มรรค ๘
คราวทแี ลว้ ไดแ้ สดงธรรมแนวปฏิบตั โิ พชฌงค์ ๗ สาํ หรบั วนั นจี ะแสดงธรรมตอ่ ไป
เรอื งมรรค ๘ ในการทีจะปฏบิ ตั ิธรรมขนั มรรค ๘ นนั ใหเ้ ขา้ ใจว่าธรรมทีจะปฏบิ ตั ินีเป็น
ธรรมทีสงู ยิงขนึ ละเอยี ดยงิ ขนึ ละเอยี ดมาก ฉะนนั เราจะตอ้ งฝึกสตใิ หแ้ ข็งตงั แตโ่ พชฌงค์
เมอื จะขนึ มรรค ๘ พอลงอเุ บกขาสมั โพชฌงค์ ตวั ทโี ยกซา้ ยขวากจ็ ะหยดุ นิง อย่างทแี สดง
ธรรมไวแ้ ลว้ นนั แหละ
เมอื จะขนึ มรรค ๘ เราก็กระตกุ กายขนึ นดิ หนงึ เพอื ใหส้ ตติ ืนตวั พอกระตกุ ขนึ แลว้ ก็
โยกกายไปทางซา้ ยขวาแลว้ บรกิ รรมภาวนา…
๑. สัมมาทฏิ ฐิ คือ ความเห็นชอบในอรยิ สจั ๔
๒. สัมมาสงั กปั โป คือ การดาํ รชิ อบ (ทจี ะออกจากกาม)
๓. สมั มาวาจา คือ การเจรจาชอบ
๔. สมั มากมั มันโต คอื การทาํ งานชอบ
๕. สัมมาอาชโี ว คือ เลยี งชีพชอบ
๖. สมั มาวายาโม คือ เพยี รชอบ หรอื เพียร ๔
๗. สัมมาสติ คอื การมีสตชิ อบ หรอื สตปิ ัฏฐาน ๔
๘. สมั มาสมาธิ คือ การมใี จตงั มนั ชอบ หรอื มีฌาน ๔
บรกิ รรม อยา่ งนีชา้ ๆ เมอื บรกิ รรมอยเู่ ราก็จะตอ้ งทาํ ความเขา้ ใจในความหมายของ
องคธ์ รรมแตล่ ะองคไ์ ปดว้ ย ในระยะแรกหรอื เมือขนึ มรรค ๘ รอบสองรอบแรก เราจะ
ภาวนาเฉพาะหวั ขอ้ ขององคม์ รรคไปกอ่ นกไ็ ด้ โดยยงั ไม่ตอ้ งทาํ ความเหน็ ในความหมาย
ขององคธ์ รรม ต่อไปจงึ คอ่ ยทาํ ความเขา้ ใจความหมายขององคธ์ รรม แต่ละองคใ์ หช้ ดั เจน
ถา้ จาํ ไมไ่ ดก้ ต็ อ้ งทอ่ งใหเ้ ขา้ ใจกอ่ น ความหมายของธรรมแตล่ ะองคม์ ีดงั นี
สมั มาทฏิ ฐิ คอื มคี วามเหน็ ชอบ โดยเหน็ อรยิ สจั ๔ ไดแ้ ก่ ทกุ ข์ คอื ความไม่
1
สบายกายไม่สบายใจ ทีเกดิ กบั เรา ขณะทนี งั กรรมฐานอยู่ เราตอ้ งรูแ้ ลว้ ละ มนั เสยี ถา้
ละ แลว้ ไม่ดบั กบ็ งั สกุ ลุ ไมว่ ่าเจ็บทกี ายหรอื ทีใจของเรานกึ คดิ ตา่ งๆ กต็ อ้ งละใหห้ มด
เหน็ สมทุ ยั คอื เหตทุ ที าํ ใหเ้ กดิ ทกุ ข์ ไดแ้ ก่ ตณั หา อนั มีกามตณั หา ไดแ้ ก่ความ
พอใจในรูป เสยี ง กลิน รส สมั ผสั ภวตณั หา ไดแ้ กค่ วามอยากเป็นนนั เป็นนี และ
วภิ วตณั หา ไดแ้ ก่ ความอยากไม่เป็นนนั เป็นนี เหลา่ นีลว้ นนาํ มาซงึ ความทกุ ข์ เราตอ้ งละ
มนั เสยี อย่าใหม้ คี วามอยาก
นิโรธ คือ ความดบั ทกุ ขเ์ ราตอ้ งทาํ ใหแ้ จง้ สว่ น
มรรค มีองค์ ๘ เราตอ้ งเจรญิ และเรากก็ าํ ลงั เจรญิ อยู่
สมั มาสงั กัปโป คอื ดาํ รชิ อบ อยา่ งไรทีเรยี กวา่ ดาํ รชิ อบ คอื ดาํ รอิ อกจากกาม กาม
มี ๒ อยา่ ง อยา่ งหนงึ คอื วตั ถกุ าม อย่างทสี องคือกิเลสกาม คือทีเรานงั ทาํ วิปัสสนาเพอื ละ
โดย ละราคะ ละโทสะ ซงึ เป็นกิเลสตวั สาํ คญั ทเี กิดขนึ กบั จิตมีลกู หลานเยอะแยะ ตวั
ราคะกค็ อื ตวั ทีเราชอบ สงิ ใดทีเรารกั เราชอบเราพอใจสงิ นนั จดั เป็นพวกราคะทงั สิน สิงใด
ทีเราไม่ชอบ เราเกลียดไม่อยากจะดู ไม่อยากจะพดู ไม่อยากจะจบั ตอ้ ง สิงนนั จดั เป็น
พวกฝ่ายโทสะ ถา้ เราไม่รูท้ งั สองอยา่ งนีว่าอนั ไหนฝ่ายราคะอนั ไหนฝ่ายโทสะ เรากม็ ีโมหะ
หรอื ผหู้ ลง และกอ็ ย่าไดอ้ อกนอกลนู่ อกทางทสี อนไว้ ถา้ ใครปฏบิ ตั อิ อกนอกลนู่ อกทางที
แสดงธรรมไวน้ ี กจ็ ดั วา่ เป็นโมหะอกี เหมือนกนั
ตวั สมั มาทฏิ ฐิและสมั มาสงั กปั โปนีเป็นตวั ปัญญา ขนึ มรรคแลว้ ใชป้ ัญญาอยหู่ นา้
เมอื ขนึ โพชฌงคม์ สี ตขิ นึ หนา้ เพราะเราตอ้ งทาํ สติใหแ้ ขง็ จนมีสตริ ูก้ อ่ นกาลรูก้ อ่ นเกดิ เมือ
ขนึ มามรรค ๘ แลว้ หมายความว่าสตแิ กก่ ลา้ ดแี ลว้ เรากใ็ ชป้ ัญญาขนึ หนา้ ท่านเรยี งไว้
