The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 005 ปนัดดา ปราถนา, 2023-01-16 21:35:27

โลก

โลก

โล ดาราศา ก สตร์และอวกาศ


คำ นำ เอกสารประกอบการเรียนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ วิชาโลกดาราศาตร์และอวกาศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เล่มนี้ ประกอบด้วย สาระสำ คัญ เนื้อหาสำ หรับบทเรียนซึ่งนักเรียน สามารถศึกษาเนื้อหาของบทเรียนได้ด้วยตนเอง ซึ่งการจัดการเรียนการสอนโดยนักเรียนมี ส่วนร่วมในการร่วมในการปฎิบัติกิจกรรม ผู้สอนต้องจัดเตรียมเอกสารตำ ราข้อมูลอละแหล่ง เรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนอย่างเพียงพอจึงจะประสบผลสำ เร็จ จึงหวังว่าเอกสารประกอบการเรียนเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่น์ ต่อนักเรียนทำ ให้นักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ที่สูงขึ้น มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ และเป็นประโยชน์ ต่อผู้ที่สนใจศึกษานำ ไปพัฒนาการจัดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี ผู้จัดทำ นางสาวปนัดดา ปราถนา ก


สารบัญ การศึกษาโครงสร้างโลก 1 โลกและการเปลี่ยนแปลง 2 ปรากฏการณ์ทณ์างธรณีวิทยา 5 ธรณีภาค 7 รูปแบบการเลื่อนตัวของแผ่นธรณีภาค 8 ธรณีประวัติ 9 เรื่อง หน้าน้ ข


การศึกษาโครงสร้างโลก โลก เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำ ดับที่สาม โดยโลกเป็นดาวเคราะห์หินขนาด ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ และเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันได้ว่ามีสิ่งมี ชีวิตอาศัยอยู่ ดาวเคราะห์โลกถือกำ เนิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,570 ล้าน (4.57×109) ปีก่อน และหลังจาก นั้นไม่นานนัก ดวงจันทร์ซึ่งเป็นดาวบริวารเพียงดวงเดียวของโลกก็ถือกำ เนิดตามมา สิ่งมีชีวิตทรง ภูมิปัญญาที่ครองโลกในปัจจุบันนี้คือมนุษย์ ดาราศาสตร์ คือวิชาวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาวัตถุท้องฟ้า (อาทิ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ดาวหาง และ ดาราจักร) รวมทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากนอกชั้นบรรยากาศของโลก โดยศึกษา เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ลักษณะทางกายภาพ ทางเคมี ทางอุตุนิยมวิทยา และการเคลื่อนที่ของวัตถุท้องฟ้า ตลอดจนถึงการกำ เนิดและวิวัฒนาการของเอกภพ อวกาศ คือบริเวณที่อยู่นอกบรรยากาศของโลกออกไปเป็นบริเวณว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีแรงโน้มถ่วง เพราะเรื่องราวในอวกาศเป็นเรื่องที่ไม่ตายตัวจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ 1


โลก และการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างโลก แบ่งตามลักษณะมวลสาร ได้ 3 ขั้น คือ 1. ชั้นเปลือกโลก แบ่งเป็น 2 บริเวณ คือภาคพื้นทวีป ประกอบด้วยซิลิกาและ อะลูมินา, ใต้มหาสมุทรประกอบด้วยซิลิกาและแมกนีเซียม 2. ขั้นเนื้อโลก มีความลึก 2,900 กิโลเมตร แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนบน เป็นหินที่เย็นตัว มีรอย แตก ชั้นเนื้อโลกส่วนบนรวมกับชั้นเปลือกโลก รวมเรียกว่า ชั้นธรณีภาค ชั้นฐานธรณีภาค เป็นชั้นหิน หลอมละลายหรือหินหนืด ที่เรียกว่า แมกมา ขั้นล่างสุด เป็นขั้นของแข็งร้อนที่แน่นและหนืด 3. ชั้นแก่นโลก 3.1 แก่นโลกชั้นนอก (outer core) เป็นชั้นที่อยู่ใต้มีโซสเฟียร์มีความลึกประมาณ 2,900- 5,140กิโลเมตร จากผิวโลว คลื่น P มีความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ในขณะที่คลื่น S ไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่าน ชั้นดังกล่าวได้ 3.2 แก่นโลกชั้นใน (inter core) อยู่ที่ระดับความลึกประมาณ 5,140 กิโลเมตร จนถึง จุดศูนย์กลางของโลก คลื่น P และ S มีอัตราเร็วค่อนข้างคงที่ เนื่องจากแก่นโลกชั้นในเป็นของแข็งที่มีเนื้อ เดียวกัน 2


