8. ปัญญาทางด้านความเข้าใจธรรมชาติ (Naturalistic Intelligence) ปัญญาด้านนี้เป็นการ ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในสภาพแวดล้อม ผู้ที่มีปัญญา ด้านนี้สูงจะรู้จักจำ แนกชนิด และสายพันธุ์ของพืชและสัตว์ สามารถแยกแยะความแตกต่าง จัดหมวดหมู่ จัดประเภท ของสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติของโลกได้ดีบุคคลในกลุ่มนี้ ได้แก่ นักเดินทาง นักพฤกษศาสตร์ นักวิท วิ ยาศาสตร์ สัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า 48
อัลเฟรด Binet นักจิตวิท วิ ยาชาวฝรั่งเศสศึกษาเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำ ให้เด็กเรีย รี นช้า Binet ร่วมมือกับ Theodore Simon พัฒนาแบบทดสอบทาง สติปัญญา (Test of Intelligence) ซึ่งประกอบด้วยคำ ถาม 30 ข้อ ใช้วัด วั ความสามารถในการตัดสินใจ, ความเข้าใจ และการ ใช้เหตุผล แบบทดสอบนี้ยังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดย นักจิตวิท วิ ยาชาวอเมริกั ริกั น Lewis Terman ในแนวคิดเกี่ยวกับ IQ (Intelligence Quotient) ซึ่งได้รับการปรับปรุงอีกหลาย ครั้งจนมีการนำ มาใช้กันอย่างแพร่หลาย บิเนต์ (Alfred Binet) ได้รับยกย่องว่า ว่ เป็น บิดาแห่งแบบทดสอบเชาวน์ปัญญา ทฤษฎีฎี ฎี เ ฎี เชาวน์น์ น์ปัน์ปัปั ญปั ญญาจิจิ จิ ตจิ ตมิมิ มิ ติมิ ติ ติติ (Psychometric Theory of Intelligence) 49
ทฤษฎี เชาวน์ปัญ ปั ญา จิตมิติมีหลายทฤษฎีแต่ที่จะขอนำ เสนอ เพียง 5 ทฤษฎี คือ 1.ทฤษฎีองค์ประกอบเดียว (Single-Factor Theory หรือ รื Unitary Mental Factor) ทฤษฎีองค์ประกอบเดียวเป็นของศาสตราจารย์ เทอร์แมน ผู้ สร้างแบบทดสอบ สแตนฟอร์ด-บิเนต์ เทอร์แมน เชื่อว่า ว่ เชาว์ปัว์ ปั ญญา คือความสามารถในการคิดแบบ นามธรรม เป็นผลของพันธุกรรมแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึง เป็นสิ่งคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง g – factor 2.ทฤษฎีองค์ประกอบสองตัว (Two – Factor Theory) สเปียร์แมน(Charles Spearman) นักจิตวิท วิ ยาชาวอังกฤษได้ นำ การวัด วั ทางจิตวิท วิ ยา(Psychometric หรือ รื การวัด วั ความแตก ต่างระหว่า ว่ งบุคคลในด้านพฤติกรรม และความสามารถ) มา ศึกษาเชาวน์ปัญญา โดยศึกษาความสามารถของบุคคลจากการ ทำ กิจกรรมต่าง ๆ 3.ทฤษฎีองค์ประกอบหลายตัว (Multiple Factor Theory) เธอร์สโตน(L.L.Thurstone) อธิบายว่า ว่ เชาวน์ปัญญาไม่ได้เป็น ความสามารถทั่วไปเพียงอย่างเดียว แต่ประกอบด้วยความ สามารถทางสมองหลายชนิด หลายลักษณะที่มีอยู่ในตัวบุคคล เธอร์สโตนเรีย รี กความสามารถทางสมองทั้งหลาย 50
4.ทฤษฎีโครงสร้างทางปัญ ปั ญาของกิลฟอร์ด กิลฟอร์ด นักจิตวิท วิ ยา ชาวอเมริกั ริกั นเสนอทฤษฎีโครงสร้างทาง เชาวน์ปัญญาที่ เรีย รี กว่า ว่ Structure of Intellectหรือ รื เรีย รี ก ย่อ ๆ ว่า ว่ SI กิลฟอร์ดเชื่อว่า ว่ ทฤษฎีองค์ประกอบเดียวหรือ รื หลาย องค์ประกอบไม่สามารถอธิบายความสามารถของมนุษย์ได้หมด ทฤษฎีของกิลฟอร์ดถือว่า ว่ ความสามารถแต่ละอย่าง เป็นความ สามารถเฉพาะ (Specific Ability) และได้เสนอว่า ว่ เชาวน์ ปัญญาประกอบด้วย 3 มิติ คือ มิติที่ 1 การคิด (Operation) มิติที่ 2 เนื้อหา (Content) มิติที่ 3 ผลการคิด(Product) สรุปแล้วโครงสร้างเชาวน์ปัญญาของกิลฟอร์ด ประกอบด้วย ความความสามารถที่แตกต่างกัน 180 ชนิด คือ(เนื้อหา 5 วิธี วิธี การคิด 6 ผลการคิด 6) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ว่ เชาวน์ปัญญาของ แต่ละบุคคลไม่ควรที่จะวัด วั โดยใช้คะแนนรวมเพียงอย่างเดียว กิลฟอร์ดเชื่อว่า ว่ ความสามารถแต่ละอย่างเปลี่ยนแปรได้ด้วยการ ฝึกหัดและการเรีย รี นรู้ 51
5 ทฤษฎีองค์ประกอบทั่ว ทั่ ไปสองตัวของแคทเทลล์ ศาสตราจารย์ เรย์มอน แคทเทล ได้เสนอทฤษฎีเชาวน์ปัญญาว่า ว่ ประกอบด้วยองค์ประกอบทั่วไป 2 ตัวคือ 1) Fluid Intelligence สัญลักษณ์ “ gf ” องค์ประกอบทาง เชาวน์ปัญญาที่ได้รับสืบทอดมาจากพันธุกรรม เช่น ความ สามารถในการคิดหาเหตุผล คิดแบบนามธรรม และความ สามารถที่จะแก้ปัญหา 2) Crystallized Intelligence สัญลักษณ์ “ gc ” เชาวน์ ปัญญาที่เป็นผลมาจากการเรีย รี นรู้และประสบการณ์ วัฒ วั นธรรม และสิ่งแวดล้อม 52
1. พันธุกรรมกับเชาวน์ปัญ ปั ญาพันธุกรรมเป็น ป็ ปัจ ปั จัยสำ คัญ อันดับแรกต่อเชาวน์ปัญญาของบุคคลการที่เด็กจะมีระดับ เชาวน์ปัญญาเช่นไรขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของฝ่ายพ่อและ ฝ่ายแม่ เป็นสำ คัญกล่าวคือถ้าพ่อแม่ฉลาดลูกจะฉลาดเหมือน พ่อแม่ถ้า พ่อแม่โง่ลูกจะโง่เหมือนพ่อแม่ 2. สิ่งแวดล้อมกับเชาวน์ปัญ ปั ญาสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับเชาวน์ปัญญาของบุคคลได้ไม่ มากนักกล่าวคือไม่ว่า ว่ เราจะจัดสิ่งแวดล้อมให้ครบถ้วน สมบูรณ์ เพียงใดก็จะไม่สามารถทำ ให้เด็กที่มีเชาวน์ปัญญา ต่ำ ที่ไม่ สามารถดูแลตัวเองได้ให้มีระดับเชาวน์ปัญญาที่สูง ขึ้นเป็นระดับ ปานกลางได้เลย ปัปัปั จปั จจัจั จั ยจั ยที่ที่ ที่ มี ที่ มี มี อิมี อิ อิ ทอิ ทธิธิ ธิ พ ธิ พลต่ต่ ต่ อต่ อเชาว์ว์ ว์ว์ ปัปัปั ญปั ญญาและสติติ ติปีติปีปี ญปี ญญา 53
ทฤษฎีการรับรู้ (Perception Theory) การรับรู้ป็นพื้น ฐานการเรีย รี นรู้ที่สำ คัญของบุคคล เพราะการตอบสนองพฤติ กรรมใดๆ จะขึ้นอยู่กับการรับรู้จากสภาพแวดล้อม ของตน และความสามารถในการแปลความหมายของสภาพนั้นๆ ดังนั้น การเรีย รี นรู้ที่มีประสิทธิภาพจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยการรับรู้ และสิ่ง เร้าที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจัยการรับรู้ประกอบด้วยประสาท สัมผัส และปัจจัยทางจิต คือความรู้เดิม ความต้องการ และ เจตคติเป็นต้น การรับรู้จะประกอบด้วยกระบวนการสามด้าน คือ การรับสัมผัสการแปลความหมายและอารมณ์ บทที่6 การรัรั รั บ รั บรู้รู้รู้แรู้ ละทฤษฎีฎี ฎี กฎี การรัรั รั บ รั บรู้รู้รู้รู้ 54
สิ่งเร้าไม่ว่า ว่ จะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือ รื สถานการณ์ มาเร้าอินทรีย์ รีย์ ทำ ให้เกิด การสัมผัส (Sensation) และเมื่อเกิดการสัมผัสบุคคล จะเกิดมีอาการแปล การสัมผัสและมีเจตนา (Conation) ที่จะแปลสัมผัสนั้น การแปลสัมผัส จะ เกิดขึ้นในสมอง ทำ ให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ เช่น การที่เราได้ยินเสียงดัง ปัง ปัง ๆ สมองจะแปลเสียงดังปัง ปัง โดยเปรีย รี บเทียบกับเสียง ที่เคยได้ยินว่า ว่ เป็น เสียงของอะไร เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงพลุ เสียงประทัด เสียงของท่อ ไอเสียรถ เสียงเครื่อ รื่ งยนต์ระเบิด หรือ รื เสียงอะไร ในขณะเปรีย รี บเทียบ จิตต้อง มีเจตนา ปนอยู่ ทำ ให้เกิดแปลความหมาย และ ต่อไปก็รู้ว่า ว่ เสียงที่ได้ยินนั่น คือ เสียงอะไร อาจเป็นเสียงปืน เพราะบุคคลจะแปลความหมายได้ ถ้าบุคคล เคย มีประสบการณ์ในเสียงปืนมาก่อน และอาจแปลได้ว่า ว่ ปืนที่ดังเป็นปืน ชนิดใด ถ้าเขาเป็นตำ รวจ จากตัวอย่างข้างต้นนี้ เราอาจสรุป กระบวนการรับ รู้ จะเกิดได้จะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ 1. มีสิ่งเร้า ( Stimulus ) ที่จะทำ ให้เกิด การรรับรู้ เช่น สถานการณ์ เหตุการณ์ สิ่งแวดล้อม รอบกาย ที่เป็น คน สัตว์ และสิ่งของ 2. ประสาทสัมผัส ( Sense Organs ) ที่ทำ ให้เกิดความรู้สึกสัมผัส เช่น ตาดู หูฟัง จมูกได้ กลิ่น ลิ้นรู้รส และผิวหนังรู้ร้อนหนาว 3. ประสบการณ์ หรือ รื ความรู้เดิมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเร้าที่เราสัมผัส 4. การแปลความหมายของสิ่งที่เราสัมผัส สิ่งที่เคยพบเห็นมาแล้วย่อมจะอยู่ ในความทรงจำ ของสมอง เมื่อบุคคลได้รับสิ่งเร้า สมองก็จะทำ หน้าที่ทบทวน กับความรู้ที่มีอยู่เดิมว่า ว่ สิ่งเร้านั้นคืออะไร กระบวนการของการรัรั รั บ รั บรู้รู้รู้รู้ 56