อย่างนนั ในหลกั พระปรยิ ตั ิธรรมนบั วา่ ถกู ตอ้ งแลว้ เพราะใชป้ ัญญาเป็นใหญจ่ ากการทาํ
ความเหน็ ชอบ
2
สมั มาวาจา คอื เจรจาชอบหรอื พดู ชอบ ไดแ้ ก่ ไม่พดู เท็จ ไมพ่ ดู คาํ หยาบ ไมพ่ ดู
สอ่ เสียด ไม่พดู เพอ้ เจอ้ เราพจิ ารณาไปตามลาํ ดบั อยา่ งนเี ลย เมอื เราพิจารณาไปอย่างนี
ถา้ วนั นีเราทาํ ผดิ เชน่ พดู คาํ หยาบ พดู เพอ้ เจอ้ มนั จะขนึ มาทจี ติ ทนั ที รูท้ นั ที ออ้ …วนั นเี รา
พดู มากไปหรอื วนั นีเราเกือบโกหกไป หรอื โกหกเลยกม็ ี เรารูท้ ีมรรคนี เมอื รูแ้ ลว้ กจ็ ะเกิด
ความรอ้ นใจรอ้ นกายขนึ มา แตถ่ า้ เรากลา่ วไปโดยไม่เจตนา เราพลงั เผลอสติไป เราก็
จดั แจงวิรตั เิ สียหรอื งดเวน้ เสีย ตอ่ ไปก็ตอ้ งระมดั ระวงั อยา่ ใหพ้ ลงั เผลออกี และถา้ เป็น
สามเณรเมอื รูว้ ่าศลี ขอ้ นีขาดกร็ บี ต่อทนั ทไี ม่ใช่วา่ รอไวจ้ นวนั พรุง่ นี
สัมมากัมมนั โต คอื การทาํ งานชอบ เรากไ็ ลด่ ทู าํ ความเห็นไปในตวั การงานชอบ
คือไม่ฆา่ สตั ว์ ไม่ลกั ทรพั ย์ ไม่ประพฤตผิ ดิ ในกาม ไม่ดมื สรุ าเมรยั นีเป็นการงานชอบ เรา
ไลไ่ ปอย่างนี ถา้ เราทาํ อะไรผดิ พลาดใน ๓-๔ ขอ้ นีมนั ก็จะขนึ มาทนั ที บางทขี นึ ทงั รูปทงั
นิมิตและขนึ ทงั ความรูข้ ึนมา บางทขี นึ ทงั ตวั รูแ้ ละขนึ ทงั นิมติ ขนึ มาทกุ ๆ อยา่ งเลยทเี ดยี ว
สมั มาอาชโี ว คือการเลียงชพี ชอบ คอื เราไม่คา้ ของเถอื น ไม่ขายสรุ าเมรยั ไม่ขาย
ยาพิษ ไม่ขายศาตราวธุ ไมข่ ายสตั วเ์ ป็นใหเ้ ขาเอาไปฆา่ หรอื คา้ ทาสคา้ มนษุ ย์ ถา้ เป็นพระ
กต็ อ้ งงดเวน้ ดริ จั ฉานวชิ า ตอ้ งเลียงชีพโดยบณิ ฑบาตนีอย่ใู นสมั มาอาชีโว
ธรรมทงั สามขอ้ คือสมั มาวาจา สมั มากมั มนั โต สมั มาอาชีโว เป็นศลี จดั เรยี งอยใู่ น
ลาํ ดบั กลางมปี ัญญาอยตู่ น้
สมั มาวายาโม คือเพียรชอบ ไดแ้ กเ่ พยี ร ๔ หรอื สมั มปั ปธาน ๔ นนั เอง คอื
สงั วรปธาน เพียรระวงั ไม่ใหบ้ าปอกศุ ลเกิดขนึ ในสนั ดานในจิตของเรา ถา้ มนั เกดิ ขนึ ก็ใช้
เพยี รขอ้ ที ๒ ปหานปธาน คอื ประหารมนั เสยี หรอื ละมัน ตวั ละนนั แหละเป็นตวั ประหาร
ขอ้ ที ๓ ภาวนาปธาน คอื เพยี รภาวนาเพอื ใหบ้ ญุ กศุ ลหรอื สิงดีงาม ทยี งั ไม่มใี นจิตให้
เกิดขนึ ในจติ ของเรา กท็ ีเรานงั บรกิ รรมภาวนาอย่นู ีแหละเป็นตวั ภาวนาปธาน ขอ้ ที ๔
3
อนุรักขนาปธาน คือเพยี รรกั ษาจิต เรากร็ ูว้ า่ เรารกั ษาจิตของเราดหี รอื ไม่ อนรุ กั ขนา
ปธาน คือการรูร้ กั ษาจติ รกั ษาจิตของตนไมใ่ หเ้ ศรา้ หมองหรือไม่ใหเ้ ป็นอกศุ ล การรกั ษา
จิตเป็นสงิ สาํ คญั ถา้ เราทกุ ๆ คนผปู้ ฏิบตั ธิ รรมรูจ้ กั รกั ษาจิตแลว้ กิเลสมนั จะย่งุ กบั เราไมไ่ ด้
มากหรือบางที อาจไมม่ ีเลย ในวนั หนงึ ๆ มีแตค่ วามสงบเพราะเราทาํ อนรุ กั ขนาปธานคือ
การรกั ษาจิตใหเ้ ป็น บางคนทีงนุ่ ง่านเดอื ดดาลรุม่ รอ้ นไมร่ ูจ้ กั รกั ษาจิต ปลอ่ ยใหจ้ ติ
ท่องเทยี วไปในทีตา่ งๆ ๑๘ ตาํ บล ๑๘ ตาํ บลคอื อะไรบา้ ง กค็ อื ตณั หา ๓ คณู ดว้ ยประตู
ทงั ๖ ไดแ้ ก่ ตา หู จมกู ลิน กาย ใจ ๓ คณู ๖ ก็เทา่ กบั ๑๘ นนั แหละ
๑๘ ตาํ บล เป็นสถานทจี ติ มนั ทอ่ งเทยี วไปแลว้ ก็ไปพาเอาบาปอกศุ ลมาสจู่ ิต ดงั นนั
ตวั สมั มาวายาโม หรอื ความเพยี รชอบ จะเป็นตวั คอยรกั ษาจติ ไมใ่ หท้ อ่ งเทยี วไปในแดน
ต่างๆ ทีเป็นอนั ตรายตอ่ จติ
สมั มาสติ ขอ้ ที ๗ คือสติปัฏฐาน ๔ นนั เองมี กาย เวทนา จติ ธรรม ใหร้ ะลกึ ถึง
สตปิ ัฏฐาน ๔ ทีเรากาํ ลงั นงั ทาํ อย่นู งั ปฏบิ ตั ิอยนู่ นั เราตอ้ งมสี ติ เราตอ้ งรูว้ ่าอะไรสมั ผสั
