1
กลุม สาระการเรยี นรสู ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ ๒
ตําแหนง ครู วทิ ยฐานะครูชาํ นาญการพิเศษ
โรงเรยี นมธั ยมศกึ ษาเทศบาลเมอื งปทมุ ธานี
เทศบาลเมืองปทมุ ธานี อําเภอเมืองปทมุ ธานี จังหวดั ปทุมธานี
ก
รูปแบบการจัดการเรียนรูพระพุทธศาสนา ตามแนวคําสอนของพระพุทธเจา เพ่ือสงเสริมทักษะ
การเรยี นรแู บบ Active learning กลุม สาระการเรยี นรสู ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชน้ั มัธยมศกึ ษา
ปที่ ๒ เน้ือหาเลมนี้สอดคลองกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพ้ืนฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑
กลุมสาระการเรียนรู สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เพ่ือเสริมสรางความรูและความเขาใจประวัติ
ความสําคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอ่ืน มีศรัทธาท่ี
ถกู ตอ ง ยดึ ม่นั และปฏิบตั ิตามหลักธรรมเพ่ืออยรู วมกันอยางสนั ติสขุ
รูปแบบการจัดการเรียนรูพระพุทธศาสนา ตามแนวคําสอนของพระพุทธเจา เพ่ือสงเสริม
ทักษะการเรยี นรแู บบ Active learning กลมุ สาระการเรยี นรสู ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้น
มัธยมศึกษาปที่ ๒ เลมที่ ๓ เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา จัดทําเพื่อใหนักเรียนสามารถ
อธบิ ายความหมายพระรัตนตรยั (ธรรมคุณ ๖) อธบิ ายหลกั ธรรม ทุกข สมุทัย นโิ รธ มรรค ตระหนกั และ
เห็นคุณคาของหลักธรรม ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค นํามาประยุกตใชในการประกอบกรรมดีในการ
ดําเนนิ ชวี ติ ได
ขอขอบพระคณุ ผูเชย่ี วชาญทกุ ทานท่ีใหคําปรึกษา แนะนาํ ในการจัดทํารปู แบบการจดั การเรียนรู
พระพุทธศาสนา ตามแนวคาํ สอนของพระพุทธเจา เพ่อื สงเสรมิ ทกั ษะการเรียนรแู บบ Active learning
กลมุ สาระการเรียนรสู ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ชัน้ มัธยมศึกษาปท่ี ๒ ชุดน้จี นสําเรจ็ สามารถ
นําไปใชพัฒนาใหคงอยูตอไป
หวังเปนอยางย่งิ วารูปแบบการจัดการเรียนรูพระพทุ ธศาสนา ตามแนวคําสอนของพระพุทธเจา
เพ่ือสงเสริมทักษะการเรียนรูแบบ Active learning กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี ๒ ชุดนี้จะเปนประโยชนตอการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู
ชวยพัฒนานักเรียนและเยาวชนทุกคนใหเปนศาสนิกชนที่ดี และธาํ รงรักษาพระพุทธศาสนาหรือ
ศาสนาท่ีตนนับถือสืบไป
นางอมรรัตน ภูมิประหมัน
เรือ่ ง ข
คํานํา หนา
สารบัญ ก
คําช้แี จง ข
มาตรฐานและตวั ช้ีวัด ค
จุดประสงคการเรียนรู ง
แบบทดสอบกอ นเรยี น ๑
ใบความรูท่ี ๑ เร่อื ง พระรตั นตรยั (ธรรมคณุ ๖) ๒
ใบกิจกรรมที่ ๑ เรือ่ ง พระรตั นตรัย (ธรรมคุณ ๖) ๔
ใบความรูที่ ๒ เรอ่ื ง อริยสัจ ๔ ทุกข สมุทัย นโิ รธ มรรค ๗
ใบกิจกรรมท่ี ๒ เร่ือง อริยสจั ๔ ทุกข สมุทัย นโิ รธ มรรค ๙
ใบความรูท่ี ๓ เร่ือง การปฏิบตั ิตนตามหลกั ธรรมพระพทุ ธศาสนา ๑๗
ในกระแสความเปล่ยี นแปลงของโลกและการอยรู ว มกนั อยางสันตสิ ขุ ๑๘
ใบกิจกรรมที่ ๓ เรอ่ื ง การปฏบิ ตั ติ นตามหลักธรรมพระพทุ ธศาสนา
ในกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกและการอยูรวมกนั อยางสนั ติสขุ ๒๒
แบบทดสอบหลังเรยี น
ภาคผนวก ๒๓
เฉลยแบบทดสอบกอ นเรียน ๒๕
เฉลยใบกจิ กรรมที่ ๑ เรอ่ื ง พระรัตนตรัย (ธรรมคุณ ๖) ๒๖
เฉลยใบกิจกรรมท่ี ๒ เร่ือง อริยสจั ๔ ทกุ ข สมุทัย นโิ รธ มรรค ๒๗
เฉลยใบกจิ กรรมที่ ๓ เรอื่ ง การปฏบิ ัตติ นตามหลักธรรมพระพทุ ธศาสนา ๒๙
ในกระแสความเปลีย่ นแปลงของโลกและการอยูรว มกันอยา งสนั ติสุข ๓๐
เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น
บรรณานกุ รม ๓๑
๓๒
ค
รปู แบบการจดั การเรียนรพู ระพุทธศาสนา ตามแนวคาํ สอนของพระพุทธเจา เพื่อสง เสริมทักษะการ
เรียนรูแบบ Active learning กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช้ันมัธยมศึกษา
ปท่ี ๒ พัฒนาขึ้นมาเพ่ือเปนแหลงความรูของนักเรียนเขาใจการเผยแผพระพุทธศาสนาเขาสูประเทศ
เพื่อนบา นและการนับถือพระพทุ ธ ศาสนาของประเทศเพอื่ นบา นในปจ จบุ นั
รูปแบบการจัดการเรียนรูพระพุทธศาสนา ตามแนวคําสอนของพระพุทธเจา เพื่อสงเสริมทักษะ
การเรียนรูแบบ Active learning กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช้ันมัธยม
ศกึ ษาปที่ ๒ มที งั้ หมด ๗ เลม ดงั นี้
เลม ท่ี ๑ เร่ือง พระพุทธศาสนาในประเทศเพอ่ื นบาน
เลมท่ี ๒ เร่ือง พุทธประวตั ิ พุทธสาวก และชาดก
เลมที่ ๓ เรอ่ื ง หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา
เลม ที่ ๔ เรื่อง พระไตรปฎ กและพุทธศาสนสุภาษิต
เลม ที่ ๕ เรื่อง หนา ทช่ี าวพุทธและมารยาทชาวพทุ ธ
เลมท่ี ๖ เร่ือง วนั สาํ คัญทางพทุ ธศาสนาและศาสนพิธี
เลม ท่ี ๗ เรอ่ื ง การบรหิ ารจติ และการเจริญปญญา
เพื่อใหบรรลุจุดประสงคของรูปแบบการจัดการเรียนรูพระพุทธศาสนา ตามแนวคาํ สอนของ
พระพุทธเจา เพ่ือสง เสรมิ ทักษะการเรยี นรูแบบ Active learning กลุม สาระการเรยี นรสู ังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี ๒ เลมท่ี ๓ เร่ือง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มีขอเสนอ
แนะใหน กั เรียนปฏิบัติตามขน้ั ตอน ดังนี้
๑. ศึกษาทาํ ความเขา ใจจดุ ประสงคของรปู แบบการจดั การเรยี นรู
๒. ทําแบบทดสอบกอ นเรียนจํานวน ๑๐ ขอ กอ นศกึ ษาเนื้อหาในเลม เพอ่ื ตรวจความรพู ้นื ฐาน
๓. นกั เรยี นศึกษาใบความรูและทาํ ใบงานที่กาํ หนดให
๔. นักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน พรอมกับตรวจคําตอบจากเฉลยเพื่อจะไดทราบ
วา ตนเองมีการพฒั นาดานความรูเ พมิ่ เตมิ เพียงใด
ง
สาระที่ ๑ ศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม
มาตรฐาน ส ๑.๑ รู และเขาใจประวตั ิ ความสําคญั ศาสดา หลักธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนา
ท่ีตนนบั ถอื และศาสนาอ่ืน มศี รัทธาทถ่ี ูกตอ ง ยึดมน่ั และปฏิบัตติ ามหลกั ธรรม
เพื่ออยูรว มกันอยางสันติสุข
ตัวชว้ี ดั
ส ๑.๑ ม.๒/๘ อธิบายธรรมคณุ และขอธรรมสาํ คัญในกรอบอริยสัจ ๔ หรือหลกั ธรรม
ของศาสนาที่ตนนับถือตามที่กําหนดเห็นคุณคาและนําไปพัฒนาแกปญหา
ของชมุ ชนและสังคม
ส ๑.๑ ม.๒/๑๑ วิเคราะหการปฏบิ ตั ติ นตามหลักธรรมทางศาสนาทต่ี นนบั ถือ เพ่อื การดาํ รง
ตนอยางเหมาะสมในกระแสความเปลย่ี นแปลงของโลกและการอยูรวมกัน
อยางสนั ติสขุ
สาระสาํ คัญ
หลักธรรมเปรียบเสมือนแกน ของพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ พระพทุ ธเจาเปน ผูทรงคน พบแลวนาํ
มาเผยแผแกมวลมนษุ ย เม่ือทุกคนเขา ใจและเห็นคุณคานําไปปฏบิ ัติยอมเกดิ ผลดตี อผปู ฏบิ ัตแิ ละ
สงั คมสว นรว ม
๑
เมอ่ื ศกึ ษารูปแบบการจัดการเรียนรูพระพทุ ธศาสนา ตามแนวคําสอนของพระพุทธเจา
เพือ่ สงเสรมิ ทกั ษะการเรยี นรแู บบ Active learning กลุมสาระการเรยี นรูสงั คมศกึ ษา ศาสนา
และวัฒนธรรม ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ ๒ เลม ท่ี ๓ เรอื่ ง หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา นักเรียน
สามารถแสดงพฤติกรรมดังตอ ไปนี้
ดา นความรู (K)
๑. นักเรียนอธบิ ายความหมาย พระรัตนตรัย (ธรรมคุณ ๖) ได
๒. นกั เรียนอธบิ ายขอธรรมอรยิ สัจ ๔ ในหลักธรรม ทกุ ข สมทุ ัย นโิ รธ มรรค ได
๓. นกั เรยี นเหน็ คุณคา ของขอ ธรรมอริยสจั ๔ ในหลักธรรม ทุกข สมุทัย นิโรธ
มรรค ได
๔. นกั เรียนอธิบายการปฏบิ ตั ิตนตามหลักธรรมพระพทุ ธศาสนาในกระแสความ
เปลย่ี น แปลงของโลกและการอยูรว มกันอยา งสนั ติสขุ ได
๕. นกั เรียนเห็นคุณคาการปฏิบัติตนตามหลักธรรมพระพทุ ธศาสนาในกระแสความ
เปลี่ยนแปลงของโลกและการอยูรวมกนั อยางสันตสิ ขุ นํามาประยกุ ตใ ชใ นการดาํ เนนิ ชีวิตได
ดา นทกั ษะ (P)
๑. นกั เรียนมคี วามสามารถในการแกป ญหา
๒. นกั เรยี นมคี วามสามารถในการใหเหตผุ ล
๓. นกั เรียนมคี วามสามารถในการสื่อสาร สอ่ื ความหมาย
ดา นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค (A)
๑. นกั เรียนมีความซอ่ื สัตยสุจริต
๒. นกั เรียนมีการใฝเ รยี นรู
๓. นักเรียนมีความมงุ มั่นในการทํางาน
๒
แบบทดสอบกอนเรียน
เลม ท่ี ๓ เรอ่ื ง หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา
คําช้ีแจง ใหนกั เรยี นทําเครื่องหมาย ลงบนหนาขอทถี่ ูกตองมากทส่ี ุด
๑. บุคคลหวา นพชื เชน ไร ยอมไดร บั ผลเชนนั้น มีความสัมพนั ธก ับขอ ใดมากทส่ี ุด
ก. กงเกวยี น กําเกวียน
ข. ทาํ ดีไดดี ทาํ ชว่ั ไดชว่ั
ค. น้าํ ขุนอยูใน นํา้ ใสอยนู อก
ง. ความรูทวมหวั เอาตัวไมรอด
๒. การกระทําของบุคคลในขอใดสอดคลองกบั หลักกรรมดที ่ใี หผล “สมบัติ ๔”
ก. ทองดขี ยนั เรียนมากข้นึ เพราะไมอยากเรยี นซา้ํ ชน้ั อีก
ข. เฉลมิ พลไมชอบเรียนภาษาอังกฤษถูกแมบ งั คับใหท อ งศัพททกุ วนั
ค. ฤทธไ์ิ กรตอ งรบี กลบั บานมาชว ยพอ แมต ง้ั รานขายเสือ้ ผา ท่ีตลาดนัด
ง. ประกายดาวขยันทํางานทาํ ใหเล่ือนตาํ แหนง เปนหวั หนา งานฝายบุคคล
๓. องคป ระกอบของขันธ ๕ คอื
ก. รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ข. กลนิ่ รปู รส สมั ผสั สญั ญา สังขาร
ค. เวทนา อารมณ สญั ญา สังขาร วิญญาณ
ง. รส เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ
๔. ขอ ใด คือ ความสุขทีเ่ กิดจากการมที รัพย
ก. อนวัชชสขุ
ข. โภคสขุ
ค. อนณสุข
ง. อตั ถสิ ขุ
๕. อาํ นาจขโมยโทรศัพทเครอ่ื งใหมข องเพอ่ื นเพราะความอยากได จากเหตุการณน ีต้ รงมี
ความสัมพนั ธต รงกับ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ขอ ใด
ก. กายทจุ รติ วจที ุจรติ
ข. วจที จุ รติ มโนทจุ รติ
ค. กายทุจรติ มโนทจุ รติ
ง. กายทุจริต วจที ุจริต มโนทุจริต
๓
๖. อนณสุข มคี วามสมั พนั ธก ับขอใดมากทีส่ ุด
ก. เดนชยั เปน คหบดใี นจังหวัดที่ผคู นนับถือ
