The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by prdmr.pr, 2021-07-29 23:25:05

Abstract book_final5

Abstract book_final5

22 ธรณีวิถใี หม่ นวัตกรรมไทย เพ่ือการพฒั นาทีย่ ่ังยืน

กว่าจะมาเปน็ อทุ ยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด กบั เหตกุ ารณ์นา้ ทะเลถอยรน่ :
หลกั ฐานจากภมู ิลักษณ์และการหาอายุ

พีรสิทธ์ิ สรุ เกยี รตชิ ัย1, 2*, มนตรี ชูวงษ์1, 2, สเุ มธ พนั ธุวงคร์ าช1, 2, กิตติ ขาววิเศษ3 และ ปัญญา จารศุ ริ 2ิ ,3

1 ภาควชิ าธรณีวิทยา คณะวทิ ยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย,
2 หนว่ ยปฏิบตั ิการวจิ ัย สณั ฐานวิทยาของพ้นื ผวิ โลกและธรณีพิบัตภิ ัยขัน้ สูงในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ (MESA RU) ภาควิชา

ธรณีวทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย กรงุ เทพมหานคร ประเทศไทย
3 กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ถนนพระราม 6 กรงุ เทพมหานคร ประเทศไทย

*E-mail: [email protected]

บทคัดย่อ

เราไดค้ ดั เลอื กพนื้ ทช่ี ายฝง่ั ทะเลบรเิ วณอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาสามรอ้ ยยอด จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธเ์ พอ่ื ศกึ ษา
ประวตั คิ วามเปน็ มาของชายฝงั่ ทะเลโบราณและววิ ฒั นาการชายฝง่ั ทะเล โดยอาศยั หลกั ฐานจากภมู ลิ กั ษณ์ ธรณี
สณั ฐานวทิ ยา และการหาอายชุ ายฝง่ั โดยเราไดแ้ ปลความหมายขอ้ มูลภาพจากดาวเทยี มและภาพถา่ ยทางอากาศ
ควบคกู่ บั การตรวจสอบเชงิ เอกสาร การออกสนาม การเกบ็ ตวั อยา่ งตะกอนและหอย และการกาหนดอายชุ ายหาด ผล
การตรวจสอบทางภมู ลิ กั ษณพ์ บวา่ ชายฝงั่ ทะเลสามรอ้ ยยอดแตเ่ ดมิ ประกอบดว้ ยชายหาดเกา่ เปน็ บรเิ วณกวา้ งตงั้ แต่ 1
-5 กม และยาวประมาณ 30 กม เกอื บขนานกบั ชายฝง่ั ปจั จบุ นั โดยปรากฏรอ่ งรอยของแนวสนั ทรายโบราณสลบั กบั
แนวรอ่ งลมุ่ ต่าชดั เจน ผลการเดนิ สารวจและเกบ็ ตวั อยา่ งตะกอนชายหาดโบราณทเ่ี กอื บตงั้ ฉากกบั แนวสนั ทรายโบราณ
ตลอดจนการหาอายดุ ว้ ยวิธีเปลง่ แสงเชงิ แสงทาใหเ้ ราทราบวา่ ชายฝั่งทะเลโบราณนมี้ อี ายเุ กา่ แกท่ ี่สดุ ถึงประมาณ
10,000 ปมี าแลว้ และตอ่ มาระดบั ทะเลจงึ คอ่ ย ๆ ลดตา่ ลงเรอื่ ย ๆ จนถงึ ระดบั ปจั จบุ นั

ผลการวจิ ยั ทาใหเ้ ราสรา้ งประวตั คิ วามเปน็ มาของอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาสามรอ้ ยยอดและพนื้ ทใ่ี กลเ้ คยี งตลอดจน
ววิ ฒั นาการทภ่ี มู ลิ กั ษณช์ ายฝงั่ ทะเลเปลยี่ นแปลงไปไดช้ ดั เจนขน้ึ ซง่ึ มคี วามสาคญั ตอ่ ภมู ศิ าสตรบ์ รรพกาลของอา่ วไทย
เปน็ อยา่ งมาก และทาใหเ้ ราวนิ จิ ฉยั ไดว้ า่ แตเ่ ดมิ อทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาสามรอ้ ยยอดไมไ่ ดเ้ ปน็ เทอื กเขาหนิ ปนู ขนาดใหญอ่ ยา่ ง
ทเี่ หน็ ในปจั จบุ นั แตก่ ลบั สภาพทถี่ กู ลอ้ มรอบดว้ ยทะเลโบราณของอา่ วไทยมากอ่ น นอกจากนน้ั เขาใหญน่ อ้ ยทพ่ี บใกล้
อทุ ยานและ ทอี่ ยถู่ ดั จากเขาสามรอ้ ยยอดออกมากม็ สี ภาพเปน็ เกาะดว้ ยเชน่ กนั ยง่ิ กวา่ นนั้ ผลการศกึ ษาธรณสี ณั ฐาน
วทิ ยาและการกาหนดอายจุ ากตะกอนสนั ทรายดว้ ยวธิ กี ารเปลง่ แสงเชงิ แสง (OSL) จากควอตซ์ และตวั อยา่ งเปลอื กหอย
นางรมดว้ ยวธิ กี มั มนั ตรงั สคี ารบ์ อน (radiocarbon dating) ทาใหเ้ รากาหนดอายชุ ายฝง่ั ทะเลโบราณโดยรอบอทุ ยาน
ออกเปน็ 4 ชว่ ง ไดแ้ ก่ ชว่ งอายุ 10,000 – 6,000 ปกี อ่ น, ชว่ งอายุ 6,000- 4,000 ปกี อ่ น, ชว่ งอายุ 4,000 – 2,00 ปกี อ่ น,
และ ชว่ งอายุ 2,000 ปจี นถงึ ปจั จบุ นั ผลการศกึ ษาของเราทาใหส้ ามารถสรา้ งแผนทว่ี วิ ฒั นาการภมู ลิ กั ษณช์ ายฝง่ั ทะเลได้
และยงั สรปุ ไดว้ า่ พนื้ ทโ่ี ดยรอบเขาสามรอ้ ยยอด และเขาเลก็ ๆ ทางตะวนั ออกตดิ ชายฝง่ั ทะเลอา่ วไทยมสี ภาพเปน็ เกาะ
อยา่ งชดั เจน และความเปน็ เกาะกเ็ กดิ เรอ่ื ยมาจนมาถงึ ชว่ งเวลาประมาณ 6,000 ปี นอกจากนนั้ ภมู ลิ กั ษณบ์ รรพกาล
ดงั กลา่ วทาใหเ้ ราประเมนิ ไดว้ า่ เมอ่ื ประมาณ 10,000 ปที แี่ ลว้ มา บงึ บวั อทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาสามรอ้ ยยอดซงึ่ อยทู่ าง
ตะวนั ตกของอทุ ยานกเ็ คยจมอยใู่ ตท้ ะเลมากอ่ นดว้ ยเชน่ กนั และอาจมสี ภาพเปน็ ทะเลสาบเหมอื นทะเลสาบนอ้ ยของ
จงั หวดั สงขลา ซงึ่ คงตอ้ งมกี ารหาอายโุ ดยละเอยี ดสบื ไป

ค้าส้าคญั : ววิ ฒั นาการชายฝ่ังทะเล, อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด, ประจวบครี ขี ันธ,์ การหาอายุด้วยวธิ ีการ
เปลง่ แสงเชงิ แสง, ชายฝง่ั ทะเลโบราณ ชายฝ่งั ทะเลโบราณ

Oral Session

การประชุมวชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564 23
(Geothai Webinar 2021) วนั ที่ 4-6 สิงหาคม 2564

23

การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ (IT) ในงานธรณวี ทิ ยาวศิ วกรรม

INFORMATION TECHNOLOGY APPLIED TO ENGINEERING GEOLOGY

ธนู หาญพฒั นพานชิ ย์

E-mail: [email protected]

บทคดั ยอ่

Information Technology - เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง วิธีการจัดการข้อมูลด้วยวิธีการท่ีเป็น
อัตโนมัติ โดยที่ “สารสนเทศ” ในที่น้ี จะหมายถึง ส่ิงท่ีเพิ่มเข้าไปในฐานความรู้และความเข้าใจ และรวมถึง
ข้อมูล(ความจริง) และการแปลความหมายจากสารสนเทศน้ัน ด้วยเหตุที่เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีการพัฒนา
ก้าวหน้าไปอย่างมาก วิธีจัดการด้วย IT จะช่วยให้มีโอกาสในการจัดการกับสารสนเทศในงานธรณีวิทยา
วิศวกรรมไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ เพราะสารสนเทศสามารถทาการคานวณด้วยคอมพิวเตอร์ จึงทาให้มีโอกาส
ในการที่จะทาการวิเคราะห์ด้วยวิธีการเชิงปริมาณและทางสถิติได้อย่างละเอียด กว้างขวาง แล้วยังสามารถ
นาเสนอผลด้วยวิธีกราฟฟิกต่างๆ ได้อยา่ งชัดเจน

การจัดการและบริหารสารสนเทศ สามารถทาได้หลากหลาย ตั้งแต่ ความสามารถในการดึงย้ายหน่วย
ข้อมูลในภาพไปเกบ็ และเก็บรกั ษาไวใ้ นระบบฐานขอ้ มูลปรมิ าณที่มากๆ และเลือกดึงข้อมูลแยกตามประเภทท่ี
ต้องการได้โดยง่าย

ดังน้ัน เทคโนโลยีสารสนเทศจึงเข้ามามีบทบาทต่อการทางานของนักธรณีวิทยาวิศวกรรมอย่างมากใน
การสารวจศึกษาโลกรอบตัว ต่อการสื่อสาร ต่อส่ิงท่ีนักธรณีวิทยาฯรู้และคิด ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีจะช่วยนาไปสู่งาน
ด้านวิทยาศาสตร์ท่ีดีข้ึน ประหยัดต้นทนุ เพ่มิ ความรวดเร็วและความยืดหยนุ่ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บ
รกั ษา การดึงกลับมาใช้ การวเิ คราะห์ การสอ่ื สาร และการนาเสนอขอ้ มลู

การทางานด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่เพียงแต่หมายถึงการแปลงข้อมูลและสารสนเทศไปอยู่ใน
รูปแบบของดจิ ติ อล แลว้ จัดการดว้ ยซอฟแวรท์ ย่ี ุ่งยากเท่านั้น ยังหมายถึง“การปฏิวัติทางดิจิตอล” ท่ีเป็นส่วน
สาคญั ในการช่วยให้ทาสง่ิ ต่างๆ ตามแนวคิดในรูปแบบของยุคอะนาล็อกให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ถ้า
หากเรามคี วามประสงคท์ จี่ ะใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศในงานธรณีวิทยาวิศวกรรมให้เต็มศักยภาพแลว้ เรายังต้อง
ทาการปรับ “วิถีการคิด”ของเราเสียใหม่ด้วย ซ่ึงหมายถึงการเปล่ียนแนวทางกระบวนการที่เราใช้ในการคิด
แก้ปัญหาเสียใหม่ด้วย โดยปกติแล้ว เราจะเริ่มต้นการแก้ปัญหาหน่ึงๆ จากแนวคิดท่ีกว้างๆ แล้วใน
กระบวนการคิด เราก็จะขยายแนวคิด แล้วรวมเข้ากับองค์ความรู้ท่ีมีอยู่แล้วในสมองของเราและองค์ความรู้
จากแหล่งความรู้ต่างๆจากภายนอก แล้วก็จัดกระบวนข้อมูลและความรู้ท่ีเราคิดว่ามีส่วนสาคัญต่อเรื่องน้ันๆ
โดยที่เราก็ไม่รู้ว่าเราเลือกข้อมูลและวิธีการท่ีเราเลือกทาแบบน้ี ออกมาจากสมองของเราได้อย่างไร ในการใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศให้เต็มทีเ่ พ่ือทาสงิ่ น้ีแทนสมองเรา เน่ืองจากเราจะไม่สามารถใช้วิธีการคิดวิเคราะห์อย่าง
ที่เราใช้สมองของเรา เราจะต้องกาหนดวิธีการสาหรับการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาของเราล่วงหน้าและอย่าง
ละเอยี ด ดงั นน้ั จึงตอ้ งทาการกาหนดรปู แบบของ “กระบวนการคิด ด้วยเทคโนโลยสี ารสนเทศ”เสยี ใหม่

เอกสารชิ้นน้ีได้เสนอรายการส่ิงท่ีต้องมีพัฒนาปรับเปล่ียนให้นาไปสู่ กระบวนการคิดและท้างาน
ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ซงึ่ เปน็ เพยี งส่วนหนึ่งของสง่ิ ทต่ี อ้ งพฒั นาปรบั เปล่ียนเทา่ นนั้ ซง่ึ ประกอบดว้ ย

Standardization of engineering geological input data for use in IT
The (2D-, 3D-, 4D-) spatial model describing the engineering geological environment

Oral Session

24 ธรณีวิถใี หม่ นวตั กรรมไทย เพื่อการพฒั นาที่ย่ังยนื

Databases for large engineering geological data sets
Geotechnical (numerical) modelling
Spatial data integration and 2D modelling with GIS
Visualization techniques
Public data exchange, data quality assurance and data accessibility
Access to newly developed knowledge
STANDARDISATION OF ENGINEERING GEOLOGICAL INPUT DATA FOR USE IN IT
การที่จะเอื้อให้ กระบวนการคิดและท้างาน ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ข้อมูลสารสนเทศจะต้องครอบคลุมฐานข้อมูล องค์ความรู้ท่ีหลากหลาย กว้างขวางและลึก การเก็บรวบรวม
ข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวจานวนมากเข้าสู่ระบบ จากแหล่งข้อมูลต่างๆ จากระบบการทางานที่แตกต่างกัน
จะต้องมีการกาหนดรูปแบบของข้อมูลให้มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อท่ีจะสามารถนามาใช้ร่วมกันอย่างมี
ประสิทธิภาพ ถกู ตอ้ ง และสะดวก เชน่ ขอ้ มลู จากหลมุ เจาะสารวจดิน สารวจหนิ รายงานการทดสอบ รายงาน
การสารวจธรณีวิทยาสาหรับงานประเภทต่างๆ ข้อมูลจากการสารวจเก็บข้อมูลจากภาคสนาม ให้มีระบบ
จัดเกบ็ ที่ สนับสนนุ การคดั เลอื ก ดงึ กลับมาใช้ได้อยา่ งกวา้ งขวางและสะดวก
THE (2D-, 3D-, 4D-) SPATIAL MODEL DESCRIBING THE ENGINEERING GEOLOGICAL ENVIRONMENT
สารสนเทศในด้านโมเดลของพ้ืนที่และสภาพทางธรณีเทคนิคของชั้นรากฐานท่ีอยู่ใต้และรอบๆ
โครงการทางวิศวกรรม ท้ังในแบบ 2มิติ 3มิติ และ 4มิติ เช่น อุโมงค์ และการขุดระดับลึกสาหรับงานฐานราก
ส่วนใหญจ่ ะเสนออยู่ในรูปแบบของดจิ ิตอลโมเดลแบบ 3มิติ ด้วยเหตุที่การพัฒนาของดิจิตอลโมเดลของพื้นดิน
ได้ถูกพัฒนาไปมากทาให้สามารถแสดงข้อมูลของพ้ืนได้หลากหลาย เช่น การแสดงแนวขอบเขตได้อย่าง
อัตโนมัติ การใส่และแสดงข้อมูลจริงหรือข้อมูลแบบจาลองเพ่ือให้ทดลองปรับเปล่ียนกรณีวิเคราะห์ในลักษณะ
ต่างๆ และที่สาคญั ทสี่ ุดคือการทส่ี ามารถแสดงและส่ง เครอ่ื งมอื และรูปแบบและตวั แปรทางธรณีเทคนิค เข้าไป
ในโหมดตา่ งๆทางธรณีเทคนิค
DATABASES FOR LARGE ENGINEERING GEOLOGICAL DATA SETS
ฐานข้อมูลขนาดใหญ่สาหรับชุดข้อมูลทางธรณีวิทยา จะทาให้หน่วยงานสารวจธรณีวิทยาต้องเผชิญ
กับความท้าทายในการเก็บและรักษา ตลอดจนการจัดการให้มีความสามารถในการเข้าถึง ของข้อมูลจานวน
มากมายของประเทศหรือเขตปกครอง หน่วยงานเหล่าน้ีจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบทบาทจากผู้พิมพ์แผนท่ี
ธรณีวิทยา ไปเป็นผู้ให้บริการข้อมูลด้านธรณีวิทยาและธรณีเทคนิค ซ่ึงเป็นการเปล่ียนจากการให้บริการใน
รปู แบบอะนาลอ็ กไปเปน็ ดิจิตอล
GEOTECHNICAL (NUMERICAL AND STATISTICAL) MODELLING
การเพิ่มข้ึนของขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์และการพัฒนาวิธีการวิเคราะห์คานวณแบบต่างๆ
เช่น FEM, FDM, DEM และ PFM ในด้านธรณีวิทยาวิศวกรรมและธรณีเทคนิค ทาให้สามารถดาเนินการกับ
รูปแบบทางธรณีวิทยาและวิศวกรรม ที่มีรูปแบบยุ่งยากและไม่สม่าเสมอ และในแบบ 3มิติ โดยมีรูปแบบของ
การวเิ คราะห์ที่ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างแรงกับการวิบัติที่ยุ่งยาก เสมือนจริงมากข้ึน แบบจาลองยังสามารถทา
ดว้ ยการเปลีย่ นสภาพของแรงไปตามเวลาได้ด้วย เป็นการเพม่ิ ตัวแปรดา้ นเวลาในกระบวนการวเิ คราะห์

Oral Session

การประชุมวิชาการธรณไี ทย ประจาปี 2564 25
(Geothai Webinar 2021) วันท่ี 4-6 สงิ หาคม 2564

25
ข้อจากัดของการวิเคราะห์จึงเปลี่ยนไปจากการมีข้อจากัดทางด้านฮาร์ดแวร์ และ ซอฟท์แวร์ ไปอยู่ท่ี

ข้อจากัดด้านคุณภาพของข้อมูลที่มีใช้ เพราะยังมีความไม่แน่นอนของการได้มา และการกาหนดข้อมูลทาง

ธรณวี ิทยาจาก

การสารวจ ทีย่ งั คงมขี ้อจากดั โดยเฉพาะในด้านความผันผวนของข้อมูลไปตามการเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยา

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ การบูรณาการข้อมูลทั้งหมดที่มีเข้าด้วยกันให้มากท่ีสุด เช่นข้อมูลท่ีได้ในระหว่างการ

ก่อสรา้ ง หรือแม้แตภ่ ายหลงั การก่อสรา้ งแล้วเสร็จ แล้วนามาใช้ในการวิเคราะห์ย้อนกลับในโมเดลคณิตศาสตร์

ประสบการณ์ทีไ่ ด้น้ี จะชว่ ยในการพฒั นาองคค์ วามรใู้ นการวิเคราะหค์ านวณในปัญหาต่อๆ ไป

SPATIAL DATA INTEGRATION AND 2D MODELLING WITH GIS

ข้อมูลทางธรณีวิทยาเมื่อมีค่าพิกัดภูมิประเทศ จะสามารถใช้ร่วมกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เพ่ือ

ผลติ แผนทีธ่ รณวี ทิ ยาดจิ ิตอล และใชร้ ่วมกับข้อมลู แผนทอี่ ะนาล็อก

VISUALISATION TECHNIQUES

ขอ้ มลู ธรณวี ทิ ยาวศิ วกรรม ปกตจิ ะแสดงในรปู แบบของแผนท่ี รปู ตัด หรือโมเดลรปู ตดั สามมิติ หรอื แผน

ที่แสดงโครงสร้างงานท่ีก่อสร้าง แต่ ITทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยนักธรณีวิทยา

วิศวกรรม ในการนาเสนอข้อมูลดบิ ร่วมกับการนาเสนอผลการแปลค่า แปลความหมายทางธรณีวทิ ยาในรูปแบบ

2 และ 3 มติ ิ รวมถงึ การแปรผนั ตามเวลา ในโมเดลแสดงผลทางธรณวี ทิ ยาไดช้ ดั เจนยง่ิ ข้ึน

PUBLIC DATA EXCHANGE, DATA QUALITY ASSURANCE AND DATA ACCESSIBILITY

การพัฒนาของ IT ทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงในการมี การเข้าถึงและการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้าน

ธรณีวิทยาเป็นอย่างมาก หน่วยงานสารวจธรณีวิทยาจะต้องเปล่ียนไปเป็นหน่วยรวบรวม จัดการ แลกเปล่ียน

ข้อมูลระหว่างหน่วยงานและสาธารณะ

ACCESS TO NEWLY DEVELOPED KNOWLEDGE

การแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ข้อมูลด้านธรณีวิทยาเป็นเรื่องปกติ แต่การ

เปลี่ยนรูปแบบของขอ้ มูลจากการพัฒนาของ IT ทาให้การดาเนินการดังกล่าวมีประสิทธิภาพมากข้ึน เม่ืออยู่ใน

รูปของดิจิตอล และยงั ทาใหก้ ารเข้าถงึ ทาไดง้ ่ายและรวดเรว็ และกว้างขวางมากขึ้น

สรปุ นอกจากการพฒั นาในด้านกฎระเบยี บ การมีมาตรฐาน การมีศักด์ิศรีความรับผิดชอบ การเป็นท่ี

ยอมรับของสังคม ในการประกอบวิชาชีพนักธรณีวิทยาวิศวกรรม ที่ได้เกิดข้ึนแล้วในปีพุทธศักราช 2563 การ

พัฒนาด้านเทคโนโลยีท่ีนามาใช้ในการปฏิบัติงาน ก็เป็นความจาเป็นที่จะทาให้วิชาชีพด้านธรณีวิทยา มีความ

ทันสมัย ความถูกต้องแม่นยา และมีขีดความสามารถสูงข้ึนเพื่อรองรับการเปล่ียนแปลงของโลก ของมนุษย์

และของสภาวะทางธรรมชาติ ใหเ้ กิดความทันกาล ม่ันคงและย่งั ยนื ตอ่ ไป

บทความน้ไี ด้แปลและสรุปเรียบเรียงจากเอกสารวิชาการด้านล่าง เนื่องจากเป็นการแปลสรุป เนื้อหา

จึงไม่ครบถ้วนตามต้นฉบับ ดงั นั้นจงึ ขอแนะนาใหต้ ิดตามอ่านจากเอกสารตน้ ฉบับ เพือ่ ให้ได้เนือ้ หาท่ีสมบรู ณ์

Information technology applied to engineering geology

เอกสารอา้ งอิง

Rengers, N., Hack, H. R. G. K., Huisman, M., Slob, S., & Zigterman, W. (2002). Information technology applied to

engineering geology : keynote. In Proceedings of the 9th congress of the International Association for

Engineering Geology and the Environment : Engineering geology for developing countries, 16-20 Septem-

ber 2002. pp. 121-143 (pp. 121-143). International Association for Engineering Geology and the Environ-

ment.

Oral Session

26 ธรณวี ถิ ีใหม่ นวตั กรรมไทย เพื่อการพัฒนาทีย่ ั่งยืน

การเช่ือมโยงธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณีภาคใต้สกู่ ารนา้ เสนอในพิพธิ ภณั ฑ์ซากดึกด้าบรรพ์
ธรณีวทิ ยาและธรรมชาติวทิ ยา จังหวดั สุราษฎร์ธานี เพอื่ สรา้ งจติ สา้ นึกการอนรุ กั ษ์

เด่นโชค มั่นใจ และ สถาพร มิตรมาก*

พพิ ธิ ภณั ฑซ์ ากดกึ ดาบรรพ์ ธรณวี ทิ ยา และธรรมชาตวิ ทิ ยา จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี สานกั งานทรพั ยากรธรณี เขต 4 กรมทรพั ยากรธรณี
*E-mail: [email protected]

บทคดั ย่อ

กรมทรัพยากรธรณีได้จัดต้ังพิพิธภัณฑ์ซากดึกดาบรรพ์ ธรณีวิทยา และธรรมชาติวิทยา จังหวัด
จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีชื่อที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์ว่าพิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยาพุนพิน
ตั้งอยู่บนเนื้อท่ีจานวน 10 ไร่ ริมฝ่ังแม่น้าตาปี ณ ตาบลท่าข้าม อาเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี การ
จัดต้ังพิพิธภัณฑ์ฯแห่งนี้จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ.2566 แต่ได้ทดลองเปิดให้บริการเพื่อทดสอบระบบ
ต้ังแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2563 วัตถุประสงค์ของพิพิธภัณฑ์ฯ เพ่ือเก็บรักษาวัตถุทางธรณีวิทยาที่
สาคัญชนิดต่างๆ ศึกษาวิจัยด้านธรณีวิทยาโดยเน้นศึกษาเก่ียวกับทะเลโบราณและจดั แสดงเผยแพรอ่ งคค์ วามรู้
ทศ่ี กึ ษาแลว้ แกส่ าธารณชน ปจั จบุ นั การจดั แสดงในพพิ ธิ ภณั ฑค์ รอบคลุมเร่ืองการกาเนิดโลก การกาเนิดส่ิงมีชีวิต
ความรู้ด้านหิน แร่และทรัพยากรธรณี การอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยา และความรเู้ กยี่ วกบั แนว
ทางการรบั มอื กบั ธรณพี บิ ตั ภิ ยั ชนดิ ตา่ งๆ การใหบ้ รกิ ารของพพิ ธิ ภณั ฑฯ์ เนน้ การมสี ว่ นรว่ มของประชาชนในทอ้ งถนิ่ รว่ ม
ดาเนนิ การกบั เจา้ หนา้ ทข่ี องพพิ ธิ ภณั ฑฯ์ เชน่ การรวมกลมุ่ ของประชาชนในท้องถิ่นจัดต้ังกลุ่มอาสาพิพิธภัณฑ์
ธรณีวิทยาพุนพิน ร่วมต้อนรับและให้คาแนะนาเบื้องต้นแก่ผู้มาเย่ียมชมพิพิธภัณฑ์ฯ การรับนักศึกษา
ฝึกงานจากสถาบันศึกษาต่างฯในจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยนักศึกษาจะได้ฝึกงานตามสาขาวิชาท่ีเรียนมา
เช่น การฝึกงานด้านสาขาท่องเที่ยวจะฝึกการต้อนรับและการนาชมพิพิธภัณฑ์ฯ สาขาคอมพิวเตอร์จะฝึก
การดูแลบารุงระบบ IT ของพิพิธภัณฑ์ฯ สาขาธรณีวิทยาฝึกการจัดคลังตัวอย่างธรณีวัตถุชนิดต่างๆ เป็น
ต้น นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์ฯยังมีการให้ความรู้ทางส่ือสังคมออนไลน์อีกด้วย ผู้ที่เข้าเย่ียมชมพิพิธภัณฑ์ฯจะ
ได้รับความรู้เกี่ยวกับธรณีวิทยาด้านต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนนั้นเด็กๆมีความประทับใจและได้รู้ถึง
คุณค่าของแหล่งท่องเท่ียวทางธรณีวิทยาท่ีหลากหลายในพื้นที่ภาคใต้ สร้างแรงบันดาลใจให้รักหวงแหน
และอยากมีสว่ นร่วมในการอนุรักษแ์ ละทอ่ งเทยี่ วท่ีอยูใ่ นท้องถน่ิ ส่วนองค์ความรู้ดา้ นธรณพี บิ ตั ภิ ัยที่จดั แสดงใน
พพิ ิธภัณฑ์ฯ สามารถให้ความรู้เบ้ืองต้นแก่ผู้เข้าชมสามารถนาไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติเพ่ือลดความสูญเสีย
เมอื่ ตอ้ งเผชญิ กบั ธรณีพบิ ตั ิภยั ตา่ งๆ
คา้ สา้ คญั : ทรพั ยากรธรณี, พิพิธภัณฑ์, การอนุรักษ์

