The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การผลิตรายการวีดิทัศน์เป็นการทำงานร่วมกันเป็นทีมซึ่งต้องมีผู้นำที่มีหน้าที่รับผิดชอบ มีความสามารถในการวางแผนดำเนินการและตัดสินใจได้ดี ในฐานะผู้กำกับรายการ เพราะผู้กำกับรายการจะทำหน้าที่ในการพัฒนาแนวทางดำเนินรายการด้านเทคนิคการผลิต และด้านความคิดสร้างสรรค์การผลิต ตลอดจนถึงการลงมือการผลิต โดยให้คำปรึกษาหารือ แนะนำตลอดรายการ ตั้งแต่ขั้นประชุมก่อนการวางแผนไปถึงขั้นตอนสุดท้ายของการลำดับภาพ และการถ่ายทอดออกอากาศ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นางสาววาสนา นุโยค, 2023-05-02 23:27:13

กระบวนการผลิตวีดิทัศน์

การผลิตรายการวีดิทัศน์เป็นการทำงานร่วมกันเป็นทีมซึ่งต้องมีผู้นำที่มีหน้าที่รับผิดชอบ มีความสามารถในการวางแผนดำเนินการและตัดสินใจได้ดี ในฐานะผู้กำกับรายการ เพราะผู้กำกับรายการจะทำหน้าที่ในการพัฒนาแนวทางดำเนินรายการด้านเทคนิคการผลิต และด้านความคิดสร้างสรรค์การผลิต ตลอดจนถึงการลงมือการผลิต โดยให้คำปรึกษาหารือ แนะนำตลอดรายการ ตั้งแต่ขั้นประชุมก่อนการวางแผนไปถึงขั้นตอนสุดท้ายของการลำดับภาพ และการถ่ายทอดออกอากาศ

Keywords: Why Who What How

นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา Innovation and Educational Information Technology โดย นางสาววาสนา นุโยค สอนโดย ดร.ประสงค์ ต่อโชติ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งในรายวิชา 810105 นวัตกรรมและ เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา ภาคเรียนที่ 3 ปีการศึกษา 2565 คณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย


คำนำ เอกสารประกอบการสอน รายวิชา “นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา” (Educational Information Technology) ในหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู ผู้ศึกษาได้ รวบรวมขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจ ได้ศึกษาประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาที่เรียนโดยได้นำแนวสังเขปรายวิชา ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา ที่ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพการเรียน การ วิเคราะห์ปัญหา ที่เกิดจากการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ แหล่งการเรียนรู้ และเครือข่ายการ เรียนรู้ การออกแบบการสร้าง การนำไปใช้ การประเมิน และการปรับปรุงนวัตกรรม ขอขอบพระคุณ ดร.ประสงค์ ต่อโชติ ที่ให้โอกาสในการจัดทำเอกสารประกอบการเรียนรายวิชานี้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ ได้ศึกษา ค้นคว้าใช้เป็นเอกสารประกอบการเรียน มิได้มุ่งหวังผลกำไรทาง การค้าแต่อย่างใด เอกสารประกอบการเรียนการสอนเล่มนี้ ผู้จัดทำได้รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ ที่เผยแพร่ทาง อินเตอร์เน็ตโดยไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าของบทความ ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ หวังเป็นอย่างยิ่ง เอกสาร ประกอบการเรียนการสอนเล่มนี้ จะอำนวยประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ และคณาจารย์ หากท่านผู้อ่านพบ ข้อบกพร่องหรือมีคำชี้แนะ เพื่อการปรับปรุงให้สมบูรณ์มากขึ้น ผู้จัดทำยินดีรับฟังความคิดเห็น และจะนำไป ปรับปรุงแก้ไขพัฒนาให้เอกสารที่สมบูรณ์และมีคุณค่า ทางการศึกษาต่อไป วาสนา นุโยค 3 พฤษภาคม 2556


สารบัญ เรื่อง หน้า กระบวนการผลิต 1 ขั้นตอนการผลิตรายการวีดีทัศน์ 3 ขั้นตอนการผลิต 4 ขั้นหลังการผลิต 5 การผลิตวีดีโอ 6 ขั้นตอนการสร้างภาพยนตร์ 6 บุคคลที่เกี่ยวข้องในขั้นตอนการเตรียมงานสร้างภาพยนตร์ 7 ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น 9 รูปแบบการบันทึกข้อมูล 12 คุณภาพของวีดีทัศน์ 12 ซอฟร์แวร์ที่ใช้ในการผลิตวีดีทัศน์ 12 ประโยชน์และคุณค่าของวีดีทัศน์เพื่อการเสนอ 14 ขั้นตอนการตัดต่อวีดีทัศน์ด้วย Proshow Producer 14 Work กระบวนการ 16 ขั้นตอนการปฏิบัติงาน 17 มาตรฐานคุณภาพงาน 21 ระบบติดตามประเมินผล 22 แบบฟอร์มที่ใช้ 23