ข. สนิ เปน กรรมกรรบั จา งแตไ มเ คยเปนหนี้ใคร
ค. กนกพร กินอาหารภัตตาคารเปน ประจําเมือ่ ถึงวนั หยดุ
ง. จินดามณีชอบเดินทางทอ งเท่ยี วในประเทศไทยมากที่สุด
๗. วภิ านกั ศึกษาแพทยจบใหม หลักธรรมใดหากวิภานําไปปฏิบตั ติ ามแลวจะเปนหนทางไปสู
ความเจริญกาวหนา ของชีวติ ในอนาคต
ก. สขุ ๒
ข. ดรุณธรรม ๖
ค. กุศลกรรมบถ ๑๐
ง. กุลจริ ัฏฐิตธิ รรม ๔
๘. การคิดใหแ ยบคาย ฟง สง่ิ ใดแลวพิจารณาไตรต รอง แยกแยะให ละเอยี ดถถ่ี ว น แสวงหา
คาํ ตอบ หาเหตุผลใหถูกตอ ง จากขอความดังกลา วมคี วามสมั พันธก ับขอใดมากที่สดุ
ก. ความมกี ลั ยาณมติ ร
ข. ความถึงพรอ มดว ยฉันทะ
ค. โยนโิ สมนสกิ าร
ง. อริยสัจ ๔
๙. หลกั ปฏบิ ตั ใิ นการทําใหครอบครวั มคี วามสุข สอดคลอ งกับกุลจฏิ ฐิตธิ รรม ๔ ขอใดมากท่สี ุด
ก. แมข องนกนอยทาํ บัญชคี รัวเรือนประมาณการใชจายในครอบครวั
ข. พอของมนูเปน คนรักครอบครัวและรกั ลกู มากชอบชว ยแมทาํ งานบา น
ค. แมข องวนิดาเกบ็ เสอ้ื ผาเกา ของตัวเองมาแกเ ยบ็ ใหมใ หทันสมัยใสไปทํางาน
ง. พอและแมข องพลอยใสไปเดินหา งทกุ วนั อาทิตยช วยกนั เตรียมของกินของใชไว
ไมใ หขาด
๑๐. องอาจเก็บโทรศัพทไ ดจากสนามฟตุ บอลจงึ นําไปคืนครปู ระจําชัน้ จากขอความดงั กลา ว
มคี วามสัมพนั ธก ับขอ ใดมากทสี่ ุด
ก. กายสุจริต มโนสจุ ริต
ข. วจสี ุจริต กายสุจรติ
ค. มโนสจุ รติ วจีสุจรติ
ง. กายสจุ ริต สจุ รติ วจสี จุ ริต
๔
ใบความรูท ี่ ๑ เรื่อง พระรัตนตรยั (ธรรมคุณ ๖)
พระรัตนตรัย
พระรตั นตรัย ไดแก พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ ทง้ั ๓ รตั นะ ถือเปน ส่ิงทคี่ วรเคารพสงู สดุ
ของชาวพทุ ธ ท้งั น้ีเพราะพระรัตนตรยั มีคณุ งามความดอี ันยิ่งใหญตอ ชาวพทุ ธ คือ
พระพุทธเจา เปนผูกอต้ังพระพุทธศาสนาและคนพบหลักธรรมแลวนํามาส่ังสอนชาวโลกให
ปฏิบตั ิ ทรงเพียบพรอมดว ยพระปญญาคุณ พระวสิ ทุ ธิคณุ และพระมหากรุณาธคิ ณุ
พระธรรม เปน สภาพความจรงิ ทพ่ี ระพทุ ธเจาทรงคน พบแลว นํามาเผยแผ สามารถใหผลแก
ผู ปฏิบัติตามสมควรแกก ารปฏบิ ัติ
พระสงฆ เปนสาวกผูปฏิบตั ดิ ปี ฏบิ ตั ิชอบตามคาํ สอนของพระพุทธเจา และนํามาเผยแผแ ก
ชาวพุทธใหไดรบั ประโยชนตามสมควร
ภาพ : พระรตั นตรยั
ทม่ี า : http://www.trueplookpanya.com/learning/detail/31437-044035
ดวยเหตุนี้ ชาวพุทธจึงควรระลึกถงึ คุณของพระรตั นตรัย การระลึกถึง
คุณของพระรตั นตรัย จะชว ยใหเ กิดความซาบซง้ึ ในพระรัตนตรัย และพรอ มท่ี
จะปฏิบัตติ ามหลักธรรมคาํ สอน อนั จะเปน ผลสง ใหไดรบั ผล ของการปฏบิ ัติ
ตามสมควร
๕
ธรรมคณุ ๖
ธรรมคุณ หมายถึง คณุ ความดีงามของพระธรรม
ซึ่งพระพุทธเจาไดทรงแสดงไว มี ๖ ประการ ตามที่
ปรากฏอยูในบทสวดสรรเสริญธรรมคุณวา
สวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม สันทิฏฐโิ ก อะกา
กิโล เอหิปส สโิ ก โอปะนะยิโก ปจ จตั ตัง เมทิตพั โพ วญิ ู
หีติ
พระธรรมอันพระผูม พี ระภาคเจาทรงแสดงไวด ี
แลว ผูปฏบิ ัตจิ ะพึงเห็นไดเ องไมข ึ้นอยูกับกาลเวลา ควร
เรียกใหม าดไู ด ควรนอ มนําประพฤตปิ ฏบิ ตั ิเปน ธรรมที่ ภาพ : พระธรรมคอื คาํ สัง่ สอนทพี่ ระพทุ ธเจา แสดงไวด ีแลว
ท่มี า : https://www.rungprinting.com/category/
วิญชู นจะพงึ รไู ดเฉพาะตน
๑. พระธรรมอันพระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงไวดีแลว
หลักคาํ สอนในพระพทุ ธศาสนานนั้ เปน ผลมาจากการตรสั รขู องพระพุทธเจา เชน พระองคท รง
แสดงวา อะไรเปนความทกุ ขจรงิ ทรงแสดงวา อะไรเปน เหตุใหเ กดิ ความทกุ ขกเ็ ปน เหตุใหเกดิ ความทกุ ข
จริง ทรงแสดงวา อะไรเปนความดับทุกข สง่ิ น้ันกเ็ ปน ความดบั ทกุ ขอํานวยความสุขจรงิ ทรงแสดงวา
อะไรเปน ขอ ปฏิบัตทิ ี่ ชวยกําจัดความดบั ทกุ ข ขอ ปฏิบตั นิ นั้ ก็สามารถกําจดั ความทกุ ขไ ดจ ริง เปน ตน
๒. พระธรรมเปนสิ่งที่ผูปฏิบัติจะเห็นไดดวยตนเอง
หลักคาํ สอนทพ่ี ระพุทธเจาทรงแสดงไวนัน้ เชน ทรงแสดงวา การดื่มสรุ าเปน อบายมขุ เปน ทาง
แหงความเสอ่ื ม ใครก็ตามหากด่มื สุราแลว จะรไู ดดวยตนเองวา ความเส่ือมทง้ั หลายเกิดข้ึนเพราะตน
ดืม่ สรุ าน่นั เอง เชน ทําใหเ สียเงินเสียทอง เสียสุขภาพ เปนบอ เกดิ ของโรคตา งๆ เปน ตน หรือทรงสอน
วาถา คนเราหลกี เลยี่ งไม เขา ไปขอ งแวะกับการด่ืมสรุ าและของมึนเมา ชวี ติ กจ็ ะมีความสขุ จะไดรับผล
เหลานน้ั เปน ทีป่ ระจักษดวยตนเอง
๓. พระธรรมไมข้ึนอยูกับกาลเวลา
หลักธรรมคําสอนท้ังหมดเปน หลักความจริงทไ่ี มเปล่ียนแปลงเปน อยางอน่ื ไปตามกาลเวลา เชน
ทรงแสดงวา ความเกียจครา นไมด ี แมจ ะเรยี นหนังสือก็จะไมป ระสบผลสําเร็จ ใครในสว นใดของโลกใน
เวลาใดก็ ตามหากเกียจครานจะไมป ระสบความสาํ เร็จ ขอนี้เปน ความจริงเสมอตลอดมา
๔. พระธรรมควรเรียกใหมาดู
หลักธรรมคําสอนทีไ่ ดส่ังสอนไวนน้ั พรอมที่จะใหใครมาศกึ ษาพิจารณาตรวจสอบทดลองและ
ปฏบิ ัติดูไดเสมอ ไมไ ดก าํ หนดไวว าตองเปนชาวพุทธเทา น้ัน
๖
๕. พระธรรมควรนอ มนํามาประพฤติปฏิบัติ
หลกั ธรรมคําสอนท่ไี ดท รงแสดงไวน ้ันไมใชแ สดงไวเ พ่อื ใหศึกษาเรยี นรแู ตเพียงอยางเดยี ว แต
ควร นํามาประพฤติปฏบิ ตั ดิ ว ยจงึ จะเกดิ ผลตามสมควรแกการปฏิบตั ิ การเรยี นรอู ยางเดียวก็เหมอื น
กับทัพพีท่ไี มรจู กั รสแกง ซ่ึงไมเ กดิ ผลอะไรเลย
๖. พระธรรมอันวิญูชนจะพึงไดเฉพาะตน
การจะรวู าหลักธรรมคาํ สอนเปน ความจรงิ ตามทีแ่ สดงไวหรือไมน นั้ จะตอ งศึกษานํามาปฏิบตั ิ
เมื่อปฏิบัตแิ ลว ก็จะรผู ลของการปฏิบตั เิ ชน นนั้ ดวยตนเอง เหมือนคนกนิ อาหารจะรรู สอาหารนัน้ ๆ วา
เปร้ียว หวาน มนั เคม็ ดว นตนเอง จะใหคนอื่นมารูรสอาหารแทนไมได
ภาพ : พระธรรม ซึ่งพระพุทธเจา ไดทรงแสดงไว
ทีม่ า : https://thaihell.wordpress.com
หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา เปน หลกั ธรรมที่แสดงเหตแุ สดงผลให
สามารถเห็นประจกั ษไดดวยตนเองวา สง่ิ ใดเปน ความดีควรกระทา ส่ิงใดเปน
ความช่วั พงึ ละเวน พุทธศาสนกิ ชนพึงยึดถือสาสัง่ สอนของพระพุทธองคเปน
หลกั ในการดาเนินชีวติ
๗
ใบกจิ กรรมที่ ๑ เรอ่ื ง พระรัตนตรยั (ธรรมคณุ ๖)
คําช้แี จง : ใหนกั เรียนพิจารณาภาพ แลวเตมิ ขอความลงในชองวา งใหถ กู ตอ ง
พระรัตนตรยั
ความหมาย ความหมาย ความหมาย
................................................... ................................................... ...................................................
................................................... ................................................... ...................................................
................................................... ................................................... ...................................................
คณุ คา คณุ คา คณุ คา
................................................... ................................................... ...................................................
................................................... ................................................... ...................................................
................................................... ................................................... ...................................................
................................................... ................................................... ...................................................
................................................... ................................................... ...................................................
................................................... ................................................... ...................................................
................................................... ................................................... ...................................................
................................................... ................................................... ...................................................
................................................... ................................................... ...................................................
................................................... ................................................... ...................................................
................................................... ................................................... ...................................................
๘
คาํ ช้ีแจง : ใหนักเรยี นเขียนผงั ความคิด เรอื่ ง ธรรมคณุ ๖
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
............................................................ ธรรมคุณ ๖ ............................................................
............................................................ ............................................................
............................................................ ............................................................
............................................................ ............................................................
............................................................ ............................................................
