วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา โดยฝึกทักษะขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) ผู้วิจัย นางสาวพนิดา เทพสาตรา ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย โรงเรียนวัดผลาหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 วิชาวิทยาการคำนวณ เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา โดยใช้แบบฝึกทักษะขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) ผู้วิจัย นางสาวพนิดา เทพสาตรา หน่วยงาน โรงเรียนวัดผลาหาร ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณสำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 รายวิชาวิทยาการคำนวณ เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) โดยใช้แบบฝึกทักษะ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้นกลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดผลาหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 จำนวน 21 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้เวลา 4 ชั่วโมง ในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2566 วิเคราะห์ข้อมูลเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ชุดแบบฝึกทักษะ ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) มีประสิทธิภาพของชุดแบบฝึก (E1 / E1) มีค่าเท่ากับ 80.50 / 83.75 สูงกว่าเกณฑ์ มาตรฐานที่กำหนดไว้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ขั้นตอนวิธีกาแก้ปัญหา(Algorithm) แบบฝึกทักษะ ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) สถิตที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลข คณิต สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที(t–test) และการคำนวณหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีคะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน เรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) มีค่าเฉลี่ยและร้อยละ ของคะแนนสูงขึ้นกว่าก่อนเรียนโดยมีค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังเรียน 8.10 ร้อยละของคะแนนหลังเรียน 80.95 และค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนเรียน 2.76 ร้อยละของคะแนนก่อนเรียน 27.62 และผลสัมฤทธิ์ ทางเรียนวิชาวิทยาการคำนวณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ แบบฝึกทักษะ เรื่อง ขั้นตอนวิธีแก้ปัญหา(Algorithm) หลังจากเรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะแล้ว นักเรียนมีค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
ข กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 วิชาวิทยาการ คำนวณ เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา โดยใช้แบบฝึกทักษะ” นี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความอนุเคราะห์ และเอาใจใส่อย่างดียิ่งจาก นางสาวศรัณย์ภัทร ประทุมชาติผู้อำนวยการโรงเรียนวัดผลาหาร ในการ ให้การสนับสนุน คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์ พร้อมทั้งคำแนะนำแนวทางในการวิจัย ตลอดจน ให้ข้อเสนอแนะทางวิชาการอันทรงคุณค่าเพื่อให้งานวิจัยมีความสมบูรณ์ ผู้วิจัยขอขอบคุณนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2566 ที่ให้ความร่วมมือในการ เก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยทำให้งานวิจัยมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น คุณค่าและประโยชน์ใด ๆ อันจะเกิดจากงานวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นเครื่องบูชาพระคุณของ บิดา มารดา ครู อาจารย์ทุกท่าน ที่ประสิทธิประสาทวิชาแก่ผู้วิจัย นางสาวพนิดา เทพสาตรา
ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค บทที่ 1 บทนำ 1 ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหา 1 ความมุ่งหมายของการวิจัย 2 กรอบแนวคิดและสมมุติฐาน 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 5 แบบฝึกทักษะ 6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 14 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 15 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 18 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 18 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 18 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 21 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 25 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 26 บทที่ 5 สรุปผล การอภิปราย และข้อเสนอแนะ 29 สรุปผลการวิจัย 29 การอภิปรายผล 30 ข้อเสนอแนะ 30 บรรณานุกรม 31 ภาคผนวก 32 แบบทดสอบก่อนเรียน 33 แบบทดสอบหลังเรียน 36
1 บทที่ 1 บทนำ ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหา การศึกษานับเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งสำหรับการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า และ การแก้ไขปัญหาในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เพราะว่าการศึกษามุ่งช่วยให้บุคคลเกิดความเจริญงอก งามทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ และสติปัญญา สามารถปรับตนให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข การศึกษายังจะช่วยให้บุคคลนั้นเป็นผู้ที่รู้จักคิด รู้จัก ทำรู้จักการแก้ปัญหาตลอดจนรู้จักใช้ทรัพยากรวัตถุที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสิ้นเปลืองน้อยที่สุด การที่ประเทศจะก้าวหน้าได้จำเป็นจะต้องมีทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ ความคิด ความสามารถจำนวนมาก ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นกระบวนการในการเสริมสร้างบุคคลให้มีคุณลักษณะพึงประสงค์ ในพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 หมวด 4 แนวการจัดการศึกษามาตรา 22 การจัดการศึกษาต้อง ยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพการ เรียนการสอนในห้องเรียนเป็นวิธีการที่ใช้กันมานาน มีเทคนิคการสอนมากมายที่ เป็น ประโยชน์แก่ผู้เรียน ไม่ว่าจะเป็นการบรรยาย อภิปราย สาธิต หรือวิธีการอื่น ๆ แต่อย่างไรก็ตาม การเรียนการสอนในห้องเรียนที่มีผู้เรียนจำนวนมากก็เป็นการยากที่จะให้ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ ได้ทันกัน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ได้กำหนดแนวทางการจัดการศึกษา ไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือ ว่าผู้เรียนมีความสำคัญอย่างที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนา ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพโดยต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล” (สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ 2542 : 12-13) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ปรับปรุง 2560) กล่าวว่า กลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นกลุ่มสาระที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะ สำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาที่ หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอนมีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่าง หลากหลาย เรียนรู้เกี่ยวกับ การคิดเชิงคํานวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการแก้ปัญหาที่ พบในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ “แบบฝกทักษะ” เปนสื่อหรือนวัตกรรมที่จําเปนอยางหนึ่ง ที่จะทําใหการเรียนการสอนบรรลุผล อีกทั้งยังสามารถชวยในการฝกทักษะผูเรียนไดดีซึ่ง สลาย ปลั่งกลาง (2552: 31-32) กลาววา แบบฝ กหัดหรือ แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนที่ใชสําหรับใหผูเรียนฝกความชํานาญในทักษะตาง ๆ จนเกิดความคิดรวบยอดในเรื่องที่ฝกและสามารถนําทักษะไปใชในการแกปญหาได้ ดังตัวอยางงานวิจัย ของ พรรณี ชูไทย (2546: 9) กลาวถึงหลักการพัฒนาแบบฝึกทักษะวา ครูผูสรางตองคํานึงถึงระดับชั้น ความรูความสามารถของผูเรียน ความแตกตางของผูเรียน เรียงเนื้อหาจากงายไปหายาก เนนการแกปญหา มีคําชี้แจงสั้นๆ ใชเวลาเหมาะสม เนื้อหา นาสนใจ มีหลากหลายทาทายความสามารถจะเห็นไดวาการ พัฒนาแบบฝกทักษะที่เหมาะสมจะทําใหผูเรียนมีพัฒนาการเรียนรูความชํานาญ ความสามารถในการแก ปญหา ทราบความสามารถในการเรียนและสามารถตรวจสอบความกาวหนาของตนเองได
2 ด้วยความสําคัญขางตน ผู้รายงานในฐานะครูผู้สอนในวิชาวิทยาการคำนวณ 4 ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) พบว่าผู้เรียนยังขาดทักษะกระบวนคิด ยัง สับสนในขั้นตอนการแก้ปัญหา อย่างเป็นระบบ ไม่สามารถคัดเลือกคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหา ขั้นตอนการแก้ปัญหา การเขียนรหัสลำลองและผังงานได้ จึงมีความสนใจที่จะนำแบบฝึกทักษะเรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) มาใช้แก้ปัญหา นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิ์วิชาวิทยาการคำนวณ เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนสูงขึ้นเป็นไปตามเจตนารมณ์ของหลักสูตรและสามารถนำความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหา ในชีวิตประจำวันได้ ความมุ่งหมายของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้สื่อแบบฝึกทักษะ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น ความสำคัญของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณสำหรับนักเรียนที่มีผลการเรียน ต่ำสามารถพัฒนาตนเองโดยการเรียนแบบใช้แบบฝึกทักษะ 2. การเรียนด้วยแบบฝึกทักษะเป็นส่วนหนึ่ง ของการจัดการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญจะทำ ให้นักเรียนเกิดความสนใจใฝ่เรียนรู้ ลดความแตกต่างของศักยภาพแต่ละบุคคลทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่สูงขึ้น ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากร 1.1 ประชากร คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดผลาหาร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 21 คน 2. ระยะเวลา ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เป็นเวลา 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 วัน วันละ 1 ชั่วโมง รวมเวลา 4 ชั่วโมง 3. ขอบเขตของเนื้อหา เนื้อหาที่นำมาสร้างเป็นแบบฝึกทักษะครั้งนี้ เป็นสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ช่วงชั้นที่ 2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) จำนวนแบบ ฝึกทักษะนี้ ประกอบไปด้วย 3 ชุดแบบฝึก 3.1 แบบฝึกทักษะเรื่องปัญหา 3.2 แบบฝึกทักษะผังงานซื้อขนม 3.3 แบบฝึกทักษะการเขียนผังงาน flowchart