การรับรู้จะเกิดขึ้นได้ ต้องเป็น ป็ ไปตามขั้น ขั้ ตอนของกระบวนการดังนี้ ขั้น ขั้ ที่ 1 สิ่งเร้า( Stimulus )มากระทบอวัย วั วะสัมผัสของอินทรีย์ รีย์ ขั้น ขั้ ที่ 2 กระแสประสาทสัมผัสวิ่ง วิ่ ไปยังระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งมีศูนย์อยู่ที่ สมองเพื่อสั่งการ ตรงนี้เกิดการรับรู้ ( Perception ) ขั้น ขั้ ที่ 3 สมองแปลความหมายออกมาเป็น ป็ ความรู้ความเข้าใจโดยอาศัย ความ รู้เดิม ประสบการณ์เดิม ความจำ เจตคติ ความต้องการ ปทัสถาน บุคลิกภาพ เชาวน์ปัญญา ทำ ให้เกิดการตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ง การรับ รู้ ( Perception ) ตัวอย่าง ขณะนอนอยู่ในห้องได้ยินเสียงร้องเรีย รี กเหมียวๆๆรู้ว่า ว่ เป็นเสียงร้อง ของสัตว์ และรู้ต่อไปว่า ว่ เป็นเสียงของแมว เสียงเป็นเครื่อ รื่ งเร้า (Stimulus) เสียงแล่นมากระทบหูในหูมีปลายประสาท (End organ) เป็นเครื่อ รื่ งรับ (Receptor) เครื่อ รื่ งรับส่งกระแสความรู้สึก (Impulse) ไปทางประสาท สัมผัส (Sensory nerve) เข้าไปสู่สมอง สมองเกิดความตื่นตัวขึ้น (ตอนนี้ เป็นสัมผัส) ครั้นแล้วสมองทำ การแยกแยะว่า ว่ เสียงนั้นเป็นเสียงคนเป็นเสียง สัตว์ เป็นเสียงของแมวสาวเป็นเสียงแมวหนุ่ม ร้องทำ ไมเราเกิดอาการรับรู้ ตอนหลังนี้เป็น การรับรู้ เมื่อเรารู้ว่า ว่ เป็นเสียงของแมวเรีย รี ก ทำ ให้เราต้องการ รู้ว่า ว่ แมวเป็นอะไร ร้องเรีย รี กทำ ไมเราจึงลุกขึ้นไปดูแมวตาม ตำ แหน่งเสียงมี่ ได้ยินและขานรับ สมองก็สั่งให้กล้ามเนื้อปากทำ การเปล่งเสียงขานรับ ตอนนี้ ทางจิตวิท วิ ยาเรีย รี กว่า ว่ ปฏิกิริย ริ าหรือ รื การตอบสนอง (Reaction หรือ รื Response) เมื่อประสาทตื่นตัวโดยเครื่อ รื่ งเร้า จะเกิดมีปฏิกิริย ริ า คือ อาการ ตอบสนองต่อสิ่งเร้า ลำลำลำลำดัดั ดั บ ดั บขั้ขั้ ขั้ น ขั้ นของ กระบวนการรัรั รั บ รั บรู้รู้รู้รู้ 57
กลไกการรับรู้เกิดขึ้นจากทั้ง ทั้ สิ่งเร้าภายนอกและภายในอินทรีย์ รีย์ มี อิทธิพลต่อพฤติกรรม อวัย วั วะรับสัมผัส (Sensory organ) เป็น เครื่อ รื่ งรับสิ่งเร้าของมนุษย์ ส่วนที่รับความรู้สึกของอวัย วั วะรับสัมผัส อาจอยู่ลึกเข้าไปข้างใน มองจากภายนอกไม่เห็น อวัย วั วะรับสัมผัส แต่ละอย่างมีประสาทรับสัมผัส (Sensory nerve) ช่วยเชื่อม อวัย วั วะรับสัมผัสกับเขตแดนการรับสัมผัสต่าง ๆ ที่สมอง และส่ง ผ่านประสาทมอเตอร์ (Motor nerve) ไปสู่อวัย วั วะมอเตอร์ (Motor organ) ซึ่งประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อและต่อมต่างๆ ทำ ให้เกิดปฏิกิริย ริ าตอบสนองของอวัย วั วะมอเตอร์ และจะออกมาใน รูปใดขึ้นอยู่กับ การบังคับบัญชาของระบบประสาท ส่วนสาเหตุที่ มนุษย์เราสามารถไวต่อความรู้สึกก็เพราะ เซลประสาทของประสาท รับสัมผัส แบ่งแยกแตกออกเป็นกิ่งก้านแผ่ไปติดต่อกับ อวัย วั วะรับ สัมผัส และที่อวัย วั วะรับสัมผัสมีเซลรับสัมผัส ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว จึง สามารถทำ ให้มนุษย์รับสัมผัสได้ กลไกของการรัรั รั บ รั บรู้รู้รู้รู้ 58
สิ่งเร้าได้แก่วัตถุ แสง เสียง กลิ่น รสต่างๆ อวัยวะรับสัมผัส ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น ผิวหนัง ถ้าไม่สมบูรณ์จะทำ ให้สูญเสียการรับรู้ได้ ประสาทในการรับสัมผัสเป็นตัวกลางส่งกระแสประสาทจากอวัย วั วะรับสัมผัสไปยังสมอง ส่วนกลาง เพื่อการแปลความต่อไป ประสบการณ์เดิม การรู้จัก การจำ ได้ ทำ ให้การรับรู้ได้ดีขึ้น ค่านิยม ทัศนคติ ความใส่ใจ ความตั้งใจ สภาพจิตใจ อารมณ์ เช่น การคาดหวัง วั ความดีใจ เสียใจ ความสามารถทางสติปัญญา ทำ ให้รับรู้ได้เร็ว หลักแห่งความคล้ายคลึง ( Principle of similarity) สิ่งเร้าใดที่มีความคล้ายกันจะรับ รู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน หลักแห่งความใกล้ชิด (Principle of proximity ) สิ่งเร้าที่มีความใกล้กันจะรับรู้ว่า ว่ เป็นพวกเดียวกัน หลักแห่งความสมบูรณ์ (Principle of closure) เป็นการรับรู้สิ่งที่ไม่สมบูรณ์ให้ สมบูรณ์ขึ้น การคงที่ของขนาด การคงที่ของรูปแบบ รูปทรง การคงที่ของสีและแสงสว่า ว่ ง 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. การจัดระบบการรับรู้ มนุษย์เมื่อพบสิ่งเร้าไม่ได้รับรู้ตามที่สิ่งเร้าปรากฏแต่จะนำ มาจัดระบบตามหลักดังนี้ 1. 2. 3. ความคงที่ของการรับรู้ ( Perceptual constancy ) ความคงที่ในการรับรู้มี 3 ประการ ได้แก่ 1. 2. 3. การรับรู้ที่ผิดพลาด แม้ว่า ว่ มนุษย์มีอวัย วั วะรับสัมผัสถึง 5 ประเภทแต่มนุษย์ก็ยังรับรู้ผิดพลาดได้ เช่น ภาพลวงตา การรับฟังความบอกเล่า ทำ ให้เรื่อ รื่ งบิดเบือนไป การมีประสบการณ์และค่า นิยมที่แตกต่างกัน ดังนั้นการรับรู้ถ้าจะให้ถูกต้อง จะต้องรับรู้โดยผ่าน ประสาทสัมผัสหลาย ทาง ผ่านกระบวนการคิดไตร่ตรองให้มากขึ้น องค์ค์ ค์ปค์ ระกอบ ของการรัรั รั บ รั บรู้รู้รู้รู้ 59
สิ่งเร้าอย่างเดียวกัน อาจจะทำ ให้คนสองคน สามารถรับรู้ต่างกัน ได้ เช่น คนหนึ่งมองว่า ว่ คนอเมริกั ริกั นน่ารัก แต่อีกคนมองว่า ว่ เป็น คนอเมริกั ริกั น เป็นชาติที่น่ารักน้อยหน่อยก็ได้ เพราะในใจเขาอาจ ชอบคนอังกฤษก็ได้ เลยชอบชาวอเมริกั ริกั นน้อยกว่า ว่ ซึ่งก็แล้วแต่ มุมมองของแต่ละคน แล้วแต่การรับรู้ของแต่ละคน การที่มนุษย์ สามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง และจะรับรู้ ได้ดีมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับสิ่งที่มีอิทธิพลต่อ การรับรู้ เช่น ประสบการณ์ วัฒ วั นธรรม การศึกษา เป็นต้น ดังนั้น นั้ การที่บุคคล จะเลือกรับรู้สิ่งเร้าใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ใน ขณะใดขณะหนึ่งนั้นจึงขึ้นอยู่กับปัจัยที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้มี 2 ประเภท คือ อิทธิพลที่มาจากภายนอก ได้แก่ ความเข้มและขนาดของสิ่งเร้า ( Intensively and Size) การกระทำ ซ้ำ ๆ (Repetition) สิ่ง ที่ตรงกันข้าม (Contrast) การเคลื่อนไหว (Movement) และ อิทธิพลที่มาจากภายใน ได้แก่ แรงจูงใจ (Motive) การคาดหวัง วั (Expectancy) ความสนใจ อารมณ์ ความคิดและจิตนาการ ความรู้สึกต่างๆ ที่บุคคลได้รับ เป็นต้น ปัปัปั จปั จจัจั จั ยจั ยกำกำกำกำหนดการรัรั รั บ รั บรู้รู้รู้รู้ 60
การประมวลผลข้ข้ ข้ อข้ อมูมูมู ล มู ลและ กระบวนการในการรัรั รั บ รั บรู้รู้รู้รู้ 61
