นิทาน เรื่อง กระต่ายแสงจันทร์ ในตำนานเก่าแก่ของชาวกระต่าย เรื่องเล่าถึง ‘กระต่ายแสงจันทร์’ ผู้คอยปกป้องและช่วยเหลือช่วยเหลือกระต่าย น้อยทั้งหลายให้พ้นจากอันตรายต่างๆเด็กเด็กชอบกระต่ายต่างมีกระต่ายแสงจันทร์เป็นพระเอกในดวงใจกันทั้งนั้น กระต่ายตัวน้อยน้อยทั้งหลายมักจะฟุ้งฝันอยากเป็นกระต่ายแสงจันทร์ในวันที่พวกเขาโตขึ้น ‘ เจ้าเมฆขาว’ เป็นกระต่ายน้อยอีกตัวนึงที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นกระต่ายแสงจันทร์ ปู่ของเมฆขาวเคยเล่าให้เมฆขาว ฟังว่า ดวงจันทร์จะมอบพลังให้แก่กระต่ายผู้กล้าหาญเพื่อให้กระต่ายตัวนั้นใช้พลังแห่งแสงจันทร์ต่อสู้กับเหล่าร้ายใน ยามที่เกิดเหตุคับขัน เมฆขาวตั้งใจที่จะเป็นกระต่ายแสงจันทร์ให้จงได้ด้วยเหตุนี้ เขาจึงปฏิญาณกับตัวเองว่า เขาจะต้อง เป็นกระต่ายที่กล้าหาญเพื่อให้ดวงจันทร์มอบพลังพลังวิเศษให้แก่เขา เพื่อนๆของเมฆขาวมักจะพากันหัวเราะเยาะเมื่อได้ยินเมฆขาวพูดถึงความใฝ่ฝันที่เขาอยากจะเป็นกระต่ายแสง จันทร์ จริงอยู่ที่เด็กเด็กชาวกระต่ายใฝ่ฝันอยากจะเป็นกระต่ายแสงจันทร์ด้วยกันทั้งนั้น แต่เพราะเมฆขาวเป็นกระต่าย ตัวเล็กเล็กที่ไม่น่าจะมีเรี่ยวแรงพอจะไปปกป้องใครได้ ความใฝ่ฝันของเมฆขาวที่อยากจะเป็นวีรบุรุษผู้พิทักษ์จึง กลายเป็นเรื่องตลกขบขันในสายตาของกระต่ายน้อยตัวอื่นๆ แม้เมฆขาวจะถูกเพื่อนเพื่อนหัวเราะเยาะอยู่เป็นประจำแต่เมฆขาวก็ไม่เคยเสียกำลังใจหรือล้มเลิกความตั้งใจของ เขาเลยสักครั้ง เย็นวันหนึ่ง ในขณะที่เมฆขาวออกไปหากิ่งไม้ในป่าเพื่อนำมาก่อไฟไล่ความหนาว มีหมาป่าที่หิวโหยฝูงหนึ่งเข้า โจมตีหมู่บ้านกระต่าย แล้วการจับกระต่ายทุกตัวมารวมกันไว้ในกระโจมขนาดใหญ่กลางหมู่บ้าน พวกหมาป่าตั้งใจจะ บังคับให้กระต่ายทั้งหมดเดินทางไปกับพวกมันในตอนเช้า โดยพวกมันวางแผนที่จะขังกระต่ายทั้งฝูงเอาไว้ในถ้ำ เพื่อ สำรองเป็นอาหารสำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง เมื่อกระต่ายถูกหมาป่าจับมาขังเอาไว้ในกระโจม กระต่ายหลายตัวกลัวจนน้ำตาไหล เพราะรู้ถึงชะตากรรมที่พวก มันกำลังเผชิญอยู่ คุณปู่ของเมฆขาวเห็นเด็กเด็กชาวกระต่ายตื่นกลัวจนเนื้อตัวสั่น ดังนั้น คุณปู่จึงตัดสินใจเล่าตำนาน กระต่ายแสงจันทร์ เพื่อปลอบให้กระต่ายน้อยทั้งหลายคลายความกังวลลงไปบ้าง พวกหมาป่าทั้งฝูงที่นั่งเฝ้าอยู่ในกระโจมไม่พอใจที่คุณปู่เล่าเรื่องกระต่ายแสงจันทร์ให้เด็กเด็กชาวกระต่ายฟัง มันพา กันเดินตรงมาหาคุณปู่และสั่งให้คุณปู่สงบปากสงบคำก่อนที่พวกมันจะอดใจเอาไว้ไม่ไหว คุณปู่จำใจต้องหยุดเล่าเรื่อง ตามคำขู่ของฝูงหมาป่า แต่ในขณะเดียวกัน คุณปู่ก็สังเกตเห็นสีหน้าของเรามาปะที่ดูสีเผือกยางประหลาด ซึ่งในตอน นั้น คุณปู่กระต่ายไม่รู้เลยว่าตำนานเรื่องกระต่ายแสงจันทร์ที่ชาวกระต่ายชื่นชมกันนักหนาเป็นตำนานสยองขวัญที่ชาว หมาป่าต่างหวาดผวาและไม่อยากพูดถึงเป็นที่สุด