............................................................ ............................................................
............................................................ ............................................................
............................................................ ............................................................
............................................................ ............................................................
............................................................ ............................................................
............................................................ ............................................................
............................................................ ............................................................
............................................................ ............................................................
............................................................ ............................................................
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
...............................................................................
๙
ใบความรทู ี่ ๒ เรื่อง อรยิ สัจ ๔ ทุกข สมุทัย นโิ รธ มรรค
อริยสัจ ๔ แปลวา ความจริงอันประเสรฐิ มีอยูสป่ี ระการ คือ
ทุกข สมุทยั นิโรธ มรรค
ทกุ ข (ธรรมท่ีควรรู) : ขนั ธ ๕
องคป ระกอบของชวี ติ มี ๕ ประการ คือ รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ
๑. รปู หมายถงึ สว นท่ีเปน รา งกาย เปน การผสมกันของธาตทุ ง้ั ๔ ไดแ ก
- ธาตนุ ้ํา (อาโปธาตุ) คือสิ่งท่ีมีสถานะเปน ของเหลวในรา งกาย เชน โลหติ น้าํ
ปส สาวะ เหงือ่ เลอื ด นํา้ ลาย เปน ๑๒ อยาง
- ธาตดุ นิ (ปฐวธี าตุ) คอื สิ่งท่มี ีสถานะเปน ของแข็งในรา งกาย เชน ผิวหนงั ผม เนื้อ
เอน็ เยอื่ ในกระดกู มา ม หัวใจ พงั ผดื ไต ลําไสใ หญ ลาํ ไสเ ล็ก ตา จมูก ปาก ลําไส ตบั
กระดกู ขน เลบ็ ฟน ปอด ฯลฯ เปน ๒๐ อยา ง
- ธาตุไฟ (เตโชธาตุ) คอื อุณหภมู ขิ องรางกาย พลงั งานในการเผาผลาญอาหาร ใหเ รา
รอนในกายทาํ ใหเกดิ ความกระวนกระวายและใหค วามอบอุนแกรา งกาย
- ธาตุลม (วาโยธาตุ) คือสิ่งทมี่ ีสถานะเปนแกสหรือกาซในรา งกาย เชน ลมหายใจ
เขาออก แกส ในกระเพาะอาหาร
๒. เวทนา หมายถงึ ความรูสกึ ทีเ่ กดิ ขึน้ ตอส่งิ ท่รี บั รู เวทนา มีอยู ๓ อยาง ไดแก
- สุขเวทนา คอื ความรสู กึ สบายใจ
- ทกุ ขเวทนา คือ ความรูสึกไมส บายใจ
- อเุ บกขาเวทนา คอื ความรูสึกเฉย ๆ เปนกลาง
๓. สัญญา หมายถึง การกาํ หนดหมายรสู งิ่ ใดสง่ิ หน่งึ สัญญาแบงออกได ๖ ทางแหงการรบั รู
คอื รูป รส กลน่ิ เสยี ง สัมผสั ทางอารมณห รอื ใจ (ธรรมารมณ)
๔. สงั ขาร หมายถงึ ความนกึ คิดทเ่ี กดิ ทางใจ หรือสงิ่ ทปี่ รุงแตง จิตใหคิดดี คิดชั่ว เปน สิ่งที่
กระตนุ ผลกั ดนั ใหมนุษยก ระทาํ การ อยางใดอยางหนึ่ง เปน ผลรวมของการรบั รูท ีผ่ านมา เชน
๑. ตารับรูวตั ถสุ ่งิ หนง่ึ (วญิ ญาณ)
๒. รูส ึกวาสวยดี (เวทนา)
๓. จาํ ไดวา มันเปนวตั ถเุ หลี่ยมๆ ใสๆ (สัญญา)
๔. ทาํ ใหเกดิ สภาพปรงุ แตงจติ ใหคิดดี ชว่ั หรือเกิดแรงจูงใจผลักดันใหเอ้ือมมือ ไป
หยิบมาเพราะความอยากได ขนั้ ตอนนเ้ี รยี กวา สงั ขาร ซงึ่ เปน ขัน้ ตอนทก่ี อ ใหเกิดพฤติกรรม
ทง้ั ดี และชวั่ ได
๑๐
๕. วิญญาณ หมายถึง การรับรู ผา นประสาทสัมผสั ทั้ง ๕ และทางใจไดแ ก การเหน็ การไดยิน
การไดก ล่นิ การรูรส การสัมผสั ทางกายและ รูอารมณท างใจ ไดแก
๑. โสตวญิ ญาณ คือ การรับรทู างหู
๒. ฆานวญิ ญาณ คอื การรับรทู างจมกู
๓. จกั ขวุ ิญญาณ คือ การรับรทู างตา
๔. กายวญิ ญาณ คอื การรับรูส ัมผสั ทางกายและรอู ารมณท างใจ
๕. ชวิ หาวิญญาณ คือ การรับรูทางล้นิ
ทุกข (ธรรมทคี่ วรรู) : อายตนะ
อายตนะ คอื จดุ เชื่อมตอ ระหวา งขันธ ๕ กบั สง่ิ ที่อยภู ายนอกตวั เรา อายตนะจดั องคประกอบ
ของวญิ ญาณ คอื การรบั รู กลา วคือ ในการรบั รจู ะตองมีผรู แู ละสง่ิ ที่ถูกรู ขันธ ๕ คอื ผรู ู ซงึ่ รบั รผู า น
อายตนะภายใน ไดแ ก ตา หู จมกู ล้นิ กาย และใจ สวนสิง่ ทีถ่ กู รู คอื รปู เสียง กลิน่ รส การสมั ผสั
และการนึกคดิ (ธรรมารมณ) เรยี กวา อายตนะภายนอก
อายตนะภายใน อายตนะภายนอก
ตา (จกั ขุวญิ ญาณ) รูป - สงิ่ ท่ีเห็นดว ยตา
หู (โสตวญิ ญาณ) เสยี ง - ส่งิ ท่ีไดยนิ ดวยหู
จมูก (ฆานวิญญาณ) กลิน่ - สงิ่ ที่สดู ดมไดด ว ยจมกู
ล้นิ (ชวิ หาวิญญาณ) รส - สิ่งท่ีลิ้มรสไดดวยล้นิ
กาย (กายวิญญาณ) สัมผสั (โผฏฐัพพะ) - สิง่ ทีถ่ ูกตอ งกาย
ใจ (มโนวิญญาณ) อารมณ( ธรรมารมณ) - เรื่องทีค่ ิดขึ้นดว ยใจ
ความสาํ คัญของ ขนั ธ ๕ อายตนะ
ขันธ ๕ คอื องคป ระกอบของชวี ิต มี ๕ ประกอบคือ รปู เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ
การศึกษาหลกั ธรรมขันธ ๕ จะทําใหเราเขา ใจกระบวนการเกดิ ความรูสึกทุกขอนั เกิดจาก รูป เวทนา
สญั ญา สงั ขาร และวิญญาณ ซ่งึ เมื่อเราเขาใจเชนน้นั กจ็ ะทาํ ใหสามารถลด ละ เลิกการยึดมัน่ ถือมั่น
เพราะเปนของไมจ รี ังย่งั ยนื พระพุทธเจา ทรงใหเราทุกคนรเู ทา ทนั ตามสภาพความเปนจรงิ และเตรียม
ตวั รบั ความจรงิ
หลกั ธรรมอายตนะ ทําใหเขาการรบั รขู องสงิ่ ท่ีอยูภายในกับสิง่ ทอี่ ยูภ ายนอกสามารถกาํ หนด
และมีความสาํ รวมในอายตนะ จงึ ละจากความรสู ึกทุกขได
ดงั น้นั พทุ ธศาสนิกชนทัง้ หลายควรรูใหทนั วา ส่งิ ทีเ่ รารับรทู างตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ นน้ั ถา
เรายดึ ม่ันถอื มน่ั วาเปน ของเราก็จะเกิดทกุ ขต ามมา เราจงึ ควรมีสติกาํ กับอายตนะ เพือ่ ใหรูเทาทนั ส่งิ ที่
รับรทู างอายตนะนนั้ ๆ ได
๑๑
สมุทยั (ธรรมที่ควรละ) : หลักกรรม สมบตั ิ ๔ วิบตั ิ ๔
สมทุ ยั คือ เหตุแหง ทกุ ข เกดิ จากกิเลสที่ เรียกวา ตณั หา ๓ ไดแ ก ความอยากได (กามตณั หา)
ความอยากมีหรืออยากเปน (ภวตัณหา) และความไมอ ยากมีหรอื ไมอ ยากเปน (วิภวตัณหา) เชน
อยากเปน ผมู ีช่อื เสยี งและอํานาจ และความไมอยากมีหรอื ไมอ ยากเปน (วิภวตัณหา) เชน ไมอยาก
เปนคนท่ีมีรูปรางอวน ธรรมอันควรละเวนเพ่ือมใิ หเกิดเปนความทุกข มีดังน้ี
หลกั กรรม
กรรม แปลวา การกระทํา ซ่ึงประกอบขึ้นดว ยเจตนา คอื ต้ังใจกระทาํ แบงได ๓ ประเภท คอื
๑. การกระทําท่แี สดงออกทางกาย เรยี กวา กายกรรม
๒. การกระทําทแี่ สดงออกทางวาจา เรยี กวา วจีกรรม
๓. การกระทําทแี่ สดงออกทางใจ เรยี กวา มโนกรรม
หลักกรรม เปน เร่ืองของกฎแหงกรรม ใครกระทําส่ิงใดไว ยอ มไดรบั ผลของการกระทาํ
สมบตั ิ ๔ คือเหตปุ จจัยทดี่ ที ส่ี นับสนนุ ใหผลของกรรมดีบงั เกดิ ขึน้ และขัดขวางไมใ หผ ลของ
กรรมช่ัว บงั เกดิ ขึ้นมี ๔ ประการ คอื
๑. คติสมบัติ คอื ถนิ่ ดี ในชวงยาว หมายถึง มถี ่ินทเ่ี กดิ ท่อี ยดู ี เกิดในท่ีเจรญิ ในชวงสั้น
๒. อุปธิสมบัติ คือ รางกาย ในชว งยาว หมายถึง มีรปู รา งหนา ตาทส่ี งา สวยงาม บคุ ลกิ ภาพดี
ในชว งสน้ั หมายถึง การมีสขุ ภาพรา งกายสมบรู ณแขง็ แรง
๓. กาลสมบตั ิ คอื กาลดี ในชวงยาว หมายถงึ เกดิ มาในสมยั ทีบ่ านเมืองสงบสขุ และมีความ
เจรญิ รุงเรือง ผูคนอยใู นศีลธรรม ในชว งสน้ั
๔. ปโยคสมบตั ิ คือ องคป ระกอบดี ในชวงยาว หมายถึง ทําในสง่ิ ท่ีถูกทค่ี วร ทําสงิ่ ทตี่ นถนัด
ฝก ใฝในทางที่ถกู ในชวงส้นั
วบิ ตั ิ ๔ คอื เหตุปจจยั ท่ีไมดี ที่ขดั ขวางไมใหก รรมดีบังเกดิ ขึ้น แตส นับสนนุ ใหผลของกรรมชั่ว
บงั เกิดขึ้นแทน มี ๔ ประการ
๑. คตวิ ิบตั ิ คอื ถนิ่ ไมดี ในชว งยาว หมายถงึ มีถ่นิ กาํ เนิด หรือเกิดในถิ่นที่ไมดี ไมมีความเจริญ
ไมเหมาะสมแกการทาํ ความดี แตเหมาะสาํ หรับการทาํ ความชวั่ ในชว งสน้ั หมายถงึ การทาํ ความดไี ม
ถกู ที่ หรือ ในถิ่นท่ี
๒. อุปธิวิบัติ คือ รางกายเสยี ในชว งยาว หมายถึง การมรี า งกายไมส มประกอบ มีบุคลิกไมดี
ในชว งสน้ั หมายถงึ การมีสขุ ภาพรางกายออนแอเจ็บปว ยบอย
๓. กาลวิบตั ิ คือ กาลเสยี ในชวงยาว หมายถงึ เกดิ มาในสมยั ทบี่ านเมอื งมภี ัยพบิ ตั ิ ไมสงบสุข