3 4. ตัวแปรที่ศึกษา 4.1 ตัวแปรต้น คือ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 วิชาวิทยาการคำนวณ เรื่องขั้นตอนวิธีแก้ปัญหา(Algorithm) โดยใช้ชุดฝึกทักษะ 4.2 ตัวแปรตาม 4.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นิยามศัพท์เฉพาะ แบบฝึกทักษะ หมายถึง แบบฝึกทักษะเรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เพื่อเป็นแบบฝึกทักษะสอนนักเรียนที่เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) ซึ่งผู้เรียนจะทบทวนเนื้อหาโดยผ่านทางชุดแบบฝึกทักษะนี้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถ ความเข้าใจ เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดผลาหาร อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน ข้อสอบทั้งหมด 10 ข้อ แบบทดสอบเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม สมมติฐานการวิจัย 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดผลาหาร ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะเรื่อง ขั้นตอน วิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน การสอนโดยใช้โดยใช้ชุดฝึกทักษะ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะ ผู้วิจัยได้ศึกษา ค้นคว้าเอกสาร และ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ปรับปรุง 2560 ) กลุ่มสาระการ เรียนรู้การวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 1.1 สาระการเรียนรู้/มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด 2. แบบฝึกทักษะ 2.1 ความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทักษะ 2.2 ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดี 2.3 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ 2.4 หลักการสร้างแบบฝึกทักษะ 2.5 ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะ 2.6 รูปแบบการสร้างแบบฝึกทักษะ 2.7 ขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะ 2.8 แนวคิดหลักการที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะ 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.2 จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 งานวิจัยภายในประเทศ 4.2 งานวิจัยต่างประเทศ
5 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1.1 สาระการเรียนรู้/มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต กับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา สิ่งแวดล้อมรวมทั้งนําความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลําเลียงสารเข้า และออกจากเซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทํางาน สัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทํางานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนํา ความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสําคัญของการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมสารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งนําความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะ ของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจําวัน ผลของแรงที่กระทําต่อวัตถุ ลักษณะการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุรวมทั้งนําความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจําวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่ เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนําความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของ เอกภพกาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการ เปลี่ยนแปลงภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและ ภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดํารงชีวิตในสังคมที่มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคํานึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม
6 มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคํานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่าง เป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทํางาน และการ แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจริยธรรม 2. แบบฝึกทักษะ 2.1 ความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทักษะ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53) ได้สรุปความสำคัญของ แบบฝึกทักษะว่าแบบฝึกทักษะมีความสำคัญต่อผู้เรียนไม่น้อย ในการที่จะช่วยส่งเสริมสร้างทักษะให้กับ ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจได้เร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น กว้างขวางขึ้นทำให้การสอนของครูและการเรียน ของนักเรียนประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ ไพทูลย์ มูลดี (2546 : 48) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกทักษะ คือชุดฝึกการเรียนรู้ที่ ครูสร้างขึ้นให้นักเรียนได้ทบทวนเนื้อหาที่เรียนรู้มาแล้วเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และช่วยเพิ่มทักษะ ความชำนาญและฝึกกระบวนการคิดให้มากขึ้น ทั้งยังมีประโยชน์ในการลดภาระการสอนให้กับครู อีกทั้ง พัฒนาความสามารถของผู้เรียน และทำให้ผู้เรียนสามารถมองเห็นความก้าวหน้าจากผลการเรียนรู้ของ ตนเองได้ คมขำ แสนกล้า (2547 : 32) ได้สรุปความสำคัญของแบบฝึกว่า แบบฝึกทักษะเป็น ส่วนสำคัญในการเรียนการสอน เพราะถ้าขาดแบบฝึกทักษะเพื่อใช้ในการฝึกฝนทักษะความรู้ต่างๆ หลังจากเรียนไปแล้ว เด็กก็อาจจะลืมเลือนความรู้ที่เรียนไปได้ ซึ่งอาจส่งผลให้นักเรียนไม่มีประสิทธิภาพ เท่าที่ควร ฐานิยา อมรพลัง (2548 : 75) ได้สรุปถึงความหมายของแบบฝึกทักษะ คือ งาน กิจกรรมหรือประสบการณ์ที่ครูจัดให้นักเรียนได้ฝึกหัดกระทำ เพื่อทบทวนฝึกฝนเนื้อหาความรู้ต่างๆ ที่ได้ เรียนไปแล้วให้เกิดความจำ จนสามารถปฏิบัติได้ด้วยความชำนาญ และให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 40) ได้สรุปความหมายและความสำคัญของแบบฝึกได้ ว่า แบบฝึก คือ แบบฝึกหัด หรือชุดฝึกที่ครูจัดให้นักเรียน เพื่อให้มีทักษะเพิ่มขึ้นหลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่อง นั้นๆ มาบ้างแล้ว โดยแบบฝึกต้องมีทิศทางตรงตามจุดประสงค์ ประกอบกิจกรรมที่น่าสนใจและสนุกสนาน อกนิษฐ์ กรไกร (2549 : 18) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อที่สร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้างทักษะให้แก่นักเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดที่มีกิจกรรมให้นักเรียน ทำโดยมีการทบทวนสิ่งที่เรียนผ่านมาแล้วจากบทเรียน ให้เกิดความเข้าใจและเป็นการฝึกทักษะ และแก้ไข ในจุดบกพร่องเพื่อให้นักเรียนได้มีความสามารถและศักยภาพยิ่งขึ้นเข้าใจบทเรียนดีขึ้น พินิจ จันทร์ซ้าย (2546 : 90) กล่าวถึงแบบฝึกทักษะว่า หมายถึง งาน กิจกรรม หรือ ประสบการณ์ที่ครูผู้สอนจัดให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติเพื่อทบทวนความรู้ที่เรียนมาแล้วนำมาปรับประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจำวัน ผู้รายงานได้ศึกษาความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทักษะแล้วพอสรุปได้ว่า แบบฝึก ทักษะ หมายถึง ชุดฝึกทักษะที่ครูสร้างขึ้นให้นักเรียนได้ทบทวนเนื้อหาที่เรียนรู้มาแล้วเพื่อสร้างความเข้าใจ และช่วยเพิ่มทักษะความชำนาญและฝึกกระบวนการคิดให้มากขึ้น ทำให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียน ที่มีต่อบทเรียน ฝึกให้เด็กมีความเชื่อมั่นและสามารถประเมินผลของตนเองได้ ทั้งยังมีประโยชน์ช่วยลด ภาระการสอนของครู และยังช่วยพัฒนาตามความแตกต่าง