กาย เชน่ รอ้ นหนาว เยน็ แขง็ อ่อน หรอื มนั คนั มนั เมอื ย มนั ปวด ทีเรา ละ มนั นนั แหละ
เรยี กว่ากายหรอื กายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน กายนีมีเพยี งธาตุ ๔ คอื ดิน นาํ ลม ไฟ
ประกอบกนั ขนึ มาเป็นกายนี องคท์ ี ๑ มคี วามตรกึ ตรองเพยี งเทา่ นนั สว่ น เวทนานุปัสส
นาสตปิ ัฏฐาน ไดแ้ ก่ ความรูส้ กึ ต่างๆ เชน่ สขุ ทกุ ข์ ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ ทเี กิดขนึ กบั กายกบั จติ
กต็ าม เรารูเ้ ราเห็นก็ทาํ การละทนั ที เพราะตวั ละเป็นตวั วิปัสสนา จิตตานุปัสสนาสตปิ ัฏ
ฐาน ไดแ้ ก่ ความรูใ้ นอารมณข์ องจติ โดยรูว้ ่าจติ เราเศรา้ หมองหรอื ผอ่ งแผว้ สงบหรอื
ฟ้งุ ซา่ น นีคนฉลาดตอ้ งรูต้ รงนี เพราะอยเู่ ฉยๆ จติ มนั ขนึ กรุน่ ๆ ยงั ไมม่ เี รอื งอะไร เราตอ้ งรู้
แลว้ จติ นนั เศรา้ หมอง เมอื จิตเศรา้ หมองเรากท็ าํ การ ละ ทนั ที หรอื บงั สกุ ลุ ใหม้ นั ดบั เสยี
จากความเศรา้ หมอง เพราะเมือจติ เศรา้ หมองแลว้ เดยี วกห็ าเรอื งหาราวมาใหเ้ รายงุ่
แหละ เมอื จิตผอ่ งแผว้ ดีแลว้ เรากร็ กั ษาจิตทีผอ่ งแผว้ ไวด้ ว้ ยอนรุ กั ขนาปธานนนั เอง ให้
4
รูจ้ กั อยา่ งนีสว่ น ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไดแ้ ก่การรูใ้ นสิงทีจติ คิด อนั ไดแ้ ก่ นวิ รณ์
๕ เป็นตน้ หากเรานงั ภาวนาอย่แู ลว้ มคี วามรูส้ กึ ยนิ ดีในรูป เสยี ง กลนิ รส สมั ผสั นนั แสดง
ว่าเรามี กามฉันทะ หรอื รูส้ กึ ขดั เคอื งโกรธ ใครคนใดคนหนึง แสดงวา่ เรามี พยาบาท
หรอื จิตมคี วามหดหู่ ซมึ เซา งว่ งนอน แสดงวา่ มี ถนี มิทธะ หรอื จิตฟงุ้ ซา่ นไปถึงเรอื งอดตี
เรอื งอนาคต แสดงวา่ มี อุทธัจจกกุ กุจจะ หรอื มีความลงั เลสงสยั ในการปฏบิ ตั ติ ลอดจน
ในคาํ สอนแสดงวา่ มี วิจิกิจฉา เมอื รูว้ ่าจติ มอี าการเหลา่ นีกใ็ ห้ ละ เสยี
สมั มาสมาธิ คอื ความมีใจตงั มนั ชอบ ในทีนีหมายถงึ ฌาน ๔ นนั เอง เราตอ้ ง
สาํ รวจฌานของเรา ทีเราเขา้ ฌานมากอ่ นทีจะเจรญิ มรรค ๘ นนั ฌานของเรา เวลานี
สมบรู ณอ์ ย่หู รอื ไม่ตอ้ งสาํ รวจใหร้ ู้ ถา้ มีฌาน ๔ กม็ อี าการปลายเทา้ ปลายมือชาหรอื รมิ
ฝีปากชา หากมอี าการอยา่ งนีแลว้ ก็หมายความวา่ เรามีฌาน ๔ อยคู่ รบ ถา้ ทปี ลายมือ
ปลายเทา้ หรอื รมิ ฝีปากไมช่ า เราก็ตอ้ งปรบั ปรุงสมาธิ คือ โยกกายใหอ้ อ่ น หายใจใหอ้ อ่ น
ปรบั ฌานเสียใหถ้ กู ตอ้ ง คือทาํ ฌานใหม้ ีฌาน ๔ ใหไ้ ด้ เพราะในมรรคตวั ที ๘ นีทา่ น
บญั ญตั ิไวว้ ่าใหม้ ีรูปฌาน ๔ อย่อู ยา่ งสมบรู ณ์ เมอื ฌาน ๔ สมบรู ณ์ เวลาเราโยกกาย
ไปๆๆ มนั จะหยดุ เอง ไมใ่ ช่เราหยดุ มนั ธรรมะมนั หยดุ เอง กายของเราทีโยกไปมานนั หยดุ
คอ่ ยๆ โยกเบาลงๆ แลว้ หยดุ กึก จากนนั กจ็ ะจา้ คลา้ ยๆ เหมอื นธรรมโพชฌงค์ แตธ่ รรม
ตอนนีมนั สมั ปยตุ มาตงั แตต่ น้ จนถงึ สมั ปยตุ ดว้ ยมรรค ๘ แลว้ ความสขุ ความสบายของ
เราก็เบาเหมอื นลอยอยใู่ นอากาศ แลว้ รูส้ กึ เหมือนกบั ไม่มฌี าน ตวั มนั เบา มนั คลอ่ ง
สบายมากกวา่ อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ ถา้ ธรรมถกู ตอ้ งแลว้ จะตอ้ งรูช้ ดั อเุ บกขาฌาน
อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ และสมั มาสมาธิมรรค ๓ แบบนีมลี กั ษณะตา่ งๆ กนั ความสบายผดิ
กนั ธรรมยิงสงู ยิงสบายมาก ถา้ ใครถึงแลว้ ก็รูเ้ องชดั วา่ ออ้ …นีคือมรรค ๘ ทีสมั ปยตุ
