The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รูปแบบการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้(5E)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2021-10-03 10:23:21

รูปแบบการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้(5E)

รูปแบบการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้(5E)

รปู แบบการเรยี นรู้ด้วยกระบวน
การสืบเสาะหาความรู้ (5E)

สาขาวชิ าภาษาไทย คณะครุศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยราชภัฏชยั ภูมิ

รปู แบบการเรียนรดู้ ว้ ยกระบวน
การสืบเสาะหาความรู้ (5E)

คำนำ

หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาวิทยาการจัดการเรียนรู้ 1
รหัสวิชา 5002506 จัดทาข้ึนเพ่ือศึกษาหาความรู้ในเรื่องรูปแบบการ
เรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) โดยเน้ือหาประกอบไปด้วย
ความหมาย แนวคิดพ้ืนฐาน ลักษณะสาคัญ วัตถุประสงค์ ขั้นตอนการ
จัดการสอน บทบาทของผู้สอน ผลที่เกิดขึ้นจากรูปแบบการสอน ข้อดีและ
ข้อจากัดของการเรียนรู้รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) และ
แผนการจดั การเรียนรูเ้ ร่อื งอ่านและเขยี นคาท่มี อี กั ษรนา (ห นา)

คณะผู้จัดทาขอขอบพระคุณอาจารย์ ดร.รัชกร ประสีระเตสัง
ท่ีคอยให้คาแนะนาในการจัดทาแผนการเรียนรู้และให้คาแนะนาการจัดทา
หนังสอื เล่มน้ี

คณะผู้จัดทาหวังว่า หนังสือเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน นักเรียน
นักศึกษาหรือผู้ที่สนใจท่ีกาลังหาข้อมูลเรื่องน้ีอยู่ หากมีข้อแนะนาหรือมี
ข้อผิดพลาดประการใด คณะผู้จัดทาขอน้อมรับไว้และขออภัยมา
ณ ทีน้ดี ว้ ย

คณะผจู้ ดั ทา

ขก

สำรบญั

เร่ือง หนา้

คานา ก

สารบญั ข

รูปแบบการเรียนรดู้ ว้ ยกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5E) 1

ความหมายรูปแบบการเรยี นรดู้ ้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) 2

แนวคดิ พ้ืนฐานรปู แบบการเรียนร้ดู ว้ ยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) 6

ลักษณะสาคญั ของการเรียนรู้รปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) 7

ข้ันตอนการจัดการสอนของการเรยี นร้รู ูปแบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5E) 9

บทบาทของผู้สอนในการเรียนรรู้ ปู แบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5E) 12

การใชก้ ระบวนการจัดการเรยี นรสู้ บื เสาะหาความรู้ (5E) ใหไ้ ด้ผลดที ี่สดุ 14

ความแตกตา่ งของการเรยี นรแู้ บบ 5E กับการเรยี นรู้แบบดัง้ เดิม 15

ข้อดีและขอ้ จากัดของการเรียนร้รู ูปแบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5E) 16

แผนการจดั การเรียนรรู้ ูปแบบการสอนกระบวนสืบเสาะหาความรู้ (5E) 19

สือ่ /แหลง่ การเรยี นรู้ 26

บรรณานุกรม 40



รปู แบบกำรเรยี นรดู้ ว้ ยกระบวน
กำรสบื เสำะหำควำมรู้ (5E)

การจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เป็นวิธีการจัดการสอนท่ีเน้นให้
ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเองมี ประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้โดยใช้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางความคิด ค้นพบความรู้
หรือ แนวทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางความคิด ค้นพบความรู้หรือ
แนวทางแก้ปัญหาได้เอง และสามารถนามาใช้ในชีวิตประจาวันได้ส่วนผู้สอน
เป็นเพียงผู้อานวยความสะดวก ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้
นาความรู้ 3 หลักการ แนวคิดหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ไปเช่ือมโยงกับ
ประเด็นปัญหาที่ผู้เรียนสนใจศึกษา ค้นคว้า และลงมือปฏิบัติ ด้วยตนเอง
ตามความสามารถและความถนัดของตนเองอย่างเป็นอิสระ ด้วยวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์และกระบวนการวิจัย ที่มีการวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้า โดยมี
ผสู้ อนเป็นผู้คอยให้คาปรึกษาแนะนาแก่ผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมาย
ท่ีตั้งไว้ การดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอนจะให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า
ทดลอง ระดมสมอง ศึกษาใบความรู้ อ่ืน ๆ ผู้สอนจะเป็นผู้คอยช่วยเหลือการ
ตรวจสอบความรู้ใหม่ ๆ ซ่ึงอาจกระทาได้ทั้งการตรวจสอบกันเองระหว่างกลุ่ม
หรือผู้สอนช่วยเหลือใน การตรวจสอบความรู้ใหม่ ๆ กิจกรรมการเรียนรู้แบบ
5E ข้ึนจะช่วยเสริมสร้างพลังความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนให้เต็มขีด
ความสามารถ โดยประยุกต์ใช้หลักการเรียนรู้ด้วยตนเอง เน้นบรรยากาศใน
การเรียนการสอน ใหผ้ ูเ้ รียนมีอสิ ระใน การคิด ทุกคนมีโอกาสใช้ความคิดอย่าง
เตม็ ศกั ยภาพ

1

ควำมหมำยรปู แบบกำรเรยี นรดู้ ว้ ย
กระบวนกำรสบื เสำะหำควำมรู้ (5E)

ความหมายของการสืบเสาะหาความรู้ คาวา “Inquiry” ทีเกี่ยวข้อง
กบการจัดการเรียนรู้ นักการศึกษาได้ใช้ช่ือต่าง ๆ กันไป เช่น การสืบสอบ
การสืบสวนสอบสวน การสอบสวน การค้นพบ การแก้ปัญหา การสืบเสาะ
และการสืบเสาะหาความรู้ สาหรับการวิจัยครั้งนี้ ผู้วจีดทาใช้คาว่า “การ
สืบเสาะหาความรู้” ส่วนในการจัดการ เรียนการสอนโดยเน้นการใช้
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้น้ัน การวิจยั คร้งั นใี้ ช้คาว่า “การจัดการเรยี นรู้
รูปแบบการสอนกระบวนสืบเสาะหาความรู้ (5E) (inquiry-based
learning) ซ่ึง Budnitz (2003) ได้กล่าวว่า การสืบเสาะหาความรู้เป็น
แนวคิดทมี ีความซับซ้อนและมีความหมายแตกตา่ งกันไปตามบริบททีใช้และผู้
ทใี หค้ าจากดั ความ