ผคู นขาดศลี ธรรม ในชว งส้นั หมายถึง การกระทําส่ิงตางๆ ไมถกู เวลา
๔. ปโยควบิ ตั ิ คอื องคป ระกอบเสีย ในชว งยาว หมายถึง ทาํ ในสิ่งทไ่ี มถูกไมค วร ทําสิ่งทต่ี นไม
ถนัด ฝกใฝใ นทางทผี่ ดิ ในชวงสน้ั หมายถึง การทาํ ไมเ ตม็ ที
๑๒
อกศุ ลกรรมบถ ๑๐
อกุศลกรรมบถ หมายถึง ทางแหงอกุศล ทางแหง ความชั่ว หรือทางทําความช่ัว อันเปนทางนําไปสู
ความเส่อื ม ความทุกข มี ๑๐ ประการ แบง เปน ๓ หมวด ดังน้ี
กายทจุ รติ ๓ คอื การกระทาํ ความช่วั ทางกาย ไดแ ก
๑. การฆาสตั วต ดั ชวี ิต ทํารายผอู น่ื (ปาณาติบาต)
๒. การลกั ทรัพย หรือถือเอาของท่ผี อู ืน่ มไิ ดใหม าเปนของตน (อทินนาทาน)
๓. การประพฤตผิ ิดในกาม (กาเมสุมจิ ฉาจาร)
วจีทจุ ริต ๔ คอื การกระทําความชว่ั ทางวาจา ไดแ ก
๑. การพูดโกหก (มุสาวาท)
๒. การพดู สอ เสียด ยุยงใหแตกแยก (ปสุณาวาจา)
๓. การพูดคาํ หยาบ (ผรุสวาจา)
๔. การพูดเพอเจอ ไมมสี าระ (สัมผปั ปลาปะ)
มโนทจุ รติ ๓ คือ การกระทาํ ความช่ัวทางใจ ไดแก
๑. คิดอยากไดข องผอู น่ื
๒. คดิ ปองรา ย แคน เคอื งผูอนื่ (พยาบาท)
๓. เหน็ ผดิ จากทํานองคลองธรรม เห็นผดิ เปน ชอบ (มิจฉาทิฏฐ)ิ
อบายมุข ๖
อบายมุข หมายถึง ชอ งทางแหงความเส่อื ม ทางแหงความพนิ าศ หรือเหตุใหเกิดความยอ ยยบั
แหง โภคทรัพย เปน สงิ่ ที่ควรละเวน มี ๖ ประการ
๑. ตดิ สรุ าและของมึนเมา มีโทษ ๖ ประการ
คือ ทาํ ใหเสียทรัพย กอการทะเลาะวิวาท ทาํ ลาย
สุขภาพ เสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียง สติเส่ือมลง
๒. ชอบเท่ียงกลางคนื มีโทษ ๖ ประการ คือ
เปนการไมรกั ษาตวั ไมรกั ษาครอบครวั ไมรกั ษาทรพั ย
สมบตั ิ เปน ท่ีระแวงสงสัย เปน เปาใหเขาใสค วาม และ
เปนบอเกดิ ของเรือ่ งเดอื ดรอ นเปนอนั มาก
๓. ชอบเท่ียวดูการละเลน ทาํ ใหเกดิ โทษ เสีย ภาพ : ตดิ สุราและของมึนเมา
เวลา เสยี สมาธิ เสยี งาน เนอ่ื งจากจติ ใจกังวลแตจ ะดู ทีม่ า : http://magicdogma.blogspot.com
การละเลน นัน้ ๆ ๖ ประการ คอื รําท่ี ไหนไปทน่ี ัน่
ขับรองท่ไี หนไปที่นั่น ดนตรที ่ไี หนไปท่นี ัน่ เสภาทไ่ี หน
ไปทีน่ นั่ เพลงท่ีไหนไปท่นี ่นั และเถิดเทงิ ท่ไี หนไปทน่ี ่ัน
๑๓
นโิ รธ (ธรรมที่ควรบรรลุ) : สุข ๒ (สามิส นริ ามิส)
นิโรธ คือ ความดับทุกข หมายถึง สภาวะทที่ ุกขดับไป เมอื่ ดับสาเหตขุ องความทุกขได ความ
ทกุ ขก็จะสนิ้ ไป อนั เกิดจากการปฏิบัตธิ รรม ธรรมท่ีควรบรรลุ คอื
สามิสสุข
สามสิ สขุ คอื ความสุขทางวตั ถหุ รือความสุขทางเอหนัง บางทีเรียกวา “กามสุข” เปนความสขุ
ท่ีประสาทสัมผัสทั้ง ๕ (ตา หู จมกู ลิ้น กาย) ไดเ สพเสวยสิง่ ท่ีทําใหเกิดความพอใจ เชน ไดกินอาหาร
อรอยๆ เหน็ ภาพสวยๆ ไดอ ยใู นท่ีไมรอนไมห นาวเกินไป ไดฟ งเสยี งออ นนมุ ไพเราะ
การเสพสามิสสุขเปนของธรรมดาสําหรบั คนท่วั ไป พระพุทธศาสนาสอนเร่ือง “คิหิสุข” คือ
ความสุขของชาวบาน อันไดแ ก
๑. ความสขุ ทเี่ กิดจากการมที รัพย เรยี กวา อัตถสิ ขุ
๒. ความสขุ ที่เกดิ จากการใชจ ายทรพั ย เรียกวา โภคสขุ
๓. ความสขุ ที่เกิดจากการไมม ีหนส้ี นิ เรยี กวา อนณสุข
๔. ความสขุ ที่เกดิ จากการประพฤติในสงิ่ ที่สจุ รติ เรยี กวา อนวัชชสขุ
สามิสสุขหรือความสุขทางกายข้ึนอยกู ับวัตถุภายนอก ผูหมกมุน มัวเมาก็จะกลายเปนทาสของ
วตั ถคุ รนุ คดิ และกระวนกระวายในเร่ืองกามคุณ ๕ ตลอดเวลา การเสพความสุขประเภทน้ีควรจะมีสติ
คือตองรบั วาเปนความสุขทไี่ มแนนอน ความทกุ ขอาจเกิดไดเ สมอ เพราะเปนความสุขทขี่ ึ้นอยกู ับวัตถุ
ภายนอกโดยสนิ้ เชิง
นริ ามิสสุข ภาพ : ความสุขทางใจทไ่ี มอ ิงวตั ถภุ ายนอก
นิรามิสสุข คือ ความสุขที่ไมอิงวัตถุ ทมี่ า : https://sites.google.com/site/thrrmthan1/
ภายนอก อาจเรยี กไดงายๆ วา เปน ความสุขทางใจ
(เจตสกิ สุข) ความสุขประเภทน้ีมตี ง้ั แตขนั้ ตํ่าสดุ ไป
จนถงึ ขน้ั สูงสดุ คือ นพิ พาน ในระดบั ตนๆ คือ เปน
ความสุขทางใจในระดบั ชาวบา น ความสขุ แบบนี้
เชน การไดรับความอบอุนจากพอแม ไมมีศัตรู
ไมม ผี เู กลียดชัง มีแตผใู หความรกั ใครน บั ถอื ยึดยก
ยอ งสรรเสรญิ ขัน้ สงู ข้นึ ก็เชน การที่มจี ติ ใจสงบ ไม
คิดรายตอ ใคร ไมคดิ ฟุงซา น ทส่ี งู ขึ้นอกี ก็เชน เกิด
ความอม่ิ ใจท่ีไดเ สยี สละ ทาํ ประโยชนต อ สว นรวม
โดยไมหวงั อะไรตอบแทน จติ ใจสงบผอ งแผว ทีไ่ ด
ยกโทษใหแกผูคิดรา ยตอเรา
๑๔
มรรค (ธรรมที่ควรเจรญิ )
มรรค คือ ขอปฏิบัติ วิธหี รือหนทางทน่ี าํ ไปสูความดับทุกข เปนทางสายกลาง (มชั ฌมิ าปฏปิ ทา)
เรียกอีกอยา งหนงึ่ วา อริยมรรคมีองค ๘ ไดแก เห็นชอบ คิดชอบ เจรจาชอบ การนงานชอบ เล้ียงชพี ชอบ
เพียรชอบ ระลึก ชอบ ตั้งจิตม่นั ชอบ หลกั ธรรมท่พี งึ ปฏิบัติเพ่ือนาํ ไปสคู วามดับทุกข ไดแ ก
บพุ นมิ ติ ของมัชฌมิ าปฏิปทา
บพุ นมิ ติ ของมชั ฌมิ าปฏิปทา คือ ธรรมท่ีเปนเครื่องหมายบง บอกลว งหนาวา มรรคมีองค ๘
ประการจะเกิดข้นึ แกผูนั้น ๗ ประการ คือ
๑. ความมกี ัลยาณมติ ร (กลั ยาณมติ ตตา) หมายถึง การมีเพือ่ นดี คบหาผูท่ีมีปญญาและเปน
แบบอยางทีด่ ี
๒. ความถงึ พรอ มดว ยศีล (สลี สมั ปทา) หมายถงึ การปฏบิ ัติตนอยใู นศลี มคี วามประพฤตดิ ีงาม
๓. ความถึงพรอมดว ยฉันทะ (ฉนั ทสมั ปทา) หมายถึง มีความพอใจในการทาํ สิ่งท่ีดงี ามใฝรู
ใฝสรา งสรรค สิ่งตา งๆ อยางจริงจัง
๔. ความถงึ พรอ มทจี่ ะฝก ฝนตนเอง (อัตตสมั ปทา) หมายถงึ การฝกฝนตนเองใหม ีความพรอ ม
สมบูรณท ง้ั ทางกาย ศลี จติ และปญ ญา
๕. ความถงึ พรอมดวยทฐิ ิ (ทิฏฐิสมั ปทา) หมายถงึ ยึดมน่ั ในส่งิ ท่ถี ูกตอ งดีงามและมีเหตุผล
มองสง่ิ ทง้ั หลายตามความเปน จรงิ
๖. ความถึงพรอมดว ยความไมประมาท (อัปปมาทสมั ปทา) หมายถึง มีความกระตือรือรน ตั้งมั่น
อยใู นความไมประมาท
๗. ความถึงพรอ มดว ยโยนโิ สมนสิการ (โยนิโสมนสิการ) หมายถงึ การคิดพิจารณาโดยแยบคาย
รูจักคดิ พจิ ารณาสิง่ ท้งั หลายใหเ หน็ ความจริงและไดป ระโยชนมาพฒั นาตนเอง
ดรุณธรรม ๖
ดรุณธรรม หมายถงึ ธรรมนําไปสูความเจรญิ กา วหนา หรอื หนทางแหงความสาํ เรจ็ มี ๖
ประการ คือ
๑. อาโรคยะ คอื การรกั ษาสขุ ภาพดีทง้ั ทางรางกายและจิตใจ
๒. ศีล คือ การมีระเบียบวินัย ไมกอ ความเดอื ดรอนใหแกสงั คม
๓. พุทธานุมัติ คือ ไดคนดเี ปนแบบอยางประพฤติตามแบบอยางของคนดี
๔. สุตะ คอื ตง้ั ใจเรยี นใหร ูจรงิ คนควา ใหร ใู หเชีย่ วชาญ ตดิ ตามขาวสารใหรเู ทาทัน
๕. ธรรมานุวัติ คอื ทําแตสงิ่ ทีถ่ กู ตอ งดีงาม ดํารงมน่ั อยใู นสุจริต ท้ังในชวี ติ และการงาน
๖. อลนี ตา คอื ความขยันหมั่นเพยี ร มกี าํ ลังใจแข็งกลา ไมย อ หยอน ทอถอยเฉือ่ ยชา เพียร
พยายามหาความกาวหนาเร่อื ยไป
๑๕
กลุ จริ ฏั ฐิตธิ รรม ๔
กุลจริ ัฏฐติ ธิ รรม หมายถึง ธรรมสําหรับดาํ รงความมงั่ คง่ั ของตระกูลใหย ่งั ยนื มี ๔ ประการ คือ
๑. ทรพั ยส ินหรอื สง่ิ ของใดที่หมดหรอื หายไป ควรรจู กั หามาแทนไว (นฏั ฐคเวสนา)
๒. รูจกั ซอ มแซมบูรณะของเกาหรือของที่ชํารุดใหใ ชการได (ชณิ ณปฏสิ ังขรณา)
๓. รูจกั กิน รจู กั ใชเ ทาท่ีจําเปน ใหเ หมาะสมแกฐานะของตน (ปริมิตปานโภชนา)
๔. ตง้ั ผมู ีศีลใหเปนพอบานแมบ าน เพอื่ ความเปน สุขของครอบครวั (อธปิ จ จสลี วันตสถาปนา )
กศุ ลกรรมบถ ๑๐
กุศลกรรมบถ หมายถงึ ทางแหงกศุ ล ทางแหง ความดี หรอื ทางแหง ความดีอันเปนทางนาํ ไปสู
ความสุข ความเจริญ แบง เปน ๓ หมวด ดงั นี้
๑. กายสุจริต ๓ คือ การกระทําความดีทางกาย ไดแก
- การละเวนจากการฆาสัตวต ัดชวี ติ ทาํ รายผอู ื่น (ปาณาติปาตา เวรมณี)
- การละเวนการลักทรพั ย เอาของทผ่ี ูอ่ืนมาเปนของตน (อทนิ นาทานา เวรมณี)
- การละเวนจากการประพฤตผิ ดิ ในกาม (กาเมสมุ จิ ฉาจารา เวรมณี)
๒. วจีสจุ ริต ๔ คือ การกระทําความดีทางวาจา ไดแ ก
- การละเวน จากการพดู โกหก (มสุ าวาทา เวรมณี)
- การละเวน จากการพดู สอ เสยี ด ยยุ งใหแตกแยก (ปส ณุ าย วาจาย เวรมณี)
- การละเวนจากการพูดคําหยาบ (ผรสุ าย วาจาเย เวรมณี)
- การละเวนจากการพูดเพอเจอ ไรส าระ (สมั ผัปปลาปา เวรมณี)
๓. มโนสุจรติ ๓ คือ การกระทําความดีทางใจ ไดแก
- ไมค ิดอยากไดของผอู น่ื (อนภิชฌา)
- ไมค ดิ ปองราย ไมแคนเคอื งผูอนื่ (อพยาบาท)
- ไมเ หน็ ผิดจากทาํ นองคลองธรรม ไมเ หน็ ผดิ เปนชอบ (สัมมาทิฏฐ)ิ
สติปฏ ฐาน ๔