7 2.2 ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดี แบบฝึกเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะให้แก่ผู้เรียน การสร้างแบบฝึกให้มี ประสิทธิภาพจึงจำเป็นจะต้องศึกษาองค์ประกอบและลักษณะของแบบฝึก เพื่อใช้ให้เหมาะสมกับระดับ ความสามารถของนักเรียน สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 60 -61) ได้สรุปลักษณะ ของแบบฝึกที่ดีควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุม ความสอดคล้องกับเนื้อหา รูปแบบน่าสนใจ และคำสั่งชัดเจน และได้สรุปลักษณะของแบบฝึกไว้ดังนี้ 1. ใช้หลักจิตวิทยา 2. สำนวนภาษาไทย 3. ให้ความหมายต่อชีวิต 4. คิดได้เร็วและสนุก 5. ปลุกความน่าสนใจ 6. เหมาะสมกับวัยและความสามารถ 7. อาจศึกษาได้ด้วยตนเอง และได้แนะนำให้ผู้สร้างแบบฝึกให้ยึดลักษณะของแบบฝึกไว้ดังนี้ 1. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความชัดเจนทั้งคำสั่งและวิธีทำคำสั่งหรือตัวอย่าง วิธีทำที่ใช้ไม่ควรยาวเกินไป เพราะจะทำให้เข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียน สามารถศึกษาด้วยตนเองได้ถ้าต้องการ 2. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความหมายต่อผู้เรียนและตรงตามจุดมุ่งหมาย ของการฝึกลงทุนน้อยใช้ได้นานๆ และทันสมัยอยู่เสมอ 3. ภาษาและภาพที่ใช้ในแบบฝึกหัดควรเหมาะสมกับวัยและพื้นฐานความรู้ของ ผู้เรียน 4. แบบฝึกหัดที่ดีควรแยกฝึกเป็นเรื่องๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไป แต่ควรมีกิจกรรมหลายรูปแบบ เพื่อเร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบื่อหน่ายในการทำ และเพื่อ ฝึกทักษะใดทักษะหนึ่งจนเกิดความชำนาญ 5. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีทั้งแบบกำหนดให้โดยเสรี การเลือกใช้คำ ข้อความหรือ รูปภาพในแบบฝึกหัด ควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความในใจของนักเรียนเพื่อว่าแบบฝึกหัดที่ สร้างขึ้นจะได้ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการเรียนรู้ ได้เร็วในการกระทำที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจ 6. แบบฝึกหัดที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ศึกษาด้วยตนเองให้รู้จักค้นคว้า รวบรวมสิ่งที่พบเห็นบ่อย ๆ หรือที่ตนเองเคยใช้จะทำให้นักเรียนสนใจเรื่องนั้น ๆ มากยิ่งขึ้นและจะรู้จัก ความรู้ในชีวิตประจำวันอย่างถูกต้อง มีหลักเกณฑ์และมองเห็นว่าสิ่งที่เขาได้ฝึกฝนนั้น มีความหมายต่อเขาตลอดไป 7. แบบฝึกหัดที่ดีควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนจะมี ความแตกต่างกันหลายๆด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญาและ ประสบการณ์ ฯลฯ ฉะนั้นการทำแบบฝึกหัดแต่ละเรื่อง ควรจัดทำให้มากพอและมีทุกระดับ ตั้งแต่ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพื่อว่าทั้งเด็กเก่ง กลาง และอ่อนจะได้เลือกทำได้ตามความสามารถ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กทุกคนประสบความสำเร็จ ในการทำแบบฝึกหัด
8 8. แบบฝึกหัดที่ดีควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้ตั้งแต่หน้าปกไปจนถึง หน้าสุดท้าย 9. แบบฝึกหัดที่ดีควรได้รับการปรับปรุงไปคู่กับหนังสือแบบเรียนอยู่เสมอและ ควรใช้ได้ดีทั้งในและนอกบทเรียน 10. แบบฝึกหัดที่ดีควรเป็นแบบที่สามารถประเมิน และจำแนกความเจริญงอก งามของเด็กได้ด้วย ฐานิยา อมรพลัง (2548 : 78) ได้เสนอลักษณะที่ดีของแบบฝึก คือ แบบฝึกที่ เรียงลำดับจากง่ายไปหายาก มีรูปภาพประกอบ มีรูปแบบน่าสนใจ หลากหลายรูปแบบ โดยอาศัย หลักจิตวิทยาในการจัดกิจกรรมหรือจัดแบบฝึกให้สนุก ใช้ภาษาเหมาะสมกับวัย และ ระดับชั้น ของนักเรียน มีคำสั่ง คำชี้แจงสั้น ชัดเจน เข้าใจง่าย มีตัวอย่างประกอบ มีการจัดกิจกรรม การฝึกที่ เร้าความสนใจ และแบบฝึกนั้นควรทันสมัยอยู่เสมอ วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 43) ได้อธิบายถึงลักษณะของแบบฝึกที่ดี คือ ควรมี ความหลากหลายรูปแบบ เพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย และต้องมีลักษณะที่เร้า ยั่วยุ จูงใจ ได้ให้ คิดพิจารณา ได้ศึกษาค้นคว้าจนเกิดความรู้ ความเข้าใจทักษะ แบบฝึกควรมีภาพดึงดูดความสนใจ เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนตรงกับจุดประสงค์การเรียนรู้ มีเนื้อหาพอเหมาะ ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 20) ได้อธิบายถึงลักษณะของแบบฝึกหัดและแบบ ฝึกทักษะที่ดีไว้ว่า ดังนี้ 1. จุดประสงค์ 1.1 จุดประสงค์ชัดเจน 1.2 สอดคล้องกับการพัฒนาทักษะตามสาระการเรียนรู้ และ กระบวนการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ 2. เนื้อหา 2.1 ถูกต้องตามหลักวิชา 2.2 ใช้ภาษาเหมาะสม 2.3 มีคำอธิบายและคำสั่งที่ชัดเจน ง่ายต่อการปฏิบัติตาม 2.4 สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ นำผู้เรียนสู่การสรุปความคิดรวบ ยอดและหลักการสำคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้ 2.5 เป็นไปตามลำดับขั้นตอนการเรียนรู้สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ และ ความแตกต่างระหว่างบุคคล 2.6 มีคำถามและกิจกรรมที่ท้าทายส่งเสริมทักษะกระบวนการเรียนรู้ ของ ธรรมชาติวิชา 2.7 มีกลยุทธ์การนำเสนอและการตั้งคำถามที่ชัดเจน น่าสนใจปฏิบัติได้ สามารถให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อปรับปรุงการเรียนได้อย่างต่อเนื่อง ผู้รายงานพอสรุปลักษณะของแบบฝึกที่ดีได้ว่า แบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพ ช่วยทำให้ นักเรียนประสบความสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี และแบบฝึกที่ดีเปรียบเสมือนผู้ช่วยที่สำคัญของ ครู ทำให้ครูลดภาระการสอนลงได้ ทำให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถของตนเพื่อความมั่นใจในการเรียนได้ เป็นอย่างดี ดังนั้นครูยังจำเป็นต้องศึกษาเทคนิควิธีการ ขั้นตอนในการฝึกทักษะต่างๆ
9 มีประสิทธิภาพที่สุด อันส่งผลให้ผู้เรียนมีการพัฒนาทักษะต่างๆ ได้อย่างเต็มที่และแบบฝึกที่ดีนั้นจะต้อง คำนึงถึงองค์ประกอบหลายๆด้าน ตรงตามเนื้อหา เหมาะสมกับวัย เวลา ความสามารถ ความสนใจ และ สภาพปัญหาของผู้เรียน 2.3 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ ไพทูลย์ มูลดี (2546 : 52) ได้อธิบายประโยชน์ของแบบฝึกไว้ดังนี้ คือ แบบฝึก มีความสำคัญ และจำเป็นต่อการเรียนมาก เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจในบทเรียนได้ดีขึ้นสามารถจดจำ เนื้อหาในบทเรียนและคำศัพท์ต่างๆ ได้คงทน ทำให้เกิดความสนุกสนานในขณะเรียนทราบความก้าวหน้า ของตนเอง สามารถนำแบบฝึกมาทบทวนเนื้อหาเดิมด้วยตนเองได้ นำมาวัดผลการเรียนหลังจากที่เรียน แล้ว ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพร่องของนักเรียนและนำไปปรับปรุงแก้ไขได้ทันท่วงที ซึ่งจะมีผลทำให้ ครูประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายและลดภาระได้มาก และยังให้นักเรียนนำภาษาไปใช้สื่อสารได้อย่างมี ประสิทธิภาพด้วย วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 41) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึกช่วยในการฝึกหรือเสริมทักษะทางภาษา การใช้ภาษาของนักเรียนสามารถนำมาฝึกซ้ำทบทวน บทเรียน และผู้เรียนสามารถนำไปทบทวนด้วยตนเอง จดจำเนื้อหาได้คงทน มีเจตคติที่ดีต่อการเรียน ภาษาไทย แบบฝึกถือเป็นอุปกรณ์การสอนอย่างหนึ่งซึ่งสามารถทดสอบความรู้ วัดผลการเรียนหรือ ประเมินผลการเรียนก่อนและหลังเรียนได้เป็นอย่างดี ทำให้ครูทราบปัญหาข้อบกพร่องของผู้เรียนเฉพาะ จุดได้ นักเรียนทราบความก้าวหน้าของตนเอง ครูประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายและลดภาระได้มาก ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 21) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกหัดและ แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนรู้ ที่มุ่งเน้นในเรื่องของการแก้ปัญหา และการพัฒนาในการจัดการเรียนรู้ใน หน่วยการเรียนรู้และสามารถเรียนรู้ได้ โดยสรุปได้ดังนี้ 1. เป็นสื่อการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน 2. ผู้เรียนมีสื่อสำหรับฝึกทักษะด้านการอ่าน การคิด การคิดวิเคราะห์ และการเขียน 3. เป็นสื่อการเรียนรู้สำหรับการแก้ปัญหาในการเรียนรู้ของผู้เรียน 4. พัฒนาความรู้ ทักษะ และเจตคติด้านต่างๆ ของผู้เรียน จากประโยชน์ของแบบฝึกที่กล่าวมา สรุปได้ว่า แบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพช่วยทำให้ นักเรียนประสบผลสำเร็จ ในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53 - 54) ได้สรุปประโยชน์ ของแบบฝึกทักษะได้ดังนี้ 1. ทำให้เข้าใจบทเรียนดีขึ้น เพราะเป็นเครื่องอำนวยประโยชน์ในการเรียนรู้ 2. ทำให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียน 3. ฝึกให้เด็กมีความเชื่อมั่นและสามารถประเมินผลของตนเองได้ 4. ฝึกให้เด็กทำงานตามลำพัง โดยมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย 5. ช่วยลดภาระครู 6. ช่วยให้เด็กฝึกฝนได้อย่างเต็มที่ 7. ช่วยพัฒนาตามความแตกต่างระหว่างบุคคล 8. ช่วยเสริมให้ทักษะคงทน ซึ่งลักษณะการฝึกเพื่อช่วยให้เกิดผลดังกล่าวนั้นได้แก่ 8.1 ฝึกทันทีหลังจากที่เด็กได้เรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ
10 8.2 ฝึกซ้ำหลายๆครั้ง 8.3 เน้นเฉพาะในเรื่องที่ผิด 9. เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากจบบทเรียนในแต่ละครั้ง 10. ใช้เป็นแนวทางเพื่อทบทวนด้วยตนเอง 11. ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆของเด็กได้ชัดเจน 12. ประหยัดค่าใช้จ่ายแรงงานและเวลาของครู ผู้รายงาน ได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับประโยชน์ของแบบฝึกทักษะแล้ว พอสรุปได้ว่าแบบฝึก มีความสำคัญ และจำเป็นต่อการเรียนทักษะทางภาษามาก เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น สามารถจดจำเนื้อหาในบทเรียนและคำศัพท์ต่าง ๆ ได้คงทน ทำให้เกิดความสนุกสนาน ในขณะเรียนทราบ ความก้าวหน้าของตนเอง และครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็กได้ชัดเจน สามารถนำแบบฝึก ทักษะมาทบทวนเนื้อหาเดิมด้วยตนเอง ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพร่องของนักเรียนและนำไปปรับปรุง ได้ทันท่วงที ซึ่งจะมีผลทำให้ครูประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย 2.4 หลักการสร้างแบบฝึกทักษะ วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 45) ได้สรุปหลักการสร้างแบบฝึกทักษะดังนี้ 1. ความใกล้ชิด คือ ถ้าใช้สิ่งเร้าและการตอบสนองเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันจะ สร้างความพอใจให้กับผู้เรียน 2. การฝึก คือ การให้นักเรียนได้ทำซ้ำ ๆ เพื่อช่วยสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ แม่นยำ 3. กฎแห่งผล คือ การที่ผู้เรียนได้ทราบผลการทำงานของตนด้วยการเฉลย คำตอบจะช่วยให้ผู้เรียนทราบข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงแก้ไขและเป็นการสร้างความพอใจแก่ผู้เรียน 4. การจูงใจ คือ การสร้างแบบฝึกเรียงลำดับ จากแบบฝึกง่ายและสั้นไปสู่แบบฝึก เรื่องที่ยากและยาวขึ้น ควรมีภาพประกอบและมีหลายรส หลายรูปแบบ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 54 - 55) ได้สรุปหลักในการ สร้างแบบฝึกว่าต้องมีการกำหนดเงื่อนไขที่จะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนสามารถผ่านลำดับขั้นตอนของ ทุกหน่วยการเรียนได้ ถ้านักเรียนได้เรียนตามอัตราการเรียนของตนก็จะทำให้นักเรียนประสบความสำเร็จ มากขึ้น 2.5 ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 61 - 62) ได้กำหนด ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะได้ดังนี้ 1. คู่มือการใช้แบบฝึก เป็นเอกสารสำคัญประกอบการใช้แบบฝึก ว่าใช้ เพื่ออะไรและมีวิธีใช้อย่างไร เช่น ใช้เป็นงานฝึกท้ายบทเรียน ใช้เป็นการบ้าน หรือใช้สอนซ่อมเสริม ประกอบด้วย - ส่วนประกอบของแบบฝึก จะระบุว่าในแบบฝึกชุดนี้ มีแบบฝึกทั้งหมด กี่ชุด อะไรบ้าง และมีส่วนประกอบอื่น ๆ หรือไม่ เช่น แบบทดสอบ หรือแบบบันทึกผล การประเมิน - สิ่งที่ครูหรือนักเรียนต้องเตรียม (ถ้ามี) จะเป็นการบอกให้ครูหรือ นักเรียนเตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้าก่อนเรียน - จุดประสงค์ในการใช้แบบฝึก
11 - ขั้นตอนในการใช้ บอกข้อตามลำดับการใช้ และอาจเขียน ในรูปแบบของแนวการสอนหรือแผนการสอนจะชัดเจนยิ่งขึ้น - เฉลยแบบฝึกในแต่ละชุด 2. แบบฝึก เป็นสื่อที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนฝึกทักษะ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ที่ถาวรควรมีองค์ประกอบ ดังนี้ - ชื่อชุดฝึกในแต่ละชุดย่อย - จุดประสงค์ - คำสั่ง - ตัวอย่าง - ชุดฝึก - ภาพประกอบ - ข้อทดสอบก่อนและหลังเรียน - แบบประเมินบันทึกผลการใช้ 2.6 รูปแบบการสร้างแบบฝึกทักษะ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 62 - 64) ได้เสนอแนะรูปแบบ การสร้างแบบฝึก โดยอธิบายว่าการสร้างแบบฝึกรูปแบบก็เป็นสิ่งสำคัญในการที่จะจูงใจให้ผู้เรียนได้ทดลอง ปฏิบัติแบบฝึกจึงควรมีรูปแบบที่หลากหลาย มิใช่ใช้แบบเดียวจะเกิดความจำเจน่าเบื่อหน่าย ไม่ท้าทายให้ อยากรู้อยากลองจึงขอเสนอรูปแบบที่เป็นหลักใหญ่ไว้ก่อน ส่วนผู้สร้างจะนำไปประยุกต์ใช้ ปรับเปลี่ยน รูปแบบอื่น ๆ ก็แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคน ซึ่งจะเรียงลำดับจากง่ายไปหายาก ดังนี้ 1. แบบถูกผิด เป็นแบบฝึกที่เป็นประโยคบอกเล่า ให้ผู้เรียนอ่านแล้วใส่ เครื่องหมายถูกหรือผิดตามดุลยพินิจของผู้เรียน 2. แบบจับคู่ เป็นแบบฝึกที่ประกอบด้วยตัวคำถามหรือตัวปัญหา ซึ่งเป็นตัวยืนไว้ ในสดมภ์ซ้ายมือ โดยมีที่ว่างไว้หน้าข้อเพื่อให้ผู้เรียนเลือกหาคำตอบที่กำหนดไว้ในสดมภ์ขวามือมาจับคู่กับ คำถามให้สอดคล้องกัน โดยใช้หมายเลขหรือรหัสคำตอบไปวางไว้ที่ว่างหน้าข้อความหรือจะใช้การโยงเส้น ก็ได้ 3. แบบเติมคำหรือเติมข้อความ เป็นแบบฝึกที่มีข้อความไว้ให้ แต่จะเว้นช่องว่าง ไว้ให้ผู้เรียนเติมคำหรือข้อความที่ขาดหายไป ซึ่งคำหรือข้อความที่นำมาเติมอาจให้เติมอย่างอิสระหรือ กำหนดตัวเลือกให้เติมก็ได้ 4. แบบหมายตัวเลือก เป็นแบบฝึกเชิงแบบทดสอบ โดยจะมี 2 ส่วน คือส่วนที่ เป็นคำถาม ซึ่งจะต้องเป็นประโยคคำถามที่สมบูรณ์ ชัดเจนไม่คลุมเครือ ส่วนที่ 2 เป็นตัวเลือก คือคำตอบ ซึ่งอาจจะมี 3-5 ตัวเลือกก็ได้ ตัวเลือกทั้งหมดจะมีตัวเลือกที่ถูกที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวส่วนที่เหลือเป็นตัว ลวง 5. แบบอัตนัย คือความเรียงเป็นแบบฝึกที่ตัวคำถาม ผู้เรียนต้องเขียนบรรยาย ตอบอย่างเสรีตามความรู้ความสามารถ โดยไม่จำกัดคำตอบ แต่กำจัดคำตอบ แต่จำกัดในเรื่องเวลา อาจใช้ คำถามในรูปทั่ว ๆ ไป หรือเป็นคำสั่งให้เขียนเรื่องราวต่าง ๆ ก็ได้
12 2.7 ขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 65) ได้เสนอแนะการสร้างแบบฝึกว่า ขั้นตอนการสร้างแบบฝึก จะคล้ายคลึงกับการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาประเภทอื่นๆ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1. วิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น - ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะทำการสอน - ปัญหาการผ่านจุดประสงค์ของนักเรียน - ผลจากการสังเกตพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2. ศึกษารายละเอียดในหลักสูตร เพื่อวิเคราะห์เนื้อหา จุดประสงค์และกิจกรรม 3. พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้อ 1 โดยการสร้างแบบฝึก และเลือกเนื้อหาในส่วนที่จะสร้างแบบฝึกนั้น ว่าจะทำเรื่องใดบ้าง กำหนดเป็นโครงเรื่องไว้ 4. ศึกษารูปแบบของการสร้างแบบฝึกจากเอกสารตัวอย่าง 5. ออกแบบชุดฝึกแต่ละชุดให้มีรูปแบบที่หลากหลายน่าสนใจ 6. ลงมือสร้างแบบฝึกในแต่ละชุด พร้อมทั้งข้อทดสอบก่อนและหลังเรียนให้ สอดคล้องกับเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ 7. ส่งให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ 8. นำไปทดลองใช้ แล้วบันทึกผลเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขส่วนที่บกพร่อง 9. ปรับปรุงจนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 10. นำไปใช้จริงและเผยแพร่ต่อไป ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 21) ได้อธิบายขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะ ดังนี้ 1. ศึกษาเนื้อหาสาระสำหรับการจัดทำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะ 2. วิเคราะห์เนื้อหาสาระโดยละเอียดเพื่อกำหนดจุดประสงค์ในการจัดทำ 3. ออกแบบการจัดทำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะตามจุดประสงค์ 4. สร้างแบบฝึกหัด และแบบฝึกทักษะและส่วนประกอบอื่นๆ เช่น 4.1 แบบทดสอบก่อนฝึก 4.2 บัตรคำสั่ง 4.3 ขั้นตอนกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องปฏิบัติ 4.4 แบบทดสอบหลังฝึก 5. นำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6. ปรับปรุงพัฒนาให้สมบูรณ์
13 2.8 แนวคิดหลักการที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะ อกนิษฐ์ กรไกร (2549 : 17) ได้ดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะ ยึดหลักให้นักเรียนได้ เรียนรู้ด้วยตนเองตามศักยภาพของแต่ละบุคคล ในความคาดหวัง ต้องการให้เด็กที่ใช้แบบฝึกทักษะมี พฤติกรรม ดังนี้ 1. Active Responding ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนอย่างกระฉับกระเฉง ไม่ว่าจะเป็นคิดในใจหรือแสดงออกมาด้วยการพูดหรือเขียน นักเรียนอาจเขียนรูปภาพเติมคำแต่งประโยค หรือหาคำตอบในใจ 2. Minimal Error ในการเรียนแต่ละครั้งเราหวังว่า นักเรียนจะตอบคำถามได้ ถูกต้องเสมอ แต่ในกรณีที่นักเรียนตอบคำถามผิด นักเรียนควรมีโอกาสฝึกฝนและเรียนรู้ในสิ่งที่เขาทำผิด เพื่อไปสู่คำตอบที่ถูกต้องต่อไป 3. Knowledge of Results เมื่อนักเรียนสามารถตอบถูกต้องเขาควรได้รับ เสริมแรง ถ้านักเรียนตอบผิดเขาควรได้รับการชี้แจง และให้โอกาสที่จะแก้ไขให้ถูกต้องเช่นเดียวกับ ประสบการณ์ที่เป็นความสำเร็จสำหรับมนุษย์แล้ว เพียงได้รู้ว่าทำอะไรสำเร็จก็ถือเป็นการเสริมแรง ในตัวเอง 4. Small Step การเรียนจะต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ไปทีละน้อยด้วย ตนเอง โดยให้ความรู้ตามลำดับขั้นและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนใคร่ครวญตามซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเรียนรู้ของ เด็กอย่างมาก แม้ที่เรียนอ่อนก็จะสามารถเรียนได้ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 54 - 55) ได้อธิบายแนวคิดและ หลักการสร้างแบบฝึกว่า การศึกษาในเรื่องจิตวิทยาการเรียนรู้ เป็นสิ่งที่ผู้สร้างแบบฝึกมิควรละเลยเพราะ การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับปรากฏการณ์ของจิตและพฤติกรรมที่ตอบสนองนานาประการ โดย อาศัยกระบวนการที่เหมาะสมและเป็นวิธีที่ดีที่สุด การศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้จากข้อมูลที่นักจิตวิทยาได้ทำ การค้นพบ และทดลองไว้แล้ว สำหรับการสร้างแบบฝึกในส่วนที่มีความสัมพันธ์กันดังนี้ 1. ทฤษฎีการลองถูกลองผิดของธอร์นไดค์ ซึ่งได้สรุปเป็นกฎเกณฑ์การเรียนรู้ 3 ประการ คือ 1.1 กฎความพร้อม หมายถึง การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลพร้อมที่จะกระทำ 1.2 กฎผลที่ได้รับ หมายถึง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเพราะบุคคลกระทำซ้ำง่าย 1.3 กฎการฝึกหัด หมายถึง การฝึกหัดให้บุคคลทำกิจกรรมต่าง ๆ นั้น ผู้ฝึก จะต้องควบคุมและจัดสภาพการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของตนเอง บุคคลจะถูกกำหนดลักษณะ พฤติกรรมที่แสดงออก ดังนั้น ผู้สร้างแบบฝึกจึงจะต้องกำหนดกิจกรรมตลอดจนคำสั่งต่าง ๆ ใบแบบฝึกให้ผู้ฝึกได้ แสดงพฤติกรรมสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่ผู้สร้างต้องการ 2. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์ ซึ่งมีความเชื่อว่า สามารถควบคุมบุคคล ให้ทำตามความประสงค์หรือแนวทางที่กำหนดโดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกทางด้านจิตใจของบุคคลผู้นั้น ว่าจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร เขาจึงได้ทดลองและสรุปว่าบุคคลสามารถเรียนรู้ด้วยการกระทำโดยมีการ เสริมแรงเป็นตัวการ เป็นบุคคลตอบสนองการเร้าของสิ่งเร้าควบคู่กันในช่วงเวลาที่เหมาะสม สิ่งเร้านั้นจะ รักษาระดับหรือเพิ่มการตอบสนองให้เข้มขึ้น 3. วิธีการสอนของกาเย่ ซึ่งมีความเห็นว่าการเรียนรู้มีลำดับขั้น และผู้เรียนจะต้อง เรียนรู้เนื้อหาที่ง่ายไปหายาก การสร้างแบบฝึก จึงควรคำนึงถึงการฝึกตามลำดับจากง่ายไปหายาก