บทที่7 การเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้รู้ เเละทฤษฎีฎี ฎี กฎี การเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้รู้ การเรีย รี นรู้ หมายถึง การเรีย รี นรู้ของมนุษย์อาจเกิดขึ้นจากส่วนหนึ่งของการศึกษา การพัฒนาส่วนบุคคล การเรีย รี นการสอน หรือ รื การฝึกฝน การ เรีย รี นรู้อาจมีก มี ารยึดเป้าหมายและอาจมีค มี วามจูงใจเป็นตัวช่วย การศึกษาว่า ว่ การเรีย รี นรู้เกิดขึ้นได้อย่างไรเป็นส่วนหนึ่งของสาขา วิช วิ าประสาทจิตวิท วิ ยา (neuropsychology) จิตวิท วิ ยาการ ศึกษา(educational psychology) ทฤษฎีการเรีย รี น รู้(learning theory) และศึกษาศาสตร์ (pedagogy) การ เรีย รี นรู้อาจทำ ให้เกิดพฤติกรรมการเรีย รี นรู้(habituation) หรือ รื การวางเงื่อนไขแบบดั้งเดิม(classical conditioning) ซึ่งพบในสัตว์ห ว์ ลายชนิด หรือ รื ทำ ให้เกิดกิจกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้น อย่างเช่นการเล่น ซึ่งพบได้เฉพาะในสัตว์ที่ ว์ ที่ มีเชาวน์ปัญญา การ เรีย รี นรู้อาจก่อให้เกิดความตระหนักอย่างมีสำ นึกหรือ รืไม่มีสำ นึก ก็ได้ 62
การเรีย รี นรู้คือกระบวนการที่ทำ ให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรีย รี นได้จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้ เทคโนโลยี การเรีย รี นรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็ก จะเรีย รี นรู้ด้วยการเรีย รี นในห้อง การซักถาม ผู้ใหญ่มักเรีย รี นรู้ด้วย ประสบการณ์ที่มีอยู่ แต่การเรีย รี นรู้จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ทีผู้ สอนนำ เสนอ โดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่า ว่ งผู้สอนและผู้เรีย รี น ผู้สอน จะเป็นผู้ที่สร้างบรรยากาศทาง จิตวิท วิ ยา ที่เอื้ออำ นวยต่อการ เรีย รี นรู้ ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดก็ได้เช่น ความเป็นกันเอง ความเข้มงวดกวดขัน หรือ รื ความไม่มีระเบียบวินั วินั ย สิ่งเหล่านี้ผู้ สอนจะเป็นผู้สร้างเงื่อนไข และสถานการณ์เรีย รี นรู้ให้กับผู้เรีย รี น ดังนั้น ผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกรูปแบบการสอน รวมทั้งการ สร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เรีย รี น ทฤษฎีฎี ฎี กฎี การเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้รู้หมายถึถึ ถึ งถึ ง 63
ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) คือ ผลของการ เรีย รี นรู้ที่เป็นความสามารถทางสมอง ครอบคลุมพฤติกรรม ประเภท ความจำ ความเข้าใจ การนำ ไปใช้ การวิเ วิ คราะห์ การสังเคราะห์และประเมินผล ด้านเจตพิสัย (Affective Domain ) คือ ผลของการ เรีย รี นรู้ที่เปลี่ยนแปลงด้านความรู้สึก ครอบคลุมพฤติกรรม ประเภท ความรู้สึก ความสนใจ ทัศนคติ การประเมินค่าและ ค่านิยม ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) คือ ผลของ การเรีย รี นรู้ที่เป็นความสามารถด้านการปฏิบัติ ครอบคลุม พฤติกรรมประเภท การเคลื่อนไหว การกระทำ การปฏิบัติ งาน การมีทักษะและความชำ นาญ พฤติกรรมการเรีย รี นรู้ตามจุดมุ่งหมายของนักการศึกษาซึ่ง กำ หนดโดย บลูม และคณะ (Bloom and Others ) มุ่ง พัฒนาผู้เรีย รี นใน 3 ด้าน ดังนี้ 1. 2. 3. จุจุจุ ด จุ ดมุ่มุ่มุ่งมุ่ หมายของการเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้รู้ 64
ดอลลาร์ด และมิล มิ เลอร์ (Dallard and Miller) เสนอว่า ว่ การเรีย รี นรู้ มีองค์ ประกอบสำ คัญ 4 ประการ คือ 1.แรงขับ (Drive) เป็นความต้องการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล เป็นความ พร้อมที่จะเรีย รี นรู้ของบุคคลทั้งสมอง ระบบประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ แรง ขับและความพร้อมเหล่านี้จะก่อให้เกิดปฏิกิริย ริ า หรือ รื พฤติกรรมที่จะชักนำ ไปสู่ การเรีย รี นรู้ต่อไป 2.สิ่งเร้า (Stimulus) เป็นสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเป็น ตัวการที่ทำ ให้บุคคลมีปฏิกิริย ริ า หรือ รื พฤติกรรมตอบสนองออกมา ในสภาพ การเรีย รี นการสอน สิ่งเร้าจะหมายถึงครู กิจกรรมการสอน และอุปกรณ์การ สอนต่างๆ ที่ครูนำ มาใช้ 3.การตอบสนอง (Response) เป็นปฏิกิริย ริ า หรือ รื พฤติกรรมต่างๆ ที่ แสดงออกมาเมื่อบุคคลได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้า ทั้งส่วนที่สังเกตเห็นได้และ ส่วนที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เช่น การเคลื่อนไหว ท่าทาง คำ พูด การคิด การรับรู้ ความสนใจ และความรู้สึก เป็นต้น 4.การเสริม ริ แรง (Reinforcement) เป็นการให้สิ่งที่มีอิทธิพลต่อบุคคลอันมี ผลในการเพิ่มพลังให้เกิดการเชื่อมโยง ระหว่า ว่ งสิ่งเร้ากับการตอบสนองเพิ่ม ขึ้น การเสริม ริ แรงมีทั้งทางบวกและทางลบ ซึ่งมีผลต่อการเรีย รี นรู้ของบุคคล เป็นอันมาก องค์ค์ ค์ปค์ ระกอบสำสำสำสำคัคั คั ญคั ญ ของการเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้รู้ 65
พฤติกรรม ควรชี้ชัดและสังเกตได้ เงื่อนไข พฤติกรรมสำ เร็จได้ควรมีเงื่อนไขใน การช่วยเหลือ มาตรฐาน พฤติกรรมที่ได้นั้น นั้ สามารถอยู่ใน เกณฑ์ที่กำ หนด . ในการออกแบบสื่อการเรีย รี นการสอน การวิเ วิ คราะห์ ความจำ เป็น ป็ เป็น ป็ สิ่งสำ คัญ และตามด้วยจุดประสงค์ ของการเรีย รี น โดยแบ่งออกเป็น ป็ ย่อยๆ 3 ส่วนด้วย กัน การเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้ตรู้ ามทฤษฎีฎี ฎี ข ฎี ของ เมเยอร์ร์ ร์ร์(Mayor) 66
. องค์ค์ ค์ปค์ ระกอบการเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้ตรู้ าม ทฤษฎีฎี ฎี ข ฎี ของไทเลอร์ร์ ร์ร์ องค์ประกอบหลักหรือ รื วัตถุประสงค์หลักของการเรีย รี นรู้ตามทฤษฎีของไทเลอร์ นั้น นั้ ประกอบไปด้วย ความต่อเนื่อง (continuity) การจัดช่วงลำ ดับ (sequence) และ บูรณาการ (integration) กล่าวคือ ความต่อเนื่อง (continuity) หมายถึง ในวิช วิ าทักษะ ต้องเปิดโอกาสให้มีการฝึกทักษะ ในกิจกรรมและประสบการณ์บ่อยๆ และต่อเนื่องกัน การจัดช่วงลำ ดับ (sequence) หมายถึง หรือ รื การจัดสิ่งที่มีความง่าย ไปสู่สิ่งที่มีความ ยาก ดังนั้นการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ ให้มีการเรีย รี งลำ ดับก่อนหลัง เพื่อให้ได้ เรีย รี นเนื้อหาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น บูรณาการ (integration) หมายถึง การจัดประสบการณ์จึงควรเป็นในลักษณะที่ช่วย ให้ผู้เรีย รี น ได้เพิ่มพูนความคิดเห็นและได้แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกัน เนื้อหาที่เรีย รี น เป็นการเพิ่มความสามารถทั้งหมด ของผู้เรีย รี นที่จะได้ใช้ประสบการณ์ได้ในสถานการณ์ ต่างๆ กัน ประสบการณ์การเรีย รี นรู้ จึงเป็นแบบแผนของปฏิสัมพันธ์ (interaction) ระหว่า ว่ งผู้เรีย รี นกับสถานการณ์ที่แวดล้อม 67
. แบบจำจำจำจำลองการพัพั พัพัฒนา หลัลั ลั กลั กสูสูสู ต สู ตรของไทเลอร์ร์ ร์ร์(Tiler) 68
. ทฤษฎีฎี ฎี ข ฎี ของจอห์ห์ ห์ น ห์ น บีบี บีบีวัวั วั ตวั ตสัสั สั น สั น (John B. Watson) นักจิตวิท วิ ยาชาวอเมริกั ริกั น ได้นำ เอาทฤษฎีของพา ฟลอฟ มาเป็น ป็ หลักในการอธิบายผลงานของวัตสัน ได้รับความนิยมจนได้รับการยกย่องว่า ว่ เป็น ป็ “บิดาของจิตวิท วิ ยาพฤติกรรมนิยม” ทฤษฎีของเขามีลักษณะในการอธิบายเรื่อ รื่ งการ เกิดอารมณ์จากการวางเงื่อนไข(Conditioned emotion) 69
. วัวั วั ตวั ตสัสั สั น สั น ทำทำทำทำการทดลองโดยให้ห้ ห้ห้ เด็ด็ ด็ กด็ กคนหนึ่นึ่ นึ่ งนึ่ งเล่ล่ ล่ น ล่ นกักั กั บ กั บหนูนูนู ข นู ขาว ขณะที่เด็กกำ ลังจะจับหนูขาวก็ตีแท่ง เหล็กให้เกิดเสียงดังเด็กจตกใจร้องไห้ หลังจากนั้น นั้ เด็กจะกลัวและร้องไห้เมื่อเห็น หนูขาวต่อมาทดลองนำ หนูขาวมาให้เด็กดู ใหม่โดยให้แม่กอดและคอยปลอบเด็กไว้ จากนั้น นั้ เด็กก็จะค่อย ๆ หายกลัวหนูขาว 70