Oral Session

การประชมุ วชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564 27
(Geothai Webinar 2021) วันท่ี 4-6 สิงหาคม 2564

27

การคน้ พบซากดกึ ดา้ บรรพ์และการประเมนิ แหลง่ ซากดึกด้าบรรพ์เพอ่ื บริหารจดั การตาม

กฎหมายในพน้ื ทจี่ ังหวดั สกลนคร

พรเพ็ญ จนั ทสิทธ์*ิ , ณสนนท์ ขาคมเขตร,์ วันสิริ บญุ หลา้ , ไปรยา จนั ต๊บิ และ เกษฎาภรณ์ เครือภักดี

พิพิธภณั ฑส์ ิรินธร สานกั งานทรัพยากรธรณีเขต 2 กรมทรัพยากรธรณ,ี กาฬสนิ ธ์ุ 46140
*E-mail: [email protected]

บทคัดย่อ

แหล่งซากดึกดาบรรพ์ในพ้ืนที่จังหวัดสกลนคร มีพบรายงานไม่มากนัก จากฐานข้อมูลเดิมของกอง
คุ้มครองซากดึกดาบรรพ์ กรมทรัพยากรธรณี ระบุว่า ในพ้ืนท่ีจังหวัดสกลนครมีแหล่งซากดึกดาบรรพ์เพียง 1
แหล่ง ได้แก่ แหล่งซากดึกดาบรรพ์ภูพอก อาเภอภูพาน ซ่ึงมีการค้นพบซากดึกดาบรรพ์ฉลามน้าจืด ปลา
กระดูกแข็ง Siamamia naga จระเข้ Siamosuchus phophokensis เต่า ไดโนเสาร์ เทอโรซอร์ และท่ี
สาคัญมีการค้นพบไข่ของสัตว์เลื้อยคลานเพียงแหล่งเดียวในประเทศไทย ต่อมามีการค้นพบแหล่งซากดึกดา
บรรพ์ภเู พก็ อาเภอพรรณานิคม ซ่ึงพบซากดึกดาบรรพ์หอยน้าจืดจานวนมาก ร่วมกับชิ้นส่วนของกระดูกและ
ฟันของไดโนเสาร์ ในช่วงเวลา 2-3 ปี ท่ผี า่ นมา มีการแจ้งพบซากดึกดาบรรพ์ โดยพิพิธภัณฑ์สิรินธร สานักงาน
ทรพั ยากรธรณี เขต 2 ได้เข้าทาการตรวจสอบและสารวจเพ่ิมเติมในพ้ืนที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึก
ดาบรรพ์ พ.ศ.2551 ทาให้พบแหล่งซากดึกดาบรรพ์แหล่งใหม่ในพื้นท่ี อาเภอเมือง ได้แก่ แหล่งซากดึกดา
บรรพภ์ สู ูง พบซากดกึ ดาบรรพ์ของจระเขเ้ กอื บสมบูรณ์ ซากดกึ ดาบรรพเ์ ต่าอย่างน้อย 19 ตัว นอกจากนี้ยังพบ
ซากดึกดาบรรพ์ปลากระดูกแข็งและไดโนเสาร์ และอีกหนึ่งแหล่งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูพาน อาเภอภู
พาน ได้แก่ แหลง่ ซากดกึ ดาบรรพ์เหวน้อย ซึ่งมีการค้นพบซากดึกดาบรรพ์ไดโนเสาร์ เต่า จระเข้ และหอยสอง
ฝา แหล่งซากดึกดาบรรพ์ท้ัง 4 แหล่ง พบซากดึกดาบรรพ์อยู่ในหินทรายแป้งและหินโคลน สีน้าตาลแดง ของ
หมวดหินเสาขวั กล่มุ หินโคราช อายคุ รเี ทเชียสตอนต้น

ในปี 2564 พิพิธภัณฑ์สิรินธร จ.กาฬสินธ์ุ ได้ดาเนินการประเมินแหล่งซากดึกดาบรรพ์ในพื้นที่จังหวัด
สกลนครเพื่อบริหารจัดการตามกฎหมาย โดยใช้หลักเกณฑ์และการคานวณคะแนนตามท่ีกองคุ้มครองซากดึก
ดาบรรพ์กาหนด ประกอบด้วย หลักเกณฑ์การข้ึนทะเบียนแหล่งซากดึกดาบรรพ์ตามประกาศคณะกรรมการ
คุ้มครองซากดกึ ดาบรรพ์ หลักเกณฑ์ด้านคุณสมบัติพื้นฐานเพ่ือการจาแนกและจัดลาดับความสาคัญของแหล่ง
ซากดึกดาบรรพ์ และหลักเกณฑ์ด้านความเหมาะสมของการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งซากดึกดาบรรพ์ ซ่ึง
สรปุ ผลการประเมนิ ได้ดังน้ี แหล่งซากดึกดาบรรพ์ภูพอก อาเภอภูพาน แหล่งซากดึกดาบรรพ์ภูสูง อาเภอเมือง
เป็นแหล่งซากดึกดาบรรพ์ท่ีมีคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งตามมาตรา 14 เป็นแหล่งซากดึกดาบรรพ์ท่ีมีลาดับ
ความสาคญั สูงมาก และมคี วามเหมาะสมในการพัฒนาเปน็ แหล่งเรียนรู้ แหลง่ ซากดึกดาบรรพ์ภูเพ็ก เป็นแหล่ง
ซากดึกดาบรรพ์ท่ีมีลาดับความสาคัญสูง และแหล่งซากดึกดาบรรพ์เหวน้อย เป็นแหล่งซากดึกดาบรรพ์ที่มี
ลาดับความสาคัญทั่ว ๆ ไป ซึ่งท้ังสองแหล่งหลังนี้ไม่เป็นแหล่งซากดึกดาบรรพ์ที่มีคุณสมบัติข้อใดข้อหน่ึงตาม
มาตรา 14 อย่างไรกต็ าม ตัวอย่างซากดกึ ดาบรรพ์ท่พี บทงั้ 4 แหล่งอยู่ในชั้นหินโผล่ท่ีมีความคงทนต่า เห็นควร
ให้มีการเข้าสารวจและเก็บตัวอย่างทุกปี เพื่อเก็บตัวอย่างท่ีอาจจะสูญหายจากการผุพังท่ีเกิดจากน้าฝนและ
ความร้อน นอกจากนี้เนื่องจากแหล่งทั้ง 4 แหล่งเป็นพ้ืนที่เปิดและมีการสัญจรผ่านของประชาชน ควรสร้าง
ความรู้ความเข้าใจใหห้ น่วยงานและประชาชนในพนื้ ที่เกย่ี วกับความสาคัญของการอนุรักษ์ซากดึกดาบรรพ์และ
ดูแลแหลง่ ซากดึกดาบรรพ์เพื่อประโยชน์เชงิ วชิ าการและการบริหารจดั การตามกฎหมายในอนาคต

Oral Session

28 ธรณวี ถิ ใี หม่ นวตั กรรมไทย เพื่อการพฒั นาท่ียั่งยนื

การจดั เก็บขอ้ มูลของซากดกึ ดา้ บรรพเ์ พอื่ วิเคราะห์การเปลีย่ นแปลงในอนาคตสา้ หรบั การ
พัฒนาแหล่งเรียนรโู้ ดยเทคนิคโฟโตแกรมมติ รี กรณีศึกษาไม้กลายเปน็ หนิ ขนาดยาวท่สี ดุ ในโลก

ณ อทุ ยานแห่งชาติดอยสอยมาลยั จังหวดั ตาก

คงกระพนั ไชยทองศร*ี และ สรุ เวช สธุ ีธร

ภาควชิ าชวี วทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม อาเภอกนั ทรวชิ ัย จงั หวัดมหาสารคาม 44150
*E-mail: [email protected]

บทคัดย่อ

ซากดึกดาบรรพ์มีความสาคัญอย่างมากกับการศึกษาด้านบรรพชีวินวิทยา หนึ่งในความหลากหลาย
น้ันคือไม้กลายเป็นหิน ที่พบในหลายพ้ืนที่ท่ัวโลกรวมถึงไปประเทศไทยที่มีการค้นพบไม้กลายเป็นหินขนาด
ใหญแ่ ละมีความยาวมากทีส่ ุดในโลก ทว่าขนาดที่ใหญ่นี้จึงทาให้การจัดการกับข้อมูลเป็นไปได้ยากและปัญหาที่
พบมากของซากดกึ ดาบรรพค์ อื การเส่ือมสภาพของตัวอย่าง ในปัจจุบันเทคโนโลยีการสร้างแบบจาลองสามมิติ
ได้เข้ามามีบทบาทมากข้ึนในงานด้านบรรพชีวินวิทยา เพื่อการจัดเก็บฐานข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล และ
สนบั สนุนการอนุรักษต์ วั อยา่ ง

แบบจาลองท่ีมีความละเอียดและคุณภาพงานที่สูงสามารถนามาใช้ในงานได้จริง ไม้กลายเป็นหิน
ขนาดใหญ่มีการเส่ือมสภาพลงในแต่ละปีโดยมีอัตราอยู่ท่ี 1.9 % ต่อปี ข้อมูลท่ีได้นามาประยุกต์ใช้ในด้านการ
อนุรักษ์และทานายการเส่ือมสภาพของซากดึกดาบรรพ์ในอนาคตได้ การใช้เทคนิคโฟแกรมมิตรีเข้ามาช่วยใน
การศึกษาวิจัยเปน็ ตวั เลอื กทเ่ี หมาะสมดว้ ยราคาท่ีถูกและใช้เวลาในการบันทึกข้อมูลที่น้อย แบบจาลองสามมิติ
ทาให้เข้าถึงขอ้ มูลไดง้ า่ ยและการแบ่งปันข้อมลู ที่รวดเร็วในปจั จุบนั
ค้าส้าคัญ: แบบจาลองสามมติ ิ, โฟโตแกรมมติ รี, ดิจทิ ลั , บรรพชวี ินวิทยา

Oral Session

การประชุมวิชาการธรณีไทย ประจาปี 2564 29
(Geothai Webinar 2021) วนั ท่ี 4-6 สิงหาคม 2564

29

การจัดท้าแผนท่เี สีย่ งอุทกภยั จังหวดั สงิ ห์บรุ ี

สรุ ศกั ด์ิ บญุ ลอื 1*, ประภาพรรณ จนั ทมาศ1, พฒั นร์ ชั พงศ์ กมลยะบตุ ร1, ดารกิ า ฆารสะอาด1 และวสิ ทุ ธิ์ ศริ พิ รนพคณุ 2

1กรมทรัพยากรธรณี
2มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนสุนันทา
*E-mail: [email protected]

บทคดั ย่อ

การจัดทาแผนทเ่ี สยี่ งอทุ กภัยจงั หวัดสงิ ห์บรุ ีมีวัตถุประสงค์เพื่อสารวจสภาพน้าท่วมและความเสียหาย
เนื่องจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยปี พ.ศ. 2554 และใช้แบบจาลอง Nays2DFlood วิเคราะห์พื้นท่ีน้าท่วมและ
ความเสยี หายทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ จากอทุ กภยั ทร่ี อบการเกดิ ซา้ 100 ปี พร้อมท้งั ดาเนนิ การหาพน้ื ที่ศกั ยภาพในการจัดตง้ั
เปน็ ศนู ยพ์ กั พงิ ผปู้ ระสบภยั และนาข้อมูลทั้งหมดมาจัดทาเปน็ แผนทเ่ี สีย่ งอทุ กภัย ผลการศึกษาพบว่า อทุ กภัยปี
พ.ศ. 2554 ครอบคลมุ พนื้ ทป่ี ระมาณ 458 ตารางกิโลเมตร พื้นท่เี กษตรกรรมถูกน้าท่วมไป 59.32% พื้นทชี่ มุ ชน
และส่ิงปลูกสร้างถูกน้าท่วมไป 43.16% มีประชากรท่ีต้องอพยพประมาณ 59,284 คน มีสถานท่ีที่มีอาคาร
สามารถจดั ตงั้ เปน็ ศนู ยพ์ กั พงิ ผปู้ ระสบภยั ได้ จานวน 113 แห่ง รองรับผู้ประสบภยั ได้ 22,735 คน สว่ นอทุ กภยั ท่ี
รอบการเกดิ ซ้า 100 ปี จะครอบคลุมพ้นื ท่ปี ระมาณ 540.36 ตารางกโิ ลเมตร พืน้ ทเี่ กษตรกรรมจะถูกน้าท่วมไป
67.8 % พนื้ ทชี่ มุ ชนและสงิ่ ปลกู สรา้ งจะถกู น้าทว่ มไป 65.33% มปี ระชากรทจ่ี ะตอ้ งอพยพประมาณ 107,273 คน
มีสถานที่ท่มี อี าคารสามารถจัดตัง้ เปน็ ศนู ยพ์ กั พิงผูป้ ระสบภยั ได้ จานวน 55 แหง่ รองรบั ผู้ประสบภัยได้ 13,680
คน และเสนอให้ใช้พ้ืนที่ภายนอกอาคารรวมท้ังพ้ืนท่ีรมิ ถนนต่างๆ ที่น้าไม่ท่วมจัดทาเป็นสถานที่พกั พิงช่ัวคราว
เพมิ่ เตมิ ใหเ้ พยี งพอกบั จานวนผปู้ ระสบภยั

คา้ ส้าคญั : อทุ กภยั , ศนู ยพ์ กั พงิ ผปู้ ระสบภยั , สงิ หบ์ รุ ี

Oral Session

30 ธรณีวถิ ีใหม่ นวัตกรรมไทย เพือ่ การพัฒนาทย่ี งั่ ยนื

การทา้ แผนทซ่ี ากดกึ ดา้ บรรพ์ และก้าหนดเสน้ ทางทอ่ งเท่ียวแหล่งมรดกธรณีภูนา้ หยด
จังหวดั เพชรบูรณ์

จนั ทนี ดวงคาสวสั ดิ์*, ชัญชนา คาชา และ ทวิชากร ทะสี

สานักงานทรัพยากรธรณี เขต 1, กรมทรพั ยากรธรณี
*E-mail: [email protected]

บทคดั ยอ่

แหล่งมรดกธรณีภูน้าหยด เป็นแหล่งธรณีวิทยาประเภทซากดึกดาบรรพ์ ตั้งอยู่อาเภอวิเชียรบุรี
จังหวัดเพชรบูรณ์ ลักษณะธรณีวิทยาเป็นหินกรวดมนเน้ือปูนอายุไทรแอสสิกตอนปลาย โผล่เป็นบริเวณ
กวา้ ง มคี วามโดดเดน่ ทางดา้ นธรณีท่ีสาคัญคือ พบซากดึกดาบรรพห์ ลากหลายชนิดในกอ้ นหินปูน เช่น ปะการัง
รูโกส ปะการังแบบกิ่ง ฟองน้า และฟิวซูลิดนิด ในขณะที่การสะสมตัวของหินกรวดมนเน้ือปูนจานวนมากใน
พื้นที่นี้ยังเป็นข้อถกเถียงถึงหินต้นกาเนิด และธรณีประวัติ ปัจจุบันแหล่งมรดกธรณีภูน้าหยดถูกพัฒนาเป็น
แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรณี รวมท้ังใช้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ โดยการมีส่วนร่วมในท้องถิ่น และการสนับสนุนโดย
อุทยานธรณีเพชรบูรณ์

เพื่อเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวและการเรียนรู้ไปพร้อมกัน การทาแผนที่ซากดึกดาบรรพ์เพื่อ
กาหนดเสน้ ทางท่องเที่ยวภายในแหล่ง จะทาใหน้ ักท่องเที่ยว หรือผู้สนใจสามารถเดินศึกษาซากดึกดาบรรพ์
ชนิดต่างๆ ที่สาคัญ และหลากหลายได้อย่างครบถ้วน ในการทาแผนท่ี เริ่มจากการสารวจชนิดซากดึกดา
บรรพแ์ ละจดุ ที่พบ จากนั้นคัดเลือกจุดและกาหนดเส้นทางท่องเที่ยวให้ผ่านซากดึกดาบรรพ์ครบทุกชนิด การ
วัดระยะระหว่างจุดทาได้โดยการประยกุ ต์ใช้เครอื่ งวดั ระยะแบบเลเซอร์ และวัดมุมระหว่างจุดโดยใช้เข็มทิศ
ทาจนครบทั้งเส้นทาง จะได้เส้นทางท่องเที่ยวพร้อมกับตาแหน่งซากดึกดาบรรพ์ที่สาคัญ และหลากหลายชนิด
อย่างครบถ้วน มีระยะเส้นทางความยาวรวมประมาณ 400 เมตร ผ่านซากดึกดาบรรพ์ 10 ประเภท รวม 32
จุด โดยแผนที่แสดงตาแหน่งซากดึกดาบรรพ์และเส้นทางท่องเที่ยวน้ีนอกจากจะใช้เป็นเส้นทางเดิน
ศึกษา ยงั สามารถนาไปจัดทาสือ่ ประชาสัมพันธ์และสื่อการเรียนรู้เก่ียวกับซากดึกดาบรรพ์เพิ่มเติม รวมถึง
ช่วยในการกาหนดจุดติดต้ังป้าย ส่ือความหมาย และวางแผนพัฒนาเส้นทางเดินให้น่าสนใจ สวยงาม
เหมาะสม และปลอดภัยกับแหล่งมรดกธรณีภนู ้าหยดตอ่ ไป
ค้าสา้ คัญ: แผนทซี่ ากดึกดาบรรพ์ เส้นทางท่องเทยี่ ว ภนู ้าหยด อุทยานธรณเี พชรบูรณ์ แหลง่ มรดกธรณี

Oral Session

การประชุมวชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564 31
(Geothai Webinar 2021) วันท่ี 4-6 สงิ หาคม 2564

31

การประเมินรปู แบบการวบิ ตั บิ ริเวณฐานเขาตาปู

ศักดา ขนุ ดี1*, เสาวภาพ อุทัยรตั น์1, ธนวฒั น์ รกั เฮงกลุ 1 และ นภตั สร ตณั ฑส์ รุ ะ2

1 กองธรณีวทิ ยาสิง่ แวดล้อม กรมทรพั ยากรธรณี 75/10 ถ.พระรามท่ี 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กทม. 10400
2 นักศึกษาสหกิจศกึ ษา สาขาวชิ าเทคโนโลยีธรณี สานกั วิชาวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยสี รุ นารี
*E-mail: [email protected]

บทคัดยอ่

เขาตาปู เป็นแหล่งท่องเที่ยวสัญลักษณ์อันโด่งดังของจังหวัดพังงา ลักษณะธรณีสัณฐานมีเอกลักษณ์
เฉพาะตวั แบบเกาะหินโดง่ (sea stack) อยู่ห่างจากหน่วยพทิ กั ษอ์ ุทยานแหง่ ชาติ ที่ อพ.2 (เขาพงิ กัน) ประมาณ
112 เมตร มฐี านกว่ิ แคบกว่าสว่ นยอด เสน้ รอบวงของฐานวัดติดพน้ื ดนิ ยาวประมาณ 22.54 เมตร และมีความสงู
ประมาณ 35 เมตร ตั้งอยู่ในบริเวณน้าทะเล ขึ้นลง 2 ครั้งต่อวัน ตะกอนทะเลที่สะสมล้อมรอบฐานเขาตาปู
มีความหนาไม่น้อยกว่า 20 เมตร ประกอบด้วยดินเลนเป็นหลัก แทรกสลับด้วยเปลือกหอยช้ันบางๆ เขาตาปู
มอี งคป์ ระกอบเป็นหนิ ปนู เนอ้ื โดโลไมต์ ยคุ เพอรเ์ มยี น ซงึ่ ในสว่ นฐานตอนลา่ งจนถงึ ตอนบนจดั เปน็ หนิ ชนั้ หนามาก
ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากคล่ืนกระแสน้าทะเล นับต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในระยะความสูงจนถึง
2.50 เมตรจากพ้ืนท้องทะเล ส่วนยอดเขาตาปูปดิ ทับด้วยหินชั้นหนาปานกลาง ชัน้ หินเอียงเทไม่เกิน 25 องศา
ไปทางทศิ ตะวันตกเฉียงใต้จนถึงทศิ ใต้ เขาตาปผู า่ นกระบวนการธรณแี ปรสัณฐานอย่างนอ้ ย 2 เหตกุ ารณ์ อีกทั้ง
เปน็ เกาะทตี่ ง้ั อยใู่ นเขตโซนรอยเลอ่ื นคลองมะรยุ่ จงึ พบรอยแตก รอยแยก และรอยเลอื่ นพาดตดั ผา่ นเขาตาปู อยา่ ง
น้อย 4 ทิศทางคือ NW-SE NE-SW N-S และ E-W เขาตาปูจึงนับเป็นส่วนหนึ่งที่หลงเหลือจากกระบวนการ
ธรณีวิทยารูปแบบต่าง ๆ ท้ังทางด้านเคมี ได้แก่ การละลาย การกัดกร่อนและการผุพัง และกระบวนการด้าน
กายภาพ โดยเฉพาะการเกิดหินแตกหักและร่วงถล่ม ซ่ึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพของฐานเขาตาปู
ณ ปจั จบุ นั

การศึกษาครัง้ นไี้ ด้ดาเนินการสารวจภาคสนามในขณะน้าลงต่าสุด ชว่ งเวลา 18.00-19.30 น. ระหว่าง
เดอื นเมษายน 2564 ประกอบดว้ ย 6 กิจกรรมหลกั คือ 1) การบินสารวจและจัดทาภาพออรโ์ ธโฟโตจ้ ากอากาศ
ยานไร้คนขับ รวมท้ังการแปลความหมายด้วยสายตาเพื่อกาหนดจาแนกขอบเขตธรณีสัณฐาน ธรณีโครงสร้าง
และประเภทหิน 2) การทดสอบความแข็งของหินโดยวัดค่ากระดอนกลับจากค้อนกระแทกแบบชมิดท์ใน
ภาพรวมโดยรอบฐานเขาตาปู และแปลงเป็นค่าความต้านทานแรงกดในแกนเดียว (Uniaxial Compressive
Strength: UCS) โดยใช้สมการที่นาเสนอโดย ดนุพล ตันโยภาส (2537) 3) การจาแนกคณุ ภาพมวลหิน (Rock
Quality Designation: RQD) 4) การจัดอันดับคุณภาพมวลหิน (Rock Mass Rating: RMR) จากข้อมูลการ
ตรวจวัดความไม่ต่อเนื่องในมวลหินรอบฐานเขาตาปู จานวน 15 ตาแหน่ง ประกอบด้วย แนวทิศทาง มุมเท
ลักษณะรอยหยกั หรอื ความขรขุ ระ การผเุ ปลย่ี นสภาพ สง่ิ อดุ ฝงั ความยาว ระยะห่างระหวา่ งกัน สภาพน้าท่วมขัง
ชอ่ งโพรง รวมท้ังการวัดแนวทศิ ทางมุมหนา้ ลาดเอียงของผนังโดยรอบฐานเขาตาปู 5) การวเิ คราะห์รูปแบบการ
วิบัติและแนวโน้มการเคล่ือนตัวของมวลหินในด้านทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตกของเขาตาปู
6) การประเมนิ เสถียรภาพความลาดเอียงมวลหิน (Slope Mass Rating: SMR) ท้ัง สี่ทศิ ของฐานเขาตาปู และ
การเสนอแนวทางการเสริมสรา้ งปรบั ปรงุ เสถยี รภาพลาดมวลหนิ ดว้ ยวธิ ขี อง Romana (1985)

ผลการศึกษาประเมินในครั้งนี้พบว่า อันดับคุณภาพมวลหินโดยรอบฐานเขาตาปู แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ
ระดบั ปานกลาง (fair rock) มคี ่า RMR อยู่ในช่วง 52-55 และระดับไม่ดี (poor rock) มีค่า RMR อยูใ่ นช่วง 46-

Oral Session

32 ธรณวี ถิ ใี หม่ นวตั กรรมไทย เพอ่ื การพัฒนาทยี่ ่งั ยนื

50 โดยอัตราส่วนระหว่างคุณภาพระดับปานกลางตอ่ คุณภาพไมด่ ีมคี ่าใกล้เคยี งกันมากคือ 56 ตอ่ 44 การวบิ ัติ
บรเิ วณรอบฐานเขาตาปูมีรปู แบบทีแ่ ตกต่างกันไปตามลักษณะการวางตัวของรอยแตกและลักษณะของหน้าลาด
เอียงของแต่ละทศิ ผลการวเิ คราะห์สเตอริโอเนต็ โดยใช้โปรแกรม Dips 7.0 บ่งชี้ถึงรปู แบบการวิบตั ทิ ี่มีแนวโน้ม
เกดิ ขึ้นไดม้ ากสุดและเกิดได้ทง้ั ส่ีทศิ คอื แบบลิ่ม (wedge failure) และแบบ ล้มคว่าชนดิ direct toppling มี
ค่าสูงสุดร้อยละ 25.74 และ 22.22 ของข้อมูลที่นามาวิเคราะห์เมื่อกาหนดให้มุมเสียดทาน มวลหิน เท่ากับ
30 องศา บริเวณโดยรอบฐานเขาตาปูท่มี วลหินมีแนวโน้มเกิดการวิบัติมากคือ ดา้ นทิศตะวันตก ทิศใต้ และทิศ
ตะวันออก ซึ่งโพรงขนาดใหญ่ต้ังอยู่ใน 3 ทิศน้ี โดยพบโพรงรูปทรงโค้งเว้าอยู่ทางทิศตะวันตกและทิศใต้ และ
โพรงรูปทรงยาวเหล่ยี มเรขาคณิตอยู่ทางทศิ ตะวันออก ในขณะทีท่ างดา้ นทิศเหนือมีโอกาสเกดิ การวิบตั ิน้อยสุด
ในทุกบริเวณที่มีโอกาสเกิดการวิบัติแบบลิ่ม โดยเฉพาะรอยต่อระหว่างด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ พบว่ามีค่า
SMR อยใู่ นระดบั ไมด่ ี (Bad) จนถงึ ไม่ดีมาก (very bad) และคาดวา่ จะเป็นจดุ เรม่ิ ต้นเหตกุ ารณห์ ินร่วงถลม่ และ
เสาหินหักโค่นในส่วนท่ีสูงพ้นน้าขึ้นไป บริเวณท่ีมีแนวโน้มเกิดการวิบัติแบบล้มคว่าทั้งชนิด flexural และ
oblique ทง้ั สที่ ศิ รอบฐานเขาตาปู สว่ นใหญพ่ บวา่ มคี ่า SMR อยใู่ นขนั้ ปานกลาง (normal) จนถงึ ดี (good) รอย
แยก รอยแตก รอยเล่ือน หรือเส้นท่ีเกิดจากระนาบรอยแตกตัดกัน และมีขนาดมุมเทไม่สูง ซ่ึงพาดตัดได้ตลอด
ทงั้ มวลหนิ ในบริเวณฐานเขาตาปู จัดเป็นความไม่ต่อเนอ่ื งในมวลหินที่ลดทอนเสถียรภาพได้ในอนาคต ปัจจุบัน
พบเป็นแนวเส้นจาง ๆ จาเป็นต้องใส่ใจเป็นพิเศษและไม่ทาให้เกิดขยายเป็นร่องแนวขนาดใหญ่ การเสริมสร้าง
เสถียรภาพเพื่อลดโอกาสการวิบัติและป้องกันการเกิดหินร่วงถล่มหรือหักโค่นบริเวณฐานเขาตาปู จึงควร
ดาเนินการมุง่ เนน้ ทางดา้ นทิศตะวนั ตก ทิศใต้ ทศิ ตะวนั ออก และทิศเหนอื ตามลาดบั โดยใชว้ ิธีการอดุ ประสาน
ดว้ ยสารตา่ ง ๆ (shotcrete) เพอื่ ไม่ใหน้ ้าฝนไหลผ่านและขังในชอ่ งโพรงในมวลหิน การตดิ ตั้งกองวสั ดุใต้น้าเพื่อ
ลดแรงปะทะจากกระแสคล่นื น้าทะเล และหากเป็นไปได้อาจมกี ารปรับแต่งหน้าลาดเอียงมวลหิน หรือใช้หลาย
วธิ รี ว่ มกนั กรณรี อยแตกอยหู่ า่ งกนั บนมวลหนิ ปนู ชนั้ หนา และสว่ นใหญม่ คี า่ SMR ปานกลางจนถงึ ดี ควรใช้เหลก็
สมอยดึ หนิ ผา (rock anchor) เหลก็ สลกั ยดึ หนิ (rock bolts) ขนาดเลก็ ยดึ ตรงึ มวลหนิ ไวด้ ว้ ยกนั

