ค่มู อื ผู้เลา่ เรอ่ื งธรณี
ไม้ก้ ลายเป็น็ หิินในอุทุ ยานแห่ง่ ชาติิ
จัังหวัดั ตาก
คู่�่ มือื ผู้เ้� ล่่าเรื่อ่� งธรณีี
ไม้้กลายเป็น็ หินิ ในอุุทยานแห่ง่ ชาติิ จังั หวััดตาก
อธิิบดีกี รมทรัพั ยากรธรณีี นายสมหมาย เตชวาล
รองอธิบิ ดีกี รมทรัพั ยากรธรณี ี นายนิิวัตั ิิ มณีีขััติยิ ์์
รองอธิิบดีีกรมทรััพยากรธรณี ี นายมนตรีี เหลืืองอิงิ คะสุุต
ผู้้�อำนวยการกองธรณีวี ิทิ ยา นายสุุรชัยั ศิิริพิ งษ์์เสถียี ร
ผู้้อ� ำนวยการกองคุ้ม� ครองซากดึกึ ดำบรรพ์ ์ นายอานนท์์ นนทโส
ผู้้�อำนวยการสำนักั งานทรัพั ยากรธรณีีเขต 1 นายสุธุ ีี จงอัจั ฉริยิ กุลุ
เขียี นเรื่อ� ง นายประชา คุุตติิกุุล
สนัับสนุนุ ข้้อมููล นายเด่่นโชค มั่่�นใจ
นายปรีีชา สายทอง
พิิมพ์ค์ รั้ง� ที่่� 1 จำนวน 3,000 เล่ม่ เดือื น สิิงหาคม 2560
พิมิ พ์์ครั้�งที่่� 2 จำนวน 1,500 เล่ม่ เดือื น กัันยายน 2562
พิิมพ์ค์ รั้ง� ที่่� 3 จำนวน 2,500 เล่่ม เดือื น กัันยายน 2564
จัดพิมพ์โดย กองคมุ้ ครองซากดกึ ด�ำบรรพ์ กรมทรพั ยากรธรณี
75/10 ถนนพระรามท่ี 6 เขตราชเทวี กรงุ เทพมหานคร 10400
โทรศัพท์ 0 2621 9847 โทรสาร 0 2621 9841
ข้้อมููลทางบรรณานุกุ รม
กรมทรัพั ยากรธรณี,ี 2564,
คู่่�มือื ผู้เ�้ ล่า่ เรื่อ� งธรณีี ไม้้กลายเป็น็ หินิ ในอุุทยานแห่ง่ ชาติ;ิ 38 หน้้า
1.ทองบึ้้ง� 2.ไม้้กลายเป็็นหินิ 3.ยาวที่่ส� ุดุ ในโลก 4.ดอยสอยมาลััย
พิมิ พ์์ที่่ � ทููทวิินพริ้�นติ้ง�
10/122 หมทู่ ่ี 8 ต.ส�ำโรงเหนอื อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมทุ รปราการ 10270
โทรศพั ท์ 0 2185 9953 และ 09 6996 5447
E-mail: [email protected]
ไม้กลายเปน็ หินในอุทยานแห่งชาติ
ในปีี พ.ศ. 2560 กรมทรัพั ยากรธรณีไี ด้้จัดั พิมิ พ์ห์ นังั สือื “คู่�่ มือื ผู้เ�้ ล่า่ เรื่อ�่ งธรณี ี อุทุ ยาน
แห่ง่ ชาติไิ ม้ก้ ลายเป็น็ หินิ จังั หวัดั ตาก” เป็น็ ครั้ง� แรกโดยมีวี ัตั ถุปุ ระสงค์ห์ ลักั ในการให้้ความรู้�้
ด้้านวิชิ าการเบื้้อ� งต้้นแก่ผ่ ู้ท้�ี่่จ� ะศึกึ ษาเพื่่อ� นำองค์ค์ วามรู้ท้�ี่่ไ� ด้้ไปเผยแพร่ต่ ่อ่ ไปให้้กับั นักั ท่อ่ งเที่่ย� ว
และเป็็นการเริ่ �มต้้นให้้กัับผู้้�อ่่านที่่�สนใจได้้ศึึกษาหาความรู้้�ในระดัับที่่�ลึึกลงไปอีีก ทั้้�งในสาขา
สิ่ง� แวดล้้อม วนศาสตร์์ และธรณีวี ิทิ ยา
ที่่ผ� ่า่ นมาซากดึกึ ดำบรรพ์ไ์ ม้้กลายเป็น็ หินิ ที่่ถ� ููกค้้นพบได้้รับั การอนุรุ ักั ษ์ ์ โดยการจัดั สร้้าง
อาคารคลุมุ ป้อ้ งกันั การถููกทำลายจากปัจั จัยั ทางธรรมชาติ ิ มีกี ารสำรวจธรณีวี ิทิ ยา และธรณีี
ฟิสิ ิกิ ส์เ์ พิ่่ม� เติมิ ทำให้้พบว่า่ ยังั มีไี ม้้กลายเป็น็ หินิ อีกี เป็น็ จำนวนมากในบริเิ วณใกล้้เคียี ง ทั้้ง� หมดนี้้�
ได้้ดำเนินิ การควบคู่�ไปกับั การอนุรุ ักั ษ์ผ์ ืนื ป่า่ โดยรอบ ด้้วยการยกระดับั วนอุทุ ยานไม้้กลายเป็น็ หินิ
ขึ้น� เป็น็ อุทุ ยานแห่ง่ ชาติไิ ม้้กลายเป็น็ หินิ (เตรีียมการ) ในปีี พ.ศ. 2556 ก่่อนเปลี่�ยนชื่�อเป็็น
อุทุ ยานแห่ง่ ชาติดิ อยสอยมาลัยั (เตรียี มการ) ในปีี พ.ศ. 2561
สิ่ง� ที่่เ� ป็น็ หัวั ใจสำหรับั การอนุรุ ักั ษ์ซ์ ากดึกึ ดำบรรพ์ไ์ ม้้กลายเป็น็ หินิ คือื การศึกึ ษา วิจิ ัยั
เพื่่อ� ไขความลับั ที่่ถ� ููกเก็บ็ รักั ษาไว้้กว่า่ แสนปีี เพื่่อ� นำเสนอสู่่�สังั คมเป็น็ ระยะ โดยความร่ว่ มมือื ของ
องค์ก์ รภาคเอกชน และภาคราชการ พร้้อมกับั การตรวจสอบสถิติ ิขิ ้้อมููลไม้้กลายเป็น็ หินิ ที่่ม� ีกี าร
บันั ทึกึ ไว้้ทั่่ว� โลก และยื่น� ขอจดบันั ทึกึ สถิติ ิโิ ลกกับั กินิ เนสส์์ เวิลิ ด์์ เรคคอร์ด์ (Guinness World
Record) ด้้วยสถิติ ิคิ วามยาวที่่ส� ุดุ ในโลก 72.22 เมตร
กรมทรััพยากรธรณีีหวังั เป็็นอย่่างยิ่�งว่่า “คู่�่ มืือผู้�เ้ ล่่าเรื่�่องธรณีี ไม้้กลายเป็็นหิินใน
อุทุ ยานแห่ง่ ชาติิ จังั หวัดั ตาก” ที่่ไ� ด้้ทำการปรับั ข้้อมููลให้้เป็น็ ปัจั จุบุ ันั ฉบับั นี้้� จะเป็น็ สื่อ� ให้้ผู้อ�้ ่า่ น
ได้้เข้้าใจธรรมชาติขิ องไม้้กลายเป็น็ หินิ ได้้เห็น็ ความสำคัญั ของธรรมชาติใิ นแขนงต่า่ ง ๆ และได้้
ร่ว่ มกันั อนุรุ ักั ษ์์ และเผยแพร่ส่ิ่ง� พิเิ ศษที่่ธ� รรมชาติไิ ด้้เพียี รรังั สรรค์ผ์ ่า่ นธรณีกี าลที่่น� านแสนนาน
มาเพื่่อ� มนุษุ ยชาติทิั้้ง� มวล
(นายสมหมาย เตชวาล)
อธบิ ดีกรมทรพั ยากรธรณ ี
สารบญั
อุุทยานแห่่งชาติิดอยสอยมาลััย จัังหวัดั ตาก 1
ไม้้กลายเป็น็ หิินที่�ย่ าวที่�่สุุดในโลก
8ตน้ (ไม)้ ก�ำเนิดไม้กลายเปน็ หนิ
รู้จกั ตน้ ไม้กลายเปน็ ทอ่ นซุงก่อน.......
ไมก้ ลายเป็นหนิ คอื อะไร? 14
เป็นไปไดอ้ ย่างไร......
ต้นไมฝ้ งั ดิน-อิม่ น�้ำ แล้วกลายเปน็ หนิ !!
การศึกษาไม้กลายเปน็ หนิ ในอทุ ยานฯ 22
เรียนรู้จากตน้ ไม้ แล้วน�ำไปใช้กับหิน
26การข้ึนทะเบยี นแหลง่ ซากดกึ ด�ำบรรพ์
ได้รับความคุ้มครอง....โดยกฎหมายไทย
34เมื่อ(รู้จัก)ไมก้ ลายเปน็ หิน
รูจ้ กั ไม้กลายเปน็ หินแล้ว รูส้ กึ อยา่ งไร?
อุทุ ยานแห่ง่ ชาติดิ อยสอยมาลััย จังั หวัดั ตาก
อุทุ ยานแห่ง่ ชาติดิ อยสอยมาลัยั -ไม้้กลายเป็น็ หินิ จังั หวัดั ตาก ตั้้ง� อยู่�ในตำบลตากออก อำเภอ
บ้้านตาก ซึ่่ง� อยู่�ประมาณกึ่่ง� กลางระหว่า่ งเขื่อ� นภููมิพิ ล และตัวั จังั หวัดั ตาก คลุมุ พื้้น� ที่่ป� ระมาณ 12,500 ไร่่
ตั้ง� อยู่่�ห่่างประมาณ 2.5 กิิโลเมตรจากปากทางเข้้าบริเิ วณฝั่่ง� ตะวัันออกของถนนพหลโยธินิ ใกล้้กับั
หลักั กิโิ ลเมตรที่่� 443 ตรงข้้ามกับั โรงพยาบาลบ้้านตาก
พื้้น� ที่่โ� ดยรอบอุทุ ยานฯ เป็น็ ป่า่ เต็ง็ รังั โปร่ง่
พื้้�นดิินเป็็นชั้ �นกรวดทรายที่่�พบท่่อนไม้้ขนาดใหญ่่ เขื่อนภมู พิ ล
ฝัังอยู่ �โดยโผล่่บางส่่วน ซึ่่�งเมื่ �อตรวจดููเบื้้�องต้้นในปีี
พ.ศ. 2546 พบว่่ามีีลักั ษณะแข็็งเป็น็ หิิน
กรมอุทุ ยานแห่ง่ ชาติ ิ สัตั ว์ป์ ่า่ และพันั ธุ์์�พืชื
ได้้ทำการขุุดค้้นตรวจสอบพบว่่าท่่อนไม้้ที่่�ฝัังอยู่ �
คืือไม้้กลายเป็็นหิิน ขนาดเส้้นผ่่านศููนย์์กลาง บานตาก
ประมาณ 1.8เมตรยาวประมาณ 72เมตร จึงึ ได้้จัดั ตั้้ง�
ให้้พื้้�นที่่�แห่่งนี้้�เป็็น“วนอุุทยานไม้้กลายเป็็นหิิน”
อุทยานไมก ลายเปน หนิ
การสำรวจพื้้�นที่่�ได้้ดำเนิินการมาตั้�งแต่่ปีี
พ.ศ. 2547 ทำให้้พบไม้้กลายเป็น็ หินิ หลายสิบิ ท่อ่ น
และจากการขุดุ ค้้นรวม 7 หลุมุ พบไม้้กลายเป็น็ หินิ
ขนาดใหญ่่จำนวน 8 ท่่อน วนอุุทยานแห่่งนี้้�จึึงถููก
พัฒั นาเป็น็ แหล่ง่ ท่อ่ งเที่่ย� ว และเรียี นรู้ท�้ างธรรมชาติิ
ของจังั หวัดั ตาก โดยได้้รับั ความร่ว่ มมือื จากหน่ว่ ยงาน
ต่า่ ง ๆ ที่่เ� กี่ย� วข้้องทั้้ง� ในจัังหวัดั และจากส่่วนกลาง เมืองตาก
ในการศึกึ ษาวิจิ ัยั เพื่่อ� ให้้ได้้ข้้อมููลที่่ถ� ููกต้้อง เพื่่อ� เผยแพร่่ 0 5 10 กม.