14 4. แนวคิดของบลูม ซึ่งกล่าวถึงธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความแตกต่าง กันผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาในหน่วยย่อยต่างๆ ได้โดยใช้เวลาเรียนที่แตกต่างกัน 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ คุณลักษณะ รวมถึง ความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็นผล มาจาก การเรียนการสอน หรือ มวลประสบการณ์ทั้งปวงที่บุคคลได้รับจากการเรียนการสอน ทำให้บุคคล เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการ ตรวจสอบระดับความสามารถสมองของบุคคล เรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใดมากน้อย เท่าไรตลอดจนผลที่เกิดขึ้นจาก การเรียนการสอนการฝึกฝน หรือประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งที่โรงเรียน ที่บ้าน และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ รวมทั้งความรู้สึก ค่านิยม จริยธรรมต่าง ๆ ก็เป็นผลมาจากการฝึกฝนด้วย 3.2 จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สุภาพ วาดเขียน (2525 : 176) และไพศาล หวังพาณิช (2523 : 137) ได้กล่าวว่าจุดมุ่งหมาย ของการวัดผลสัมฤทธิ์ เป็นการตรวจสอบระดับความสามารถของสมรรถภาพทางสมองของบุคคลว่าเรียนรู้ อะไรบ้าง และมีความสามารถในด้านใดมากน้อยแค่ไหน เช่น มีพฤติกรรมด้านความจำ ความเข้าใจ การ นำไปใช้ การสังเคราะห์ และการประเมินค่ามากน้อยอยู่ในระดับใดนั้นคือ การวัดผลสัมฤทธิ์เป็นการ ตรวจสอบพฤติกรรมของผู้เรียนในด้านพุทธิพิสัยนั้นเอง ซึ่งเป็นการวัด 2 องค์ประกอบตามจุดมุ่งหมายใน ลักษณะของเนื้อหาวิชาที่เรียน คือ 1. การวัดด้านปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบความรู้ ความสามารถทางปฏิบัติ โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติจริงให้เห็นเป็นผลงานปรากฏออกมา ให้ทำการสังเกตและวัดได้ เช่น วิชาศิลปศึกษา พลศึกษา การ ช่าง ฯลฯ การวัดแบบนี้จึงต้องวัดโดยใช้ข้อสอบภาคปฏิบัติ ซึ่งการประเมินผลจะพิจารณาที่วิธีปฏิบัติและ ผลที่ปฏิบัติ 2. การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจสอบความรู้ ความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชารวมทั้ง พฤติกรรมความสามารถด้านต่างๆ อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน ที่สามารถวัดได้โดยใช้ข้อสอบวัดผล สัมฤทธิ์ 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ (2536 : 146 – 147 )กล่าวว่าเครื่องมือในการวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (achivement tests) หมายถึงแบบทดสอบที่วัดปริมาณ ความรู้ความสามารถ ทักษะเกี่ยวกับด้านวิทยาการที่นักเรียนได้เรียนรู้มาในอดีต ว่ารับรู้ได้มากน้อยเพียงใด แบบทดสอบประเภทนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (teacher made test) เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเฉพาะคราว เพื่อใช้ทดสอบผลสัมฤทธิ์ และความสามารถทางวิชาการของนักเรียนมีที่ได้เรียนในห้องเรียน ว่านักเรียนมี ความรู้มากแค่ไหน บกพร่องที่ตรงไหนจะได้ซ่อมเสริม หรือวัดดูความพร้อมที่จะขึ้นบทเรียนใหม่ ใช้กัน ทั่วไปในสถาบันการศึกษา แบบทดสอบประเภทนี้สอบเสร็จก็ทิ้งไป จะสอบใหม่ก็สร้างขึ้นใหม่ หรือนำเอา ของเก่ามาเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีวิธีการอะไรเป็นหลักในการปรับปรุง ไม่มีการวิเคราะห์ว่าข้อสอบนั้นดี หรือไม่ดีแต่ประการใด
15 2. แบบทดสอบมาตรฐาน (standardized test) เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ ละสาขาวิชาหรือจากครูสอนวิชานั้นและมีกระบวนการ หรือวิธีการที่ซับซ้อนมากกว่าแบบทดสอบที่ครู สร้างขึ้นเอง เมื่อสร้างเสร็จก็มีการนำไปทดลองสอบ แล้วนำผลมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติหลายครั้ง หลายหน เพื่อปรับปรุงให้มีคุณภาพดี มีความเป็นมาตรฐานซึ่งแบบทดสอบมาตรฐานนี้จะมีความเป็น มาตรฐานอยู่ 2 ประการ คือ 2.1 มาตรฐานในการดำเนินการสอบ หมายความว่า แบบทดสอบนี้ไม่ว่าจะนำไปใช้ เมื่อไหร่ก็ตาม คำชี้แจง คำบรรยาย การดำเนินการสอบจะเหมือนกันทุกครั้งไป จะไม่มีการควบคุมตัวแปร ต่างๆ ที่ทำให้คะแนนคลาดเคลื่อน เช่นผู้คุมสอบ การจัดชั้น การจัดชั้นเรียน การใช้คำสั่ง เป็นต้น กระบวนการประเภทนี้ จึงต้องมีคำชี้แจงในการใช้ข้อสอบอยู่ด้วย 2.2 มาตรฐานในการแปลความหมายของคะแนน ไม่ว่าจะสอบที่ไหน เมื่อไหร่ก็ตามก็ ต้องแปลคะแนนได้เหมือนกัน ฉะนั้นข้อสอบประเภทนี้จึงต้องมีเกณฑ์ปกติ 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 งานวิจัยภายในประเทศ จิตสุดา ไขว้วงค์ (2551 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยการพัฒนาชุดฝึกทักษะการคิดสร้างสรรค์ สำหรับนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือนักศึกษาชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านนารังกา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 ผลการวิจัพบว่า 1. ชุดฝึกทักษะการคิดสร้างสรรค์ นักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมี ประสิทธิภาพ 90.35/87.63 2. ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ของ นักศึกษาหลังการฝึกด้วย ชุดฝึกทักษะ การคิดสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนใช้ชุดฝึกทักษะการคิดสร้างสรรค์อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 ชูศักดิ์ สุระประวัติวงศ์ (2551 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยการพัฒนาชุดฝึกทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 19 คน ที่โรงเรียนบ้าน หนองไฮ ในเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 ผลการวิจัยพบว่า ชุดฝึกทักษะมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 87.04/86.84 คะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนร้อยละ 20 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 สุพัตรา สัตยากูล (2552: บทคัดย่อ) ได้วิจัยการพัฒนาชุดฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5ผลการวิจัยพบว่า ชุดฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ 83.14/82.58 2. นักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนด้วยชุดฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จริยา พงษ์ศิริรักษ์ (2548: บทคัดย่อ) ได้วิจัยการพัฒนาชุดฝึกทักษะการคิดแบบองค์รวมของ นักศึกษาช่างอุตสาหกรรม ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาไฟฟ้ากำลัง จำนวน 30 คน มีคะแนนเฉลี่ย ผลสัมฤทธิ์กลุ่มทดลองหลังการฝึกกิจกรรม พัฒนาทักษะการคิดแบบองค์รวมสูงกว่าก่อนฝึกกิจกรรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ทัยรัตน์ ทาเพชร (2546: บทคัดย่อ) ได้วิจัยการพัฒนาชุดฝึกทักษะการทบทวนโจทย์ปัญหาวิชา คณิตศาสตร์ สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 375โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง นักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 32 คน จาก 2 โรงเรียน ในอำเภอปทุมรัตน์ สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด คือ
16 โรงเรียนบ้านม่วง จำนวน 12 คน เพื่อทดลองใช้ชุดฝึกทักษะ และโรงเรียนบ้านตาจ่อยหนองสระ จำนวน 20 คน ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิภาพ 85.12/76.67 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ที่ตั้งไว้ประภาวดี แก่น จันทร์หอม (2550: บทคัดย่อ) การพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญภาษาไทย สำหรับ นักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่าชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญภาษาไทย สำหรับ นักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพรวมอยู่ในเกณฑ์85.90/85.38ผลสัมฤทธิ์ด้าน ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญภาษาไทยก่อนเรียนกับหลังเรียนของ16นักศึกษากลุ่มที่เรียน โดยการ สอนแบบปกติในทุกด้าน มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 4. ราตรี นางาม (2551: บทคัดย่อ) ได้วิจัยการพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านภาษาไทยเพื่อจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองไฮ กลุ่มเครือข่ายโพนทองหนอง ไฮ ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาอ านาจเจริญ จังหวัดอ านาจเจริญ จำนวน42 คนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ อ่านจับใจความสูงกว่าก่อนใช้ชุดฝึกทักษะอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นงค์นิตย์ บุญชัยโย (2551: บทคัดย่อ) ได้วิจัยการพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านภาษาไทยเพื่อจับ ใจความสำหรับนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ นักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนบ้านโพธิ์ อำเภอวารินช าราบ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 4 มี นักศึกษาจำนวน 30 คนมี ประสิทธิภาพ เท่ากับ 87.83/84.16 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ 80/80 2.