การประเมนิ รปู แบบการวบิ ตั บิ รเิ วณฐานเขาตาปใู นครงั้ น้ี เปน็ การวเิ คราะหเ์ บอ้ื งตน้ โดยใชข้ อ้ มลู ความไม่
ตอ่ เน่อื งในมวลหนิ จากการสารวจภาคสนามเปน็ หลกั ยังขาดขอ้ มลู คณุ สมบัตขิ องหนิ เชงิ วศิ วกรรมธรณีอกี จานวน
มาก โดยเฉพาะขอ้ มูลการทดสอบในหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร รวมทั้งตอ้ งศึกษาวิเคราะหใ์ นสว่ นที่สงู ข้ึนไปจากบรเิ วณฐาน
จนถงึ สว่ นยอดเขาตาปู ขอ้ มลู ดงั กลา่ วจาเปน็ อยา่ งยงิ่ ตอ่ การวเิ คราะหเ์ พอื่ กาหนดแนวทาง SAVE เขาตาปู
ค้าสา้ คัญ: เขาตาปู การวิบัติ จงั หวัดพงั งา หนิ ปูน

Oral Session

การประชมุ วิชาการธรณไี ทย ประจาปี 2564 33
(Geothai Webinar 2021) วนั ที่ 4-6 สงิ หาคม 2564

33

การประยกุ ต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร์ เพือ่ ศึกษาระดับความสญู เสยี เชงิ กายภาพ

บรเิ วณพ้ืนทท่ี ไี่ ดร้ ับผลกระทบจากสนึ ามิ พนื้ ท่ภี าคใตฝ้ งั่ อนั ดามัน

แพรวพรรณ คิดอา่ น* และ ภาวณิ ี ไม้หอม

กองธรณวี ทิ ยาสง่ิ แวดลอ้ ม กรมทรพั ยากรธรณี ถนนพระรามท่ี 6 แขวงทงุ่ พญาไท เขตราชเทวี กรงุ เทพฯ 10400
*E-mail : [email protected]

บทคัดย่อ

ในวันท่ี 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ประเทศไทยและประเทศต่างๆ บริเวณรอบชายฝ่ังทะเลอันดามัน
และมหาสมุทรอินเดีย ได้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติคร้ังร้ายแรงที่สุด คือ แผ่นดินไหวขนาด 9.1 จนทาให้
เกิดปรากฎการณ์คล่ืนยักษ์ท่ีเรียกว่าสึนามิ นามาซ่ึงความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินต่อประเทศโดยรอบ
ชายฝ่ังทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงพ้ืนท่ี 6 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัด
ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ทาให้การดาเนินชีวิตของประชาชนในพื้นท่ีเปล่ียนไป และมีการ
เปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ท่ีดินไปจากเดิม ดังน้ันการบริหารจัดการพื้นท่ีชายฝ่ังทะเลให้มีความเหมาะสม
และมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงจาเป็นต้องมีการศึกษาข้อมูลอย่างต่อเน่ืองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
นาไปสู่การวางแผนพัฒนาพ้ืนที่ชายฝ่ังทะเลเพื่อลดผลกระทบจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยท่ีอาจเกิดข้ึนได้ใน
อนาคต

การประยุกตใ์ ชร้ ะบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ เพ่ือศึกษาระดับความสญู เสยี เชงิ กายภาพด้วยเทคนิคการ
วเิ คราะห์แบบจาลองดชั นชี นดิ ราสเตอร์ โดยใชข้ อ้ มลู การใช้ประโยชน์ทีด่ ินร่วมกับชน้ั ข้อมลู ระดบั ความสูงของ
พ้ืนท่ี นาเสนอในรูปแบบของแผนที่จดั ลาดบั พร้อมท้ังแสดงตาแหน่งการกระจายตัวของอาคารและสิ่งปลูก
สร้างท่ีต้งั อยู่ในพ้นื ท่ี ผลการศกึ ษาสามารถจดั เรียงจังหวดั ทไ่ี ด้รบั ผลกระทบจากความสูญเสยี เชิงกายภาพมาก
ที่สุดไปน้อยที่สดุ ได้แก่ จังหวัดพังงา ภูเกต็ กระบ่ี สตูล ระนอง และตรงั ครอบคลุมพน้ื ท่ี 95.63 ตาราง
กิโลเมตร ซงึ่ สว่ นใหญ่มีการใช้ประโยชน์ทดี่ ินร้อยละ 25.98 เป็นพ้นื ท่ีชมุ ชนและสงิ่ ปลกู สร้าง และพน้ื ทรี่ ้อยละ
99.68 มรี ะดับความสูงน้อยกว่า 30 เมตร ซึง่ จัดเปน็ ปจั จัยท่มี ีคา่ คะแนนมากท่สี ดุ ทีส่ ง่ ผลให้พนื้ ทีม่ ีความเสย่ี ง
ไดร้ ับผลกระทบจากความสูญเสียเชงิ กายภาพมากทสี่ ดุ

คา้ ส้าคัญ: ความสูญเสยี เชงิ กายภาพ, ภาคใตฝ้ ง่ั อนั ดามนั , สึนาม,ิ การใช้ประโยชนท์ ีด่ ิน, แผ่นดินไหว

Oral Session

34 ธรณีวถิ ใี หม่ นวัตกรรมไทย เพื่อการพัฒนาท่ียง่ั ยืน

การพัฒนารูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ไดโนเสาร์เพื่อรองรบั การเปน็ อุทยานธรณี :
กรณีศกึ ษาแหลง่ ภูเวียง หอ้ งเรียนทอ้ งถน่ิ บทเรียนจากมรดกทางธรณวี ทิ ยา

ศกั ดิ์ชัย จวนงาม1*, ธรี ะพล อุตะมะชะ1 และ กมลลกั ษณ์ วงษโ์ ก2

1องคก์ ารพพิ ธิ ภณั ฑว์ ทิ ยาศาสตรแ์ หง่ ชาติ เลขที่ 39 หมทู่ ่ี 3 ตาบลคลองหา้ อาเภอคลองหลวง จงั หวดั ปทมุ ธานี 12120
2พพิ ธิ ภัณฑซ์ ากดึกดาบรรพ์ ธรณวี ทิ ยา และธรรมชาตวิ ิทยา จงั หวดั ลาปาง สานกั งานทรัพยากรธรณี เขต 1
เลขท่ี 414 หมู่ 3 ตาบลศาลา อาเภอเกาะคา จงั หวัดลาปาง 52130
* E-mail: [email protected]

บทคดั ยอ่

จากการค้นพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่ สกุลใหม่ของโลกถึง 5 สายพันธ์ุ ได้แก่ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน
สยามโมซอรัส สุธีธรนิ สยามโมไทรัสนัส อิสานเอนซิส กินรีมิมัส ขอนแก่นเอนซิส และ ภูเวียงเวเนเตอร์ แย้ม
นิยมมิ นามาสู่การขับเคล่ือนการท่องเที่ยวเชิงธรณี ในพื้นท่ีอุทยานธรณีขอนแก่น ให้เป็น “มหานครแห่งการ
ท่องเท่ยี วและเรียนรไู้ ดโนเสารร์ ะดับโลก” เชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมให้กับชุมชนท้องถิ่นก่อเกิด
ความย่ังยืนได้ พร้อมท้ังได้จัดให้มีเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงธรณี นั่นคือ อุทยานธรณีขอนแก่นสร้างให้ชุมชนมี
บทบาทสาคัญในการดแู ล และให้ความรแู้ กผ่ ู้มาเยอื น ซ่งึ การรวบรวมเอกสารท่ีเกี่ยวข้องพบว่าซากดึกดาบรรพ์
กลุ่มไดโนเสาร์ทาหน้าท่ีกระตุ้นการเรียนรู้และเป็นเครื่องมือนาเข้าสู่บทเรียนทางด้านบรรพชีวินวิทยาและ
ธรณีวิทยาได้เป็นอย่างดี และยังถูกนามาใช้เป็นเคร่ืองมือในการทาความเข้าใจเน้ือหาด้านวิทยาศาสตร์ เช่น
ทฤษฎีวิวัฒนาการ อย่างไรก็ตามการออกแบบกิจกรรมที่เหมาะสมสาหรับอุทยานธรณีนั้น ต้องพิจารณา
ข้อจากัดเรื่องอายุ และระดับความเข้าใจของผู้เรียน คณะนักวิจัยพัฒนารูปแบบการบริการการศึกษาเป็น
กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะ (inquiry learning) แบ่งกิจกรรมสาหรับการเรียนรู้ออกเป็น 3 ส่วน คือ การ
ฟังบรรยายสรุปและเขา้ ชมนทิ รรศการเนอ้ื หาด้านธรณีวิทยาและซากดึกดาบรรพพ์ ร้อมใบงาน การลงมือปฏิบัติ
ในห้องปฏิบัติการและออกสารวจภาคสนาม (หิน ซากดึกดาบรรพ์ ไดโนเสาร์ การอนุรักษ์ซากดึกดาบรรพ์)
และการเล่นกิจกรรมนันทนาการ โดยหากพิจารณาตามรายกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า ผู้เรียนมีแนวโน้มสนใจ
กิจกรรมการลงมือปฏิบัติในห้องปฏบิ ตั ิการและออกสารวจภาคสนามมากที่สุด เนื่องจากเป็นการเรียนรู้ท่ีมีการ
กระตนุ้ ให้เกดิ การอยากเรียนรู้จากการใช้เครื่องมือที่เหมือนนักบรรพชีวินวิทยา ส่วนท่ีสองคือการเล่นกิจกรรม
นันทนาการ โดยการประยุกต์ใช้เกม และดาเนินการตามกระบวนการ GD4+1 (group dynamic) ซึ่ง
จาเป็นต้องออกแบบให้เหมาะสมกับช่วงอายุของผู้เรียนรู้ และเหมาะสมกับเนื้อหาท่ีจะนาเสนอ การศึกษาใน
ส่วนนี้พบว่าเกมเดียวกันสามารถปรับรูปแบบให้เหมาะสมกับขนาดของกลุ่มผู้เรียนรู้ท่ีต่างกันได้ โดยการปรับ
ขนาดของอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับขนาดของกลุ่มผู้เล่น ในขณะท่ีการปรับเปล่ียนเนื้อหาผู้นากระบวนการจะ
เป็นผู้ดาเนินการสอดแทรกเนื้อหาท่ีต้องการนาเสนอ ทั้งนี้ผู้นากระบวนการยังสามารถปรับกติกาให้มีความ
ซับซ้อนหรือมีระดับความยากง่ายท่ีแตกต่างกันตามลักษณะของผู้ร่วมกิจกรรม ในกระบวนการนี้ผู้นา
กระบวนการถือเป็นอีกส่วนสาคัญท่ีจะนาพาผู้เข้าร่วมกิจกรรมไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ สุดท้ายคือการฟัง
บรรยายและเขา้ ชมนทิ รรศการพร้อมใบงาน ควรเป็นการบรรยายสัน้ ๆ สรุปเนอื้ หารวบยอดหลังจากเรียนรู้ผ่าน
การลงมือปฏิบัติในห้องปฏิบัติการ และการเล่นกิจกรรมนันทนาการ จึงจะเป็นประโยชน์ทางการศึกษาใน
อุทยานธรณไี ดม้ ากยง่ิ ข้ึน

คา้ สา้ คัญ: ไดโนเสาร์ นนั ทนาการ อทุ ยานธรณขี อนแก่น การทอ่ งเทีย่ วเชงิ ธรณี

Oral Session

การประชมุ วิชาการธรณีไทย ประจาปี 2564 35
(Geothai Webinar 2021) วันที่ 4-6 สงิ หาคม 2564

35

การพฒั นาแหลง่ ทอ่ งเทีย่ วทางธรณวี ิทยาน้าตกวังสายทอง อทุ ยานธรณีโลกสตูล จังหวัดสตูล

สิทธินนท์ กลุ ทกั ษยศ*, สันต์ อัศวพชั ระ และ กฤตนนท์ แนวบุญเนยี ร

สว่ นมาตรฐานและขอ้ มลู ธรณวี ิทยา กองธรณีวทิ ยา กรมทรัพยากรธรณี
*E-mail: [email protected]

บทคัดยอ่

น้าตกวังสายทองเป็นแหล่งท่องเท่ียงทางธรณีวิทยาตั้งอยู่ใน บริเวณเขตรักษาพันธ์สัตว์เขาบรรทัด
บ้านวังนาใน ตาบลน้าผุด อาเภอละงู จังหวัดสตูล มีลักษณะเป็นน้าตกหินปูนที่มีทั้งหมด 6 ชั้น แต่ละช้ันสูง
ประมาณ 50-800 เซนติเมตร น้าตกพอกด้วยคราบหินปูนเป็นแอ่งคล้ายสระน้าขนาดเล็กหรือทานบหินปูน
(Rimstone) ท่ีระดับความสูงต่างๆ ประกอบด้วยแร่แคลไซต์ (94.16%) แร่ควอตซ์ (2.35%) แร่มัสโคไวต์
(0.64%) และสารอินทรีย์อ่ืนๆ คราบหินปูนมีการพอกท่ีความหนาต่างๆกัน 1-5 มิลลิเมตร มีรูพรุนสูงทาให้มี
คุณสมบัติยึดเกาะท่ีดีช่วยให้เดินไม่ล่ืน น้าตกวังสายทองประกอบด้วยหินปูนเน้ือปนทรายสีเทาเข้มปนน้าตาล
ขนาดผลกึ ละเอียดถงึ ปานกลาง ชัน้ ปานกลางถึงช้ันหนามาก แทรกด้วยช้ันดนิ และช้ันตะกอนขนาดเม็ดทราย มี
ซากดึกดาบรรพ์นอติลอยด์ แบรคโิ อพอด แกสโตพอด ไครนอยด์ จากผลการศึกษาศิลาวรรณนาของตัวอย่าง
หินปูนบริเวณน้าตกวังสายทองจานวน 3 ตัวอย่าง พบว่าหินปูนมีลักษณะของจุลชุดลักษณ์ (Microfacies)
แบบ Dolosparite ประกอบด้วยผลึกจุลโดโลไมต์ (Microdolomite) ขนาด 60-200 ไมครอน มีขอบผลึก
ชัดเจน คละกนั ระหวา่ งผลึกหนา้ สมบูรณ์ถึงไม่ปรากฏหน้าผลึก ขอบผลึกประสานกันสนิท ปนอยู่กับลักษณะที่
คล้ายกบั เมด็ กลมเล็ก (Pelloid) ทีเ่ ป็นมวลรวมคาร์บอเนต สามารถเทียบได้กับจุลชุดลักษณ์ของหน่วยหินที่ส่ี
หมวดหินรังนก กลุ่มหินทุ่งสง ที่เกาะแลตองบริเวณเกาะตะรุเตา (Wongwanich, 1990) ถัดลงมาทางใต้ของ
น้าตกวงั สายทองประมาณ 2 กโิ ลเมตร ทบี่ รเิ วณหนา้ ทางเขา้ สานกั สงฆว์ งั สายทองพบหินดินดานสลับชั้นหินทราย
แป้งทีม่ ซี ากดึกดาบรรพ์แกรบโตไลต์บง่ ช้อี ายุยุคไซลเู รยี น จัดอยู่ในหมวดหนิ ป่าเสมด็

น้าตกวังวงั สายทองจดั วา่ มีความสาคญั ทัง้ ในด้านวิชาการธรณีวิทยา ระบบนิเวศตามธรรมชาติท่ีมีสัตว์
ป่าคุ้มครอง และเป็นแหล่งท่องเท่ียวที่สาคัญในจังหวัดสตูล กองธรณีวิทยาได้พัฒนาแหล่งท่องเท่ียวทาง
ธรณีวิทยาบริเวณน้าตกวังสายทอง โดยการจัดทาคู่มือผู้เล่าเร่ืองฉบับธรณีวิทยา แผ่นพับ และป้ายสื่อ
ความหมายข้อมูลธรณีวิทยาในพื้นท่ีแหล่ง รวมถึงการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการและจัดทาแหล่งเรียนรู้ทาง
ธรณีวิทยาเพือ่ ใหค้ วามรู้แกก่ ล่มุ เปา้ หมายนักเรยี นและบคุ ลากรในท้องที่ เพ่อื ใหค้ วามรูด้ า้ นธรณีวิทยาและสร้าง
ความตระหนักรู้เกี่ยวกับอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาและธรรมชาติในท้องท่ี รวมถึงการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเท่ียว
เชงิ อนุรักษ์ต่อไป

เอกสารอา้ งอิง

Wongwanich, T 1990, Lithostratigraphy, sedimentology and diagenesis of the Ordovician Car-
bonates, Southern Thailand, PhD thesis, University of Tasmania.

Oral Session

36 ธรณีวถิ ีใหม่ นวตั กรรมไทย เพอื่ การพฒั นาท่ยี ั่งยืน

การพัฒนาแหลง่ ท่องเที่ยวทางธรณีวทิ ยา ถ้าเจ็ดคต จงั หวัดสตูล

ชาญรัตน์ เมินขนุ ทด

สว่ นอนรุ กั ษ์มรดกธรณีและอุทยานธรณี กองธรณวี ทิ ยา กรมทรพั ยากรธรณี
E-mail: [email protected]

บทคดั ยอ่

กรมทรัพยากรธรณมี แี นวคดิ และการดาเนินการผลักดันแหล่งท่องเท่ียวทางธรรมชาติเป็นแหล่งเรียนรู้
ทางธรณีวิทยา โดยการอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาที่มีความโดดเด่นและมีคุณค่าทางวิชาการเพ่ือเป็นมรดกของ
ประเทศพร้อมท้ังสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐกับชุมชน เพ่ือความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติให้
เป็นไปตามรูปแบบแนวทางของ UNESCO การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยา ประกอบไปด้วย 5
ขั้นตอน ไดแ้ ก่ 1. สารวจ จดั ทาขอ้ มลู ธรณวี ทิ ยาในพ้ืนที่ภาคสนาม 2. จดั ทาแหล่งเรียนรู้ทางธรณีวิทยาในพื้นที่
ดาเนนิ งาน 3. จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้แก่ผู้เก่ียวข้องในพ้ืนที่ดาเนินงาน 4. จัดทาข้อมูลเอกสาร
ส่ือเผยแพร่ สิ่งพิมพ์ 5. ติดตามหรือประเมินผลการดาเนินงาน แหล่งท่องเที่ยวถ้าเจ็ดคตเป็นถ้าธารน้าลอดท่ี
ผสมผสานระว่าง การท่องเท่ียวแนวผจญภัย และความสวยงามมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ เป็นส่วนหน่ึงของ
อุทยานธรณีโลกสตูล อยู่ในพ้ืนที่ของเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าเขาบรรทัด อ.มะนัง จ.สตูล มีความโดดเด่นด้วย
ลักษณะธรณีสัณฐานแบบคาสต์ เป็นเทือกเขาหินปูนยุคออร์โดวิเชียนที่หน้าผาสูงชันสลับกับพื้นที่หุบเขา
ประกอบด้วย หินปูนเน้ือดินสีเทาดา หินปูนเนื้อโดโลไมต์ พบซากดึกดาบรรพ์ เช่น นอติลอยด์ หอยฝาเดียว
จัดอยใู่ นกลุม่ หินทุง่ สง หมวดหินรงั นก สว่ นดา้ นเหนอื พบวางตวั อยบู่ นหนิ ทรายยคุ แคมเบรยี น และดา้ นใตม้ หี นิ โคลน
เนอื้ ซลิ กิ ายคุ ไซลเู รยี น-ดโี วเนยี นวางตวั ปดิ ทบั อยู่ โครงสรา้ งแนวเส้นทางธรณีวิทยาเป็นแนวรอยแตกอยู่ในแนวหลัก
2 แนว คือ แนวตะวนั ออกเฉียงเหนือ-ตะวนั ตกเฉยี งใต้ และแนวตะวนั ตกฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉยี งใต้

ถ้าเจ็ดคตเป็นถ้าที่เกิดจากการละลายของหินปูน มีความยาว 761.3 เมตร กว้าง 18 - 47 เมตร มี
ความสูงของเพดานถ้า 3-50 เมตร ปากถา้ ทางเข้าอยู่ทางตะวันออกสูงจากระดับน้าทะเลปานกลาง 119 เมตร
ปากถ้าทางออกอยู่ทางตะวันตกสูงจากระดับน้าทะเลปานกลาง 93 เมตร เป็นการไหลของคลองลาโลนฝั่ง
ตะวนั ออก ลอดถา้ ไปบรรจบกับคลองละงฝู ัง่ ตะวันตก ภายในมีทางน้าไหลไปตามความคดเค้ียวของตัวถ้า และ
มีการสารวจจัดทาผังถ้าท่ีสารวจด้วยวิธี Tape and Compass Method (กรมทรัพยากรธรณี, 2560) ซ่ึงจาก
การนาผังถ้ามาเทียบเคียงกับแนวรอยแตกของหินหลัก 2 แนวข้างต้น ท่ไี ดจ้ ากวธิ ี Contour Pot in Stereonet
ของ 48 ข้อมูลรอยแตกท่ีทาการวัดบริเวณโดยรอบถ้าและในตัวถ้า พบว่ามีความสอดคล้องและไปในทิศทาง
เดียวกัน จึงสันนิษฐานได้ว่าความคตโค้งของตัวถ้าเกิดจากการตัดกันของแนวรอยแตกดังกล่าว นอกจากนี้
ยังพบลักษณะเด่นของตะกอนถ้า (Speleothems) ได้แก่ หินน้าไหล (Flowstone), หลอดหินย้อย
(Soda straw), กอร์ (Gour), หินงอกหินย้อย (Stalagmite & Stalactite) และลักษณะสัณฐานภายในถ้า
(Cave features) ได้แก่ พ้ืนถ้าบรรพกาล (Fossil floor), รอยเว้าผนังถ้า (Cave notch), หน้าต่างถ้า
(Cave window) ซ่ึงจากผลสารวจศึกษาสามารถนามาพัฒนาองค์ความรู้ตามแนวทางการพัฒนาแหล่งมรดก
ธรณเี ป็นแหล่งทอ่ งเท่ยี วเชงิ ธรณีได้

จากการสืบค้นข้อมูลประวัติของพ้ืนที่บริเวณของอาเภอมะนัง มีอายุประมาณ 60 ปี ถ้าเจ็ดคตมี
ความสาคัญในการการขนส่งส่ิงของอุปโภค-บริโภค การคมนาคมท้ังทางเรือและทางเท้า ข้ามไปมาระหว่าง
มะนัง-ละงู จนกระท่ังมีการเข้ามาพัฒนาพ้ืนท่ีให้เป็นแหล่งท่องเทยี่ วโดยองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลปาลม์ พฒั นา

Oral Session

การประชุมวชิ าการธรณีไทย ประจาปี 2564 37
(Geothai Webinar 2021) วนั ท่ี 4-6 สิงหาคม 2564

37
ในชว่ งปี พ.ศ.2540 มีการสร้างถนน ลานจอดรถ โรงเกบ็ เรอื และท่าลงเรือ ซ่ึงจุดเด่นของแหล่งท่องเท่ียวถ้า

เจ็ดคต คือ “ถ้าเจ็ดคต มีเจ็ดโค้ง ยาวเจ็ดร้อยเมตร” ชาวบ้านในพ้ืนท่ีมีการต้ังช่ือโค้งท้ัง 7 ตามความสวยงาม
ของประติมากรรมถ้าท่ีพบและผสานกบั ความรู้ทางธรณวี ิทยาได้ดังน้ี คตที่ 1 บัวคว่า เป็นบริเวณที่มีหินน้าไหล
(Flowstone) ลักษณะคล้ายบัวคว่า คตท่ี 2 หัวสิงโต พบเป็นหินน้าไหล (Flowstone) ลักษณะคล้ายหัวสิงโต
คตท่ี 3 ม่านเพชร เป็นม่านหนิ ย้อย (Curtain) เมอ่ื สอ่ งแสงไฟไปกระทบจะเกิดประกายระยิบระยับเหมือนม่าน
เพชร คตที่ 4 ลานกุหลาบ เป็นกอร์ (Gour) ที่สะสมตัวบริเวณพื้นถ้า คตท่ี 5 ส่องนภา เป็นหน้าต่างถ้า

(Cave window) ทาให้แสงแดดส่องผ่านลงมาเป็นลาแสง คตท่ี 6 ประติมากรรมพระพุทธรูป เป็นหินน้าไหล
(Flowstone) ลักษณะคล้ายพระพุทธรูป และคตที่ 7 แผนที่ประเทศไทย เป็นปากทางออกถ้าซ่ึงมองเห็นเป็น

ชอ่ งแสงรูปร่างเหมอื นแผนที่ประเทศไทย
คณะทางานได้ดาเนินงานพัฒนาแหล่งท่องเท่ียวทางธรณีวิทยา ตามแนวทาง 5 ขั้นตอนข้างต้น

ออกมาเป็นรูปแบบ ดังนี้ 1.รายงงานวิชาการการพัฒนาแหล่งท่องเท่ียวทางธรณีวิทยา ถ้าเจ็ดคต จังหวัดสตูล
2.แหล่งเรียนรู้ธรณีวิทยาบ้านป่าพน ซึ่งมีการจัดบอร์ดให้ความรู้และสวนหิน 3.จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ
เรอื่ ง “การเผยแพรอ่ งคค์ วามรแู้ หลง่ ธรณวี ทิ ยาในพน้ื ทหี่ นิ สา่ หรา่ ยปา่ พน น้าตกวงั สายทอง ถา้ เจด็ คต จงั หวดั สตลู ”

4.จดั ทาคมู่ อื เลา่ เรอื่ ง “ถ้าเจด็ คต จงั หวดั สตลู ” เพอื่ เผยแพรใ่ หแ้ กผ่ สู้ นใจในการนาเทยี่ วในพนื้ ที่ และจดั ทา
แผน่ พบั แนะนาการท่องเท่ยี วถา้ เจ็ดคตให้แก่นักท่องเทย่ี วและผู้ที่สนใจ

คา้ ส้าคัญ: แหล่งท่องเทีย่ วทางธรณีวิทยา, ถา้ เจ็ดคต, อุทยานธรณีโลกสตูล

Oral Session

38 ธรณวี ิถใี หม่ นวัตกรรมไทย เพ่ือการพฒั นาทีย่ ั่งยนื

การศึกษาแบบจ้าลองทางคณิตศาสตรเ์ พื่อคาดคะเนผลกระทบการเกิดดินเค็ม นา้ เค็มบริเวณ

พนื้ ที่โครงการชลประทานน้าก่้าตอนลา่ งอันเน่ืองมาจากพระราชด้าริ จงั หวัดนครพนม

กมั ปนาท ขวัญศริ กิ ุล

สานกั สารวจด้านวิศวกรรมและธรณวี ทิ ยา กรมชลประทาน
E-mail : [email protected]