ตกดึก เมฆขาวแบกกิ่งไม้หอบใหญ่ตรงมาที่หมู่บ้านของเขา คืนนั้นพระจันทร์สีน้ำเงินฉายแสงสว่างจ้า เมฆขาวรู้สึก แปลกใจที่บ้านเรือนของชาวกระต่ายดับไฟมืดกันไปหมด เค้ามองกระโจมสีขาวขนาดใหญ่กลางหมู่บ้านที่มีแสงเทียน บอมแบมอยู่เรืองๆ “ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เมฆขาวเงี่ยหูฟังเสียงที่ล่องลอยจากกระโจม เค้าได้ยินเสียงกระต่ายไว้ ไล่เลี่ยกับเขากำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความกลัว เมฆขาวพยายามตั้งสติ และในขณะนั้นเอง กลิ่นของสัตว์ร้ายที่ไม่ น่าพิศมัยก็ลอยตามสายลมมากระทบกับจมูกของเขา เมฆขาวขนลุกซู่ เขารู้ในทันทีว่าเหตุร้ายครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นกับชาว กระต่ายเข้าให้เสียแล้ว เมฆขาวมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือ การหนีเอาตัวรอด หรือหาทางช่วยชาวกระต่ายให้พ้นภัย เมฆขาวตัวสั่นเทาด้วย ความกลัว กระต่ายตัวเล็กๆ อย่างเขาจะเอาอะไรไปสู้กับฝูงหมาป่า ที่โหดเหี้ยมได้ เมฆขาวคิดหนัก ฉับพลัน… ถ้อยคำ ของคุณปู่ที่เคยบอกเล่าก็แว่วเข้ามา ในห้วงคำนึงของเจ้ากระต่ายตัวน้อย“ ดวงจันทร์จะมอบพลังให้แก่กระต่ายผู้กล้า หาญ เพื่อให้กระต่ายตัวนั้นใช้พลังแห่งแสงจันทร์ต่อสู้กับเหล่าาร้ายในยามที่เกิดเหตุคับขัน” เมฆขาวแหงนหน้ามองพระจันทร์ด้วย แววตาที่มุ่งมั่นไม่มีใครอีกแล้วที่จะช่วยชาวกระต่ายให้รอดพ้นจากเคราะห์ กรรมในครั้งนี้ได้นอกจากเขา เมฆเขาอธิษฐานขอพลังจากดวงจันทร์และหลังจากที่เขานิ่งมองดวงจันทร์อยู่พักใหญ่ ใน เมฆขาวก็ตัดสินใจรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่แล้วเดินตรงไปยังเนินดินเตี้ยๆ ที่อยู่ระหว่างกระโจมกับแสงจันทร์ จากนั้นเค้าก็ชูกิ่งไม้แห้งที่เก็บมาใช้ทำฟื้นขึ้นเหนือศรีษะ แล้วบอกมันไปมากลางอากาศพร้อมๆกับส่งซู่ร้องขับไล่กลุ่ม หมาป่าอย่างบ้าคลั่ง ฝูงหมาป่าและชาวกระต่ายทั้งหมดตกใจตื่น เมื่อได้ยินเสียงร้องคำรามขับไล่ที่ดังฝ่าความเงียบสงัดในยามค่ำคืน และทันทีที่เรามามองไปยังผนังผ้าใบสีขาวของกระโจมท พวกมันก็ต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นเงาของกระต่ายใน ตำนานที่มุ่งหมายจะขย้ำมัน ให้สิ้นซากด้วยกรงเล็บในอุ้งมือขนาดมหึมา แน่นอน