สนามแม่เหล็กโลก แก่นโลกมีองค์ประกอบหลักเป็นเหล็ก แก่นโลกชั้นใน (Inner core) มีความกดดันสูงจึงมีสถานะ เป็นของแข็ง ส่วนแก่นชั้นนอก (Outer core) มีความกดดันน้อยกว่าจึงมีสถานะเป็นของเหลวหนืด แก่นชั้นในมีอุณหภูมิสูงกว่าแก่นชั้นนอก พลังงานความร้อนจากแก่นชั้นใน จึงถ่ายเทขึ้นสู่แก่นชั้นนอก ด้วยการพาความร้อน (Convection) เหล็กหลอมละลายเคลื่อนที่หมุนวนอย่างช้าๆ ทำ ให้เกิดการ เคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้า และเหนี่ยวนำ ให้เกิดสนามแม่เหล็กโลก (The Earth’s magnetic field) อย่างไรก็ตามแกนแม่เหล็กโลกและแกนหมุนของโลกมิใช่แกนเดียวกัน แกนแม่เหล็กโลกมีขั้วเหนืออยู่ทางด้าน ใต้ และมีแกนใต้อยู่ทางด้านเหนือ แกนแม่เหล็กโลกเอียงทำ มุมกับแกนเหนือ-ใต้ทางภูมิศาสตร์ (แกนหมุนของ โลก) 12 องศา ดังภาพที่ 1 ภาพที่ 1 แกนแม่เหล็ก ภาพที่ 2 สนามเเม่เหล็ก 3


สนามแม่เหล็กโลกก็มิใช่เป็นรูปทรงกลม (ภาพที่ 2) อิทธิพลของลมสุริยะทำ ให้ด้านที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ มีความกว้างน้อยกว่าด้านตรงข้ามดวงอาทิตย์ สนามแม่เหล็กโลกไม่ใช่สิ่งคงที่ แต่มีการเปลี่ยนแปลง ความเข้มและสลับขั้วเหนือ-ใต้ ทุกๆ หนึ่งหมื่นปี ในปัจจุบันสนามแม่เหล็กโลกอยู่ในช่วงที่มีกำ ลังอ่อน สนามแม่เหล็กโลกเป็นสิ่งที่จำ เป็นที่เอื้ออำ นวยในการดำ รงชีวิต หากปราศจากสนามแม่เหล็กโลกแล้ว อนุภาคพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์และอวกาศ จะพุ่งชนพื้นผิวโลก ทำ ให้สิ่งมีชีวิตไม่สามารถดำ รงอยู่ได้ เกร็ดความรู้: ทิศเหนือที่อ่านได้จากเข็มทิศแม่เหล็ก อาจจะไม่ตรงกับทิศเหนือจริงด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ • ขั้วแม่เหล็กโลก และขั้วโลก มิใช่จุดเดียวกัน • ในบางพื้นที่ เส้นแรงแม่เหล็กมีความเบี่ยงเบน (Magnetic deviation) มิได้ขนานกับเส้นลองจิจูด (เส้นแวง) ทางภูมิศาสตร์ แต่โชคดีที่บริเวณประเทศไทยมีค่าความเบี่ยงเบน 0 ดังนั้นจึงถือว่า ทิศ เหนือแม่เหล็กเป็นทิศเหนือจริง 4