กรมวิชาการ (2545) อธิบายว่า นักเรียนจะสร้างองค์ความรู้ด้วย
ตัวเองผ่านกิจกรรมการ สังเกต การตั้งคาถาม การวางแผนการทดลอง การ
สารวจตรวจสอบ กระบวนการแก้ปัญหา การสืบค้นข้อมูล การอภิปรายและ
การสื่อสารความรู้เพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจ โดยกิจกรรมต่าง ๆ ต้องเน้นให้ ผู้เรียน
ได้คิดได้มีส่วนร่วมวางแผน ลงมือปฏิบัติ สืบค้นข้อมูล รวบรวมข้อมูล
ตรวจสอบ วิเคราะห์ ข้อมูล สร้างคาอธิบายเก่ียวกับข้อมูลทีได้เพ่ือนาไปสู่
คาตอบของปัญหาหรือคาถาม และในทีสุด นักเรียนได้สร้างองค์ความรู้
นอกจากนี้ กิจกรรมต่าง ๆ ควรสนับสนุนให้นักเรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ซึงกัน
และกนั

2

การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที
เน้นนักเรียนเป็นสาคัญ ให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางของการปฏิบัติกิจกรรม
การเรียนการสอนอย่างแทจ้ ริง โดยวิธใี ห้นักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วย
ตนเอง หรือสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดย
ทคี รทู าหนา้ ทคี ล้ายผู้ช่วย คอยสนับสนุน ช้ีแนะ ช่วยเหลือ ตลอดจนแก้ปัญหา
ท่ีอาจเกิดขึ้นระหวางการเรียนการสอน และนักเรียนทาหน้าท่ีคล้ายผู้จัดวาง
แผนการเรียน มีความกระตือรือร้นที่ จะศึกษาหาความรู้โดยวิธีการ
เช่นเดียวกบั การทางานของนกั วิทยาศาสตร์

ดังนั้น การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (inquiry-based
learning) เป็นกระบวนการ จัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมการเรียนรู้ตลอดเวลา ให้โอกาสแก่นักเรียนได้ฝึกคิด ฝึกสังเกต ฝึก
นาเสนอ ฝึกวิเคราะห์วิจารณ์ ฝึกสร้างองค์ความรู้ เน้นการพัฒนา
ความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการฝึกให้นักเรียนรู้จักศึกษาค้นคว้าหา
ความรู้ โดยครูตั้งคาถาม กระตุ้นให้นักเรียนใช้กระบวนการทางความคิด
หาเหตุผลจนค้นพบความรู้หรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาท่ี ถูกต้องด้วย
ตนเอง สรุปเป็นหลักการเกณฑ์หรือวิธีการในการ แก้ปัญหาและสามารถ
นาไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ในการควบคุมปรับปรุงเปล่ียนแปลงหรือสร้าง
ส่ิงแวดล้อมในสภาพการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวางโดยมีครูเป็นผู้กากับ
ควบคุม ดาเนินการให้คาปรึกษาช้ีแนะ ช่วยเหลือ ให้กาลังใจ เป็นผู้กระตุ้น
สง่ เสรมิ ใหน้ ักเรยี นคิดรวมทัง้ รว่ มแลกเปลี่ยนเรยี นรู้

3

จากแนวคิดดังกล่าว สรุปความหมายของการสืบเสาะหาความรู้ ไว้
วา่ เป็นเทคนิคหรือกลวิธี อย่างหน่ึงในการจัดการเรียนรู้วิชาษาไทย โดย
ให้นักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ กระตุ้นให้นักเรียนมีความอยากรู้อยากเห็นเสาะแสวงหา
ความรู้โดยการถามคาถาม และพยายามค้นหาคาตอบให้นักเรียนมีส่วน
ร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ตลอดเวลา ให้โอกาสแก่นักเรียนได้ฝึกคิด ฝึก
สังเกต ฝึกนาเสนอ ฝึกวเิ คราะห์วิจารณ์ ฝึกสร้างองค์ความรู้โดยท่ีครูเป็น
ผกู้ ากับควบคุมดาเนินการให้คาปรึกษา เป็นผู้สนับสนุนชี้แนะ ช่วยเหลือ
ตลอดจนแก้ปัญหาทอี่ าจเกิดขึ้นระหวางการเรยี นการสอน และให้กาลังใจ
เป็นผู้กระตุ้นส่งเสริมให้นักเรียนคิดและเรียนรู้ด้วยตนเอง รวมท้ังร่วม
แลกเปลี่ยนเรียนรู้

การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะความรู้ หมายถึง การจัดการเรียนรู้
ทีให้นักเรียนมีส่วน ร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดเวลา ให้โอกาสแก่
นักเรียนได้ฝึกคิด ฝึกสังเกต ฝึกนาเสนอ ฝึกสร้างองค์ความรู้ โดยมีครู
เป็นผู้กากับควบคุมดาเนินการให้คาปรึกษาชี้แนะ ช่วยเหลือ ให้กาลังใจ
เป็นผู้ กระตุ้น ส่งเสริมให้ผู้เรียนคิดและเรียนรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งร่วม
แลกเปลี่ยนเรยี นรู้

4

รูปแบบการเรียนการสอน 5E เป็นการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนสร้าง
ค ว า ม รู้ ด้ ว ย ต น เ อ ง มี พ้ื น ฐ า น ม า จ า ก ท ฤ ษ ฎี ค อ น ส ต รั ค ติ วิ ส ต์
(Constructivism) โดยมีรากฐานสาคัญมาจากทฤษฎีพัฒนาการทาง
สติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget’s Theory of Cognitive Development)
ซ่ึงอธิบายว่า พัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของบุคคลมีการปรับตัวทาง
กระบวนการ ดูดซึม (Assimilation) และกระบวนการปรับโครงสร้างทาง
ปัญญา (Accommodation) พัฒนาการเกิดข้ึนเมื่อบุคคลรับ และซึมทราบ
ข้อมลู หรอื ประสบการณ์เข้าไปสัมพันธ์กับความรู้หรือโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่
เดิมหากไม่สามารถสัมพันธ์ กันได้จะเกิดภาวะไม่สมดุลข้ึน (Disequilibrium)
บุคคลจะพยายามปรับสภาพให้อยู่ในสภาวะสมดุล (Equilibrium) โดยใช้
กระบวนการปรับโครงสรา้ งทางปัญญา

เพียเจต์ เชื่อว่า คนทุกคนจะมีพัฒนาเชาว์ปัญญาเป็นลาดับข้ันจากการมี
ปฏิสัมพันธ์และประสบการณ์กับส่ิงแวดล้อมตาม ธรรมชาติและประสบการณ์ที่
เกี่ยวกับการคิดเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์ รวมท้ังการถ่ายทอดความรู้ทางสังคม
วุฒิภาวะและกระบวนการพฒั นาความสมดุลของบคุ คลน้ัน