บทคัดยอ่

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดาริเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้กรม
ชลประทานพจิ ารณาโครงการและก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้าก่า จังหวัดสกลนคร-นครพนม สาหรับกักเก็บ
น้าเพ่ือช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎร กรมชลประทานจึงได้ดาเนินการก่อสร้างประตูระบายน้า
รวมท้ังระบบการชลประทาน ทีบ่ ้านโนนสังข์ อาเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม แต่เนื่องจากพื้นที่มีปัญหาเรื่อง
การแพร่กระจายของดินเค็มและน้าใต้ดินเค็มซึ่งเป็นผลมาจากลักษณะทางกายภาพของพ้ืนที่ ที่รองรับด้วยช้ัน
หินทรายและหินโคลนแทรกสลบั ดว้ ยชัน้ เกลอื หินของหมวดหนิ มหาสารคาม ดังนั้นจึงต้องทาการสารวจ ศึกษา
วิเคราะหส์ ภาพธรณวี ทิ ยาและอุทกธรณีวิทยาและปัจจัยที่เก่ียวข้องกับความเค็มของ น้าใต้ดิน รวมท้ังประเมิน
และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของน้าผิวดินและน้าใต้ดินโดยใช้แบบจาลองคณิตศาสตร์การไหลน้าใต้ดินและ
แบบจาลองการเคล่ือนที่ของมวลสาร เพื่อคาดคะเนการแพร่กระจายของน้าใต้ดินเค็ม ซ่ึงอาจจะส่งผลต่อการ
เกิดดินเค็มภายหลังการกักเก็บน้าของประตูระบายน้า ผลการสารวจพบว่าบริเวณพ้ืนที่ศึกษามีช้ันน้าใต้ดิน 2
ช้ัน ได้แก่ชั้นน้าใต้ดินระดับตื้น (ระดับความลึกไม่เกิน 40 เมตร) ประกอบด้วยตะกอนกรวด ทรายที่ยังไม่
แขง็ ตัวยคุ ควอเทอรน์ ารีและตะกอนกงึ่ แขง็ ตัวของหมวดหินภูทอก เป็นช้ันน้าจืดที่มีคุณภาพดี และช้ันน้าใต้ดิน
ระดับลึกของหมวดหินมหาสารคามท่ีเปน็ ชนั้ นา้ เค็มวางตัวรองรับชัน้ นา้ ใต้ดนิ ทเ่ี ปน็ นา้ จดื อยูด่ า้ นล่าง ข้อมูลจาก
การสารวจธรณฟี สิ กิ สแ์ ละการศกึ ษาการเรยี งลาดับช้ันหิน พบว่าชั้นหินโคลนที่วางตัวปิดทับชั้นเกลือหินช้ันบน
ของหมวดหินมหาสารคามมีคุณสมบัติในการปิดก้ันการไหลข้ึนไปข้างบนของน้าเกลือในช้ันเกลือหินได้ แต่
สาเหตุท่ีทาให้เกิดความเค็มในพื้นท่ีเนื่องมาจากมีโครงสร้างทางธรณีวิทยาท่ีเป็นรอยแตก ตัดผ่านชั้นหินของ
หมวดหนิ มหาสารคามและหมวดหนิ ภทู อกทาให้น้าเคม็ ซมึ ผ่านรอยแตกดังกล่าวขึ้นมา ประกอบกับในฤดูแล้งมี
การใช้นา้ ใตด้ ินระดบั ตื้นเปน็ ปริมาณมากทาให้ระดับแรงดันน้าใต้ดินระดับตื้นลดลงต่ากว่าระดับแรงดันของน้า
ใตด้ ินระดับลกึ เป็นสาเหตใุ ห้เกดิ การแทรกดนั ตวั ข้ึนมาของน้าเค็มจากนา้ ใตด้ ินระดับลกึ ของชั้นน้ามหาสารคาม
เข้าสู่ชั้นน้าบาดาลระดับต้ืนจึงทาให้น้าใต้ดินระดับตื้นมีค่าความเค็มสูง และเน่ืองจากมีการก่อสร้างประตู
ระบายน้ารวมทั้งระบบการชลประทานในบรเิ วณพ้นื ทีโ่ ครงการซงึ่ จะสง่ ผลกระทบเรือ่ งการแพร่กระจายของดิน
เคม็ และนา้ ใต้ดนิ เค็ม จงึ จาเป็นต้องมีการศึกษาโดยใช้แบบจาลองทางคณิตศาสตร์เพ่ือคาดคะเนผลกระทบการ
เกิดดินเคม็ น้าเค็มภายหลังการกักเกบ็ น้าของโครงการ ผลการศึกษาท่ีได้จากแบบจาลองแสดงให้เห็นว่าระบบ
การไหลของน้าใต้ดินในพื้นท่ีส่วนใหญ่มีลักษณะการไหลแบบเฉพาะแห่งในช้ันน้าของตะกอนยุคควอเทอร์นารี
และช้ันน้าของหน่วยหินภูทอกท่ีเป็นชั้นน้าจืดที่ได้รับน้าเพ่ิมเติมลงสู่ช้ันน้าใต้ดินโดยตรงจากบริเวณตอนกลาง
ของพ้ืนท่ีศึกษา มีระยะทางการไหล 1-5 กิโลเมตร ลึกจากผิวดินน้อยกว่า 40 เมตร และมีระบบการไหลของ
น้าเค็มในชั้นเกลือหินของหมวดหินมหาสารคามเป็นบริเวณกว้างรองรับอยู่ด้านล่างของระบบการไหลเฉพาะ
แห่ง ในบริเวณพื้นท่ีบ้านพระซองท่ีพบการแพร่กระจายของน้าใต้ดินเค็มและดินเค็มสูงซึ่งเป็นผลมาจากการ
ไหลของน้าใต้ดินจากบริเวณพื้นที่รับน้าที่อยู่ทางด้านตะวันตกของพ้ืนท่ีศึกษาไหลผ่านลงไปในช้ันเกลือหินของ

Oral Session

การประชุมวิชาการธรณไี ทย ประจาปี 2564 39
(Geothai Webinar 2021) วันที่ 4-6 สิงหาคม 2564

39
หมวดหินมหาสารคามท่ีรองรับชั้นน้าจืดอยู่ด้านล่างทาให้เกิดเป็นน้าใต้ดินเค็มและไหลย้อนข้ึนมาสู่บริเวณผิว

ดินอันเนื่องมาจากพื้นท่ีดังกล่าวมีระบบการไหลของน้าใต้ดินแบบเฉพาะแห่งจึงเป็นสาเหตุที่ทาให้เกิดการ

แพร่กระจายของน้าใต้ดินเคม็ และดินเคม็ ในบริเวณพื้นท่ีดังกล่าว พ้ืนท่ีการแพร่กระจายของน้าเค็มที่ปรากฏใน

ผลการศึกษาท่ไี ด้จากแบบจาลองเปน็ พื้นที่ที่มีการแพร่กระจายของน้าเค็มอยู่ก่อนการก่อสร้างโครงการและผล

จากการคาดการณ์โดยใช้แบบจาลองการไหลของน้าใต้ดินรวมทั้งแบบจาลองการเคลื่อนที่ของมวลสารสรุปได้

ว่า การกอ่ สร้างและกกั เกบ็ น้าของโครงการไม่ส่งผลกระทบพื้นที่ดินเค็มที่มีอยู่เดิมให้มีความเค็มเพิ่มข้ึนหรือทา

ให้เกิดการขยายพน้ื ท่ดี ินเค็มมากข้ึนแตอ่ ยา่ งใดเน่ืองจากระบบการไหลของน้าเค็มในพ้ืนท่ีเป็นการไหลในระดับ

ลึกและกว้าง ในรอยแตกของหินแข็งและช้ันเกลือหินของหมวดหินมหาสารคามที่รองรับอยู่ด้านล่างโดยมีทิศ

ทางการไหลจากทางด้านทิศตะวันตกไปทางด้านทิศตะวันออกของพื้นท่ี ส่วนระบบการไหลของน้าบาดาล

ระดับต้ืนทเ่ี ป็นชั้นนา้ จดื คณุ ภาพดี ที่พบการกระจายตวั ของชน้ั นา้ บาดาลครอบคลมุ และรองรับบริเวณพื้นที่อ่าง

เก็บน้าของโครงการและพ้ืนท่ีข้างเคียงโดยรอบ เป็นการไหลของน้าบาดาลในระดับต้ืน หรือระบบการไหล

เฉพาะแห่งที่ได้รับน้าเพ่ิมเติมลงสู่ช้ันน้าบาดาลจากน้าฝนและน้าผิวดินในบริเวณพ้ืนท่ีนั้นๆโดยมีการไหลซึม

ของนา้ จากนา้ ฝนและน้าผิวดนิ ลงไปเพม่ิ เติม ดงั นั้นเม่ือมีการก่อสร้างและกักเก็บน้าของโครงการจึงน่าจะส่งผล

ดีต่อระบบน้าใต้ดินระดับตื้นซ่ึงเป็นช้ันน้าจืด เพราะเป็นการเพ่ิมเติมปริมาณน้าจืดจากการกักเก็บน้าของ

โครงการลงสู่ชั้นน้าใต้ดินระดับตื้น และส่งผลทาให้เพ่ิมระดับแรงดันน้าของน้าใต้ดินชั้นตื้นให้สูงกว่าระดับ

แรงดันนา้ ใต้ดินระดับลึกซ่ึงจะทาให้ลด หรือไม่เกิดการการแทรกดันตัวขึ้นมาของน้าเค็มจากน้าใต้ดินระดับลึก

ของชนั้ นา้ มหาสารคามเขา้ สชู่ ั้นน้าบาดาลระดับตืน้ ท่ีเปน็ ช้ันนา้ จดื คณุ ภาพดี

Oral Session

40 ธรณีวิถีใหม่ นวัตกรรมไทย เพอ่ื การพัฒนาที่ย่ังยืน

การศึกษาการก้าหนดอายุอิฐโบราณดว้ ยเทคนคิ Optically Stimulated Luminescence
(OSL) เทยี บกบั Thermoluminescence (TL) ดว้ ยเครอ่ื ง TL/OSL reader

เฉลมิ พงษ์ โพธิ์ล้ี 1*, วรี ะชาติ วเิ วกวนิ 2, นิชธิมา เอื้อพนู ผล1 และ ศศิพนั ธ์ุ คะวรี ตั น์1

1สถาบนั เทคโนโลยนี วิ เคลียร์แหง่ ชาติ (องคก์ ารมหาชน)
2กองธรณีวทิ ยาสงิ่ แวดล้อม กรมทรัพยากรธรณี

*Corresponding Author: เฉลมิ พงษ์ โพธล์ิ ้ี

*E-mail: [email protected]

บทคัดย่อ

การศึกษาเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีสามารถสืบค้นได้จากหลักฐานที่ยังคงเหลืออยู่ใน
ปัจจุบัน ได้แก่ โบราณสถาน โบราณวัตถุ และพยานแวดล้อมในอดีต การวิเคราะห์หลักฐานเหล่าน้ีจะทาให้
เข้าใจเร่ืองราวและสามารถเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคแต่ละสมัยได้ อย่างไรก็ดีการอธิบายบริบททาง
ประวัติศาสตร์หรือเรื่องราวของแต่ละยุคแต่ละสมัย ต้องใช้ศาสตร์หลายด้านมาประกอบกัน ท้ังศิลปะ
โบราณคดี และวทิ ยาศาสตร์ เพื่อใหก้ ารเปดิ เผยข้อมูลท่ซี อ่ นอยูใ่ นวัตถุโบราณสะท้อนความจริง มีความถูกต้อง
และน่าเชื่อถือ การกาหนดอายุของโบราณสถาน หรือวัตถุโบราณ เป็นความสาคัญลาดับต้นๆ ในการสืบค้น
ข้อมลู ในอดีตผ่านทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ทาให้เกดิ หลักฐานเชิงประจักษ์ สร้างความเข้าใจในช่วงเวลา
ของวัฒนธรรมโบราณ สามารถเช่ือมโยงลาดับเหตุการณ์ และความสัมพันธ์ของบริบทต่าง ๆ ในแต่ละยุคสมัย
งานวิจัยน้ีเป็นการศึกษาการกาหนดอายุของอิฐโบราณจานวน 3 ตัวอย่าง จาก โบราณสถาน บริเวณใต้ฐาน
พระธาตุ วัดป่าหมากหน่อ ตาบลจันจว้า อาเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ด้วยเทคนิคการกาหนดอายุแบบเรือง
แสงความรอ้ น หรอื Thermoluminescence (TL) Dating เปรียบเทียบกับการกาหนดอายุแบบเรืองแสงโดย
กระตุ้นด้วยแสง หรือ Optically Stimulated Luminescence (OSL) Dating จากการศึกษาพบว่า ท้ัง 2
เทคนิค ให้ผลวิเคราะห์อายุของอิฐทั้ง 3 ตัวอย่างสอดคล้องกัน คือมีค่าอยู่ในช่วง 600-1,800 ปีมาแล้ว แสดง
ใหเ้ หน็ ว่าเทคนิคการวิเคราะห์อายุทั้งแบบ TL และ OSL มีความเหมาะสม สามารถใช้ได้ดีกับการกาหนดอายุ
โบราณสถานท่ีสร้างด้วยอิฐ นอกจากน้ี ข้อมูลดังกล่าว สามารถใช้ในการพิสูจน์สมมติฐานการก่อสร้าง
โบราณสถานดังกล่าวท่ี ย้อนไปถึงสมัยเชียงแสน และอาจจะมีการบูรณะ ต่อเติม เรื่อยมาจนถึงสมัยอยุธยา
ตอนตน้

Oral Session

การประชุมวชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564 41
(Geothai Webinar 2021) วันท่ี 4-6 สงิ หาคม 2564

41

การศึกษาการกระจายตวั ของร่องรอยดนิ ถล่มในพนื้ ทีจ่ ังหวดั อุตรดติ ถ์ โดยการแปลความหมาย

ภาพถ่ายดาวเทยี มโดยใช้โปรแกรม Google Earth

ทศั นพร เรือนสอน*, นา้ ฝน คาพลิ งั , นลนิ ี ธะนันต์, ภคั พงษ์ ศรีบัวทอง และ ธีระชยั หน่อคาบตุ ร

สานักงานทรพั ยากรธรณี เขต 1 กรมทรพั ยากรธรณี
*E-mail: [email protected]

บทคัดย่อ

การแปลความหมายภาพถ่ายดาวเทียมในอดีตจนถึงปัจจุบัน เพ่ือศึกษาการกระจายตัวและร่องรอย
การเกิดดินถลม่ ดว้ ยสายตาโดยการใชโ้ ปรแกรม Google Earth ถอื วา่ เปน็ วิธีท่งี า่ ย สะดวก และช่วยเพิ่มความ
เข้าใจในกระบวนการของการเกิดดินถล่มในมุมมองแบบ 3 มิติมากยิ่งข้ึน ในหลายช่วงเวลาท่ีแตกต่างกันท่ี
ดาวเทียมสามารถบันทึกภาพไว้ได้ โดยทาการแปลภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลังเพื่อเป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการ
วิเคราะห์แบบจาลองพ้ืนท่ีอ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่มพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ถือเป็นหน่ึงใน
จังหวดั ที่ได้รับผลกระทบด้านธรณีพิบัติภยั ดนิ ถล่มบอ่ ยครั้ง สร้างความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินเป็นจานวน
มาก ลกั ษณะภมู ิประเทศมากกวา่ ครงึ่ ของจังหวัดเป็นเขตภูเขา และพื้นที่สูง ในด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก
ของจังหวัด โดยเฉพาะในเขตอาเภอบ้านโคก อาเภอฟากท่า อาเภอน้าปาด อาเภอท่าปลา อาเภอลับแล และ
บางส่วนของอาเภอเมืองอุตรดิตถ์ จากการแปลภาพถ่ายดาวเทียมระหว่าง ปี พ.ศ. 2523 – 2562 จานวน
ทั้งสิ้น 10,534 ร่องรอย โดยสังเกตการเปล่ียนแปลงของพื้นที่ ความลาดชัน และทิศทางการไหล พบร่องรอย
ดินถล่มอยตู่ ามภูเขาสูง และมีขนาดที่แตกต่างกัน บางพื้นท่ีพบร่องรอยดินถล่มเป็นจานวนมาก แต่บางพื้นท่ีไม่
ปรากฏรอ่ งรอยดนิ ถลม่ ผลการแปลความหมายภาพถ่ายดาวเทียมพบการกระจายตัวของร่องรอยดินถล่มมาก
ท่ีสุดในตาบลน้าหมัน อาเภอท่าปลา จานวน 5,789 ร่องรอย และรองลงมาในตาบลแม่พูล อาเภอลับแล
จานวน 1,965 ร่องรอย และปรากฏร่องรอยดินถล่มมากท่ีสุดในช่วงปี พ.ศ. 2550 และ ปี พ.ศ. 2549
ตามลาดับ

ค้าส้าคัญ: Google Earth, รอ่ งรอยการเกดิ ดินถลม่ , อุตรดิตถ์

Oral Session

42 ธรณีวิถีใหม่ นวตั กรรมไทย เพ่อื การพฒั นาทยี่ ง่ั ยนื

การศกึ ษารอยเล่อื นท่าแขกในพน้ื ที่ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ประเทศไทย

รุ่งโรจน์ อาจเวทย*์ , เจษฎารตั น์ รตั นวรรณี, สรุ ยิ ฉาย ฉายสริยา, วนิ ิจ ยังมี,
สาคร แสงชมพู และ พจน์ปรีชา พรชัย

สาขาวิชาเทคโนโลยีธรณี คณะเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่
*E-mail: [email protected]

บทคัดย่อ

กลุ่มรอยเลอื่ นท่าแขกมที ิศทางการวางตัวในแนวตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย
แนวรอยเลือ่ นหลกั 3 แนว พาดผ่านประเทศลาวและตามแนวแม่น้าโขงตามขอบด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ของที่ราบสูงโคราช อยา่ งไรก็ตามไม่ปรากฏหลกั ฐานท่ีชัดเจนของแนวรอยเลื่อนพาดผ่านเข้ามาในประเทศไทย
การศึกษาระบุตาแหน่ง หาความยาว และแนวการวางตัวของรอยเล่ือนท่าแขกในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬและ
จังหวดั นครพนม ด้วยการศึกษาข้อมูลโทรสัมผัสระยะไกล การสารวจธรณีวิทยา การสารวจธรณีสัณฐาน ระบุ
ตาแหน่งของรอยเล่ือนด้วยการวัดสภาพต้านทานไฟฟ้าแบบ 2 มิติ ขุดร่องสารวจเพ่ือศึกษาธรณีวิทยา การ
ลาดับชั้นตะกอนและกาหนดอายุตะกอนด้วยวิธีการกระตุ้นด้วยแสง ผลการศึกษาพบรอยเล่ือนย่อยพาดผ่าน
จากประเทศลาวเข้าสู่จังหวัดบึงกาฬและจังหวัดนครพนมจานวน 3 แนว ได้แก่ 1) แนวบอลิคาไซ-นาทม
2) แนวบอลิคาไซ-ศรีสงคราม และ 3) แนวบ้านแพง-ศรีสงคราม มีความยาว 70, 120 และ 35 กิโลเมตร
ตามลาดบั วางตัวในแนวตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ ระบุตาแหน่งของรอยเลื่อนด้วยผลการสารวจ
วัดสภาพตา้ นทานไฟฟ้าทพ่ี บลักษณะคา่ ความผิดปกตใิ นแนวดง่ิ แปลความได้เป็นตาแหน่งของรอยเล่ือนท่ีแสดง
ค่าความต้านทานไฟฟ้าต่าของชั้นหินโคลนและค่าความต้านทานไฟฟ้าสูงของช้ันตะกอน ผลการขุดร่องสารวจ
ท้ัง 2 ร่อง มีลักษณะธรณีวิทยาและการลาดับตะกอนในร่องสารวจ BK1 พบรอยเลื่อนย้อนที่ช้ันหินโคลนปิด
ทับบนช้ันตะกอนท่ีเป็นกรวด และทราย มีระยะการเล่ือนตัวประมาณ 3.5 เมตร โดยชั้นตะกอนที่อายุน้อย
ที่สดุ ทีร่ อยเลื่อนตัดผา่ นมีอายุ 18,120±1,920 ปี และผลจากร่องสารวจ BK2 พบรอยเล่ือนย้อน 2 แนว ในชั้น
หินโคลนปิดทับบนชั้นตะกอนทราย ซึ่งรอยเลื่อนย้อนเป็นรอยเลื่อนย่อยที่เกิดจากการเลื่อนตัวของรอยเล่ือน
หลักท่ีมีการเลื่อนตัวในแนวระดับ โดยช้ันตะกอนท่ีอายุน้อยที่สุดที่รอยเล่ือนตัดผ่านมีอายุ 36,960±2,780 ปี
ขนาดแผ่นดินไหวทเ่ี คยเกดิ ขนึ้ ในอดีตมขี นาด M7.1 มีอัตราการเลื่อนตัวของรอยเล่ือน 0.0081 มิลลิเมตรต่อปี
จากเหตุการณ์แผ่นดนิ ไหวครัง้ ล่าสดุ พบว่ารอยเลอื่ นทา่ แขกสว่ นยอ่ ยทีพ่ าดผ่านเข้ามาในประเทศไทยมีแนวโน้ม
ทจี่ ะเปน็ รอยเล่ือนมพี ลงั
เอกสารอ้างอิง
Arjwech, R., Everett, M.E., Chaisuriya, S., Youngme, W., Rattanawannee, J., Saengchomphu, S.,
Thitimakorn, T., and Somchat, K., 2021. Electrical resistivity tomographic detection of the
hidden Thakek fault, Northeast Thailand. Near Surface Geophysics. 19(4), 1–13

Oral Session

การประชมุ วชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564 43
(Geothai Webinar 2021) วันท่ี 4-6 สงิ หาคม 2564

43

การศกึ ษาอุทกธรณีวทิ ยา วนอุทยานถ้าหลวง-ขุนน้านางนอน อา้ เภอแม่สาย จงั หวัดเชียงราย

อคั ปศร อคั ราช*, วนัชวรรณ ฮนั เยก็ และ จีรทปี ต์ ยศม้าว

กรมทรัพยากรนา้ บาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม จตจุ กั ร กรุงเทพ 10900 ประเทศไทย
*E-mail: [email protected]

บทคัดยอ่

การศึกษาอทุ กธรณวี ิทยา วนอทุ ยานถ้าหลวง-ขนุ น้านางนอน อาเภอแม่สาย จงั หวัดเชียงราย เพื่อเป็น
การจัดเตรียมข้อมูลพื้นฐานในการจัดทาแผนท่ีอุทกธรณีวิทยา การประเมินศักยภาพน้าบาดาล และการ
กาหนดแนวทางบริหารจัดการน้าบาดาลพื้นท่ีเขตเศรษฐกิจพิเศษ อาเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ในการ
จาแนกพื้นท่ีรับน้าและสูญเสียน้า จากผลการศึกษาพบว่า อาเภอแม่สาย มีพ้ืนท่ีรับน้า (Recharge Area)
ประมาณ 155 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 29 ครอบคลุมพ้ืนที่บริเวณฝ่ังตะวันตก โดยมีรูปแบบอุทกธรณี
เคมีน้าบาดาล เปน็ กลมุ่ แคลเซียม-ไบคาร์บอเนต และแมกนีเซียมไบ-คาร์บอเนต สาหรับพ้ืนที่ที่เป็นทั้งพื้นที่รับ
น้าและพื้นที่สูญเสียน้า (Transition Area) มีพ้ืนท่ีประมาณ 380 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 71
ครอบคลุมพ้นื ทบี่ รเิ วณฝ่งั ตะวันออก โดยมีรูปแบบอุทกธรณีเคมีน้าบาดาล เป็นกลุ่มโซเดียมซัลเฟต ตามลาดับ
ระบบการไหลของนา้ บาดาล และธารน้าใต้ดิน จากการจัดทาแผนที่แสดงระบบการไหลของน้าบาดาล (ระดับ
น้าและทิศทางการไหลของน้าบาดาลในช้ันหินให้น้า) มีลักษณะเป็นแอ่งระหว่างภูเขา ด้านทิศตะวันตกเป็น
แนวภเู ขาสงู และด้านตะวันออกที่เป็นแนวเขา น้าบาดาลในช้ันหินให้น้าท้ังหมดส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มของทิศ
ทางการไหลไปในทางเดียวกัน กล่าวคือ มีทิศทางการไหลจากบริเวณพื้นที่สูงหรือภูเขาด้านตะวันตกสู่ด้าน
ตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่าลงสู่แม่น้าสายย่อย แม่น้ามะ และแม่น้าคา แล้วไหลลงสู่แม่น้าโขง ซ่ึงสอดคล้อง
กับการแผ่ขยายตัวของพ้ืนที่รับน้าและพื้นที่สูญเสียน้า สาหรับการจาแนกช้ันหินให้น้าบาดาล สามารถจาแนก
ชั้นหินให้น้าออกเป็น 7 กลุ่ม ประกอบด้วย ชั้นหินให้น้าตะกอนลุ่มน้าหลาก (Flood Plain Deposits Aqui-
fer: Qfd) ช้ันหินให้น้าตะกอนตะพักลาน้ายุคใหม่ (Young Terrace Deposits Aquifer: Qyt) ช้ันหินให้น้า
ตะกอนตะพักลานา้ ยุคเกา่ (Old Terrace Deposits Aquifer: Qot) ความลกึ ระหวา่ ง 20-150 เมตร ชั้นหินให้
น้าหินคาร์บอเนตอายเุ พอรเ์ มยี น (Pc) ชั้นหินให้น้าหินตะกอนกึ่งแปรอายุเพอร์เมียน-คาร์บอนิเฟอรัส (PCms)
ชั้นหินให้น้าหินแปรอายุไซลูเรียนถึงดีโวเนียน (SDmm) และช้ันหินให้น้ากลุ่มหินอัคนี พบเป็นชั้นหินให้น้า
หินแกรนิตยุคไทรแอสซิก ทั้งนี้ พื้นท่ีส่วนใหญ่มีคุณภาพน้าบาดาลดี สารละลายมวลรวมในน้าระหว่าง 200-
500 มิลลิกรัมต่อลิตร หากจาแนกคุณภาพน้าแต่ละส่วน พบว่าพ้ืนที่ศึกษาร้อยละ 80 มีปริมาณเหล็กสูง (Fe)
ระหว่าง 1-20 มิลลกิ รมั ตอ่ ลิตร ถอื ว่าเกนิ เกณฑ์มาตรฐานน้าอปุ โภคบริโภค ในการพฒั นาน้าบาดาลขึ้นมาใช้จึง
ควรมีระบบปรับปรุงคุณภาพน้าการกรองสนิม สาหรับจัดหาน้าสะอาด เพื่อการอุปโภคบริโภคให้แก่ชุมชน
ครอบคลมุ ทุกชมุ ชน รวมทัง้ ในพน้ื ท่ีเศรษฐกจิ พเิ ศษ และแหลง่ ทอ่ งเที่ยวสาคัญตอ่ ไป

Oral Session

44 ธรณวี ิถีใหม่ นวัตกรรมไทย เพอ่ื การพฒั นาที่ย่ังยืน

การสร้างและออกแบบส่ือผสมออนไลนส์ า้ หรบั การเรยี นการสอนวิชาธรณวี ิทยาภาคสนามและ
การทอ่ งเที่ยวเชงิ ธรณวี ิทยา

สุคนธเ์ มธ จิตรมหนั ตกลุ 1,2* , ฐาสณิ ยี ์ เจรญิ ฐติ ริ ัตน์2 และ ปิยพงษ์ เชนร้าย1,2

1หนว่ ยปฏิบตั กิ ารวิจยั การวิเคราะหแ์ อง่ ตะกอนและววิ ฒั นาการทางธรณโี ครงสรา้ ง ภาควชิ าธรณวี ิทยา คณะวทิ ยาศาสตร์
จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย

2หลักสูตร วท.ม. ธรณีศาสตร์ปโิ ตรเลยี ม (นานาชาติ) ภาควชิ าธรณีวทิ ยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั
*E-mail: [email protected]

บทคัดยอ่

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี
พ.ศ.2562 ส่งผลให้กิจกรรมหลายอย่างถูกระงับหรือถูกแนะนาให้จัดในรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ การเรียนการสอน
ในทุกระดับช้ันจาเป็นต้องจัดในรูปแบบออนไลน์ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาท่ีต้ังอยู่ในเขตพ้ืนที่เส่ียงต่อการ
แพร่ระบาด ซ่ึงการเรียนในหลายวิชาสามารถทาได้ด้วยการบรรยายผ่านระบบประชุมทางไกล อย่างไรก็ตาม
การเรียนออนไลน์ของรายวิชาท่ีเก่ียวข้องกับการออกภาคสนาม เช่น วิชาวิธีการศึกษาธรณีวิทยาภาคสนาม
หรือ วิชาธรณีสนาม ไม่สามารถทดแทนการเรียนในภาคสนามจริงได้อย่างสมบูรณ์ ส่ิงท่ีทาได้ขณะนี้คือการ
ปรับเปลี่ยนกิจกรรมและวิธีการประเมินผลการศึกษาตามความเหมาะสม แต่ด้วยความไม่แน่นอนของการ
กระจายเช้ือและการกลายพันธ์ุของเช้ือโควิด-19 ที่ไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดในระยะปีถึงสองปีน้ี การเรียนออนไลน์ก็
จะยังคงดาเนินต่อไป ดังน้ัน ผู้สอนจาเป็นจะต้องเตรียมความพร้อมด้านส่ือการสอนและปรับปรุงกิจกรรมให้
ผู้เรียนมสี ว่ นร่วมและใหผ้ เู้ รียนไดม้ ีประสบการณ์ใกลเ้ คียงกับการฝกึ ฝนในภาคสนามมากทสี่ ุด

หัวข้อนี้จะนาเสนอเทคโนโลยีปัจจุบันที่สามารถนามาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมออกภาคสนาม
แบบออนไลน์ พร้อมกับการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละเคร่ืองมือ และพูดถึงแนวคิดด้านการสร้างและ
ออกแบบสอ่ื ผสมออนไลนส์ าหรบั การเรยี นการสอนวิชาธรณีวิทยาภาคสนาม โดยมีการยกตัวอย่างส่ือท่ีได้นาไป
ทดลองใช้ในชั้นเรียนออนไลน์ของภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ
งานวิจัยท่ีมีการนาสื่อผสมออนไลน์ไปใช้ส่งเสริมการท่องเท่ียวเชิงธรณีวิทยา การนาเสนอครั้งนี้ผู้ฟังจะได้
ข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนาสื่อผสมสาหรับจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการออกภาคสนามในรูปแบบ
ออนไลนท์ ีส่ ามารถใช้ไดท้ งั้ ในสถานการณป์ จั จบุ ันและในช่วงหลังวิกฤตโควดิ -19

Oral Session

การประชมุ วชิ าการธรณีไทย ประจาปี 2564 45
(Geothai Webinar 2021) วนั ที่ 4-6 สิงหาคม 2564

45

การส้ารวจ ตรวจสอบ และศึกษาซากดกึ ด้าบรรพ์นอตลิ อยด์ และไทรโลไบต์ บา้ นท่ากระดาน

อา้ เภอศรีสวัสด์ิ จังหวดั กาญจนบุรี

พงษ์พัฒน์ ประสงค์

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตธิ รณวี ิทยาเฉลิมพระเกยี รติ จังหวดั ปทมุ ธานี สานกั งานทรัพยากรธรณี เขต 3 กรมทรพั ยากรธรณี
E-mail: [email protected]

บทคดั ยอ่

รายงานมีวัตถุประสงค์เพื่อการสารวจ ตรวจสอบ และศึกษาแหล่งซากดึกดาบรรพ์นอติลอยด์ และ
ซากดึกดาบรรพ์ไทรโลไบต์ บ้านท่ากระดาน อาเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ผลการศึกษาซากดึกดาบรรพ์
2 แหล่ง คือ แหล่งซากดึกดาบรรพ์นอติลอยด์และแหล่งซากดึกดาบรรพ์ไทรโลไบต์ มีการกระจายตัวสะสมทั่ว
บริเวณบ้านท่ากระดาน ตาบลท่ากระดาน อาเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี แหล่งที่ 1 แหล่งนอติลอยด์
(Nautiloid) ที่สารวจพบกระจายตวั ในพ้นื ท่ีป่าชมุ ชน ท่ากระดาน หมู่ท่ี 2 บ้านท่ากระดาน ตาบลท่ากระดาน
อาเภอศรีสวสั ดิ์ จังหวดั กาญจนบุรี พบซากดึกดาบรรพน์ อติลอยดห์ นาแน่นบรเิ วณเขาเนินแดงและท่ีราบเชงิ เขา
เนนิ แดง ซงึ่ ซากดึกดาบรรพน์ อตลิ อยด์สว่ นใหญท่ ี่พบในพ้ืนที่ มลี กั ษณะเปลอื กภายนอกลาตวั เป็นแท่งตรงคล้าย
กรวย ชนดิ Orthoceras sp. และพบอีก 3 ชนิด ประกอบด้วย Actinoceras sp., Sinocerus sp. และ Order
Tarphycerida การกระจายตัวของนอติลอยด์ในพ้ืนที่นี้กระจายตัวดี มีปริมาณมากและมีขนาดเล็กถึงขนาด
ใหญ่ ความยาวตัง้ แต่ 1 เซนติเมตรถึงขนาดใหญ่ 50 เซนติเมตร การพบซากดึกดาบรรพน์ อติลอยดห์ ลากหลาย
ชนดิ สามารถบง่ บอกถงึ สภาพของสิ่งแวดลอ้ ม ในอดีตบรเิ วณดังกลา่ วเคยเป็นพ้ืนทะเลและมคี วามอุดมสมบูรณ์
สูงซึ่งซากดึกดาบรรพ์ท่ีพบในพ้ืนท่ีสะสมตัวในชั้นหินปูนเนื้อดิน สีน้าตาลแดง และสีเทา ยุคออร์โดวิเชียน
หินปูนยุคนี้กระจายตัวไปยังฝั่งตะวันออกและทางตอนใต้ของพ้ืนท่ีจังหวัดกาญจนบุรี และมักพบเป็นเทือกเขา
ระดับต่าและเนินเขา และแหล่งที่ 2 แหล่งซากดึกดาบรรพ์ไทรโลไบต์ (Trilobite) บริเวณหน้าตัดถนน
พื้นท่ชี ุมชนท่ากระดาน ซอย 6 หมู่ที่ 2 บ้านท่ากระดาน ตาบลท่ากระดาน อาเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี
มีการสะสมตัวในช้ันหินทรายแป้งสีม่วงแดง และหินดินดานสีน้าตาลเหลือง อายุคาร์บอนิเฟอรัส โดยพบ
หลักฐานซากดาบรรพ์ โพสิโดนิมย่า (Posidonomya) ไทรโลไบต์ (Trilobite)ไครนอยด์ (crinoid) แบรคิโอ
พอด (brachiopod) และซากดึกดาบรรพ์พวกหอยสองฝา (bivalve) ซ่ึงซากดึกดาบรรพ์ไทรโลไบต์ ท่ีพบใน
พื้นท่ี จะพบส่วนลาตัวและหาง (Trilobite pygidium) ไม่ค่อยจะพบแบบเต็มตัว หรือโครงสร้างอ่อนอื่นๆ
ขนาดไทรโลไบต์ท่ีพบมีขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ ความยาวโดยเฉล่ีย 0.5 - 2 เซนติเมตร กระจายตัวในพื้นท่ี
สารวจพบเป็นหย่อมๆ และยังพบซากดกึ ดาบรรพอ์ ่ืนๆ อกี หลายชนิด สามารถบ่งบอกถึงสภาพของส่ิงแวดล้อม
บรเิ วณดังกล่าวในอดตี เป็นพน้ื ทะเลทีม่ คี วามอดุ มสมบรู ณข์ องส่ิงแวดลอ้ ม

รายงานเลม่ นเี้ ปน็ การสารวจ ตรวจสอบ และศกึ ษาแหลง่ ซากดกึ ดาบรรพน์ อตลิ อยด์ และไทรโลไบต์ ทาง
กายภาพและศึกษาสภาพแวดล้อมของการสะสมตัว ในพื้นที่บ้านท่ากระดาน ตาบลท่ากระดาน อาเภอศรี
สวสั ด์ิ จงั หวดั กาญจนบุรี เพือ่ เปน็ ฐานข้อมลู ซากดึกดาบรรพอ์ ้างอิงในการจาแนกเพื่อนาเข้าฐานข้อมูลทะเบียน
ซากดึกดาบรรพต์ ่อไป

Oral Session

46 ธรณวี ิถีใหม่ นวตั กรรมไทย เพื่อการพัฒนาทย่ี ั่งยืน

การส้ารวจและจัดทา้ แผนผังถ้าในเขตอทุ ยานแหง่ ชาติ ภาคใต้

จริ ศกั ดิ์ เจรญิ มติ ร1*, อมุ าพร เจรญิ คณุ ธรรม1, ประสบสขุ ศรตี ง้ั วงศ1์ , วภิ าวี เขยี มสนั เทยี ะ1 และ พรธวชั เฉลมิ วงศ2์

1 สานกั งานทรพั ยากรธรณี เขต 4 กรมทรัพยากรธรณี
2 ส่วนฟ้ืนฟแู ละพัฒนาพน้ื ท่ีอนุรกั ษ์ สานกั บริหารพ้ืนทีอ่ นุรกั ษท์ ่ี 4 กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช

*E-mail: [email protected]

บทคดั ย่อ

ในอดตี ถา้ ถกู ใช้เป็นแหล่งท่อี ยู่อาศัย สถานทีป่ ระกอบพิธกี รรมทางศาสนาและความเชื่อ นอกจากน้ีถ้า
ยังเป็นแหล่งจดบันทึกสภาพภูมิอากาศโบราณ ปัจจุบันถ้าท่ีมีประติมากรรมถ้าท่ีสวยงามหลายแห่งได้รับการ
พัฒนาใหเ้ ป็นแหลง่ ทอ่ งเท่ยี วนารายไดส้ ชู่ ุมชน แหล่งเรียนรู้ และแหล่งศึกษาวิจัย การสารวจและจัดทาแผนผัง
ถ้า เพื่อเป็นฐานข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติสาหรับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ดาเนิน
ภารกิจภายใต้ความร่วมมือตามแผนงานวิจัย การจัดการถ้าและภูมิประเทศเขาหินปูนในอุทยานแห่งชาติและ
พ้ืนท่ีเช่ืองโยง จานวน 33 ถ้า ประกอบด้วย ถ้าบัวโบก และถ้าน้า อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง ถ้าแก้ว
และถ้าพระ อุทยานแหง่ ชาติคลองพนม ถา้ ประกายเพชร ถ้านา้ ทะลุ และถา้ ส่รี ู อุทยานแห่งชาติเขาสก ถ้าขม้ิน
อุทยานแหง่ ชาตใิ ตร้ ่มเย็น จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี ถ้าหงส์ อุทยานแห่งชาติเขานัน จังหวัดนครศรีธรรมราช ถ้ามืด
ถ้าธารโบกขรณี และถ้าผีหวั โต อทุ ยานแหง่ ชาตธิ ารโบกขรณี ถา้ ลอด ถา้ พระนาง และถ้าไวกิ้ง อุทยานแห่งชาติ
หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ถ้าเขาไม้แก้ว ถ้าคลองจาก และถ้าเสือ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จังหวัด
กระบี่ ถ้าเจ้าไหม-เจ้าคุณ และถ้ามรกต อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง ถ้าแก้ว ถ้าโกงกาง ถ้า
ค้างคาว ถ้าปืน ถ้าไอศกรีม ถ้านาค ถ้าลอด และถ้าลอดใหญ่ อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จังหวัดพังงา ถ้าสูง
อุทยานแหง่ ชาติหมู่เกาะเภตรา ถ้าจระเข้ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล ถ้าพระยานคร ถ้าไทร และถ้า
แก้ว อทุ ยานแห่งชาตเิ ขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรขี นั ธ์
ค้าส้าคญั : แผนผังถา้

Oral Session

การประชุมวชิ าการธรณีไทย ประจาปี 2564 47
(Geothai Webinar 2021) วนั ที่ 4-6 สิงหาคม 2564

47

การสา้ รวจขุดคน้ ซากดกึ ดา้ บรรพว์ าฬ จากตา้ บลอา้ แพง อ้าเภอบ้านแพว้ จังหวดั สมทุ รสาคร

อดุลยว์ ทิ ย์ กาวีระ1* และ พรรณภิ า แซ่เทียน2

1 ส่วนมาตรฐานและข้อมลู ซากดึกดาบรรพ์ กองคุ้มครองซากดึกดาบรรพ์ กรมทรัพยากรธรณี
2 ส่วนบริหารการคุม้ ครองซากดึกดาบรรพ์ กองคมุ้ ครองซากดกึ ดาบรรพ์ กรมทรพั ยากรธรณี

*E-mail: [email protected]

บทคดั ย่อ

ซากวาฬ บรเิ วณตาบลอาแพง อาเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ถือว่าเป็นซากดึกดาบรรพ์วาฬที่มี
สภาพสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยค้นพบช้ินส่วนจานวนกว่า 142 ชิ้น
ประกอบไปด้วย กะโหลกและขากรรไกร กระดูกซ่ีโครง กระดูกสันหลัง กระดูกแขนและมือทั้งสองข้าง
กระดูกหน้าอก กระดูกเชฟรอน และชิ้นส่วนบาลีน การตรวจสอบพบว่ามีกระดูกบางช้ินท่ีมีลักษณะแบบก่ึง
ซากดึกดาบรรพ์ (Subfossil) การจัดทาแผนผังโครงกระดูกพบว่าวาฬโบราณตัวนี้มีการตายในท่านอนคว่า
วางตวั ในแนวตะวันออก-ตะวันตก มีความยาวปรากฎ 12.5 เมตร คาดว่าหากพบสมบูรณ์ท้ังตัวจะมีความยาว
ประมาณ 14 เมตร ชิ้นส่วนกระดูกมีการกระจัดกระจายไม่มาก และวางตัวอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงการตายใน
สภาพแวดล้อมท่ีสงบน่งิ การศกึ ษาชน้ิ ส่วนกระดกู เบ้อื งต้นพบวา่ มีลักษณะของกระดูกที่แสดงถึงลักษณะเฉพาะ
ของวาฬบรูด้า (Balaenoptera edeni) ได้แก่ กระดูกซ่ีโครงซี่แรก และกระดูกบริเวณจมูก การหาอายุจาก
ชิ้นส่วนกระดูกด้วยวิธีการหาคาร์บอนกัมมันตรังสี (Radiocarbon dating) พบว่ามีอายุ 3,380 ± 30 ปี หรือ
ช่วงสมัยโฮโลซีนตอนปลาย (Late Holocene) นอกจากน้ียังพบร่องรอยขีดข่วนบนกระดูกหลายชิ้น ซึ่งเป็น
รอยฟันของสัตว์กินซาก เช่น ปลาฉลาม ซ่ึงพบชิ้นส่วนฟันปักอยู่หลายบริเวณ บ่งบอกว่าเมื่อสัตว์ตายลงได้มี
สัตว์กินซากเข้ามากินเป็นจานวนมาก การค้นพบส่วนบาลีน ซ่ึงเป็นส่วนที่เปราะบางและย่อยสลายง่าย
แต่ยังคงเก็บรักษาไว้ได้ แสดงถึงสภาพแวดล้อมการสะสมตัวของตะกอนน้ันสะสมตัวอย่างรวดเร็ว การค้นพบ
เพรียงทะเลเกาะอยู่บริเวณกระโดงหลัง และกะโหลก เป็นแนวในระดับเดียวกัน บ่งบอกบริเวณดังกล่าวเป็น
ส่วนโผลข่ ึน้ เหนอื ชัน้ ตะกอนเปน็ ระยะเวลาหนึ่งกอ่ นทจี่ ะถกู ปิดทับด้วยตะกอนในเวลาต่อมา การค้นพบซากดึก
ดาบรรพ์วาฬท่ีอยู่ห่างจากแนวชายฝั่งทะเลปัจจุบันประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นอีกหน่ึงหลักฐานท่ีบ่งบอกว่า
พ้นื ทนี่ น้ั เคยมีการรุกล้าของนา้ ทะเลมากอ่ น และมีการเปล่ยี นแปลงของระดบั น้าทะเลจนมาถึงในปัจจบุ ัน

คา้ ส้าคญั : ซากดึกดาบรรพว์ าฬ, สภาพแวดล้อมบรรพกาล

Oral Session

48 ธรณวี ิถีใหม่ นวตั กรรมไทย เพ่อื การพัฒนาทยี่ ั่งยนื

การสา้ รวจธรณีวิทยาควอเทอร์นารภี ายใต้โครงการพฒั นาสระบอ่ ดนิ ขาว พ้ืนท่อี า้ เภอตาคลี
จงั หวัดนครสวรรค์

ภคั พงษ์ ศรีบวั ทอง*, นา้ ฝน คาพลิ ัง, ทัศนพร เรือนสอน, ธรี ะชยั หน่อคาบุตร และ นลนิ ี ธะนันต์

สานักงานทรัพยากรธรณี เขต 1 กรมทรัพยากรธรณี
*E-mail: [email protected]

บทคดั ย่อ

โครงการพัฒนาสระบ่อดินขาว อาเภอตาคลี จังหวดั นครสวรรค์ มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ประชาชนได้ใช้
ประโยชนจ์ ากน้าเพอ่ื อปุ โภคบรโิ ภคและทาการเกษตร โดยเกบ็ น้าจากท้ังน้าฝนและน้าท่ไี หลจากทางธรรมชาติใน
ช่วงเวลาน้าหลาก ท้ังน้ีพ้ืนท่ีเขาวงซ่ึงเป็นภูเขาหินปูนที่พบโพรงถ้าเป็นจานวนมาก ทางโครงการจึงมี
แนวความคิดเพิ่มระบบสารองน้าใต้ดินจากโพรงถ้าใต้ดิน จึงนามาซ่ึงการสารวจข้อมูลทางธรณีวิทยาพ้ืนผิว
ธรณีวทิ ยาควอเทอรน์ ารี ธรณวี ทิ ยาโครงสรา้ ง ขอ้ มลู ธรณวี ิทยาใต้ดิน และตาแหน่งโพรงถ้าใตด้ นิ เพ่อื สนับสนุน
ข้อมลู สาหรบั การบรหิ ารจดั การโครงการพฒั นาสระบอ่ ดนิ ขาวตอ่ ไปการเจาะสารวจตะกอนตะกอนควอเทอรน์ ารี
ระดับตื้นเพ่ือศึกษาธรณีวิทยาควอเทอรน์ ารแี ละสภาพแวดล้อมการตกตะกอน รวมถึงหาขอบเขตของดินมาร์ล
(Marl) และดนิ แทร์รารอสซา (Terra Rosa) ในบริเวณพ้ืนทเ่ี ขาวง ตาบลชอ่ งแคและตาบลพรหมนมิ ติ อาเภอตา
คลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยวิธีการใช้ชุดสว่านมือ (Hand Auger Boring) มีการกาหนดหลุมเจาะจานวนรวม
ท้งั สน้ิ 32 หลุมครอบคลมุ พ้ืนท่ีศกึ ษา หลมุ เจาะมีความลึกเฉล่ีย 3.75 เมตรต่อหลมุ ผลการเจาะสารวจสามารถ
จัดทาแผนที่ได้เป็น 2 แผนที่ คือ แผนท่ีธรณีวิทยาควอเทอร์นารี และแผนท่ีขอบเขตของดินมาร์ลและ
ดินแทร์รารอสซา โดยแผนท่ีธรณีวิทยาควอเทอร์นารีสามารถแบ่งกลุ่มตะกอนได้เป็น 2 ชุดตะกอน ได้แก่
1) ตะกอนทร่ี าบน้าทว่ มถงึ (Qff) เปน็ ตะกอนขนาดละเอียดถกู พดั มาสะสมตวั ในฤดนู ้าหลากตามท่รี าบน้าท่วมถึง
ลักษณะเป็นดินเหนียวปนทรายสีน้าตาลอมดา ดนิ เหนียวสดี าอมน้าตาลถงึ สเี หลืองดา้ น บางชว่ งพบเมด็ กรวดสี
เทาขาวแทรกอยู่ในเนื้อตะกอน ในช่วงระดับความลึกท่ี 1.5-3.0 เมตร พบดินมาร์ลสีเทาขาว มีความเป็นเน้ือ
เดียวกันและลักษณะเน้อื ตะกอนร่วน 2) ตะกอนเศษหินเชิงเขา (Qc) พบตามที่ราบเชงิ เขา เกิดจากหนิ แตกหัก
รว่ งหลน่ กลายเปน็ ตะกอนแลว้ สะสมตวั บรเิ วณเชงิ เขา มลี ักษณะเป็นดนิ เหนยี วสนี ้าตาลแดง มคี วามเปราะ มเี มด็
เหล็ก-แมงกานีสปริมาณน้อย พบเม็ดปูนปะปนอยู่เล็กน้อย และสาหรับแผนท่ีขอบเขตของดินมาร์ลและ
ดินแทร์รารอสซา จากข้อมูลหลุมเจาะดินมาร์ลมีลักษณะเป็นดินเหนียวสีเทาอ่อน เน้ือตะกอนมีความเหนียวดี
พบเศษหนิ ปูนขนาดเล็กปะปนอยู่ ซึ่งบ่งบอกว่าดินมารล์ น่าจะกาเนดิ มาจากการผพุ ังสลายตัวของหนิ ปนู บรเิ วณ
ใกลเ้ คยี ง พบกระจายตวั อยทู่ างทิศตะวันตกของพืน้ ท่ีเขาวง และแผก่ ระจายตัวลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใตข้ อง
พื้นท่ี ส่วนดินแทร์รารอสซามีลักษณะเป็นกรวดเป็นดินเหนียวสีน้าตาล เน้ือตะกอนมีการจับเกาะตัวกันอย่าง
หลวมๆ ซึ่งเป็นดินท่ีผพุ ังมาจากหนิ ปูนมแี ร่ธาตุที่จาเปนตอพืชอยู่หลายชนิด พบกระจายตัวอยูบ่ ริเวณตรงกลาง
ของหบุ เขา

ค้าสา้ คญั : ตะกอนควอเทอรน์ าร,ี ตะกอนทร่ี าบน้าทว่ มถงึ , ตะกอนเศษหนิ เชงิ เขา, ดนิ มารล์ ม, ดนิ แทรร์ ารอสซา

Oral Session

การประชุมวชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564 49
(Geothai Webinar 2021) วันที่ 4-6 สงิ หาคม 2564

49

การศกึ ษาแนวทางการจดั การองคค์ วามร้เู พอื่ พฒั นาการทอ่ งเทีย่ วชุมชน กรณีศกึ ษา

แหลง่ เรียนรรู้ อยตนี ไดโนเสาร์ ตา้ บลพนอม อา้ เภอท่าอุเทน จงั หวดั นครพนม

อนชุ ิต สิงห์สุวรรณ* และ ศรีสดุ า ดว้ งโต้ด

คณะศลิ ปศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั นครพนม
ตาบลนาราชควาย อาเภอเมือง จงั หวัดนครพนม 48000

*E-mail: [email protected]

บทคัดยอ่

โครงการวิจัย “การศึกษาแนวทางการจัดการองค์ความรู้เพื่อพัฒนาการท่องเท่ียวชุมชน กรณีศึกษา
แหล่งเรยี นรรู้ อยตีนไดโนเสาร์ ตาบลพนอม อาเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม” เปน็ งานวิจัยเชิงคุณภาพที่ได้ใช้
วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมกับชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัย ดังน้ี 1) ศึกษาและรวบรวม
องค์ความรู้เก่ียวกับแหล่งเรียนรู้รอยตีนไดโนเสาร์ท่าอุเทน 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อ
ส่งเสริมการท่องเท่ยี วในแหลง่ เรียนร้รู อยตีนไดโนเสาร์ทา่ อเุ ทน 3) สร้างนวตั กรรมเพื่อสง่ เสริมการท่องเท่ียวใน
แหล่งเรยี นรรู้ อยตนี ไดโนเสารท์ า่ อเุ ทน ผลการศึกษาพบวา่ ความโดดเดน่ ของแหล่งเรียนรู้รอยตีนไดโนเสาร์ท่า
อุเทนในมิติของการท่องเท่ียวมีอยู่ 2 ประการ คือ 1) เป็นแหล่งซากดึกดาบรรพ์ท่ีเป็นรอยทางเดินของ
ไดโนเสาร์ท่ีมีจานวนมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีจานวนมากกว่า 200 รอย 2) เป็นสถานที่ท่องเท่ียวทาง
ธรรมชาติอันเป็นที่ตั้งของทรัพยากรทางธรณีอันทรงคุณค่า เป็นแหล่งเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่บอก
เลา่ เร่อื งราวการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมบนพื้นผิวโลกในอดีต นอกจากนี้พ้ืนที่อันเป็นท่ีตั้งแหล่งเรียนรู้
รอยตีนไดโนเสาร์ยังได้มคี วามสาคัญในมิติทางสังคมและวัฒนธรรมของคนท้องถ่ิน ทั้งนี้เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มี
ความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ของชุมชนบ้านนากระเสริม จากความสาคัญดังกล่าวโครงการวิจัยจึงได้
พัฒนาการท่องเที่ยวบริเวณแหล่งเรียนรู้รอยตีนไดโนเสาร์ให้เกิดความยั่งยืน พร้อมท้ังได้ขับเคลื่อนกิจกรรม
ส่งเสรมิ การทอ่ งเทีย่ วอย่างสร้างสรรค์ ด้วยการเช่ือมโยงเส้นทางการท่องเท่ียวเข้ากับแหล่งเรียนรู้อ่ืนในชุมชน
การจดั ทาหลกั สูตรมคั คเุ ทศก์ทอ้ งถิน่ และการออกแบบสินคา้ และผลิตภัณฑ์เพื่อการท่องเที่ยว อันเป็นวิธีการ
ในการจัดการทรัพยากรทางธรณใี หเ้ กิดประโยชนท์ างเศรษฐกิจสงู สุดแก่ชุมชนท้องถิ่น

Oral Session

50 ธรณวี ิถีใหม่ นวัตกรรมไทย เพ่อื การพัฒนาท่ยี ง่ั ยืน

การศกึ ษาแนวทางการพัฒนากฎหมายถา้ ไทย

พลั ลภ กฤตยานวัช

ประธานคณะทางานศึกษากฎหมายการบริหารจดั การถ้า
E-mail: [email protected]

บทคดั ยอ่

1. ถ้าเป็นทรัพยากรธรณีท่ีเป็นขุมทรัพย์ทรงคุณค่าและเป็นมรดกของชาติที่สาคัญ ไม่ว่าจะมองในมิติ
ของเศรษฐศาสตร์ ธรณีวิทยา อุทกวิทยา ชีววิทยา วนศาสตร์ นิเวศวิทยา ศาสนา ศิลปะ ประวัติศาสตร์
โบราณคดี หรอื แหล่งท่องเท่ียวที่ก่อประโยชนท์ างการศึกษา นนั ทนาการ และทางเศรษฐกิจมหาศาล

2. แต่เน่ืองจากถ้าโดยธรรมชาติใช้เวลานานนับพัน หม่ืน แสน หรือล้านปี ในการก่อตัว กับท้ัง
ประตมิ ากรรมในถา้ เชน่ หนิ งอก หินยอ้ ย มักจะมคี วามเปราะบางแตกหักทาลายได้ง่าย หลายถ้ามีการขีดเขียน
หรือลักลอบนาออกไป ถ้าบางแห่งมีการใช้ประโยชน์ท่ีไม่เหมาะสม บางแห่งก็มีการบริหารจัดการถ้าที่ขาด
หลักวชิ า จนทาให้ถ้าเสียหาย หรือลดคุณค่าลงไป

3. ด้วยเหตุน้ี หลายประเทศในโลกจึงให้ความสาคัญกับถ้า โดยการให้ความคุ้มครองและอนุรักษ์ถ้า
เพื่อป้องกันความเสียหายและปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเก่ียวกับถ้าและทรัพยากรถ้าทั้งหลาย ท้ังโดยการออก
กฎหมายคุ้มครองถ้าโดยเฉพาะ หรือโดยการออกกฎเกณฑ์ ระเบยี บข้อบังคบั ที่แทรกอยู่ในกฎหมายต่าง ๆ

4. ประเทศไทย จึงควรสารวจตรวจสอบกฎหมายท่ีเกี่ยวกับการคุ้มครองถ้า และทรัพยากรถ้าในบาง
ประเทศ เช่น ในยุโรป อเมริกาเหนือ (สหรัฐอเมริกา และแคนาดา) และในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างย่ิงใน
ประเด็นหลักการและเหตุผลในการออกกฎหมายคุ้มครองถ้า เพื่อเป็นข้อมูลและแนวทางเบื้องต้นสาหรับ
การศกึ ษาและพิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรงุ หรือพัฒนากฎหมายถา้ ในประเทศไทยต่อไป

Oral Session

การประชมุ วิชาการธรณีไทย ประจาปี 2564 51
(Geothai Webinar 2021) วนั ท่ี 4-6 สิงหาคม 2564

51

เขตรอยเล่ือนกลางแอง่ อนั ดามนั : ผลจากการเกดิ ร่องแยกหลายครง้ั

ธนญั ชยั มหทั ธนชัย1*, C.K. Morley2, พิษณุพงศ์ กาญจนพยนต์3 และ ปัญญา จารุศิริ4

1 กรมเชือ้ เพลิงธรรมชาติ ถ.วิภาวดีรงั สิต เขตจตจุ กั ร กทม.
2 บริษทั ปตท.สผ. ถ.วภิ าวดรี ังสิต เขตจตุจกั ร กทม.