. การประยุยุยุ ก ยุ กต์ต์ ต์ใต์ช้ช้ ช้ใช้ นด้ด้ ด้ าด้ านการ เรีรี รี ยรี ยนการสอน 1. ความแตกต่างระหว่า ว่ งบุคคล ด้านสติปัญญา ด้าน อารมณ์มีการตอบสนองไม่เท่ากัน การจัดการเรีย รี นการสอน ต้องคำ นึงถึงความแตกต่างระหว่า ว่ งบุคคล 2. การวางเงื่อนไข เป็นเรื่อ รื่ งที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางด้าน อารมณ์ ผู้สอนสามารถทำ ให้ผู้เรีย รี นรู้สึกชอบหรือ รืไม่ชอบ เนื้อหาที่เรีย รี นหรือ รื สิ่งแวดล้อมในการเรีย รี นได้ 3.การล้างพฤติกรรมที่วางเงื่อนไขในแง่ลบ เช่น การที่ นักเรีย รี นกลัวครู ครูอาจเปลี่ยนวิธี วิธี การสอนใหม่ 71
. วัวั วั ตวั ตสัสั สั น สั นสรุรุรุ ป รุ ป ทฤษฎีฎี ฎี กฎี การเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้รู้ดัดั ดั งดั งนี้นี้ นี้นี้ 1.พฤติกรรมเป็น ป็ สิ่งที่สามารถควบคุมให้เกิดขึ้นได้ โดยการควบคุมสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขให้สัมพันธ์กับ สิ่งเร้าตามธรรมชาติ และการเรีย รี นรู้จะคงทนถาวร หากมีการให้สิ่งเร้าที่ สัมพันธ์กันนั้น นั้ ควบคู่กันไปอย่างสม่ำ เสมอ 2.เมื่อสามารถทำ ให้เกิดพฤติกรรมใดๆได้ ก็ สามารถลดพฤติกรรมนั้น นั้ ให้หายไปได้ 72
. ทฤษฎีฎี ฎี กฎี การเชื่ชื่ ชื่ อชื่ อมโยงของธอร์ร์ ร์ น ร์ นไดค์ค์ ค์ค์ (Thorndike’s connectionism) ธอร์นไดค์ (Thorndike) เป็นนักจิตวิท วิ ยาชาวอเมริกั ริกั นที่ มีความเชื่อว่า ว่ การเรีย รี นรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่า ว่ งสิ่ง เร้ากับการตอบสนอง ซึ่งมีหลายรูปแบบ บุคคลจะมีการ ลองผิดลองถูกและมีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อ รื่ ยๆ จนกว่า ว่ จะ พบรูปแบบการตอบสนองที่ให้ผลที่พึงพอใจมากที่สุด เมื่อ เกิดการเรีย รี นรู้แล้วบุคคลจะใช้รูปแบบการตอบสนองที่ เหมาะสมเพียงรูปแบบเดียวและจะพยายามใช้รูปแบบการ ตอบสนองนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งเร้าในการเรีย รี นรู้ต่อไปเรื่อ รื่ ยๆ ซึ่งสามารถสรุปกฎการเรีย รี นรู้ที่สำ คัญจากทฤษฎีการเชื่อม โยงของธอร์นไดค์ ได้ดังนี้ 73
. 1) กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) การเรีย รี นรู้จะ เกิดขึ้นได้ดีถ้าผู้เรีย รี นมีความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและ จิตใจ 2) กฎแห่งการฝึก ฝึ หัด (Law of Exercise) การเรีย รี นรู้ที่ คงทนจะเกิดจากการฝึกหัดหรือ รื กระทำ ซ้ำ บ่อยๆ ด้วยความ เข้าใจ 3) กฎแห่งการใช้และไม่ใช้ (Law of Use and Disuse) ถ้ามีการนำ ความรู้ที่เคยเรีย รี นรู้ไปแล้วไปใช้บ่อย ๆ จะทำ ให้การ เรีย รี นรู้เกิดความคงทน แต่หากความรู้ที่เคยเรีย รี นไปไม่ได้ถูกนำ ไปใช้จะทำ เกิดการลืม 4) กฎแห่งผลที่พึงพอใจ (Law of Effect) เมื่อบุคคลได้รับ ผลจากการเรีย รี นรู้ที่พึงพอใจจะทำ ให้อยากจะเรีย รี นรู้ต่อไป แต่ ถ้าได้รับผลที่ไม่พึงพอใจก็จะไม่อยากเรีย รี นรู้ 74
. 1)ผู้สอนควรตรวจสอบความพร้อมหรือ รื การสร้างความพร้อมให้ แก่ผู้เรีย รี นทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจรวมทั้งความรู้เดิมที่ จำ เป็นก่อนเริ่ม ริ่ บทเรีย รี นใหม่ เช่นการให้ผู้เรีย รี นมีเวลาในการเตรี ยมตัวก่อนเริ่ม ริ่ บทเรีย รี น การสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรีย รี น รู้ และการทบทวนความรู้เดิม 2) ผู้สอนควรให้ผู้เรีย รี นฝึกทักษะที่สำ คัญและจำ เป็นบ่อย ๆ เพื่อให้เกิดการเรีย รี นรู้ที่คงทน 3)ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรีย รี นได้นำ ความรู้ในสิ่งที่ได้จากการ เรีย รี นรู้นั้นไปใช้บ่อยๆ ในสถานการณ์ที่หลากหลาย 4)หลังจากที่ผู้เรีย รี นสามารถเรีย รี นรู้ได้ตามจุดประสงค์ที่ผู้สอน กำ หนดแล้วผู้สอนควรให้คำ ชมเชยหรือ รื รางวัล วั ที่ทำ ให้ผู้เรีย รี นพึง พอใจต่อสิ่งที่ได้กระทำ ในการร่วมกิจกรรมการเรีย รี นซึ่งจะช่วย ให้ผู้เรีย รี นเกิดแรงจูงใจในการเรีย รี นรู้มากขึ้นและทำ ให้การเรีย รี น การสอนประสบผลสำ เร็จ การนำนำนำนำแนวคิคิ คิ ดคิ ดของทฤษฎีฎี ฎี กฎี การเชื่ชื่ ชื่ อชื่ อมโยง ของธอร์ร์ ร์ น ร์ นไดค์ค์ ค์ไค์ปประยุยุ ยุ ก ยุ กต์ต์ ต์ใต์ช้ช้ ช้ใช้ นการจัจั จั ดจั ดการเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้รู้ สามารถทำทำทำทำได้ด้ ด้ ดัด้ ดั ดั งดั งนี้นี้ นี้นี้ 75
. ทฤษฎีการเรีย รี นรู้ต่างๆสามารถนำ ไปประยุกต์ใช้เป็น ป็ หลักในการจัดการเรีย รี นการสอนได้ ในลักษณะต่างๆ เช่น การจัดสภาพที่เหมาะสมสำ หรับการเรีย รี นการสอน การจูงใจ การ รับรู้ การเสริม ริ แรง การถ่ายโยงการเรีย รี นรู้ ฯลฯ การจัดสภาพที่เอื้อต่อการเรีย รี นรู้ การจัดการเรีย รี นการสอน ที่สอดคล้องกับ ทฤษฎีการเรีย รี นรู้ เพื่อเกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น นั้ จะต้องคำ นึงถึงหลักการที่สำ คัญอยู่ 4 ประการคือ 1. ให้ผู้เรีย รี นมีส่วนร่วมในการเรีย รี นอย่างกระฉับกระเฉง เช่นการให้เรีย รี นด้วยการ ลงมือปฏิบัติ ประกอบกิจกรรม และเสาะแสวงหาความรู้เอง ไม่เพียงแต่จะทำ ให้ผู้เรีย รี นมี ความสนใจสูงขึ้นเท่านั้น แต่ ยังทำ ให้ผู้เรีย รี นต้องตั้งใจสังเกตและติดตามด้วยการสังเกต คิดและใคร่ครวญตาม ซึ่งจะมีผลต่อการเพิ่มพูนความรู้ 2. ให้ทราบผลย้อมกลับทันที เมื่อให้ผู้เรีย รี นลงมือปฏิบัติหรือ รื ตัดสินใจทำ อะไรลง ไป ก็จะมีผลสะท้อนกลับให้ทราบว่า ว่ นักเรีย รี นตัดสินใจถูกหรือ รื ผิด โดยทันท่วงที 3. ให้ได้ประสบการณ์แห่งความสำ เร็จ โดยใช้การเสริม ริ แรง เมื่อผู้เรีย รี นแสดง พฤติกรรมที่พึงประสงค์หรือ รื ถูกต้อง ก็จะมีรางวัล วั ให้ เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจ และ แสดงพฤติกรรมนั้นอีก 4. การให้เรีย รี นไปทีละน้อยตามลำ ดับขั้น ขั้ ต้องให้ผู้เรีย รี นต้องเรีย รี นทีละน้อยตาม ลำ ดับขั้นที่พอเหมาะกับความสนใจและความสามารถของผู้เรีย รี นโดยคำ นึงถึงความแตก ต่างระหว่างบุคคลเป็นสำ คัญจะทำ ให้ประสบความสำ เร็จในการเรีย รี น และเกิดการเรีย รี นรู้ที่ มั่นคงถาวรขึ้น การประยุยุ ยุ ก ยุ กต์ต์ ต์ใต์ช้ช้ ช้ ทช้ ทฤษฎีฎี ฎี กฎี การเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้รู้ 76
. การแนะแนวหมายถึง กระบวนการที่ช่วยให้เราเข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อม สามารถแก้ ปัญหาหรือ รื ตัดสินใจได้ถูกต้อง สามารถพัฒนาตนเองได้เต็มความ สามารถทุกด้าน และยังสามารถปรับตัวและดำ เนินชีวิต วิได้อย่างมีสุขอีก ด้วยคะ สรุปได้ว่า ว่ การแนะแนวการศึกษาเป็นกระบวนการหนึ่งที่ช่วย ส่งเสริม ริ พัฒนาการด้านสติปัญญา ความสามารถ และความถนัดของ แต่ละบุคคล การแนะแนวหมายถึง 1.การแนะแนวในเรื่อ รื่ งสถานที่เรีย รี นให้กับผู้ที่จะศึกษาต่อ 2.การแนะแนวในเรื่อ รื่ งการสอบคัดเลือกเข้าเรีย รี นต่อ 3.การแนะแนวในการปรับตัวให้เข้ากับชีวิต วิในโรงเรีย รี นได้ทุก ๆ ระยะ หรือ รื ทุก ๆ ตอน บทที่8 การแนะแนว 77