มาแลว้ ดว้ ยอทิ ธิบาท ๔, พละ๕, อินทรยี ์ ๕, โพชฌงค์ ๗, มรรค ๘
เมอื เจรญิ มรรค ๘ ก่อนทีมรรคจะสมบรู ณเ์ ราจะพบนมิ ติ หลายอยา่ งทอี าจารยพ์ บ
5
สาํ หรบั ตวั อาจารยเ์ อง ดว้ ยสมาธินิมิต เห็นจาน ๘ ใบตงั อย่บู นโตะ๊ แลว้ รูด้ ว้ ยว่าทเี หน็
จานขาวๆ นนั จานกระเบอื งตงั อยู่ ๘ ใบ จานขนาดเดยี วกนั ทงั หมด เรากร็ ูว้ ่านีคอื มรรค
๘ และถา้ เราดภู ายในจาน มอี าหารเตม็ เปียมทกุ จานทงั ๘ ใบ นีแสดงว่ามรรคของเรา
เตม็ สมบรู ณแ์ ลว้ มรรคทงั ๘ สมบรู ณ์ คือถา้ ยอ่ ลงมา ศลี สมาธิ ปัญญา มีกาํ ลงั เท่าเทยี ม
กนั แลว้ แต่มนี ิมติ ขยายใหเ้ หน็ ทงั ๘ เราก็รูไ้ ดท้ นั ที เมอื สมบรู ณอ์ ยา่ งนีแลว้ ก็สามารถทีจะ
สมั ปยตุ ลงถึงพระนิพพานได้ เชน่ เดยี วกนั ทโี พชฌงค์ ๗ ก็ถงึ พระนพิ พานได้ ทีมรรค ๘ ก็
ถงึ พระนิพพานได้ ฉะนนั เราพงึ ทาํ ความเหน็ ในมรรค ๘ ใหด้ ี
แลว้ ในมรรค ๘ นีถา้ ใครลลุ ว่ งหมดกิเลสตดั สงั โยชน์ ๑๐ ได้ ธรรมปฏิจจสมปุ บาท
จะเกิดขนึ คอื มีลกั ษณะเหมอื นกบั โซเ่ สน้ โตๆ มีห่วง ๑๐ กว่าห่วง โซท่ ีเกียวโยงกนั แลว้
หมนุ อยตู่ รงหนา้ เราเหน็ เป็นวงกลม ถา้ เราตดั โซน่ นั ขาดไดเ้ ราก็หมดกิเลสแนใ่ นชาตินี ที
อาจารยพ์ บเป็นความจรงิ เช่นนี โซเ่ หลก็ นนั ขาวไม่มีสนมิ คอื ธรรมปฏิจจสมปุ บาทเป็น
ธรรมขนั สงู ตงั แต่ อวชิ ชา นนั แหละตวั ไมร่ ู้ ทาํ ใหม้ ี สังขาร มีสงั ขารกม็ ี จุตวิ ญิ ญาณ มี
วิญญาณกม็ ี นาม-รูป มีนาม-รูปก็มี สฬายตนะ มสี ฬายตนะกม็ ี ผัสสะ มีผสั สะก็มี
เวทนา มีเวทนาก็มี ตัณหา มตี ณั หาก็มี อุปาทาน มอี ปุ าทานกม็ ี ภพ มภี พก็มี ชาติ แลว้
ก็มี ชรา พยาธิ มรณะ ตามมา… เวลาทาํ ธรรมปฏจิ จสมปุ บาทไลไ่ ปไลม่ าได้ สาํ คญั ที
ตดั หว่ งโซท่ ีรอ้ ยรดั สตั วโ์ ลกใหเ้ วียนว่ายตายเกดิ นี ตดั ตรงไหน ตอ้ งตดั ทีตณั หา ไมท่ าํ
กรรมดีกรรมชวั ทาํ แตม่ หากศุ ลนเี ท่านนั คอื ปฏิบตั ินีเท่านนั เชน่ บางคนทาํ กรรมชวั กต็ อ้ ง
เวียนว่ายตายเกิดอีก ทาํ กศุ ลมากทาํ บญุ ทาํ ทานรกั ษาศลี มาก ก็ไปเกดิ ในสวรรคอ์ ีกเป็น
อยา่ งนี ถา้ เราตดั เสียซงึ กรรมคอื ไมก่ ระทาํ สวรรคเ์ รากไ็ มป่ รารถนา นรกเราก็ไม่ตอ้ งการ
เรากไ็ ม่เอาทงั นนั เราตดั หมดเรยี กว่าตดั กรรมได้ นีเป็นหลกั ทีสาํ คญั และตวั ทตี ดั คอื ตวั
ละ นนั เอง เพราะฉะนันในการปฏบิ ตั ธิ รรมหวั ใจสาํ คญั ก็คือรู้แลว้ ละ ละทงั ดี ละทงั
ชวั ละทงั ชอบ ละทงั ชงั ตณั หาก็จะไมเ่ กดิ ขนึ การปรุงแต่งกจ็ ะไมเ่ กิดขนึ
6
นมิ ิต ๒ อยา่ งนีทเี คยพบมา ยงั มีอนื ๆ อกี แต่วา่ ยกตวั อย่างเพยี ง ๒ ตวั อย่างนีกเ็ หน็
วา่ พอจะเป็นทีเหมาะสมแกเ่ วลา
ฉะนนั ทกุ ๆ คน ทีประพฤตปิ ฏิบตั ิธรรมเพอื ใหไ้ ดฌ้ าน ใหเ้ กดิ ปัญญาเป็นเครอื งดบั
ทกุ ข์ แต่ทีเรายงั ไมไ่ ดอ้ ะไร เราจะตอ้ งฝึกฝนตวั ของเราเองขนึ มา ไมใ่ ชใ่ หใ้ ครมาช่วยเรา
ไม่ใชใ่ หค้ รูอาจารยม์ าชว่ ยใหเ้ ราพน้ ทกุ ขไ์ ด้ ตอ้ งเพียรเอาเอง แมพ้ ระพทุ ธเจา้ เองกต็ รสั วา่
พระองคช์ ีทางใหเ้ ทา่ นนั สว่ นเราทีจะปฏิบตั ไิ ด้ รูธ้ รรมได้ กอ็ ยทู่ ีการประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ อง
เรา หากเรามคี วามเพียรพยายาม มีความอดทน มีความเพยี รใหม้ าก มนั กจ็ ะกา้ วหนา้ ไป
บนเสน้ ทางของอรยิ มรรค
ถา้ เราเพยี ร นอ้ ยมวั แตเ่ กียจครา้ นมวั แต่จะกินจะนอนมนั กไ็ มไ่ ด้ เพราะปัญญาของ
เราทกุ คนทีเกิดเป็นคนนีเทา่ เทยี มกนั ทงั นนั ดงั ทีเคยแสดงไวแ้ ลว้ แตท่ ีเรามาโงฉ่ ลาดกนั
