ้นมาทั้งสิ้นต่างจากสัตว์อ่ืน
ทว่ั ไปที่ดำเนินชีวิตไดด้ ้วยสญั ชาตญาณ แทบไมต่ ้องเรียนรฝู้ กึ ฝนพัฒนา
2. มนษุ ยเ์ ป็นสัตวท์ ี่ฝึกได้ หมายความวา่ การท่เี รยี นรฝู้ กึ หัดพัฒนาไดน้ ้ี เปน็ ความพิเศษของมนุษย์ ซึ่ง
ทำให้มนุษย์มีชีวิตที่ดีงาม ประเสริฐ เมื่อมนุษย์พัฒนาได้สูงสุด จึงถือเป็นผู้ประเสริฐแม้แต่เทวดา พระพรหมก็
กราบไหวเ้ คารพนบั ถือ ตา่ งจากสตั วอ์ น่ื ทว่ั ไปท่ีเกิดมาด้วยสญั ชาตญาณอย่างไร ก็ตายไปด้วยสญั ชาตญาณอย่าง
นัน้
กลา่ วคือความสุขจะเกดิ ไดต้ ้องกำจัดมลู เหตุแห่งความทุกข์ใหห้ มดสนิ้ พระพุทธเจา้ ทรงช้ีนำหลักธรรม
เพื่อดำเนินชีวิตไว้หลายข้อ ผู้ประพฤติธรรมไม่ว่าข้อใดข้อหนึ่ง ย่อมจะเป็นผู้มีคุณสมบัติในการดำเนินชีวิต
5
ครองตน ครองคน และครองงานไดใ้ นทุกระดับ ดังเช่นควรเช่อื ในกฎแหง่ กรรม ปรากฏในพระสูตร คือ “หญิง
ชาย คฤหัสถ์ บรรพชิต ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็น
กำเนิด มกี รรมเป็นเผา่ พันธุ์ มกี รรมเป็นทีอ่ าศยั เราทำกรรมอันใดไว้ ดีกต็ าม ชั่วก็ตาม เราจะไดร้ บั ผลของกรรม
นั้น” หลักธรรมพน้ื ฐานที่ควรนำไปประยุกต์ใช้ในชวี ติ ประจำวนั คอื
1. เบญจศีล แปลว่าศีล 5 เป็นเรื่องของการงดเว้นหรือห้ามไม่ให้กระทำ คฤหัสถ์ควรรักษาศีลเป็น
นติ ย์ มี 5 ขอ้ คือ
1. ปาณาติปาตา เวรมณี เวน้ จากการฆ่าสตั ว์
2. อทินนาทานา เวรมณี เวน้ จากการลกั ทรัพย์
3. กาเมสุมฉิ าจารา เวรมณี เว้นจากการประพฤติผดิ กาม
4. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเทจ็
5. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัยอันเป็น
ทตี่ ัง้ แห่งความประมาท
2. สังคหวตั ถุ 4 หมายถงึ ธรรมอันเป็นเคร่ืองยึดเหน่ยี วใจคน มี 4 ประการ คอื
1. ทาน คือ การให้ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ แบ่งปันช่วยเหลือ ให้วัตถุสิ่งของ ปัจจัยสี่
ตลอดจนให้ความรุ้ ความเขา้ ใจแก่ผ้อู นื่
2. ปิยวาจา คือ การพูดจาอ่อนหวาน กล่าวคำสุภาพไพเราะน่าฟัง รู้จักพูดให้เกิดความเกิด
ไมตรี มีเหตผุ ล พูดใหเ้ กิดความสามัคคี รักใคร่นบั ถอื กัน ชว่ ยเหลอื เกอื้ กูลกนั
3. อัตถจริยา คือ การทำประโยชน์ให้แก่คนอื่น ช่วยเหลือด้วยแรงกายและแรงใจ บำเพ็ญ
สาธารณประโยชน์ ช่วยเหลือกิจการตา่ ง ๆ
4. สมานัตตตา คือ การวางตัวให้เสมอต้นเสมอปลาย ปฏิบัติสม่ำเสมอต่อคนทั้งหลาย ไม่เอาเปรียบ
รว่ มทุกขร์ ่วมสขุ
3. ฆราวาสธรรม 4 คือ ธรรมของผู้ครองเรือน ธรรมสำหรับฆราวาส เป็นเครื่องมือทำให้การงาน
สำเร็จ เปน็ หลักปฏิบตั สิ ำหรับการครองชวี ิต มี 4 ประการ ไดแ้ ก่
1. สจั จะ คือ ความจรงิ ในสงิ่ ท่ีตอ้ งการ ซอื่ ตรง ซือ่ สัตย์ จรงิ ใจ ทำอะไรเช่อื ถือไวว้ างใจได้
2. ทมะ คอื บงั คบั ตนใหท้ ำอยา่ งนัน้ จรงิ ๆ รจู้ ักแกไ้ ขปรับปรงุ ตนใหก้ า้ วหน้าดีงาม
3. ขนั ติ คือ ความอดทน อดกลั้น ขยนั หม่นั เพียร ไมห่ ว่ันไหว ไม่ทอ้ ถอย
4. จาคะ คือ สละสิ่งที่เป็นกิเลสออกไป มีน้ำใจชอบช่วยเหลือเกื้อกูล บำเพ็ญประโยชน์
รว่ มงานกับคนอนื่ ได้
4. สัปปุริสธรรม คือ ธรรมของคนดี ถือเป็นการครองตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ มีคุณค่าแห่งความ
เป็นมนษุ ย์ มี 7 ประการ ได้แก่
1. ธัมมัญญุตา คือ การรู้หลักและรู้จักเหตุ ในการปฏิบัติหน้าที่หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้