. 1. เพื่อช่วยให้นักศึกษาได้รับข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับการเรีย รี น และสามารถเข้าใจคุณสมบัติของบุคคลที่จะศึกษาต่อ 2. เพื่อช่วยให้นักศึกษาสามารถปรับตนเองไห้เข้ากับการเรีย รี นใน แต่ละสาขาวิช วิ า และวางแผนทางการศึกษาได้อย่างเหมาะสม 3.เพื่อส่งเสริม ริ พัฒนาการทุกด้านของนักศึกษาทั้งทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ให้ไปได้ด้วยดี 4.เพื่อสร้างเสริม ริ และแก้ไขพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของนักศึกษา ให้เปลี่ยนแปลงไปในแนวทางที่ดี มีคุณภาพชีวิต วิ ที่พึงประสงค์ และเป็นที่ยอมรับของสังคม 5.เพื่อช่วยเหลือ ดูแลนักศึกษาให้รู้สมรรถภาพของตนเอง มอง เห็นคุณค่าความสำ คัญของตนเอง มองเห็นชีวิต วิในอนาคต รู้ และปฏิบัติตนอย่างชาญฉลาด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และสังคม จุจุจุ ด จุ ดมุ่มุ่มุ่งมุ่ หมายของ การจัจั จั ดจั ดการบริริ ริ กริ การแนะแนว 78
. ประเภทของการแนะแนว แบ่งออกเป็น ป็ 3 ประเภท 1) แนะแนวทางการศึกษา (Education Guidance) การแนะแนวทางการศึกษา เป็นกระบวนการของการให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยว กับทางด้านการศึกษา ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรีย รี นหรือ รื ผู้รับบริก ริ ารทราบถึงแนวทางการ เข้ารับการศึกษา แนวโน้มของการศึกษา โอกาสของการศึกษาในอนาคต ซึ่งจะ ช่วยให้ผู้เรีย รี นหรือ รื ผู้รับบริก ริ าร สามารถเลือกแนวทางการศึกษา ได้อย่างเหมาะ สมกับความสามารถทางสติปัญญา ความถนัด ความสนใจ ซึ่งจะส่งผลต่อการ เลือกประกอบอาชีพในอนาคต 2) แนะแนวทางอาชีพ (Vocational Guidance) การแนะแนวทางอาชีพ เป็นกระบวนการของการให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ โลกของงานอาชีพ แนวทางและโอกาสของการประกอบอาชีพแต่ละอาชีพ การ แนะแนวทางอาชีพ จะช่วยให้ผู้เรีย รี น ผู้รับบริก ริ ารรู้จักศึกษาโลกของงานอาชีพ รู้จักเตรีย รี มตัวทางด้านอาชีพ และช่วยให้ผู้เรีย รี นหรือ รื ผู้รับบริก ริ ารเลือกงานอาชีพที่ เหมาะสมกับตนเอง สามารถวางแผนการประกอบอาชีพได้ ซึ่งจะทำ ให้ทำ งาน อาชีพได้บรรลุผลสำ เร็จตามเป้าหมาย และมีความสุขกับการทำ งาน 3) การแนะแนวทางด้านสังคมส่วนตัว (Personal Social Guidance) การแนะแนวทางด้านสังคมส่วนตัว เป็นกระบวนการของการให้ความช่วยเหลือผู้ เรีย รี นหรือ รื ผู้รับบริก ริ าร ให้รู้จักปฏิบัติตนที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถดำ เนินชีวิต วิ อยู่ ในสังคมได้อย่างมีความสุข เป็นผู้ที่มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตดี มีความเข้าใจ ตนเองและผู้อื่น สามารถทำ งานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น รื่ รู้จักทำ ตนให้เป็น ประโยชน์ทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่น ประเภทของการแนะแนว 79
. การแนะแนวนับว่า ว่ เป็น ป็ การที่สำ คัญที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาอยู่ตลอดเวลา แนะแนวมีประโยชน์มากมาย ดังนี้ 1. ช่วยให้นักเรีย รี นศึกษาหาความรู้อย่างถูกวิธี วิธี ทำ ให้เกิดประสิทธิภาพในการ เรีย รี นการสอน 2. ช่วยให้นักเรีย รี นสามารถเรีย รี นไปตามความถนัดของตนเอง สามารถเลือก วิช วิ าตามความรู้ความสามารถของตนเอง 3. ช่วยให้นักเรีย รี นรู้จักคิด และร่วมกิจกรรมต่างๆ ไปตามความพอใจ และ ความสามารถของตนเอง 4. ช่วยให้นักเรีย รี นสามารถเลือกอาชีพไปตามความถนัดของตนเองอันจะเป็น ป็ แนวทางไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลในวิช วิ าที่ตนเองเลือกเรีย รี น 5. ช่วยให้นักเรีย รี นเกิดความคิดริเ ริ ริ่ม ริ่ สร้างสรรค์ รู้จักคิดและปฏิบัติสิ่งใหม่ๆ ได้ด้วยตนเองสร้างความเชื่อมั่น มั่ ให้กับตนเอง 6. ช่วยให้นักเรีย รี นประสบความสำ เร็จในการศึกษาเล่าเรีย รี น และสามารถนำ ความรู้ที่ได้รับไปปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้อย่างราบรื่น รื่ 7. ช่วยให้นักเรีย รี นเข้าใจตนเอง รู้จักคิดและแก้ไขปัญ ปั หาได้ด้วยตนเอง รู้จัก วางแผนชีวิต วิในอนาคตและดำ เนินชีวิต วิไปตามที่ตนเองต้องการ 8. ช่วยให้นักเรีย รี นรู้จักและเข้าใจสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว รู้จักและเข้าใจ บุคคลอื่นได้ดี 9. ช่วยให้นักเรีย รี นเป็น ป็ คนที่มีเหตุผล รู้จักคุณค่าของตนเองและนำ คุณค่าของ ตนเองไปใช้ประโยชน์ 10. ช่วยให้นักเรีย รี นเป็น ป็ บุคคลที่มีคุณภาพ ประโยชน์น์ น์ ข น์ ของการแนะแนว 80
. 1.มนุษย์มีความแตกต่างกันทั้ง ทั้ บุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย เจตคติ ความรู้สึก สภาวะของจิตและอารมณ์ ความสนใจ ความสามารถ ความถนัด และสติปัญญา 2.พฤติกรรมของมนุษย์ย่อมมีสาเหตุ มีรูปแบบที่แตกต่างกันไป และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งอาจจะเปลี่ยลี นไปในทางที่ดีหรือ รืไม่ ดีก็ได้ มนุษย์ทุกคนย่อมมีปัญหา มีความคับข้องใจและต้องการได้รับการ ช่วยเหลือ 3.มนุษย์มีศักดิ์ศรี มีศักยภาพ เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าสูงยิ่ง จะมี ความสุขก็ต่อเมื่อมีโอกาสได้ใช้ความรู้ความสามารถสติปัญญาอย่าง เต็มที่ หากได้รับการแนะแนวที่ถูกต้อง จะสามารถช่วยตนเองให้ พัฒนาเจริญ ริ งอกงามถึงขีดสุดตลอดจนสามารถดำ เนินชีวิต วิ เป็น ประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม 4.การแนะแนวยึดหลักเมตตาธรรม อาศัยความรัก ความหวัง วั ดีต่อกัน ยึดมั่นในความเป็นประชาธิปไตย เคารพกันตามเหตุผลและร่วมมือ ประสานงานกัน 5.การให้คำ ปรึก รึ ษา เป็นหัวใจสำ คัญของการแนะแนวยึดหลักการว่า ว่ ช่วยให้เขารู้จักการปรับตัวและสามารถนำ ตนเองช่วยเหลือตนเองได้ใน โอกาสต่อไป ปรัรั รั ชรั ชญาสำสำสำสำคัคั คั ญคั ญของการแนะแนว 81
. การจัดบริก ริ ารแนะแนวในโรงเรีย รี น สรุปได้ดังนี้ 1. การจัดการบริก ริ ารแนะแนวทางการศึกษาจะต้องมุ่งให้ความช่วยเหลือ นักเรีย รี นทุกคนเนื่องจาก นักเรีย รี น ทุกคนย่อมต้องการความช่วยเหลือจาก โรงเรีย รี นของตนเองและเป็นการบริก ริ ารด้วยความเสมอภาคเป็นธรรมและ เท่าเทียม 2. การจัดบริก ริ ารแนะแนวจะต้องกระทำ อย่างเป็นกระบวนการและต่อ เนื่อง คือจัดอย่างเป็นระบบมีระเบียบแบบแผน มีความสัมพันธ์ต่อเนื่อง กันไปเป็นลูกโซ่ 3. ผู้ทำ รายงานแนะแนวจะต้องยอมรับในความสามารถของนักเรีย รี น คือ ต้องเข้าใจและยอมรับในเรื่อ รื่ งความแตกต่างระหว่า ว่ งบุคคล 4. การแนะแนวเป็นงานที่วางอยู่บนพื้นฐานกระบวนการ พฤติกรรมของ บุคคลและเกี่ยวข้องกับการพัฒนาการของมนุษย์ ดังนั้นการแนะแนว จำ เป็นต้องใช้เครื่อ รื่ งมือและกลวิธี วิธี ต่างทั้งที่เป็นแบบทดสอบและไม่เป็นแบบ ทดสอบ 5. ผู้ทำ งานต้องเคารพสิทธิและเสรีภ รี าพของบุคคล นั่นคือจะต้องยอมรับว่า ว่ นักเรีย รี นแต่ละคนมีอิสภาพในการเลือกแนวทางชีวิต วิ ของตนเอง การจัจั จั ดจั ดบริริ ริ กริ การแนะแนวในโรงเรีรี รี ยรี ยน 82
. การศึกษารายกรณี (Case study ) การศึกษารายกรณี (Case study ) เป็น ป็ รูปแบบหนึ่งของการวิจั วิจั ย ในชั้น ชั้ เรีย รี นเชิงคุณภาพ เป็น ป็ วิธี วิธี การหนึ่งที่จะช่วยครูในการเชื่อมโยง กลับไปสู่เหตุปัจ ปั จัยที่ทำ ให้เกิดเป็น ป็ ผล คือบุคลิกภาพเด็กที่ปรากฏอยู่ ในปัจ ปั จุบัน การศึกษาเด็กเป็น ป็ รายกรณี หมายถึง การศึกษา วิเ วิ คราะห์ ข้อมูลของ เด็กเป็น ป็ รายบุคคลหรือ รื รายกลุ่ม รายห้องเรีย รี นในด้านต่างๆ เช่น พัฒนาการ พฤติกรรม สภาพแวดล้อม การอบรมเลี้ยงดู อย่าง ละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งไม่จำ เป็น ป็ ต้องศึกษาเฉพาะเด็กที่มีปัญ ปั หาเสมอไป อาจศึกษาเด็กที่มีความสามารถ พัฒนาการหรือ รื บุคลิกภาพด้านใด ด้านหนึ่งเด่นชัด ควรได้รับการส่งเสริม ริ พัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้นไป เช่น เด็กปัญ ปั ญาเลิศ เด็กที่มีความประพฤติปฏิบัติดี เป็น ป็ ต้น การศึกษาเด็กเป็น ป็ รายกรณีจึงเป็น ป็ ประโยชน์มากสำ หรับ การนำ มาใช้ในการพัฒนาผู้เรีย รี น เพราะจะช่วยให้ครูเข้าใจผู้เรีย รี นที่ ครูต้องการช่วยเหลือได้อย่างละเอียดลึกซึ้งจนสามารถหาแนวทาง แก้ไขหรือ รื พัฒนาผู้เรีย รี นให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ บทที่9 การศึศึ ศึ กศึ กษาCase study 83