สู่�ประชาชนอย่า่ งกว้้างขวาง ผ่่านสื่อ� ประเภทต่า่ ง ๆ
ที่่ส� ำคัญั คือื ผ่า่ นทางยุวุ มัคั คุเุ ทศก์ป์ ระจำอุทุ ยานฯแห่ง่ นี้้�
ในปีี พ.ศ. 2556 ด้้วยความโดดเด่่นเป็็นพิิเศษ และมีีเอกลัักษณ์์เฉพาะตััว วนอุุทยาน
ไม้้กลายเป็น็ หินิ แห่ง่ นี้้จ� ึงึ ถููกเตรียี มการยกฐานะขึ้น� เป็น็ “อุทุ ยานแห่ง่ ชาติไิ ม้ก้ ลายเป็น็ หินิ จังั หวัดั ตาก”
(เตรียี มการ) ร่่วมกับั วนอุุทยานน้้ำตกห้้วยแม่ไ่ ข และวนอุุทยานน้้ำตกแก่่งห้้วยตาก
ต่อ่ มาภายหลัังกรมอุุทยานแห่ง่ ชาติ ิ สัตั ว์์ป่า่ และพัันธุ์์�พืืช ได้้มีีประกาศให้้เปลี่�ยนชื่อ� เป็น็
“อุทุ ยานแห่ง่ ชาติิดอยสอยมาลัยั ” (เตรียี มการ) เมื่่�อวัันที่่� 22 พฤษภาคม 2561
1
พรแี คมเบรยี น แคมเบรียน ออรโดวิเชยี น ไซลเู รียน มหายุค พาลโี อโซอกิ คารบ อนิเฟอรสั
ดีโวเนยี น
541.0
485.4 443.8 419.2 358.9 298.9
Qff C-Trsd
0 5 กม. Qfm Qff
แมน้ำวัง
Qaf Trrh
อ.สามเงา Qoaf
เข่อื นภูมพิ ล Qoaf
Qoff
แมน ้ำปง
Є
Qoaf
Qoaf Gr
Qoff
บา นปากวงั Cg
Qoaf Qoaf
Qaf
ไมก ลายเปนหิน
อ.บา นตาก
Qoff
แผนท่ธี รณวี ทิ ยาบรเิ วณแหลง่ ไม้กลายเป็นหินจงั หวดั ตาก (ดดั แปลงจาก เดน่ โชค มัน่ ใจ, 2559)
2
เพอรเ มียน ไทรแอสซิก มหายคุ มีโซโซอกิ ครเี ทเชยี ส มหายุค ซโี นโซอกิ
จแู รสซิก พาลีโอจนี นโี อจนี ควอเทอรน ารี
251.9 201.3 145.0 ตอนลางตอนกลาตงอนบน
หนว ยเวลา ลานป พาลโี อซีน อโี อซีน โอลิโกซนี ไมโอซนี ไพลโอซีน ไพลสโตซนี โฮโลซนี
66.0 56.0 33.9 23.03 5.333 2.58 0.0117 ปจจุบัน
0.774
0.129
แผนที่่�ธรณีีวิิทยาบริิเวณแอ่่งบ้้านตาก ซึ่่�งเป็็นที่่�ตั้�งของอุุทยานแห่่งชาติิดอยสอยมาลััย
จังั หวัดั ตาก แสดงการวางตัวั ของหินิ ชนิดิ ต่า่ ง ๆ ในแนวเหนือื -ใต้้ รวมถึงึ ตะกอนประเภทต่า่ ง ๆ ที่่ส� ะสมตัวั
ทั้้�งสองฝั่ �งแม่่น้้ำปิิง และแม่่น้้ำวััง โดยมีีชื่�อเรีียก ลัักษณะทางกายภาพ เรีียงลำดัับจากอ่่อนไปแก่่
ตามสัญั ลักั ษณ์ท์ี่่ป� รากฏในแผนที่่ธ� รณีวี ิทิ ยา (ส่ว่ นของตะกอนมีรี ายละเอียี ดในหน้้าถัดั ไป)
ด้านตะวนั ตกเปน็ แนวเขาหนิ แปรอายมุ ากทสี่ ดุ ในประเทศไทย สว่ นด้านตะวนั ออกมแี นวเขา
หินแกรนิตขวางอยู่ ท�ำให้พื้นที่มีลักษณะเป็นหุบเขา มีแม่น�้ำปิงไหลมาจากเขื่อนภูมิพลที่อยู่ทาง
ตอนเหนือเป็นแม่น้� ำสายหลักของพื้นที่ โดยมีแม่น้� ำวังไหลลงมาจากทางด้านเหนือสุดของลุ่มน้� ำนี้
มาสมทบท่ีบา้ นปากวัง บริเวณประมาณ 5 กโิ ลเมตร ทางเหนอื ของอทุ ยานฯ
แหล่ง่ ไม้้กลายเป็็นหิินในอุุทยานแห่่งชาติิดอยสอยมาลััย ตั้้�งอยู่�บนชั้�นตะกอนน้้ำพา
รููปพััดโบราณ (Qoaf) ซึ่่�งปรากฏให้้เห็็นตามแนวเชิงิ เขาตลอดลุ่่�มน้้ำตอนล่า่ ง
สญั ลกั ษณ หนวยตะกอน/หนวยหนิ ลกั ษณะตะกอน/ลักษณะหนิ อายุทางธรณีกาล
Qfm ตะกอนนำ้ พาท่ีสะสมตัว ประกอบดว ยดนิ เหนยี ว ทรายแปง ทราย และกรวด ควอเทอรน ารี
รมิ ทางน้ำโคง ตวัด สะสมตวั ในท่ีราบ และในทะเลสาบรูปแอก (ปจจุบนั )
Qff ตะกอนทร่ี าบนำ้ ทวมถึง ประกอบดวยดนิ เหนียว ทรายแปง ทราย และกรวด ควอเทอรนารีตอนบน
(โฮโลซนี )
Qaf ตะกอนนำ้ พารปู พดั ประกอบดวยดนิ เหนยี ว ทรายแปง ทราย และกรวดหนิ ไนส
กรวดหนิ ชสี ต เปนตะกอนเหลยี่ ม พบขนานไปกบั เชิงเขา ควอเทอรนารตี อนลาง
ประกอบดว ยดินเหนยี ว ทรายแปง ทราย และกรวดหินทราย (ไพลสโตซีน)
Qoaf ตะกอนน้ำพารูปพดั สีน้ำตาลแดง หินกรวดมนสนี ำ้ ตาลแดง หนิ ควอรตไซตส ีนำ้ ตาล
เกา ตะกอนกลมมน ควอเทอรนารตี อนลา ง
(ไพลสโตซีน)
Qoff ตะกอนทีร่ าบนำ้ ทวมถงึ ประกอบดว ยดินเหนียวสเี ทาเขียว ทรายแปง ทราย และกรวด
เกา ควอเทอรนารตี อนลาง
(ไพลสโตซีน)
Cg หินกรวดมนแมบ อน ประกอบดวยหนิ แกรนิต ไรโอไลต และหินทรายสนี ้ำตาลแดง
ไทรแอสซิก-นีโอจนี
Gr หินอัคนีมวลไพศาล ประกอบดว ยหนิ แกรนิต หินควอตซไดโอไรต หนิ แกรโนไดออไรต ไทรแอสซิก
Trrh หนิ ภูเขาไฟ ประกอบดว ยหินไรโอไลตฺ และหินไรโอลติ กิ ทัฟฟ สมี วงแดง ไทรแอสซิก
C-Trsd หนิ ตะกอน ประกอบดวยหินทราย หินทรายแปง หนิ กรวดมน และหินปนู คารบ อนเิ ฟอรสั -ไทรแอสซิก
Є หนิ แปร ประกอบดวยหนิ ไนส หนิ ชสี ตฺ และหินแคลซลิ เิ กต มหายคุ พรีแคมเบรยี นและ
มหายุคพาลีโอโซอกิ ตอนลาง
3
จากการลำ� ดบั ตะกอนในบรเิ วณแอง่ บา้ นตากโดยเดน่ โชค มน่ั ใจ 2559 แสดงการหยดุ ชะงกั
ของการสะสมตะกอน หรืออาจเกิดการกัดเซาะตะกอนท่ีเคยสะสมมาก่อน รวม 4 ครั้งบริเวณ
รอยช้ันไม่ต่อเน่ือง ตลอดสมัยไพลสโตซีน ซึ่งกินเวลากว่า 2.5 ล้านปี เหลือหลักฐานช้ันตะกอน
รวม 3 ชนั้ ทีบ่ างส่วนถูกปิดทับด้วยตะกอนสมัย โฮโลซนี ซึง่ ทงั้ หมดเกิดจากแม่น�้ำปงิ และแมน่ ้� ำวัง
ทีเ่ ปน็ ตวั นำ� ตะกอนเข้าสูแ่ อ่งบา้ นตาก
สำหรับั ชั้น� ตะกอนที่่น� ่า่ สนใจที่่ส� ุดุ คือื ชั้้น� ตะกอนน้้ำพารููปพัดั เก่า่ ซึ่่ง� ได้้โอบอุ้ม� ไม้้กลายเป็น็ หินิ
หลายสิิบท่อ่ น (เท่า่ ที่่�มีหี ลักั ฐานในปัจั จุุบันั ) อยู่�ในบริเิ วณอุุทยานแห่่งชาติดิ อยสอยมาลัยั
ปจจบุ ัน 90 -
โฮโลซีน Qfm ตะกอนน้ำพาทส่ี ะสมตัวริมทางนำ้ โคงตวัด
ประกอบดวยดินเหนยี วแทรกสลบั ดวยชน้ั ทรายละเอียดถึงปานกลางสเี ทาดำ
และกรวดขนาดเล็กแทรกสลบั ดว ยทรายเนือ้ ละเอียดถึงหยาบ ที่สะสมตวั ในรองนำ้
0.0117 80 - Qff ตะกอนทรี่ าบน้ำทว มถึง
ประกอบดวยดนิ เหนียวสีเทาดำแทรกดว ยชัน้ กรวดทรายท่สี ะสมตัวตามรองนำ้
การคดั ขนาดดี แสดงชนั้ ดสี มำ่ เสมอ ความตอ เนือ่ งดา นขา งดี พบช้นั เฉียงระดบั ทั่วไป
70 - รอยชัน้ ไมตอเนือ่ ง
Qaf ตะกอนน้ำพารปู พดั
เปนช้นั ตะกอนกรวดทป่ี ระกอบดวยหนิ ไนส แคลซลิ ิเกต ชสี ต และควอรต ไซต
ขนาดเฉลย่ี 20-40 ซม. ความกลม และมนต่ำ ชัน้ ไมสม่ำเสมอ ความตอเนอ่ื งดา นขาง
60 - ไมดี แทรกสลับดวยชัน้ ตะกอนทรายละเอยี ดจนถึงหยาบ และชน้ั ดนิ เหนยี ว
สีนำ้ ตาลแดง
50 - รอยชน้ั ไมตอ เน่อื ง
Qoaf ตะกอนน้ำพารูปพัดเกา
เปน ชน้ั ตะกอนกรวดทีป่ ระกอบดว ยหนิ ทรายสมี ว ง หินทรายสีขาว หนิ กรวดมน
ไพลสโต ีซน สมี วงแดง หินควอรต ไซตส ีน้ำตาลออน หินเชิรต สดี ำ และแรค วอตซสขี าว
40 - ขนาดมีต้ังแตเล็ก ถึงใหญ เฉลยี่ 2-20 ซม. ความกลมและมนดีมาก ช้นั ไมสม่ำ
เสมอ ความตอเน่ืองดา นขางไมดี
แทรกสลบั ดว ยช้นั ตะกอนทรายละเอยี ดจนถึงหยาบ สว นใหญเปนแรควอตซ
30 - สีขาว และเฟลสปารท ม่ี ีความกลม และมนตำ่ พบการวางช้นั เฉยี งระดับที่แสดง
การวางตวั ในหลายทิศทาง
การคดั ขนาดแยกช้ันตะกอนระหวางช้นั ตะกอนขนาดดินเหนียว กบั ชั้นตะกอน
กรวดทราย ดีปานกลาง แตใ นชัน้ ตะกอนกรวดทรายจะพบการปะปนกันของ
20 - ตะกอนขนาดตางๆ แสดงการคดั ขนาดตะกอนไมด อี ยางมาก
พบไมก ลายเปนหินสะสมตัวอยรู วมกับตะกอนในชนั้ น้ี
10 - รอยชน้ั ไมตอเน่อื ง
0.774 Qoff ตะกอนทร่ี าบน้ำทว มถงึ โบราณ
ประกอบดว ยดนิ เหนยี วสเี ทาเขียว แทรกดว ยชัน้ ตะกอนกรวดทเี่ ปนหินไรโอไลต
0-
หินทรายสนี ำตาลแดง และหนิ กรวดมนสีนำ้ ตาลแดง ขนาดเฉลย่ี 20-30 ซม.