สติปฏ ฐาน หมายถึง ทตี่ ง้ั ของสติ การตั้งสตกิ าํ หนดพิจารราสิ่งทง้ั หลายใหเห็นตามความเปน
จรงิ มี ๔ ฐาน คอื
๑. การกาํ หนดสติพิจารณากาย (กายานปุ ส สนา) คือ พจิ ารณากายวา เปนเพียงกายไมใชตัวตน
ของเขาหรอื ของเรา
๒. การกาํ หนดสตพิ ิจารณาเวทนา (เวทนานปุ ส สนา) คือ พจิ ารณาความสุข ความทุกข
ความรสู ึกเฉยๆ
๓. การกําหนดสติพิจารณาจติ (จติ ตานปุ ส สนา) คอื พิจารณาจิตทม่ี ีสง่ิ มาปรุงแตง ท้งั จติ ฝา ย
กุศลและฝา นอกศุ ล
๔. การกําหนดสตพิ จิ ารณาธรรม (ธมั มานุปส สนา) คือ พจิ ารณาธรรมใหเหน็ ตามความเปน
จริง ผทู ส่ี ามารถกาํ หนดสติใหรูเทาทันธรรมทัง้ ๔ ประการนี้ เปนผทู ี่ดาํ รงตนอยูในความไมประมาท
เพราะมสี ตอิ ยูตลอดเวลา ดงั นน้ั หลกั ธรรมดังกลาวจึงเปนธรรมทค่ี วรเจรญิ เพ่ือความสําเร็จในชีวติ
๑๖
มงคล ๓๘
มงคล คอื ส่ิงทที่ ําใหมโี ชคดี ในทางพระพทุ ธศาสนา หมายถงึ ธรรมท่ีนํามาซึ่งความสุข ความ
เจรญิ มี ๓๘ ประการ หลักธรรมที่เปน มงคล ๓ ประการ มีดังนี้
๑. ประพฤตธิ รรม คอื การดาํ รงอยใู นศีล ประพฤติปฏบิ ตั ติ นถูกตองดีงาม ตามหลักของกศุ ล
กรรมบถ ๑๐ เพอื่ ใหไ ดรบั ผลอันเปนมงคลแกชวี ติ นน่ั คือ ความสขุ ความเจรญิ (ขอ ๑๖) ธมมฺ จรยิ า
๒. เวนจากความชวั่ คือ การละเวนจากการ
ประพฤติปฏบิ ตั ิชั่ว ตามหลักของอกศุ ลกรรมบถ ๑๐
เพือ่ ใหม คี วามบริสุทธท์ิ ั้งกาย วาจา และใจ เปน มงคล
แกชีวติ (ขอ ๑๙) อารตี วิรตี ปาปา
๓. เวน จากการดม่ื น้าํ เมา การดืม่ น้ําเมาเปน
อบายมขุ ประการหนึ่งทีจ่ ะนาํ ไปสคู วามเสื่อม รวมท้งั
การเสพส่ิงเสพตดิ ทงั้ หลายดวยเชนกัน เปนหนทางท่ี
จาํ นาํ ความเดือดรอนมาใหท้ังตอตนเองและผูอื่น
การละเวน จากสง่ิ เหลานไ้ี ดถ ือเปน มงคลอันประเสรฐิ
ที่ควรปฏบิ ัติ (ขอ ๒๐) มชชฺ ปานา จ สญฺ โม
มงคลท่ี ๓ ประการนี้สามารถปฏบิ ัตไิ ปพรอ มๆ
ไดใ นคราวเดยี วกนั ผทู ยี่ ดึ ถือปฏิบัตไิ ดย อมเกิดเปน มงคล
แกชวี ติ เพราะดํารงตนไมใหก าวไปสคู วามเส่ือมทั้งหลาย ภาพ : เวน จากการดม่ื น้ําเมา
นนั่ เอง https://sites.google.com/site/thrrmthan1/
ทมี่ า :
๑๗
ใบกิจกรรมที่ ๒ เรื่อง อริยสัจ ๔ ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค
ตอนท่ี ๑
คําช้แี จง : ใหนักเรียนยกตัวอยางจากการดําเนนิ ชีวติ ประจําวันท่ีสอดคลองกบั อริยสจั ๔ ทุกข
สมุทัย นโิ รธ มรรค
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
ต...อ..น...ท...ี่ .๒.................................................................................................................................................
คําชแ้ี จง ใหนักเรียนหาภาพขาว หรอื ขาวตัวอยา งบคุ คลที่มีคณุ ลกั ษณะตรงตามหลกั ธรรมอริยสัจ ๔
ทกุ ข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค แลว นาํ มาวเิ คราะหในหวั ขอตอไปนี้
ติดรปู ภาพหรอื ขาว ช่อื บคุ คล ..................................................
..................................................................
..................................................................
..................................................................
แหลง ขอมลู ...............................................
..................................................................
..................................................................
..................................................................
..................................................................
..................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
๑๘
ใบความรูท ี่ ๓ เรื่อง การปฏิบตั ติ นตามหลกั ธรรมพระพทุ ธศาสนา
ในกระแสความเปลย่ี นแปลงของโลกและการอยรู วมกนั อยางสนั ตสิ ขุ
โลกมกี ารเปล่ยี นแปลงอยูตลอดเวลามนุษย
จึงจําเปนตอ งแสวงหาแนวทางในการดาํ เนินชวี ติ เพื่อ
สามารถดํารงตนอยไู ดอยางมคี วามสุข หลกั ธรรม
ทางพระพุทธศาสนาจึงถกู มาประยกุ ตใชเพอ่ื แก
ปญหาดงั กลาว มดี ังนี้
๑. การปฏบิ ัติตนของชาวพทุ ธ ทามกลาง
กระแสการเปล่ยี นแปลงการปฏบิ ัติตนอยภู ายใต
กรอบหลักธรรมคําสอนของพระพทุ ธศาสนา เนน
ความสขุ สงบทางจติ ใจมากกวา วตั ถุ หลกั ธรรมที่
เหมาะสมทนี่ ํามาใช คอื มัชฌิมาปฏปิ ทา สอนให
ยึดทางสายกลาง ยนิ ดีในสงิ่ ทต่ี นหาไดอ ยางชอบ
ธรรม ความมกั นอยเปน ธรรมของผูสละโลก ภาพ : โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยตู ลอดเวลา
๒. อริยทรัพย ๗ คือทรัพยอันประเสรฐิ ท่ีมา : http://7billionspeople.weebly.com/
๗ ประการ ทอ่ี งคพระพุทธเจาทรงตรสั วามนุษยท ้งั หลายควรพึงแสวงหาทรัพยทง้ั ๗ ประการนไ้ี วก ับ
ตน อริยทรัพย ๗ ประกอบไปดว ย
๑. ศรทั ธา หมายถึง ความเชื่อ เชือ่ อยา งมีเหตผุ ล
๒. ศลี หมายถึง การรกั ษาวตั รปฏิบัติ ทง้ั ทางกาย วาจาและใจของตนใหเรยี บรอย
และมคี วามสํารวม
๓. หริ ิ หมายถึง ความละอายตอ บาปและกรรมชวั่
๔. โอตตปั ปะ หมายถงึ ความเกรงกลวั ตอ บาปและกรรมช่ัว
๕. พาหุสจั จะ หมายถึง ความเปน ผูทไี่ ดศ ึกษาเรยี นมาก ใฝรู ใฝศ ึกษาจนมคี วามรูม าก
๖. จาคะ หมายถึง การบริจาค การใหทาน ความเสยี สละชว ยเหลอื ผอู น่ื
๗. ปญ ญา หมายถงึ ความรู ความเขา ใจอยางถอ งแทลกึ ซงึ้ ในเหตุในผล เขาใจความดี
ความช่วั เขาใจความถูกและผิด ไมเอาใจเขาหาอวชิ ชา
จะเหน็ วาอรยิ ทรพั ย ๗ ประการน้ี ไมใชแกว แหวน เงินทอง หรอื ของมีคา อน่ื ๆในทางโลก แต
เปนของมีคา ในทางธรรม ทางจิตใจ ท่ีจะสามารถทําเราคนเรามคี วามสขุ ไดมากกวาและย่งั ยนื กวา
ทรพั ยใ นทางโลกทัง้ ปวง
๓. กลุ จิรฏั ฐติ ธิ รรม หมายถึง ธรรมสําหรบั ดํารงความม่ังค่งั ของตระกูลใหยง่ั ยนื มี ๔ ประการ คือ
๑. ทรพั ยส นิ หรือสิง่ ของใดที่หมดหรอื หายไป ควรรจู กั หามาแทนไว (นัฏฐคเวสนา)
๒. รจู ักซอมแซมบรู ณะของเกา หรอื ของท่ีชาํ รุดใหใชการได (ชณิ ณปฏิสังขรณา)
๓. รจู กั กิน รูจกั ใชเทาที่จําเปน ใหเหมาะสมแกฐานะของตน (ปริมติ ปานโภชนา)
๔. ตง้ั ผมู ีศีลใหเปน พอบานแมบ าน เพ่อื ความเปนระเบียบและสงบสขุ ของครอบครัว
(อธปิ จจสลี วนั ตสถาปนา )
๑๙
การปฏบิ ัตติ นเพอ่ื การอยูรวมกนั อยา งสันตสิ ุข ภาพ : การอยูร วมกนั อยางสันติสขุ
ท่มี า : นางอมรรตั น ภมู ปิ ระหมนั
การอยูรวมกันอยางสันตสิ ขุ คอื การอยู
รวมกันปราศจากความรุนแรง มีความเหน็ ขดั แยง
กันไดแตไ มจ ําเปนตอ งมคี วามรุนแรง คือมคี วามคดิ
เห็นตา งกนั แตไมทํารายกนั ทางกาย ทางใจ ทาง
วาจา วธิ ีการแกป ญ หาเก่ียวกับความรนุ แรง คอื
๑. ความรนุ แรงกบั ความยุติธรรม
สถานที่ใดทไี่ มมคี วามยตุ ธิ รรม มกั จะมีความรนุ แรงเกดิ ขึ้น นาํ มาซงึ่ ความลาํ เอยี งอนั เปนทมี่ า
ความไมย ตุ ิธรรมมีดว ยกนั ๔ ประการ เรียกวา อคติ ๔ ไดแก ทางความประพฤตทิ ผ่ี ิด มี ๔ อยา ง
๑. ฉนั ทาคติ หมายถงึ ความลาํ เอยี งเพราะรัก เพราะชอบเปน พิเศษ
๒. โทสาคติ หมายถงึ ความลําเอยี งเพราะชงั เพราะความเกลียดชัง ความไมชอบ
๓. ภยาคติ หมายถงึ ความลําเอียงเพราะกลัวหรอื เกรงใจ
๔. โมหาคติ หมายถงึ ความลําเอยี งเพราะไมรู (หลง)
อคติ ๔ หรือ ความลาํ เอียงทงั้ ๔ ประการน้ี เปนอันตรายสาํ หรับทกุ คน โดยเฉพาะคนท่เี ปน
หัวหนางาน หวั หนาครอบครัว ไมค วรมีอคตทิ ้ัง ๔ ประการนีอ้ ยใู นจิตใจ มิฉะนนั้ ผใู ตปกครองจะขาด
ความเชอื่ มั่น ไมมคี วามสุข รูส กึ ไมม น่ั คง รสู กึ วา ไมไ ดร บั ความยุติธรรม จะนาํ ไปสคู วามแตกแยกและ
ความไมสําเรจ็ ไมเจรญิ กาวหนาของการงานท้งั ปวง
๒. ความรนุ แรงกบั ความไมร ู
ความรนุ แรงบางคร้งั เกดิ ขึ้นเพราะความไมร หู รือความเขาใจผิด ชาวพทุ ธตอ งปองกนั มใิ หเ กิด
ความรุนแรง โดยปฏบิ ตั ติ นตามหลกั วฑุ ฒธิ รรม ๔ หรือ วุฒิ ๔ คือ ธรรมเปน เหตกุ ารณแ หงความเจรญิ
หมายถงึ คณุ ธรรมทเี่ ปนเครอ่ื งเพิม่ พูนความเจริญงอกงามมี ๔ ประการ
๑. สัปปุรสิ สังเสวะ คือ การเสวนากับผูรู รูจกั คบหาผูรู ผูทรงคณุ ความดี การเขาหา
บัณฑติ แสวงหาแหลงภมู ิปญญา
๒. สัทธมั มัสสวนะ คือ การฟง คาํ สอน เอาใจใสส ดบั รบั ฟงคาํ บรรยาย คาํ แนะนาํ ส่งั สอน
แสวงหาความรู ทงั้ จากตัวบคุ คลโดยตรงและจากหนงั สือแหลง ความรอู ่นื ๆ