ปรากฏการณ์ทณ์างธรณีวิทยา 1. แผ่นดินไหว เกิดจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกตามแนวรอยต่อธรณีภาค และมีถ่ายโอน พลังงานให้กับชั้นหินที่อยู่ติดกัน ในรูปของคลื่นไหวสะเทือน ซึ่งแผ่กระจาย 2 ชนิด คือ -คลื่นในตัวกลาง : เป็นคลื่นแผ่กระจายเป็นวงรอบๆ ศูนย์เกิดแผ่นดินไหว และเดินทางอยู่ใน ตัวกลางที่มี เนื้อชนิดเดียวกันตลอด -คลื่นพื้นผิว : เป็นคลื่นที่เคลื่อนแผ่กระจายจากจุดเหนือศูนย์เกิดแผ่นดินไหว โดยจะเคลื่อน ไปตามพื้นผิวโลก และเคลื่อนผ่านระหว่างตัวกลางที่ต่างชนิดกัน trails alumw (seismograph) เป็น เครื่องมือบันทึกข้อมูลของคลื่นแผ่นดินไหว แนวรอยต่อรอบมหาสมุทรแปซิฟิก เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงและมากที่สุต (80%) เรียกว่า วงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ได้แก่ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในเขตแผ่นดินไหว เพราะ อยู่นอกแนวรอยต่อของแผ่นธรณี สาเหตุส่วน ใหญ่เกิดจากการ เกิดแผ่นดินไหวนอกประเทศ แล้วส่งแรงสั่นมา เช่น จีน พม่า ลาว สุมาตรา 2. ภูเขาไฟ จะพบอยู่เฉพาะที่เท่านั้น โดยตั้งอยู่ตามขอบนอกของพื้นทวีป เป็นแนวยาวไป จนถึงกลางมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี นิวซีแลนด์ ฮาวา ภูเขาไฟระเบิด เกิดได้ 2 รูปแบบดังนี้ - เกิดจาก การประทุของแมกมา แก๊ส และเถ้า จากได้โลก โดยจะมีสัญญาณบอกเหตุล่วง หน้า เช่น มีแผ่นดินไหว และมีเสียงคล้ายฟ้าร้อง เพราะมีการเคลื่อนไหวของแมกมา ซึ่งเมื่อถูกพ่น ออกมา เรียกว่า ลาวา (lava) ส่วนแก๊ส ที่ออกมาทําให้ลาวาตุพุ่งเหมือนน้ําพุร้อน เมื่อเวลาผ่านไปจะ เย็นและแข็งตัวกลายเป็น หินบะซอลต์ ซึ่งเป็นหินมี รูอากาศเป็นช่อง ส่วนลาวาที่มีปริมาณของธาตุ ซิลิคอนมาก เมื่อเย็นตัวจะเป็น หินแอนดีไซด์ ไรโอไลต์ และออบซีเดียน -เกิดจาก การระเบิดเองแมกมา ทีมีแก๊สอยู่ด้วย ซึ่งแยกตัวออกเป็นฟองเหมือนนําเดือดและ ขยายตัวจนระเบิดรุนแรง ส่วนมากเป็นเศษหิน ผลึกแร่ เถ้าภูเขาไฟ โดยเมือเย็นตัวจะเป็นหิน เรียกว่า หินตะกอนภูเขาไฟ **หมายเหตุ : การเย็นตัวอย่างรวดเร็วของแมกมา จะเป็นก้อนแก้วที่มีรูพรุน ซึ่งเต็มไปด้วยฟอง แก๊สที่ยังไม่แตกทําให้เกิดแก้วที่ไม่มีรูปผลึก แต่เมือแตกออกเป็นก้อน จะมีนาหนักเบาและลอยนา ได้เรียกว่า พัมมิช 5


การแยกตัวของเปลือกโลก ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว สึนามิ 6