5

แนวคดิ พน้ื ฐำนรปู แบบกำรเรยี นรดู้ ว้ ยกระบวนกำรสบื
เสำะหำควำมรู้ (5E)

สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ มีรากฐานมาจาก
ทฤษฎีของ Jean Piagat ที่กล่าวถึง พัฒนาการทางสมองของมนุษย์ไว้วา
ความคิดของมนุษย์ ประกอบด้วยโครงสรา้ ง 2 ประการ คอื

1. กระบวนการดูดซมึ (Assimulation) หมายถงึ กระบวนการทีอินทรีย์
ซมึ ซาบประสบการณ์ใหม่เข้าสปู่ ระสบการณเ์ ดิมทีเหมือนหรือคล้ายคลึงกัน
แล้วสมองก็รวบรวมปรบั เหตกุ ารณใ์ หมใ่ ห้เข้ากบั โครงสร้างของความคิดอัน
เกิดจากการเรยี นรู้ทมี่ ีอยเู่ ดิม

2. กระบวนการปรับขยายโครงสร้าง (Accommodation) เป็น
กระบวนการทีต่อเนื่องมาจาก กระบวนการดูดซึม คือ ภายหลังจากท่ีซึม
ซาบของเหตุการณใ์ หมเ่ ขา้ มา และปรับเข้าสู่โครงสร้างเดิม แล้วถ้าปรากฏ
ว่าประสบการณ์ใหม่ ท่ีได้รับการซึมซาบเข้ามาให้เข้ากับประสบการณ์
เดิมได้ สมองก็จะสร้างโครงสร้างใหม่ขึ้นมาเพ่ือปรับให้เข้ากับ
ประสบการณ์ใหมน่ ั้น

6

ลกั ษณะสำคญั ของกำรเรยี นรรู้ ปู แบบ
กำรสอนแบบสบื เสำะหำควำมรู้ (5E)

คณะกรรมการพัฒนามาตรฐานการสอนวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะแห่ง
อเมริกา National Research Council ได้แนะนาลักษณะสาคัญของ
กจิ กรรมการเรียน การสอนแบบสบื เสาะหาความรไู้ ว้ 5 ประการ ดงั น้ี

1. นักเรียนตัง้ คาถาม-ซักถาม คาถามที่นักเรียนเป็นผู้ริเริ่มเป็นคาถาม
เก่ียวข้อง กับเน้ือหาสาระสอดคล้องกับบทเรียนเสมอ และเป็นคาถามที่มี
ลักษณะที่เป็นเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific questions) ซึ่งนาไปสู่การสืบ
ค้นหาคาตอบที่เช่ือถือได้ ได้แก่คาถามประเภท ทาไม (why) และ อย่างไร
(how) ซ่ึงเป็นคาถามที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์เชิงหน้าที่หรือสาเหตุ
(causal/functional questions) ครูผู้สอนจึงต้องมีความรู้ความสามารถ
ในการชีน้ าการวินิจฉยั คาถามต่างๆ ทีน่ ักเรยี นถามใหเ้ ป็นคาถามที่มีประโยชน์
ไปสู่การสืบเสาะหาคาตอบ คาอธิบายได้ และให้มีความเหมาะสมกับระดับ
พัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียน จนกระทั่งนาไปสู่การลงมือปฏิบัติ
กิจกรรมหาคาตอบได้

2. นักเรียนเก็บรวบรวมหลักฐาน เพื่อนาไปสู่การสร้างและประเมิน
คาอธบิ าย หรือคาตอบของปัญหาอย่างสมเหตุสมผล เชื่อถือได้มีการใช้หลักฐาน
เชิงประจักษ์ (empirical evidence) สาหรับเป็นพื้นฐานในการอธิบายท่ี
เกยี่ วขอ้ งกับปัญหาหรอื คาถาม ท่ีนักเรยี นต้ังไว้

7

3. นักเรียนสร้างคาอธิบาย (explanation) ซึ่งได้จากการเก็บ
รวบรวมหลักฐานข้อมูลเพ่ือนาไปสู่การสร้างคาอธิบายหรือคาตอบของปัญหา
หรือคาถาม มากกว่าการเน้นการสร้างกฎเกณฑ์โดยสรุป คาอธิบายเป็นการ
เสนอความเข้าใจใหม่ท่ีเลยพ้นการมีความรู้อยู่ในขณะน้ัน คาอธิบายใด ๆ ต้อง
ถูกสร้างขึ้นมาจากการมีความรู้ หรือความเขา้ ใจทีม่ อี ยกู่ อ่ นแลว้ เสมอ

4. นักเรียนประเมินหรือตรวจสอบคาอธิบาย (cvaluation)
การประเมินอาจนา ไปสู่การปรับปรุงแก้ไข หรือยกเลิกคาอธิบาย ในการ
ประเมินนิยมใช้คาถาม ทาให้นักเรียนได้ตรวจสอบว่าคาอธิบาย ดังกล่าวทั้ง
คาอธิบายเดิมและดาอธิบายอื่นท่ีเสนอไว้จากหลักฐานท่ีเก็บรวบรวมมีความ
สอดคล้อง กับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับกันโดยท่ัวไปในขณะน้ันมาก
นอ้ ยเทา่ ใด

5. นักเรียนรายงานคาอธิบายอย่างสมเหตุสมผล นักวิทยาศาสตร์
ต้องนาคาอธิบายท่ีสร้างได้มารายงานให้ผู้รู้ในแวดวงวิทยาศาสตร์รับทราบ
ในลักษณะท่ีคนอ่ืนสามารถ ตรวจสอบใได้โดยจะต้องมีความเชื่อมโยง
อย่างสมเหตุสมผลระหว่างคาถาม ปัญหา กระบวน การหลักฐานคาอธิบายที่
เสนอและการตรวจสอบคาอธิบายอ่ืน การรายงานคาอธิบายดังกล่าวทาให้ เกิด
การตรวจสอบ ทบทวนข้อสงสัยต่าง ๆ และเปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์คนอื่น
ได้ใช้คาอธิบายน้ี สาหรับคาถามปัญหาใหม่ต่อไป โดยเน้นให้นักเรียนเป็นผู้
ควบคมุ หรอื นาตนเองในการทากจิ กรรมการดว้ ย

8

ขนั้ ตอนกำรจดั กำรสอนของกำรเรยี นรรู้ ปู แบบ
กำรสอนแบบสบื เสำะหำควำมรู้ (5E)

1. ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) ขั้นน้ีเป็นของการนาเข้าสู่
บทเรียนหรือนาเข้าสู่เร่ืองท่ีอยู่ในความสนใจที่เกิดจากข้อสงสัย โดยครูผู้สอน
จะต้องกระตุ้นใหน้ กั เรียนเกดิ ความสนใจใครร่ ู้ เพ่อื นาเขา้ สู่บทเรียนหรือเนื้อหา
ใหม่ๆ ซ่ึงความสนใจใคร่รู้นั้น อาจมาจากความสนใจของนักเรียนเอง การ
อภิปรายกลุ่ม หรือจากการนาเสนอของครูผู้สอนก็ได้ แต่จะต้องเป็นเร่ืองท่ี
นักเรียนยอมรับโดยไม่มีการบังคับ หลังจากน้ัน เมื่อได้ข้อคาถามที่น่าสนใจ
แล้ว ครูผู้สอนต้องกระตุ้นให้นักเรียนร่วมกัน กาหนดขอบเขตและแจกแจง
รายละเอียดของเร่ืองที่จะศึกษาให้มีความชัดเจนมากย่ิงขึ้น โดยใช้การรับรู้จาก
ประสบการณ์เดิม รวมกับการศึกษาเพิ่มเติมจากจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ
เพ่ือให้เกิดความเข้าใจในประเด็นที่จะศึกษา และมีแนวทางในการสารวจ
ตรวจสอบมากยงิ่ ขน้ึ

9

2. ขั้นสารวจและค้นหา (Exploration) เม่ือทาความเข้าใจในประเด็น
หรือคาถามที่สนใจศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว ครูผู้สอนจะเปิดโอกาสให้นักเรียน
ดาเนินการศึกษาค้นคว้า โดยการรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ เพ่ือให้ได้มา
ซ่ึงข้อมูลอย่างเพียงพอท่ีจะใช้ในข้ันต่อไป เช่น การสารวจ การสืบค้นจาก
เอกสารต่าง ๆ การทดลอง และการจาลองสถานการณ์ เป็นต้น เพ่ือตรวจสอบ
สมมตุ ิฐานและให้ไดข้ ้อมลู อยา่ งเพียงพอทจ่ี ะนาไปใชใ้ นการอธบิ ายและสรุป

3. ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) เม่ือได้ข้อมูลอย่างเพียงพอ
แล้ว ครูผู้สอนจะต้องให้นักเรียนนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และแปลผล เพ่ือ
สรุปผลและนาเสนอผลที่ได้ในรูปต่าง ๆ เช่น การบรรยายสรุป การสร้าง
แบบจาลอง การวาดภาพ หรอื การสรุปเปน็ ตารางหรือกราฟ ซ่ึงผลสรุปที่ได้นั้น
จะต้องสามารถอ้างอิงความรู้ มีความสมเหตสุ มผล และมหี ลกั ฐานท่ีเชอ่ื ถือได้

4. ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) เป็นขัน้ ของการนาความรทู้ ี่ได้จากขัน้
ก่อนหน้านี้ มาเช่ือมโยงกับความรู้เดิมหรือใช้อธิบายถึงสถานการณ์หรือ
เหตุการณ์เก่ียวข้อง โดยครูผู้สอนอาจจัดกิจกรรมและให้นักเรียนมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมน้ัน ๆ เช่น ตั้งคาถามจากการศึกษาเพื่อให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย
และแสดงความคิดเห็นเพ่ิมเติม ซึ่งจะทาให้นักเรียนสามารถเช่ือมโยงความรู้เข้า
กบั ประสบการณ์หรอื สถานการณท์ ี่เกีย่ วข้องไดม้ ากข้ึน

10

5. ขั้นประเมิน (Evaluation) เป็นข้ันของการประเมินการ
เรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ เช่น การทาข้อสอบ การทารายงานสรุป
หรือการให้นักเรียนประเมินตัวเอง เป็นต้น เพื่อตรวจสอบนักเรียนวา่ มี
ความรู้ที่ถูกต้องมากน้อยเพียงไรจากการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
ดังกล่าว ครูผู้สอนจะต้องเปิดโอกาสให้นักเรียน วิเคราะห์ วิจารณ์และ
คิดพิจารณาความรู้ท่ีได้ให้รอบคอบ โดยมีครูผู้สอนช่วยตรวจสอบและ
ปรับปรงุ ความรู้ที่นักเรยี นไดร้ บั นน้ั ให้ถูกต้องเหมาะสมและสอดคล้องกับ
ความรู้เดิมของนักเรียนมากยิ่งข้ึน และนานักเรียนไปสู่คาถามท่ีต้องการ
การสารวจตรวจสอบต่อไปอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง

11

บทบำทของผสู้ อนในกำรเรยี นรรู้ ปู แบบ
กำรสอนแบบสบื เสำะหำควำมรู้ (5E)

บทบาทผู้สอน เพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียนแสดงบทบาทอย่างเต็มที
คุณครูควรเตรียมส่ือการเรียนการสอน และออกแบบกิจกรรมเพ่ือสร้าง
บรรยากาศแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสิ่งท่ีคุณครูควรทาใน
5 ข้ันตอน ดังน้ี

1. การสร้างความสนใจ (Engagement) โดยผู้สอนควรสร้าง
ความสนใจ สร้างความอยากรู้อยากเห็น มีการตั้ง คาถามกระตุ้นให้
ผู้เรียนคิดดึงเอาคาตอบที่ยังไม่ครอบคลุมสิ่งที่ผู้เรียนรู้หรือแนวคิดหรือ
เนื้อหา

2. การสารวจและค้นหา (Exploration) โดยผู้สอนส่งเสริมให้
ผู้เรียนทางานร่วมกันในการสารวจ ตรวจสอบ สังเกตและฟังการโต้ตอบ
กันระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน ทาการซักถามเพ่ือนาไปสู่การสารวจ
ตรวจสอบของผู้เรียน และให้เวลาผู้เรียนในการคิดข้อสงสัยตลอดจน
ปญั หาตา่ ง ๆ และทาหนา้ ท่ใี ห้คาปรึกษาแก่ผเู้ รยี น

3. การอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) โดยผสู้ อนส่งเสรมิ ให้
ผู้เรียนอธิบายแนวคิดหรือให้คาจากัดความด้วยคาพูดของผู้เรียนเอง ให้
ผู้เรียนแสดงหลักฐานให้เหตุผลและอธิบายให้กระจ่าง ให้ผู้เรียนอธิบาย
ให้คาจากัดความ และช้ีบอกส่วนต่าง ๆ ในแผนภาพให้ผู้เรียนใช้
ประสบการณเ์ ดมิ ของตนเป็นพนื้ ฐานในการอธิบายแนวคิด