. การศึกษาเด็กเป็น ป็ รายกรณีโดยทั่ว ทั่ ไปมีอยู่ 5 ขั้น ขั้ ตอน ดังนี้ 1.ขั้น ขั้ รวบรวมข้อมูล/ จัดหมวดหมู่ข้อมูล การรวบรวมข้อมูลผู้รวบรวม ข้อมูลต้องมีความรู้พื้นฐานทางด้านพัฒนาการ และจิตวิท วิ ยาพัฒนาการ มีจรรยาบรรณของนักวิจั วิจั ย และต้องพยายามรวบรวมข้อมูลเด็กให้ครบ ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้านโดยละเอียดอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเลือกวิธี วิธี รวบรวมให้เหมาะสม หลายวิธี วิธี จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายน่าเชื่อถือ เช่น - การสัมภาษณ์เด็กโดยตรง - การรวบรวมข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้อง -การรวบรวมข้อมูลจากเอกสารในชั้นเรีย รี น เช่น แบบบันทึกพฤติกรรม ระเบียนสะสม 2.ขั้น ขั้ วิเ วิ คราะห์ข้อมูลคือ การนำ ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมมาพิจารณา ตั้งสมมุติฐาน 3. ขั้น ขั้ วินิ วินิ จฉัยปัญ ปั หา เป็นการวินิ วินิ จฉัยสาเหตุที่ทำ ให้เกิดพฤติกรรม จาก ข้อมูลที่ได้มาอย่างเพียงพอ 4. ขั้น ขั้ เสนอแนะแนวทางแก้ปัญ ปั หา หลังจากวินิ วินิ จฉัยปัญหา ขั้นต่อมาเป็น ขั้นตอนแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหา ซึ่งต้องเป็นวิธี วิธี การที่มีระเบียบ แบบแผน 5. ขั้น ขั้ ติดตามและประเมินผล เป็นการติดตามว่า ว่ การช่วยเหลือหรือ รื พัฒนา แก้ไขพฤติกรรม บุคลิกภาพเด็กนั้นประสบความสำ เร็จหรือ รืไม่ อย่างไร ขั้ขั้ ขั้ น ขั้ นตอนการศึศึ ศึ กศึ กษาเด็ด็ ด็ กด็ กเป็ป็ป็ นป็ นรายกรณีณี ณีณี 84
. ความถูกต้อง น่าเชื่อถือได้ ความเที่ยงตรงของข้อมูล ความเป็นปรนัยของข้อมูล ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมแสดงถึงพัฒนาการของเด็ก เวลาและสถานที่ที่รวบรวมข้อมูล สถานการณ์และความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรม หรือ รื บุคลิกภาพที่ ต้องการศึกษา การรวบรวมข้อมูลในการศึกษาเด็กเป็น ป็ รายกรณีนั้น นั้ บางครั้งต้อง พิจารณาว่า ว่ ข้อมูลที่รวบรวมมาเป็น ป็ ประโยชน์ต่อการศึกษา หรือ รื นำ มาใช้ ในการศึกษาได้หรือ รืไม่ อย่างไร ดังนั้น นั้ จึงมีหลักในการพิจารณา ตรวจ สอบข้อมูล ดังนี้ 1. 2. 3. 4. 5. 6. การพิพิ พิพิจารณาข้ข้ ข้ อข้ อมูมูมู ล มู ล(Criteria of Good Information) 85
. การเขียนรายงานการศึกษาเด็กเป็น ป็ รายกรณี ควรประกอบไปด้วยราย ละเอียด ต่อไปนี้ 1.ชื่อผู้ทำ การศึกษา ระยะเวลาที่ศึกษา เหตุผลในการศึกษา แหล่งข้อมูล 2.ข้อมูลผู้ถูกศึกษา เช่น ชื่อ ที่อยู่ วัน วั เดือนปีเกิด อายุ สถานที่เกิด เชื้อ ชาติ สัญชาติ ศาสนา หน้าตาท่าทางโดยทั่ว ๆไป 3.ปัญหาของผู้ถูกศึกษา 4.ประวัติ วั ติ ครอบครัว สภาพแวดล้อมของครอบครัว การอบรมเลี้ยงดู 5.ประวัติ วั ติ สุขภาพ 6.ประวัติ วั ติ การศึกษา (ผลสัมฤทธิ์) 7.พัฒนาการทางสังคม 8.พัฒนาการทางอารมณ์และสุขภาพจิต 9.การวินิ วินิ จฉัย วิเ วิ คราะห์และตั้งสมมุติฐาน 10.ข้อเสนอแนะ 11.การประเมินติดตาม ควรทำ ในระยะหนึ่งหลังการศึกษา เพื่อจะได้ข้อมูล เพิ่มเติม หรือ รื ทราบผลของการเสนอแนะแนวทางแก้ปัญ ปั หา การเขีขี ขี ยขี ยนรายงาน การศึศึ ศึ กศึ กษาเด็ด็ ด็ กด็ กเป็ป็ป็ นป็ นรายกรณีณี ณีณี 86
. แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการศึกษา 1. ตัวเด็กเอง 2. พ่อแม่เด็ก 3. เอกสารในชั้นเรีย รี น สมมุติฐานขั้น ขั้ ต้น จากการสังเกตเด็กหญิง ก อย่างไม่เป็นทางการในการจัด กิจกรรมการเรีย รี นการสอนทั้งในและนอกห้องเรีย รี น และการสัมภาษณ์พูด คุยกับผู้ปกครอง ผู้ศึกษาขอตั้งสมมุติฐานขั้นต้นว่า ว่ เด็กหญิง ก มีปัญหา ทางด้านสังคม ซึ่งมีรากฐานสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อมการอบรมเลี้ยงดู ทางบ้าน ข้อมูลส่วนตัวโดยทั่ว ทั่ ไป เด็กหญิง ก (ชื่อสมมุติ) เพศ หญิง เกิดวัน วั ที่ 2 เดือน เมษายน พ.ศ. 2546 อายุ 4 ปีเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ศาสนาพุทธ ปัจจุบันเรีย รี นอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 1 อาชีพบิดา-มารดา ทำ นาทำ ไร่ ขายของป่าตามฤดูกาล และชำ แหละหมูขายเป็นครั้งคราว ที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ 87
. เด็กหญิง ก อายุ 4 ปี รูปร่างเล็กกะทัดรัด ผมหยิก ผิวค่อนข้างดำ แต่งตัว เสื้อผ้าสะอาดเรีย รี บร้อยดี ดูโดยทั่วไปมีสุขภาพดี เด็กหญิง ก เป็นลูกคนเดียวของบิดากับมารดาคนปัจจุบัน และมี พี่น้องต่างมารดาด้วย บิดาอายุ 57 ปี เป็นคนพื้นเมือง มารดาอายุ 38 ปี เป็นชนเผ่า กระเหรี่ย รี่ ง ทั้งบิดามารดา ดูโดยทั่วไปสุขภาพดี และดูแลเอาใจใส่ทนุถนอมเด็ก หญิง ก เป็นอย่างดี ไม่ค่อยได้เล่นหรือ รื มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนวัย วั เดียวกัน ครอบครัวนี้อาศัยอยู่บ้านของตัวเองในบ้านเลขที่ 11/5 หมู่ที่ 9 ตำ บลยางเปียง อำ เภออมก๋อยเป็นหลัก แต่บางครั้งก็มาอาศัยอยู่ที่กระท่อมชั่วคราวใกล้กับ โรงเรีย รี นเพื่อค้าขายของป่าเล็กๆน้อยๆ จากการให้ข้อมูลของผู้ปกครอง เด็กหญิง ก เคยเข้าเรีย รี นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก แห่งหนึ่ง ระยะเวลาไม่นานนัก เด็กหญิง ก ก็ไม่ยอมไปเรีย รี น จึงได้ย้ายมาเรีย รี นที่ โรงเรีย รี นบ้านยางครก เมื่อเริ่ม ริ่ มาโรงเรีย รี นใหม่ๆ เด็กหญิง ก จะมาโรงเรีย รี นบ้าง ไม่มาบ้าง จากการสอบถาม พบว่า ว่ ผู้ปกครองตามใจเด็กกล่าวคือ ถ้าเด็กบอก ว่า ว่ ไม่อยากมาโรงเรีย รี นก็ไม่ชักจูง หรือ รื พยายามชักชวนให้เด็กมาโรงเรีย รี น การวินิ วินิ จฉัยปัญ ปั หา จากการพูดคุยสัมภาษณ์ บิดามารดาของเด็กทำ ให้เข้าใจสภาพ การอบรมเลี้ยงดู มากขึ้นถึงการดุแลของบิดามารดาแบบตามใจ เอาใจใส่ ทนุ ถนอมลูกเป็นอย่างดี และด้วยความที่บิดาเป็นคนเมือง มารดาเป็นกระเหรี่ย รี่ ง สรุปข้อวินิ วินิ จฉัยได้ว่า ว่ เด็กหญิง ก มีปัญหาทางด้านสังคม และอาจมีปัญหาทาง ด้านความสับสนทางภาษาจึงส่งผลให้ไม่มั่นใจในตนเองในการสื่อสารกับผู้อื่น ประวัวั วั ติวั ติ ติส่ติส่ ส่ วส่ วนตัตั ตั วตั วและประวัวั วั ติวั ติ ติ คติ ครอบครัรั รั วรั ว 88