ธรณีภาค ธรณีภาค หรือ Lithosphere หมายถึง พื้นผิวโลกซึ่งห่อหุ้มด้วยเปลือกแข็ง โลกเป็นดาวเคราะห์ที่มี ความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา (Dynamic Planet) โครงสร้างภายในของโลกมีสถานะทั้งเป็นของแข็ง และของเหลว หินหนืดที่บรรจุอยู่ภายในเคลื่อนหมุนวนด้วยการพาความร้อน ที่ทำ ให้แผ่นเปลือกโลก เคลื่อนตัวดันกัน ก่อให้เกิดภูเขา ที่ราบ และหุบเหว การรีไซเคิลของเปลือกโลกทำ ให้เกิดการหมุนเวียน ของแร่ ธาตุ และวัฏจักรหิน การผุพังของหินเปลือกโลกเนื่องจากแรงโน้มถ่วง การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ และความชื้น และอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมทำ ให้เกิดดิน ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตต่อไป 1. แผ่นธรณีภาคและการเคลื่อนที่ ดร.อัลเฟรด เวกาเนอร์ นักอุตุนิยมวิทยาได้ตั้งสมมติฐานว่า "ผืนแผ่นดินทั้งหมดบนโลกแต่เดิม เป็นแผ่นดินผืนเดียวกันเรียกว่า พันเจีย เมื่อ 200 - 135 ล้านปีที่แล้ว แยกออกเป็น 2 ทวีปใหญ่ คือ ลอเร เซียทางตอนเหนือและกอนด์วานาทางตอนใต้ และเมื่อ 135 - 65 ล้านปีที่แล้ว ลอเรเซียเริ่มแยกเป็น อเมริกาเหนือ และแผ่นยูเรเซีย ส่วนทอนต์ดานาจะแยกเป็นอเมริกาใต้ แอฟริกา ออสเตรเลีย แอนตาร์กติกา และอินเดีย 2. หลักฐานและข้อมูลทางธรณีภาค คือ หลักฐานและข้อมูลที่ทําให้เชื่อว่าทวีปต่างๆ ในปัจจุบัน แต่เดิมเป็นแผ่นดิน เดียวกัน - รอยต่อของแผ่นธรณีภาค เช่น รอยต่อขอบทวีปอเมริกาได้กับทวีปแอฟริกา - รอยแยกและอายุหินบนเทือกเขากลางมหาสมุทร - การคันพบซากดึกดําบรรพ์ การค้นพบซากดึกดําบรรพ์ชนิดเดี่ยวกันและอายุเดี่ยวกันในทวีป ต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลกัน ทําให้เรื่อว่าทวีปต่างๆ ในปัจจุบันแต่เดิม เป็นแผ่นดินผืนเดียวกัน แล้วค่อยๆ แยก ออกจากกัน นักธรณีวิทยา แบ่งธรณีภาคของโลกเป็น 13 แผ่น โดยแยกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ - แผ่นทวีป เช่น แผ่นยูเรเซีย อินเดีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอฟริกา อาระเบีย - แผ่นมหาสมุทร เช่น แผ่นแปซิฟิก แอนตาร์กติก คาริบเบีย คอตอส นาสกา 7


1. ขอบแผ่นธรณีแยกออกจากกัน เกิดจาก การดันตัวของแมกมา ทำ ให้เกิดรอยแตก จนแมกมาถ่ายโอน ความร้อนสู่เปลือกโลกได้ ทําให้อุณหภูมิและความดันลดลง ทําเปลือกโลกทรุดตัวกลายเป็นหุบเขาทรุด ต่อ มามีน้ําไหลมาสะสมเกิดเป็น ทะเล และทําให้เกิดเป็นร่องลึก แมกมาจึงเคลื่อนตัวแทรกดันขึ้นอีก ส่งผลให้ แผ่นธรณีเคลื่อนตัวแยกออกไปทั้งสองข้าง เกิด การขยายตัวของพื้นทะเล และทําให้เกิดเทือกเขากลางสมุทร เช่น บริเวณทะเลแดง แอฟริกาตะวันออก อ่าวแคลิฟอร์เนีย 2. ขอบแผ่นธรณีภาคเคลื่อนเข้าหากัน มี 3 แบบ คือ - แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรชนกับแผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทร ทําให้แผ่นหนึ่งมุดลงได้อีกแผ่น หนึ่ง ปลายของแผ่นที่ มุดลงจะหลอมกลายเป็นแมกมา และประทุขึ้นมา ทําให้เกิดเป็นแนวภูเขาไฟกลาง มหาสมุทร และมีร่องใต้ทะเลลึก - แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรชนกับแผ่นธรณีภาคภาคพื้นทวีป ทําให้แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทร ซึ่งหนักกว่ามุดตัวลง ข้างล่าง เกิดเป็นร่องใต้ทะเลและเกิดเป็นเทือกเขา ตามแนวขอบทวีปเป็นแนวภูเขาไฟ ชายฝั่ง และแผ่นดินไหวรุนแรง - แผ่นธรณีภาคภาคพื้นทวีปชนกับแผ่นธรณีภาคภาคพื้นทวีป ซึ่งทั้งสองแผ่นมีความหนามาก แต่อีกแผ่นหนึ่งเกยขึ้นเกิดเป็นเทือกเขา เป็นแนวยาวอยู่กลางทวีป เช่น เทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาแอลป์ 3. ขอบแผ่นธรณีภาคเคลื่อนที่ผ่านกัน เกิดจากการที่แมกมามีอัตราการเคลื่อนตัวไม่เท่ากัน จึง ทําให้แผ่นธรณีภาค เคลื่อนที่ไม่เท่ากันด้วย ส่งผลให้เปลือกโลกและเทือกเขาใต้มหาสมุทรเลื่อนไถลผ่านและ เฉือนกัน เก็ตเป็นรอยเลื่อน รูปแบบการเคลื่อนตัวของแผ่นธรณีภาค 8