ฝูงหมาป่าแตกกระเจิงไปคนละทิศคนละคนละทางในช่วงเวลาพริบตาเดียว ส่วนชาวตายทั้งหลายที่ตั้งสติ ได้ก็เริ่มหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปิติและพากันส่งเสียงร้องเรียกวีรบุรุษที่พวกเขาศรัทธา ให้เข้ามาปรากฏตัวต่อหน้า พวกเขา เจ้าเมฆขาวค่อยๆเดินตรงไปยังกระโจมตามเสียงเรียกร้อง และทันทีที่เมฆขาวมุดเข้าไปในกระโจม เงาของวีรบุรุษผู้ ยิ่งใหญ่ก็กลับกลายเป็นเจ้ากระต่ายตัวเล็กๆที่ถือกิ่งไม้แห้งเอาไว้ในมือทั้งสองข้าง กระต่ายทุกตัวตะลึงงันต่อภาพที่ ปรากฏตรงหน้า นี่คือกระต่ายแสงจันทร์ตัวจริงที่ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ในขันกระต่ายทั้งหลายพากันยิ้มและยอมรับใน ความกล้าหาญของกระต่ายน้อยที่มีชื่อว่า ‘เจ้าเมฆขาว ’ โดยไม่มีข้อโต้แย้ง นับจากนั้นเป็นเป็นต้นมา เรื่องราวของกระต่ายแสงจันทร์‘ตัวน้อย’ก็ได้รับเล่าขานสืบต่อกันจนถึงชั่วลูกชั่วหลาน และในที่สุด มันก็ได้รับการบันทึกเป็นนิทานที่เด็กเด็กกำลังอ่านกันอยู่ในขณะนี้
เรื่อง ดอกไม้ในหัวใจ กาลครั้งหนึ่งในคืนที่ร้อนอบอ้าว พระราชาผู้แสนดีทรงเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำโดยเปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้เพื่อให้สาย ลมช่วยคลายความร้อนลงไปบ้าง พระราชาผู้น่าสงสารไม่รู้เลยว่า การเปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ในยามค่ำคืนเป็นการเปิดช่องให้พ่อมดใจร้ายแอบลอบ เข้ามายังห้องนอนของพระองค์ได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งก่อนที่พระองค์จะทันรู้ตัว พ่อมดก็จับพระราชาเข้าไปขังไว้ใน ขวดเวทมนตร์และแปลงร่างปลอมตัวเป็นพระองค์ไปเสียแล้ว แม้พ่อมดจะมีเวทมนตร์อันร้ายกาจ แต่มันกลับมีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ…มันกลัวดอกไม้! เมื่อใดก็ตามที่พ่อ มดเห็นดอกไม้ เวทมนตร์และร่างกายก็จะสลายไปสิ้น ด้วยเหตุนี้เอง พ่อมดในร่างของพระราชาจึงสั่งให้ทหารจัดการ ถางทำลายดอกไม้ทุกดอกจนไม่เหลือให้เห็นแม้แต่ซาก นอกจากนี้ พ่อมดยังสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดแอบปลูกดอกไม้โดย เด็ดขาด ซึ่งหากใครฝ่าฝืน คน ๆ นั้นก็จะต้องได้รับโทษถึงแก่ชีวิต เมื่อในเมืองไม่มีดอกไม้ พ่อมดจึงใช้อำนาจของมันได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใดอีก พ่อมดเริ่มใช้อำนาจในฐานะ พระราชาตัวปลอมโดยบังคับให้ผู้คนออกไปทำงานในเหมืองทองที่ร้อนระอุ พ่อมดบังคับให้ทุกๆ คนทำงานทั้งวันทั้งคืน…ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก, ผู้หญิงและคนแก่ พ่อมดไม่สนใจเลยว่าผู้คนจะ รู้สึกอย่างไรหรือเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน มันคิดเพียงอย่างเดียวว่ามันต้องกอบโกยทองคำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไป ได้ นับจากวันนั้น ชีวิตของชาวเมืองต่างก็เลวร้ายลงเรื่อย ๆ ความเหนื่อยและความท้อแท้ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นจนทำให้ ชาวเมืองบางคนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ พระราชาผู้แสนดีและดอกไม้ที่หอมสดชื่นกลายเป็นเพียงตำนานที่ไม่มีวันหวน กลับคืนมาอีก ชาวเมืองแต่ละคนต้องทนมีชีวิตอยู่อย่างไร้ซึ่งความหวัง อย่างไรก็ตาม แม้พ่อมดจะทำลายดอกไม้ไปจนหมด แต่ไม่มีใครสามารถลบภาพดอกไม้ที่ประทับอยู่ในหัวใจของ มนุษย์ได้ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเด็กน้อยคนหนึ่งมานั่งพักและหลับตานึกถึงความงามของดอกไม้ที่ยังคงติดตรึงอยู่ใน หัวใจของเขา จู่ ๆ ดอกไม้ที่เขานึกถึงก็ค่อย ๆ งอกขึ้นมาบนศีรษะและผลิบานเป็นดอกไม้แสนสวยได้อย่างน่า อัศจรรย์ ชาวเมืองต่างดีใจที่ได้เห็นดอกไม้บนศีรษะของเด็กน้อย แต่ในขณะเดียวกัน ทุกๆ คนก็กลัวว่าเด็กน้อยอาจถูก พระราชาลงโทษสถานหนัก ดังนั้น ชาวเมืองจึงช่วยกันปกปิดสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น โดยวางแผนให้เด็กน้อยสวมหมวก เพื่ออำพรางดอกไม้ไม่ให้ทหารของพระราชาสังเกตเห็น
หลังจากวันนั้น ความงดงามของดอกไม้เพียงดอกเดียวก็ช่วยเยียวยาให้ชาวเมืองกลับมามีความสุขได้อีกครั้ง กลิ่น หอมละมุนของดอกไม้ทำให้หัวใจของทุกคนเบิกบานสดชื่น แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ในเช้าวันหนึ่ง เมื่อชาวเมืองตื่นขึ้นมาหลังจากหลับฝันถึงเรื่องราวของดอกไม้แสนสวยที่เคยมีอยู่ ดอกไม้ต่างๆ ที่ พวกเขาฝันถึงก็กลับงอกขึ้นมาบนศีรษะของพวกเขาคนละต้นสองต้น ชาวเมืองทั้งดีใจและประหลาดใจมาก แต่ใน ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เกรงภัยจากพระราชาผู้เกลียดดอกไม้ด้วย ชาวเมืองจึงพร้อมใจกันสวมหมวกเพื่อปกปิด ดอกไม้ของพวกเขาเอาไว้เป็นความลับ แม้ชาวเมืองจะพยายามซ่อนดอกไม้เอาไว้ใต้หมวก แต่ความลับไม่มีในโลก อยู่ มาวันหนึ่ง เหล่าทหารที่ควบคุมการขุดทองก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติและสงสัยว่าเพราะเหตุใดชาวเมืองจึงพร้อม ใจกันสวมหมวกทรงสูง มิหนำซ้ำ ยังเปลี่ยนหมวกที่ใช้ให้สูงขึ้นทุกๆ วันอีกด้วย เมื่อทหารเกิดความสงสัย พวกเขาจึงขอให้ชาวเมืองทุกคนถอดหมวกออกมาให้ดู ซึ่งเมื่อชาวเมืองถอดหมวก สิ่งที่ เหล่าทหารได้พบก็คือดอกไม้แสนสวยที่บานสะพรั่งอยู่บนศีรษะของชาวเมืองนั่นเอง แทนที่เหล่าทหารจะจัดการส่งตัวชาวเมืองไปให้พระราชาตัดสินโทษ ทหารทุกคนกลับพร้อมใจกันที่จะปกปิดเรื่อง นี้ไว้เป็นความลับ เพราะจริง ๆ แล้ว ทหารทุกคนดีใจมากที่ได้เห็นดอกไม้อีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาต้องจำใจทำลาย ดอกไม้ตามคำสั่งของพระราชา ทหารทุกคนมองดอกไม้อย่างมีความสุข และเพียงชั่วครู่เดียว ดอกไม้ก็ค่อย ๆ งอก ขึ้นมาบนศีรษะของทหารทั้งหลายอย่างน่าพิศวง เมื่อถึงวันส่งมอบทองคำให้แก่พระราชา พ่อมดในร่างของพระราชาแปลกใจมากที่เห็นเด็กน้อย, ชาวเมืองและ เหล่าทหารซึ่งมารวมตัวกันอยู่ในท้องพระโรงต่างพากันสวมหมวกทรงสูงเหมือน ๆ กันไปหมด พ่อมดสงสัยว่าคน เหล่านี้อาจจะกำลังวางแผนร้ายและแอบซ่อนอาวุธหรือยักยอกทองคำเอาไว้ใต้หมวก ดังนั้นพ่อมดจึงบังคับให้ทุกๆ คนถอดหมวกออกมาให้ดู แม้ว่าเด็กน้อย, ชาวเมืองและเหล่าทหารจะไม่อยากถอดหมวกเพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษ แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัด คำสั่งของพระราชาใจร้าย ด้วยเหตุนี้ เมื่อทุก ๆ คนจำใจถอดหมวกออกมาพร้อม ๆ กัน ทั่วทั้งท้องพระโรงจึงสวย สะพรั่งไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ซึ่งส่งผลให้เวทมนตร์และร่างกายของพ่อมดใจร้ายมลายหายไปก่อนที่มันจะทันตั้งตัว เมื่อพ่อมดสิ้นฤทธิ์ พระราชาตัวจริงจึงได้รับการปลดปล่อยออกจากขวดเวทมนตร์ พระราชาทรงขอบใจ ประชาชนทุก ๆ คนที่ช่วยทำให้พระองค์หลุดพ้นจากคำสาปของพ่อมดใจร้าย ส่วนประชาชนต่างก็ดีใจที่พระราชาตัว จริงได้กลับมาเป็นมิ่งขวัญของพวกเขาเหมือนดังเดิม เมื่อเหตุการณ์ร้าย ๆ ทั้งหมดยุติลง ดอกไม้ที่งอกงามอยู่บนศีรษะของชาวเมืองทุก ๆ คนก็ปลิดปลิวตามสายลม ไปตกยังที่ต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง หลังจากนั้นไม่นาน เมืองที่ผู้คนมีดอกไม้ในหัวใจกลับมาสวยงามและสดชื่นด้วยดอกไม้ อีกครั้ง
เรื่อง เงือกน้อยผจญภัย ในท้องทะเลอันไกลโพ้น มีราชาแห่งท้องทะเลนามว่า ไทรทัน ปกครองอาณาจักรเงือกอยู่ด้วยความสุขสงบ คิงไทร ทันมีลูกสาวทั้งหมด 7 คน นางเงือกทุกคนสามารถว่ายขึ้นไปบนผิวน้ำได้หลังจากอายุ 15 ปี แต่นางเงือกน้อยคน สุดท้องนั้นยังเด็กเกินไป เธอจึงเฝ้ารอคอย โดยฟังเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์จากปากของเหล่าพี่ ๆ ที่ได้ประสบพบเจอ บอกเล่าความน่าอัศจรรย์ใจของโลกที่อยู่ด้านบน นางเงือกน้อยชอบใช้เวลาส่วนใหญ่ว่ายน้ำไปยังซากเรือที่จมลงสู่ก้นทะเล