ไทรแอส ิซก- ีนโอ ีจน ท่ีแสดงชนั้ ดี และพบอุลกมณี หรอื tektite ปนอยกู ับกรวดในชนั้ ลางสุด
ของตะกอนชั้นน้ี เทียบอายุกบั ชัน้ กรวดในภาคอีสานได 800,000 ป
ความหนา รอยช้นั ไมตอเนอ่ื ง
ช้นั ตะกอน ดานหินแกรนติ และหนิ กรวดมน
(เมตร)
อายุ
(ลา นป)
แทง่ ลำ� ดบั ชัน้ ตะกอนในบริเวณแอง่ บ้านตาก จังหวัดตาก (ดดั แปลงจาก เด่นโชค ม่นั ใจ, 2559)
4
ชนดิ ของกรวดทพี่ บมากทสี่ ดุ ในชน้ั ตะกอนน�้ำพารปู พดั เกา่ ได้แก่ หนิ ทรายสขี าว หนิ ทราย
สนี ้� ำตาลแดง หนิ กรวดมนสนี �้ำตาลแดง และหนิ ภเู ขาไฟชนดิ ไรโอไลตส์ มี ว่ งแดง บง่ ชว้ี า่ เปน็ กอ้ นกรวด
ที่ถูกพดั พามาจากเทือกเขาด้านทศิ เหนือของแอ่งท่มี แี มน่ ้� ำวังไหลผ่าน
ส่วนตะกอนกรวดท่ีพัดพามาโดยแม่น้� ำปิง จะเป็นกรวดที่ผุพังมาจากหินแปรหลายชนิด
ได้แก่ หินไนส์ หินชสี ต์ และหนิ ควอร์ตไซต์ ท่ีพบบรเิ วณเทอื กเขาด้านตะวนั ตกของแอ่ง ซง่ึ จะพบ
นอ้ ยมากในชนั้ ตะกอนน้� ำพารปู พดั เก่า
จากการศึกษาอายุของช้ันตะกอน และอายุของไม้กลายเป็นหิน ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังไม่ได้
ข้อยุติ เน่ืองจากเดิมเคยใช้ข้อมูลของการปิดทับของตะกอนชุดนี้ด้วยหินบะซอลต์ที่จังหวัดล�ำปาง
ซึ่งทราบวา่ มอี ายปุ ระมาณ 0.6±0.2 ถงึ 0.8±0.2 ลา้ นป ี ด้วยการวดั การสลายตวั ของสารกมั มนั ตรงั สี
K/Ar จงึ อนมุ านใหอ้ ายขุ องไมก้ ลายเปน็ หนิ อยใู่ นชว่ งไพลสโตซนี ตอนลา่ ง (ประมาณ แปดแสนป)ี
ในปี พ.ศ. 2558 กรมทรัพยากรธรณีได้ให้ภาควิชาวิทยาศาสตร์พ้นื พิภพ มหาวิทยาลัย
1/16 เกษตรศาสตร์หาอายุชั้นตะกอน และไม้
ขนาดจริงของ ละเอียดมาก 1/8 กลายเป็นหินด้วยวิธีการเรืองแสงความร้อน
ดินเหนยี ว ละเอียด (Thermoluminescence, TL) บริเวณ
ทรายแปง ปานกลาง 1/4 วนอุทยานไม้กลายเป็นหิน ในบ่อขุดดินเก่า
หยาบ 1/2 ข้างอ่างเก็บน้� ำซับไม้แดง อ�ำเภอบ้านตาก
ทราย
1 และบรเิ วณวดั ปา่ พระสามเงา อำ� เภอสามเงา
ละเอยี 4ดมาก หยาบมาก พบว่า มีอายุ 22,000 - 54,000 ปี และ
กรวด 8 มม. 2 20,000 - 22,000 ปี ตามลำ� ดบั สว่ นอายขุ อง
ละเอยี ด มิลลเิ มตร ไมก้ ลายเป็นหิน จากบรเิ วณหลมุ ขุดค้นท่ี 7
16 มม. วดั ได้ประมาณ 120,000 - 129,000 ปี
ปานกลาง เดน่ โชค มัน่ ใจ, 2559 ได้รายงานการพบอุลกมณี
หรอื tektite ในชนั้ ตะกอนทรี่ าบน�้ำทว่ มถงึ โบราณ ซงึ่ เทยี บ
ได้กบั ชนั้ ตะกอนในภาคอสี านทใี่ หอ้ ายไุ วป้ ระมาณ 800,000 ปี
32 มม. โดยวางตัวรองรับช้ันตะกอนทอ่ี มุ้ ไมก้ ลายเปน็ หนิ อยู่
ข้อมูลเบ้ืองต้นด้านธรณีวิทยาส�ำหรับไม้กลายเป็นหิน
ของจังหวัดตากในบทน้ีเป็นส่วนส�ำคัญท่ีสุดส่วนหนึ่ง
สำ� หรบั ใชเ้ ปน็ พน้ื ฐานในการพจิ ารณาข้อมลู ทจี่ ะได้พบ
ในบทตอ่ ไป ซง่ึ เกยี่ วข้องกบั ธรรมชาตขิ องตน้ ไม้ และ
กระบวนการที่ท�ำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติ
ตะกอนทราย และกรวด ขนาดตา่ ง ๆ ตาม
มาตรฐานทางธรณวี ิทยา เพื่อการเปรยี บเทียบ “ไมก้ ลายเป็นหนิ “
64 มม. 5
G หลุมุ ที่่� 5 พบไม้้ ไม้ม้ ะค่่าโมง กลายเป็น็ หิิน
เส้น้ ผ่่านศููนย์์กลางเฉลี่ย� 1.2 เมตร ยาว 22.2 เมตร
สภาพค่อ่ นข้้างแตกหักั และคดโค้้งไปมา
Eหลุมุ ที่่� 7 พบท่่อนซุุง ไม้ท้ องบึ้้ง� กลายเป็็นหิิน ขนาด
เส้้นผ่า่ นศููนย์์กลางเฉลี่�ย 1.5 เมตร ยาว 38.7 เมตร มีีสภาพ
ลำต้น้ ค่อ่ นข้้างสมบููรณ์์
F อุทยานแหงชาติไมกลายเปน หนิ 2 31
ที่่�ทำการ อุุทยานแห่ง่ ชาติไิ ม้ก้ ลายเป็น็ หิิน 5
รายล้อ้ มด้้วยหลุมุ ขุุดค้้นรวม 5 หลุุม 4
ส่่วนอีีก 2 หลุุมอยู่่�ใกล้ป้ ากทางเข้้า 7
6
ตรงข้า้ ม รพ. บ้้านตาก ถนนพหลโยธินิ
หลุุมขุดุ ค้น้ ทุกุ หลุมุ เปิิดให้้นัักท่่องเที่่�ยว
เข้้าชม ศึกึ ษา หาความรู้้�ได้้
โรงพยาบ*าลบานตาก
Eหลุมุ ที่่� 6 พบท่อ่ นซุุง ไม้ท้ องบึ้้ง�
กลายเป็็นหิินเส้น้ ผ่่านศููนย์์กลางเฉลี่ย�
1.5 เมตร ยาว 33.6 เมตร สภาพลำต้้น
ส่ว่ นใหญ่ค่ ่อ่ นข้า้ งสมบููรณ์์ ส่่วนที่่�เหลือื
แตกหััก วางตััวบนตะกอนทรายสีีแดง
อมส้ม้
6
หลุมที่ 1 พบท่อนซุงไมท้ องบ้งึ
กลายเป็็นหิินเส้น้ ผ่า่ นศููนย์ก์ ลางเฉลี่ย�
1.8 เมตร ยาว 72.2 เมตร มีีสภาพ
Fลำต้้นค่อ่ นข้้างสมบููรณ์์
Eหลุมุ ที่่� 2 พบ ไม้ม้ ะค่า่ โมง กลายเป็น็ หินิ
เส้น้ ผ่า่ นศููนย์ก์ ลางเฉลี่ย� 0.5 เมตร ยาว 31.1 เมตร
สภาพค่อ่ นข้า้ งแตกหััก และคดโค้้งไปมา
หลุมท่ี 3 พบ ไม้ทองบง้ึ กลายเป็นหนิ
ขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลางเฉลย่ี 2.1 เมตร
ยาว 33.5 เมตร มีสี ภาพลำต้น้ บางส่่วน
Fภายนอกแตกผุุพังั
E หลุมุ ที่่� 4 พบท่่อนซุุง ไม้้ทองบึ้้�ง
เส้น้ ผ่่านศููนย์์กลางเฉลี่�ย 1.4 เมตร
ยาว 42.4 เมตร สภาพค่่อนข้้างแตกหักั
และวางตััวเป็น็ แนวคดโค้ง้
7
O2 Co2
ตน้ (ไม้) กำ� เนดิ ไม้กลายเปน็ หนิ
ไม้กลายเป็นหินคืออะไร?...น่าจะหาค�ำตอบได้ง่ายข้ึน หากเราเข้าใจต้นก�ำเนิดของ
ต้นไม้ ที่โดยท่ัวไปประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ พุ่มใบ ล�ำต้น และราก ซ่ึงมีหน้าที่ประสาน
เช่ือมโยงกันในการสรา้ งต้นไม้ และปา่ ไม้ จากอะตอมของธาตตุ ่าง ๆ ได้อย่างนา่ อศั จรรย์
อะตอมFโมเลกุุลFเซลล์์พืชื Fเนื้้�อเยื่�อFกิ่�งก้้าน-ราก-ใบ-ลำต้น้ Fต้น้ ไม้้
พุ่่�มใบ ทำหน้้าที่่�ดููดซัับคาร์บ์ อนไดออกไซด์จ์ ากอากาศ เพื่่อ� ปรุงุ อาหาร
โดยอาศััยพลัังงานจากแสงอาทิติ ย์์ สำหรัับการเจริิญเติบิ โตของเนื้้อ� เยื่อ� ทุุกส่ว่ น
ลำ� ต้น ทำ� หน้าทล่ี ำ� เลยี ง
ธาตอุ าหารท่รี ากดูดจากดนิ
เพอื่ ส่งไปยังใบ และช่วยชู
เรือนยอดเพ่อื ส่งพ่มุ ใบใหไ้ ด้
รับแสงอาทิตย์
ราก ท่ฝี งั ลึกลงไปในดิน มีหนา้ ท่ยี ดึ พื้นดนิ เพอื่
ใหล้ �ำต้นทรงตัวอยู่ได้ และดูดสารละลายธาตอุ าหาร
ทัง้ สามกลุ่มจากดิน ประกอบด้วย
ธาตอุ าหารหลกั N, P และ K
ธาตุอาหารรอง Ca, Mg และ S
ธาตุอาหารเสริม 8 ชนิด คือ Fe, Cl, Mo, Zn, Ni, Cu, Bo, และ Mn นอกจากนี้ยงั มี
กลมุ่ ธาตอุ าหารทจี่ ำ� เปน็ อกี หนงึ่ กลมุ่ ทป่ี ระกอบด้วย Al, Na, Va, Se, Co, และ Si ซง่ึ เปน็ สว่ นเสรมิ
ให้พชื มีการเจรญิ เติบโตอย่างสมบูรณ์
N K Mn Si Co
Al Cl Fe Ca P
Mg S Bo Se
Na Va Mo
8 Zn Ni Cu
โครงสร้างส่วนที่ใหญ่ที่สุดของต้นไม้ ที่มักเหลือรอดจากการผุพังท�ำลายด้วยปัจจัยทาง
ธรรมชาตกิ ็คือ ลำ� ตน้ เรามาทำ� ความรจู้ กั โครงสร้างของลำ� ตน้ และรายละเอียดเน้อื เยือ่ ต่าง ๆ ของ
ตน้ ไมเ้ พอ่ื ใชเ้ ปน็ ข้อมลู พนื้ ฐานสำ� หรบั การทำ� ความเข้าใจวธิ กี ารศกึ ษา เพอื่ เปรยี บเทยี บหาตน้ กำ� เนดิ
ของชนิดไม้ทกี่ ลายเป็นหิน โดยเริม่ จากด้านนอกเข้าไป ดังน้ี
เปลอื กไม้ (Bark) ทำ� หนา้ ทป่ี อ้ งกนั เนอ้ื ไม้จากการถูกรบกวนของสิ่งแวดลอ้ มภายนอก
เปลอื กใน (หรือชั้นท่ออาหาร Phloem) ประกอบด้วยท่อลำ� เลียงอาหารที่ผลิตได้จาก
ใบเพอื่ สง่ ไปส่สู ว่ นทก่ี ำ� ลงั เจรญิ เตบิ โตทว่ั ลำ� ตน้
เน้ือเยื่อแคมเบียม (Cambium) เป็นเนื้อเย่ือบางมาก ๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ในภาพ
อยรู่ ะหวา่ งเปลอื กในกบั กระพ้ี เนอ้ื เยอ่ื ด้านนอกทำ� หนา้ ที่ผลติ ทอ่ ลำ� เลยี งอาหาร (Phloem) สว่ นเนอ้ื เยอ่ื
ด้านในท�ำหนา้ ที่ผลิตทอ่ ล�ำเลยี งน�้ำ (Xylem) ซง่ึ จะพัฒนาตอ่ ไปเปน็ เน้ือไมส้ ่วนท่เี ปน็ กระพี้
วงปี (Annual ring) คอื วงของเน้ือไมซ้ งึ่ เปน็ ท่อล�ำเลียงน้� ำทีเ่ น้ือเยื่อแคมเบยี มสร้างข้นึ
ในระยะเวลา 1 ปี ประกอบด้วยชัน้ ของเนอื้ ไมต้ น้ ฤดู (Early wood) ทเ่ี จรญิ เตบิ โตได้เรว็ กวา่ จงึ หนา
กวา่ อยดู่ ้านใน และเน้ือไมป้ ลายฤดู (Late wood) ทเ่ี ติบโตได้ชา้ กวา่ และบางกว่าอย่ดู ้านนอก
วงป (Annual ring)เนือ้ ไมตนฤดู (Early wood) ใจ (Pith) เน้ือเยอื่ แคมเบยี ม (Cambium)
เปลือกใน (Phloem)
เนอื้ ไมป ลายฤดู (Late wood)
กระพี้ (Saเpนwือ้ oไมod ()Xyแlกeนm()Heartwood) เปลอื กไม (Bark)
เนื้อไม้ (Xylem) ประกอบด้วยชั้นของท่อน้� ำท่ีสร้างจากเนื้อเย่ือแคมเบียมด้านใน
โดยท่ัวไปเกิดข้ึนปีละ 1 วง เรียงซ้อนกันเป็นช้ัน ๆ รวมกันเป็นกระพี้ (Sapwood) และพัฒนา
ต่อไปเป็นแกน่ (Heartwood) ซึง่ เปน็ เนอื้ เย่ือท่อล�ำเลยี งน�้ำท่หี ยดุ ส่งน้� ำ และหยดุ การพัฒนาแลว้
แตท่ ำ� หน้าที่เสรมิ ความแข็งแรงให้กับโครงสร้างหลักของต้นไม้
ใจ (Pith) เปน็ ไส้กลางของต้นไม้ ส่วนใหญ่เป็นเนอ้ื เยือ่ สะสมอาหารทีเ่ รยี กว่า พาเรงคมิ า