ในปัจจบุ นั กเ็ พราะความหยาบชา้ ของกิเลสทอี ยใู่ นจิตของเรา ใครมากใครนอ้ ยกว่ากนั จิต
ยงิ สว่างดคี ือมปี ัญญา หากจติ ถกู ห่อหมุ้ จนดาํ เป็นกน้ หมอ้ แลว้ อยา่ งนีมนั โง่ ถา้ มกี ิเลส
ห่อหมุ้ นอ้ ยมนั ก็มีปัญญา เรยี กวา่ มปี ัญญาตนื ขนึ มา ถา้ หอ่ หมุ้ บางมากกม็ ีปัญญารวดเรว็
ซงึ จะชว่ ยให้ ละ กิเลสออกไดไ้ มย่ าก สาํ หรบั บางคนทีเกิดมาในชาตนิ ีทาํ กรรมชวั มาตงั แต่
เกิด พอรูเ้ ดียงสากร็ ูจ้ กั ฆ่าสตั วร์ งั แกสตั วไ์ มม่ ีอะไรกจ็ บั แมลงปอหรอื ผเี สือเอา หญา้ เจา้ ชู้
เสยี บกน้ เลน่ อยา่ งนี เหน็ ตวั อะไรไมไ่ ด้ เอาไมต้ ใี หต้ ายใหห้ มด อย่างนีทาํ บาปตงั แตเ่ ล็ก
การสะสมบาปมาตงั แตเ่ ลก็ จนโตขนึ มาจติ ใจกไ็ ปในทางทีตาํ เหน็ การประหารผอู้ นื เป็น
ของสนกุ ไมไ่ ดน้ ึกไมไ่ ดร้ ูว้ ่าเป็นบาป อย่างนีจติ ของเรากห็ ยาบจะใหเ้ กิดปัญญารวดเรว็
นนั เป็นไปไดย้ าก ตอ้ งใชค้ วามเพียรขดั เกลาจติ มากกว่าคนทีมีจติ สะอาดเป็นพนื ฐานอยู่
แลว้ ถงึ ว่าบญุ กศุ ลของคนเราไม่เทา่ กนั การปฏบิ ตั ิธรรมเพอื ใหบ้ รรลมุ รรคผลจงึ เป็นเรอื ง
ของบญุ ของกศุ ล เป็นเรอื งของจิต ตา่ งกบั การปฏบิ ตั ิงานทางโลก
ฉะนนั เราตอ้ งทาํ ความเพยี รใหส้ งู เพยี รใหม้ าก คือนงั ใหม้ ากนนั แหละ อยโู่ ดด
เดียวอยา่ เขา้ ไปหาหม่คู ณะ ใหเ้ ป็นผสู้ นั โดษไว้ พยายามฝึกฝนตนเอง เตอื นตนเอง อย่า
7
ใหผ้ อู้ นื ตอ้ งเดอื ดรอ้ น อยา่ ใหผ้ อู้ ืนตอ้ งเตือน
มี ผถู้ ามพระพทุ ธองคว์ า่ มีพระภิกษุสงฆเ์ ขา้ มาบวชในพระพทุ ธศาสนามาก ปฏบิ ตั ิ
ตามคาํ สอนของพระองคม์ าก ทาํ ไมถึงไดส้ กึ กลบั บา้ นไปเสีย หรอื บางคนกเ็ พยี รแลว้ แตไ่ ม่
เหน็ หมดกิเลส พระองคต์ รสั ตอบวา่ “ตถาคตเป็ นเพยี งแตผ่ ูช้ ีทางใหเ้ ขาเดนิ เทา่ นัน
ใชว่ า่ ตถาคตจะจงู มือไปพระนิพพานได้ ทกุ คนตอ้ งเดินไปเองกา้ วไปเอง” เปรยี บ
เหมอื นวา่ ทีพระองคช์ ีบอกทางไปกรุงราชคฤห์ คือเมืองพระเจา้ พิมพสิ ารในสมยั นนั วา่ นี
คอื ทางเดนิ ไปกรุงราชคฤห์ ถา้ ผทู้ ีเดนิ ไมเ่ ดนิ ออกไปนอกเสน้ ทาง เดนิ ตามทางมนั กจ็ ะถงึ
ไดท้ งั สินโดยรวดเรว็ ทนี ีไม่อยา่ งนนั เขาแวะขา้ งทางเสยี บา้ ง เดินออ้ มเสยี บา้ ง เดนิ
ยอ้ นหลงั กลบั บา้ ง ถนนทีบอกทีชีไวเ้ ขาไม่เดนิ ไปตามทางนนั มนั จงึ ไม่ถงึ กรุงราชคฤห์ นีก็
เช่นเดยี วกนั พวกเราทฟี ังธรรมอยนู่ ีทีไม่ปฏบิ ตั ิธรรมกเ็ พราะว่าความทีเป็นผทู้ ีเห็นแกต่ วั
ของเรามากเกินไป ไม่มคี วามอดทน ไม่มคี วามขยนั หมนั เพียร มวั แตจ่ ะหาความสขุ หรอื
คิดจะนอนใหไ้ ดม้ าก คอื อย่เู ฉยๆ ไมไ่ ดฝ้ ึกฝนอบรมตนเองอยา่ งเอาจรงิ เอาจงั จะไปถึง
จดุ หมายไดอ้ ย่างไร
เราตอ้ งฝึกฝนอบรมตวั ของเรานเี องใหเ้ ป็นคนขยนั ในการปฏิบตั ิธรรม ทสี าํ คญั ทสี ดุ
กลางวนั ควรจะนงั ใหไ้ ดอ้ ยา่ งนอ้ ยสกั หนงึ ชวั โมง ทาํ ใหไ้ ด้ นีบางคนนอนทงั วนั ทงั ๆ ทีมี
เวลากไ็ มไ่ ดท้ าํ อะไร หนงั สือก็ไม่อา่ นไม่เปิดคน้ ควา้ ทที าํ ไปๆ ก็เพราะเกรงกลวั อาจารยจ์ ะ
ดจุ งึ จะมานงั กนั หากมานงั ดว้ ยศรทั ธาอนั แทจ้ รงิ ว่าเราตอ้ งการ ละ กิเลส ถึงไมห่ มดก็
บางลงนอ้ ยลง ถา้ คดิ อยา่ งนีธรรมทงั หลายไม่ใช่ของยาก เพยี รใหจ้ รงิ กค็ งได้
ธรรม ทีพระองคส์ อน เป็นธรรมสาํ หรบั สอนมนษุ ยแ์ ละเทวดาไมไ่ ดส้ อนผอู้ นื ที
พระองคม์ าประสตู ใิ นโลก พระองคก์ เ็ ป็นมนษุ ยเ์ หมอื นพวกเรานีแหละ ถึงแมว้ า่ จะประสตู ิ