12

4. การขยายความรู้ (Elaboration) โดยผูส้ อนคาดหวงั ใหผ้ ูเ้ รยี นได้
ใช้ประโยชนจ์ ากการชี้บอก ส่วนประกอบต่าง ๆ ในแผนภาพคาจาความและ
อธิบายสิ่งท่ีเรียนรู้มาแล้ว ส่งเสริมให้ผู้เรียนนาสิ่งท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้ไป
ประยุกต์ใช้หรือ ขยายความรู้และทักษะในสถานการณ์ใหม่ ให้ผู้เรียน
อธิบายอย่างมีความหมาย ให้ผู้เรียนอ้างอิงข้อมูลท่ีมีอยู่พร้อมท้ังแสดง
หลกั ฐานและถามคาถามผเู้ รยี นว่าได้เรียนรู้อะไรบา้ ง หรอื ไดแ้ นวคดิ อะไร

5. การประเมนิ ผล (Evaluation) โดยผ้สู อนสงั เกตผเู้ รยี นในการนา
แนวคิดและทักษะใหม่ไปประยุกต์ใช้ประเมิน ความรู้และทักษะผู้เรียน หา
หลกั ฐานท่แี สดงว่าผู้เรียนเปล่ยี นความคิดหรือพฤติกรรม ให้ผู้เรียนประเมิน
การเรียนรู้ และทักษะกระบวนการกลุ่ม ถามคาถามปลายเปิด เช่น ทาไม
ผเู้ รียนจึงคดิ เช่นน้นั เพราะอะไร

สรุปไดว้ า่

บทบาทของครใู นการจดั การเรยี นรู้ดว้ ยวิธีสืบเสาะหาความรู้ ครูเปน็
ผูส้ ร้างสถานการณ์หรอื กาหนดปัญหาให้ คอยกระต้นุ นักเรยี นให้มีส่วน
รว่ มในการทากิจกรรม เปน็ ผเู้ ตรียมความพร้อมในการจัดกจิ กรรม จัดหา
วสั ดุอปุ กรณเ์ พอ่ื อานวยความสะดวกในการศกึ ษาค้นคว้า เป็นผู้ถาม

คาถาม และควรใหค้ วามสนใจต่อคาถาม

13

กำรใชก้ ระบวนกำรจดั กำรเรยี นรรู้ ปู แบบ
กำรสอนแบบสบื เสำะหำควำมรู้ (5E) ใหไ้ ดผ้ ลดที ส่ี ดุ

Roger W. Bybee กล่าวว่า 5E model จะเกิดประสิทธผิ ลได้ดี
ทส่ี ดุ เม่ือ

1. นามาใช้กับผู้เรียนที่เริ่มเรียนรู้แนวคิดหรือเรื่องใหม่ใด ๆ เป็น
ครงั้ แรก เพราะผสู้ อนมโี อกาสใช้วงจรการเรยี นรู้ได้เต็มรูปแบบ

2. ให้การเรียนการสอนในแต่ละลาดับ (phase) เป็นพื้นฐานใน
การเรียนรู้เร่ืองท่ีเกี่ยวเน่ืองต่อไป การนา 5E มาใช้กับการเรียนการสอน
เร่ืองใดเร่ืองหน่ึงที่ไม่มีส่วนต่อต่อยอด จะทาให้ 5E มีประสิทธิผลน้อยกว่า
ท่ีควรเพราะผ้เู รยี นไม่มีโอกาสได้พัฒนาแนวคิดและยังปิดก้ันความสามารถ
ในการเรียนรู้ของผู้เรยี นอีกดว้ ย

3. ไม่ควรใช้เวลาในแต่ละลาดับนานเกินไปเพราะ 5E เน้นการใช้
ผลสาเร็จของลาดับหนึ่งเป็นฐานสร้างการเรียนรู้ในลาดับถัดไป การจมอยู่
กับลาดับใดลาดับหนึ่งนานเกินไป ผู้เรียนอาจหมดความกระตือรือร้นหรือ
ลมื เร่ืองทไ่ี ดป้ ูไว้เปน็ พ้นื ฐาน นอกจากน้ันความสนใจของเพ่ือนร่วมเรียนท่ี
ลดลงอาจส่งผลต่อการต้ังคาถามหรือได้คาตอบที่ไม่ช่วยสร้างการเรียนรู้
หรอื แนวคดิ ใหม่

14

ควำมแตกต่ำงของกำรเรยี นรแู้ บบ 5E กบั กำร
เรยี นรแู้ บบดงั้ เดมิ

แนวคิดการเรยี นรแู้ บบ 5E
1. กาหนดจดุ ประสงค์การเรียนรู้ท่ีเน้นการฝึกกระบวนการเรียน ที่จะ
ทาใหไ้ ด้มาซึ่งองคค์ วามรู้
2. เน้นการเรียนที่ให้ผู้เรียนเป็นผู้กระทา หรือปฏิบัติให้เกิดองค์
ความรู้มากกวา่ เปน็ ผรู้ ับองค์ความรู้
3. มักมีความเชื่อว่าผู้สอนต้องรับผิดชอบ ให้ความสนใจติดตาม
รูปแบบวิธีการคิดและการเปล่ียนแปลงการคิดของผู้เรียนในทุกข้ันตอนของ
การเรยี นรู้

แนวคิดการเรยี นรแู้ บบดง้ั เดมิ
1. กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีเน้นการนาเสนอแนวคิด ความรู้
และขอ้ เทจ็ จรงิ ให้กบั นักเรยี นเปน็ หลัก
2. ขาดการมุ่งเน้นท่ีกระบวนการการเรียนรู้ และกระบวนการคิดที่
จาเปน็ ต่อการเรยี นรู้
3. มักมีความเช่ือว่าความสามารถในการคิดเป็นส่ิงที่มีมาแต่กาเนิด
การให้เวลากับการคิดเป็นการเสียเวลา ดังนั้นควรมุ่งเน้นไปที่การให้เน้ือหา
สาระแกผ่ เู้ รยี น

15

ขอ้ ดแี ละขอ้ จำกดั ของกำรเรยี นรรู้ ปู แบบ
กำรสอนแบบสบื เสำะหำควำมรู้ (5E)

การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นวิธีสอนท่ีเหมาะกับวิชาวิทยาศาสตร์
โดยที่ครูเป็นผู้เตรียมสภาพแวดล้อมจัดลาดับเนื้อหา แนะนาหรือช่วยให้
นักเรียนประเมินความก้าวหน้าของตนเอง ส่วนนักเรียนเป็นผู้เรียนภายใต้
เงื่อนไขของครู นักเรียนมีอิสระในการดาเนินการทดลองอย่างเต็มที่ สรุปข้อดี
และขอ้ จากดั ของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ไว้ ดังนี้