(Parenchyma) ซึง่ อาจสลายตัวไปกลายเป็นชอ่ งกลวงกลางลำ� ตน้ เรยี กวา่ pith cavity
9
ตน้ ไม้ เน้ือเย่อื และเซลล์ตา่ ง ๆ
ไม้ยนื ตน้ โดยท่ัวไปแบง่ ได้เปน็ 2 ประเภทคือ ไม้เนอ้ื ออ่ น กับ ไม้เนอื้ แข็ง
ไมเ้ น้ือออ่ น มกั จะมเี มลด็ อยู่นอกรังไข่ จึงเรียกว่า gymno-sperm (เปลือย-เมล็ด) สว่ น
ใหญ่ล�ำเลียงน�้ำ และอาหารโดยอาศยั เทรคีด (Tracheid) ซึ่งเป็นเซลล์ยาว หนา้ ตัดรูปสี่เหลี่ยม
ไมเ้ นอ้ื แขง็ มเี มล็ดอย่ใู นรงั ไข่ จงึ เรียกวา่ angio-sperm (หอ่ หมุ้ -เมล็ด) ซึง่ นอกจากจะ
ล�ำเลียงน้� ำ และอาหารโดยอาศยั เทรคตี แล้ว ยงั ววิ ฒั นาการสร้างทอ่ ล�ำเลียง (Vessel) ขน้ึ มาด้วย
เนอ้ื เยื่อพชื มหี ลายชนดิ ประกอบด้วยเซลลท์ มี่ ลี กั ษณะแตกตา่ งกนั เนอ้ื เยอ่ื ประเภทตา่ ง ๆ
ของไม้ยืนต้นมลี ักษณะเป็น “สามมิติ” ซ่งึ หากมองในมมุ ตา่ งกนั จะเหน็ รายละเอยี ดโครงสรา้ งทีไ่ ม่
เหมอื นกนั
ดงั นน้ั ในการศกึ ษาไม้ ดานตัดขวาง Cross Section
ยนื ต้นจึงมกั มองใน 3 ด้านคือ ดา นรศั มี Radial Section
ด้านตัดขวาง (Cross section)
จดุ แสดงภาพวาดเนื้อเยือ่ ไม
ด้านรัศมี (Radial section) ดา นสัมผัส Tangential Section
และด้านสมั ผัส (Tangential section)
ภาพด้านลา่ งแสดงองคป์ ระกอบของเนือ้ เยอื่ พชื ในไมเ้ นอื้ ออ่ นกบั ไมเ้ นอื้ แขง็ ทม่ี กี ารพฒั นา
วงปีเหมือนกนั แต่แสดงลักษณะโครงสร้างทีต่ ่างกนั อย่างชัดเจนน
พอร (Pore) คอื หนาตดั ขวาง
เน้ือไมต น ฤดู ไมเ นือ้ ออ น ไมเ นอื้ แขง็
เทรคีดผนงั เซลลบาง เนอ้ื ไมป ลายฤดู ของทอ ลำเลียงนำ้ (Xylem) เนอื้ ไมต น ฤดู
พอรขนาดใหญ เพนออื้ รไมข ปนลาดายเลฤก็ ดู
เทรคีดผนังเซลลห นา
ไฟเบอร
เรยพ าเรงคิมา เรยพาเรงคิมา
เน้ือเย่ือพืชท่ียังมีการแบ่งตัวเจริญเติบโตเรียกว่าเนื้อเย่ือเจริญ ในเน้ือไม้ส่วนใหญ่เป็น
เนอื้ เยอ่ื ทหี่ ยดุ การเจรญิ เตบิ โตแลว้ เรยี กวา่ เนอื้ เย่ื อถาวร ซง่ึ ประกอบด้วยกลมุ่ เซลลท์ เ่ี ปลย่ี นแปลง
มาจากเนอ้ื เยอ่ื เจรญิ และจะไมม่ กี ารแบง่ เซลลอ์ กี ตอ่ ไป แตม่ กี ารเปลยี่ นแปลงรปู รา่ ง และขนาด เพอื่
ไปทำ� หน้าที่เฉพาะ แบ่งได้ 2 ประเภท คือ เนื้อเยอื่ ถาวรเชงิ เดยี่ ว และ เนือ้ เย่อื ถาวรเชิงซ้อน
เนอื้ เย่ื อถาวรเชิงเดี่ยว เปน็ เน้อื เย่อื ท่กี ลุ่มเซลลช์ นดิ เดียวกันทำ� หนา้ ท่ีอยา่ งเดียวกัน เช่น
ไฟเบอร์ (Fiber) ซึง่ เปน็ เซลลท์ พ่ี ัฒนามาจากพาเรงคิมา มีผนังหนาท่ีประกอบด้วยลกิ นิน
(Lignin) ซง่ึ เปน็ สารประกอบเชงิ ซอ้ นอนิ ทรยี ข์ นาดใหญ่ ตรงกลางเซลลม์ รี ู เรยี กวา่ ลเู มน (Lumen)
10
พาเรงคิมา (Parenchyma) เป็นหมู่เซลล์ที่ท�ำหน้าที่สะสมอาหาร มีผนังเซลล์บาง
แบ่งออกเป็น Wood Parenchyma ซงึ่ เปน็ พาเรงคมิ าทอี่ ยใู่ นแนวยนื หรอื แนวตงั้ ขนานกบั เสย้ี นไม้
พบอยู่ท่ัวไปปะปนกับไฟเบอร์ และ Ray Parenchyma ซ่ึงอยู่เป็นแถบตามแนวขวางกับเส้ียนไม้
พบอยู่ตามแนวรัศมีจากใจกลางของไม้หรือไส้ไม้ (Pith) ออกสู่ด้านนอก
เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์หลายชนิดมาอยู่ร่วมกัน
เพ่อื ทำ� หน้าทอ่ี ยา่ งเดยี วกนั เชน่
เทรคีด (Tracheid) เปน็ เซลลท์ มี่ ผี นังเซลลบ์ างประกอบด้วยลิกนนิ มีลักษณะผอมยาว
ปลายแหลมและไมม่ รี ู แตจ่ ะมรี สู ำ� หรบั การแพรส่ ารละลายผา่ นด้านข้างของเซลลช์ ว่ งทบ่ี าง เรยี กวา่
พทิ (Pit) เมอ่ื เซลลต์ ายลงจะเกดิ ชอ่ งวา่ งตรงกลางเรยี กวา่ ลเู มน เหมอื นชอ่ งวา่ งกลางเซลลไ์ ฟเบอร์
เวสเซลเมมเบอร์ (Vessel member) เปน็ เซลลท์ ่ีมีลักษณะเปน็ ท่อสนั้ ๆ และจะกลวง
เมอื่ เซลลต์ ายลง (เรยี กหนา้ ตดั ขวางทอ่ นีว้ า่ “พอร์ Pore”) ปลายเซลลม์ กั เฉยี ง และมรี พู รนุ มากมาย
ทำ� ใหล้ ำ� เลยี งน้� ำและแรธ่ าตผุ า่ นได้สะดวก ผนงั เซลลม์ กั มลี กิ นนิ มาสะสม มบี รเิ วณทบ่ี างเรยี กวา่ พทิ
เปน็ ชอ่ งทางแพรส่ ารละลายสเู่ ซลลด์ ้านข้าง เวสเซลมขี นาดใหญ่ แตส่ น้ั กวา่ เทรคดี กลมุ่ เวสเซลเมมเบอร์
จะรวมกนั เป็นเน้อื เยื่อท�ำหน้าท่ลี ำ� เลยี งน�้ำ และลำ� เลยี งอาหาร
Tracheid lumen Vessel member
perforate plate
Vessel member Wood Parenchyma
pit Ray Parenchyma
lumen
procumbent cells
pit upright cells
Fiber
“เซลล์พชื ”เปน็ หนว่ ยเลก็ ทส่ี ุด ที่ประกอบกนั ขึ้นเป็นเน้อื เยื่อชนดิ ต่าง ๆ โดยมลี ักษณะ
ทส่ี ำ� คญั คอื มผี นงั เซลลป์ ฐมภมู ทิ ล่ี อ้ มอยรู่ อบนอกเปน็ เซลลล์ โู ลส ซง่ึ เปน็ โมเลกลุ สายยาวของกลโู คลส
และ เฮมเิ ซลลโู ลส ซงึ่ เปน็ โมเลกลุ สายยาวของน้� ำตาลชนดิ อน่ื ๆ ทลี่ ว้ นเชอ่ื มตอ่ กนั ด้วยพนั ธะไฮโดรเจน
เซลล์บางชนิดสร้างผนังเซลล์ทุติยภูมิเพ่ือเพ่ิมความแข็งแรงให้โครงสร้างเซลล์ โดยการ
สะสมลิกนนิ ซอ้ นทับกันเป็นชั้น ๆ ระหวา่ งผนงั เซลล์ปฐมภูมกิ ับเยื่อหุ้มเซลล์
11
การตรวจพสิ ูจนเ์ นือ้ ไม้ Wood Identification
การตรวจเพอ่ื ระบชุ นดิ ของไม้ ในทางวชิ าการจะอาศยั คณุ สมบตั ทิ างกายภาพตา่ ง ๆ ของไม้
ทมี่ อี ยปู่ ระกอบกนั เชน่ รปู ทรงพมุ่ ใบ ลำ� ตน้ เปลอื ก รวมถงึ กลนิ่ และสภาพพนื้ ทท่ี ไี่ มน้ นั้ ขนึ้ อยู่
ส�ำหรับช่ือไม้ ใช้เป็นช่ือวิทยาศาสตร์ (Scientific name) โดยใช้ภาษาลาตินซ่ึงไม่มี
การเปล่ียนแปลงแล้ว ด้วยระบบ Binomial nomenclature ซงึ่ ประกอบด้วยคำ� 2 คำ� คำ� แรกเป็น
ชื่อสกุล (Generic name) ค�ำท่ีสองเป็นค�ำระบุชนิด (Specific epithet) ท้ังน้ีเพ่ือหลีกเลี่ยง
ความสบั สนในการเรยี กช่อื ตามภาษาทอ้ งถ่ิน
แตห่ ากมเี พยี งไมท้ แ่ี ปรรปู แลว้ จำ� เปน็ ตอ้ งอาศยั “การตรวจพสิ ูจนเ์ นอ้ื ไม”้ โดยการเฉอื น
ด้านตดั ขวางเนอ้ื ไม้ แลว้ ใชเ้ ลนสส์ อ่ งพระสอ่ งดู ขนาด การเรยี งตวั และการกระจายของ พอร์ ซงึ่ เปน็
หนา้ ตดั ของเวสเซล และการเรยี งตวั ของ Wood parenchyma ทงั้
แบบทเ่ี กย่ี วข้อง และไมเ่ กย่ี วข้องกบั พอร์ รวมถงึ องคป์ ระกอบอน่ื ๆ Pore Size
เช่น การปรากฏของ Ray parenchyma และสารท่ีพบในพอร์ เลก็ มาก เล็ก กลาง ใหญ ใหญมาก
จะทำ� ให้ระบุชนดิ ของไมไ้ ด้เปน็ อยา่ งดี
พอร ์ ของไม้เนือ้ แขง็ ในเมอื งไทย มมี าตรฐานขนาด และ
รูปแบบการจดั เรียงตวั ดังน้ี
0.05 0.1 0.2 0.3 มม.
Solitary pores Radial multiples Oblique bands Pores clusters
พอรเด่ยี ว พอรคู หรอื มากกวา 2 พอรเ รียงเปนแนว พอรก ลมุ
เรียงตวั ตามแนวรัศมี ทำมุมเฉียงกบั เรย
นอกจากน้ียังมีการอาศัยลักษณะการกระจายตัว
ของพอร์ ซง่ึ สามารถจดั จำ� แนกออกได้เปน็ 3 แบบคอื Ring,
Diffuse และทกี่ ้� ำก่ึงระหว่างท้งั สองแบบ คือ Semi-ring
ส่วนพาเรงคิมานั้นมีการจัดแบ่งกลุ่มตามความ
สัมพนั ธก์ ับพอร์ คือกลมุ่ Apotrecheal parenchyma มี
ต�ำแหน่งท่ีไม่สัมพันธ์กับพอร์ ส่วนกลุ่ม Paratrecheal
parenchyma จะพบอยโู่ ดยรอบพอร์ ในลกั ษณะเปน็ วงแหวนลอ้ ม หรอื พฒั นาจนเปน็ แบบมปี กี ยน่ื
ออกสองข้าง หรอื พอกพนู จนมหี นา้ ตดั เหมอื นเพชร และทซี่ บั ซอ้ นยงิ่ ขน้ึ คอื กลมุ่ ของพาเรงคมิ ารอบ
พอร์ทีอ่ ยู่ใกลเ้ คียงกัน ขยายกลมุ่ จนเชือ่ มต่อกนั ตามชอ่ื confluent
12
wood parenchyma pore APOTRACHEAL PARENCHYMA
ray parenchyma ไมสมั พนั ธกับพอร
Diffuse Diffuse in aggregate Marginal Concentric (fine lines)
อยเู ดย่ี วๆ กระจาย อยูติดกันหลายเซลล เกดิ ในแนวสัมผสั เกดิ ในแนวสัมผสั หากตดั กบั ray
ทั่วเนือ้ ไม กระจายทวั่ เนอ้ื ไม ชว งตน หรอื ปลายฤดู เกิดเปน รปู สี่เหลยี่ ม เรียกวา
reticulate parenchyma
ไมตัดขามเรย การเจริญเติบโต
PARATRACHEAL PARENCHYMA
สัมพันธก ับพอร
Vasicentric Aliform (lozenge) Confluent
เกดิ รอบพอร คอื มี vessel เกิดรอบพอรแ ละมปี กยน่ื ออกมา ลักษณะเหมอื นเพชร lozenge ที่
เปนศูนยก ลางตามชื่อทเี่ รียก อาจพอกจนมีลักษณะคลา ยเพชร อยใู กลๆ เช่อื มตอเขา ดวยกนั
ตวั อยา งหนาตัดขวางไม สำหรับการพสิ จู นเนื้อไมส ัก และไมทองบ้ึง
PORE
Ring เปน วงแหวนอยูที่ขอบวงป
Diffuse กระจาย solitary อยเู ดยี่ วๆ
PARENCHYMA
paratracheal
vasicentric ลอมรอบพอร
aliform - confluent ลอมพอรแ ละมีปก
เปนรปู เพชร-บางสวนเชื่อมกนั
apotracheal
marginal ก้นั ระหวา งวงป -
ray parenchyma เสนบางๆ
เนอ้ื ไมปลายฤดู Late wood
มพี อรนอ ย และขนาดเล็กกวา
เนอื้ ไมต น ฤดู Early wood
มพี อรใ หญก วา มากกวา เรียงเปน แนว
13
ไมก้ ลายเป็นหิน คืออะไร?