3 ภาควิชาธรณวี ทิ ยา คณะวทิ ยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั
4 กรมทรพั ยากรธรณี ถ. พระราม 6 เขตราชเทวี กทม.
*E-mail address: [email protected]

บทคดั ย่อแบบขยาย (Extended Abstract)

การศกึ ษาน้ี เราไดใ้ ชข้ อ้ มลู จากคลนื่ ไหวสะเทอื นทัง้ แบบ 2 มิติ และแบบ 3 มิติ ในเขตนา่ นน้าอนั ดามัน
มาแปลผลเพื่อตรวจหาลักษณะเฉพาะของรอยเลื่อน ผลการแปลความหมายแสดงให้เห็นเขตรอยเลื่อนกลาง
แอ่งอันดามัน (Andaman Basin Central หรือ ABC) ซึ่งเป็นรอยเลื่อนหลัก (รูป 1) รอยเล่ือนน้ีได้พัฒนาข้ึน
หลังจากที่สภาพการแปรสัณฐาน (tectonic setting) ได้เปล่ียนจากโครงสร้างดึงออก (extension
structure) ท่ีมีทิศทางการดึงในทิศเกือบตะวันออก-ตะวันตก ในช่วงอนุยุคโอลิโกซีนถึงต้นสุดของอนุยุคไมโอ
ซีน (30-20 ล้านปี) ไปเป็นโครงสร้างเฉือนดึง (transtensional structure) ในทิศเกือบตะวันตกเฉียงเหนือ-
ตะวันออกเฉยี งใต้ (NNW-SSE) (รูป 2 A)

ในการศึกษานี้ เราได้ตีความว่า รอยเลื่อน ABC น่าจะเกิดข้ึนหลังจากการเล่ือนดึงออก (extensional
detachment) หนิ เปลอื กโลกส่วนบน จนเกดิ เป็นรองแยกทางทิศตะวันตก ซึ่งผลทาให้รอยเล่ือน ABC พัฒนา
อยู่บนแผ่นเปลือกโลกส่วนล่างที่บางตัวลง (thinned lower plate) หรือเปลือกทวีปส่วนล่าง (lower
continental crust)

ด้วยเหตุน้ี เราจึงวินิจฉัยว่า รอยเล่ือน ABC มีพลังอยู่ในช่วงต้นถึงกลางยุคไมโอซีน (20-15 ล้านปี)
และจัดเปน็ รอยเลื่อนเฉือนแบบ R’ ในทิศเกือบตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ (ENE-WSW) ที่กว้างถึง
60 กม. และยาวเป็นร้อยกโิ ลเมตร ตามทศิ เกอื บเหนอื -ใต้ (NNE-SSW) (รปู 2B ) ทาให้เกิดชุดรอยแตกเฉือนท่ี
มีระยะหา่ งเพียง 1 กิโลเมตรท้ังสองข้างของรอยเลื่อน ABC แรงเฉือน R ท่ีเกิดข้ึนนาน ๆ คร้ัง ปรากฏใกล้กับ
เขตรอยเลื่อน ABC นี้ รูปแบบโครงสร้างที่โดดเด่นและผิดปกติของรอยเฉือน R’ จึงถูกตีความว่ามาจาก
อิทธิพลของแรงดึงในแนวเกือบตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ (NNW-SSE) โดยสัมพันธ์กับการเคลื่อน
ตัวไปทางเหนอื ของแผน่ อินเดยี เม่ือเทยี บกบั ผนื แผ่นดนิ เอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้

ต่อจากนั้น จึงเกิดการยกตัวบริเวณกว้าง (regional uplift) ของมวลด้านตะวันออกของรอยเล่ือนที่มี
ความยาวประมาณ 100 กิโลเมตร (รูป 2C ) ดังนั้น การยกตัวน้ี เกิดขึ้นในบริเวณที่เป็นโค้งดันยั้ง
(restraining bend) ทาให้ส่วนท่ีใกล้ท่ีสุดของรอยเล่ือนถูกเลื่อนแบบขวาเข้า (dextral) จนมีระยะเคล่ือน
50 กิโลเมตร โตรกเขา (canyons) ท่ีเกิดขวางรอยเล่ือน ABC และที่ราบสูงใต้ทะเล จึงถูกกัดลึก (incised)
เป็นร่องยาว จึงเป็นเส้นทางให้กับตะกอนจากแผ่นดิน เคลื่อนตัวลงมาด้วยแรงโน้มถ่วง ( gravity-driven
sediments) ไปยังพื้นท่ีในเขตทะเลลึกได้ ท้ังรอยเล่ือน ABC ในทะเลอันดามันและรอยเล่ือนสะกายบนบกใน
ประเทศเมียนมาร์ จึงเกิดอยู่ร่วมกับแอ่งตะกอนใหญ่ท่ีมีแนวร่องสะสมตัว (depocenter) วางตัวขนานไปตาม
รอยเลื่อน แอ่งตะกอนใหญ่เหล่าน้ีแสดงถึง แอ่งเลื่อนแนวระดับ (strike-slip basin) อีกรูปแบบหน่ึงท่ีต่างไป
จากแอ่งดึงออก (pull-apart basin) ปกติ เพราะมีขนาดใหญ่กว่ามาก ขอบของแอ่งอันดามันตะวันออกแสดง
ความหนาของเปลือกโลกท่ีเปลี่ยนแปลงไปโดยมี เส้นชั้นความลึกในแนว เหนือ-ใต้ ท่ีสัมพันธ์กับแรงดึงในช่วง

Oral Session

52 ธรณวี ิถีใหม่ นวตั กรรมไทย เพ่อื การพฒั นาทยี่ ั่งยืน
อายุโอลิโกซีน ส่วนรอยเลื่อน ABC ก็วางตัวไปตามแนวเแคบ ๆ ของเปลือกทวีป ด้วยเหตุน้ี จึงสรุปได้ว่ารอย
เลือ่ น ABC บง่ บอกถึงการเปลี่ยนลักษณะและการสะสมตะกอนจากการเลื่อนตัวด้านข้างท่ีอาจพบได้ตามขอบ
ทวีปแบบดึงออกได้อย่างมากโดยพัฒนาจากการดึงออกโดยตรง (extension) ไปเป็นการดึงออกแบบเฉือน
(highly oblique transtension)

รูปท่ี 1. A) แผนท่ีพ้นื ทะเลอันดามนั แสดงลักษณะการแปรสณั ฐาน (tectonic features) หลัก ๆ; B) แผนท่ี
โครงสร้าง-เวลา ของแอ่งเมอรก์ ุย (Mergui Basin) และแอ่งเมอร์กุยตะวนั ออก (East Mergui Basin)
แสดงพืน้ ผิวด้านบนของหนิ ฐาน จากข้อมูลคลื่นไหวสะเทือนแบบ 2 มติ ิ; และ C) ภาพตัดขวางบรเิ วณ
กว้างในแนวตะวนั ออก-ตะวนั ตก(A-A’)ผ่านทะเลอนั ดามนั และรอยเลอ่ื นกลางแอ่งอันดามัน
(Andaman Basin Central)

Oral Session

การประชุมวิชาการธรณไี ทย ประจาปี 2564 53
(Geothai Webinar 2021) วนั ที่ 4-6 สงิ หาคม 2564

53

รปู ที่ 2 ภาพกงึ่ สามมติ แิ สดงขนั้ การพฒั นารอยเลอื่ นกลางแอง่ อนั ดามนั (Andaman Basin Central หรอื ABC
fault zone) โดยมนี ยั การเลอ่ื นแบบขวาเขา้ : A) ชว่ งตน้ - ปลายอนยุ คุ โอลโิ กซนี (30-20 ลา้ นป)ี มวลดา้ น
ตะวนั ออกของรอยเล่ือน ABC ถูกดงึ ออก; B) ช่วงกลาง- ต้นอนยุ ุคไมโอซีน (20-15 ลา้ นป)ี ชดุ รอยแตก
เฉือน R’ เร่ิมมีการพฒั นาอย่างมากมายในทิศเกือบตะวนั ออก-ตะวันตก (WSW) เพ่ือตอบสนองต่อแรง
ดงึ ในทศิ เกือบเหนอื -ใต้ (NNW-SSE); และ C) ชว่ งสดุ ทา้ ย- ตอนตน้ ของกลางอนยุ ุคไมโอซนี (~15 ลา้ นป)ี
แอง่ สะสมตะกอน (depocenter)ของมวลดา้ นตะวนั ออกของรอยเลอ่ื นถกู ยกตวั ขน้ึ (ทส่ี าเหตยุ งั ไมแ่ นช่ ดั )
ผลจากการฉกี เฉือนทาให้เกดิ การเลื่อนตวั อย่างมากตามรอยเลือ่ นแบบขวาเข้าเป็นระยะทางกว่า 50 กม.
เกดิ การกดั ลึกตามพ้นื ทะเลจนเปน็ โตรกเขาใต้ทะเล (submarine canyon) ท่ีวางตัวขวางแนวรอยเลือ่ น
ABC และเกดิ การสะสมตวั ของตะกอนนา้ ลกึ รูปพดั (turbidite fan deposits) ท่ขี อบดา้ นตะวนั ตกของ
รอยเล่อื น

Oral Session

54 ธรณีวถิ ีใหม่ นวัตกรรมไทย เพ่อื การพฒั นาทยี่ ่งั ยนื

เครือข่ายการเตอื นภัยสึนามิจากนานาประเทศและ การสร้างความตระหนกั รู้แบบบรู ณาการ
เพือ่ ลดผลกระทบจากธรณีพิบัติภัยสนึ ามิ

วศิ รตุ า วรี ะสัย

สานักงานทรัพยากรธรณเี ขต 3 พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติธรณีวิทยาเฉลิมพระเกยี รตจิ ังหวัดปทุมธานี
55 ม.5 ถ.เลียบคลองห้า ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
E-mail: [email protected]

บทคัดยอ่

สึนามิ เปน็ ธรณพี บิ ตั ิภยั ทีส่ ามารถสร้างผลกระทบไดเ้ ปน็ วงกว้างครอบคลมุ หลายประเทศ การเตือนภัย
ในระดับภูมิภาคเป็นความร่วมมือระหว่างนานาชาติ เพ่ือเตือนภัยให้ประชาชนในประเทศที่มีอาณาเขตติด
มหาสมุทรการเตือนภัยโดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น การตรวจหาข้อมูลการเคลื่อนตัวของแผ่นดินใต้ทะเล
การเปลี่ยนแปลงของระดับน้าทะเลที่ผิดปกติ ต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันในระดับนานาชาติ การวิเคราะห์
ข้อมลู และการซกั ซอ้ มปฏบิ ตั กิ ารจรงิ รวมถงึ การสร้างเครอื ขา่ ยเพอ่ื สื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลเตือนภัยในภาวะท่ี
เกิดพิบัติภัย การเตือนภัยในระดับภูมิภาค จะมีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน อย่างไรก็ตามการสร้างความตระหนักรู้ให้
ประชาชนในประเทศถงึ การรบั มือธรณีพบิ ตั ิภยั สนึ ามิ สามารถทาผ่านการสอื่ สารไดห้ ลายรปู แบบ

ภารกิจของกรมทรัพยากรธรณีในฐานะที่เป็นหน่วยงานวิชาการอีกท้ังมีแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบ
พิพิธภัณฑ์จะสามารถส่งเสริมสร้างความเข้าใจ และการตระหนักรู้ถึงการเตรียมพร้อมในการป้องกันภัยพิบัติ
เพ่ือลดผลกระทบจากธรณีพิบัติภัยสึนามิได้อย่างบูรณาการให้กับประชาชนในทุกระดับสามารถเข้าใจและ
นาไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ ให้ปลอดภัย เป็นสิ่งที่น่าศึกษาและพิจารณาโดยผ่านการสร้างการสื่อสารข้อมูลความรู้
ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพอื่ ให้เตรียมพร้อมรบั มอื อย่างไมป่ ระมาท จะช่วยให้ประชาชนปลอดภัย ก่อนท่ีภัยสึนามิ
จะเกิดขึน้ นั่นคอื การปอ้ งกันความเสียหายทจ่ี ะเกิดข้นึ จากสนึ ามิได้อย่างย่งั ยืน

Oral Session

การประชุมวชิ าการธรณีไทย ประจาปี 2564 55
(Geothai Webinar 2021) วนั ที่ 4-6 สงิ หาคม 2564

55

ความหลากหลายของซากดึกด้าบรรพ์แมลงในประเทศไทย

ประภาสริ ิ วาระเพียง1,2* และ อุทุมพร ดศี รี1,2

1ศนู ยว์ ิจัยและการศึกษาบรรพชีวนิ วทิ ยา มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม ต.ขามเรยี ง อ.กันทรวชิ ยั จ.มหาสารคาม 44150
2คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม ต.ขามเรยี ง อ.กนั ทรวชิ ยั จ.มหาสารคาม 44150
*E-mail : [email protected]

บทคัดย่อ

แมลงจัดเป็นกลุ่มสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังชนิดหนึ่งที่มีจานวนมากท่ีสุดในโลก อย่างไรก็ตาม แมลงก็
จัดเปน็ ส่ิงมีชวี ติ ที่เกิดการกลายเป็นซากดึกดาบรรพ์ได้ยาก เนื่องจากการมีร่างกายท่ีอ่อนนุ่ม และไม่มีโครงร่าง
แข็งภายในซากดกึ ดาบรรพแ์ มลงในประเทศไทยจัดได้ว่าเป็นซากดึกดาบรรพ์ที่หายาก และมีการศึกษาจานวน
น้อยมาก เมื่อเทียบกับซากดึกดาบรรพ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังชนิดอื่น ๆ การศึกษาซากดึกดาบรรพ์แมลงใน
ประเทศไทยในอดตี มีการค้นพบและศกึ ษาเพียงสองครง้ั ไดแ้ ก่ ครงั้ แรกในปี พ.ศ. 2509 Endo และ Fujiyama
ได้รายงานซากดึกดาบรรพ์แมลงจากแอ่งแม่สอด สมัยไมโอซีน จากจังหวัดตาก สกุล Neuroctenus sp.
ซ่ึงเป็นแมลงที่อยู่ในวงศ์ Aradidae (แมลงแบน) และคร้ังที่สองในปี พ.ศ. 2533 Heggemann และคณะ
ได้รายงานการค้นพบและศึกษาซากดึกดาบรรพ์แมลงจากยุคจูแรสซิกตอนกลาง จากหมวดหินพระวิหาร
ระหว่างจังหวัดแพร่และจังหวัดตาก โดยพบซากดึกดาบรรพ์ในอันดับ Blattodea (แมลงสาบ) และชนิด
Procercopina asiatica ในอันดับ Hemiptera ในการศกึ ษาคร้ังน้ี เปน็ การศึกษาและรายงานซากดึกดาบรรพ์
ของแมลงเพมิ่ เตมิ โดยมอี ายไุ มโอซนี ตอนกลางถงึ ตอนปลายซงึ่ พบในบรเิ วณชายแดนหมบู่ า้ นวงั แกว้ อาเภอแมส่ อด
จังหวัดตาก ผลการศึกษาเบ้ืองต้นพบอันดับดังน้ี Coleoptera (แมลงปีกแข็ง), Diptera (แมลงวัน, ยุง),
Hymenoptera (ผ้งึ , มด ,ต่อ และแตน), Hemiptera (มวน), Orthoptera (ต๊ักแตน) และ Ephemeroptera
(แมลงชปี ะขาว) ความสาคัญของการศึกษาครั้งน้ีนับเป็นการศึกษากลุ่มชีวินซากดึกดาบรรพ์ของแมลงคร้ังแรก
ในประเทศไทย ซ่ึงจะทาให้ทราบถึงวิวัฒนาการของกลุ่มแมลงในประเทศไทย และสนับสนุนข้อมูลเพ่ือการ
ตคี วามสภาพแวดลอ้ มและสภาพภมู อิ ากาศโบราณของพ้นื ท่ีศกึ ษาโดยอาศัยจากหลกั ฐานของกลมุ่ แมลง

คา้ สา้ คัญ: Coleoptera; Diptera; Hymenoptera; Isoptera; Orthoptera

Oral Session

56 ธรณวี ถิ ีใหม่ นวตั กรรมไทย เพื่อการพัฒนาทีย่ ่งั ยนื

ความหลากหลายของซากดกึ ดา้ บรรพ์สตั ว์มีกระดกู สนั หลงั ยคุ ครีเทเชยี สตอนต้น จากแหล่ง
โคกผาส้วมจงั หวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย

ศติ ะ มานิตกุล1,2*, อุทุมพร ดศี รี1,2 และ พรเพ็ญ จนั ทสิทธิ์3

1 ศูนยว์ จิ ยั และการศกึ ษาบรรพชวี นิ วิทยา มหาวิทยาลยั มหาสารคาม ต.ขามเรยี ง อ.กนั ทรวิชยั จ.มหาสารคาม 44150
2 คณะวทิ ยาศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ต.ขามเรยี ง อ.กันทรวชิ ัย จ.มหาสารคาม 44150

3 พพิ ิธภัณฑส์ ริ ินธร ตาบลโนนบรุ ี อาเภอสหสั ขนั ธ์ จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์ 46140
*E-mail [email protected]

บทคัดยอ่

มีการค้นพบซากดึกดาบรรพ์สัตว์มีกระดูกสันหลังจานวนมากจากแหล่งโคกผาส้วม จังหวัด
อุบลราชธานี ประกอบด้วย ปลากระดูกอ่อน ปลามีก้านครีบ เต่าน้าจืด สัตว์กลุ่มจระเข้ สัตว์เล้ือยคลานบินได้
(Pterosaur) และไดโนเสาร์ แหล่งโคกผาส้วมเป็นที่รู้จักในชื่อ “บ้านหลังสุดท้ายของไดโนเสาร์ไทย” เพราะ
ช้ันหินท่ีซากดึกดาบรรพ์สะสมตัวอยู่น้ันเป็นส่วนหนึ่งของหมวดหินโคกกรวด ยุคครีเทเชียสตอนต้น
(แอปเทียน-แอลเบียน) ซ่ึงเป็นหมวดหินอายุอ่อนที่สุดของกลุ่มหินโคราชท่ีมีการสารวจพบซากดึกดาบรรพ์
ไดโนเสาร์ การศึกษาครงั้ นม้ี งุ่ เนน้ การบรรยายและเปรยี บเทียบช้ินส่วนหลังกะโหลกของไดโนเสาร์กินพืชสะโพก
คล้ายนก (Ornithischia) ในกลุ่มอิกัวโนดอนเทีย (Iguanodontia) จากแหล่งโคกผาส้วม ซากดึกดาบรรพ์
ของอกิ วั โนดอนเทยี จานวนมากถกู ค้นพบในหมวดหนิ โคกกรวดของจังหวัดนครราชสีมาและได้รับการศึกษาจน
ต้ังเป็นชนิดใหม่ของโลกแล้วถึง 3 ชนิด แสดงถึงการเป็นกลุ่มไดโนเสาร์กินพืชท่ีโดดเด่นที่สุดท้ังในแง่
ความหลากหลายและจานวนในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้คณะวิจัยยังได้เพ่ิมเติมข้อมูลของกลุ่มชีวิน
ซากดึกดาบรรพ์ในพ้ืนที่โคกผาส้วม เปรียบเทียบกับซากดึกดาบรรพ์ในหมวดหินโคกกรวดที่พบจากแหล่งอ่ืน
ของประเทศไทย อันจะเป็นข้อมูลสาคัญในการทาความเข้าใจความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์มีกระดูก
สันหลังในหมวดหินโคกกรวดของประเทศไทย และการตีความด้านระนิเวศบรรพกาล ตลอดจนช่วยพัฒนา
องค์ความรู้ทางบรรพชีวินวิทยาเพือ่ ยกระดบั อุทยานธรณผี าชนั -สามพนั โบกให้สงู ขนึ้ ต่อไป
ค้าสา้ คญั : ออร์นทิ สิ เชีย; แฮโดรซอรอยด;์ อกิ วั โนดอนเทยี ; ครีเทเชียสตอนตน้ ; แอปเทยี น-แอลเบยี น

Oral Session

การประชุมวิชาการธรณไี ทย ประจาปี 2564 57
(Geothai Webinar 2021) วนั ที่ 4-6 สิงหาคม 2564

57

ธรณแี ปรสัณฐานยุคใหมข่ องรอยเลอื่ นพะเยาในพ้ืนท่อี า้ เภอวงั เหนือ จังหวดั ล้าปาง

ระวี พุม่ ซ่อนกลิน่ 1*, วรี ะชาติ วิเวกวิน1, จฑุ ามาศ จันแปงเงนิ 1,2 และ ปิยาภรณ์ หนิ แสง1,2

1 กองธรณีวทิ ยาสงิ่ แวดล้อม กรมทรพั ยากรธรณี ประเทศไทย
2 กองธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี ประเทศไทย
*E-mail: [email protected]

บทคัดย่อ

รอยเลื่อนพะเยาในพื้นที่อาเภอวังเหนือ จังหวัดลาปาง มีแนวการวางตัวในทิศเหนือ-ทิศใต้ พบอยู่
บรเิ วณดา้ นทศิ ตะวนั ออกของขอบแอง่ ตะกอนวงั เหนอื มหี ลกั ฐานธรณสี ณั ฐานทีบ่ ่งชีถ้ ึงความมพี ลงั ของรอยเล่ือน
พะเยา คือ ผารอยเลื่อน ผาสามเหล่ียม หุบเขาเส้นตรง ธารเหลื่อม และสันกั้น ปรากฏให้เห็นชัดเจนได้หลาย
พื้นท่ีโดยเฉพาะบริเวณขอบแอ่งด้านทิศตะวันออกของอาเภอวังเหนือตามแนวรอยเลื่อนพะเยา ธรณีสัณฐาน
เหล่านีบ้ ง่ ชี้ว่ารอยเลือ่ นพะเยามกี ารเล่อื นตัวแบบปกติเป็นหลักร่วมกับการเลือ่ นตวั ในแนวระนาบ จากหลกั ฐาน
ของธรณีสัณฐานข้างต้น จึงกาหนดตาแหน่งร่องสารวจเพ่ือศึกษารอยเล่ือนท่ีบริเวณบ้านฮ่าง ตาบลวังแก้ว
อาเภอวงั เหนอื จังหวดั ลาปาง ผลการศึกษาพบตะกอนเชิงเขา ตะกอนน้าพา และตะกอนทางน้า ในร่องสารวจ
มีอายุการสะสมตัวต้ังแต่อายุ 61,000 ปีที่แล้วถึงปัจจุบัน จากการหาอายุด้วยวิธี Optically Stimulated
Luminescence (OSL) dating พบหลักฐานรอยเล่ือนตัดเข้ามาในช้ันตะกอนเชิงเขาและตะกอนน้าพา เมื่อ
ประมาณ 60,000 ปีที่แล้ว และ 9,000 ปีท่ีแล้ว การเล่ือนตัวของรอยเลื่อนครั้งล่าสุดเป็นแบบรอยเล่ือนย้อน
ส่งผลให้ชั้นตะกอนน้าพาเกิดการคดโค้ง ซึง่ รอยเลื่อนย้อนนี้เปน็ รอยเล่ือนขนาดเล็ก (minor fault) ท่ีเกิดข้ึนใน
ระบบรอยเล่ือนปกติในช่วงธรณแี ปรสณั ฐานยคุ ใหมข่ องรอยเล่อื นพะเยา อาศัยหลักฐานข้อมูลการเล่ือนตัวของ
รอยเลื่อนในร่องสารวจรอยเลื่อนพะเยาจึงจัดเป็นรอยเล่ือนมีพลัง สามารถทาให้เกิดแผ่นดินไหวได้และสร้าง
ความเสียหายให้กับส่ิงก่อสร้างในพื้นที่อาเภอวังเหนือ ดังจะเห็นได้จากมีรายงานเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด
เล็กที่เกิดจากรอยเลื่อนพะเยาซ่ึงเกิดข้ึนหลายคร้ังในพื้นท่ีอาเภอวังเหนือ เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด
4.9 วันท่ี 20 กุมภาพันธ์ 2562 มีแผ่นดินไหวนาขนาด 2.0-3.3 จานวน 13 คร้ัง และมีแผ่นดินไหวตามขนาด
1.5-3.7 จานวน 52 คร้ัง และล่าสดุ เหตุการณ์แผน่ ดนิ ไหวขนาด 3.5 วันที่ 18 มถิ ุนายน 2564

ค้าสา้ คญั : รอยเลอ่ื นพะเยา ธรณแี ปรสณั ฐานยคุ ใหม่ รอยเลอ่ื นมพี ลงั อาเภอวงั เหนอื จงั หวดั ลาปาง

Oral Session

58 ธรณวี ถิ ีใหม่ นวตั กรรมไทย เพ่อื การพฒั นาทยี่ ่งั ยนื

ธรณีประวตั ขิ องแหลง่ ภนู า้ หยดจากหลกั ฐานทางธรณีวิทยา

ฐาสณิ ยี ์ เจรญิ ฐติ ริ ตั น1์ *, สคุ นธเ์ มธ จติ รมหนั ตกลุ 1, พมิ ลภทั ร์ อาจคา1, วารณุ ี มณรี ตั น1์ ,2 และ ศริ วชั ร์ อดุ มศกั ดิ์1

1 ภาควชิ าธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั กรงุ เทพ 10330
2 กรมทรัพยากรธรณี ถนนพระราม 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรงุ เทพ 10400

*E-mail: [email protected]