กระบวนการผลิตวีดิทัศน์ การผลิตรายการวีดิทัศน์เป็นการทำงานร่วมกันเป็นทีมซึ่งต้องมีผู้นำที่มีหน้าที่รับผิดชอบ มีความสามารถในการ วางแผนดำเนินการและตัดสินใจได้ดี ในฐานะผู้กำกับรายการ เพราะผู้กำกับรายการจะทำหน้าที่ในการพัฒนา แนวทางดำเนินรายการด้านเทคนิคการผลิต และด้านความคิดสร้างสรรค์การผลิต ตลอดจนถึงการลงมือการ ผลิต โดยให้คำปรึกษาหารือ แนะนำตลอดรายการ ตั้งแต่ขั้นประชุมก่อนการวางแผนไปถึงขั้นตอนสุดท้ายของ การลำดับภาพ และการถ่ายทอดออกอากาศ รายการผลิตวีดิทัศน์จะประสบความสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับการวางแผนการผลิตและการทำงานของฝ่าย สร้างสรรค์ที่ดี โดยอาศัยจินตนาการ ความอดทนและความรู้ รวมทั้งศิลปะหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ดังนั้นการผลิต รายการวีดิทัศน์ผู้ผลิตต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. ผู้ผลิตต้องศึกษาและเข้าใจขอบเขตเนื้อหาเรื่องราวที่จะผลิตเป็นอย่างดี 2. ผู้ผลิตต้องเข้าใจพื้นฐานของกลุ่มเป้าหมาย หรือผู้ชมให้มากที่สุด เช่น พื้นฐานประสบการณ์ เพศ วัย และ ความสนใจ เป็นต้น ภา อุดมฉันท์ (2544) ได้กล่าวถึงหลักการพื้นฐานในการวางแผนผลิตรายการวีดิทัศน์ไว้ 4 ประการ คือ 1. Why : (ผลิตรายการทำไม) ในการผลิตรายการก่อนอื่นใดทั้งหมด ผู้ผลิตจะต้องเข้าใจตนเองอย่างชัดเจนก่อน ว่ามีวัตถุประสงค์อะไร หรือมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำการผลิต เช่น – เพื่อการสอน (รายการเพื่อการศึกษา) – เพื่อแจ้งข่าวสาร (รายการข่าว) – เพื่อบันทึกเหตุการณ์ (รายการสารคดี) – เพื่อให้ความเพลิดเพลิน (รายการบันเทิง) 2. Who : (เพื่อใคร) ข้อสำคัญต่อมาก็คือ ผู้ชมที่เป็นเป้าหมายคือใคร เช่น – เด็กนักเรียน นักศึกษา – ครู ปัญญาชน – ผู้ใหญ่ – ผู้ชมทั่วไป 3. What : (ผลิตเรื่องอะไร) เมื่อกำหนดเป้าหมายขอกลุ่มผู้ชมได้แล้ว จะต้องกำหนดเนื้อหาสาระ ซึ่งต้อง สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ด้วย เช่น


– จะสอนเรื่องอะไร – จะแจ้งข่าวอะไร – จะบันทึกเหตุการณ์อะไร – จะให้ความบันเทิงอะไร 4. How : (รูปแบบอย่างไร) ในการผลิตรายการวีดิทัศน์ผู้ผลิตจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะผลิตรายการ ในรูปแบบใด จึงจะสอดคล้องกับเนื้อหาให้มากที่สุด เช่น – รูปแบบการอ่านรายงาน (Announcing) – รูปแบบการสนทนา (Dialogue) – รูปแบบสารคดี (Documentary) – รูปแบบละคร (Drama) 4. มีความเข้าใจในการใช้เครื่องมือ เทคนิควิธีการในการผลิตโดยทั่วไป เช่น เข้าใจการถ่ายภาพ มุมมองภาพใน ระยะต่าง ๆ การเขียนบท ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับกับการผลิต 5. ต้องตระหนักว่าทุกภาพ ทุกเสียงที่แพร่ไปถึงผู้ชมต้องมีความหมายกระจ่างชัดในตัวของมันเอง ทั้งนี้สื่อวีดิ ทัศน์เป็นการสื่อสารทางเดียว ไม่สามารถซักถาม และตอบโต้ตอบได้ 6.1 เนื้อหาของรายการ (Program Content) เนื้อหาของรายการจะต้องน่าสนใจและดึงดูดผู้ชม 6.2 ค่าใช้จ่ายในการผลิตรายการ (Budget) ผู้ผลิตรายการต้องคำนึงถึงงบประมาณในการผลิตแต่ละครั้ง 6.3 บทวีดิทัศน์ ผู้ผลิตรายการต้องเขียนบทหรือจ้างเขียนบท และต้องนำบทวีดิทัศน์ที่เรียบร้อยให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง ในการผลิต 6.4 ผู้รับผิดชอบในการผลิต (Teams) ประกอบด้วย ผู้อำนวยการผลิต ผู้ผลิต ผู้เขียนบท ผู้กำกับรายการ ผู้จัดการกองถ่าย และฝ่ายทำหน้าที่หลังกองถ่าย 6.5 ตัวแสดง (Talent) ควรเลือกผู้แสดงให้สอดคล้องกับบทวีดิทัศน์ 6.6 อุปกรณ์ทางเทคนิค (Technical Facilities) ได้แก่ ฉากและวัสดุ โดยผู้ผลิตต้องคุยเกี่ยวกับแนวคิดของ รายการกับผู้ออกแบบฉาก เพื่อให้ออกแบบได้ถูกต้อง และเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของรายการวีดีทัศน์ ดังนั้นก่อนการผลิตรายการวีดิทัศน์ ผู้ผลิตจำเป็นต้องคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการวางแผนการผลิต การเตรียมการผลิต การใช้อุปกรณ์ในการผลิต และการประเมินผลการผลิต