๓. โยสโิ สมนสิการ คอื การคดิ ใหแ ยบคาย ฟงสงิ่ ใดแลวพิจารณาไตรตรอง แยกแยะให
ละเอยี ดถีถ่ ว น แสวงหาคาํ ตอบ หาเหตุผลใหถกู ตอ ง
๔. ธรรมานุธรรมปฏิบัติ คือ การปฏบิ ตั ใิ หถกู หลกั นาํ ส่งิ ทีไ่ ดเลา เรยี น รบั ฟงมาแลว
ตรติ รอง พิจารณาใหถอ งแท ใหช ดั จริง แลว ลงมอื ปฏบิ ัติตามทเี่ รียนมาน้นั
๒๐
๓. พรหมวิหาร ๔ กบั สันตสิ ุข
ความรนุ แรงบางครง้ั เกิดจากการไมมนี ํ้าใจ ไมมีความเปน มติ รตอกนั พรหมวหิ าร ๔ หมายถึง
ธรรมประจาํ ใจอนั ประเสรฐิ เปน หลักธรรมท่ีสําคัญทีส่ ดุ มีดงั น้ี
๑. เมตตา คอื ความรักใคร ปรารถนาใหผูอ่ืนไดร บั ความสขุ
๒. กรณุ า คือ ความสงสาร คดิ ชว ยใหผ ูอ่ืนพนทุกข
๓. มทุ ติ า คอื ความยนิ ดีดวยเมอ่ื ผอู ่นื มีความสขุ
๔. อุเบกขา คอื วางใจเปน กลางเม่อื เห็นผอู ื่นเปน ทุกขหรือเปน สขุ ก็รบั วาทุกอยา ง
เปน ไปตามกฎแหง กรรมตามสมควรแกเ หตุ
๔. อธิปไตย ๓ กบั สันตสิ ขุ
การที่ผูมีอํานาจในการตดั สินใจจะทําอะไรสงไปน้นั อาจยึดถือหลักอธปิ ไตย ๓ อนั หมายถงึ
ความเปนใหญ ภาวะทถี่ อื เอาเปน ใหญ ความเปนอิสระ จําแนกออกเปน ๓ อยา ง ดังนี้
๑. โลกาธิปไตย หมายถงึ การถือกระแสโลกเปนใหญ และโลกในท่นี ห้ี มายถงึ คน
ดังน้ัน โลกาธิปไตยตามความหมายนเ้ี ทยี บไดกับคําวา ประชาธิปไตยทถ่ี อื คนสวนใหญเ ปน หลัก
๒. อัตตาธิปไตย หมายถงึ การถอื ตวั เองเปน ใหญ โดยไมนําพาวา คนอน่ื จะเหน็ เปน
อยางไร จึงนา จะเทียบไดกบั คําวา เผดจ็ การ
๓. ธรรมาธิปไตย หมายถึง ถือความถูกตอ งเปนใหญ อันถอื ไดว า เปนหวั ใจที่ปรากฏอยู
ไดท้ังในโลกาธิปไตย และอตั ตาธิปไตย เพราะเปน ปจจัยสาํ คญั ในการกาํ กบั ใหผกู ระทําไมวาจะ
ถือโลกเปนใหญตามขอ ๑ หรือถือตัวเองเปนใหญตามขอ ๒ ดํารงอยูไดโดยที่ผูคนในสังคม
ยอมรับในทางตรงกันขา ม ถาไมมีธรรมาธปิ ไตยกํากับไมว า จะเปน โลกาธิปไตย หรอื อตั ตาธิปไตย
ท่ีมอี ํานาจลนฟาแคไหนถงึ จดุ หน่ึงแลว ก็ตอ งมีอันพังทลายลง เพราะผูคนในสังคมมองเห็นภยั
และลุกขึ้นมาตอ ตานพรอมกนั
๕. กุศลวติ กกบั สนั ตสิ ุข
กุศลวิตก หมายถึง การนกึ คดิ ในทางท่ีดีงาม โดยมีเหตุผลในการตรติ รกึ และนึกถงึ เรอื่ งราวตางๆ
รูเหตุแหงความเสื่อมและเหตุแหงความเจรญิ ผูท่ีนึกแตสิ่งดีงามจะชวยใหสังคมลดความรุนแรงลง
จาํ แนกออกเปน ๓ อยา ง คือ
๑. เนกขัมมวติ ก หมายถึง ความนกึ คิดในทางเสียสละ ความนกึ คิดที่ปลอดจากกาม
คอื ไมติดในการปรนเปรอสนองความอยากของตน
๒. อพยาบาทวติ ก หมายถงึ ความนกึ คิดทปี่ ลอดจากการพยาบาท หรอื ความนึกคิดที่
ประกอบดวยเมตตา คอื ไมคิดขัดเคืองหรือพยาบาทมุงรา ยบคุ คลอื่น
๓. อวหิ งิ สาวติ ก หมายถงึ ความนกึ คิดท่ปี ลอดจากการเบียดเบยี น ความนึกคิดท่ปี ระกอบ
ดว ยกรณุ าไมคดิ รายหรือมุงทําลาย
๒๑
๖. สงั คหวัตถกุ บั สนั ตสิ ขุ
สังคหวัตถุ หมายถงึ วิธปี ฏิบตั เิ พ่ือยดึ เหนีย่ วน้าํ ใจคนอน่ื ท่ยี ังไมเคยรกั ใครน บั ถือ หรือทีรักใคร
นบั ถืออยแู ลวใหสนิทแนบแนน ย่งิ ข้ึน กลาวอยา งงายๆ สังคหวตั ถุ คอื เทคนิควีท่ีทําให คนรักหรอื มนต
ผูกใจคนนั่นเอง มที ง้ั หมด ๔ ประการ
๑. ทาน คือ การให การเสยี สละ
๒. ปยวาจา คอื การพดู จาดว ยถอยคาํ ที่ไพเราะออ นหวาน พูดดวยความจรงิ ใจ
๓. อตั ถจรยิ า คือ ประพฤตใิ นส่งิ ท่เี ปน ประโยชนแกผอู น่ื
๔. สมานัตตา คอื การเปน ผเู สมอตน เสมอปลาย
๗. สาราณียธรรมกบั สันติภาพ
สาราณียธรรม แปลวา ธรรมหรอื ส่งิ ท่ีเปนเหตใุ หร ะลึกถึงกันเปน หลักการอยรู วมกนั จดุ หมาย
เพอ่ื ตอ งการสอนใหคนสมัครสมานสามัคคีกัน มที ้งั หมด ๖ ประการ
๑. กายกรรม อนั ประกอบดว ยเมตตา คอื การกระทําทางกายท่ีประกอบดวยเมตตา
เชน การใหการอนุเคราะหชวยเหลอื และเอือ้ เฟอตอผูอ ่ืน ไมร งั แกทํารายผอู ่นื
๒. วจีกรรม อันประกอบดวยเมตตา คือ การมวี าจาท่ีดี สุภาพ ออนหวาน พดู มีเหตผุ ล
ไมพูดใหร ายผอู ่ืนทาํ ใหผ ูอื่นเดอื ดรอน
๓. มโนกรรมอัน ประกอบดวยเมตตา คอื ความคดิ ที่ประกอบดวยเมตตาทงั้ ตอหนา
และลบั หลงั เปน การคดิ ดตี อ กนั ไมคิดอจิ ฉาริษยาหรอื ไมค ดิ มุงรา ยพยาบาท หากทกุ คนคดิ แลว
ปฏบิ ัติเหมอื นกนั ความสามคั คีก็จะเกิดข้ึนในสังคม
๔. สาธารณโภคี คือ การรูจกั แบงส่งิ ของใหก นั และกนั ตามโอกาสอันควร เพอ่ื แสดง
ความรกั ความหวงั ดีของผทู ี่อยใู นสงั คมเดียวกัน
๕. สีลสามัญญตา คือ ความรกั ใครส ามคั คี รกั ษาศลี อยา งเหมาะสมตามสถานะของตน
มคี วามประพฤตสิ ุจริตปฏบิ ตั ิตามกฎเกณฑข องหมคู ณะ ไมเอารัดเอาเปรียบผอู ่ืน
๖. ทิฏฐสิ ามัญญตา คอื การมีความเห็นรวมกัน ไมเ หน็ แกต วั รจู กั รบั ฟง ความคิดเห็น
ของผอู นื่ รวมมือรวมใจในการสรางสรรคส งั คมใหเกดิ ความสงบ
ภาพ : การอยูร ว มกันอยางสันตสิ ขุ
ท่ีมา : นางอมรรตั น ภมู ิประหมัน
๒๒
ใบกิจกรรมท่ี ๓ เร่ือง การปฏิบัตติ นตามหลกั ธรรมพระพทุ ธศาสนา
ในกระแสความเปลยี่ นแปลงของโลกและการอยูรวมกนั อยางสันตสิ ขุ
คาํ ชีแ้ จง : ใหนกั เรยี นเตมิ คําหรอื ขอ ความลงในชองวางใหถูกตอ ง
๑. สง่ิ สุดข้วั ๒ ทาง ทีพ่ ระพทุ ธเจาทรงคน พบ หลักธรรมที่ทรงนาํ มาแกไ ข คอื
................................................................................................................................................................
๒. การเขาไปชวยกจิ กรรมชว ยเหลอื ทางสังคม ควรนาํ หลักธรรมใดมาประยกุ ตใช
................................................................................................................................................................
๓. หลักธรรมทช่ี ว ยแกค วามลําเอยี งในสังคมที่กอ ใหเกิดความไมย ตุ ธิ รรม คอื
................................................................................................................................................................
๔. หลักธรรมที่ชว ยรักษาความม่ันคงของวงศต ระกูล คือ
................................................................................................................................................................
๕. เพอ่ื ปองกันความรุนแรงจากความไมรู และเพอ่ื ใหเกิดความเจริญงอกงามในสงั คม ควรนาํ หลักธรรม
......................................................................................................................................... ใหเกดิ สงบสขุ
๖. หวั ใจหลกั ของการบริหารหลักธรรมสําหรบั นกั ปกครอง คอื
................................................................................................................................................................
๗. การปกครองทีม่ กั นําไปสูความไมสงบภายในประเทศ ผนู าํ มักจะนําระบบการปกครอง
................................................................................................................................................................
มาปกครอง ในพระพุทธศาสนาเรียกวาระบบการปกครอง.....................................................................
๗. การปกครองทถี่ ือประชาธปิ ไตยที่ถือคนสว นใหญเปน หลกั ผนู ํามักจะนําระบบการปกครอง
................................................................................................................................................................
๘. หลักธรรมที่ใชเ ปนเคร่ืองยดึ เหนี่ยวน้าํ ใจคนอ่ืน คือ
................................................................................................................................................................
๙. หลกั ธรรมที่สง เสริมคดิ แตส ่งิ ดงี าม ลดความรนุ แรงในสงั คม คือ
................................................................................................................................................................
๑๐. หลักธรรมทส่ี รา งความสามัคคี คือ
................................................................................................................................................................