บทคดั ยอ่

โครงการวิจัยหินกรวดมนในพ้ืนท่ีภูน้าหยด จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้รับการสนับสนุนเงินทุนวิจัยจาก
กองทนุ จดั การซากดึกดาบรรพ์ กรมทรัพยากรธรณี โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพ่ืออธิบายสภาพแวดล้อมการเกิด
และธรณปี ระวัตขิ องพ้ืนท่ี และเพ่ือใชข้ อ้ มูลพ้ืนฐานสาหรับจัดอบรมมัคคุเทศก์ด้วยส่ือดิจิตัลในการเผยแพร่องค์
ความรูน้ ส้ี ่สู าธารณะตอ่ ไป

การสารวจหินกรวดมนทั้งพน้ื ทีพ่ บวา่ ขนาดของก้อนกรวดมคี วามหลากหลายมาก ตงั้ แตข่ นาดเม็ดกรวด
(gravel) จนถงึ ขนาดใหญม่ าก (มากกวา่ 2x3 เมตร) หนิ กรวดมนมกี ารคดั ขนาดทไ่ี มด่ ี ความกลมมนไมค่ อ่ ยดี หนิ กรวด
มนสว่ นใหญเ่ ปน็ แบบชนดิ ทม่ี กี อ้ นกรวดเดน่ (grain-supported conglomerate) แตบ่ างแหง่ พบหนิ กรวดมนทม่ี เี นอ้ื
พนื้ เดน่ (matrix-supported conglomerate) บรเิ วณทพ่ี บตะกอนขนาดทรายและกรวดขนาดเลก็ มกั จะสงั เกตเหน็
โครงสรา้ งหนิ ตะกอน เชน่ การเรยี งชน้ั (bedding หรอื lamination) ชน้ั เฉยี งระดบั (cross bedding) การคดั ขนาด
แบบปกติ (normal grading) การสารวจเพอื่ หาความสมั พนั ธข์ องหนิ กรวดมนและหนิ ปนู ในพนื้ ที่ พบหลกั ฐานของ
ระนาบเลื่อนยอ้ นหรือรอยเลอื่ นยอ้ น (reverse fault) ระหวา่ งหนิ กรวดมนและเทอื กเขาหนิ ปูน ซง่ึ จากหลกั ฐานใน
ภาคสนามพบวา่ หนิ ปนู ถกู ระนาบเลอ่ื นยอ้ นพามาปดิ อยบู่ นหนิ กรวดมน นอกจากนกี้ รวดในพนื้ ทมี่ หี ลายชนดิ ทาให้
ทราบถงึ หนิ ตน้ กาเนดิ ทหี่ ลากหลายในสดั สว่ นทแ่ี ตกตา่ งกนั การศกึ ษาวเิ คราะหช์ นดิ ของหนิ ปนู และกรวดหนิ ปนู ทพี่ บ
ซากดกึ ดาบรรพฟ์ วิ ซลู นิ ดิ พบวา่ กอ้ นกรวดหนิ ปนู เกดิ มาจากหนิ ปนู ทสี่ ะสมตวั ในสภาพแวดลอ้ มทแ่ี ตกตา่ งกนั ในทะเล
น้าต้ืน และแต่ละกอ้ นผุพังมาจากหินปูนต้นกาเนดิ ที่มีอายแุ ตกตา่ งกันตงั้ แตย่ ุคคารบ์ อนเิ ฟอรัสจนถึงเพอรเ์ มยี น
ตอนกลาง การวเิ คราะหอ์ ายธุ าตกุ มั มนั ตรงั สี U-Pb จากแรเ่ ซอรค์ อนในตะกอนเนอื้ พน้ื จานวน 2 จดุ ศกึ ษา พบว่า
ตวั อยา่ งที่ 1 มอี ายขุ องแรเ่ ซอรค์ อนทน่ี อ้ ยทส่ี ดุ คอื 233 ลา้ นปี (ไทรแอสสกิ ตอนปลาย)และกลมุ่ อายทุ นี่ อ้ ยทส่ี ดุ ของแร่
เซอรค์ อนคอื 242-245 ลา้ นปี และจากตวั อยา่ งที่ 2 พบวา่ อายขุ องแรเ่ ซอรค์ อนทนี่ อ้ ยทสี่ ดุ คอื 223 ลา้ นปี (ไทรแอสสกิ
ตอนปลาย) และกลมุ่ อายทุ นี่ อ้ ยทส่ี ดุ ของแรเ่ ซอรค์ อนคอื 251-260 ลา้ นปี

จากหลกั ฐานทางธรณวี ทิ ยาทาใหอ้ ธบิ ายธรณปี ระวตั แิ ละธรณแี ปรสณั ฐานของแหลง่ ภนู ้าหยดวา่ อายกุ าร
สะสมตวั ของหนิ กรวดมนนา่ จะเรมิ่ จากยคุ ไทรแอสสกิ ตอนปลาย กรวดจากหนิ ตน้ กาเนดิ ทแี่ ตกตา่ งกนั ทง้ั ชนดิ หนิ และ
อายนุ ้ี จากขอ้ มลู ตะกอนวทิ ยาพบวา่ การพดั พาของกระแสน้าเกดิ ในตะกอนทม่ี ขี นาดเลก็ เทา่ นน้ั กรวดขนาดใหญเ่ ปน็
อปุ สรรคตอ่ การพดั พาจงึ ไมพ่ บโครงสรา้ งทางตะกอน การเคลอื่ นทข่ี องกรวดขนาดใหญจ่ งึ สณั นษิ ฐานวา่ เกดิ จากแรง
โนม้ ถว่ งหรอื การถลม่ ตามแนวลาดเอยี ง ภายหลงั จากการยกตวั ของแผน่ ดนิ ซง่ึ ปรากฏการณน์ อี้ าจมคี วามสมั พนั ธก์ บั
การเกิดภูเขา (Orogeny) นอกจากน้ีอายุจากธาตุกัมมันตรังสีเช่ือมโยงได้กับเวลาการเกิดภูเขาอินโดไซเนียน 1
(Indosinian orogeny I) ซง่ึ เปน็ สาเหตทุ าใหเ้ กดิ รอยชนั้ ไมต่ อ่ เนอ่ื งในชว่ งอายเุ พอรเ์ มยี นตอนปลายถงึ ไทรแอสสกิ โดย
มหี นิ กรวดมนทกี่ ระจายเปน็ บรเิ วณกวา้ งในแหลง่ ธรณวี ทิ ยาภนู ้าหยดและบรเิ วณใกลเ้ คยี ง เปน็ หลกั ฐานและลกั ษณะ
ปรากฏทางธรณวี ทิ ยาทพี่ บบนพนื้ ผวิ โลก

ค้าสา้ คญั : ธรณปี ระวตั ิ ภนู า้ หยด หนิ กรวดมน เพชรบรู ณ์

Oral Session

การประชุมวิชาการธรณีไทย ประจาปี 2564 59
(Geothai Webinar 2021) วนั ท่ี 4-6 สิงหาคม 2564

59

ธรณวี ทิ ยาและล้าดับชนั้ หินบรเิ วณโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนอื่ งมาจากพระราชดา้ ริ

สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี พน้ื ทโ่ี คกภตู ากา อา้ เภอเวยี งเกา่ จงั หวดั ขอนแกน่

ประดษิ ฐ์ นเู ล1* และ สภุ าพร ศรรี าชา2

1 สานักงานทรัพยากรธรณี เขต 2 กรมทรพั ยากรธรณี
2 สาขาวิชาเทคโนโลยธี รณี สานกั วชิ าวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยสี รุ นารี

*E-mail: [email protected]

บทคัดย่อ

โครงการอนุรกั ษพ์ นั ธกุ รรมพชื อันเน่อื งมาจากพระราชดารสิ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี
พื้นที่โคกภูตากาเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุกรรมพืชท่ีสาคัญของจังหวัดขอนแก่น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งมรดกทางธรณี
ของอทุ ยานธรณขี อนแกน่ ซง่ึ มคี ุณคา่ ตอ่ การศกึ ษาและอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาตใิ นท้องถน่ิ แตท่ งั้ นี้ยงั ขาดข้อมูลทาง
ธรณวี ทิ ยาบรเิ วณพน้ื ทโี่ ครงการฯ การศกึ ษาครง้ั นจี้ งึ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ศกึ ษาธรณวี ทิ ยาโดยละเอยี ด จดั ทาขอ้ มลู ทางดา้ น
ธรณวี ทิ ยาและลาดบั ชน้ั หนิ อธบิ ายสภาพแวดลอ้ มโบราณของการสะสมตวั ของตะกอนบรเิ วณโครงการอนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรม
พชื โคกภตู ากา ผลการศกึ ษาพบวา่ ชั้นหนิ บรเิ วณพนื้ ทศ่ี กึ ษามคี วามหนาประมาณ 45 เมตรและสามารถจาแนกหน่วยหนิ
บริเวณโคกภูตากา ได้เป็น 6 หน่วยหินย่อย เรียงลาดับจากล่างขึ้นบนได้ดงั น้ี หน่วยหินที่ I เป็นหินทราย มีความหนา
6.4 เมตร เนอ้ื หนิ มลี กั ษณะสขี าวอมเหลอื งถงึ สเี ทา มขี นาดเมด็ หยาบ การคดั ขนาดดี พบโครงสรา้ งชนั้ เฉยี งระดบั ทชี่ ดั เจน
แต่ละ set มีความหนา 30 เซนติเมตร หน่วยหินท่ี II เป็นหินทรายปนกรวด ชั้นหินมีความหนาประมาณ 5.5 เมตร
หนิ ทรายมลี ักษณะสขี าวอมเหลอื ง ถงึ สเี ทา ขนาดเม็ดหยาบ การคัดขนาดไม่ดี ส่วนเมด็ กรวดมคี วามกลมมนค่อนขา้ งสงู
สว่ นใหญเ่ ปน็ กอ้ น quartz และหนิ ภเู ขาไฟ ขนาด 0.2 - 5 เซนตเิ มตร พบโครงสรา้ งชน้ั เฉยี งระดบั ไดโ้ ดยทว่ั ไป หนว่ ยหนิ ที่
III เป็นช้ันหินทราย มีความหนา 5-10 เมตร เน้ือหินสีน้าตาลแดง ขนาดเม็ดละเอียด มีการคัดขนาดท่ีดี พบลักษณะ
โครงสรา้ งตะกอนแบบ parallel lamination หนว่ ยหนิ ที่ IV เปน็ ชนั้ หนิ ทราย มคี วามหนา 10 เมตร ลกั ษณะเนอื้ หนิ สขี าว
สเี ทา ขนาดเมด็ ปานกลางถงึ หยาบ มกี ารคดั ขนาดปานกลาง พบโครงสรา้ งชนั้ เฉยี งระดบั ทช่ี ดั เจน หนว่ ยหนิ ท่ี V เปน็ ชนั้
หนิ ทรายมคี วามหนา 10 เมตร สขี าวอมเหลอื ง มขี นาดเมด็ ละเอยี ด มกี ารคดั ขนาดทด่ี ี พบลกั ษณะโครงสรา้ งชน้ั เฉยี งระดบั
หน่วยหินที่ VI เป็นชน้ั หินทรายปนกรวดและหนิ กรวดมน มคี วามหนาประมาณ 10 - 20 เมตร หินทรายสีน้าตาลแดง
เมด็ หยาบ การคดั ขนาดไมด่ ี พบเมด็ กรวด ขนาด 1- 2 เซนตเิ มตร ปนในเนอ้ื หนิ ทราย เมด็ กรวดมคี วามกลมมนคอ่ นขา้ งสงู
สว่ นใหญ่เปน็ กอ้ น quartz และหินภูเขาไฟ พบลักษณะโครงสร้างทางตะตอนแบบเม็ดละเอียดเรียงข้ึนข้างบน และพบ
ลกั ษณะโครงสรา้ งชนั้ เฉยี งระดบั ไดโ้ ดยทวั่ ไปในชนั้ หนิ ทรายและหนิ กรวดมน ชนั้ หนิ ทง้ั 5 หนว่ ยหนิ วางตวั กนั อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
ในทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื -ตะวนั ตกเฉยี งใต้ ดว้ ยมมุ เอยี งเท 20-30 องศา ไปทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื รองรบั หมวดหนิ
โคกกรวดทวี่ างตวั อยดู่ า้ นบน ซง่ึ จากลกั ษณะปรากฎดงั กลา่ วรว่ มกบั ลกั ษณะลาดบั ชน้ั หนิ สรปุ ไดว้ า่ ชน้ั หนิ บรเิ วณโครงการ
อนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพชื อนั เนอื่ งมาจากพระราชดารสิ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี พน้ื ทโ่ี คกภตู ากาเปน็
ชน้ั หนิ ของหมวดหินภพู าน ซึ่งเกดิ จากการพดั พาสะสมตัวของทางน้าทม่ี พี ลงั งานในการพดั พาคอ่ นขา้ งสูง โดยกระแสน้า
โบราณไหลจากทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ไปยงั ทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใต้

ค้าสา้ คญั : ลาดบั ชัน้ หนิ , หมวดหนิ ภพู าน, โคกภูตากา, อทุ ยานธรณีขอนแกน่

Oral Session

60 ธรณวี ถิ ใี หม่ นวัตกรรมไทย เพอ่ื การพฒั นาทย่ี ั่งยนื

ธรณวี ทิ ยากบั ทเุ รยี นหลง-หลนิ ลับแล อา้ เภอลบั แล จังหวดั อุตรดิตถ์

ฉตั รพร ฉตั รทอง และ ฐาสิณยี ์ เจรญิ ฐติ ิรตั น์*

ภาควิชาธรณีวทิ ยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั กรงุ เทพ 10330
*E-mail: [email protected]

บทคัดยอ่

ทุเรียนพันธุ์หลงลับแลและหลินลับแล เป็นพันธ์ุทุเรียนท่ีมีช่ือเสียงเกิดเฉพาะถิ่น และได้รับการขึ้น
ทะเบียนจาก กรมทรัพย์สินทางปัญญาให้เป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดอุตรดิตถ์ ทุเรียนทั้งสองพันธุ์น้ี
ปลกู บรเิ วณอาเภอลบั แล อาเภอเมืองและอาเภอท่าปลา จังหวัดอตุ รดิตถ์ ผลมขี นาดเล็กกว่าทุเรียนท่ัวไปโดยท่ี
พันธ์ุหลงลับแล (1-2 กิโลกรัม) และ พันธ์ุหลินลับแล (2-3 กิโลกรัม) เนื้อนุ่มเนียน เมล็ดลีบ กล่ินละมุนและมี
รสไม่หวานจัด ด้วยเหตุผลที่ทุเรียนสองพันธุ์นี้ เป็นทุเรียนประจาถ่ิน มีรสชาติอร่อยแตกต่างกว่าทุเรียนพันธ์ุ
อ่ืนๆ การเก็บเกี่ยวจาเป็นต้องอาศัยความชานาญ และปริมาณผลผลิตทุเรียนในแต่ละปีมีน้อยกว่าความ
ต้องการในตลาด จึงทาให้ทุเรียนหลงลับแลและหลินลับแลมีราคาสูงเมื่อเปรียบเทียบกับทุเรียนที่มีขายทั่วไป
งานวิจัยน้ีจึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือหาอัตตลักษณ์ทางธรณีวิทยา และลักษณะเด่นทางภูมิศาสตร์ของพ้ืนที่ ที่ใช้
ปลกู ทเุ รียนทงั้ สองพันธุน์ ้ี โดยตงั้ อยู่บนสมมุติฐานทีว่ า่ ทเุ รียนสองพนั ธ์ุน้ปี ลกู ในพื้นทีป่ ่าเกษตรบนภูเขาท่ีมีความ
ชันโดยธรรมชาติ ดงั นน้ั ปริมาณแร่ธาตุในดนิ จึงเกิดจากการผุพังจากหินต้นกาเนิดเป็นหลัก การศึกษาชนิดและ
วิเคราะหอ์ งค์ประกอบทางเคมีของดินและหินตน้ กาเนดิ จงึ มีความสัมพนั ธ์โดยตรงต่อปริมาณแร่ธาตุท่ีจาเป็นต่อ
ทุเรียน ซึ่งการวิเคราะห์นี้จะทาร่วมกับการวัดปริมาณความชื้น ปริมาณฝน และแสงแดด ประกอบกับการ
สัมภาษณ์เกษตรกรท่ีมีความรู้ความชานาญในการปลูกทุเรียนในพื้นท่ีศึกษา อน่ึง การประยุกต์ใช้ความรู้ทาง
ธรณีวิทยากับการปลูกทุเรียนสองสายพันธ์ุในพื้นท่ีนี้ จะช่วยให้เกษตรกรสามารถขยายหรือเลือกพื้นที่
เพาะปลกู ได้อย่างเหมาะสม เพ่ือเพมิ่ ปรมิ าณการผลิตต่อไปในอนาคต

จากการเก็บขอ้ มลู ธรณีวิทยา 26 จุดตัวอย่างในพ้ืนท่ี ร่วมกับผลการวิเคราะห์ทางเคมีของตัวอย่างดิน
และหิน และการรวบรวมข้อมูลโดยท่ัวไป เพ่ือหาลักษณะเด่นของทุเรียนพันธ์ุหลงและหลินลับแล สรุปได้ว่า
ทุเรียนพันธ์ุหลงและหลินลับแลขยายพันธุ์โดยใช้วิธีเสียบยอดเข้ากับต้นทุเรียนป่าพันธ์ุพ้ืนเมือง เน่ืองจาก
ทุเรียนป่าพันธ์ุพ้ืนเมืองมีรากท่ีแข็งแรงเหมาะสมต่อการเป็นต้นตอสาหรับดูดน้าและอาหารไปเล้ียงต้นได้
มีความคงทนต่อสภาพอากาศร้อนช้ืนและทนต่อโรคพืช เช่น โรครากเน่า โคนเน่า และเชื้อรา การศึกษาธรณี
สัณฐานวิทยาพบว่าพื้นที่ปลูกทุเรียนหลง-หลินลับแลอยู่บนเขาสูงท่ีมีความชันมากกว่า 30 องศาและความสูง
มากกวา่ 200 เมตรจากระดบั น้าทะเล ปริมาณน้าฝนในพื้นที่ศึกษามีค่าเฉล่ียอยู่ในช่วงประมาณ 1,200-1,400
มิลลิเมตรต่อปี อุณหภูมิเฉลี่ยของจังหวัดอุตรดิตถ์อยู่ท่ี 27.7 องศาเซลเซียส ปริมาณความช้ืนสัมพัทธ์ร้อยละ
68-75 ชนิดหินในพื้นท่ีปลูกทุเรียนหลง-หลินลับแล ประกอบด้วยหินโคลน (mudstone) หินดินดาน (shale)
หินทรายประเภท ลิทอะรีไนต์ (litharenite) และหินแปรประเภทหินฟิลไลต์ (phyllite) จากการวิเคราะห์
องค์ประกอบทางเคมีของดินและหินตัวอย่างพบธาตุองค์ประกอบหลักและรองซึ่งเป็นธาตุอาหารจาเป็นที่
ทุเรียนต้องการในปริมาณดังนี้ แร่ประกอบออกไซด์หลัก ได้แก่ P2O5 ร้อยละ 0.03–0.18, K2O ร้อยละ
1.0–3.62, CaO ร้อยละ 0.03–0.49 และ MgO ร้อยละ 0.24–4.17 ธาตุรองได้แก่ Fe ร้อยละ 4.51-10.69,
Mn1-12 ,400 ppm, Cu 25.8-78.5 ppm และ Zn 19.6- 457.1 ppm

ค้าสา้ คญั : ธรณวี ิทยา ทุเรียน หลงลับแล หลินลับแล อุตรดติ ถ์

Oral Session

การประชมุ วชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564 61
(Geothai Webinar 2021) วันที่ 4-6 สิงหาคม 2564

61

ธรณวี ทิ ยาควอเทอรน์ ารี และตะกอนวทิ ยาพน้ื ทพ่ี บซากวาฬโบราณ ต้าบลอ้าแพง อ้าเภอบา้ นแพว้

จังหวัดสมทุ รสาคร

วรศิ นวมน่ิม1*, ภูเบศร์ สาขา1 และ นิรนั ดร์ ชยั มณี2

1 กองคมุ้ ครองซากดึกดาบรรพ์ กรมทรพั ยากรธรณี 75/10 ถ.พระราม 6 ราชเทวี กรงุ เทพมหานคร 10400
2 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง 120 ชั้นที่ 5-9 อาคารรฐั ประศาสนภกั ดี ศูนยร์ าชการฯ หลกั สี่ กรงุ เทพมหานคร 10210

*Corresponding author, E-mail : [email protected]

บทคัดย่อ

การค้นพบซากวาฬในบรเิ วณตาบลอาแพง อาเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร (รูปท่ี 1) ซ่ึงห่างจาก
ชายฝ่ังทะเลปัจจุบันเข้าไปทางแผ่นดินประมาณ 15 กิโลเมตรน้ัน เป็นการค้นพบหลักฐานทางธรณีวิทยาท่ีมี
ความสาคัญต่อการศึกษาการเปล่ียนแปลงสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศโบราณของพื้นที่ที่ราบลุ่ม
เจ้าพระยาตอนล่างและบริเวณชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน โครงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ตรวจสอบข้อมูล
ธรณวี ิทยาและตะกอนควอเทอร์นารใี นพ้นื ท่ี 2) วิเคราะห์สภาพการสะสมตัว และ 3) อธิบายการเปลี่ยนแปลง
สภาพแวดล้อมทางธรณีวิทยา ดังน้ันในการศึกษานี้ได้ทาการเจาะสารวจระดับตื้น 16 หลุม จากผิวดินจนถึง
ระดับความลึก 13 ถึง 14 เมตร ผลการศึกษาทาให้จัดกลุ่มตะกอนเป็น 3 หมวด (รูปที่ 2) ได้แก่ (1) หมวด
ตะกอนเขตน้าข้นึ ลงโบราณ (old intertidal flat formation) ท่ีความลึก 30 เซนติเมตร จากระดับทะเลปาน
กลาง หนา 1.70 ถึง 2.75 เมตร (2) หมวดตะกอนทะเลน้าต้ืน (shallow marine formation) ที่ความลึก
2.0 - 2.5 เมตรจากระดับทะเลปานกลาง และหนาเฉล่ยี 10 เมตร และ (3) หมวดตะกอนดนิ เหนียวไพรสโตซีน
(Pleistocene stiff clay formation) พบที่ความลึก 12-13 เมตรจากระดับทะเลปานกลาง ซ่ึงมีช้ันดินบรรพ
กาล (paleosol) หรือช้ันพีท (basal peat layer) สะสมตัวไม่ต่อเนื่องคล้ายเลนส์ระหว่างชั้นตะกอนดินเคลย์
เน้ือแน่นและช้ันตะกอนดินเคลย์สมุทร ซึ่งแสดงรอยชั้นไม่ต่อเนื่อง (unconformity) ที่มีการเปล่ียนระหว่าง
สองชั้นน้ีแบบฉับพลัน เป็นตัวบ่งช้ีว่าตะกอนสองหมวดนี้มีระยะเวลาการสะสมตัวที่ห่างกัน โดยพบท่ีความลึก
ประมาณ 12-13 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซ่ึสอดคล้องกับความหนาของตะกอนดินเคลย์สมุทร โดย
ความหนามากข้ึนไปทางด้านทิศตะวันออกหรือทิศของแนวชายฝ่ังปัจจุบันและเป็นหมวดตะกอนที่ซากวาฬ
สะสมตัวอย่ทู ี่ความลกึ 6.3 เมตรจากระดับนทะเลปานกลางเนื่องจากพบซากเศษเปลือกหอยกระจายตัวอยู่ทั้ง
หมวดตะกอน บ่งบอกว่าวาฬสะสมตัวอยู่ในทะเลน้าต้ืน ซ่ึงจากลักษณะเส้นช้ันความสูงของการสะสมตัว
ตะกอนหมวดดินเคลย์เนื้อแน่นที่รองรับข้างใต้ตะกอนดินเคลย์สมุทรน้ันสังเกตได้ว่าบริเวณแนวที่ซากวาฬกา
พรางสะสมตัวอยู่มีลักษณะเป็นร่อง จึงอนุมานได้ว่าวาฬอาจเข้ามาในเขตน้าตื้นผ่านร่องน้าหรือชะวากทะเล
(estuary) ก่อนท่ีจะตายและสะสมตัวในบริเวณดังกล่าว

ผลจากการศึกษาวิทยาตะกอนในยุคควอเทอร์นารีของพ้ืนที่น้ีทาให้มีหลักฐานทางธรณีวิทยาเพ่ิมมาก
ขึ้น และสามารถเช่ือมโยงสภาพแวดล้อมในอดีตของบริเวณซากวาฬกับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมต้ังแต่
อดีตจนถึงปัจจุบันในพ้ืนท่ีที่ราบลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างได้ การเทียบเคียงข้อมูลหลุมเจาะจากงานวิจัยท่ี
เกี่ยวขอ้ งพบวา่ ตะกอนดนิ เคลยส์ มทุ รเอียงเทและหนาขึ้นเม่อื ใกลช้ ายฝ่ังปัจจุบัน (รูปที่ 3) สามารถนาผลข้อมูล
การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดลอ้ มและสภาพอากาศในอดีตมาเชื่อมโยงกับปัจจุบัน เพื่อช่วยสร้างความเข้าใจการ
เปล่ยี นแปลงดังกล่าวและช่วยในการเตรียมความพรอ้ มลว่ งหนา้ เพื่อรบั มือผลกระทบจากความเสียหายของการ

Oral Session

62 ธรณวี ิถใี หม่ นวตั กรรมไทย เพ่อื การพัฒนาทย่ี ่งั ยืน
เปลย่ี นแปลงในอนาคต จงึ ควรนาขอ้ มูลการสารวจเทียบสัมพนั ธ์กับข้อมูลธรณีฟิสิกส์ เพ่ือให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์
มากยงิ่ ขึน้ ในอนาคต
ค้าสา้ คัญ: ธรณวี ิทยา ตะกอนวิทยา ซากวาฬ อาแพง บ้านแพว้
เอกสารอ้างองิ
ภาสกร ปนานนท์ และคณะ, 2560, การเปลย่ี นแปลงสภาพชายฝง่ั ทะเลโบราณในรอบ 2,000 ปี บรเิ วณพนื้ ที่

ราบลมุ่ ภาคกลางตอนล่างของประเทศไทยทีม่ ผี ลต่อการตง้ั ถ่นิ ฐาน และพฒั นาการทางสงั คมของมนษุ ย์
ตงั้ แตพ่ ุทธศตวรรษท่ี 6 จนถงึ ปจั จบุ นั
Di Geronimo, I., Sanfilippo, R., Chaimanee, N., 2002. The Quaternary Fauna from Ban Pak Bo
(Western Thailand). In: Mantajit, N. (Ed.), Proceedings of the Symposium on Geology
of Thailand. DMR, Bangkok, pp. 342–349
Sinsakul, S., 1992. Evidence of sea level change in the coastal areas of Thailand; a Review.
Journal of Asian Earth Sciences7, 23-27.
Sinsakul, S., 2000. Late Quaternary Geology of the Lower Central Plain, Thailand. Journal of
Asian Earth Sciences 18, 415-426.
S. Tanabe, Yoshiki Saito, Yoshio Sato, Yuichiro Suzuki, S. Sinsakul, Suwat Tiyapairach, N.
Chaimanee., 2003.Stratigraphy and Holocene Evolution of the mud-dominated chao
Phraya Delta, Thailand. Quaternary Science Reviews 22, 789-807.