ข้อดีของการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้
1. นักเรียนมีโอกาสได้พัฒนาความคิดอย่างเต็มที่ ได้ศึกษาด้วยตนเองจึงมี
ความอยากรอู้ ย่ตู ลอดเวลา
2. นักเรียนมีโอกาสได้ฝึกความคิด และฝึกการกระทา ทาให้ได้เรียนรู้วิธี
จัดระบบความคิดและวิธีสืบเสาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเองทาให้ความรู้คงทน
และถ่ายโยงการเรียนรู้ได้ กล่าวคือทาให้สามารถจดจาได้นานและนาไปใช้ใน
สถานการณ์ใหมอ่ ีกดว้ ย
3. นกั เรียนเป็นศนู ย์กลางของการเรยี นการสอน
4. นกั เรยี นสามารถเรยี นรมู้ โนทัศน์และหลักการทางวิทยาศาสตรไ์ ด้เรว็ ขึ้น
5. นกั เรยี นจะเป็นผมู้ ีเจตคติท่ีดีต่อการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์

สรุปได้ว่า ข้อดีของการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นการ
สอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญส่งเสริมผู้เรียนได้พัฒนาความคิดอย่างเป็นระบบ
โดยการสืบค้นข้อมูลและเสาะแสวงหาด้วยตนเองเพ่ือสามารถถ่ายโยงการ
เรยี นรู้ ทาใหเ้ กิดเป็นการจาแบบยงั่ ยืน

16

ขอ้ จากดั ของการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้
1. ในการสอนแตล่ ะคร้ังต้องใช้เวลาในการสอนมาก
2. ถ้าสถานการณ์ท่ีครูสร้างข้ึนไม่ทาให้น่าสงสัยแปลกใจ จะทาให้
นักเรียนเบ่ือหน่าย ถ้าครูไม่เข้าใจบทบาทหน้าท่ีในการสอนวิธีน้ีมุ่งควบคุม
พฤติกรรมของนักเรียนมากเกินไปจะทาให้นักเรียนไม่มีโอกาสได้สืบเสาะหา
ความรดู้ ้วยตนเอง
3. ในกรณีท่ีนักเรียนมีระดับสติปัญญาต่าและเน้ือหาค่อนข้างยาก
นักเรียนอาจจะไมส่ ามารถศกึ ษาหาความร้ดู ้วยตนเองได้
4. นักเรียนบางคนที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ ทาให้ขาดแรงจูงใจท่ีจะศึกษา
ปัญหาและนักเรียนท่ีต้องการแรงกระตุ้นเพ่ือให้เกิดความกระตือรือร้นในการ
เรียนมาก ๆ อาจจะพอตอบคาถามได้ แต่นักเรียนไม่ประสบความสาเร็จในการ
เรยี นดว้ ยวธิ นี ีเ้ ท่าท่ีควร
5. การใช้สอนแบบนี้อยู่เสมอ อาจทาให้ความสนใจของนักเรียนใน
การศกึ ษาค้นควา้ ลดลง

สรุปได้ว่า ข้อจากัดของการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ การ
เรียนการสอนแบบนี้ใช้เวลามากในการสอนแต่ละคร้ัง อาจจะทาให้ผู้เรียน
เบอ่ื โดยเฉพาะผู้เรียนที่มีระดับสติปัญญาต่า จะทาให้ขาดแรงจูงใจในการสืบค้น
เนื้อหา ประกอบกับถ้าสถานการณ์ที่ครูสร้างข้ึน ไม่ชวนสงสัยย่ิงจะทาให้ผู้เรียน
เบ่ือหน่ายบทเรยี น จะทาใหก้ ารสอนแบบนไี้ ม่ไดผ้ ลเท่าท่ีควร

17

สรุป

การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอนน้ัน นับว่าเป็นรูปแบบ
การเรียนรู้ท่ีดีที่สุดในการจัดการเรียนการสอน STEM เพราะจะนาพา
นักเรียนเข้าร่วมการสารวจ อธิบายอย่างละเอียดและประเมินผล เพ่ือให้
สามารถเชื่อมโยงกับกลยุทธ์การสอนท่ีแตกต่างกันได้ ช่วยให้ครู
วิทยาศาสตร์สามารถอานวยการสอนและสนับสนุนผู้เรียนในการดาเนิน
กิจกรรมได้หลากหลายมากขึ้น ซ่ึงเมื่อเทียบกับรูปแบบการสอนแบบดั้งเดิม
การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ันตอนจะให้ประโยชน์มากกว่า
เก่ยี วกบั ความสามารถของนักเรยี นในการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์

การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน นับเป็นการเรียนการ
สอน ท่ีให้ความสาคัญกับผู้เรียนหรือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีการจัดการ
เรียนรทู้ ฝ่ี กึ ใหผ้ ู้เรยี นรจู้ กั คน้ ควา้ หาความรู้โดยใช้กระบวนการทางความคิด
หาเหตุผล เพ่ือทาให้ค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหาท่ีถูกต้องด้วย
ตนเอง จงึ นับได้ว่าการเรยี นแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอนน้ัน เป็นการ
เรียนการสอนที่เน้นองค์ความรู้ทักษะ ความเช่ียวชาญและสมรรถนะที่เกิด
กับตัวผู้เรียน ซ่ึงทาให้ผู้เรียนสามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการดาเนินชีวิต
ทา่ มกลางการกระแสเปลีย่ นแปลงในยคุ ปจั จุบันได้

18

กำรเรยี นรรู้ ปู แบบกำรสอนแบบสบื เสำะหำควำมรู้ (5E)

แผนการจดั การเรยี นรรู้ ปู แบบการสอนกระบวนสบื เสาะหาความรู้ (5E)

กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 2

รายวชิ าภาษาไทย รหัสวิชา ท32101 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564

หน่วยการเรยี นรู้ 13 ตะวนั พกั จนั ทร์ผอ่ ง จานวนเวลาเรยี น 14 ช่ัวโมง

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรื่อง อ่านและเขียนคาท่ีมีอกั ษรนา ( ห นา) ใชเ้ วลา 2 ช่วั โมง

1. สาระสาคญั
อักษรนา (ห นา) คอื คาทมี่ พี ยัญชนะ 2 ตัวเรียงกันและรว่ มอยใู่ นสระตวั เดียวกัน

พยญั ชนะตวั แรก คอื ห นา และ อ นา ย จะออกเสยี งรว่ มสนิทเปน็ พยางค์เดยี ว สว่ นเสยี ง
วรรณยุกตข์ องพยางค์จะผนั วรรณยุกตต์ ามเสียง ห หรือ อ นา

2. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชวี้ ดั
สาระที่ 1 การอ่าน
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอา่ นสรา้ งความรู้และความคิดไปใช้ตดั สินใจ