๒๓
แบบทดสอบหลังเรียน
เลมที่ ๓ เร่อื ง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
คาํ ชแ้ี จง ใหน ักเรียนทําเคร่ืองหมาย ลงบนหนาขอ ที่ถูกตอ งมากที่สดุ
๑. ขอ ใด คอื ความสขุ ท่เี กิดจากการมีทรัพย
ก. อนวชั ชสขุ
ข. โภคสุข
ค. อนณสุข
ง. อัตถสิ ุข
๒. อาํ นาจขโมยโทรศพั ทเคร่ืองใหมข องเพ่อื นเพราะความอยากได จากเหตกุ ารณน ี้ตรงมี
ความสัมพันธตรงกบั อกุศลกรรมบถ ๑๐ ขอใด
ก. กายทจุ รติ วจีทจุ รติ
ข. วจีทุจริต มโนทจุ รติ
ค. กายทุจริต มโนทจุ รติ
ง. กายทุจริต วจที ุจรติ มโนทุจริต
๓. บคุ คลหวานพชื เชน ไร ยอมไดร บั ผลเชนนนั้ มคี วามสมั พันธกบั ขอ ใดมากท่ีสุด
ก. กงเกวียน กําเกวยี น
ข. ทําดีไดด ี ทาํ ชว่ั ไดชัว่
ค. น้ําขุน อยูใ น นํา้ ใสอยูนอก
ง. ความรูท ว มหวั เอาตัวไมรอด
๔. การกระทาํ ของบุคคลในขอใดสอดคลอ งกับหลักกรรมดที ่ีใหผ ล “สมบัติ ๔”
ก. ทองกวาขยนั เรียนมากข้นึ เพราะไมอ ยากเรยี นซํา้ ช้ันอีก
ข. เฉลมิ พลไมชอบเรยี นภาษาองั กฤษถูกแมบงั คับใหท อ งศัพททกุ วัน
ค. ฤทธไ์ิ กรตองรบี กลบั บานมาชวยพอ แมตงั้ รา นขายเส้ือผา ทีต่ ลาดนัด
ง. ประกายดาวขยันทํางานทําใหเลือ่ นตําแหนงเปนหัวหนา งานฝายบุคคล
๕. องคประกอบของขันธ ๕ คอื
ก. รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ข. กล่นิ รูป รส สัมผัส สัญญา สงั ขาร
ค. เวทนา อารมณ สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ
ง. รส เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ
๒๔
๖. การคิดใหแ ยบคาย ฟงสิง่ ใดแลว พจิ ารณาไตรตรอง แยกแยะให ละเอยี ดถ่ถี วน แสวงหา
คําตอบ หาเหตุผลใหถกู ตอง จากขอความดังกลาวมคี วามสัมพันธกบั ขอ ใดมากทส่ี ดุ
ก. ความมกี ัลยาณมิตร
ข. ความถึงพรอมดวยฉันทะ
ค. โยนิโสมนสกิ าร
ง. อรยิ สัจ ๔
๗. หลกั ปฏบิ ัตใิ นการทาํ ใหครอบครัวมคี วามสขุ สอดคลองกับกลุ จฏิ ฐติ ธิ รรม ๔ ขอ ใดมากทสี่ ุด
ก. แมของนกนอ ยทําบญั ชีครวั เรอื นประมาณการใชจายในครอบครัว
ข. พอ ของมนเู ปนคนรกั ครอบครัวและรกั ลกู มากชอบชว ยแมทาํ งานบา น
ค. แมข องวนดิ าเกบ็ เส้อื ผาเกา ของตัวเองมาแกเยบ็ ใหมใ หทนั สมยั ใสไปทํางาน
ง. พอและแมข องพลอยใสไปเดนิ หา งทุกวันอาทิตยช วยกันเตรยี มของกินของใชไว
ไมใ หข าด
๘. องอาจเกบ็ โทรศัพทไดจากสนามฟุตบอลจงึ นาํ ไปคืนครปู ระจาํ ชั้น จากขอความดงั กลา ว
มีความสมั พนั ธกับขอใดมากท่สี ดุ
ก. กายสุจรติ มโนสุจรติ
ข. วจีสุจริต กายสจุ ริต
ค. มโนสุจริต วจีสุจรติ
ง. กายสจุ รติ มโนทุจริต วจสี จุ ริต
๙. อนณสุข มคี วามสมั พนั ธกบั ขอ ใดมากท่สี ดุ
ก. เดนชัย เปน คหบดีในจังหวดั ทผ่ี คู นนับถือ
ข. สนิ เปนกรรมกรรับจางแตไมเ คยเปนหน้ใี คร
ค. กนกพร กนิ อาหารภตั ตาคารเปนประจาํ เม่ือถึงวนั หยดุ
ง. จนิ ดามณชี อบเดินทางทองเทยี่ วในประเทศไทยมากท่ีสดุ
๑๐. วิภานกั ศกึ ษาแพทยจ บใหม หลักธรรมใดหากวิภานาํ ไปปฏบิ ัติตามแลว จะเปน หนทางไปสู
ความเจริญกาวหนาของชวี ติ ในอนาคต
ก. สขุ ๒
ข. ดรณุ ธรรม ๖
ค. กศุ ลกรรมบถ ๑๐
ง. กุลจิรัฏฐติ ธิ รรม ๔
๒๕
ภาคผนวก
๒๖
เฉลยแบบทดสอบกอ นเรยี น
ขอ เฉลย
๑ข
๒ก
๓ก
๔ง
๕ค
๖ข
๗ข
๘ค
๙ก
๑๐ ง
๒๗
เฉลยใบกิจกรรมที่ ๑ เรอ่ื ง พระรตั นตรยั (ธรรมคณุ ๖)
คําชีแ้ จง : ใหน กั เรียนพิจารณาภาพ แลวเติมขอความลงในชองวา งใหถูกตอ ง
พระรตั นตรัย
ความหมาย ความหมาย ความหมาย
..พ...ร..ะ..ผ..ตู...ร..ัส..ร..ู..ห..ร..ือ...พ...ร..ะ..พ...ุท..ธ...เ.จ..า.... .ห..ล...ัก..ธ..ร..ร..ม...ท...่ีพ..ร..ะ...พ...ุท..ธ...เ.จ..า..ท...ร..ง...... ส...า..ว..ก..ผ...ูส..ืบ...ท...อ..ด..พ...ร..ะ...พ..ุท...ธ..ศ...า..ส..น...า..
................................................... .ค..น...พ...บ....แ..ล...ะ..ส..ั่ง..ส..อ...น...ช..า..ว..โ.ล...ก......... ...................................................
................................................... ................................................... ...................................................
คุณคา คณุ คา คณุ คา
.พ...ร..ะ..พ...ทุ...ธ..เ.จ...า..ท..ร..ง..เ..ป..น...ผ..มู...ีป...ญ...ญ...า.. ...ห..ล...ัก..ธ..ร..ร..ม...อ..ัน...เ.ป...น ..ค...ว..า..ม...จ..ร..ิง..ท..ี่... .พ...ร..ะ..ส...ง..ฆ..ผ...ูส..บื...ท..อ...ด..พ...ร..ะ..พ...ุท...ธ........
.ม...า..ก....ต..ร..สั...ร..ชู ..อ..บ...ด...ว ..ย..พ...ร..ะ..อ...ง..ค...... ...พ..ร..ะ...พ..ุท...ธ..เ..จ..า..ท...ร..ง.ค...น...พ..บ...แ...ล..ว...... .ศ...า..ส..น...า...ท...าํ ..ห..น...า..ท...เี่.ผ...ย..แ..ผ...พ ...ร..ะ......
.เ..อ..ง...ท...ร..ง..ม..ีพ...ร..ะ..บ...ร..สิ...ทุ ..ธ..ค์ิ...ุณ............ ...น..าํ..ไ..ป..เ..ท..ศ...น..า....ส..่งั..ส..อ...น...แ..ก..ช...า..ว..โ.ล...ก .ธ..ร..ร..ม...ค..า..ส...อ..น...แ..ก...ม..น...ุษ...ย..ช..า..ต...ิ.......
.ป...ร..า..ศ...จ..า..ก..ก...ิเ.ล..ส...ท..ัง้..ก...า..ย....ว..า..จ..า...ใ..จ. ...แ..ม..พ...ร..ะ...พ..ทุ...ธ..เ.จ...า..เ.ส..ด...จ็..ด...บั ..ข...ัน..ธ..... .พ...ร..ะ..ส...ง..ฆ..ถ...อื ..เ.ป...น...เ.น...ือ้ ..น...า..บ..ญุ....ข..อ..ง...
.แ...ล..ะ..ท...ร..ง..ม..พี...ร..ะ...ก..ร..ณุ....า.ธ...คิ ..ุณ....อ..นั...... ...ป..ร..นิ...ิพ...พ...า..น..ไ..ป..แ...ล..ว....แ..ต...พ..ร..ะ......... .โ..ล..ก...เ.ป...น ..ผ...ูป..ฏ...บิ...ตั ..ิด...ี .ป...ฏ...บิ ..ัต...ชิ ..อ...บ....
.ย...ง่ิ ..ใ.ห...ญ.....ท..ร..ง..ส..ล...ะ..ค...ว..า..ม..ส...ุข..ส..ว...น.... ...ธ..ร..ร..ม..ว..นิ...ัย..ย...ัง..ค..ง..อ..ย...ู .พ...ร..ะ..ส...ง..ฆ...... .จ...ึง.ม...คี...ณุ ...อ..น...นั...ต..ท...่ีค..ว...ร.แ...ก..ก...า..ร........
.พ...ร..ะ..อ...ง..ค..อ...อ..ก..เ..ท..ศ...น...า...ส..ั่ง..ส...อ..น....... ...ส..า..ว..ก..ไ..ด..น...า..ห...ล..กั...ธ..ร..ร..ม..น...้นั...ไ.ป........ .เ.ค...า..ร..พ..........................................
.ม...น...ษุ ..ย... .เ.ท...ว..ด...า...พ...ร..ห..ม....ม...า..ร...ใ..ห..... ...ส..ืบ...ท..อ...ด..แ...ล..ะ..เ..ผ..ย..แ...ผ..แ..ก...พ...ุท...ธ....... ...................................................
.พ...น...จ..า..ก...ท..ุก...ข..ท...้งั..ป..ว...ง.................... ...บ..ร..ิษ...ทั....ช...า.ว...พ..ทุ...ธ..ท...ี่ด..จี...ึง..ค..ว..ร......... ...................................................
................................................... ...ป..ฏ...บิ...ัต..ิต...น..ต...า..ม..ห...ล..ัก...ธ..ร..ร..ม..อ...ย..า..ง... ...................................................
................................................... ...ถ..ูก..ต...อ..ง..เ.ห...ม...า..ะ..ส..ม........................ ...................................................
๒๘
คําชแี้ จง : ใหนักเรียนเขียนผงั ความคดิ เรื่อง ธรรมคุณ ๖
..............๑.....พ..ร..ะ...ธ..ร..ร..ม..อ..ัน...พ...ร..ะ..ผ..มู...ีพ...ร..ะ..ภ..า..ค...เ.จ..า....ท..ร..ง...
.แ..ส...ด..ง..ไ..ว..ด..แี..ล...ว ...ห...ล..ัก...ค..าํ..ส..อ...น..ใ..น..พ...ร..ะ..พ...ุท...ธ...ศ..า..ส...น..า.......
.น...ัน้ ..เ..ป..น...ผ..ล...ม..า..จ..า..ก...ก..า..ร..ต..ร..ัส...ร..ขู ..อ..ง..พ...ร..ะ..พ...ทุ ..ธ...เ.จ..า...เ..ช..น....
.พ...ร..ะ..อ...ง.ค...ท ..ร..ง....แ..ส..ด...ง..ว..า .อ...ะ..ไ..ร..เ.ป..น...ค..ว...า..ม..ท...กุ ..ข..จ...ร..ิง...ท..ร..ง.
.แ..ส...ด..ง..ว..า..อ..ะ...ไ.ร..เ.ป...น...เ.ห...ต..ใุ.ห...เ.ก...ิด..ค...ว..า..ม..ท...ุก..ข..ก...็เ.ป...น..เ..ห..ต...ุ ..
.ใ..ห..เ..ก..ิด..ค...ว..า..ม..ท...ุก..ข...จ..ร..ิง...............................................
.............๒.....พ...ร..ะ..ธ..ร..ร..ม....ผ..ูป...ฏ..ิบ...ตั...จิ ..ะ..เ.ห...น็.... ธรรมคุณ ๖ ...............๓.....พ..ร..ะ...ธ..ร..ร..ม..ไ..ม..ข...้นึ ..อ...ย..กู ..บั.........
.ด..ว..ย..ต...น..เ..อ..ง...ห...ล..กั...ค..าํ..ส..อ...น..ท...ี่พ...ร..ะ..พ...ทุ ..ธ..เ..จ..า. ..ก...า..ล..เ.ว..ล...า...ห..ล...กั ..ธ..ร..ร..ม...ค..ํา..ส...อ..น...ท..ั้ง..ห...ม..ด.....
.ท..ร..ง..แ..ส...ด..ง..ไ..ว..น ..ัน้....เ.ช...น ....ท..ร..ง..แ..ส...ด..ง..ว..า..ก..า..ร... ..เ..ป..น...ห..ล...กั ..ค...ว..า..ม..จ..ร..ิง..ท...ไ่ี .ม...เ .ป...ล..ี่ย..น...แ..ป...ล..ง....
.ด..ืม่...ส..รุ ..า..เ.ป...น..อ...บ..า..ย...ม..ขุ..เ..ป..น...ท...า.ง..แ...ห..ง..ค...ว..า.ม.. ..เ..ป..น...อ..ย..า..ง..อ...ื่น..ไ..ป..ต...า..ม..ก...า.ล...เ.ว..ล...า...เ.ช..น........
.เ.ส..่อื...ม.....ใ.ค...ร..ก..ต็ ..า..ม...ห...า.ก...ด..่มื...ส..รุ ..า..แ..ล...ว..จ..ะ..ร..ู .. ..ท...ร..ง..แ..ส..ด...ง..ว..า ...ค..ว...า.ม...เ.ก...ีย..จ..ค...ร..า.น...ไ..ม..ด..ี.....