ธรณีประวัติ นักธรณีวิทยาแบ่งช่วงเวลาของโลก นับตั้งแต่อุบัติขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยใช้มาตราธรณีกาล (Geological time scale) ซึ่งพิจารณาจากชนิดของซากสิ่งมีชีวิตดึกดำ บรรพ์ (Fossil) ซึ่งฝังตัวอยู่ใน ชั้นหิน โดยจำ แนกคาบเวลาออกเป็น บรมยุค มหายุค ยุค สมัย และพบว่ามนุษย์เป็นสายพันธุ์ที่ใหม่ มากเมื่อเทียบกับอายุของโลก ซึ่งหากเปรียบเทียบระยะเวลาที่โลกกำ เนิดขึ้นมา 4,600 ล้านปี กับระยะ ทางของถนนรอบประเทศไทยประมาณ 4,600 กิโลเมตร จะพบว่าระยะเวลาที่สายพันธุ์โฮโมเซเปีย นอุบัติขึ้นมา 10,000 ปี เทียบได้เท่ากับระยะทางเพียง 1 มิลลิเมตรสุดท้ายเท่านั้นเอง 1. อายุทางธรณีวิทยา แบ่งเป็น 2 แบบ - อายุเปรียบเทียบ ใช้บอกว่าหินชุดใดมีอายุมากหรือน้อยกว่ากัน โดยอาศัยข้อมูลจากซาก ดึกดําบรรพ์ที่ทราบอายุ ลักษณะลําดับขั้นหินและโครงสร้าง - อายุสัมบูรณ์ เป็นอายุของหินหรือซากดึกดําบรรพ์ที่สามารถบอกจํานวนปีที่แน่นอน ซึ่งคํา นวณจากครึ่งชีวิตของ ธาตุกัมมันตรังสี ได้แก ธาตุ C – 14 K – 40 2. ซากดึกดําบรรพ์ คือ ซากและร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ที่ตายทับถมอยู่ในขั้นหินตะกอน ซึ่งจะบอกถึงประวัติความ เป็น มาของพื้นที่ในอดีตว่าเป็นบนบกหรือในทะเล และสามารถบอกอายุของหินชนิดอื่นที่อยู่ร่วมกัน เรียกว่า ซากดึกดําบรรพ์ นอกจากนี้ยังมีการค้นพบซากดึกดําบรรพ์ที่ไม่กลายเป็นหินด้วย เช่น ซา กช้างแมมมอธในธารน้ําแข็ง ที่ยังคงสภาพเดิม 3. การลําดับชั้นหิน หินตินตานเป็นหินที่มีอายุมากที่สุด > หินปูน > หินกรวดมน > หินทราย 9