บรรลุผลสำเร็จ จะต้องรู้และเข้าใจสิ่งที่ตนจะต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปตามเหตุผล ตามหน้าที่ และความ
รับผิดชอบนนั้ ๆ
2. อตั ถญั ญตุ า คอื การรจู้ กั ผล รแู้ ละเข้าใจว่ากจิ การทตี่ นกระทำอยู่นัน้ เพอื่ จุดประสงค์อะไร
ทำไปแลว้ จะบงั เกดิ ผลอะไรบา้ ง จะดีหรือเสยี อยา่ งไร
3. อัตตญั ญตุ า คอื การรจู้ กั ตน รุ้ความสามารถ ความถนดั ความรู้ คณุ ธรรม เพศ กำลัง ใน
การทำกจิ การต่าง ๆ เพื่อจะไดป้ ระพฤตปิ ฏิบตั ติ นใหถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมกบั กิจการน้ัน ๆ
4. มตั ตัญญตุ า คอื การรู้จกั ประมาณ ร้จู ักความพอเหมาะพอดีในการดำเนินกจิ การทุกอย่าง
6
5. กาลัญญุตา คือ การรจู้ กั กาล ร้จู กั เวลาอันเหมาะสม ร้วู ่าเวลาไหนควรทำ เวลาไหนไม่ควร
ทำ
6. ปริสัญญุตา คือ การรู้จักชุมชน รู้การอันควรปฏิบัติ รู้ระเบียบวินัย วัฒนธรรมประเพณี
ของท้องถนิ่ ชมุ ชน
7. ปคุ คลญั ญุตา คอื การรู้จักบคุ คล รู้และเขา้ ใจความแตกตา่ งระหว่างบุคคล รูจ้ ักวิธปี ฏบิ ตั ิ
ต่อบคุ คลอนื่ ว่าควรหรือไมอ่ ยา่ งไร
5. โลกธรรม 8 คือ ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลก ที่มีประจำโลก และสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามธรรมนั้น
โลกธรรม 8 มี 8 ประการ 4 คู่ คอื
1) มลี าภ 2) เสื่อมลาภ
3) มยี ศ 4) เส่ือมยศ
5) สรรเสรญิ 6) นนิ ทา
7) สุข 8) ทกุ ข์
6. อคติ 4 คือ การปฏิบัติตนอย่างไม่ชอบธรรม เป็นธรรมที่พึงละเว้น เพราะเป็นต่อคนอย่างไม่เสมอ
ภาคกนั เรียกว่า “ความลำเอยี ง” สาเหตุของความลำเอียง แบ่งออกเปน็ 4 ประเภท คอื
1) ฉันทาคติ คือ ความลำเอียงเพราะชอบ
2) โทสาคติ คอื ความลำเอียงเพราะชงั
3) โมหาคติ คอื ความลำเอียงเพราะหลงหรือเขลา (ความโง่ ความงมงาย)
4) ภยาคติ คือ ลำเอยี งเพราะกลัว
นอกจากน้ี พระพทุ ธเจ้าทรงวางแนวทางการดำเนนิ ชีวิตเพือ่ ประโยชน์ 3 ระดับ คือ
1. ระดับต้น หมายถึง การมีชีวิตอยูใ่ นโลกน้ีอย่างมีความสุข ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า ประโยชน์
ในปจั จบุ ัน และทรงวางแนวทางปฏิบัตเิ พ่ือประโยชน์สขุ ในปัจจุบนั 4 ข้อ คือ
1) มีความขยันทำการงาน (อุฏฐานสัมปทา)
2) รจู้ ักรักษาทรัพยท์ ี่หามาได้ (อารกั ขสัมปทา)
3) มเี พ่ือนเปน็ คนดี (กัลยาณมติ ตตา)
4) เลี้ยงชีวิตอยา่ งสมำ่ เสมอ ไมฟ่ ุง้ เฟอ้ เกนิ ไป และไมข่ ดั สนจนเกินไป (สมชีวติ า)
2. ระดับกลาง หมายถึง การมีชีวิตเป็นสุขในโลกหน้า หลังจากตายไปแล้ว ทางพระพุทธศาสนา
เรียกวา่ ประโยชนใ์ นสมั ปรายภพ มี 4 ขอ้ คอื
1) มีศรัทธา (สทั ธาสัมปทา)
2) มีศลี (สีลสมั ปทา)
3) บรจิ าคทรพั ยท์ งั้ ภายในและภายนอก (ปรจิ าคสัมปทา)
4) มีปญั ญารู้ความเปน็ จรงิ ของชีวิต (ปัญญาสมั ปทา)
3. ระดับสูงสุด หมายถึง การไม่เกิดไม่ตายอีกต่อไป ตัดขาดจากสังสารวัฏ แนวทางที่พระพุทธองค์
ทรงวางไวเ้ พอ่ื ปฏบิ ัติใหบ้ รรลปุ ระโยชนส์ งู สดุ มี 8 ประการ เรียก มรรคมอี งค์ 8 คอื
สัมมาทิฎฐิ ความเหน็ ชอบ สมั มาสังกัปปะ ความดำริชอบ
สัมมาวาจา วาจาชอบ สัมมากมั มนั ตะ การกระทำชอบ
สมั มาอาชวี ะ เลีย้ งชีพชอบ สมั มาวายามะ ความเพยี รชอบ
สัมมาสติ ความระลึกชอบ สมั มาสมาธิ ความต้ังใจชอบ
7