แก้ปญั หาและสรา้ งวิสัยทัศนใ์ นการดาเนินชีวติ และมนี สิ ยั รกั การอ่าน
ตวั ชวี้ ัดข้อ 1 อา่ นออกเสยี งคาคาคลอ้ งจองและข้อความส้ัน ๆ
ตัวชว้ี ดั ข้อ 2 อธบิ ายความหมายของคาและขอ้ ความท่ีอ่าน

19

สาระท่ี 2 การเขยี น
มาตรฐานที่ 2.1 ใช้กระบวนการเขยี น เขียนสอ่ื สาร เขยี นเรียงความ ยอ่

ความ และเขยี นเรอ่ื งราวในรปู แบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมลู สารสนเทศและ
รายงานการศึกษาคน้ ควา้ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

ตวั ช้วี ดั ขอ้ 2 เขยี นคาได้ถกู ความหมาย
สาระท่ี 4 หลกั การใช้ภาษา

มาตรฐาน ท 4.1 เขา้ ใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทยการ
เปลย่ี นแปลงของภาษาและพลังของภาษาภมู ปิ ัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้
เปน็ สมบตั ิของชาติ

ตวั ชีว้ ัดข้อ 2 เขียนสะกดคาและบอกความหมายของคา
ตวั ชว้ี ัดขอ้ 3 เรยี บเรยี งคาเป็นประโยคได้ตรงตามเจตนาของการสื่อสาร

3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
3.1 บอกความหมายของคาอกั ษรนาได้ (K)
3.2 อ่านออกเสียงคาทม่ี ี ห นา ได้ถกู ตอ้ ง (P)
3.3 เขียนคาท่ีมี ห นา ไดถ้ กู ตอ้ ง (P)
3.4 มมี ารยาทในการอา่ นและการเขียน (A)

20

4. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น
4.1 ความสามารถในการสอื่ สาร
4.2 ความสามารถในการคิด
4.3 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ

5. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
5.1 ใฝ่เรียนรู้
5.2 มงุ่ ม่นั ในการทางาน
5.3 รักความเป็นไทย

6. สาระการเรยี นรู้
การอ่านและเขยี นทมี่ อี ักษรนา (ห นา )

7. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
ชวั่ โมงที่ 1
ขัน้ ท่ี 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engagement)

1.1 ครกู ล่าวทกั ทายนักเรียนและสนทนาพูดคุยเร่ืองทวั่ ๆ ไป
1.2 ครแู จง้ จดุ ประสงค์ของการเรียนใหน้ ักเรียนทราบวา่ จะเรยี นเร่ือง
การอา่ นและเขียนคาทม่ี ีอักษรนา (ห นา )
1.3 ครเู ปิดสื่อเกมคลิกรปู ภาพคาท่ีมี ห นา ใหน้ ักเรยี นร่วมกนั เลน่
พรอ้ มอธิบายใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ และแจกใบความรู้เร่ืองอักษร ห นา ใหก้ ับนักเรยี น

21

ขน้ั ท่ี 2 ขัน้ สารวจและค้นหา (Exploration)
2.1 ครใู ช้คาถามสอบถามนกั เรยี นว่า จากสือ่ เมื่อสกั ครนู่ ี้อกั ษรนามวี ่า

อะไรบา้ ง โดยครสู ุ่มเลอื กให้นักเรียนตอบ 3 - 4 คน เพือ่ ตอบคาถามในประเด็นนี้

2.2 ครูอธิบายเกย่ี วกับความหมายและเนือ้ หาของอักษรนาที่จะ
เรียนร้ใู นชั่วโมงน้ี

2.3 ครเู ขียนคาที่มี ห นา บนกระดาน ให้นักเรยี นฝึกอา่ นสะกดคา
พรอ้ มกนั จนคล่อง และสังเกตวธิ กี ารอ่าน

2.4 ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั สนทนาเก่ียวกับวิธกี ารอ่านสะกดคาทม่ี ี
ห นา จากตัวอยา่ งคาทีน่ กั เรียนไดอ้ า่ นบนกระดาน

2.5 ครเู ขียนคาว่า หวง หวาน บนกระดาน ใหน้ ักเรยี นร่วมแสดง
ความคดิ เหน็ วา่ เป็นคาทีม่ ี ห นา หรอื ไม่อยา่ งไร

2.6 ครตู ิดบตั รคาบนกระดาน แล้วใหน้ ักเรียนอา่ นออกเสียงคาทม่ี ี
ห นา พร้อมกนั ทั้งช้ันเรียน

2.7 นักเรยี นทากจิ กรรมที่เกี่ยวขอ้ งกับการอา่ นสะกดคาท่ีมี หนา แลว้
ชว่ ยกันตรวจสอบความถกู ตอ้ ง

2.8 ครแู บง่ กลมุ่ นักเรยี นออกเป็นกล่มุ กลุ่มละ 4 - 5 คน ครูแจก
บทความส้นั ๆ และใบความรู้ ทีม่ ีคาที่มี ห นา ให้นกั เรยี นกลมุ่ ละ 1 บทความ
นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มหาคาที่มี ห นา จากบทความทคี่ รูแจก นามาประดษิ ฐเ์ ป็นชดุ คาท่ี
มี ห นา และฝึกอา่ นสะกดคา

22

ขั้นที่ 3 ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
3.1 ครแู ละนักเรียร่วมกนั สรุปความรเู้ ก่ยี วกบั การอ่านและเขียน

อักษร ห นา
3.2 ครูมอบมายใหน้ กั เรียนทาแบบฝึกทักษะท่ี ๑ เปน็ รายบคุ คล

โดยใหน้ ักเรียนส่งทา้ ยชั่วโมง
3.3 ในขณะทน่ี กั เรยี นปฏิบตั กิ จิ กรรมของนักเรียนแตล่ ะคน ให้

ครูสังเกตพฤตกิ รรมในการทางานและคอยให้คาแนะนาแก่นักเรยี นทม่ี ีปญั หาหรือ
ข้อสงสยั

ขนั้ ท่ี 4 ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration)
4.1 ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันอภปิ รายเพื่อใหเ้ กดิ ความเช่ือโยง

ความรู้ ความเข้าใจและนาความรู้เรื่องการอา่ นสะกดคาทมี่ ี ห นา ไปใช้ในการอ่าน
และเขียนสะกดคาในการเรยี นสาระการเรยี นรู้อนื่ และในชวี ิตประจาวนั ได้อยา่ ง
ถกู ต้อง

4.2 สมาชกิ แต่ละกลมุ่ นาความร้ทู ไ่ี ด้จากการศึกษาจากใบความรู้
มาอธบิ ายให้เพ่ือน ๆ ในห้องเพื่อจะได้อภิปรายความรู้ร่วมกนั