อาร์คีโอโซอิค (Archaeozoic) เป็นบรมยุคแรกของโลก โพรเทอโรโซอิค (Proterozoic) เป็นภาษากรีก แปลว่า สิ่งมีชิวิตเพิ่งอุบัติขึ้น ฟาเนอโรโซอิก (Phanerozoic) เป็นภาษากรีก แปลว่า มีสิ่งมีชีวิตปรากฏให้เห็น มาตราทางธรณีกาล มาตราทางธรณีกาล (Geological time scale) นักธรณีวิทยาแบ่งเวลานับตั้งแต่โลกเกิดขึ้นมา จนถึงปัจจุบันออกเป็นคาบเวลาจากใหญ่ไปเล็กได้แก่ บรมยุค (Eon), มหายุค (Era), ยุค (Period), สมัย (Epoch) โดยทั้งหมดมี 3 บรมยุค (Eon) ดังภาพที่ 1 ได้แก่ ภาพที่ 1 บรมยุคทั้งสาม แม้ว่าเซลล์โพรคาริโอตจะเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์แรกของโลก ซึ่งอุบัติขึ้นในบรมยุคอาร์คีโอโซอิค เมื่อประมาณ 4,000 ล้านปีมาแล้ว แต่สายพันธุ์โฮโมเซเปียนส์ของมนุษย์เพิ่งอุบัติขึ้นเมื่อ 10,000 ปีที่ ผ่านมาในบรมยุคฟาเนอโรโซอิค (Phanerozoic) มหายุคเซโนโซอิก (Cenozoic) ยุคควอเทอนารี (Quaternary) สมัยโฮโลซีน (Holocene) ดังที่แสดงในตารางที่1 10


ยุคของสิ่งมีชีวิตดึกดำ บรรพ์ แม้ว่านักธรณีวิทยาจะแบ่งเวลาในอดีตของโลกออกเป็น 3 บรมยุค แต่ในบรมยุคอาร์คีโอโซอิกและโพรเทอ โรโซอิกมีแต่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ ขนาดเล็ก และไม่มีหลักฐานฟอสซิลปรากฏมากนัก เนื่องจากกระบวนการธรณีแปร สัณฐาน (Plate Tectonics) ทำ ให้เกิดวัฏจักรการสร้างและทำ ลายแผ่นเปลือกโลก หินบนโลกส่วนใหญ่จึงมีอายุ ไม่เกิน 500 ล้านปี นักธรณีวิทยาจึงเรียกช่วงเวลาของสองบรมยุคนี้ว่า พรีแคมเบียน (Precambian period) ซึ่งหมายถึง ช่วงเวลาก่อนที่จะถึงยุคแคมเบียน (Cambian) และแบ่งช่วงเวลาของบรมยุคฟาเนอโรโซอิกออก เป็น 3 มหายุค ซึ่งแบ่งย่อยเป็น 11 ยุค โดยพิจารณาจากประเภทของฟอสซิลซึ่งแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดัง ข้อมูลในตารางที่ 1 พรีแคมเบียน (Precambrian) เป็นช่วงเวลานับตั้งแต่โลกถือกำ เนิดขึ้นมาจนถึง 545 ล้านปีก่อน ในบรมยุคอาร์คีโอโซอิกและโพรเทอโรโซ อิกซึ่งปรากฏฟอสซิลให้เห็นน้อยมาก หินตะกอนที่เก่าแก่ที่สุดพบที่กรีนแลนด์มีอายุ 3,800 พันล้านปี ฟอสซิลที่ ดึกดำ บรรพ์ที่สุดคือ แบคทีเรียโบราณอายุ 3.5 พันล้านปี ดังภาพที่ 1 ภาพที่ 1 แบคทีเรียโบราณอายุ 3,500 ล้านปี 11


แคมเบรียน (Cambrian) เป็นยุคแรกของมหายุคพาเลโอโซอิก (Paleozoic) ในช่วง 545 – 490 ล้านปีก่อน เกิดทวีปใหญ่รวม ตัวกันทางขั้วโลกใต้ เป็นยุคของแบคทีเรียและสาหร่ายสีเขียว บนพื้นดินยังว่างเปล่า สัตว์มีกระดองอาศัย อยู่ในทะเล ได้แก่ ไทร์โลไบต์ หอยสองฝา ฟองน้ำ และหอยทาก พืชส่วนใหญ่เป็นสาหร่ายทะเล เป็นต้น ภาพที่ 2 ไทร์โลไบต์ ออร์โดวิเชียน (Ordovician) อยู่ในช่วง 490 – 443 ล้านปีก่อน ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สโตรมาโทไลต์ ลดน้อยลง เกิดประการัง ไบรโอซัว และปลาหมึก สัตว์ทะเลแพร่พันธุ์ขึ้นสู่บริเวณน้ำ ตื้น เกิดสัตว์มีกระดูก สันหลังขึ้นเป็นครั้งแรกคือ ปลาไม่มีขากรรไกร เกิดสปอร์ของพืชบกขึ้นครั้งแรก ภาพที่ 3 ไบโอซัว ซลูเรียน (Silurian) อยู่ในช่วง 443 – 417 ล้านปีก่อน เกิดสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกซึ่งใช้พลังงานเคมีจากภูเขาไฟใต้ทะเล (Hydrothermal) เป็นธาตุอาหาร เกิดปลามีขากรรไกรและสัตว์บกขึ้นเป็นครั้งแรก บนบกมีพืชที่ขยาย พันธุ์ด้วยสปอร์ ภาพที่ 4 ปลามีเกราะในคาบไซลูเรียน 12