ในตระกลู กษัตรยิ ก์ ็ตาม กม็ เี นือหนงั มงั สาเชน่ มนษุ ยท์ งั หลาย แต่มบี คุ ลกิ ลกั ษณะทีพิเศษ
คอื พระองคเ์ ป็นผมู้ บี ญุ วาสนาทสี รา้ งมาแต่อดตี มาก จงึ ทาํ ใหพ้ ระองคส์ วยสดงดงามอมิ
เอิบผิวพรรณผ่องใสไดล้ กั ษณะทกุ ประการ ใครเห็นใครกเ็ คารพรกั ใครพ่ อใจเป็นอยา่ งนี
8
และกไ็ ดว้ างหลกั ธรรมทงั พระธรรมพระวินยั วางไวไ้ ดห้ มดครบถว้ น ๘ หมนื ๔ พนั พระ
ธรรมขนั ธ์ ทงั หมดเป็นศีล ๒ หมนื ๑ พนั เป็นพระสตู ร ๒ หมนื ๑ พนั พระปรมตั ถธรรม ๔
หมนื ๒ พนั รวม ๘ หมนื ๔ พนั พระธรรมขนั ธ์ นีคอื คาํ สงั สอนของพระองค์ คาํ สงั คอื ศีล
คาํ สอนคอื ธรรม พระสตู รคือเรอื งราวตา่ งๆ ทพี ระองคเ์ คยตรสั เลา่ ใหพ้ ระสาวกของ
พระองคฟ์ ัง พระอานนทจ์ าํ ไว้ แลว้ เรยี กว่าพระสตุ ตะคอื การไดย้ นิ นนั เอง หากเราไดย้ นิ ได้
ฟังมาก เราก็จะไดจ้ ดจาํ มาประพฤตปิ ฏิบตั ติ ามเยียงอยา่ งทีพระองคไ์ ดเ้ คยต่อสเู้ คยผจญ
มา
เราทกุ คนทงั ภิกษุสามเณรอบุ าสกอบุ าสิกา ตา่ งก็ถึงแลว้ ซงึ พระพทุ ธ พระธรรม
พระสงฆ์ ว่าเป็นทพี งึ ทรี ะลกึ ถึงไดย้ นิ ไดฟ้ ังอยแู่ ลว้ ธรรมะทีแสดงนขี องพระพทุ ธเจา้ ทงั สนิ
ทีอาจารยแ์ สดงใหพ้ วกเราฟังกด็ ี เพอื อบรมสงั สอนใหเ้ ดนิ ทางทีลดั ทสี ดุ คอื อาจารยไ์ ด้
ผ่านทางนีมาแลว้ ทงั หมดอาจารยไ์ ดเ้ ดนิ มาแลว้ รูจ้ กั แลว้ ถงึ ทีสดุ แลว้ จงึ มอบธรรมอนั นี
ใหแ้ ก่ศิษย์ ศษิ ยท์ กุ ๆ คนควรภมู ใิ จในการไดฟ้ ังธรรม ในการไดป้ ฏิบตั ิธรรมตามอาจารยท์ ี
แสดงมา พยายามบากบนั อย่าเหน็ แก่ความเหน็ดเหนือย อย่าเหน็ แก่เรอื งอืนใด ผทู้ จี ะมี
กศุ ลมีบญุ วาสนาไดพ้ บความจรงิ ตรงๆ ทสี อนไม่ไขวเ้ ขวนนั ยาก เป็นสงิ ทยี ากยงิ เทา่ ที
สงั เกตดไู ม่ใชว่ า่ อาจารยจ์ ะอวดดขี นึ มาวา่ อาจารยน์ ีวเิ ศษกวา่ อาจารยท์ งั หลาย แต่ถา้ วา่
ยงั มอี าจารยอ์ ืนทีวเิ ศษกวา่ ทอี าจารยส์ อนนี อาจารยก์ ค็ อยสอดสอ่ งดแู ล ป่านนคี งพบ
บา้ งแลว้ แตน่ ีอาจารยก์ ็ไม่เคยพบพระอาจารยผ์ ใู้ ดเลยทีจะสอนอย่างนี
ฉะนนั เราเป็นผมู้ ีบญุ กศุ ลมวี าสนา ถา้ ในชาตนิ ีเรายงั ไม่รูจ้ กั ทจี ะนาํ ของดีตดิ ตวั ไป
อาจารยก์ ็ไมร่ ูท้ ีจะกลา่ วว่าอะไรใหด้ ยี งิ ไปกว่านี พระพทุ ธองคต์ รสั ว่า “ใครเข้าถงึ ธรรม
ผู้นันกเ็ ขา้ ถงึ ตถาคต” อนั นีเป็นความจรงิ แท้ ถา้ เราปฏบิ ตั ิธรรมลลุ ว่ งถงึ ทีสดุ แลว้ เราจะ
สามารถเห็นพระพทุ ธองคไ์ ดจ้ รงิ ๆ อาจารยไ์ ดพ้ บสิงนีมาแลว้ ไม่ใชน่ พิ พานแลว้ สญู
นพิ พานอายตนะยงั มอี ย่นู ะ พระอรหนั ตเ์ จา้ ทงั หลายตลอดถงึ พระพทุ ธเจา้ เป็นวสิ ทุ ธิเทพ
9
นะ อย่าเขา้ ใจเป็นอย่างอนื ในธรรมะของพระองคไ์ ดต้ รสั ไวว้ ่า “ในพระนิพพาน
อายตนะมีอย”ู่ ถา้ อายตนะมีอย่มู นั กต็ อ้ งมีอยู่ แตผ่ ทู้ ีมตี าทิพยเ์ ห็นเช่นนนั ตอ้ งเป็นตา
ชนั เดียวกนั คอื ตาของวสิ ทุ ธิเทพดว้ ยกนั ผทู้ ีหมดกิเลสเรยี กวา่ “วสิ ุทธเิ ทพ” อย่าง
อปุ ปัตตเิ ทพ สถิตอย่ใู นสวรรค์ ๖ ชนั พรหม ๑๖ ชนั อรูปพรหม ๔ ชนั ก็ตามนียงั ไม่หมด
กิเลส ยงั ไมเ่ ป็นวสิ ทุ ธิเทพเป็นแตอ่ ปุ ปัตติเทพเทา่ นนั หรอื พวกสมมตุ เิ ทพคอื พวก
ทา้ วพระยามหากษัตรยิ ท์ ยี งั เป็นมนษุ ยน์ เี ป็นสมมตุ ิเทพเกิดจากครรภข์ องมารดา
สาํ หรบั ธรรมมรรค ๘ ก็เหน็ สมควรแกเ่ วลาว่าจบเพยี งเทา่ นี เป็นเวลา ๓๐ นาที
พอดี จบเพียงเทา่ นี
10
ตอบคาํ ถามการปฏบิ ตั ิ ติมรรค ๕
๑. ถาม การตรวจสอบองคธ์ รรมในมรรค ๘ ขณะทเี ราภาวนาองคธ์ รรมแต่