นักศึกษาที่เรียนด้วย ชุดฝึกทักษะการอ่านภาษาไทยเพื่อจับใจความ มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สุคนธ์ ยั่งยืน (2549: บทคัดย่อ) ได้วิจัยการพัฒนาชุดฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนดำรงสินอุทิศ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา อุบลราชธานี เขต 5 ที่ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2548 จำนวน 30 คนมีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.67/83.25 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักศึกษาชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 ที่เรียน โดยใช้ชุดฝึกทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 อุไรวรรณ์ บุญล้อม(2550 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยการพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านภาษาไทยเพื่อจับ ใจความของนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า ชุดฝึกทักษะการอ่านภาษาไทยเพื่อจับ ใจความของนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 88.30/84.85 หลังการใช้ชุดฝึก ทักษะการอ่านภาษาไทยเพื่อจับใจความ นักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับ ใจความสูงกว่าก่อนใช้ชุดฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4.2 งานวิจัยต่างประเทศ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชุดฝึกทักษะในต่างประเทศมีดังต่อไปนี้ Lawrance and Hayden (1972: 67 – 72) ได้ศึกษาการวิจัยการใช้ชุดฝึกทักษะหรือชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 87 คนพบว่านักศึกษาที่ได้ ใช้ชุดฝึกเสริมทักษะมีคะแนนทดสอบหลังทำ ชุดฝึกเสริมทักษะมากกว่าคะแนนก่อนท าชุดฝึกเสริมทักษะและทำข้อสอบหลังการทำชุดฝึกเสริมทักษะได้ ถูกต้องเฉลี่ยร้อยละ 98.80
17 Romain (1975 : 244) ได้ศึกษาเรื่องการใช้ชุดฝึกทักษะกับการสอนปกติในวิชาคณิตศาสตร์ ของนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลปรากฏว่าการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะให้ได้ผลดีกว่าการสอนปกติ ทั้งในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเจตคติต่อวิชาเรียน Tomas(1976 : 6320) ได้ทดลองสอนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัย โดยใช้วิธีการ สอนโดยแบ่งนักศึกษาออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกครูจัดสอนเป็นรายบุคคลและใช้ชุดฝึกทักษะ ผลปรากฏ ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน Lowrey (1987 : 817 – A) ได้ศึกษาผลการใช้ชุดฝึกทักษะกับนักศึกษา ม.1-3 จำนวน 87 คน ผลการศึกษาพบว่า มีคะแนนทดสอบหลังท าชุดฝึกเสริมทักษะมากกว่าคะแนนก่อนทำชุดฝึกเสริม ทักษะและทำข้อสอบหลังการทำชุดฝึกเสริมทักษะได้ถูกต้องเฉลี่ยร้อยละ 89.80 ชุดฝึกทักษะเป็นคีย์ ดใการช่วยทำให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้น Rosaline (1995 : 1235) ได้ทดลองสอนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัยโดยใช้ชุดฝึก ทักษะกับวิธีการสอนแบบปกติ ผลปรากฏว่าความก้าวหน้าของการเรียนทั้งสองวิธีไม่แตกต่างกัน จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชุดฝึกทักษะทั้งในประเทศและต่างประเทศสรุป ได้ว่า ชุดฝึกทักษะมีประสิทธิภาพสามารถทำให้นักเรียนเรียนด้วยตนเองได้และจากการเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน นักเรียนที่เรียนจากชุดฝึกทักษะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่า นักเรียนที่เรียนจากการสอนปกติ จึงสมควรที่จะทำการวิจัยเกี่ยวกับสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะให้มากขึ้นเพื่อ ประโยชน์ต่อนักเรียนในวิชาต่าง ๆ
18 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 วิชาวิทยาการ คำนวณ เรื่องขั้นตอนวิธี โดยใช้ชุดฝึกทักษะ เป็นการวิจัยในชั้นเรียนเพื่อแก้ปัญหามี วัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณ เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา สำหรับนักเรียนที่มีผล การเรียนต่ำเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนกับหลังเรียนโดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ และผู้วิจัยดำเนินการศึกษาค้นคว้าตามลำดับดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิขัย 3. วิธีการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ 4. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากร ประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดผลาหาร ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวนรวม 21 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แบบฝึกทักษะเรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี วิชาวิทยาการคำนวณ 4 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน(หลังเรียน)วิชาวิทยาการคำนวณ เรื่อง ขั้นตอนวิธีการ แก้ปัญหา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งเป็นแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ วิธีการสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือในการศึกษาตามลำดับ ดังนี้ 1. แบบฝึกทักษะ เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี วิชาวิทยาการคำนวณ 4 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยกำหนดขั้นตอนไว้ดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักสูตร ค้นคว้าข้อมูล คู่มือการจัดการเรียนรู้ หลักสูตรโรงเรียนวัด ผลาหารพุทธศักราช 2566 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง 2560) เกี่ยวกับการจัดทำหน่วยการเรียนรู้ 1.2 ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทำแบบฝึกทักษะเรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิชาวิทยาการคำนวณ 4 ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 จากตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน
19 1.3 ดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะเรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิชาวิทยาการคำนวณ 4 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 21 ชุด 1.4 แบบแบบฝึกทักษะนี้ ประกอบไปด้วย 3 ชุดแบบฝึก ดังนี้ แบบฝึกทักษะเรื่องปัญหา แบบฝึกทักษะผังงานซื้อขนม แบบฝึกทักษะการเขียนผังงาน flowchart 1.5 นำแบบฝึกทักษะพร้อมแบบประเมินที่สร้างขึ้น เสนอผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของบทเรียน จำนวน 3 ท่าน 1.6 ตรวจสอบ แก้ไข ปรับปรุง จากผลการประเมินตามข้อเสนอแนะของ ผู้เชี่ยวชาญ 1.7 นำแบบฝึกทักษะเรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) กลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิชาวิทยาการคำนวณ 4 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ไปใช้กับกับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดผลาหาร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ที่เป็นประชากร จำนวน 21 คน 2. การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยมีวิธีการสร้างและหาคุณภาพแบบทดสอบ ดังนี้ 2.1 ศึกษาหนังสือ เอกสาร ตำรา แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และกำหนดจุดมุ่งหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 (ปรับปรุง 2560) มาตรฐานการเรียนรู้ วิชาวิทยาการคำนวณ ตัวชี้วัด จุดประสงค์การเรียนรู้ คู่มือการจัดการ เรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยสร้างแบบทดสอบชนิด ปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ ในแต่ละข้อมีคำตอบที่ถูกต้องเพียง 1 คำตอบ ตอบ ถูก กำหนดค่าคะแนนให้ 1 คะแนน และตอบผิดหรือไม่ตอบกำหนดค่าคะแนนให้ 0 คะแนน 2.4 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่สร้างเสร็จแล้ว ขึ้นเสนอ ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยวิธีอาศัยดุลยพินิจของผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบมีจำนวน 3 ท่าน โดยพิจารณาความสอดคล้องของข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ และให้คะแนนดังนี้ +1 เมื่อแน่ใจว่า ข้อสอบข้อนั้นเป็นตัวแทนทดสอบเนื้อหา เรื่อง ขั้นตอนวิธีการ แก้ปัญหา (Algorithm) 0 เมื่อไม่แน่ใจว่า ข้อสอบข้อนั้นเป็นตัวแทนทดสอบเนื้อหา ขั้นตอนวิธีการ แก้ปัญหา (Algorithm) -1 เมื่อแน่ใจว่า ข้อสอบข้อนั้นไม่เป็นตัวแทนทดสอบเนื้อหา ขั้นตอนวิธีการ แก้ปัญหา (Algorithm)
20 2.5 นำคะแนนผลการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง คำถามกับจุดประสงค์โดยใช้สูตรของโรวิเนลลีและแฮมแบลตัน (Rowinelli and Hambleton 1977, อ้างใน บุญชม ศรีสะอาด 2545 : 64-65) จากสูตร IOC = R N เมื่อ IOC หมายถึง ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบข้อนั้นกับเนื้อหาที่จะสอบ R หมายถึง ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเนื้อหาทั้งหมด N หมายถึง จำนวนผู้เชี่ยวชาญ ถ้าค่าดัชนี IOC ที่คำนวณได้มากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 ถือว่าข้อสอบนั้นเป็นตัวแทนของมโนมติที่จะ ทดสอบ ถ้าข้อเสนอข้อนั้นมีค่าดัชนี IOC ต่ำกว่า 0.5 ข้อทดสอบนั้นถูกตัดออกไปหรือปรับปรุงแก้ไขใหม่ ให้ดีขึ้น ซึ่งได้ข้อสอบทั้งหมด 10 ข้อ 2.6 ตรวจสอบ แก้ไข ปรับปรุง จากผลการประเมินตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ 2.7 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผ่านการตรวจสอบแก้ไขและปรับปรุง แล้ว จำนวน 10 ข้อ หาประสิทธิภาพของแบบทดสอบ โดยการวิเคราะห์ข้อสอบรายข้อ คำนวณความยาก ง่าย (p) และอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบ 2.8 คัดเลือกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีค่าความยากง่าย อยู่ระหว่าง 0.20–0.80 และค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป ได้แบบทดสอบจำนวน 10 ข้อ เพื่อหาค่าความ เชื่อมั่นโดยใช้สูตร เพียร์สัน 2.9 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดผลาหาร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 21 คน วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ ขั้นเตรียมการสอน ผู้วิจัยชี้แจงให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทราบถึงวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพื่อให้นักเรียนทุกคนได้เข้าใจตรงกัน และปฏิบัติกิจกรรมได้อย่างถูกต้อง ขั้นดำเนินการสอน ผู้วิจัยดำเนินการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเองตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นระยะเวลา 4 ชั่วโมง ดังนี้ 1. ก่อนทำการสอนผู้วิจัยทำการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) ซึ่งใช้แบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนจำนวน 10 ข้อ กับนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 2. ดำเนินการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะเรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) ใช้เวลา สอนทั้งหมด 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง
21 ขั้นสิ้นสุดการสอน 1. ผู้วิจัยทำการทดสอบหลังเรียน (Post-test) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนจำนวน 10 ข้อ กับนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 2. นำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณ มาตรวจให้คะแนนตาม เกณฑ์ที่กำหนดไว้ การวิเคราะห์ข้อมูล 1. การหาคุณภาพของเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล 1.1 การหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ของการ ประเมิน (IOC) สำหรับ ผู้เชี่ยวชาญ (สมนึก ภัทธิยธนี. 2544 : 221) โดยพิจารณาคัดเลือกเฉพาะข้อสอบ ที่มีค่าดัชนีตั้งแต่ 0.50 ถึง 1.00 1.2 การหาค่าคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ดังนี้ 1.2.1 ค่าความยาก (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1.2.2 หาค่าความเชื่อมั่นแบบคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson) โดยใช้สูตรKR-20 2. การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ 2.1 หาค่าสถิติพื้นฐานคะแนนจากการทำแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.2 วิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ก่อนเรียน และหลังเรียน โดยใช้การทดสอบ t-test แบบ Dependent Samples สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติพื้นฐาน 1.1 ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (mean) โดยคำนวณจากสูตร (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ.2538: 73) N x x = เมื่อ x แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนน x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด 1.2การหาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยคำนวณจากสูตร (ล้วน สายยศ และอังคณาสายยศ. 2538:39) S.D. = N x 2 - ( x ) ² N (N-1)
22 เมื่อ S.D. แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด x 2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง N แทน จำนวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง 2. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ 2.1 การหาค่าดัชนีความเที่ยงตรงของแบบทดสอบทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน วิชาวิทยาการคำนวณโดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างคำถามกับพฤติกรรมที่ต้องการจะวัด (พวงรัตน์ ทวีรัตน์. 2534: 124) IOC = R N เมื่อ IOC หมายถึง ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบข้อนั้นกับเนื้อหาที่จะสอบ R หมายถึง ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเนื้อหาทั้งหมด N หมายถึง จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 2.2. การหาค่าอำนาจจำแนก (B) ของแบบทดสอบแต่ละข้อ ใช้สูตรของ Brennan (บุญชม ศรีสะอาด 2545 : 90) สูตรคำนวณ D = 2 N Ru − RL เมื่อ D แทน ค่าอำนาจจำแนก Ru แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มเก่ง RL แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มอ่อน N แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มเก่งและกลุ่มอ่อน 2.3. การหาค่าความยากง่าย (p) สูตรคำนวณ P = N R เมื่อ P แทน ค่าความยากง่าย R แทน จำนวนคนที่ทำข้อนั้นถูก N แทน จำนวนคนที่ทำข้อนั้นทั้งหมด 2.4 หาค่าความเชื่อมั่น (reliability) การตรวจสอบความเชื่อมั่นแบบอิงกลุ่ม วิธีแบบสอบซ้ำ หาได้จากได้สูตรที่ใช้ในการหาค่าสหสัมพันธ์ของ เพียร์สัน สูตร rXY = − − − 2 2 2 2 N X ( X ) N Y ( Y) N XY X Y
23 เมื่อ rXY แทน สัมประสิทธิ์ของความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ N แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง X แทน คะแนนจากการสอบครั้งแรก Y แทน คะแนนจากการสอบครั้งหลัง 3. สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน 3.1 การทดสอบสมมติฐาน “โดยใช้ค่าทางสถิติt - test for Dependent Sample (ประคอง กรรณสูต. 2542: 115) D t = (N 1) 2 ( D) 2 N D − − เมื่อ D แทน ความแตกต่างระหว่างคะแนนแต่ละคู่ N แทน จำนวนคน Df แทน ความเป็นอิสระมีค่าเท่ากับ N-1 4. การคำนวณหาประสิทธิภาพ การคำนวณหาประสิทธิภาพ คือ การหาค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และประสิทธิภาพของ ผลลัพธ์ (E2) ซึ่งมีแนวทางการคำนวณ ดังนี้ 1. การคำนวณหาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) x100 NxA X E 1 1 = เมื่อ E1 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ X1 คือ คะแนนรวมของแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมในบทเรียน A คือ คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมในบทเรียน N คือ จำนวนผู้เรียน 2. การคำนวณหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) x100 NxB X E 2 2 = เมื่อ E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ X2 คือ คะแนนรวมของแบบทดสอบหลังรียน B คือ คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน N คือ จำนวนผู้เรียน
24 การยอมรับประสิทธิภาพ 1. สูงกว่าเกณฑ์ คือ ตั้งเกณฑ์ E1 / E2 ไว้ แล้วได้ค่าประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เช่น ตั้งเกณฑ์ มาตรฐานไว้ 90/90 แล้วคำนวณค่าประสิทธิภาพบทเรียนสำเร็จรูปได้ 95/95 2. เท่าเกณฑ์ คือ ตั้งเกณฑ์ E1 / E2 ไว้ แล้วได้ค่าประสิทธิภาพเท่ากับเกณฑ์ที่ตั้งไว้พอดี เช่น ตั้งเกณฑ์ มาตรฐานไว้ 90/90 แล้วคำนวณค่าประสิทธิภาพบทเรียนสำเร็จรูปได้ 90/90 3. ต่ำกว่าเกณฑ์ คือ ตั้งเกณฑ์ E1 / E2 ไว้แล้วได้ค่าประสิทธิภาพต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ไม่เกิน + 2.5 %
25 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากการรวบรวมผลการวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 วิชาวิทยาการคำนวณ เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา โดยใช้แบบฝึกทักษะ เสนอผลการวิจัยดังนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยใช้สัญลักษณ์ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ X แทน คะแนนทดสอบก่อนเรียน Y แทน คะแนนทดสอบหลังเรียน D แทน ผลต่างระหว่างคะแนนทดสอบก่อนเรียนและคะแนนทดสอบหลังเรียน D 2 แทน ผลต่างระหว่างคะแนนทดสอบก่อนเรียนและคะแนนทดสอบหลังเรียนยกกำลังสอง n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนน S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) t แทน ค่าพิจารณาในการแจกแจงแบบทีใน (t – distribution) * แทน ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 E1 แทน คะแนนรวมเฉลี่ยร้อยละของคะแนนการปฏิบัติกิจกรรมจากแบบฝึกทักษะ E2 แทน คะแนนรวมเฉลี่ยร้อยละของคะแนนการทดสอบหลังเรียน x
26 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลและแปรความหมายข้อมูลเป็นดังนี้ 1. ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังโดยใช้แบบฝึก ทักษะ เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) คน ที่ คแนนก่อนเรียน 10 คะแนน คะแนนหลัง เรียน 10 คะแนน 1 1 8 2 4 8 3 4 9 4 3 8 5 3 9 6 1 8 7 5 9 8 2 8 9 1 8 10 4 8 11 4 9 12 3 8 13 3 9 14 1 8 15 5 7 16 2 6 17 3 7 18 1 8 19 5 9 20 2 8 20 1 8 รวม 58 170 เฉลี่ย 2.76 8.10 S.D. 1.45 0.77 ร้อย ละ 27.62 80.95 จากตารางที่ 1 คะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) จำนวน 10 ข้อ ที่ผ่านการ ประเมินค่าความสอดคล้องจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว จากผลการทดสอบพบว่าหลังการเรียนโดยใช้แบบ แบบฝึกทักษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) นักเรียนมีค่าเฉลี่ยและร้อยละของคะแนนสูงขึ้น
27 กว่าก่อนเรียนโดยมีค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังเรียน 8.38 (̅=8.10) ร้อยละของคะแนนหลังเรียน 80.95 และค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนเรียน 2.76 ( ̅= 2.76) ร้อยละของคะแนนก่อนเรียน 27.62 แสดงว่า การเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) ช่วยพัฒนาทักษะการคิดเชิง คำนวณของนักเรียน ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ 2. ข้อมูลเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณ ก่อนและหลังที่ได้รับ การจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สถิติ t - test for Dependent Sample ดังนี้ ตารางที่ 2 คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ คนที่ ก่อนเรียน (X) หลังเรียน (Y) คะแนนเพิ่ม (D) 1 1 8 7 2 4 8 4 3 4 9 5 4 3 8 5 5 3 9 6 6 1 8 7 7 5 9 4 8 2 8 6 9 1 8 7 10 4 8 4 11 4 9 5 12 3 8 5 13 3 9 6 14 1 8 7 15 5 7 2 16 2 6 4 17 3 7 4 18 1 8 7 19 5 9 4 20 2 8 6 21 1 8 7 (∑X)=58 (∑Y)=170 ∑D =112