ดีโวเนียน (Devonian) อยู่ในช่วง 417 – 354 ล้านปีก่อน อเมริกาเหนือ กรีนแลนด์ สก็อตแลนด์ รวมตัวกับยุโรป เป็นยุคของ ปลาดึกดำ บรรพ์ ปลามีเหงือกแพร่พันธุ์เป็นจำ นวนมาก เกิดปลามีกระดอง ปลาฉลาม หอยฝาเดียว (Ammonite) และแมลงขึ้นเป็นครั้งแรก บนบกเริ่มมีพืชที่ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและมีป่าเกิดขึ้น ภาพที่ 5 แอมโมไนต์ คาร์บอนิเฟอรัส (Carboniferous) อยู่ในช่วง 354 – 295 ล้านปีก่อน เป็นยุคของป่าเฟินขนาดยักษ์ปกคลุมห้วย หนอง คลองบึง ซึ่ง กลายเป็นแหล่งน้ำ มันดิบที่สำ คัญในปัจจุบัน มีการแพร่พันธุ์ของแมลง และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เริ่มมี วิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลาน กำ เนิดไม้ตระกูลสน ภาพที่ 6 ป่าคาร์บอนิเฟอรัส เพอร์เมียน (Permian) เป็นยุคสุดท้ายของมหายุคพาเลโอโซอิก ในช่วง 295 – 248 ล้านปีก่อน เปลือกโลกทวีปรวมตัวกัน เป็นทวีปขนาดใหญ่ชื่อ "พันเจีย" (Pangaea) ในทะเลมีแนวประการังและไบโอซัวร์ บนบกเกิดการแพร่ พันธุ์ของสัตว์เลื้อยคลานที่มีลักษณะคล้ายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในปลายยุคเพอร์เมียนได้เกิดการสูญพันธุ์ ครั้งยิ่งใหญ่ (Mass extinction) สิ่งมีชีวิตทั้งบนบกและในทะเลหายไปร้อยละ 96 ของสปีชีส์ นับเป็นการ ปิดมหายุคพาเลโอโซอิก ภาพที่ 7 สัตว์เลื้อยคลานในคาบเพอร์เมียน 13