เรือที่เก็บสมบัติต่าง ๆ จากเบื้องบน ของใช้ที่เธอไม่เคยเห็นกลายเป็นของสะสมสุดโปรด นางเงือกน้อยมักจะเล่นของเหล่านั้นไปพร้อม ๆ กับการร้องเพลง โดยมีฝูงปลารายล้อมเป็นเพื่อน เสียงอันก้องกังวานของเงือกน้อยขึ้นชื่อว่าไพเราะที่สุดในท้องทะเล ในที่สุดเมื่อถึงเวลาที่เงือกน้อยอายุครบ 15 ปี เธอก็รีบว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ ภาพที่เห็นคือเรือลำใหญ่ บนเรือบรรเลง ดนตรีไพเราะ กะลาสีกำลังเต้นรำอยู่บนดาดฟ้า เธอเห็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่ดูเหมือนทุกคนบนเรือต่างให้ความ สนใจและเคารพยำเกรง “เขาต้องเป็นเจ้าชายแน่ ๆ” นางเงือกน้อยคิด และรู้สึกประทับใจชายหนุ่มคนนั้นทันที นางเงือกน้อยเพลิดเพลินกับภาพตรงหน้าได้เพียงไม่นานก็เกิดพายุโหมกระหน่ำ ลูกเรือทุกคนพยายามคุมใบเรือ และพวงมาลัยเรือเอาไว้เพื่อต้านแรงลมนั้น แต่คลื่นโหมแรงน่ากลัวจนในที่สุดเรือก็พลิกคว่ำ ร่างของชายหนุ่มรูปงาม คนนั้นกระเด็นตกเรือในทันที เงือกน้อยตกใจมาก เธอรู้ดีว่ามนุษย์ไม่สามารถอยู่ใต้น้ำได้นาน จึงรีบพุ่งตัวดำดิ่งลงไป อย่างรวดเร็วแล้วคว้าคอเสื้อของชายคนนั้นเอาไว้ ก่อนที่จะว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำให้เร็วที่สุด ทั้งสองลอยคออยู่ในน้ำกระทั่ง พายุสงบ ในตอนเช้า นางเงือกน้อยมองเห็นหาดทราย เธอพยายามพาร่างที่นิ่งไม่ไหวติงของเจ้าชายขึ้นฝั่ง และจ้องมอง ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นพลางรำพึงว่า “เขาตายแล้วเหรอ” เธอเริ่มร้องเพลงเศร้า แต่ทันใดนั้นเจ้าชายก็เริ่มขยับตัว “โอ้ คุณเป็นยังไงบ้าง” เงือกน้อยถามพร้อมแตะหน้าผากของเขา ในตอนนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงผู้คนมากมายกำลังตรง มา เธอจึงรีบว่ายน้ำไปหลบอยู่ตรงโขดหิน มองดูเจ้าชายถูกผู้คนทำการช่วยเหลือ โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าใครทำให้ เขารอดชีวิตมาได้ เงือกน้อยกลับไปยังท้องทะเล เมินเฉยต่อเหล่าพี่ ๆ ที่อยากรู้ว่าการเดินทางไปโลกเหนือน้ำของเธอเป็นยังไง บ้าง เธอนิ่งเงียบ รู้สึกเศร้าหมอง เพราะตกหลุมรักเจ้าชายเข้า และแล้วเธอก็นึกถึงเรื่องราวของแม่มดแห่งท้องทะเลผู้ที่ สามารถดลบันดาลอะไรก็ได้ เงือกน้อยไม่นึกกลัวเลยสักนิด เธอรีบไปหาแม่มดในทันที เมื่อพบกับแม่มด เงือกน้อยได้บอกไปว่าเธอต้องการจะมีขาแบบมนุษย์ เพื่อที่จะได้อยู่กับเจ้าชาย “ไม่มีปัญหา จ้ะที่รัก เรื่องง่าย ๆ” แม่มดบอก “แต่ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน ฉันขอแลกเสียงของเธอกับขาคู่นี้” นางเงือกน้อยตกใจ เสียงของเธอคือสิ่งมีค่าที่ทำให้ใคร ๆ ต่างหลงรัก “เธอไม่จำเป็นต้องใช้มันนี่สาวน้อย เธอทั้งสวย น่ารัก ทำให้เจ้าชาย