28 ตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ แบบทดสอบ N S.D. T ก่อนเรียน 21 2.76 1.45 12.18 หลังเรียน 21 8.10 0.77 * มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางพบว่า นักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 เป็นไปตาม สมมติฐานที่ตั้งไว้ X
29 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ความมุ่งหมายของการวิจัย เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้สื่อแบบฝึกทักษะ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดผลาหาร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 21 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. แบบฝึกทักษะเรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา (Algorithm) กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิชาวิทยาการคำนวณ 4 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน - หลังเรียนวิชาวิทยาการคำนวณ เรื่อง ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งเป็นแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ สรุปผลการวิจัย 1. แบบประเมินคุณภาพแบบฝึกทักษะ เรื่อง ขั้นตอนวิธีแก้ปัญหา(Algorithm) วิชาวิทยาการ คำนวณ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านคำแนะนำใน การใช้แบบฝึกทักษะ ด้านเนื้อหา ด้านแบบทดสอบ ด้านการออกแบบ ด้านการจัดการ และภาพรวมของ แบบฝึกทักษะอยู่ในระดับ ดีมาก 2. แบบฝึกทักษะเรื่อง ขั้นตอนวิธีแก้ปัญหา(Algorithm) วิชาวิทยาการคำนวณ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ E1/E2 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้คือ 80/80 3. คะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบ ฝึกทักษะ เรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) จำนวน 10 ข้อ มีค่าเฉลี่ยและร้อยละของคะแนน สูงขึ้นกว่าก่อนเรียนโดยมีค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังเรียน 8.38 (̅=8.38) ร้อยละของคะแนนหลังเรียน 83.81 และค่าเฉลี่ยของคะแนนก่อนเรียน 2.76 ( ̅= 2.76) ร้อยละของคะแนนก่อนเรียน 27.62 4. ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนวิชาวิทยาการคำนวณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้รับการ จัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ขั้นตอนวิธีแก้ปัญหา(Algorithm) หลังจากเรียนด้วยการใช้ แบบฝึกทักษะ แล้วนักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
30 อภิปรายผลการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ จะเห็นได้ว่า นักเรียนมีค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ. 01ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้และแบบฝึกทักษะเรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 80.50 / 80.95 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้คือ 80/80 จึงมีความ เหมาะสมที่จะนำแบบฝึกทักษะเรื่องขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) เหมาะสมนำใช้ในการจัดการ เรียนการสอนในวิชาวิทยาการคำนวณต่อไป ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะทั่วไป 1.1 ควรสนับสนุนให้มีการนำแบบฝึกทักษะเกี่ยวกับขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) มาใช้กับการเรียนการสอนมากยิ่งขึ้น 1.2 ควรจัดให้มีการฝึกอบรมวิชาวิทยาการคำนวณให้แก่ครูผู้สอนระดับชั้นอื่นเพื่อครูจะได้ พัฒนากระบวนการเรียนการสอนอันส่งผลถึงความเจริญทางการศึกษาต่อไปในอนาคต 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการสร้างแบบฝึกทักษะ มาใช้กับเนื้อหาสาระการเรียนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีในชั้นอื่น ๆ ต่อไป 2.2 ควรส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัยพัฒนาการนำแนวคิดคำนวณไปช่วยสอนในกลุ่มสาระ การเรียนรู้อื่น ๆ เพิ่มมากยิ่งขึ้น 2.3 การพัฒนาแบบทักษะขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา(Algorithm) ควรเลือกเนื้อหาที่ เหมาะสมกับวัยของเด็กนักเรียนและเป็นเรื่องไม่ยากเกินไป
31 บรรณานุกรม ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ. (2550). แบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ผู้เรียนและการ จัดทำ ผลงานวิชาการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ธารอักษร. บุญชม ศรีสะอาด. (2543). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : สุวิริยาสาส์น. พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2543). วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. พิมลรัตน์ ธนรัตพิมลกุล. (2546). ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูแนะแนวในโรงเรียนขยาย โอกาสทางการศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต, เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรปกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย
32 ภาคผนวก
33 คำชี้แจง 1. ข้อสอบมีทั้งหมด 10 ข้อ 10 คะแนน 2. ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงคำตอบเดียว 1. บุคคลใดที่ไม่ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา ก. ฟ้าใสเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มจึงยังไม่ออกไปเล่นนอกบ้าน ข. ใบหม่อนไม่อยากฟันผุจึงแปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร ค. สุดใจร้องไห้งอแงเพื่อจะให้คุณแม่ซื้อของเล่นให้ ง. ใยไหมต้องการข้ามถนน จึงเดินไปขึ้นสะพานลอย 2. พิจารณาภาพ A และ B ควรเป็นรูปใดตามลำดับ ก. และ ข. และ ค. และ ง. และ 3. ข้อใดมีรูปแบบการจัดเรียงรูปภาพเช่นเดียวกับที่กำหนดให้ ก. ข. ค. ง. แบบทดสอบก่อนเรียน คะแนนที่ได้ 10 A B ขน ั ้ ตอนว ิ ธ ี การแก ้ปั ญหา(Algorithm)
34 4. สัญลักษณ์ ? คือเลขอะไร ก. 8 ข. 7 ค. 6 ง. 5 5. พิจารณาตัวเลขที่กำหนด 1 , 3 , 7 , 13 , 21 , 31 , ….. จำนวนต่อไปควรเป็นข้อใด ก. 36 ข. 40 ค. 43 ง. 52 6. การแก้ปัญหาแบบใดใช้หลักการเดียวกันกับกระบวนการอัลกอริทึมมากที่สุด ก. การบวกลบเลข ข. การวาดภาพแรเงา ค. การท่องบทสวดมนต์ ง. การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ 7. “ต้นข้าวมักจะง่วงนอนเวลาเรียนหนังสือ ต้นข้าวจึงเริ่มหาสาเหตุของความความง่วงนอน” ข้อใดน่าจะ เป็นสาเหตุของปัญหานี้ ก. ต้นข้าวรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ข. ต้นข้าวชอบรับประทานขนมหวาน ค. ต้นข้าวชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์ตอนกลางคืน ง. ต้นข้าวมีสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อนๆ 8. . จากข้อ 7 ต้นข้าวกำลังอยู่ในขั้นตอนใดของอัลกอลิทึม ก. เลือกวิธีการแก้ปัญหาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ข. เรียงลำดับขั้นตอนการแก้ปัญหา ค. คิดวิธีการแก้ปัญหาให้หลากหลาย ง. ทำความเข้าใจปัญหา 7 4 3 ? 4 3 7 2 5
35 พิจารณาผังงานต่อไปนี้ใช้ตอบคาถามข้อ 9 – 10 9. จากผังงาน สัญลักษณ์ ควรใช้สัญลักษณ์ผังงานในข้อใด ก. ข. ค. ง. 10. B ควรเป็นข้อความใด ก. แสดงผล ข. วนซ้ำ ค. สิ้นสุด ง. ถูกต้อง A B C D ใช่ ไม่ใช่ ป้อนข้อมูล เริ่มต้น ป้อนข้อมูล A
36 คำชี้แจง 1. ข้อสอบมีทั้งหมด 10 ข้อ 10 คะแนน 2. ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงคำตอบเดียว 1. บุคคลใดที่สามารถแก้ปัญหาโดยใช้เหตุผลเชิงตรรกะ ก. สุดใจร้องไห้งอแงเพื่อจะให้คุณแม่ซื้อของเล่นให้ ข. ใบหม่อนฝันเห็นตัวเลข จึงไปเลือกซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล ค. ฟ้าใสเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มจึงยังไม่ออกไปเล่นนอกบ้าน ง. ใยไหมอยากได้เสื้อผ้าใหม่เลยใช้กรรไกรตัดของเก่าให้ขาด 2. พิจารณาภาพ A และ B ควรเป็นรูปใดตามลำดับ ก. และ ข. และ ค. และ ง. และ 3.ข้อใดมีรูปแบบการจัดเรียงรูปภาพแตกต่างจากพวก ก. ข. ค. ง. แบบทดสอบหลังเรียน ขน ั ้ ตอนว ิ ธ ี การแก ้ปั ญหา(Algorithm) คะแนนที่ได้ คะแนนเต็ม 10 A B
37 4. สัญลักษณ์ ? คือเลขอะไร ก. 2 ข. 3 ค. 4 ง. 5 5. พิจารณาตัวเลขที่กำหนด 1, 2, 4, 7, 11, 16 , ….. จำนวนต่อไปควรเป็นข้อใด ก. 17 ข. 19 ค. 22 ง. 25 6. การแสดงอัลกอริทึมด้วยข้อความคืออะไร ก. การแสดงลำดับขั้นตอนการทำงาน ข. การสร้างสัญลักษณ์แสดงขั้นตอนการทำงาน ค. การแสดงแผนผังขั้นตอนการทำงาน ง. การแสดงวิธีการแกปัญหาด้วยข้อความ 7. การดำเนินงานหรือการประมวลผลในผังงาน แสดงได้ด้วยสัญลักษณ์ใด ก. ข. ค. ง. 8. . พิจารณาข้อความต่อไปนี้ 1. แสดงขั้นตอนการแก้ปัญหาอย่างชัดเจน 2. แสดงขั้นตอนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ 3. แก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว จากข้อความข้างต้น มีจำนวนกี่ข้อความที่เป็นประโยชน์ของอัลกอริทึม ก. 3 ข้อความ ข. 2 ข้อความ ค. 1 ข้อความ ง. ทุกข้อความไม่ใช่ประโยชน์ของอัลกอริทึม 4 2 2 2 5 ? 2 4 6
38 พิจารณาผังงานต่อไปนี้ใช้ตอบคาถามข้อ 9 – 10 9. จากผังงาน สัญลักษณ์ ควรใช้สัญลักษณ์ผังงานในข้อใด ก. ข. ค. ง. 10. B ควรเป็นข้อความใด ก. แสดงผล ข. วนซ้ำ ค. สิ้นสุด ง. ถูกต้อง A B C D ใช่ ไม่ใช่ ป้อนข้อมูล เริ่มต้น ป้อนข้อมูล A
39 ข้อ คำตอบ ข้อ คำตอบ 1 ค 6 ง 2 ก 7 ก 3 ค 8 ก 4 ข 9 ก 5 ค 10 ค ข้อ คำตอบ ข้อ คำตอบ 1 ค 6 ง 2 ค 7 ค 3 ง 8 ง 4 ข 9 ง 5 ค 10 ค เฉลยแบบทดสอบ ขน ั ้ ตอนว ิ ธ ี การแก ้ปั ญหา(Algorithm) ก่อนเรียน หลังเรียน