ไม้กลายเป็นหิน (Petrified wood) มีความหมายตามพจนานุกรมศัพท์ธรณีวิทยา
ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2544 วา่ “เนื้อไม้ท่กี ลายสภาพเป็นหนิ เนือ่ งจากสารละลายซิลิกา
เข้าไปแทนท่ีเน้ือไม้อย่างช้า ๆ คือแทนท่ีโมเลกุลต่อโมเลกุล จนกระท่ังแทนท่ีท้ังหมดโดยไม่มีการ
เปลย่ี นแปลงรปู รา่ งและโครงสรา้ ง ปรกตซิ ลิ กิ าในเนอ้ื ไมน้ อี้ ยใู่ นรปู ของโอพอลหรอื คาลซโิ ดน”ี
หากแปลตามคำนิิยามข้้างต้้น แสดงว่่าต้้องมีี “ไม้้” เป็็นวััตถุตุั้ง� ต้้น ภายหลัังจึงึ มีีสารเคมีี
ชนิดิ หนึ่่ง� เรียี กว่า่ “ซิลิ ิกิ า” เข้้ามาทำปฏิกิ ิริ ิยิ ากับั เนื้้อ� ไม้้ โดยที่่ไ� ม้้ยังั คงรููปลักั ษณ์เ์ ดิมิ อยู่� และสารเคมีี
นั้้�นเข้้าไปอยู่�ในเนื้้�อไม้้ในรููปของแร่่ “โอพอล หรือื คาลซิโิ ดนีี”
ไม้กลายเป็นหินเป็นซากดึกด�ำบรรพ์ชนิดหน่ึงท่ีสร้างความอัศจรรย์ใจให้กับผู้คนท่ัวโลก
และนำ� ไปสู่การศึกษามากมาย เพ่อื ไขปรศิ นาเก่ียวกบั ทมี่ าของมัน
แหลง ตน กำเนิดกรวด ทราย และซลิ กิ า
แมน ้ำพซิลดั ิกพาาปถไามกู ไซลมะงุ ลไาปยทไนหบั ำ้ ลถบไมาปพดกราบั อลแมใมนกน ลบั ำ้ ุมกนร้ำวเดปนทตราัวยกลางซสิลำิกคาญั ละในลกายาไรดพดาใีสนาสรภลาะวละาเยปซน ลิ ดกิ าาง
เงื่อนไขที่เอ้อื ให้ไมก้ ลายเป็นหนิ
จากนยิ ามข้างตน้ และผลการศกึ ษาวจิ ยั มากมาย สามารถสรปุ สมมตุ ฐิ านเงอ่ื นไขการกำ� เนดิ
ของไมก้ ลายเป็นหนิ ในเบื้องตน้ ได้ดังตอ่ ไปน้ี
1. ไม้ต้นก�ำเนิด ต้องไมผ่ พุ ัง หรือถูกย่อยสลายดัวยเช้อื เหด็ รา หรอื แบคทเี รียก่อนถูก
แทนท่ี ด้วยซลิ กิ า
2. ต้้องมีีแหล่่งต้้นกำเนิิดสารซิิลิกิ าจากหิินภููเขาไฟ หิินแกรนิิต หรืือหิินอื่�น ๆ ที่่ม� ีซี ิลิ ิกิ า
3. ตอ้ งมนี �้ำเป็นตวั ปดิ กนั้ ออกซิเจนไม่ให้ไม้ผุสลาย ทำ� หนา้ ท่ลี ะลายซลิ ิกา และพาซิลิกา
เข้าไปในเน้ือไม้
4. น้� ำต้องมีสภาพเปน็ ด่างเพ่อื ให้ซิลิกาละลาย และเปน็ กรดอ่อนเพอ่ื ใหซ้ ลิ กิ าตกผลกึ
5. ตอ้ งอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน
14
ไม้กลายไปเป็นหินได้อยา่ งไร?...หรือหินเข้าไปแทนทใ่ี นเนื้อไม้ได้อยา่ งไร?
ซากดึกด�ำบรรพ์เกิดจากการซึมผ่านของสารละลายแร่เข้าไปในช่องว่างของเน้ือเย่ือ
ของกระดูก หรอื ไม้ จากนน้ั แรจ่ งึ ตกผลกึ แยกออกจากสารละลายและเตมิ เตม็ ชอ่ งวา่ ง ในกรณขี องไม้
เซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนิน ท่ีอยู่ในผนังเซลล์เนื้อเยื่อไม้จะท�ำหน้าที่เป็นแบบพิมพ์ในการ
รักษาโครงสร้างของไม้เอาไว้ แมว้ า่ จะมีแรห่ ลายชนิดที่สามารถแทนทไี่ ด้ในเน้ือไม้ แต่ซิลกิ าเปน็ แร่
ทีพ่ บมากทสี่ ุดและสามารถรักษาสภาพโครงสรา้ งของเซลล์ได้ดีทีส่ ดุ (Mike Viney)
จากข้อความดังกล่าว และเง่ือนไขท่ีเอ้ือให้ไม้กลายเป็นหิน จะเห็นได้ว่าการเกิด
ซากดึกด�ำบรรพ์ไม้กลายเป็นหิน ต้องเริ่มจากการมีไม้ที่ยังไม่ถูกท�ำลาย อาจเกิดอยู่กับที่ในแหล่ง
หรอื ถูกพัดพามาทับถมพร้อมกบั กรวด ทรายก็ได้ และขน้ั ตอนต่อไป คอื
1. มกี ารซมึ ของน้� ำบาดาลท่ีมีสารละลายซิลกิ า เข้าไปในเนอ้ื ไม้ผ่านรอยแตก
2. มกี ารลอกแบบพิมพเ์ ซลลเ์ นื้อไม้ โดยสารละลายเรม่ิ เกาะผนังเซลล์
นเ่ี ป็นเพียงการเรมิ่ กระบวนการ แต่การ “กลายเปน็ หนิ ” ท่ีสมบูรณย์ ัง
คงตอ้ งอาศัยชดุ ของกระบวนการต่อไป ดงั น้ี
3. มีการ แทนที่ (Replacement) โครงสร้างเนอื้ ไม้ เมื่ออตั ราการตกผลึก
ของซิลิกาเรว็ กว่าอตั ราการสลายตวั ของไมเ้ นื่องจากแบคทเี รยี และสารเคมี
4. มีการตกผลกึ ของซิลกิ าแบบเติมในช่องวา่ ง (Filling) ใน ลูเมนของ
เซลล์ตา่ ง ๆ เช่นไฟเบอร์ และเทรคีดในภายหลงั
5. การกลายเป็นหินเกิดร่วมกับการสูญเสียน�้ำจาก โอพอล ซ่ึงเป็น
ซลิ ิกาทม่ี ีน�้ำเป็นองคป์ ระกอบ และอาจมีการเปลย่ี นสภาพของแร่ซิลิกาชนิดหน่ึง
น้ำเปน ตวั การสำคัญในกระบวนการเกไดิปไเมปกน็ ลแายรเซ่ ปลิน กิหานิ อกี ชนดิ หนง่ึ ทม่ี คี วามเสถตยี น รไมมดากดู กขรน้ึ ดซลิ ซิ ิกโมเลกุลเดีย่ วเพ่อื
นำไปใชเสรมิ ความแข็งแรงของเซลล
ตะกอนกรวด ทรายปดทับไมซ งุ ใหอยูต่ำกวาระดับนำ้ บาดาล
สารละลายซลิ ิกามีสภาพเปน น้ำพาสารละลายซลิ ิกาเขาสเู น้ือไม และ
กรดซลิ ิซิกโมเลกุลเด่ยี ว นำสารอนิ ทรียท ส่ี ลายตวั ออกจากเซลลไม
15
ทำ� ไมถงึ ต้องเป็นซิลิกา
ในน้� ำบาดาลมีสารประกอบต่าง ๆ ละลายอยู่มากมายท้ัง เหล็กออกไซด์ โลหะซัลไฟด์
คารบ์ อเนต ฯลฯ แตไ่ ม้กลายเปน็ หินส่วนใหญ่ที่พบทั่วโลกเกิดจากซลิ ิกา
สมมตุ ฐิ านทเ่ี ปน็ ทยี่ อมรบั กนั อยา่ งกวา้ งขวางของ Leo and Barghoorn (1976) กลา่ ววา่
การแทนที่ของซลิ กิ าเกดิ ขน้ึ ได้เพราะวา่ “วสั ดอุ นิ ทรยี เ์ รมิ่ ตน้ มคี วามสอดคลอ้ ง (affinity) กบั โมเลกลุ
เขมอื่องสการรดลซะลิ ลซิ ากิ ย(ซHิล4ิกSาiOซ4ึม)เ”ข้าพไรปอ้ ใมนทไมงั้ ไ้แดล้ท้วำ� กพาันรธทะดไลฮอโดงสรรเจา้ งนไมจก้ ะลยาึดยกเปรน็ดหซนิลิ ิซในิกหเขอ้้างกทับดไลฮอดงร อแกลซะิลพกบรวุ๊ปา่
(-OH) ทอ่ี ยู่ในเซลลโู ลส และเฮมเิ ซลลูโลสซ่งึ ประกอบกันเป็นผนังด้านในของเซลล์
เมื่อสูญเสียน�้ำไปกรดซิลิซิกโมเลกุลเดี่ยวจะรวมตัวกันเป็น พอลิเมอร์ (Polymer) ที่มี
โมเลกลุ ใหญข่ น้ึ เปน็ โอพอล (Opal) เกดิ เปน็ ฟลิ ม์ บาง ๆ เคลอื บอยบู่ นแมแ่ บบทำ� ใหไ้ ด้รปู ลกั ษณะ
ของเซลล์อย่างละเอียด ในขณะท่ี สารอินทรีย์สลายตัวอย่างช้า ๆ
จะท�ำให้เกิดช่องว่างเพ่ิมข้ึน สำ� หรบั การ
แทนท่ี ของสารละลาย
ซิลิกา โดยมี ลกิ นนิ
ซึ่งสลายตัวได้ยาก
ที่สุดเป็นแม่แบบ
โครงสร้างต่อไป
และเป็นสารอินทรีย ์ ตัวสุดท้ายที่จะถูกแทนที่
กระบวนการเกดิ
แรโ่ อพอลซึง่ มีสภาพ อสัณฐาน ไม้กลายเป็นหินไม่ได้ส้ินสุดท่ี
คอื ไมม่ รี ปู ผลกึ แตม่ กี ารพฒั นา
ต่อไปในระดับโมเลกุลท่ีจะ เปล่ียนโอพอลไปเป็นแร่ท่ีมี
ลักษณะเปน็ ผลึกแขง็ ต่อไป
คารบอน แมงกานสี
แมงกานีสออกไซด
โคบอลต โครเมยี ม ทองแดง เหลก็ ออกไซด
ในธรรมชาตินิ อกจากสารประกอบพวก ซิลิ ิกิ า และแคลเซีียมแล้้ว ยัังมีธี าตุุอื่น� ๆ
ปะปนอยู่ใ�่ นน้ำ้ บาดาลด้ว้ ย จึงึ เป็น็ สาเหตุทุ ำให้้ ไม้ก้ ลายเป็็นหินิ มีสี ีีต่่าง ๆ กันั
16
ซิลกิ าเข้าแทนทกี่ ่อน แล้วจึงคอ่ ยเติมช่องว่าง
ไมก้ ลายไปเปน็ หนิ ด้วยกระบวนการทม่ี ขี น้ั ตอนซบั ซอ้ น หลกั ฐานการเกดิ แรใ่ นระยะแรก ๆ
มักไม่ค่อยเหลือปรากฏให้เห็น โดยท่ัวไปการเกิดเป็นหินของไม้มักเป็นไปได้หลายแนวทาง แม้แต่
ทแ่ี หลง่ เดยี วกนั การกลายเปน็ หนิ กอ็ าจไมไ่ ด้เปน็ เหมอื นกนั หมด แตก่ พ็ อจะสรปุ กระบวนการกลาย
เป็นหนิ ได้คร่าว ๆ ดังนี้
• การกลายเป็็นหิินมัักเริ่�มเกิิดจากการจัับตััวของซิิลิิกาบริิเวณผนัังเซลล์์ โดยช่่องต่่าง ๆ
ยงั คงว่างเปล่า
• ช่อ่ งว่่างระหว่่างเซลล์โ์ ดยทั่่�วไปมัักจะว่า่ งเปล่่า
• บริิเวณที่่�เป็น็ ถ่า่ นมักั ไม่่กลายเป็น็ หินิ เพราะไม่ม่ ีีพัันธะไฮโดรเจนแล้้ว
• อาจพบแร่่ซิิลิิกาหลายแบบอยู่่�ร่่วมกััน เนื่่�องจากการกระบวนการกลายเป็็นหิินเกิิดขึ้้�น
เป็นล�ำดบั ไลเ่ ลยี งต่อเนื่องกนั ไปเรอื่ ย ๆ
ถูกเตมิ ซิลกิ าภายหลงั ชอ งวางระหวางเซลลตา งๆ มักวา งเปลา
ภายใน Vessel member ถูกซิลิกาแทนทกี่ อน
lumen ของไฟเบอร vessel perforate
ผนัง Vessel member
lumen ของเทรคดี Wood Parenchyma
ผนัง Fiber
ผนัง Tracheid
Ray Parenchyma
pit
เนื่่�องจากการซึึม ของสารละลายซิิลิิกาผ่่านทางช่่องพิิท
ที่่�อยู่�บนผนัังของเทรคีีด และ เวสเซลเมมเบอร์์ เป็น็ ไปได้้อย่า่ งสะดวก
ทำให้้สารละลายซิิลิิกาเข้้าแทนที่่� เซลล์์ไม้้ได้้ทั้้�งหมด รวมถึึงการเติิมของสาร