หลงรักได้ไม่ยากอยู่แล้ว” แม่มดพูดต่อ “อ้อ แต่มีข้อแม้นะ ถ้าเจ้าชายแต่งงานกับคนอื่นไปละก็ วันรุ่งขึ้นเธอก็จะตาย และเสียงของเธอจะอยู่กับฉันไปตลอดกาล แต่ใครจะรู้ เขาอาจจะเลือกเธอก็ได้” เงือกน้อยครุ่นคิด “ว่ายังไง ฉันไม่มี เวลาทั้งวันนะ” ในที่สุดนางเงือกน้อยก็ตอบตกลง แม่มดจึงร่ายมนตร์ทันที เธอรู้สึกเหมือนถูกหมุนเหวี่ยง และเมื่อลืม ตาตื่นขึ้นเธอก็อยู่บนชายหาดที่เคยช่วยเจ้าชายเอาไว้ และที่น่าตกใจคือความฝันของเธอเป็นจริงแล้ว หางของเธอ หายไป เธอมีขา ! “คุณผู้หญิง คุณมีปัญหาหรือเปล่า” ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าชายที่เอ่ยประโยคนี้ นางเงือกน้อยพยายามจะพูด อะไรบางอย่าง แต่ไม่มีเสียงใดออกจากปากของเธอ “พูดไม่ได้เหรอ” เขาถาม นางเงือกน้อยส่ายหัว "โอ้ ! งั้นผมจะพา ไปที่ปราสาท คุณสามารถล้างเนื้อล้างตัวที่นั่นและหาเสื้อผ้าแห้ง ๆ มาใส่ได้” นางเงือกน้อยมีความสุขมากที่ได้อยู่กับเจ้าชาย คืนนั้นเจ้าชายพาเธอชมรอบ ๆ ปราสาท เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้เธอฟัง แม้จะไม่ได้ใช้เสียงพูดคุยกัน แต่เจ้าชายทราบดีว่าเธอเข้าใจทุกอย่างที่เขาพูด เจ้าชายรู้สึกดีที่มีนางเงือกน้อย เคียงข้าง แต่ก็อดนึกถึงเจ้าของเสียงอันไพเราะที่ช่วยชีวิตเขาตอนเรือล่มไม่ได้ เจ้าชายมั่นใจว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างเขาตอนนี้ ไม่ใช่เธอคนนั้น ขนาดพูดยังทำไม่ได้ นับประสาอะไรกับร้องเพลง วันต่อมา เจ้าชายได้ทราบข่าวจากพระราชาว่าเขาจะต้องแต่งงานกับเจ้าหญิงจากเมืองใกล้เคียง นางเงือกน้อย รู้สึกเศร้ามาก เพราะเธอรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เจ้าชายแต่งงานไปแล้ว ทว่าเจ้าหญิงที่แสนเอาแต่ใจองค์นั้น กลับมีเสียงของเธออยู่กับตัว เพราะแม่มดนำเสียงของเธอไปให้กับเจ้าหญิงองค์นี้ เจ้าชายขอให้หญิงสาวร้องเพลง ซึ่ง เสียงนั้นก็คือเสียงที่เขาเคยได้ยิน เจ้าชายรู้สึกดีใจมากที่ได้เจอคนที่ตัวเองตามหา นางเงือกน้อยพยายามฝืนยิ้มด้วย ความยินดี ทั้งที่มีความเศร้าโศกอยู่เต็มหัวใจ วันรุ่งขึ้น เงือกน้อยไปที่ทะเลและได้พบกับเหล่าพี่สาวของเธอที่มาพบยังผืนน้ำด้วยความเป็นห่วง นางเงือก น้อยเล่าเรื่องราวให้กับพี่สาวของพวกเธอได้ฟัง เหล่าพี่ ๆ บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงและให้เธอกลับขึ้นฝั่งไป แล้วค่อยมา พบเจอกันใหม่ในวันต่อมา