The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ม.4/2

นางสาวศิราณุภรณ์ พัฒน์จันทร์ เลขที่ 11
นางสาวชัญญภัทร ตั้งสุวรรณวงศ์ เลขที่ 13

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by siranuporn, 2022-01-30 04:25:19

วิวัฒนาการอักษรจีนโบราณ

ม.4/2

นางสาวศิราณุภรณ์ พัฒน์จันทร์ เลขที่ 11
นางสาวชัญญภัทร ตั้งสุวรรณวงศ์ เลขที่ 13

จัดทำโดย: น.ส.ศิราณุภรณ์ พัฒน์จันทร์ ม.4/2 เลขที่ 11 และน.ส.ชัญญภัทร ตั้งสุวรรณวงศ์ ม.4/2 เลขที่ 13

คำนำ

สมุดภาพเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์ (ส 31104) เพื่อ
ให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องตำนานลายลักษณ์อักษรและได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่ อเป็น
ประโยชน์กับการเรียน

ผู้จัดทำหวังว่าสมุดภาพเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านหรือนักเรียนนักศึกษาที่
กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใดผู้จัดทำขอน้อมรับไว้
และขออภัยไว้ ณ ที่นี้

คณะผู้จัดทำ
28/01/2565

สารบัญ หน้า

เรื่อง 1
2
วิวัฒนาการของอักษรจีนโบราณ 3
อักษรจารบนกระดูกสัตว์ 4
อักษรโลหะ 5
อักษรจ้วนเล็ก 6
อักษรลี่ซู 7
อักษรข่ายซู 8
อักษรเฉ่าซู 8
อักษรสิงซู
อักขระโบราณและอักษรปัจจุบัน

1

วิวัฒนาการของอักษรจีนโบราณ

นับแต่โบราณกาลมา ผู้คนรู้จักใช้เส้นเชือก ภาพ
วาดและเครื่องหมายเพื่อใช้ในการจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ
เมื่อล่วงเวลานานเข้า จึงเกิดวิวัฒนาการกลายเป็นตัว
อักษร สำหรับศิลปะในการเขียนตัวอักษรจีนนั้น ได้
ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อม ๆกับตัวอักษรจีนเลยทีเดียว
ดังนั้น การจะศึกษาถึงศิลปะในการเขียนตัวอักษรจีน
จึงต้องทำความเข้าใจถึงต้นกำเนิด ของตัวอักษร
ควบคู่กันไป

การปรากฏของอักษรจีนที่เก่าแก่ที่สุดมาจาก
แหล่งโบราณคดีปั้ นปอจาก เมืองซีอันมณฑลส่านซี
ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน สามารถ
นับย้อนหลังกลับไปได้กว่า 5,000 ปี โดยอยู่ในรูป
ของอักษรภาพที่สลักเป็นรูปวงกลม เสี้ยว
พระจันทร์และภูเขาห้ายอดบนเครื่องปั้ นดินเผา
จวบจนถึงเมื่อ 3,000 ปีก่อนจึงก้าวเข้าสู่รูปแบบ
ของอักษรจารบนกระดูกสัตว์ ซึ่งนับเป็นยุคต้นของ
ศิลปะการเขียนอักษรจีน อักษรภาพที่เก่าแก่ที่สุด
ในจีน

เมื่อปี ค.ศ. 1899 ชาวบ้านจากหมู่บ้านเล็ก ๆแห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ
อำเภออันหยางมณฑลเหอหนันประเทศจีนได้ ค้นพบสิ่งที่เรียกกันว่า ‘กระดูกมังกร’ จึงนำมา
ใช้ทำเป็นตัวยารักษาโรค ต่อมาเนื่องจากพ่อค้าหวังอี้หรงเกิดความสนใจต่อตัวอักษรบน
กระดูก จึงสะสมไว้มีจำนวนกว่า 5,000 ชิ้นและส่งให้ผู้เชี่ยวชาญทำการศึกษาวิจัย จึงพบว่า
กระดูกมังกรนั้นแท้ที่จริงคือกระดูกที่จารึกอักขระโบราณของยุคสมัย ซาง ที่มีอายุเก่าแก่ถึง
1,300 ปีก่อนคริสตกาล

อย่างไรก็ตาม วิวัฒนาการของตัวอักษรจีนเกิดจากการฟูมฟักอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีการ
ผสมผสานกันของอักษรชนิดที่แตกต่างกันในชั่วระยะเวลาหนึ่งผ่านการขัดเกลาจนเกิดเป็นตัว
อักษรชนิดใหม่เข้าแทนที่อักษรชนิดเดิม ไม่ใช่การยกเลิกอักษรชนิดเก่าโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ผู้คน
ในยุคต่อมาจึงยังคงมีการศึกษาและใช้อักษรในยุคเก่าก่อน ทั้งในเชิงศิลปะหรือในชีวิตประจำวัน
ที่ยังคงพบเห็นได้อยู่เสมอ