ซิลิ ิกิ าลงในช่อ่ งลููเมนของเซลล์ต์ ่า่ ง ๆ ที่่ส� ารละลายซิลิ ิกิ าไหลผ่า่ นด้้วย
ในขณะที่่�สารละลายไม่ส่ ามารถเข้้าถึึงช่อ่ งว่า่ งระหว่า่ งเซลล์ไ์ ด้้ จึึงไม่เ่ กิดิ การแทนที่่� และ
ไม่ม่ ีกี ารเติมิ ซิลิ ิิกาเข้้าไป แต่่จะถููกทิ้้�งเป็น็ ช่่องว่า่ งระหว่่างเซลล์์ในไม้้กลายเป็น็ หินิ ด้้วย
17
การเปลย่ี นแปลงระดับโมเลกลุ
กลุ่มแร่ซิลิกามีภาวะ พหุสัณฐาน (Polymorphism) คือมีองค์ประกอบทางเคมีเป็น
คซลิาลกิ ซาอโิ ดอนกีไแซลดะ์ (คSวiOอ2ต)ซเห์ ทม้งัอื นน้ี กข้นึ นั อแยตกู่ ต่ ับกอผณุ ลหกึ เภปมู น็ ิแแลระไ่ แด้รหงลกาดยดชนันขดิ อ เงชสน่ ภโาอพพแอวลดคลร้อสิ มโตแบไลต์ ทรดิ ไิ มต์
โอพอล (Opal) เปน็ แร่ตระกูลควอตซท์ ีม่ ีเนือ้ อสัณฐาน (Amorphous) คือไม่มรี ปู ผลึก
เปกรดิ ะจมาากณสารร้อลยะลละา3ย-ซ1ลิ 0กิ โาดทยมี่ นอี �้ณุำหหนภักมู (คิเรอ่ ียนกขว้า่างตO่� pำ มaสีl-ตูAร)เอคยมู่ใี นSiสOภ2า.Hว2ะOที่ไคมอื ่เใสนถเียนรอ้ื เแมรื่อย่ มงั ีแครงงมดนี ัน้� ำกปดนทอับยู่
จะทำ� ใหส้ ญู เสยี น�้ำได้งา่ ย และเปลยี่ นสภาพเปน็ Opal-CT ซงึ่ ประกอบด้วยผลกึ ของแรค่ รสิ โตแบไลต์
และทรดิ ไิ มต์ (Cristobalite and tridymite) ท่ีมขี นาดละเอียดมาก (https://en.wikipedia.org/
wiki/Opal) จากนน้ั จะเปลี่ยนสภาพตอ่ ไปเป็นแร่คาลซโิ ดนี (Chalcedony) ซงึ่ เปน็ แร่ควอตซผ์ ลกึ
ละเอยี ด และสดุ ทา้ ยกลายสภาพเป็นแรค่ วอตซ์
(ตวั อย่างภาพถา่ ยจาก George E. M., 2015, http://www.mdpi.com/2076-3263/5/4/286/htm)
A. ช่องลูเมนของเทรคีตท่ยี งั ว่างเปลา่ ในช่วงแรก ๆ ของการแทนทด่ี ว้ ยซลิ ิกา Opal-C
B. ช่องลเู มนกลางเทรคีดทถ่ี กู เคลอื บด้วย Opal-A เห็นผวิ ท่ไี ม่เรยี บมีลักษณะคลา้ ยรูปพวงองุน่
C. เทรคดี ถูกแทนทด่ี ้วย Opal-A โดยรกั ษาลักษณะของชอ่ งเปิดพิทไว้ได้อยา่ งสมบูรณ์
D. Opal ถกู เติมลงในช่องว่างลเู มนในชว่ งหลัง โดยทีช่ อ่ งวา่ งระหวา่ งเซลล์ด้านนอกยงั คงว่างเปลา่
18
ความซับซ้อนของการกลายเปน็ หนิ
อย่างไรก็ตาม จากผลการศึกษาอยา่ งละเอียดของ George E.M., 2015 โดยใช้ตัวอย่าง
ไมก้ ลายเป็นหนิ จาก 21 แหล่งในรัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา ซงึ่ มตี ง้ั แต่แบบที่กำ� ลงั เริ่มเกดิ จนถงึ แบบ
ท่กี ลายเป็นหินอย่างสมบรู ณแ์ ล้ว สรปุ ได้วา่
การกลายเป็นหินเป็นได้หลายแนวทาง ไม้กลายเป็นหินต้นเดียวกัน หรือแม้กระท่ังใน
ตัวอย่างช้ินเดียวกันอาจมีแร่ซิลิกาต่างชนิดกัน ซ่ึงอาจเกิดร่วมกันต้งั แต่แรก หรืออาจเกิดจากการ
เปล่ยี นสภาพในสภาวะของแข็งจากสารตัง้ ตน้ เดียวกนั กไ็ ด้
มกี ารพบหลกั ฐานทหี่ ลงเหลอื อยขู่ องโอพอลบนแรค่ าลซโิ ดนซี งึ่ แสดงใหเ้ หน็ วา่ มกี ารเปลยี่ น
สภาพจาก โอพอลไปเปน็ คาลซโิ ดนี นอกจากนยี้ งั พบหลกั ฐานการเกดิ ผลกึ แรค่ วอตซโ์ ดยตรงในชอ่ งวา่ ง
โดยไมไ่ ด้เปลยี่ นมาจากแร่คาลซิโดนี
ท้ังนี้อาจเป็นเพราะว่าตามธรรมชาติของสภาวะแวดล้อมใต้ผิวโลกระดับต้ืนที่มีอุณหภูมิ
ไม่สูง โอพอลจะแยกตวั ออกจากสารละลายซลิ กิ าที่มคี วามเข้มข้นคอ่ นข้างสงู คาลซโิ ดนจี ะตกผลึก
โดยตรงจากสารละลายซิลิกาทมี่ คี วามเข้มข้นท่ตี �่ำกว่า ส�ำหรับแรค่ วอตซจ์ ะตกผลกึ จากสารละลาย
ซิลกิ าทเ่ี จือจางมาก ๆ เทา่ น้ัน (Iler, 1979; Fournier, 1985 อ้างถงึ ใน George E.M., 2008)
(ตัวอย่างภาพถา่ ยจาก George E. M., 2015, http://www.mdpi.com/2076-3263/5/4/286/htm)
A. เทรคตี ถูกแทนท่ดี ้วยแรค่ าลซโิ ดนี ท่ีแสดงลกั ษณะภายนอกของแรโ่ อพอลซึ่งเปน็ แร่เดิม
B. ผลึกแร่ควอตซ์ทีส่ มบูรณเ์ กิดอย่บู นเน้ือไม้กลายเป็นหินทีเ่ ปน็ Opal-CT
การกลายเปน็ หนิ เปน็ กระบวนการทซี่ บั ซอ้ น แตก่ ส็ ามารถศกึ ษาทำ� ความเข้าใจได้จากงาน
วิจัยที่ด�ำเนินการทวั่ โลกด้วยเทคโนโลยีระดับต่าง ๆ กนั ตามฐานะและพัฒนาการของชาติ
สำ� หรบั ประเทศไทยทพ่ี บไมก้ ลายเปน็ หนิ อยแู่ ทบทกุ ภาค กม็ กี ารศกึ ษาวจิ ยั และมรี ายงาน
ให้ติดตามค้นคว้าได้ทั้งของมหาวิทยาลัยที่มีการสอนด้านธรณีวิทยา และของกรมทรัพยากรธรณี
ซ่งึ ได้ด�ำเนนิ การเพอื่ ให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ทนั สมยั ส�ำหรับเผยแพร่ส่สู ังคม
19
ตัวอยา่ งไมก้ ลายเปน็ หิน
โดยส่วนใหญ่แล้วไม้กลายเป็นหินจะเก็บรักษาลักษณะโครงสร้างเนื้อเยื่อไม้ไว้ได้อย่างดี
บางตวั อยา่ งสามารถมองเหน็ เนอื่ เยอ่ื ได้ในลกั ษณะ 3 มติ ิ เพยี งมองผา่ นแวน่ ขยายสำ� หรบั สอ่ งพระ
เศษตวั อยา่ งเลก็ เพยี งปลายนว้ิ กส็ ามารถให้ข้อมลู มากมายกบั เราได้ สองตวั อยา่ งแรก เปน็ เศษ
ไมก้ ลายเปน็ หนิ ทหี่ ลดุ ออกจากแหลง่ สะสมตวั ทำ� ให้ผกุ รอ่ นตามแนวเนอื้ เยอื่ ตวั อยา่ งซา้ ย ถา่ ยจากแนว
ตดั ขวาง ทแ่ี สดงเสน้ เรยพ์ าเรงคมิ าเลก็ ๆ ชดั เจน พรอ้ มกบั
พอรท์ กี่ ระจายอยา่ งสม�่ำเสมอ สว่ น ตวั อยา่ งขวา เหน็ เสีย้ น
ไมห้ รอื ทอ่ ลำ� เลยี งน้� ำในแนวตง้ั ชดั เจน และเนอื่ งจากภาพน้ี
ถา่ ยในแนวรศั มที ำ� ใหเ้ หน็ เสน้ เรยพ์ าเรงคมิ าในแนวนอนเรยี ง
ซอ้ นกนั เปน็ ระเบยี บได้อยา่ งชดั เจน
สองภาพล่าง ถ่ายจากตัวอย่างไม้กลายเป็นหินท่แี ตกหัก
เนอื่ งจากการ กระทบกันจากการถูกพดั พาจากแหล่งสะสมตวั
ภาพซ้ายถ่ายในแนวรัศมีเห็นท่อล�ำเลียงน้� ำในแนวต้ัง
ชัดเจน โดยเห็นเป็น 3 มิติ หนึ่งท่อ (จากกลางภาพถึงขอบล่าง)
และเห็นเรย์พาเรงคิมาปิดทับบาง ๆ
เปน็ แถบรปู สเี่ หลยี่ มผนื ผ้าตอ่ กนั เปน็
แนวยาวตามรศั มี
ภาพขวาเป็นเศษตัวอย่างท่ี
หกั ในแนวขวาง เหน็ พอรแ์ บบเดยี่ ว ที่
กระจายอย่างสม่� ำเสมอชัดเจน และ
พอร์ทุกตัวถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มของ
วู๊ดพาเรงคิมาเป็นรูปเพชร เห็นเส้น
เรย์พาเรงคิมาเลก็ ๆ ทัว่ หนา้ ตดั
20
ตวั อยา่ งไมก้ ลายเปน็ หนิ จาก อทุ ยานแหง่ ชาต-ิ ไมก้ ลายเปน็ หนิ จ.ตาก
ตวั อยา่ งไมซ้ งุ กลายเปน็ หนิ ทง้ั ตน้ ทม่ี องเหน็ ได้ชดั เจน อาจทำ� ใหเ้ ราไมท่ นั สงั เกตโครงสรา้ ง
เน้ือเยอื่ ของไม้ที่สามารถมองเหน็ ได้ทง้ั ด้วยตาเปล่า และมองผ่านแว่นขยายส�ำหรบั โครงสรา้ งเล็ก ๆ
สง่ิ ทสี่ งั เกตเหน็ ได้งา่ ยบนหนา้ ตดั ไมซ้ งุ ทวั่ ๆ ไป คอื “วงป”ี ในไมก้ ลายเปน็ หนิ กเ็ ปน็ เชน่ เดยี วกนั
ตวั อยา่ งแรกแสดง วงปี ชดั เจน เหมอื นตอไม้ผทุ วั่ ไป ทง้ั นอี้ าจเปน็ เพราะ ตอไม้ผุจนได้สภาพนี้
ก่อนถูกทับถมและกลายสภาพเป็นหินในเวลาต่อมา หรืออาจเป็น
เพราะ การแทนที่ด้วยซลิ กิ าตามแนวโครงสรา้ งเนอ้ื ไม้ ทำ� ใหเ้ กดิ รอย
ทไ่ี มส่ มบรู ณต์ ามแนว วงปี ทำ� ให้ผพุ งั งา่ ยกวา่ โครงสรา้ งหลกั กเ็ ปน็ ได้
ตวั อยา่ งตอ่ มาเปน็ เนอ้ื ไมก้ ลายเปน็ หนิ ทแ่ี ตกออกจากซงุ
แตย่ งั ไมห่ ลดุ จากตำ� แหนง่ เดมิ เนอ่ื งจากหนิ แขง็ กวา่ ไมม้ ากแตไ่ มเ่ หนยี ว
เท่าไม้ ดังน้ันไม้กลายเป็นหินจึง
แตกหกั ง่ายกว่าไม้ซงุ มาก
จากลกั ษณะภายนอก
พอจะกลา่ วได้ว่า หน้าท่เี หน็ อยใู่ นแนว
หน้าสัมผัส แนวเส้นตรงส่วนใหญ่ท่ี ขนานกัน คือ ส่วนท่ีเป็นเน้อื ไม้
หรอื ทอ่ ลำ� เลยี งน้� ำที่ถูกลอ้ มรอบด้วยเทรคดี พาเรงคมิ า และไฟเบอร์
เป็นหลัก สว่ นที่แตกหกั เปน็ แนวหน้าตดั ขวาง และขอบด้านข้างเปน็
แนวหนา้ รัศมี
ดงั นนั้ อาศยั ความรเู้ บอื้ งตน้ เกยี่ วกบั ไมย้ นื ตน้ ในบทกอ่ นหนา้
เราสามารถดำ� ดง่ิ เข้าสโู่ ลกบรรพชวี นิ ได้ไมย่ าก และถ้ามแี วน่ ขยายเราก็
จะได้พบกับสิ่งมหศั จรรย์ที่ธรรมชาตไิ ด้ซอ่ นไวใ้ หเ้ ราคน้ หา ได้อยา่ งไมส่ น้ิ สดุ