. ข้อเสนอแนะเพื่อการแก้ปัญ ปั หา จากข้อวินิ วินิ จฉัยดังกล่าวผู้ศึกษามีข้อเสนอแนะเพื่อแก้ปัญหา ดังนี้ 1. พยายามพูดคุยแนะนำ ผู้ปกครองให้ปรับปรุงวิธี วิธี การอบรมเลี้ยงดูเด็ก 2. ขอความร่วมมือผู้ปกครองช่วยปรับปรุงทัศนคติของเด็กที่มีต่อการมาโรงเรีย รี น 3. ให้โอกาสเด็กในการแสดงออก ให้แรงเสริม ริโน้มน้าวใจเด็กให้สนใจร่วมหรือ รื ร่วมทำ กิจกรรม กับเพื่อน การปฏิบัติตามข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะข้อ 3 ข้าพเจ้าได้ดำ เนินการเป็นอันดับแรก คือ ในการจัดกิจกรรมการเรีย รี นการ สอนจะพยามชักชวน โน้มน้าวใจให้แรงเสริม ริให้เด็กหญิง ก มีส่วนร่วมในกิจกรรมมากที่สุดโดย ไม่มีการบังคับให้เด็กหญิง ก ทำ กิจกรรม ไม่วิพ วิ ากษ์วิจ วิ ารณ์ ให้เพื่อนชักชวนให้เด็กหญิง ก ร่วมกิจกรรมในทุกกิจกรรม ข้อเสนอแนะข้อ1 และข้อ 2 ได้ดำ เนินการลำ ดับต่อมา โดยการไปพบปะพูดคุยกับผู้ปกครองที่ บ้าน และเมื่อผู้ปกครองมาส่งเด็กหญิง ก ที่โรงเรีย รี น จากการดำ เนินการตามข้อเสนอแนะทั้ง 3 ข้อ พบว่า ว่ ผู้ปกครองมีความเข้าใจและมีส่วนช่วยเป็น อย่างมากในการปรับพฤติกรรมของเด็กให้มีพัฒนาการเป็นไปในทางที่ดีขึ้น กล่าวคือ ปัจจุบัน เด็กหญิง ก มีความกล้าแสดงออกมากขึ้น โดยเมื่อครูเรีย รี กชื่อ เด็กหญิง ก ก็จะขานตอบ เล่น กับกลุ่มเพื่อนมากขึ้น สนใจทำ กิจกรรมต่างๆที่ครูจัดมากขึ้น การติดตามผลการศึกษา ถึงแม้ว่า ว่ การศึกษาครั้งนี้ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ในขณะที่เขียนรายงานนี้ ผู้ศึกษาหวัง วั ว่า ว่ การช่วย เหลือ พัฒนาปรับปรุงพฤติกรรมเด็กหญิง ก จะได้ผลสำ เร็จเป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะจากการ สังเกตพบว่า ว่ ในปัจจุบันพฤติกรรมของเด็กหญิง ก มีพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อ รื่ ยๆ และผล จากการศึกษานี้จะเป็นประโยชน์ เป็นแนวทางในการช่วยเหลือ พัฒนาปรับปรุงพฤติกรรมของ เด็กหญิง ก ให้ดีขึ้น และนำ ไปใช้กับกรณีอื่นๆ ต่อไป ข้ข้ ข้ อข้ อเสนอแนะเพื่พื่ พื่พื่อการแก้ก้ ก้ปัก้ปัปั ญปั ญหา 89
การศึกษาพิเศษ (Special Education) หมายถึงการศึกษาที่ตัดให้แก่ เด็กที่มีความต้องการพิเศษ (children with special needs) ทางการ ศึกษาแตกต่างไปจากเด็กปกติเนื่องจากมีความจากมีความผิดปกติทาง ร่างกาย อารมณ์พฤติกรรม หรือ รื สติปัญญา ซึ่งต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เพื่อให้เด็กได้เรีย รี นรู้อย่างเหมาะสมและได้รับประโยชน์จากการศึกษาอย่าง เต็มที่ การจัดการศึกษาให้แก่เด็กกลุ่มนี้ จึงต้องดำ เนินการสอนโดยครูที่ได้ รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ มีเทคนิควิธี วิธี การสอน ที่แตกต่างไปจากเด็กปกติ การจัดเนื้อหาของหลักสูตร กิจกรรมการเรีย รี นการสอน อุปกรณ์การสอน และวิธี วิธี การประเมินผลที่เหมาะสมกับสภาพและความสามารถของแต่ละ บุคคล เพื่อพัฒนาให้เกิดศักยภาพสูงสุด และการจัดการศึกษาพิเศษนี้ อาจ จัดเป็นสถานศึกษาเฉพาะสำ หรับเด็กที่มีความผิดปกติในระดับรุนแรง หรือ รื จัดการศึกษาในโรงเรีย รี นปกติในรูปแบบการเรีย รี นร่วม สำ หรับเด็กที่มีระดับ ความผิดปกติไม่รุนแรงมาก บทที่ที่ ที่1ที่0 การจัจั จั ดจั ดการเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้รู้ สำสำสำสำหรัรั รั บ รั บเด็ด็ ด็ กด็ กพิพิ พิพิ เศษและเด็ด็ ด็ กด็ กปกติติ ติติ 90
มีหลักการที่สำ คัญคือการเตรีย รี มความพร้อม การจัดการเรีย รี นการสอน และ จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับเด็กพิการในแต่ละระดับและแต่ละประเภท และบำ บัดฟื้น ฟื้ ฟูใ ฟู ห้ความช่วยเหลือเพื่อให้เด็กพิการได้รับประโยชน์สูงสุดจาก การศึกษาจนสามารถพัฒนาเต็มที่ตามศักยภาพของแต่ละบุคคล โดยจัด แบ่งเป็น ป็ 3 ประเภท ดังนี้ 1. รูปแบบการเรีย รี นในชั้นปกติตามเวลา เป็นรูปแบบการจัดการ ศึกษา พิเศษสำ หรับเด็กที่มีความบกพร่อง หรือ รื ผิดปกติน้อยมากเด็กพิการสามารถ เข้าเรีย รี นในชั้นเรีย รี นปกติเช่นเดียวกับเด็กปกติได้ตลอดเวลาที่อยู่ในโรงเรีย รี น รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่มีข้อจำ กัดน้อยที่สุด 2. รูปแบบการเรีย รี นร่วม เป็นรูปแบบการศึกษาพิเศษ สำ หรับเด็กที่มีความ บกพร่อง หรือ รื ผิดปกติ แต่อยู่ในระดับที่สามารถเรีย รี นร่วมกับเด็กปกติได้ การจัดการศึกษาพิเศษในรูปแบบนี้ มุ่งให้เด็กพิการได้รับการศึกษา ใน สภาวะที่มีข้อจำ กัดน้อยที่สุดเท่าที่แต่ละคนจะรับได้ 3. รูปแบบเฉพาะความพิการ เป็นรูปแบบการจัดการศึกษาพิเศษสำ หรับ เด็กที่มีความพิการค่อนข้างมาก หรือ รื พิการซ้ำ ซ้อนเป็นรูปแบบที่มีสภาพ แวดล้อมจำ กัดมากที่สุด แบ่งเป็น 4 ระดับได้แก่ 3.1 รูปแบบการเรีย รี นการสอนในห้องเรีย รี นพิเศษในโรงเรีย รี น ปกติ 3.2 รูปแบบการเรีย รี นในโรงเรีย รี นพิเศษเฉพาะทาง 3.3 รูปแบบการฟื้นฟูใ ฟู นสมรรถภาพในสถาบันเฉพาะทาง 3..4 การบำ บัดในโรงพยาบาลหรือ รื บ้าน รูรู รู ป รู ปแบบการจัจั จั ดจั ดการศึศึ ศึ กศึ กษาพิพิ พิพิ เศษสำสำสำสำหรัรั รั บ รั บเด็ด็ ด็ กด็ กพิพิ พิพิการ 91
ในการสอนวิช วิ าสามัญทั่วไปเด็กปกติเรีย รี นตามหลักสูตรในโรงเรีย รี นนั้น ส่วน ใหญ่แล้วเด็กมีความบกพร่องทางการเห็น สามารถเรีย รี นรู้ได้เท่าหรือ รื เกือบ เท่าเด็กปกติ ถ้าครูใช้สื่อและวิธี วิธี การเหมาะสมจากการเรีย รี นรู้จากประสาท สัมผัสที่เด็กมีความบกพร่องทางการเห็นมีอยู่ ไม่ว่า ว่ จะเป็นการสอน คณิตศาสตร์ วิท วิ ยาศาสตร์ ศิลปศึกษา เกษตรและดนตรี เด็กที่มีความ บกพร่องทางการเห็นก็สามารถเรีย รี นรู้ได้ แต่ก็มิได้หมายความว่า ว่ จะ ครอบคลุมทุกเรื่อ รื่ งทุกเนื้อหา ในบางเรื่อ รื่ งอาจมีข้อจำ กัดที่เด็กกลุ่มนี้ทำ ไม่ได้ หรือ รื ทำ ได้น้อย เช่น วิช วิ าพละศึกษา วิช วิ าคัดลายมือ และนาฏศิลป์ เป็นต้น การประเมินผล เด็กที่มีความบดพร่องทางการเห็น ควรได้รับการประเมินผล การเรีย รี นทั้งด้านความรู้ ทักษะและเจตคติ เช่นเดียวกับเด็กปกติทั่วไป แต่ เขาอาจต้องการแบบจัดหรือ รื ข้อสอบที่แตกต่างจากเด็กปกติอยู่บ้าง เช่น อักษรตัวพิมพ์ขยายหากบอดสนิท หรือ รื บกพร่องรุนแรงก็อาจใช้อักษรเบลล์ หรือ รืฟังแถบบันทึกเสียง ผู้ที่ทำ การประเมินต้องคำ นึงถึงศักยภาพเป็นราย บุคคล ตลอดถึงต้องยืดหยุ่นเรื่อ รื่ งเวลาในการทำ ข้อสอบให้มากกว่า ว่ เด็กปกติ 20% การเรีรี รี ยรี ยนร่ร่ ร่ วร่ วมระหว่ว่ ว่ าว่ างเด็ด็ ด็ กด็ กที่ที่ ที่ มี ที่ มี มี คมี ความบกพร่ร่ ร่ อร่ อง ทางการเห็ห็ ห็ นห็ นกักั กั บ กั บเด็ด็ ด็ กด็ กปกติติ ติติ 92
เมื่อมีเด็กมีความบกพร่องทางการได้ยินเข้ามาเรีย รี นร่วมในชั้น ชั้ เรีย รี น ครู ผู้สอนควรปฏิบัติดังนี้ 1.ควรให้เด็กที่มีความบกพร่องนั่งในตำ แหน่งที่สามารถมองเห็นและ ได้ยินผู้สอนได้ชัดเจน 2.ใช้ท่าทางประกอบคำ พูดเพื่อให้เด็กเข้าใจคำ พูดของครุแต่ไม่ควร แสดงท่าทางมาจนเกินไป 3.ครูควรเขียนกระดานมากที่สุดเท่าที่จะทำ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ มีความสำ คัญ เช่น นิยาม คำ สั่ง หรือ รื การบ้าน เป็นต้น 4.อย่าพูดขณะเขียนกระดานเพราะเด็กไม่สามารถอ่านปากของครูได้ 5.เมื่อต้องการพูดคุยกับเด็กควรใช้วิธี วิธี เรีย รี กชื่อ ไม่ควรใช้วิธี วิธี แตะสัมผัส เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักฟัง 6.จัดทำ แผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) 7.ก่อนลงมือสอนควรตรวจเช็คเครื่อ รื่ งช่วยฟังว่า ว่ ทำ งานหรือ รืไม่ 8.ให้โอกาสแก่เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินออกมารายงานหน้า ชั้น ทั้งนี้เพื่อให้ เด็กได้มีโอกาสแสดงออกด้วยการพูด และขณะเดียวกัน ก็เป็นการเปิด โอกาสให้เด็กปกติได้ฝึกฟังการพูดภาษาของเด็กที่มีความบกพร่องทางการ ได้ยิน 9.หากเด็กปกติออกมาพูดหน้าชั้น ครูผู้สอนควรสรุปสิ่งที่เด็กปกติพูดให้ เด็กที่มีความ บกพร่องทางการได้ยินฟังด้วย การเรีรี รี ยรี ยนร่ร่ ร่ วร่ วมระหว่ว่ ว่ าว่ างเด็ด็ ด็ กด็ กที่ที่ ที่ มี ที่ มี มี คมี ความบกพร่ร่ ร่ อร่ อง ทางการได้ด้ ด้ ยิด้ ยิ ยิ น ยิ นกักั กั บ กั บเด็ด็ ด็ กด็ กปกติติ ติติ 93