ละหมวด เราก็ตรวจดูวา่ ธรรมหมวดนันเกิดขึนใต้จิตของเรามาก
น้อยเพยี งใด เราควรจะตรวจสอบให้ละเอียดกวา่ องคธ์ รรมในหมวด
อนื ทไี ดป้ ฏบิ ตั ผิ ่านมาแลว้ หรือไม่ เชน่ เมอื ภาวนาสมั มาทฐิ ิ กด็ ูวา่
เรามีความเหน็ ชอบในอรยิ สจั ๔ อนั มี ทกุ ข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
เพยี งใด เหน็ ขอบในไตรลกั ษณอ์ ันมอี นิ นงึ ทกุ ขงั อนัตตา เพยี งใด
เชือในเรืองการเวียนวา่ ยตายเกิดเพยี งใด หรอื เหน็ ดว้ ยกบั
กฏปฏจิ จสมุปบาท เรมิ ตงั แต่อวิชชา....จนถึง ชาติ ชรา มรณะ
เพยี งใด การตรวจสอบเช่นนีจะถือว่าละเอียดเกนิ ไปหรอื ไม่
ตอบ ไม่ตอ้ งใหล้ ะเอยี ดขนาดนีหรอก ในมรรค ๘ ซงึ ย่อลงมากค็ อื ศลี สมาธิ
ปัญญา โดยท่านเอาหมวดปัญญานาํ หนา้ อนั ไดแ้ ก่ สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กมั
โป ตามดว้ ยหมวดศลี มี สมั มาวาจา สมั มากมั มนั โต และสมั มาอาชโี ว ลง
ทา้ ยดว้ ย หมวดสมาธิมี สมั มาวายาโม สมั มาสติ และสมั มาสมาธิ ในการ
ตรวจสอบก็ใหด้ วู า่ ศลี อนั ไดแ้ กศ่ ีล ๕ และศีล ๘ เรารกั ษาไดส้ มบรู ณแ์ ลว้
หรอื ยงั โดยเฉพาะศลี ๕ ถือเป็นพืนฐานเบอื งตน้ ทจี ะตอ้ งรกั ษาใหไ้ ด้
จากนนั ดวู า่ สมาธิหมายถงึ ฌาน ๔ เรามีอย่แู ลว้ หรอื ยงั ซงึ ถา้ หากเรา
สมบรู ณท์ งั ๒ อย่างแลว้ โดยมากมกั จะบกพรอ่ งปัญญา ซงึ ยงั ละตณั หาไม่
ทนั นนั เอง การละตณั หาคือ ละกามตณั หา ภวตณั หา และวิภวตณั หา โดย
จะตอ้ งละเมอื มีผสั สะเกดิ ขึน หากละไดก้ ิเลสกจ็ ะดบั ลง การตรวจสอบ
11
องคธ์ รรมขณะภาวนา ถา้ เอามาตรวจสอบมากนกั สมาธิกจ็ ะถอยหมด จงึ
ควรเอามาสนั ๆ ความสาํ คญั กค็ อื การละตอ้ งรูว้ า่ เราละตณั หาตวั ไหนตอ้ งรู้
เชน่ ยงุ กดั เราเจ็บเป็นวภิ วตณั หา เพราะเราไม่ชอบความเจ็บไมอ่ ยากให้
ความเจบ็ ดาํ รงอยู่ เมือยงุ กดั กต็ อ้ งละ ไมใ่ ช่ตยี งุ ใหต้ าย ถา้ เราทาํ ไดก้ ็เทา่ กบั
วา่ เรามีพหรมวหิ าร ๔ ควย
๒. ถาม ถ้าขนึ มรรค ๘ แตย่ ังจาํ องคธ์ รรมในหมวดนีไม่ได้ครบ หรือไมร่ ู้
ความหมายว่าหมายถงึ อะไร เมือเป็ นเชน่ นีจะทาํ อยางไร
ตอบ เรากต็ อ้ งท่องจาํ ใหไ้ ดซ้ งึ ตอ้ งใชส้ ญั ญา ถา้ เราจาํ องคธ์ รรมไมไ่ ดห้ รอื ไมร่ ู้
ความหมาย ก็เท่ากบั ไม่รูป้ รยิ ตั ิ เมือไม่รูป้ รยิ ตั ิ ปฏิบตั กิ ็ผิด ถา้ รูป้ รยิ ตั นิ าํ มา
ปฏิบตั ิได้ ปฏิเวทก็เกิดขนึ คือพระนพิ พาน เราตอ้ งทาํ ตามหลกั เกณฑข์ อง
พระพทุ ธเจา้
๓. ถาม ผมเหน็ ว่าการปฏิบัตวิ ปิ ัสสนากรรมฐานตามแนวทางทหี ลวงพอ่ สอน
มาเป็ นเทคนิคทดี ี เพราะการโยกกายช่วยให้มีสติ ตนื ตัว ไม่ค่อยงว่ ง
ไม่ค่อยปวด และเพมิ กาํ ลังของสติ-สมาธดิ ว้ ย นอกจากนกี ารใชโ้ พธิ
ปักขิยธรรมมาเป็ นองคภ์ าวนากเ็ ป็ นประโยชน์ เพราะชว่ ยให้เรา
ตรวจสอบองคธ์ รรม แต่ละหมวดวา่ มอี ยใู่ นจิตของเราเพยี งใดเป็ น
ขนั เป็ นตอนไป และตรงกบั หลกั ธรรมในการปฏิบตั ใิ หถ้ งึ อรยิ มรรค
ดว้ ยอยา่ งไรก็ตามผมมขี อ้ สงสัยว่า การปฏบิ ตั วิ ธิ ีอนื แต่อยใู่ น
แนวทางมรรค ๘ จะช่วยให้ถงึ มรรคผลนพิ พานไดห้ รือไม่ เพราะเหน็
12
สาํ นักตา่ งๆ ทสี อนการปฏบิ ัติ ลว้ นกลา่ วว่า วปิ ัสสนาของตนนําไปสู่
มรรคผลนิพพานได้
ตอบ การปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ มรรคผลนพิ พานนนั ตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามอรยิ มรรคมอี งค์ ๘ และ
โพธิปักขยิ ธรรมใหค้ รบถว้ นเท่านนั ทางอนื ไมม่ ี พระพทุ ธเจา้ ตรสั ไวช้ ดั