ทเ่ี ห็นเป็นเส้ียนไม้ รอบ ๆ ต้นซงุ กลายเป็นหนิ ทัง้ หมดนี้คือ ท่อลำ� เลยี งน�ำ้ (Xylem) หรอื เนือ้ ไม้
สว่ นทอ่ ลำ� เลียงอาหารท่อี ยู่ตดิ กับเปลอื กไม้ถกู ยอ่ ยสลายไปกอ่ นที่จะเรม่ิ กระบวนการกลายเปน็ หนิ แลว้
21
การศึกษาไมก้ ลายเปน็ หินในอุทยานฯ
กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื ได้ทำ� การสำ� รวจพบไมก้ ลายเปน็ หนิ หลายสบิ ทอ่ น
และได้ท�ำการขดุ ค้น ศึกษาทว่ั พ้นื ที่วนอทุ ยาน รวม 7 หลุม พบไม้กลายเป็นหินขนาดใหญ่ จ�ำนวน
8 ท่อน ตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2546-2548 แล้วจงึ ได้พฒั นาเป็นแหลง่ ทอ่ งเท่ยี ว และเรียนรู้ทางธรรมชาติ
ของจงั หวดั ตาก โดยได้รบั ความรว่ มมอื จากหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วข้องทงั้ ในจงั หวดั และจากสว่ นกลาง
ในการศึกษาวิจัยเพ่อื ให้ได้ข้อมูลท่ี ถูกตอ้ ง ส�ำหรับการเผยแพรส่ ูส่ าธารณชน
ในปงี บประมาณ 2553 กรมทรพั ยากรธรณี โดยสำ� นกั คมุ้ ครองซากดกึ ดำ� บรรพ์ ในเวลานน้ั
ได้จัดทำ� โครงการวิจัยไม้กลายเปน็ หนิ โดยมอบหมายให้ ดร.วิฆเนศ ทรงธรรม เปน็ ผู้ท�ำการส�ำรวจ
ศึกษาวิจัย ทั้งในภาคสนาม และในห้องปฏิบัติการ เพ่ือให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องส�ำหรับการใช้อ้างอิง
และเผยแพร่
ในภาคสนามได้ดำ� เนนิ การสำ� รวจธรณวี ทิ ยาครอบคลมุ พน้ื ท่ี อำ� เภอสามเงา และบา้ นตาก
ส�ำรวจรายละเอียดสภาพพ้ืนที่ และธรณีวิทยาบริเวณวนอุทยานไม้กลายเป็นหิน (ชื่อในเวลาน้ัน)
ทำ� ใหท้ ราบเบาะแสวา่ นา่ จะยงั มไี มก้ ลายเปน็ หนิ ฝงั อยอู่ กี หลายสบิ ตน้ พรอ้ มศกึ ษาสภาพการสะสมตวั
ของตะกอนภายในหลุมขดุ คน้ ทั้ง 7 หลมุ
วิธกี ารศกึ ษาวจิ ัย
เนื่องจากการศึกษาวิจัยครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสภาพแวดล้อมโบราณในพื้นที่
สำ� รวจ โดยเฉพาะด้านพฤกษศาสตร์ จงึ ได้ทำ� การเกบ็ ตัวอย่างไม้กลายเปน็ หนิ ทั้ง 8 ตน้ จากหลุม
ขุดค้นทั้งหมด 7 หลุม เพ่ือท�ำการศึกษาในห้องปฏิบัติการเปรียบเทียบกับตัวอย่างไม้ท้องถิ่น
เพือ่ หาความสัมพันธท์ างพฤกษศาสตร์ (Botanical affinities)
การศกึ ษาไมก้ ลายเปน็ หนิ มขี ้อจำ� กดั ด้านกายภาพหลายข้อ เนอ่ื งจากไม้ผา่ นกระบวนการ
แทนท่ี ด้วยสารซลิ กิ า และถูกกดทบั เปน็ เวลานาน ทำ� ใหโ้ ครงสรา้ งบางสว่ นบดิ เบย้ี วหรอื ถูกทำ� ลายไป
แตก่ ม็ สี ่วนทีย่ งั คงสภาพให้ศกึ ษาได้ เพียงแต่ไมม่ กี ลิ่น และไม่มีสเี ดิมเหลืออยู่
การศึกษากายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบตัวอย่างเน้อื ไม้กลายเป็นหิน กับเน้ือไม้ปัจจุบัน
ท�ำโดยการศึกษาด้านกายภาพด้วยตาเปล่า พร้อมทั้งเตรียมตัวอย่างไม้กลายเป็นหินเพื่อศึกษา
รายละเอยี ดภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศนท์ ัง้ ในด้านตัดขวาง ด้านรัศมี ด้านแนวสมั ผัส
เนอ่ื งจากไมก้ ลายเปน็ หนิ ถูกจดั เปน็ วตั ถทุ างธรณวี ทิ ยา (Geological material) ถงึ แมว้ า่
ครงั้ หนึ่งในอดตี มนั เคยเปน็ วัตถุทางชวี วทิ ยา (Biological material) ก็ตาม ดังนั้นการเรียกช่ือทาง
วทิ ยาศาสตร์ จงึ ตอ้ งเรยี กตามหลกั วชิ า บรรพชวี นิ วทิ ยา แตเ่ นอื่ งจากโครงสรา้ งเนือ้ ไมก้ ลายเปน็ หนิ
ยังแสดงลกั ษณะทเี่ ทยี บเคียงได้กบั พืชในปัจจบุ ัน ดังนั้นนกั บรรพชวี ินวทิ ยาจึงนยิ มตงั้ ชอ่ื ตามแบบ
22
Artificial nomenclature โดยทไ่ี มก้ ลายเปน็ หนิ เกดิ จากการแปรสภาพจากอวยั วะสว่ นของเนอ้ื ไม้
(Xylem) การตง้ั ชอื่ จงึ ใชช้ อื่ อวยั วะท่ี ศกึ ษามาตอ่ ทา้ ย (Organ taxoz) เชน่ ไมก้ ลายเปน็ หนิ ทมี่ ลี กั ษณะ
ใกลเ้ คยี งกบั ไมก้ ระบาก (สกลุ Anisoptara) กจ็ ะตง้ั ชอ่ื สกลุ วา่ Anisoptaroxylon เปน็ ตน้
ตัวอย่างไม้กลายเป็นหินที่ตัด และขัดเป็น
แผ่นหินบาง ทง้ั สามดา้ น คือ ดา้ นตดั ขวาง
ด้านรัศมี และด้านสัมผัส เพ่ื อน�ำไปศึกษา
ภายใตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ ซงึ่ จะสามารถเหน็ ถงึ
รายละเอียดการแทนที่ของสารซิลิเกต
ในเน้ือเย่ื อไม้อย่างชัดเจน รวมถึงร่องรอย
บดิ เบีย้ วท่ีเกดิ จากการถูกกดทับดว้ ย
ผลการศกึ ษาเปรยี บเทียบตวั อย่างไมก้ ลายเปน็ หิน
สำ� หรบั การศกึ ษารายละเอยี ดด้วยกลอ้ งจลุ ทรรศนเ์ ปน็ การศกึ ษาทเ่ี ปรยี บเทยี บได้กบั การ
ตรวจพสิ จู นเ์ นอื้ ไม้ เพยี งแตม่ ขี น้ั ตอนการเตรยี มตวั อยา่ งทซี่ บั ซอ้ น และตอ้ งอาศยั เครอื่ งมอื ทใี่ ชเ้ ทคโนโลยี
สงู ขน้ึ ทง้ั นเี้ พอื่ จะได้ตรวจสอบโครงสรา้ งเนอื้ ไมก้ ลายเปน็ หนิ ทไ่ี มส่ มบรู ณเ์ ทา่ เนอื้ ไมจ้ รงิ
ผลการศึกษาตวั อย่างไมก้ ลายเปน็ หินท้ัง 8 ต้น พบว่าแบ่งได้เป็น 2 กลมุ่ โดยสว่ นใหญ่
สามารถสงั เกตเหน็ เสย้ี นไมไ้ ด้อยา่ งชดั เจน ทง้ั ในด้านตดั ขวาง ด้านรศั มี และด้านสมั ผสั สว่ นตวั อยา่ ง
จากหลมุ ท่ี 2 และ 5 มพี ืน้ ผิววัตถุเนียนเรยี บ สังเกตเสยี้ นไม้ด้วยตาเปลา่ ได้ไมช่ ดั เจน เมือ่ ตัดและทำ�
แผน่ หนิ ขดั เรยี บแลว้ เนอื้ วตั ถตุ วั อยา่ งจะเรยี บเนยี นไมเ่ ปน็ เสีย้ น และเมอื่ ศกึ ษาผา่ นกลอ้ งจลุ ทรรศน์
แลว้ ปรากฏผลสอดคลอ้ งกบั การสงั เกตด้วยตาเปลา่ ดงั น้ี (ตวั อยา่ งผลการศกึ ษาอยใู่ นหนา้ ถดั ไป)
ตวั อย่างกลุ่มที่ 1 จากหลุมท่ี 1 3 4 6 และ 7
ลกั ษณะทางกายวิภาคศาสตร์เน้อื ไมก้ ลายเปน็ หนิ ท่ีเทยี บเคยี งได้กบั
: ไมก้ ลายเป็นหินชนิด Koompassioxylon elegans
ลักษณะกายวิภาคศาสตรเ์ นอ้ื ไม้ที่ใกลช้ ิดกับ
: เนือ้ ไมป้ ัจจบุ ันของต้นทองบง้ึ (Koompassia malaccensis)
ตวั อยา่ งกลมุ่ ที่ 2 จากหลุมที่ 2 และ 5
ลักษณะทางกายวิภาคศาสตรเ์ นอื้ ไม้กลายเปน็ หินทีเ่ ทียบเคียงได้กบั
: ไม้กลายเปน็ หนิ ชนดิ Pahudioxylon sp.
ลักษณะกายวิภาคศาสตรเ์ นื้อไม้ที่ใกล้ชิดกบั
: เนอื้ ไม้ปัจจบุ นั ของต้นมะคา่ โมง (Afzelia xylocarpa)
23
ตัวอยา่ งไมก้ ลายเป็นหนิ หลุมท่ี 7 ไม้กลายเป็นหนิ ชนดิ Koompassioxylon elegans
ท�ำการศึกษาตัวอย่างไม้กลายเป็นหินผ่านกล้องจุลทรรศน์เทียบเคียงกับเน้ือไม้ทองบ้ึง
โดยเปรียบเทียบขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเวสเซลเมมเบอร์ ความยาวเวสเซลย่อย ขนาดและ
การเรียงตัวของพิท และเปรียบเทียบรูปแบบการวางตัวของ
เนอ่ื เยอ่ื ต่าง ๆ ดังน้ี
ภาพด้านสัมผสั
Ray parenchyma
เรยี งตวั กันเปน็ แบบ 1-3 แถว
Pore พอรเ์ ปน็ แบบ ภาพด้านตดั ขวาง
พอรแ์ ฝด (Radial multiple pores)
พอรเ์ ดี่ยว (Solitary pores)
การกระจายตัวของพอร์
เป็นแบบกระจาย (Difuse porous)
Ray parenchyma เสน้ เรย์ เห็นได้ชัดเจน
Wood parenchyma
แบบปกี (Aliform) และจบั กลมุ่ จนเปน็ รปู เพชร (Lozenge)
พาเรงคิมาแบบปกี ตอ่ เชอ่ื มถงึ กัน (Confluent) ชัดเจน มากมาย
พาเรงคมิ าปลายฤดู (Marginal parenchyma) ไมช่ ดั เจน
ภาพดา้ นตดั ขวาง ตวั อยา่ งเนอ้ื ไมท้ องบง้ึ (Koompassia malaccensis)
Pore พอร์เปน็ แบบ
พอร์เดี่ยว (Solitary pores)
พอร์แฝด (Radial multiple pores)
การกระจายตวั ของพอร์ เปน็ แบบกระจาย (Difuse porous)
Ray parenchyma
เสน้ เรย์ เหน็ ได้ชัดเจน
Wood parenchyma
แบบปีก (Aliform) และจบั กลุ่มจนเป็นรูปเพชร (Lozenge)
พาเรงคิมาแบบปกี ตอ่ เช่ือมถงึ กัน (Confluent) ชดั เจน มากมาย
พาเรงคมิ าปลายฤดู (Marginal parenchyma) ไมป่ รากฏ
24
ตัวอยา่ งไม้กลายเปน็ หนิ หลุมท่ี 5 ไม้กลายเปน็ หินชนิด Pahudioxylon sp.