4.3 ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั สรปุ เร่ือง การอ่านคาที่มี ห นา และ
จดบนั ทกึ ลงในสมุด

23

ขั้นที่ 5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation)
5.1 ครูใหน้ ักเรยี นทาแบบฝึกทกั ษะท่ี 2 เพือ่ วัดความเขา้ ใจใน

เรอื่ งอกั ษรนา

5.2 ในขณะปฏิบัติกิจกรรมของนักเรยี น ครสู งั เกตและประเมนิ
พฤตกิ รรมดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ของนกั เรียนเปน็ รายบุคคล

5.3 ครตู รวจแบบฝึกทกั ษะของนกั เรยี น แล้วบนั ทึกคะแนน ลงใน
แบบบันทึกคะแนน โดยในการคิดคะแนนให้นักเรยี นศกึ ษาหลักเกณฑก์ ารให้
คะแนนใหเ้ ขา้ ใจ โดยครแู นะนาเพ่มิ เตมิ สาหรับนักเรยี นคนที่ยงั ไมเ่ ขา้ ใจ

8. การวัดและประเมนิ ผล
วธิ กี ารวัด
1. สังเกตการณ์ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมกลมุ่
2. ตรวจใบกจิ กรรม

เครอ่ื งมอื

1. แบบสงั เกตการณ์ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมกลุ่ม

2. เกณฑก์ ารตรวจใบกจิ กรรม

เกณฑ์การประเมินผล
1. นกั เรยี นปฏิบัตกิ ิจกรรมกลมุ่ ผ่านเกณฑก์ ารประเมินระดับดีขน้ึ ไป

2. นกั เรยี นทกุ คนมีคะแนนเฉลย่ี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 จงึ จะถือว่า
ผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 80

24

9. ส่อื /แหลง่ การเรยี นรู้
9.1 เกมคลกิ รปู ภาพ
9.2 บตั รคา
9.3 บทความคาที่มีอกั ษร ห นา
9.4 ใบความรู้ เร่อื งอักษร ห นา

10. บนั ทกึ ผลหลงั การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
10.1 ผลการเรยี น

..................................................................................................................
..................................................................................................................

10.2 ปญั หา/อปุ สรรค
..................................................................................................................
..................................................................................................................

10.3 แนวทางการแก้ไขปญั หา/อปุ สรรค
..................................................................................................................
..................................................................................................................

ลงช่อื ............................................ผู้ออกแบบการเรียนรู้
(.......................................)

............../.................../................

25

สอ่ื /แหลง่ กำรเรยี นรู้

เกมคลกิ รปู ภาพคาทมี่ ี ห นา

26

เกมคลกิ รปู ภาพคาทม่ี ี ห นา

ดาวนโ์ หลดส่ือการเรียนรู้เพ่มิ เติม 27

เกมคลกิ รปู ภาพคาทม่ี ี ห นา

ดาวนโ์ หลดส่ือการเรียนรู้เพ่มิ เติม 28

ใบความรกู้ ารอา่ นคาทเ่ี ปน็ อักษรนา

29

ใบความรกู้ ารอา่ นคาทเ่ี ปน็ อักษรนา

30

บตั รคาทม่ี อี กั ษร ห นา

31

บทความทม่ี อี กั ษร ห นา

32

บทความทม่ี อี กั ษร ห นา

33

แบบฝกึ ทกั ษะที่ 1
หลกั การอา่ นและเขยี นคาทม่ี อี กั ษรนา

34

แบบฝึกทกั ษะที่ 2
หลักการอ่านและเขยี นคาทมี่ อี กั ษรนา

ดาวน์โหลดส่อื การเรียนรู้เพ่มิ เติม 35

36

37

38

39

40

บรรณำนุกรม

จรรยา โทะ๊ นาบุตร. รปู แบบการเรยี นดว้ ยกระบวนการสบื เสาะหาความรแู้ บบ 5E ใน

ศตวรรษที่ 21. สืบค้น 26 กนั ยายน 2564. จาก https://www.krooban

nok.com/newsfile/p20486085.pdf.

ชยั ชนม์ หลักทอง. (2556). รปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E. สบื คน้

25 กันยายน 2564. จาก https://sites.google.com/a/kkumail

.com/lesson-study-for-science/rup-baeb-kar-sxn-beab-sub-

sea-hakhwam-ru-5e.

ปิยนนั ท์ สวสั ดิศ์ ฤงฆาร. (2563). 5E Instructional Model. สบื ค้น

26 กันยายน 2564. จาก https://drpiyanan.com/2020/07/29/

5e-instructional-model/.

พัฒนนนั ท์ พนั แกว้ . (2558). การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้. สืบคน้

25 กนั ยายน 2564. จากhttps://sites.google.com/site/karsub

seaahakhwamru/.

ภัทรียา เจ๊ะหะ. (2554). ภทั รียา-การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้. สืบค้น

26 กันยายน 2564. จาก http://da-inquiry-cycles.Blogspot

.com/p/blog-page.html.

สมปอง เรอื งสมสมยั . การจัดการเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ (5E’s) ทีม่ ีต่อ

ความสามารถในการแกป้ ญั หาทางวทิ ยาศาสตร์ และผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น

วิชาวิทยาศาสตร.์ (วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญา ครศุ าสตร์มหาบัณฑติ มหาวิทยาลยั

ราชภฏั ธนบรุ ,ี 2556) หน้า 8.

วิจารณ์ พานิช. (2556). การสรา้ งการเรยี นรู้สศู่ ตวรรษท่ี 21. กรงุ เทพฯ: ส. เจรญิ

การพิมพ.์

อไุ รวรรณ ปานีสงค์, จิต นวนแก้ว, สมุ าลี เลีย่ มทอง. การจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้

กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5E) เสริมดว้ ยเทคนคิ การจดั แผนผงั มโนทศั น์.

(บัณฑติ วทิ ยาลัย มนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏพิบูล

สงคราม, 2560) หนา้ 136 41

สาขาวชิ าภาษาไทย คณะครุศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ชยั ภูมิ

จดั ทาโดย

นางสาวเกวลนิ มาลินทา รหัสนักศกึ ษา 631506104
นางสาวจตภุ ร กองแกน รหัสนักศกึ ษา 631506106
นางสาวชลธิชา แถวโนนงวิ้ รหสั นกั ศกึ ษา 631506107
นางสาวกาญจนา เกขุนทด รหัสนกั ศึกษา 631506202
นางสาวฐนิตา ทนนา้ รหัสนกั ศึกษา 631506208

นักศึกษาช้ันปที ี่ 2

เสนอ

อาจารย์ ดร.รชั กร ประสรี ะเตสงั

รายวิชา วิทยาการจัดการเรยี นรู้ 1
รหสั วขิ า 5002506


Click to View FlipBook Version