.ไ.ด...ด ..ว..ย..ต...น..เ..อ..ง..ว..า...ค...ว..า..ม..เ.ส...่ือ..ม...ท..้งั..ห...ล..า..ย.... ..แ...ม..จ..ะ...เ.ร..ยี ..น...ห..น...งั..ส..อื..ก...จ็ ..ะ..ไ..ม..ป...ร..ะ..ส..บ.........
.เ.ก..ดิ...ข..น้ึ...เ.พ...ร..า..ะ..ต..น....ด...ม่ื ..ส..รุ..า..น...่ัน..เ..อ..ง............ ..ผ...ล..ส..าํ..เ..ร.จ.็ .............................................
..............๔......พ...ร..ะ..ธ..ร..ร..ม..ค...ว..ร..เ.ร..ีย..ก...ใ.ห...ม ..า..... ..............๕.....พ...ร..ะ..ธ...ร..ร..ม..ค..ว..ร..น...อ..ม...น..ํา..ม...า....
.ด...ู .ห...ล..ัก..ธ...ร..ร..ม..ค..ํา..ส...อ..น...ท..ไ่ี..ด..ส...ั่ง.ส...อ..น...ไ.ว..น...้ัน... ..ป...ร..ะ..พ...ฤ..ต..ปิ...ฏ...บิ ..ตั...ิ .ห...ล..ัก..ธ...ร..ร.ม...ค..าํ..ส...อ..น...ท..่ี..
.พ...ร..อ..ม...ท...ีจ่ ..ะ..ใ..ห..ใ..ค..ร..ม...า.ศ...กึ..ษ...า..พ...จิ ..า..ร..ณ...า...... ..ไ..ด..ท...ร..ง..แ..ส..ด...ง.ไ..ว..น...น้ั ..ไ..ม..ใ..ช..แ..ส...ด..ง..ไ.ว..เ..พ..่อื...ใ.ห..
.ต...ร..ว..จ..ส..อ...บ..ท...ด..ล...อ..ง..แ..ล...ะ..ป...ฏ..ิบ...ตั ..ิด...ไู .ด... ....... ..ศ...กึ ..ษ...า..เ.ร..ีย..น...ร..ูแ..ต..เ..พ..ยี...ง..อ..ย..า..ง..เ.ด...ีย..ว...แ...ต.....
.เ..ส..ม..อ....ไ..ม..ไ..ด..ก..ํา..ห...น...ด..ไ..ว..ว..า ..ต..อ..ง..เ..ป..น........... ..ค...ว..ร..น..ํา..ม...า.ป...ร..ะ..พ...ฤ..ต...ิป...ฏ..ิบ...ัต..ดิ...ว ..ย..จ..ึง..จ..ะ.....
.ช...า..ว..พ..ุท...ธ..เ.ท...า..น...้นั .................................... ..เ.ก...ดิ ..ผ...ล..ต..า..ม...ส..ม..ค...ว..ร..แ..ก...ก..า..ร..ป...ฏ..บิ...ัต..ิ........
............................................................ ............................................................
.............๖.....พ..ร..ะ...ธ..ร..ร..ม..อ..นั...ว..ญิ.......ูช..น..จ...ะ..พ...ึง..ไ.ด..เ..ฉ..พ...า..ะ......
ต...น...ก...า..ร..จ..ะ..ร..ูว..า..ห...ล..กั...ธ..ร..ร..ม..ค...าํ .ส...อ..น...เ.ป...น..ค...ว..า..ม..จ..ร..ิง.........
ต...า..ม..ท...ี่แ..ส..ด...ง..ไ.ว..ห...ร..อื ..ไ..ม..น...น้ั ....จ..ะ..ต...อ..ง..ศ..กึ...ษ..า..น...าํ ..ม..า..ป...ฏ..บิ...ัต..ิ
เ.ม...ือ่..ป...ฏ...บิ ..ตั...ิแ..ล..ว..ก...็จ..ะ..ร..ผู...ล..ข..อ...ง.ก...า..ร..ป..ฏ...ิบ...ตั ..เิ.ช...น ..น...น้ั ..ด...ว..ย...
ต...น..เ.อ...ง......................................................................
...............................................................................
๒๙
เฉลยใบกจิ กรรมท่ี ๕ เรือ่ ง อรยิ สัจ ๔ ทุกข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค
ตอนที่ ๑
คาํ ชแี้ จง : ใหนักเรียนยกตวั อยางจากการดาํ เนนิ ชีวติ ประจําวันที่สอดคลองกับอริยสจั ๔ ทุกข
สมุทัย นโิ รธ มรรค
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.......................................................อ...ย..ูใ.น...ด..ุล...พ..ิน...จิ..ข...อ..ง..ค..ร..ูผ...สู ..อ..น................................................................
.............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
ต...อ..น...ท...ี่ .๒.................................................................................................................................................
คําชแ้ี จง ใหนกั เรยี นหาภาพขาว หรอื ขาวตวั อยา งบคุ คลที่มีคณุ ลกั ษณะตรงตามหลักธรรมอรยิ สัจ ๔
ทกุ ข สมทุ ัย นิโรธ มรรค แลวนาํ มาวเิ คราะหในหัวขอตอไปนี้
ติดรปู ภาพหรอื ขาว ชอ่ื บคุ คล ..................................................
..................................................................
..................................................................
..................................................................
แหลง ขอมูล...............................................
..................................................................
..................................................................
..................................................................
..................................................................
..................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..........................................................อ..ย...ใู .น...ด..ุล..พ...นิ...ิจ..ข..อ...ง..ค..ร..ูผ..ูส...อ..น.............................................................
.............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
๓๐
เฉลยใบกจิ กรรมท่ี ๓ เรอื่ ง การปฏบิ ัติตนตามหลกั ธรรมพระพทุ ธศาสนา
ในกระแสความเปล่ยี นแปลงของโลกและการอยรู วมกนั อยางสันติสขุ
คาํ ช้ีแจง : ใหนักเรยี นเติมคําหรือขอ ความลงในชองวา งใหถ ูกตอง
๑. ส่ิงสดุ ขัว้ ๒ ทาง ทพี่ ระพุทธเจาทรงคน พบ หลกั ธรรมที่ทรงนํามาแกไ ข คอื
.....ค...ือ...ม...ชั ..ฌ...มิ...า..ป..ฏ...ิป...ท..า....ส..อ..น...ใ..ห..ย..ดึ...ท..า..ง..ส...า.ย...ก..ล...า.ง....ย..นิ...ด..ใี.น...ส..ง่ิ..ท...่ตี ..น...ห...า.ไ..ด..อ...ย..า..ง..ช..อ...บ..ธ..ร..ร..ม..............................
๒. การเขา ไปชว ยกจิ กรรมชวยเหลือทางสังคม ควรนําหลักธรรมใดมาประยกุ ตใช
......ส...ัง.ค...ห..ว..ตั...ถ..กุ...บั ..ส...ัน..ต...ิส..ขุ...........................................................................................................................
๓. หลกั ธรรมท่ีชว ยแกความลําเอียงในสังคมท่กี อ ใหเกิดความไมยตุ ธิ รรม คอื
......อ...ค..ต...ิ .๔....ห...ร..ือ....ค..ว..า..ม..ล...าํ ..เ.อ..ีย...ง..ท..ง้ั...๔..........................................................................................................
๔. หลักธรรมทีช่ วยรกั ษาความมั่นคงของวงศตระกลู คือ
.......ห...ล..ัก..ธ..ร..ร..ม...ก..ุล...จ..ริ ..ฏั ..ฐ...ิต..ธิ..ร..ร..ม...................................................................................................................
๕. เพ่ือปองกันความรุนแรงจากความไมร ู และเพอื่ ใหเกดิ ความเจริญงอกงามในสงั คม ควรนาํ หลกั ธรรม
..........ว..ฑุ ..ฒ....ธิ ..ร..ร..ม....๔....ห..ร..ือ....ว..ุฒ...ิ..๔....ค..ือ....ธ..ร..ร..ม..เ..ป..น...เ.ห...ต..ุก...า..ร.ณ....แ..ห...ง..ค..ว..า..ม...เ.จ..ร..ิญ............................ ใหเกดิ สงบสขุ
๖. หัวใจหลกั ของการบริหารหลกั ธรรมสําหรับนกั ปกครอง คอื
..........ห..ล...กั ..ธ..ร..ร..ม..ธ..ร..ร..ม...า..ธ..ปิ...ไ.ต..ย....ถ..ือ...ค..ว..า..ม...ถ..ูก..ต...อ ..ง..เ.ป...น...ใ.ห...ญ... .........................................................................
๗. การปกครองท่มี กั นําไปสูค วามไมส งบภายในประเทศ ผนู าํ มกั จะนาํ ระบบการปกครอง
.........ก..า..ร..ถ..ือ...ต..ัว..เ..อ..ง..เ.ป...น..ใ..ห..ญ.....ไ.ม...น..ํา..พ...า..ว..า..ค...น..อ...น่ื ..จ..ะ...เ.ห..็น...เ.ป...น...อ..ย..า..ง..ไ..ร...จ..งึ..น...า.จ...ะ..เ.ท...ีย..บ...ไ.ด...ก ..ับ...ค..ํา..ว..า....เ.ผ..ด..็จ...ก..า..ร....
มาปกครอง ในพระพุทธศาสนาเรยี กวาระบบการปกครอง.....อ..ัต..ต...า..ธ..ปิ ..ไ..ต..ย...............................................
๗. การปกครองทถี่ อื ประชาธปิ ไตยที่ถือคนสว นใหญเปนหลัก ผูน าํ มักจะนําระบบการปกครอง
.........โ.ล...ก..า..ธ..ปิ...ไ.ต...ย...ห...ม..า..ย...ถ..ึง...ก..า..ร..ถ...ือ..ก..ร..ะ...แ..ส..โ..ล..ก...เ.ป..น...ใ.ห...ญ.....แ..ล..ะ...โ.ล..ก...ใ.น...ท...ี่น..ีห้...ม..า..ย..ถ...งึ ..ค..น..................................
๘. หลักธรรมท่ีใชเ ปนเครือ่ งยึดเหน่ยี วน้าํ ใจคนอนื่ คือ
.........ห..ล...กั ..ธ..ร..ร..ม...ส..ัง..ค..ห...ว..ตั..ถ...ุก..ับ...ส..ัน...ต..ิส..ุข.........................................................................................................
๙. หลักธรรมท่สี งเสริมคิดแตส ิ่งดีงาม ลดความรุนแรงในสังคม คือ
.........ห..ล...ัก..ธ..ร..ร..ม...พ..ร..ห...ม..ว...หิ ..า..ร...๔.....ก..บั...ส..นั...ต..ิส..ขุ.................................................................................................
๑๐. หลักธรรมทส่ี รางความสามคั คี คอื
.........ห..ล...ัก..ธ..ร..ร..ม...ส..า..ร..า..ณ...ีย...ธ..ร..ร..ม..ก..ับ...ส..ัน...ต..ภิ...า..พ................................................................................................
๓๑
เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น
ขอ เฉลย
๑ค
๒ข
๓ง
๔ก
๕ค
๖ข
๗ง
๘ค
๙ข
๑๐ ก
๓๒
บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ. สาํ นกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา. (๒๕๔๗). เรยี นรจู ากกระแสพระราชดํารสั พระบาท
สมเด็จพระเจาอยหู ัวพระราชทานเม่อื วนั ท่ี ๔ ธันวาคม ๒๕๔๖ ท่ีเกีย่ วของกับการศึกษา. กรุงเทพฯ :
สํานักงานเลขาธิการสภาการศกึ ษา.
_______________. (๒๕๕๒). หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ :
โรงพมิ พช ุมนุมสหกรณการเกษตรแหง ประเทศไทย.
_______________. (๒๕๕๑). หนงั สอื เรียน รายวิชาพน้ื ฐาน กลุมสาระการเรียนรสู งั คมศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ พระพทุ ธศาสนา ม.๒.
กรงุ เทพฯ : โรงพิมพคุรสุ ภาลาดพรา ว.
ณัทธนัท เล่ียวไพโรจน. (๒๕๕๘). หนงั สอื เรียน รายวิชาสังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ ๒
กลุมสาระการเรยี นรูส งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน
พุทธศกั ราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั พฒั นาคุณภาพวิชาการ (พว.) จํากัด.
สถาบนั พฒั นาวชิ าการ. (๒๕๕๘). คูมอื ครูหนงั สือเรียนสาระการเรียนรูพื้นฐาน สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ชั้นมัธยมศึกษาปท ี่ ๒ ตามหลักสตู รการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ : บริษัทพัฒนา
คุณภาพวชิ าการ(พว.) จาํ กัด.
อรทิรา รัตนพ งษโ สภิต. (๒๕๕๒). New สรปุ เขม สังคมศึกษา ม.๒. กรงุ เทพฯ : สํานักพิมพวัฒนาพานชิ .
๓๓