การจัดกิจกรรมการเรีย รี นการสอนจะต้องสอดคล้องกับความสามารถ ของเด็กๆแต่ละคนซึ่งเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญ ปั ญาที่เรีย รี นและฝึก ฝึ อบรมได้นั้น นั้ ควรจัดดังนี้ 1.ระดับก่อนประถมศึกษา ครูควรแนะนำ พ่อแม่และสมาชิกในครอบครัว ให้ความรักเอาใจใส่ และเลี้ยงดูอย่างอบอุ่น เช่นเดียวกับเด็กทั่วไป ถ้ามีชั้น ก่อนประถมศึกษาใกล้บ้านควรให้เด็กได้เข้าชั้นก่อนประถมศึกษาก่อน ที่จะ ไปโรงเรีย รี นปกติ 2.ระดับประถมศึกษา แนะนำ ผู้ปกครองให้สอนเด็กที่บ้าน สอนเกี่ยวกับ ตัวเอง เช่น ชื่อ สกุล อายุ พ่อแม่ ที่อยู่ การช่วยเหลือตัวเอง สอนมารยาทที่ จำ เป็นในสังคมในชุมชน การไหว้ การกล่าวคำ ขอโทษ ขอบคุณ เป็นต้น 3.ระดับมัธยมศึกษา เดมื่อได้รับการศึกษาและฝึกาชีพอย่างเพียงพอ สามารถประกอบอาชีพ และอยู่ในสังคมได้ บุคคลกลุ่มนี้ ต้องการดูแลและ เอาใจใส่รวมทั้งต้องการคำ แนะนำ ปรึก รึ ษา จากผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ การเรีรี รี ยรี ยนร่ร่ ร่ วร่ วมระหว่ว่ ว่ าว่ างเด็ด็ ด็ กด็ กที่ที่ ที่ มี ที่ มี มี คมี ความบกพร่ร่ ร่ อร่ อง ทางสติติ ติปัติปัปั ญปั ญญากักั กั บ กั บเด็ด็ ด็ กด็ กปกติติ ติติ 94
การเรีย รี นร่วมระหว่า ว่ งเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือ รื การเคลื่อนไหวได้ แบ่งระดับของกิจกรรมการเรีย รี นไว้ 3 ระดับคือ 1.ระดับก่อนวัยเรีย รี น จุดมุ่งหมายสำ คัญของการให้การศึกษาแก่เด็กที่มีความบกพร่อง ทางด้านร่างกายคือ การเตรีย รี มความพร้อมของเด็กเพื่อการเรีย รี นร่วม เด็กที่ได้รับการเตรียม รี ความพร้อมแล้วเท่านั้นจึงจะประสบความสำ เร็จในการเรีย รี นร่วมกับเด็กปกติ ความพร้อมที่ ควรจะได้รับการเตรีย รี มในระดับนี้ได้แก่ ความพร้อมในการเคลื่อนไหว การช่วยเหลือตนเอง ทักษะทางสังคมและพัฒนาการทางภาษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เด็กที่มีคงวาม บกพร่องทางด้านร่างกายควรได้รับบริก ริ ารทางด้านการบำ บัดควบคู่กันไป การบำ บัดที่ จำ เป็นได้แก่กายภาพบำ บัด กิจกรรมบำ บัดและการบำ บัดทางภาษา 2.ระดับประถมศึกษา เด็กอาจเริ่ม ริ่ เรีย รี นรวมกับเด็กปกติในลักษณะของการเรีย รี นร่วม เต็ม เวลาได้โดยไม่ต้องการการบริก ริ ารพิเศษเพิ่มเต็ม เช่น เด็กที่ใช้แขนหรือ รื ขาเทียม ซึ่งสามารถใช้ หรือ รื ขาเทียมได้ดี ระดับสติปัญญาปกติและไม่มีความพิการด้านอื่นเด็กประเภทนี้สามารถ เรีย รี นร่วมเต็มเวลาได้ เด็กที่มีความสามารถบกพร่องทางร่างกายอื่นก็สามารถเรียน รี ร่วมกับ เด็กปกติได้ หากเด็กได้รับการเตรีย รี มความพร้อมแล้วและทางโรงเรีย รี นจัดบริก ริ ารเพิ่มเติมให้ กับเด็กการพิจารณาจัดเด็กเข้าเรีย รี นร่วมกับเด็กปกติพิจารณาเด็กเป็นรายบุคคล 3.ระดับมัธยมศึกษา การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาเน้นด้านวิช วิ าการและพื้นฐานด้าน การ งานและอาชีพหากเด็กมีความพร้อมควรให้เด็กมีโอกาสเรีย รี นร่วมเต็มเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะ มากได้ เด็กที่จะเรีย รี นร่วมได้ดีควรเป็นเด็กที่สามารถช่วยตัวเองได้ในด้านการเคลื่อนไหวและ การประกอบกิจวัต วั รประจำ วัน วั มีคงวามสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่นและมีพื้นฐานอาชีพใกล้ เคียงกับเด็กปกติ อย่างไรก็ตามเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายอาจยังต้องการ บริก ริ ารพิเศษ เช่น การบำ บัดทางกายภาพ กิจกรรมบำ บัด การแก้ไขคำ พูดเบื้องต้น การ พิจารณาส่งเด็กเข้าเรีย รี นร่วมจะต้องพิจารณาความสามารถและความพร้อมของเด็กเป็นรายๆ ไป ทั้งนี้เพราะเด็กแต่ละคนมีความสามารถและระดับความพร้อมแตกต่างกัน การเรีรี รี ยรี ยนร่ร่ ร่ วร่ วมระหว่ว่ ว่ าว่ างเด็ด็ ด็ กด็ กที่ที่ ที่ มี ที่ มี มี คมี ความบกพร่ร่ ร่ อร่ อง ทางร่ร่ ร่ าร่ างกายกักั กั บ กั บเด็ด็ ด็ กด็ กปกติติ ติติ
การเรีย รี นร่วมครูผู้สอนต้องคำ นึงถึงความแตกต่างระหว่า ว่ งบุคคล เพราะเด็กที่มี ปัญ ปั หาทางการเรีย รี นรู้หลายประเภร ซึ่งเกิดจากปัญ ปั หาทางด้านจิตวิท วิ ยา หรือ รื เกิดจาก ความผิดปกติของมันสมองบางส่วน ดังนั้น นั้ การสอนเด็กเหล่านี้จึงต้องใช้วิธี วิธี การหลาย วิธี วิธี ดังนี้ 1.ไม่สอนโดยการบรรยายเพียงอย่างเดียว 2.ใช้คำ สั่งที่สั้น ชัดเจน เข้าใจง่าย 3.ใช้คำ สั่งที่ซ้ำ ๆ กัน แต่ควรเปลี่ยนคำ หรือ รื สำ นวนทุกครั้ง 4.ไม่ควรเน้นการเขียน เมื่อครูให้การบ้าน 5.ให้การเสริม ริ แรงมื่อทำ ถูกต้อง การเปรีรี รี ยรี ยบเทีที ที ยที ยบระหว่ว่ ว่ าว่ างเด็ด็ ด็ กด็ กที่ที่ ที่ มี ที่ มี มีปัมีปัปั ญปั ญหา ทางการเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้กัรู้กั กั บ กั บเด็ด็ ด็ กด็ กปกติติ ติติ 95
การจัดเด็กที่มีปัญ ปั หาทางพฤติกรรม เข้าเรีย รี นร่วมกับเด็กปกตินั้น นั้ ควรพิจารณา องค์ประกอบสำ คัญดังนี้ 1.ทัศนคติของเด็กต่อการเรีย รี นร่วม 2.ทัศนคติของครู ผู้ปกครองต่อการเรีย รี นร่วม 3.พฤติกรรมของเด็ก ตลอดจนความรุนแรงของพฤติกรรม 4.ความสามารถของเด็กในการควบคุมตนเอง ตลอดจนทักษะทางสังคมของเด็ก โดย เฉพาะอย่างยิ่งการคบเพื่อน การเข้ากับคนอื่น 5.ความพร้อมของครู ที่จะรับเด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมเข้าเรีย รี นร่วมชั้นปกติ 6.ความร่วมมือจากผู้ปกครองในการปรับพฤติกรรมเด็ก 7.ปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เด็กที่เรีย รี นร่วมได้อย่างประสบผลสำ เร็จนั้น นั้ ควรเป็น ป็ เด็กที่ได้รับการปรับ พฤติกรรมแล้ว เด็กมีพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกับเด็กปกติ หากเด็กยังมีปัญ ปั หาทาง พฤติกรรมอยู่บ้าง ต้องได้รับบริก ริ ารจากสถานศึกษาในด้านบริก ริ ารแนะแนวและให้คำ ปรึก รึ ษาหรือ รื รับบริก ริ ารจากครูเสริม ริ วิช วิ าการ การเรีรี รี ยรี ยนร่ร่ ร่ วร่ วมระหว่ว่ ว่ าว่ างเด็ด็ ด็ กด็ กที่ที่ ที่ มี ที่ มี มีปัมีปัปั ญปั ญหา ทางพฤติติ ติ กติ กรรมกักั กั บ กั บเด็ด็ ด็ กด็ กปกติติ ติติ 96
จิตวิท วิ ยา คือ การศึกษาพฤติกรรมกระบวนทางจิตเชิงปรนัย เป็น ศาสตร์ที่มีขอบเขตกว้า ว้ งขวาง เป็นองค์ความรู้ทั้งเชิงศิลปศาสตร์และ วิท วิ ยาศาสตร์ คลอบคลุมทุกด้านเกี่ยวกับชีวิต วิ มนุษย์ทั้งทางกาย สังคม อารมณ์ จิตใจ ความคิดสติปัญญา จุดมุ่งหมายสำ คัญของการศึกษา ศาสตร์สายนี้คือ เพื่อที่จะเข้าใจ อธิบาย ทำ นาย พัฒนาและควบคุม พฤติกรรมด้านต่าง ๆ จิตวิท วิ ยาเป็นวิช วิ าที่มุ่งศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ โดยใช้ระเบียบ วิธี วิธี การศึกษาทางวิท วิ ยาศาสตร์จิตวิท วิ ยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาค้นคว้า ว้ เพื่อนำ ข้อมูลต่าง ๆ ความรู้ที่ได้จากแนวคิดทฤษฎี และการทดลองนำ มาเสนอ เพื่ออธิบายและควบคุมพฤติกรรมทำ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ของมนุษย์ จิตวิท วิ ยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม และกระบวนการทางจิต ซึ่งหมายถึง ทั้งพฤติกรรมภายนอก พฤติกรรมภายใน โดยที่บุคคลอาจจะ ไม่รู้ตัวเลยก็ได้ บทที่ที่ ที่1ที่1 ทฤษฎีฎี ฎี ตฎี ตามหลัลั ลั กลั กจิจิ จิ ตจิ ตวิวิ วิ ทวิ ทยา 97