2

อักษรจารบนกระดูกสัตว์

(甲骨文)อักษรจารบนกระดูกสัตว์เป็นอักขระโบราณที่มีอายุเก่าแก่

ที่สุดของจีน เท่าที่มีการค้นพบในปัจจุบัน โดยมากอยู่ในรูปของบันทึกการ

ทำนายที่ใช้มีดแกะสลักหรือจารลงบนกระดองเต่า หรือกระดูกสัตว์ ปรากฏ

แพร่หลายในราชสำนักซางเมื่อ 1,300 – 1,100 ปีก่อนคริสตกาล ลักษณะ

ของตัวอักขระบางส่วน ยังคงมีลักษณะของความเป็นอักษรภาพอยู่

โครงสร้างตัวอักษรเป็นรูปวงรีมีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกัน ที่ขนาดใหญ่บ้าง

สูงถึงนิ้วกว่า ขนาดเล็กเท่าเมล็ดข้าว บางครั้งในอักขระตัวเดียวกันยังมีวิธี

การเขียนที่แตกต่างกัน ตัวอักษรมีการพัฒนาการในแต่ละช่วงเวลา โดยมี

ลักษณะพิเศษ กล่าวคือ ยุคต้น ตัวอักษรมีขนาดใหญ่ ยุคกลาง มีขนาดเล็ก

และลายเส้นที่เรียบง่ายกว่า เมื่อถึงยุคปลายจะมีลักษณะใกล้เคียงกับอักษรจิ

นเหวินหรืออักษรโลหะที่มีความ เป็นระเบียบสำรวม

3

อักษรโลหะ

金文อักษรโลหะ ( ) เป็นอักษรที่ใช้ในสมัยซางต่อเนื่องถึงราชวงศ์โจว

(1,100 – 771ปีก่อนคริสตศักราช) มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘จงติ่งเหวิน’
หมายถึงอักษรที่หลอมลงบนภาชนะทองเหลืองหรือสำริด เนื่องจากตัวแทน
ภาชนะสำริดในยุคนั้นได้แก่ ‘ติ่ง’ซึ่งเป็นภาชนะคล้ายกระถางมีสามขา ใช้
แสดงสถานะทางสังคมของคนในสมัยนั้นและตัวแทนจากเครื่องดนตรีที่ทำ
จากโลหะ คือ ‘จง’ หรือระฆัง ดังนั้นอักษรที่สลักหรือหลอมลงบนเครื่องใช้
โลหะดังกล่าวจึงเรียกว่า ‘จงติ่งเหวิน’ มีลักษณะพิเศษ คือ มีลายเส้นที่หนา
หนัก ร่องลายเส้นราบเรียบที่ได้จากการหลอม ไม่ใช่การสลักลงบนเนื้อโลหะ
อักษรโลหะในสมัยหลังรัชสมัยเฉิงหวังและคังหวังแห่งราชวงศ์โจว จะมี
ความสง่างาม สะท้อนภาพลักษณ์ที่สุขุมเยือกเย็น

เนื้อหาที่บันทึกด้วยอักษรโลหะ โดยมากเป็น คำสั่งการของชนชั้นผู้นำ
พิธีการบูชาบรรพบุรุษ บันทึกการทำสงคราม เป็นต้น มีการบันทึกการค้นพบ
อักษรโลหะตั้งแต่รัชสมัยฮั่นอู่ตี้ในราชวงศ์ฮั่น (116 ปีก่อนคริสตศักราช) บน
ภาชนะ ‘ติ่ง’ ที่ส่งเข้าวังหลวง ดังนั้น จึงมีการศึกษาและการทำอรรถาธิบาย
จากปัญญาชนในยุคต่อมา