ท�ำการศึกษาตัวอย่างไม้กลายเป็นหินผ่านกล้องจุลทรรศน์เทียบเคียงกับเนื้อไม้มะค่าโมง
โดยวัดเปรยี บเทยี บขนาด และสงั เกตรปู แบบการวางตวั ของเน้อื เยอื่ ต่าง ๆ ดงั นี้
ภาพดา้ นสมั ผสั Ray parenchyma
เรียงตวั กนั เป็นแบบ 1-3 แถว
ภาพด้านตัดขวาง Pore พอรเ์ ปน็ แบบ
พอรเ์ ด่ยี ว (Solitary pores)
พอร์แฝด (Radial multiple pores)
การกระจายตวั ของพอร์
เป็นแบบกระจาย (Difuse porous)
Ray parenchyma
เส้นเรยเ์ ห็นชดั
Wood parenchyma
แบบปีก (Aliform) และจบั กลุม่ จนเปน็ รูปเพชร (Lozenge)
พาเรงคมิ าปลายฤดูชดั เจน (Marginal parenchyma)
ภาพด้านตดั ขวาง ตวั อย่างเนื้อไมม้ ะค่าโมง (Afzelia xylocarpa)
Pore พอร์เปน็ แบบ
พอร์แฝด (Radial multiple pores)
พอร์เดยี่ ว (Solitary pores)
การกระจายตัวของพอร์
เปน็ แบบกระจาย (Difuse porous)
Ray parenchyma
เสน้ เรย์ เหน็ ได้ชัดเจน
Wood parenchyma
แบบปีก (Aliform) และจบั กลุ่มจนเปน็ รปู เพชร (Lozenge)
พาเรงคมิ าปลายฤดูชัดเจน (Marginal parenchyma)
25
พระราชบัญญัติ
คมุ ครองซากดกึ ดาํ บรรพ
พ.ศ. ๒๕๕๑
พระราชบญั ญตั ิ คมุ้ ครองซากดกึ ดำ� บรรพ์ พ.ศ. 2551 ถูกตราขนึ้ เนอ่ื งจากมกี ารคน้
พใแนลบกะซามารีศกสักดืบยึกคภด้น�ำาคบพวรใานรมพกเ์ทาปร่ีส็นพใ�ำมหัฒคาไญั ขนวอใา นงเณภปปป็นูมรรวะะแิพนั เวหททัตลลศ่ีิข่งอไ๓อเทรด๐งยียโลุลเนมพกรยกิ่มู้รอ เมแดาีกาคลทชกมะั้งขเยป้นึพปัง็น.เสศปแ.มร.ห็นค.๒ลมว่งร๕รทดอ๕่อกน๑งทุรเกัาทงษี่ยธ์ไวรวทร้ เมี่สพชรือ่ ้าากงตาริขราอศยงึกไแดษ้ผใาห่นว้กดิจับินยั
ประเทศ เปน ปท ี่ ๖๓ ในรัชกาลปจจบุ นั
พระบาแทลสะมเนเดื่อ็จงจพารกะกป่อรนมหินนท้ารนมั้นหยาังภไมูม่มิพีกลฎอหดมุลายยเเดพชื่อคมุ้มีพคระอบงรอมนรุราักชษโอ์ แงกละารกโาปรบรรดิหเกาลรา ฯ
ใหประจกัดากศวาารซากดึกด�ำบรรพ์ไว้เป็นการเฉพาะ เป็นเหตุให้มีการลักลอบขุดค้นซากดึกด�ำบรรพ์
ซง่ึ มาตหปกอราำ�ยรรโพหือะ่า๒ดงโนรขยยมะ๙ุดดทชปีรคใี่เนหราปป้นชะ์ทม้รนโสบะดากี กิทกงัฎยญากธอไรหญามิภบสมร่ัถาตกมูาคพกินับคย้าหมวี้เมพลราทีบมตอื่ัก�ำทรใีกวใหาบหิชฎก้ัาห้สญ๓ากูญมญร๓าาคเรัตยส้มุ มวิบียทคาามาดต�รำงรอใวรปดหยางกรก้ซอ๔ะขาานรกอก๑คุราดงุมกัรแมึกษเคผาดกรต์่น�ำี่ยแอรบดวลงาินรกซะรัท๔บบาพกี่มร๒ก์เดหิีคาหกึรุาณแลดรจล่าคาํจํานะบ่ากดั ม้นัยรักดิร่งถาาสูเตพกรปิทรซท็นธาา�ำจิแกล�ำ๔ดลานกึยะ๓วดเสนหำ� ขมรบรีอภาือรกงารนรพพ�ำัฐสขไเ์ ปปมธอ็นรคเงพรไวบป่ือมรุคนคูญล
แหงราช อาณาจกั อราไศทัยอบ�ำนัญาญจตั ิใาหมก มราะตทราํ าได2โ6ดแยหอ่งาพศัยรอะาํรนาชาจบตัญามญบัตทิฉบัญบนญ้ี ตั อิแธหิบงดกีกฎรหมมทารยัพยากรธรณี
มีอจ�ำึงนทารจงใพนรกะากรปรุณระากโปาศรขดึ้นเกทละาเบฯียนใซหาตกรดาึกพดร�ำะบรราชรพบ์ทัญ่ีสญ�ำัตคิขัญ้ึนไแวลโะดมยีคคุณําแคน่าะตนาํามแหลละักยินเกยณอม์ทข่ี อง
สภานิตคบิ ณัญะญกัตรแิรมหกงชาราตคิุ้มดคังรตอองไซปานกี้ดดึกด�ำบรรพ์ก�ำหนด
มาตรมา ๑าตราพร๒ะ๖ราชเมบื่ัญออญธิบัตดนิ ีเเี้หร็นยี กวว่าซา า“กพดรึกะดร�ำาชบบรรญั พญ์ใดตั ทคิ ี่พมุ บคใรนอรงาซชาอกาดณึกดาจําบักรรรมพีคว พาม.ศส.�ำ๒คัญ๕๕๑”
หมราือตมรีคาุณค๒่าในกพารศะึกรษาาชปบรัญะวญัตัิขตอินง้ีใโลหกใชบบรรังพคชับีวเินมวื่อิทพยานบกรํารหพนชดีววหิทนยึ่งารหอรยือแกปารดลส�ำดิบับวชัน้ันนหับินแตวัน
ประกาศใต นมนาั้นารมเตาปหรช็นลากซกั ิจเากจกเ๓ณมาดนื่ฑึกอเุดท์บคใ�ำณ่ีกนบะคษณกพระารรรเกพรปะรม์ทรนรก่ีขามตาชึ้นกรนบาทเหไรญัะกป็นเญบำ� วหีย่าัตนนซินดาแี้ กใลดหะึกอ้ เดสธบิ�ำนบดอรปีใรหรพ้คะก์ทณาี่ขะศ้ึนกใทรนระรมเาบกชียากนรจิ พตจาิจามนาวรเุ บรณกราษคหาในหึ่งซ้เปา็นกดสกึิ่งทดี่ำ� หบารยราพก์
และมีคุณค่าเป็นพิเศษ สมควรเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ ให้อธิบดีประกาศรายละเอียดของ
ซากดึกด�ำบรรพ์ดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษา
26
การข้ึนทะเบียน
แหล่งซากดึกด�ำบรรพ์
นอกจากซากดึกด�ำบรรพ์แล้ว แหล่งท่ีพบ หรือแหล่งท่ีมีซากดึกด�ำบรรพ์อยู่ก็ได้รับ
การอนุรักษ์โดย พระราชบัญญัติฉบับนี้เช่นกัน
หนงึ่ ในวธิ กี ารอนรุ กั ษ์ แหลง่ ซากดกึ ดำ� บรรพ์ คอื การประกาศใหแ้ หลง่ ทีม่ คี ณุ สมบตั ิ
ตรงตามเกณฑท์ ค่ี ณะกรรมการคมุ้ ครองซากดกึ ดำ� บรรพก์ ำ� หนด เปน็ “แหลง่ ซากดกึ ดำ� บรรพ์
ที่ข้ึนทะเบยี น” ตามมาตรา 14 ซ่งึ มมี าตรการทางกฎหมายให้ความคุ้มครองอยา่ งเข้มงวด
มาตรา ๑๔ เม่ื อปรากฏว่าพ้ืนที่บริเวณใดเป็นแหล่งซากดึกด�ำบรรพ์ที่มีความส�ำคัญ
ต่อการศึกษาประวัติของโลก บรรพชีวินวิทยา บรรพชีววิทยา หรือการล�ำดับช้ันหิน ตามหลัก
เกณฑ์ ที่คณะกรรมการกำ� หนด ไมว่ า่ จะไดม้ กี ารประกาศเปน็ เขตสำ� รวจและศกึ ษาวจิ ยั ตามมาตรา
๑๒ หรือไม่ก็ตาม ให้อธิบดีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการมีอ�ำนาจประกาศในราชกิจจา
นุเบกษาให้พื้นท่ีบริเวณนั้นเป็นแหล่งซากดึกด�ำบรรพ์ท่ีขึ้นทะเบียน พร้อมด้วยแผนท่ีแสดงเขต
แหล่งซากดึกด�ำบรรพ์ท่ีข้ึนทะเบียนนั้นแนบท้ายประกาศด้วย
ปจั จบุ นั แหลง่ ซากไมก้ ลายเปน็ หนิ จงั หวดั ตากทง้ั 7 หลมุ ได้รบั การพสิ จู นจ์ ากอธบิ ดี
กรมทรพั ยากรธรณี และคณะกรรมการคุ้มครองซากดกึ ดำ� บรรพ์แลว้ วา่ มคี วามสำ� คัญตอ่ การ
ศึกษาประวัติของโลก บรรพชีวินวิทยา บรรพชีววิทยา และการล�ำดับชั้นหิน จึงได้รับการ
ประกาศให้เป็นแหล่งซากดึกด�ำบรรพ์ท่ี ขึ้นทะเบียน ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 133 ตอน
พิเศษ 113 ง เมื่อวนั ท่ี 16 พฤษภาคม 2559
27
28
29
30
31
32
33
เม่อื (รูจ้ กั ) ไมก้ ลายเปน็ หนิ
เมอ่ื มาถงึ หนา้ น้ี คำ� วา่ “ไมก้ ลายเปน็ หนิ ” คงไมใ่ ชส่ ง่ิ แปลกประหลาด
ส�ำหรับเราอีกต่อไป แต่ว่ามันจะยังคงเป็น สิ่งมหัศจรรย์ อย่างมิอาจ
เปลี่ยนแปลงได้ และอาจจะมหัศจรรยย์ งิ่ ขนึ้ กวา่ ก่อนหน้าทีเ่ ราจะได้ทำ� ความ
รจู้ ัก และเข้าใจไม้กลายเป็นหนิ เสียอกี
“เมื่อรูจ้ กั แลว้ มกั เสยี ดาย”เสยี ดายทร่ี ชู้ า้ ไปหนอ่ ย เสยี ดายทไ่ี มไ่ ด้ดูแล
รกั ษาต้งั แต่ตน้ เสียดายทีค่ นอื่น ๆ ยังไมร่ ู้จัก “ไม้กลายเปน็ หนิ ” อย่างทเ่ี รารู้
“เม่ื อรู้จัก แล้วรู้รักษ์” คงจะช่วยลดความเสียดายลงไปได้บ้าง
แลว้ เราจะรรู้ กั ษไ์ ด้อยา่ งไร การรกั ษาสงิ่ ทคี่ วรอนรุ กั ษไ์ มใ่ ชส่ งิ่ ทยี่ าก โดยเฉพาะ
อยา่ งยงิ่ ถ้าหากเรามคี วามรู้ค วามเข้าใจ เกย่ี วกบั สงิ่ ทคี่ วรอนรุ กั ษ์ จะไมม่ คี ำ� วา่
“รู้เท่าไม่ถึงการณ”์ ซ่งึ เป็นปัจจัยสำ� คญั ทน่ี ำ� ความเสยี หายไปส่สู ง่ิ ท่คี วรรกั ษ์
การเผยแพร่ความรู้เก่ียวกับสิ่งมหัศจรรย์ท่ีต้องอนุรักษ์เป็นวิธีการที่
ทำ� ได้เมอ่ื เรามคี วามรู้ และความเข้าใจแลว้ คงนา่ ภมู ใิ จไมน่ อ้ ยหากเราได้ทำ� ให้
คนไทยได้รอู้ ยา่ งท่เี ราได้มโี อกาสรู้ และได้รกั ษ์อย่างท่เี รามีโอกาสได้รักษ์
ไม้กลายเป็นหินจะได้ไม่กลายเป็นสินค้าราคาถูก ไม่สมคุณค่าท่ี
ธรรมชาติได้เพียรสร้าง และทะนุถนอม ผ่านธรณีกาลที่นานแสนนาน
เพอ่ื มนษุ ย์ทกุ คน
กรมทรััพยากรธรณีี
34
เอกสารอ้างองิ
เด่นโชค มนั่ ใจ, 2559, รายงานธรณวี ทิ ยาควอเทอรน์ ารี แอ่งบา้ นตาก อ�ำเภอบ้านตาก จงั หวัดตาก,
สำ� นักงานทรัพยากรธรณเี ขต 1 ลำ� ปาง, กรมทรพั ยากรธรณี, 64 หน้า
ราชบณั ฑติ ยสถาน, 2544, พจนานกุ รม ศพั ทธ์ รณวี ทิ ยา ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน, 384 หนา้ ,กรงุ เทพฯ
วิฆเนศ ทรงธรรม, 2553, ธรณีวิทยาและบรรพชีวินวิทยาแหล่งไม้กลายเป็นหิน อ�ำเภอบ้านตาก
จังหวัดตาก, รายงานวชิ าการ ท่ี สคบ.ว. 2/2553, กรมทรพั ยากรธรณ.ี
วโิ รจน์ ชาญเชงิ พานชิ , 2555, การตรวจพสิ จู นไ์ มใ้ นคดกี ฎหมายวา่ ด้วยการปา่ ไม,้ จากอนิ เทอรเ์ นต็
<http://forprod.forest.go.th/forprod/Picnews_1/NEW.html> คน้ วนั ท่ี 30 มนี าคม 2560
George, E. M. 2008. Mineralogy and geochemistry of late Eocene silicified wood from
Florissant Fossil Beds National Monument, The Geological Society of America
Special Paper 435, 127-140.
George, E. M. 2015. Late Tertiary Petrified Wood from Nevada, USA: Evidence of Multiple
Silicification Pathways, Geosciences 5, no. 4: 286-309. Available from:
<http://www.mdpi.com/2076-3263/5/4/286/htm> accessed 30 April 2017
Leo, R.F. & Barghoorn, E.S. 1976. Silicification of Wood. Botanical Museum Leaflets,
Harvard University, vol. 25, no 1. Available from: <https://archive.org/details/
mobot31753003541064> accessed 29 May 2017
Mike, V., Petrified Wood: The Silicification of Wood by Permineralization,
Available from: <http://petrifiedwoodmuseum.org/pdf/permineralization.pdf>
accessed 31 March 2017
Sasada, M., Ratanasthien, B., Soponpongpipat, R. 1987. New K/Ar ages from the Lampang
basalt, northern Thailand. Geological Survey of Japan Bulletin, 38(1), 13-20.
The University of Tennessee Agricultural Extension Service, PB1692-1.5M-2/02
E12-4915-00-010-002,PB1692. WoodIdentificationforHardwoodandSoftwood
Species Native to Tennessee, Available from: <http://trace.tennessee.edu/
utk_agexfores/10> accessed 31 March 2017
Wickanet, S., Dallas, C. M., Benjavun, R. 2011. Petrified Tree Trunks from a Gravel
Deposit, Ban Tak Petrified Forest Park, Ban Tak–Sam Ngao Basin, Tak Province,
Northern Thailand.
https://en.wikipedia.org/wiki/Opal accessed, 31 March 2017
http://www.wood-database.com/, accessed 31 March 2017