เมื่อนางเงือกน้อยมาเจอกับพี่ ๆ อีกครั้ง เธอพบว่าผมอันยาวสลวยของพี่ ๆ นั้นหายไป เพราะพวกเธอได้ตัดมันทั้งหมดออกมามอบให้แม่มดทะเลเพื่อแลกกับมีด แม่มดมอบมีดนั้นเพื่อให้นางเงือกน้อยไป ปลิดชีพเจ้าหญิง เพื่อที่งานแต่งงานจะได้ไม่เกิดขึ้น ไม่ต้องตาย และสามารถกลับไปเป็นนางเงือกได้อีกครั้ง นางเงือก น้อยรับมีดมาเพราะรู้ถึงความหวังดีของพี่ ๆ แต่เธอตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ทำร้ายเจ้าหญิงองค์นั้น เหล่าพี่สาวนางเงือก กลับไปยังวังใต้ทะเล และพบกับพ่อซึ่งกำลังโกรธเกรี้ยว ซักถามว่าพวกเธอไปไหนมา และน้องสาวคนสุดท้องหายไป ไหน เหล่าพี่สาวเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ราชาฟัง เมื่อราชาไทรทันขึ้นไปยังผิวน้ำและเห็นเรือซึ่งจัดพิธีแต่งงานจึงรู้ ได้ทันทีว่านางเงือกน้อยไม่ได้ลงมือ ราชาไทรทันจึงไปหาแม่มดทะเล แม่มดใจร้ายหัวเราะขึ้น บอกว่าวิธีเดียวที่จะช่วย ลูกสาวของเขาได้ก็คือมอบคทาของราชาให้กับนาง ราชาไทรทันไม่มีทางเลือก จึงจำเป็นต้องมอบคทาให้
แม่มดหัวเราะอย่างบ้าคลั่งกับชัยชนะของตัวเองและรีบขึ้นไปยังผิวน้ำเพื่อดูงานแต่งงานนั้น นางแปลงร่างเป็น อสุรกายคล้ายปลาหมึกตัวใหญ่น่ากลัว นางเงือกน้อยเห็นดังนั้นจึงรู้ทันทีว่าต้องปกป้องทั้งเจ้าชายและว่าที่เจ้าสาวของ เขา เธอหยิบมีดเล่มนั้นของแม่มดขึ้นมา ทว่าแม่มดก็ใช้หนวดปลาหมึกคว้าเธอเอาไว้เหวี่ยงไปมา และในที่สุดก็เหวี่ยง ไปถูกอกของแม่มดเอง มีดเล่มนั้นถูกปักกลางอก ความเจ็บปวดทำให้แม่มดปล่อยนางเงือกน้อยให้เป็นอิสระ และ เจ้าชายก็ยิงธนูไปยังอสุรกายตนนั้น แม่มดจมลงสู่ผืนน้ำ และเสียงของเงือกน้อยก็กลับมาหาเธออีกครั้ง เจ้าหญิงผู้เป็นว่าที่เจ้าสาวตะโกนออกมาด้วยความโกรธและตกใจว่า “อาณาจักรนี้มันช่างป่าเถื่อน ! เจ้าชาย จะไม่มีวันได้แต่งงานกับคนที่เหมาะสมหรอก” เสียงที่ออกมานั้นไม่ใช่เสียงที่เจ้าชายเคยได้ยิน เขารู้ทันทีว่าเขาเข้าใจ ผิด จากนั้นเงือกน้อยก็เริ่มร้องเพลง และเจ้าชายก็รู้ทันทีว่านี่แหละคือคนที่เขาตกหลุมรักจริง ๆ คทากลับมาอยู่ในมือของราชาไทรทัน และเขาก็เห็นดีเห็นงามว่าเจ้าชายรูปงามคนนี้สามารถปกป้องลูกสาว ของเขาได้ จึงส่งนางเงือกน้อยกลับขึ้นเรือ “ผมนึกแล้วว่าเป็นคุณมาตลอด แต่งงานกับผมนะ” นางเงือกน้อยพยักหน้า ตอบรับด้วยความปีติ งานแต่งงานบนเรือถูกจัดขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความยินดีของทั้งคนและเหล่าเงือก จากนั้นเจ้าชาย และนางเงือกน้อยก็ได้ครองรักกันอย่างมีความสุขสืบไป ณัฐรดี ว่องชาญกิจ 6611507721