4

อักษรจ้วนเล็ก

จากสมัยชุนชิวจั้นกว๋อจนถึงยุคการก่อตั้งราชวงศ์ฉิน (770 – 202 ปีก่อน
คริสตศักราช) โครงสร้างของตัวอักษรจีนโดยมากยังคงรักษารูปแบบเดิมจาก
ราชวงศ์โจวตะวันตก ซึ่งนอกจากอักษรโลหะแล้ว ยังมีอักษรรูปแบบต่างๆ ที่
เหมาะกับการบันทึกลงในวัสดุแต่ละชนิด เช่น อักษรที่ใช้ในการลงนามสัตยาบัน
ร่วมระหว่างแว่นแคว้นที่สลักลงบนแผ่นหยกก็ เรียกว่า หนังสือพันธมิตร หาก
สลักลงบนไม้ก็เรียกสาส์นไม้ หากสลักลงบนหินก็เรียก ตัวหนังสือกลองหิน ฯลฯ
นอกจากนี้ ก่อนการรวมประเทศจีนบรรดาเจ้านครรัฐหรือแว่นแคว้นต่างก็มีตัว
อักษรที่ใช้แตกต่างกันไป ซึ่งส่วนหนึ่งได้แก่อักษรจ้วนใหญ่หรือต้าจ้วน ซึ่ง
เป็นต้นแบบของเสี่ยวจ้วนในเวลาต่อมา

ภายหลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้ได้รวมแผ่นดินจีนเข้าด้วยกันในปีค.ศ. 221แล้ว ก็
ทำการปฏิรูประบบตัวอักษรครั้งใหญ่ โดยการสร้างมาตรฐานรูปแบบตัวอักษรที่
เป็นหนึ่งเดียวกันทั่วประเทศ กล่าวกันว่า ภายใต้การผลักดันของมหาเสนาบดี
หลี่ซือ ได้มีการนำเอาตัวอักษรดั้งเดิมของรัฐฉิน(อักษรจ้วน)มาปรับให้เรียบง่าย
ขึ้น จากนั้นเผยแพร่ออกไปทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน ก็ยกเลิกอักษรที่มีลักษณะ

小篆เฉพาะจากแว่นแคว้นอื่น ๆในยุคสมัยเดียวกัน อักษรที่ผ่านการปฏิรูปนี้ รวม

เรียกว่า อักษรเสี่ยวจ้วนหรือจ้วนเล็ก ( ) ถือเป็นอักษรที่ใช้ทั่วประเทศจีน
เป็นครั้งแรก

5

(隶书)ขณะที่ยุคสมัยฉินประกาศใช้อักษรจ้วนเล็กอย่างเป็นทางการ พร้อมกัน
นั้นก็ปรากฏว่ามีการใช้อักษรลี่ซู ควบคู่กันไป โดยมีการประยุกต์มา

จากการเขียนอักษรจ้วนอย่างง่าย อักษรลี่ซูทำให้อักษรจีนก้าวเข้าสู่ขอบเขต

ของอักษรสัญลักษณ์อย่างเต็มรูปแบบ อาจกล่าวได้ว่า เป็นกระบวนการของ

การเปลี่ยนรูปจากอักษรโบราณที่ยังมีความเป็นอักษรภาพสู่ อักษรจีนที่ใช้ใน

ปัจจุบัน

สำหรับที่มาของอักษรลี่ซูนั้น กล่าวกันว่าสมัยฉินมีทาสที่เรียกว่าเฉิงเหมี่ยวผู้

หนึ่ง เนื่องจากกระทำความผิด จึงถูกสั่งจำคุก เฉิงเหมี่ยวที่อยู่ในคุกคุมขังจึง

คิดปรับปรุงตัวอักษรจ้วนให้เขียนง่ายขึ้น จากโครงสร้างกลมเปลี่ยนเป็น

สี่เหลี่ยมกลายเป็นอักษรรูปแบบใหม่ จิ๋นซีฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นแล้วทรง

โปรดอย่างมาก จึงทรงแต่งตั้งให้เฉิงเหมี่ยวทำหน้าที่อารักษ์ในวังหลวง ต่อ

มาตัวหนังสือชนิดนี้แพร่หลายออกไป จึงมีการเรียกชื่อตัวหนังสือชนิดนี้ว่า

อักษรลี่ซูหรืออักษรทาส (คำว่า ‘ลี่’ ในภาษาจีนหมายถึง ทาส)

แต่ในเชิงโบราณคดีนั้น พบว่าอักษรลี่ซูเป็นอักษรที่ใช้เขียนบนวัสดุที่ทำจาก
ไม้หรือไม้ไผ่มาตั้งแต่ ยุคจั้นกว๋อจนถึงสมัยฉิน และมีพัฒนาการมาเรื่อย ๆ
จวบถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นได้กลายเป็นอักษรที่ได้รับความนิยมสูงสุด

6

真书เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอักษรจริง ( ) เป็นอักษรจีนรูปแบบมาตรฐานใช้

กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน อักษรข่ายซูเป็นเส้นสัญลักษณ์ที่ประกอบกัน
ขึ้น ภายใต้กรอบสี่เหลี่ยม หลุดพ้นจากรูปแบบอักษรภาพของตัวอักขระยุค
โบราณอย่างสิ้นเชิง
อักษรข่ายซูมีต้นกำเนิดในยุคปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ภายหลังรา
ชวงศ์วุ่ยจิ้น(สามก๊ก) (คริสตศักราช 220 – 316) ได้รับความนิยมอย่างแพร่
หลาย จากการก้าวเข้าสู่ขอบเขตขั้นใหม่ของอักษรลี่ซู พัฒนาตามมาด้วย
อักษรข่ายซู เฉ่าซู และสิงซู ก้าวพ้นจากข้อจำกัดของลายเส้นที่มาจากการ
แกะสลัก เมื่อถึงยุคถัง(คริสตศักราช 618 – 907) จึงก้าวสู่ยุคทองของ
อักษรข่ายซูอย่างแท้จริง จวบจนปัจจุบัน อักษรข่ายซูยังเป็นอักษรมาตรฐาน
ของจีน

7

ตั้งแต่กำเนิดมีตัวอักษรจีนเป็นต้นมา อักษรแต่ละรูปแบบล้วนมีวิธีการเขียน

(草书)แบบตัวหวัดทั้งสิ้น จวบจนถึงราชวงศ์ฮั่น อักษรหวัดจึงได้รับการเรียกขานว่า
‘อักษรเฉ่าซู’ อย่างเป็นทางการ (คำว่า ‘เฉ่า’ ในภาษาจีนหมายถึง อย่าง

ลวก ๆหรืออย่างหยาบ) อักษรเฉ่าซู เกิดจากการนำเอาลายเส้นที่มีแต่เดิมมา

ย่นย่อเหลือเพียงขีดเส้นเดียว โดยฉีกออกจากรูปแบบอันจำเจของกรอบ

สี่เหลี่ยมในอักษรจีน หลุดพ้นจากข้อจำกัดของขั้นตอนวิธีการขีดเขียนอักษรใน

แบบมาตรฐานตัวคัดหรือ ข่ายซู ในขณะที่อักษรข่ายซูอาจประกอบขึ้นจากลาย

เส้นสิบกว่าสาย แต่อักษรเฉ่าซูเพียงใช้ 2 – 3 ขีดก็สามารถประกอบเป็น

สัญลักษณ์เช่นเดียวกันได้

8

(行书)อักษรสิงซู เป็นรูปแบบตัวอักษรที่อยู่

กึ่งกลางระหว่างอักษรข่ายซูและ อักษรเฉ่าซู เกิด

จากการเขียนอักษรตัวบรรจงที่เขียนอย่างหวัด

หรืออักษรตัวหวัดที่เขียน อย่างบรรจง อาจกล่าว

ได้ว่า เป็นตัวอักษรกึ่งตัวหวัดและกึ่งบรรจง

อักษรสิงซูกำเนิดขึ้นในราวปลายราชวงศ์ฮั่น

ตะวันออก รวบรวมเอาปมเด่นของอักษรข่ายซู

และเฉ่าซูเข้าด้วยกัน

ตัวอักษรจีนสามารถแบ่งออกเป็นอักขระที่ใช้ในสมัยโบราณกับอักษรที่ใช้ในปัจจุบัน
ตัวอย่างเช่น อักษรลี่ซูซึ่งเป็นรูปแบบของอักขระโบราณ อันเป็นต้นแบบของการปฏิรูป
ลักษณะตัวอักษรจีนครั้งใหญ่ กลายเป็นเส้นแบ่งระหว่างอักษรรุ่นเก่าและใหม่ ยุคสมัยที่ใช้
อักษรลี่ซูและก่อนหน้านั้น ถือเป็นอักขระโบราณ ได้แก่ อักษรจารบนกระดูกสัตว์หรือเจี๋ยกู่
เหวินจากสมัยซาง อักษรโลหะจากราชวงศ์โจวตะวันตก อักษรเสี่ยวจ้วนจากยุคสมัยจั้
นกว๋อและสมัยฉิน หลังจากกำเนิดอักษรลี่ซูให้ถือเป็นอักษรในยุคปัจจุบัน อันได้แก่ อักษรลี่
ซู อักษรข่ายซู สำหรับอักษรเฉ่าซูและสิงซู อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงพัฒนาการของรูปแบบ
ตัวอักษร ไม่ใช่วิวัฒนาการของตัวอักษรจีนโดยรวม

บรรณานุกรม

http://www.sts.ac.th/0538/2016/09/22/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%
A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B
2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B
1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A
3%E0%B8%88/

http://mcpswis.mcp.ac.th/html_edu/cgi-
bin/mcp/main_php/print_informed.php?id_count_inform=15391


Click to View FlipBook Version