ปัจจบุ นั อาจารยท์ คี ิดลดั ไปพระนิพพานมีอยมู่ าก เช่น สอนใหท้ าํ แตจ่ ติ วา่ ง
โดยไมต่ อ้ งปฏิบตั ิใหค้ รบตามองคม์ รรค จะถึงพระนพิ พานไมไ่ ด้ ถห้ ากไม่
รกั ษาศีลใหส้ มบรู ณ์ ไม่ทาํ สมาธิหรอื ทาํ ฌานใหส้ มบรู ณ์ และไมม่ ีปัญญาที
จะละกิเลสตณั หาอยา่ งนีแลว้ จติ จะวา่ งไดอ้ ยา่ งไร และจะ'ไปถึงพระ
นิพพานไดอ้ ย่างไร
นอกจากนีบางแห่งแมป้ ฏิบตั ิมรรค ๘ แตก่ ไ็ มป่ ฏบิ ตั ใิ หค้ รบ
สมบรู ณ์ เอาแต่สติบฏั ฐาน ๕ มาใช้ ซงึ อย่ใู นมรรค ๘ เหมอื นกนั แต่เป็น
มรรคองคท์ ี ๗ แลว้ จะอาศยั มรรคเพยี งองคเ์ ดยี วนาํ ไปถึงพระนพิ พานได้
อย่างไร มนั ขดั แยง้ กบั บญั ญตั ขิ องพระพทุ ธเจา้
นอกจากนีกรรมฐานทีใชย้ งั มีการเปลยี นแปลงเพมิ เตมิ เอาออก หรอื
ผสมกนั เขา้ ใหผ้ ดิ ไปจากบญั ญตั ิ เมือเป็นเชน่ นีปรมตั ถจ์ ะเกิดขนึ ไดอ้ ย่างไร
ลองไปถามท่านเหลา่ นนั ดวู า่ ธรรมทที า่ นนาํ มาสอนนาํ มาปฏบิ ตั นิ นั ทา่ น
รูจ้ กั วา่ ขนั ธ์ ๕ ดบั แลว้ หรอื ยงั ธรรมสมั ปยตุ ไหม เวลาธรรมสมั ปยตุ ลงนนั
เป็นอยา่ งไร แลว้ รูจ้ กั การละสงั โยชน์ ๓ สงั โยชน์ ๕ สงั โยชน์ ๑๐ ไหม ถา้ ไม่
รูแ้ ลว้ จะรูถ้ ึงพระนพิ พานไดอ้ ยา่ งไร จะเป็นพระอรหนั ตไ์ มไ่ ดถ้ า้ ไมส่ ามารถ
ละสงั โยชน์ ๑๐ ได้ ทกุ วนั นที ีรูก้ นั รูแ้ ต่สญั ญา ไมไ่ ดร้ ูจ้ ากการปฏบิ ตั ิ การจะรู้
13
ธรรมว่าของใครถกู ผดิ รูจ้ าก ปรยิ ัติ ปฏิบตั ิ และ ปฏิเวธ คอื อาจารยผ์ สู้ งั
สอนเป็นอรยิ แลว้ หรอื ยงั พระอรยิ นนั มตี งั แต่ พระโสดาบนั พระสกทาคามี
พระอนาคามี และพระอรหนั ต์ (การเป็นนนั ไม่ใชศ่ ษิ ย์ หรอื สอื มวลชนตงั ให)้
พระอรยิ บคุ คลตอ้ งรูแ้ ละละสงั โยชน์ ๓, ๕ และ ๑๐ ไดต้ ามลาํ ดบั ดว้ ยฌาน
ของตนเอง จากธรรมสมั ปยตุ ลง เรยี ก อาสวกั ขยญาณ จงึ จะถกู ตอ้ งการ
อยากเป็นอาจารยก์ นั มาก จงึ ระดมสรรพกาํ ลงั กนั จดั ตงั และจดั ทาํ อะไรให้
มนั แปลกๆ โฆษณามากๆ จงึ ไดม้ ีพระอรหนั ตข์ นึ มากมาย กระทงั พระพทุ ธ
ซอ้ นพระพทุ ธเจา้ ก็กาํ ลงั จะเกดิ และบางสาํ นกั กาํ ลงั รณรงคจ์ ะใหพ้ ระ
นิพพานมอี ตั ตาใหจ้ งได้ พระเถระผใู้ หญ่ไม่รูว้ า่ ทา่ นยงั อยกู่ นั พรอ้ มหรอื เปลา่
ไม่คิดจะปกปอ้ งภยั อนั ใหญ่นีบา้ งหรอื ?
๔. ถาม เมือถงึ สมั มาสมาธิแล้วกายของเราก็หยุดกึก ในคาํ สอนบอกวา่ ให้
ตอบ ตรวจดูว่าสมาธิของเราอย่ใู นฌาน ๔ หรอื ไม่ ในการปฏบิ ัติของผม
ขณะทโี ยกตัวอยสู่ มาธไิ ม่อยใู่ นฌาน ๔ แต่เมือหยุดโยกแล้วต้องใช้
๕. ถาม เวลาสักพักจึงจะปรับสมาธิอยู่ในฌาน ๔ อยา่ งนีจะถูกต้องไหม
ยงั ไมถ่ กู ตอ้ ง ตรงทโี ยกอยแู่ ลว้ กายจะหยดุ ตอนกายหยดุ นนั สมาธิละเอียด
ลงถงึ ทสี ดุ ของมนั แลว้ มนั พรอ้ มทีจะเป็นเอกคั คตาจติ เป็นอปั ปนาสมาธิ
อย่ใู นฌาน ๔ ถา้ ปฏิบตั ิยงั ไมถ่ ึงกต็ อ้ งปรบั ปรุงใหม่
สืบเนืองจากคาํ ถามขอ้ ๔ เมือถึงมรรค ๘ แลว้ เหตใุ ดจึงไมร่ ู้สึกสว่าง
จา้ เหมือนในคาํ สอนแลว้ ก็ไมร่ ู้สกึ วา่ ตวั เบาเหมือนลอยอย่ใู นอากาศ
แตบ่ างครังจะรูสกึ เหมือนมีแสงนวลๆ อยตู่ รงหน้า กรณีเช่นนี ถอื ว่า
มรรค ๘ ยงั ไม่สมบรู ณใ์ ชห่ รอื ไม่
14
ตอบ ถา้ มรรค ๘ สมบรู ณ์ อะไรๆ กร็ ูช้ ดั แจง้ ไมต่ อ้ งถามใครเป็นปัจจตั ตงั คือ
ตวั เองรูเ้ อง เห็นเองทกุ อย่าง ถา้ ถามผอู้ นื ใหร้ บั รองคณุ ธรรมของเรานนั มนั
ผิดหลกั ธรรมะของพระพทุ ธเจา้
--------------------------------------------------------------
15