ไทรแอสสิก (Triassic) เป็นยุคแรกของมหายุคเมโสโซอิก ในช่วง 248 – 205 ล้านปีก่อน เป็นการเริ่มต้นของสัตว์พวก ใหม่ๆ สัตว์เลื้อยคลานที่มีลักษณะคล้ายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ถูกแทนที่ด้วยสัตว์ที่เป็นต้นตระกูลไดโนเสาร์ ผืนแผ่นดินไม่อุดมสมบูรณ์ต่อการเจริญเติบโตของพืช พืชพรรณส่วนใหญ่จึงเต็มไปด้วยสน ปรง และ เฟิร์น ภาพที่ 8 ไดโนเสาร์ยุคแรก จูแรสสิก (Jurassic) เป็นยุคกลางของมหายุคเมโสโซอิก ในช่วง 205 – 144 ล้านปีก่อน เป็นยุคที่ไดโนเสาร์ครองโลก ไดโนเสาร์บินได้เริ่มพัฒนาเป็นสัตว์ปีกจำ พวกนก ไม้ในป่ายังเป็นพืชไร้ดอก หอยแอมโมไนต์พัฒนาแพร่ หลายและวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์จำ พวกปลาหมึก ภาพที่ 9 ไดโนเสาร์ครองโลก เครเทเชียส (Cretaceous) เป็นยุคสุดท้ายของมหายุคเมโสโซอิก ในช่วง 144 – 65 ล้านปีก่อน สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นใหม่ ได้แก่ งู นก และพืชมีดอก ไดโนเสาร์วิวัฒนาการให้มีนอ ครีบหลัง และผิวหนังหนาสำ หรับป้องกันตัว ในปลาย คาบครีเทเชียสได้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปหมดสิ้น สิ่งมีชีวิตอื่นสูญพันธุ์ไป ประมาณร้อยละ 70 ของสปีชีส์ สันนิษฐานว่า ดาวหางพุ่งชนโลกที่คาบสมุทรยูคาทานในอ่าวเม็กซิโก เหตุการณ์นี้เรียกว่า "K-T Boundary" ซึ่งหมายถึงรอยต่อระหว่างยุคเครเทเชียสและยุคเทอเชียรี ภาพที่ 10 การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ 14


พาลีโอจีน (Paleogene) เป็นสมัยแรกของยุคเซโนโซอิก อยู่ในช่วง 65 – 24 ล้านปีก่อน สัตว์ เลี้ยงลูกด้วยนมแพร่พันธุ์แทนที่ไดโนเสาร์ มีทั้งพวกกินพืชและกินเนื้อ บนบกเต็มไปด้วยป่าและทุ่ง หญ้า ในทะเลมีปลาวาฬ นีโอจีน (Neogene) อยู่ในช่วง 24 – 1.8 ล้านปีก่อน เป็นช่วงเวลาของสัตว์รุ่นใหม่ซึ่งเป็น บรรพบุรุษของสัตว์ในปัจจุบัน รวมทั้งลิงยืนสองขาซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ (Homo erectus) ไพลส์โตซีน (Pleistocene) อยู่ในช่วง 1.8 ล้านปี – 1 หมื่นปี เกิดยุคน้ำ แข็ง ร้อยละ 30 ของซีก โลกเหนือปกคลุมด้วยน้ำ แข็ง ทำ ให้ไซบีเรียและอลาสกาเชื่อมต่อกัน มีเสือเขี้ยวโค้ง ช้างแมมมอท และหมีถ้ำ บรรพบุรุษของมนุษย์ได้อุบัติขึ้นในสายพันธุ์โฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens) เมื่อ ประมาณสองแสนปีที่แล้ว โฮโลซีน (Holocene) นับตั้งแต่สิ้นสุดยุคน้ำ แข็งเมื่อ 1 หมื่นปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน เป็นสมัยที่ มนุษย์รู้จัการทำ เกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ และอุตสาหกรรม ป่าในยุโรปถูกทำ ลายหมดสิ้น ป่าฝนเขต ร้อนกำ ลังจะหมดไป เทอเชียรี (Tertiary) เป็นยุคแรกของมหายุคเซโนโซอิก อยู่ในช่วง 65 - 1.8 ล้านปีก่อน แผ่นธรณีอเมริกาเคลื่อนเข้าหากัน แผ่นธรณีอินเดียเคลื่อนที่เข้าหาแผ่นธรณีเอเซียทำ ให้เกิดเทือกเขาหิมาลัยและที่ราบสูงทิเบต ยุคเทอเชียรี แบ่งออกเป็น 2 สมัยคือ พาลีโอจีนและนีโอจีน ภาพที่ 11 สัตว์เลี่ยงลูกด้วยนมยุคแรก ควอเทอนารี (Quaternary) เป็นยุคสุดท้ายของยุคโซโนโซอิก อยู่ในช่วง 1.8 ล้านปีก่อน จนถึงปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 สมัยคือ ไพลส์โตซีนและโฮโลซีน ภาพที่ 12 วิวัฒนาการของโฮโมเซเปียนส์ 15


อ้างอิง สืบค้น 10 มกราคม 2566.จากhttp://www.lesa.biz. สืบค้น 10 มกราคม 2566.จากhttps://sites.google.com › krabwnkar ค


Click to View FlipBook Version