Oral Session

การประชมุ วชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564 63
(Geothai Webinar 2021) วันท่ี 4-6 สิงหาคม 2564

63

รูปที่ 1 แผนทธ่ี รณวี ทิ ยาควอเทอรน์ ารขี องลมุ่ น้าเจา้ พระยาตอนลา่ งแสดงตาแหนง่ ซากวาฬอาแพง ขอบเขตชายฝงั่
ทะเลโบราณเมอ่ื สามพนั ปที แ่ี ลว้ (Tanabe, 2003) และเขตรอยเลอื่ น (เสน้ ประสแี ดง) ใหส้ งั เกตจุดพบวาฬ
อย่ใู นเขตรอยเลื่อนเจดยี ส์ ามองค์

Oral Session

64 ธรณวี ิถีใหม่ นวัตกรรมไทย เพ่ือการพฒั นาท่ียง่ั ยืน

รูปท่ี 2 ลาดบั ชน้ั ตะกอนควอเทอรน์ ารเี สดงตาแหน่งพบซากวาฬกาแพง กระเบน และฉลามในช้นั ตะกอนทะเล
นา้ ต้ืน

รูปท่ี 3 ภาพตัดขวางธรณีวทิ ยาแสดงลาดับชั้นตะกอนควอเทอร์นารแี ละตาแหน่งท่ีพบวาฬอาแพง
Oral Session

การประชมุ วิชาการธรณไี ทย ประจาปี 2564 65
(Geothai Webinar 2021) วันท่ี 4-6 สิงหาคม 2564

65

แนวทางการแกป้ ญั หาหนิ รว่ งดว้ ยแบบจ้าลองโปรแกรมทางวิศวกรรมความลาดเอยี งมวลหนิ

ศิวโรฒม์ ศริ ิลักษณ์

วิศวกรรมเหมืองแร,่ คณะวศิ วกรรมศาสตร์, มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา
E-mail: [email protected] หรือ [email protected]

บทคดั ย่อ

หินร่วงหล่น (rock falls) ที่เคยเกิดข้ึนแล้ว 5 กรณีของประเทศไทย ได้ถูกทาการเก็บข้อมูลของชั้น
ความสูงที่สถานท่ีเกิด เพื่อนามาสร้างแบบจาลองด้วยโปรแกรม ROCK fall โดยผลการจาลองจะถูกนามา
คานวณย้อนกลับ (back calculation) เพื่อให้ผลนั้นมีความใกล้เคียงกับทั้ง 5 เหตุการณ์ เพื่อทราบถึงตัว
แปรของสมการทางธรณีวิทยาของแบบจาลอง จากนั้นจะทาการศึกษาปัจจัยเหล่านั้นเพื่อเพ่ิมค่าความ
ปลอดภัยของตัวแปรทางสภาพธรณีวิทยาตามกระบวนการทางวิศวกรรมความลาดเอียงมวลหิน
(rock slope engineering) เม่ือได้วิธีที่เหมาะสมแล้ว จะทาการปรับปรุงเสถียรภาพความลาดเอียง
ณ บริเวณ ซึ่งจะทาให้ปัจจัยของแบบจาลองในโปรแกรมเปล่ียนไป จากนั้นจะทาการดาเนินการทดสอบ
แบบจาลองด้วยปัจจัยท่ีมีความเสี่ยงอีกสถานท่ีละ 1,000 กรณี ซ่ึงรูปแบบที่ใช้ในการปรับปรุงเสถียรภาพ
ความลาดเอยี งทใี่ ชม้ ี 3 รปู แบบ คือ การเสริมความแขง็ แรงของหนิ (rock reinforcement) การรื้อถอนหิน
ที่มีความเส่ียง (rock removal) และ การสร้างโครงสร้างป้องกันหินร่วงหล่น (rock fall protection
structure) ผลการทดลองพบว่า หลังการปรับปรุงเสถียรภาพความลาดเอียงแล้วจะไม่เกิดการอุบัติของ
เหตกุ ารณห์ ินร่วงหลน่ ทั้ง 5 สถานท่ีอีกต่อไป

คา้ ส้าคญั : เสถยี รภาพความลาดเอยี ง; ธรณีพิบตั ิ; หนิ ร่วง; การพงั ทลายของหนา้ ผา

Oral Session

66 ธรณีวิถีใหม่ นวัตกรรมไทย เพือ่ การพฒั นาท่ียงั่ ยืน

แนวทางการจดั กจิ กรรมส่งเสริมการเรยี นรนู้ อกหอ้ งเรียน
กรณีศกึ ษาพิพิธภัณฑว์ ิทยาศาสตร์แห่งชาติ

Guideline of outdoor learning activities in National Science Museum

สุชาดา คาหา*, อรทยั สรุ าฤทธิ,์ สิรพี ชั ร โกยโภไคยสวรรค์ และ ปพชิ ญา เตียวกลุ

สานกั วิชาการธรรมชาติวทิ ยา องคก์ ารพพิ ธิ ภณั ฑ์วิทยาศาสตร์แหง่ ชาติ (อพวช.)
*[email protected]

บทคัดยอ่

ปัจจุบันพิพิธภณั ฑส์ มยั ใหม่ มบี ทบาทหนา้ ทีท่ ่เี ปล่ียนแปลงไป และมอี ิทธิพลต่อสังคมมากขึ้น ความท้า
ทายของคนทางานพิพิธภัณฑ์ จะต้องสื่อสารและถ่ายทอดข้อความจากพิพิธภัณฑ์สู่สังคมในบทบาทท่ีแตกต่าง
จากเดิม เน้นการส่งเสริม สนับสนุน เช่ือมโยงกับการเปล่ียนแปลงของสังคมอย่างทันเหตุการณ์ สร้างการรับรู้
และความตระหนักรู้คุณค่าในบางส่ิง สร้างบทสนทนาและสื่อสารกับคนท่ัวไป สร้างโอกาสและสนับสนุนให้ผู้
เขา้ ชมสารวจตรวจสอบและสมั ผสั กับสิง่ ทตี่ อ้ งการสอ่ื สารอยา่ งลึกซ้ึงและเห็นคณุ คา่

งานวิจยั นี้มวี ัตถปุ ระสงค์เพอ่ื ศึกษาการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ภายใต้ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้
ด้วยตนเอง (Constructivism) ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้เชิงสังคม (Social Constructivism) และแนวคิด
การเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ (Learning by Doing) กรณีศึกษา โปรแกรมการเรียนรู้และกิจกรรมท่ีเน้นการให้
ความรู้ด้านบรรพชีวินวิทยา ธรณีวิทยา โดยจัดข้ึนในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา และพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า
องค์การพพิ ิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ผ่านกระบวนการสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant observation)
และสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-observation)

ผลการศึกษาพบว่า ผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์ผ่านกิจกรรม Research show
by naturalist และกิจกรรม คุย คิด (ด้วย) กัน Talk Thought Together มีความพึงพอใจเน้ือหาและรูปแบบ
กิจกรรมในระดับมาก กิจกรรมดังกล่าวยังกระตุ้นความสนใจให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมอยากจะเข้าร่วมกิจกรรม
ส่งเสรมิ การเรยี นรรู้ ปู แบบอนื่ ของพพิ ธิ ภณั ฑอ์ กี ดว้ ย จากการสังเกตและประเมินผู้เข้ารว่ มกจิ กรรมพบว่ากิจกรรม
ดังกล่าว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะกระบวนการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการ
เรียนรู้แบบก้าวหน้า สร้างแบบจาลองและความท้าทายในการเรียนรู้ สร้างแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์
กระตนุ้ จดุ พลงั แหง่ ความอยากรู้ในการเรียนรสู้ ง่ิ ใหม่ ๆ และสรา้ งความเพลดิ เพลินให้กบั ผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรม

จากผลการศึกษาน้ีทาให้เสนอแนะได้ว่า พิพิธภัณฑ์ควรมีกิจกรรมเชิงโต้ตอบที่ส่งเสริม discovery
learning process ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งจะสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับพิพิธภัณฑ์
ทาให้พิพิธภัณฑ์กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ท่ีน่ารื่นรมย์ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน นอกจากน้ีพิพิธภัณฑ์ควรมี
ภัณฑารักษ์ นักวิชาการ นักพิพิธภัณฑ์ นักการศึกษา ร่วมพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์ โดยนาเสนอ
ความคิดและหัวข้อเก่ียวกับปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติวิทยา ธรณีวิทยา งานวิจัย ให้น่าสนใจ
อย่างต่อเนื่องและสม่าเสมอ เพื่อให้การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เป็นไปอย่างสนุกสนานยิ่งขึ้น สร้างปฏิสัมพันธ์
ระหว่างนิทรรศการและผู้เข้าชม ซ่ึงเป็นประสบการณ์การเรียนรู้นอกเหนือจากสาระองค์วามรู้ท่ีนาเสนอผ่าน
นทิ รรศการ

ค้าส้าคัญ: การจัดการองค์ความรู้ พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์รูปแบบใหม่ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ การเรียนรู้
นอกห้องเรยี น

Oral Session

การประชุมวิชาการธรณไี ทย ประจาปี 2564 67
(Geothai Webinar 2021) วนั ท่ี 4-6 สิงหาคม 2564

67

แนวทางการบรหิ ารจดั การพืน้ ทป่ี นเปอ้ื นสารหนตู ามธรรมชาติ อ้าเภอบ้านไร่ จังหวดั อทุ ัยธานี

และการพัฒนาระบบธรณีวทิ ยาอัจฉรยิ ะ (Smart Geology) เพอื่ คุณภาพชีวิตทด่ี ขี อง

ประชาชนอยา่ งยัง่ ยนื

อัปสร สอาดสดุ

กองวิเคราะหแ์ ละตรวจสอบทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรธรณี
E-mail: [email protected]

บทคัดย่อ

กรมทรพั ยากรธรณี ไดก้ าหนดแผนการปฏิบตั กิ ารโดยประมวลแนวทางและนโยบายของประเทศ ตาม
รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ในหมวดท่ี 5 และ 16 ซ่ึงกาหนดให้หน้าท่ีของรัฐ มีการบริหาร
จัดการให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติส่ิงแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน ประชาชนมีความสุข
มีสุขภาพชีวิตที่ดี มีการนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน และให้มีการบูร
ณาการฐานข้อมูลของหน่วยงานรัฐ และได้ถูกถ่ายทอดเป็นแผนประเทศระดับที่ 1 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
แผนระดับประเทศระดับท่ี 2 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 12 จนถึงแผนระดับท่ี 3
แผนปฏิบัติการระดับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และแผนปฏิบัติการกรมทรัพยากรธรณี
ปี 2563-2565 โดยสรุปรวมแผนระดับต่างๆมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญในการใช้
ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลมั่งคั่งและย่ังยืน เพื่อคุณภาพชีวิตท่ีดีของ
ประชาชน ดงั กลา่ ว และจากภารกิจหลักด้านการวิเคราะห์ทรัพยากรธรณีของกรมทรัพยากรธรณี ในปีงบประ
มาน พ.ศ. ๒๕๖๑ จนถึงปัจจุบนั ในกรณีการขอความอนุเคราะห์จากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขให้
ดาเนินการวิเคราะห์การปนเปื้อนของน้าจากปัญหาท่ีประชาชนมีค่าการปนเปื้อนสารหนูในปัสสาวะสูงเป็น
ระยะเวลานานโดยไม่ทราบสาเหตุท่ีแท้จริง ในพ้ืนที่ที่มีประเด็นปัญหาการปนเปื้อนของสารพิษ อาเภอบ้านไร่
จังหวัดอุทัยธานี โดยกรมทรัพยากรธรณีดาเนินการวิเคราะห์การปนเป้ือนสารพิษในน้าร่วมกับการที่กรม
ควบคุมโรค ดาเนินการตรวจค่าสารหนูในปัสสาวะให้กับประชาชนในพื้นที่เป็นต้ังแต่ปี พ.ศ. 2552 เป็นเวลา
กว่าสิบปี จึงได้มีการริเริ่มนาภารกิจดังกล่าว มาทดลองวางแนวทางปฏิบัติและเป็นกรณีศึกษา เพื่อตอบสนอง
และบรรลุวัตถุประสงค์ตามรัฐธรรมนูญและแผนระดับต่างๆของประเทศมากย่ิงข้ึน โดยใช้หลักการบริหาร
จัดการและการวิเคราะห์เชิงนโยบายและวิสัยทัศน์ ตามหลักของข้อเสนอการเปลี่ยนแปลง (Blueprint for
Change) และห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) มากาหนดแนวทางในการดาเนินงานอาทิเช่น การสารวจข้อมูล
การปนเปื้อนสารพษิ ทวั่ ประเทศ การวเิ คราะหว์ ิจัยข้อมลู รายละเอียด การจัดทาแผนที่แสดงขอบเขตพ้ืนท่ีเส่ียง
สารพิษได้ การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง การจัดทาฐานข้อมูลระดับต่างๆ การให้ความรู้
ข้อมูลกับหน่วยงานและประชาชนที่เก่ียวข้อง การพัฒนาระบบธรณีวิทยาอัจฉริยะ (Smart Geology) ซึ่งจะ
กาหนดแนวทางการดาเนินการในระยะสั้นระยะกลาง และระยะยาว ผลที่ได้รับสามารถกาหนดขอบเขตพื้นที่
เสี่ยงภัยสารหนูในพ้ืนท่ีเป้าหมายได้ และได้มีการนาไปสื่อสารให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปใช้
ประโยชน์ได้จริง ถอื เป็นการหลีกเล่ียงและลดผลกระทบความเสี่ยงในดา้ นการสาธารณสขุ และเพิ่มคุณภาพชีวิต
ที่ดีให้ประชาชนอย่างยั่งยืนได้ อาจกล่าวได้ว่า แผนที่ธรณีวิทยามีดีที่ 3H คือสามารถทาให้ประชาชนมี
1) Health Security สร้างความมั่นคงมั่นใจต่อความปลอดภัยทางสุขภาพ 2) Health มีสุขภาพท่ีดีลด
ผลกระทบความเส่ียงเป็นโรค และ 3) Happiness เมื่อมีความมั่นใจและสุขภาพท่ีดีย่อมทาให้เกิดความสุขได้

Oral Session

68 ธรณีวิถีใหม่ นวัตกรรมไทย เพื่อการพัฒนาท่ยี ั่งยนื
รวมท้ังในแนวทางที่จัดทานี้ ยังมุ่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลธรณีวิทยาอัจฉริยะ (Smart Geology) ท่ีประยุกต์ใช้
เทคโนโลยี Artificial Intelligence (AI) และ Internet of Things (IoT) โดยศึกษาจากต้นแบบท่ีมีการ
ดาเนนิ การแล้วในต่างประเทศต่อไปให้สาเร็จในอนาคต ตามแนวทางการดาเนินงานในระยะยาว เพื่อนามาใช้
ประโยชน์ในการประมวลผลตรวจสอบ ติดตามและเฝ้าระวังให้กับหน่วยงานของรัฐและประชาชนต่อไป
นอกจากน้ียังได้วางแนวทางที่จะใช้ กรณีศึกษาสารพิษอุทัยธานี หรือ”อุทัยธานีโมเดล”น้ี เป็นต้นแบบด้าน
การบูรณาการซงึ่ ไดม้ ีการจัดทา MOU รว่ มกบั กรมควบคมุ โรคไปแล้ว รวมท้ังใช้เป็นแนวทางขยายขอบเขตการ
ดาเนินการดังกล่าวพัฒนาเป็นระบบธรณีวิทยาอัจฉริยะ (Smart Geology) เพ่ือเป็นการบูรณาการข้อมูล
พื้นฐานธรณีวิทยาด้านต่างๆ มาใช้ประกอบการตัดสินใจในการบริหารจัดการประเทศของหน่วยงานรัฐบาล
และประชาชน ตลอดจนใช้เป็นเครอื่ งมอื ในการพิจารณาวางแนวทางการเฝ้าระวัง หลีกเลี่ยงและลดผลกระทบ
ด้านตา่ งๆ ทเี่ กย่ี วข้องกบั ธรณวี ิทยาให้กบั ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างย่ังยืน โดยเฉพาะผลักดันให้
มีการใช้ในการบริหารจัดการท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาและเติบโตเชิงพื้นที่ของประเทศ อาทิเช่น ระบบ
สาธารณูปโภค ด้านสาธารณสุขอื่นๆ ด้านการบริหารจัดการแร่ ด้านการเกษตร พ้ืนที่เพ่ือการท่องเท่ียวเชิง
อนุรักษ์และอุทยานธรณีโลก ธรณีพิบัติภัย ธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อมและอ่ืนๆ เพ่ือให้การบริหารจัดการและการ
เติบโตประเทศเป็นไปบนพื้นฐานของข้อมูลและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเหมาะสม สมดุลและย่ังยืน โดย
การศึกษาคร้ังน้ี ได้วิเคราะห์เพื่อจัดทาแนวทางพัฒนาระบบธรณีวิทยาอัจฉริยะ (Smart Geology) มาใช้เป็น
เครื่องมือทาให้เกิดการบริหารการเติบโตของประเทศได้อย่างถูกต้อง ทาให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึน
อยา่ งยงั่ ยนื ต่อไป ท้งั นเ้ี พอื่ ตอบโจทยข์ องรฐั ธรรมนญู ยทุ ธศาสตร์ และแผนระดับต่างๆ ดงั กล่าวขา้ งต้น
ค้าส้าคัญ: สารหนูตามธรรมชาติ อุทัยธานี คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ธรณีวิทยาอัจฉริยะ ( Smart

Geology)

รูปที่ 1 แสดงแหล่งน้าเพื่อสาธารณะประโยชน์แห่งใหม่ตาม โครงการอนุรักษ์ฟ้ืนฟูแหล่งน้า บ้านหนองไม้แก่น
ตาบลหนองจอก อาเภอบา้ นไร่ จังหวัดอทุ ยั ธานี พบสายแร่อาร์เซโนไพไรตใ์ นเนือ้ หิน

Oral Session

การประชมุ วชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564 69
(Geothai Webinar 2021) วันที่ 4-6 สงิ หาคม 2564

69

รูปท่ี 2 แสดงข้อเสนอแนวทางการบริหารจัดการพ้ืนท่ีปนเปื้อนสารหนูตามธรรมชาติ อาเภอบ้านไร่ จังหวัด
อุทัยธานี และการพัฒนาระบบธรณีวิทยาอัจฉริยะ (Smart Geology) จากการวิเคราะห์บันไดการ
เปลย่ี นแปลง Blueprint for Change (ดดั แปลงจาก havardasia conculting co. ; Ltd.)

รูปที่ 3 แสดงตัวอย่างตัวอย่างระบบ AI ท่ีถูกออกแบบมาเป็น Application ท่ีชื่อว่า Rockd สามารถแสดง
ข้อมูลธรณีวิทยาในขณะที่ใช้งานในบริเวณประเทศสหรัฐอเมริกาและท่ัวโลก ซ่ึงสามารถนามาเป็นแนวทาง
พฒั นาระบบ Smart Geology ของไทยตอ่ ไปได้

Oral Session

70 ธรณวี ิถใี หม่ นวัตกรรมไทย เพื่อการพฒั นาท่ยี ่ังยนื

บรรพประสาทวทิ ยาของไดโนเสาร์ซอโรพอด จากหมวดหนิ เสาขัว ในประเทศไทย

สริ ิภทั ร กายแกว้ 1*, สรุ เวช สธุ ธี ร1, วราวธุ สุธธี ร2 และ รัฐ สอนสภุ าพ3

1ภาควิชาชีววทิ ยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม อาเภอกันทรวิชยั จงั หวดั มหาสารคาม 44150
2ศนู ยว์ จิ ยั และการศกึ ษาบรรพชวี นิ วิทยา มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม อาเภอกนั ทรวิชยั จังหวัดมหาสารคาม 44150

3คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม อาเภอเมืองมหาสารคาม จงั หวดั มหาสารคาม 44000
*E-mail: [email protected]

บทคัดยอ่

การศึกษากล่องสมองไดโนเสาร์ซอโรพอดจากแหล่งบ้านนาไคร้และภูกุ้มข้าว หมวดหินเสาขัวของ
จังหวัดกาฬสินธ์ุ ในช่วงครีเตเชียสตอนต้น ด้วยเทคนิคคอมพิวเตอร์โทโมกราฟี ( CT scanned) และ
ประมวลผลเปน็ แบบจาลองสมอง 3 มิติ พบวา่ ลักษณะของสมองเหมอื นกับไดโนเสาร์ซอโรพอดท่ัวไป กล่าวคือ
สมองมีรูปร่างเป็นกระเปาะ มีต่อมใต้สมองขนาดใหญ่ แต่จานวนเส้นประสาทและหูช้ันในของกล่องสมอง
แสดงลักษณะทีแ่ ตกตา่ งกนั ภายในกลุ่มของไดโนเสาร์ซอโรพอด และจากความแตกต่างน้ีเป็นไปได้ว่าไดโนเสาร์
แต่ละชนิดมีกลไกทางชีววิทยาท่ีแตกต่างกันไปด้วย ดังน้ันจึงสามารถอนุมานได้ว่า ไดโนเสาร์ซอโรพอดท้ัง
3 ชนดิ ท่ีอยู่ในสภาพแวดล้อมเดยี วกนั มีการใชท้ รพั ยากรแตกต่างกนั เพ่อื ลดการแก่งแย่งก็เป็นได้
คา้ สา้ คัญ: กลอ่ งสมอง, ครีเตเชียส, ไดโนเสารซ์ อโรพอด, แบบจาลองสมอง, หชู ัน้ ใน

Oral Session

การประชุมวชิ าการธรณไี ทย ประจาปี 2564 71
(Geothai Webinar 2021) วนั ที่ 4-6 สิงหาคม 2564

71

ปรากฏการณห์ นิ ถลม่ ในพืน้ ทีภ่ าคใต้ : ธรณวี ทิ ยา สาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางการเฝ้าระวงั

ปรัชญา บารุงสงฆ์*, รฐั จิตตร์ ตั นะ, ประสบสขุ ศรตี ง้ั วงศ์, สถาพร มติ รมาก, ชตุ าภา โชตริ ตั น,์
วภิ าวี เขยี มสนั เทยี ะ, ภรณท์ พิ ย์ กอ่ สนิ วฒั นา, ภานชุ นารถ มติ รศรสี าย, สรุ เชษฐ์ แสงสวา่ ง และ ประภาพรรณ จนั ทมาศ

กรมทรัพยากรธรณี
*E-mail : [email protected]

บทคัดยอ่

หินถลม่ เปน็ ธรณพี บิ ตั ภิ ยั อยา่ งนงึ ทส่ี รา้ งความเสยี หายตอ่ ชวี ติ และทรัพย์สนิ ของประชาชนในพ้นื ที่ต่าง ๆ
จากเหตุการณ์ท่ีผ่านมาเกิดหินถล่มข้ึนในหลายพ้ืนท่ีอย่างต่อเนื่อง สภาพอากาศของโลกท่ีแปรปรวนมากขึ้น
ประกอบกับการรบกวนของมนุษย์ เช่น การขยายตัวเข้าไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เส่ียงภัย การเปลี่ยนแปลงการใช้
ประโยชน์ท่ีดิน ซึ่งปัจจัยเหล่าน้ีเป็นตัวกระตุ้นที่ทาให้เกิดหินถล่มที่มีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดบ่อยครั้ง
ในปี 2563 – 2564 ในพ้ืนที่ 14 จังหวัดภาคใต้ เกิดหินถล่ม จานวน 4 ครั้ง โดยแบ่งเป็น ในเขตจังหวัดสตูล
2 คร้ัง จังหวัดกระบี่ 1 คร้ัง และจังหวัดนครศรีธรรมราช 1 คร้ัง โดยทั้ง 4 ครั้ง เป็นหินปูนถล่ม มีรอยแตก
หลายทิศทางเป็นจานวนมาก และมปี ริมาณน้าฝนเขา้ มาเกย่ี วขอ้ ง

1. หนิ ถลม่ เขาไฟไหม้ หมู่ 10 ตาบลควนโดน อาเภอควนโดน จังหวัดสตูล พิกัดอ้างอิง 617273 เมตร
ตะวนั ออก 754115 เมตร เหนือ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เวลาประมาณ 12.30 น. ชะง่อนผาสูงจากพ้ืนดิน
20 เมตร ได้ถล่มลงมาทับที่ดินของชาวบ้าน สร้างความเสียหายแก่ต้นปาล์ม ต้นยาง บ่อเล้ียงปลา และศาลา
สาหรับพักผ่อน ก่อนเกิดเหตุมีฝนตกหนัก ครอบคลุมพื้นที่ไกลจากหน้าผา 45 เมตร ยาว 75 เมตร หรือ
ประมาณ 2 ไร่ ก้อนหินท่ีแตกและร่วงลงมามีลักษณะเป็นทรงส่ีเหล่ียม ขนาดตั้งแต่ 3 - 15 เมตร ปริมาณ
น้าฝนสะสมตง้ั แตว่ ันท่ี 27 - 31 พฤษภาคม 25623 เท่ากับ 113.3 มิลลเิ มตร (สถานีอุตุนิยมวิทยาจังหวัดสตูล,
2563) การถล่มของหินเป็นการถล่มแบบล้มคว่า (topple) ลักษณะธรณีวิทยา เป็นภูเขาหินปูน กลุ่มหินทุ่งสง
ยุคออร์โดวิเชียน (485 – 444 ล้านปี) วางตัวในแนวทิศเหนือ – ใต้ มีรอยแตกตัดกันหลายทิศทาง สาเหตุการ
เกิดหินถล่ม ภูเขาหินปูนที่เป็นชะง่อนผา มีรอยแตกตัดกันหลายแนว เมื่อผิวของหินได้สัมผัสกับอากาศและ
น้าฝนที่มีฤทธ์ิเป็นกรดอ่อนๆ ทาให้เกิดการละลายสารละลายแคลเซียมคาร์บอเนตออกไป ท้ิงเศษดินไว้ตาม
ระนาบรอยแตก และพัฒนารอยแตกให้กว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นโพรง ประกอบกับก่อนเกิดเหตุมีฝนตกหนัก
เปน็ เวลานาน ทาให้หนิ สญู เสยี เสถียรภาพในการยดึ เหน่ียว ส่งผลใหช้ ะงอ่ นผาหินรว่ งลงมาตามระนาบรอยแตก
ตามแรงโน้มถว่ งของโลก

2. หินถล่มเกาะแม่อุไร (เกาะทะลุ) หาดนพรัตน์ธารา ตาบลอ่าวนาง อาเภอเมือง จังหวัดกระบี่ พิกัด
อ้างอิง 476867 เมตร ตะวนั ออก 879404 เมตร เหนือ วันที่ 15 ตุลาคม 2563 หนิ ทถี่ ล่มออกจากเกาะแม่อไุ ร
ถลม่ แตกออกเปน็ 2 สว่ น มรี ะยะหา่ งระหว่างกอ้ น 5 เมตร ไปทางทิศเหนอื สว่ นที่แสดงให้เห็นเหนอื น้าส่วนที่ 1
สูง 9.7 เมตร ส่วนท่ี 2 สูง 10 เมตร และความสูงของหนิ จากยอดถึงพื้นทะเลเฉล่ีย 25 เมตร การถล่มของหิน
เป็นการถลม่ แบบลม้ ควา่ (topple) เป็นการเคลอื่ นที่โดยมกี ารหมนุ หรอื ลม้ คว่าลงมาตามลาดเขา ลักษณะทาง
ธรณีวิทยา เป็นหินปูนเน้ือโดโลไมต์ (dolomitic limestone) อายุยุคเพอร์เมียน (251-299 ล้านปี) มีสีเทา
เนื้อแน่น เป็นมวลหนา ไม่แสดงชั้นหิน สาเหตุการเกิดหินถล่ม หินปูนเน้ือโดโลไมต์มีรอยแตกรอยร้าวเป็น
จานวนมาก เปราะแตกหักง่าย พบรู โพรง ถ้า นอกจากน้ี พนื้ ทีด่ งั กลา่ วอยู่ในภมู ภิ าคเขตมรสมุ อากาศร้อนช้นื

Oral Session


Click to View FlipBook Version