ขั้นตอนการผลิตรายการวีดิทัศน์ ก่อนการผลิตรายการวีดิทัศน์ ผู้ผลิตจำเป็นจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการวางแผนการผลิต การ เตรียมการผลิต การใช้วัสดุอุปกรณ์ในการผลิต และการประเมินผลการผลิตรายการ อย่างไรก็ตามสามารถสรุปเป็นขั้นตอนของการผลิตรายการวีดิทัศน์ได้ 3 ขั้นตอน (3P) ดังนี้ ขั้นเตรียมการผลิต (Pre-Production) นับเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งก่อนเริ่มทำการผลิตรายการ ได้แก่ การเตรียมข้อมูล การกำหนดหรือ วางเค้าโครงเรื่อง การประสานงาน กองถ่ายกับสถานที่ถ่ายทำ ประชุมวางแผนการผลิต การเขียนสคริปต์ การ จัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์การถ่ายทำ อุปกรณ์การบันทึกเสียง ห้องบันทึกเสียง ห้องตัดต่อ กล้องวีดีโอถ่ายทำ อุปกรณ์ประกอบฉาก อุปกรณ์แสง การเตรียมตัวผู้ดำเนินรายการ ผู้ร่วมรายการ ทีมงาน ทุกฝ่าย การเดินทาง อาหาร ที่พัก ฯลฯ หากจัดเตรียมรายละเอียดในขั้นตอนนี้ได้ดี ก็จะส่งผลให้ขั้นตอนการผลิตงานทำได้ง่ายและ รวดเร็วยิ่งขึ้น ขั้นเตรียมการผลิต (Pre-Production) ประกอบด้วย ดังนี้ 1.1การแสวงหาแนวคิด เป็นการหาแนวทาง เรื่องราวที่จะนำมาผลิตเป็นรายการวีดิทัศน์ ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจ แรกของผู้ผลิตรายการที่จะต้องตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า แนวคิดคิดที่ได้นั้นดีอย่างไร และจะให้ประโยชน์อะไร ต่อผู้ชม การหาแนวคิดหรือเรื่องราว จึงเป็นงานที่จะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการคอนข้างสูง 1.2 การกำหนดวัตถุประสงค์ (Objective) เมื่อได้เรื่องที่จะทำการผลิตารายการแล้ว เป็นการ คาดหวังถึงผลที่จะเกิดกับผู้ชมเมื่อได้รับชมรายการไปแล้ว ทุกเรื่องที่นำมาจัดและผลิตรายการโทรทัศน์ ผู้ผลิต จะต้องกำหนดวัตถุประสงค์วามุ่งจะให้ผู้รับได้รับหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ หรือพฤติกรรมในด้านใดบ้าง การกำหนดวัตถุประสงค์อาจตั้งหลายวัตถุประสงค์ก็ได้ 1.3 การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย (Target audience) เมื่อได้กำหนดวัตถุประสงค์แล้ว ขั้นต่อไป วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายหรือผู้ชมว่ามีลักษณะอย่างไร เป็นการทำความรู้ผู้ชมในแง่มุมต่าง เกี่ยวกับเพศ อายุ การศึกษา อาชีพ ความสนใจ ความต้องการ และจำนวนผู้ชม เพื่อให้สามารถผลิตรายการได้ตรงความต้องการ มากที่สุด 1.4 การวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) เป็นกระบวนการศึกษาเนื้อหา และข้อมูลที่เกี่ยวกับ เรื่องที่จะทำการผลิตแล้วนำมาวิเคราะห์ เพื่อให้ได้เนื้อหาสาระ และข้อมูลที่ถูกต้องทันสมัย น่าสนใจ และเพิ่ม ความน่าเชื่อถือ การวิเคราะห์เนื้อหาเป็นหน้าที่ของผู้ผลิตที่จะต้องทำการศึกษาจาก ตำรา เอกสาร ผู้เชี่ยวชาญ ด้านเนื้อหา และข้อมูล และข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ อย่างครบถ้วน ทำการลำดับเนื้อหาจากง่ายไปยาก เพื่อการ นำเสนอที่เหมาะสม และสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี 1.5 การเขียนบทวีดิทัศน์(Script Writing) เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องจากการกำหนดแนวคิดจนถึง การวิเคราะห์เนื้อหา จนได้ประเด็นหลักและประเด็นย่อยของรายการ แล้วนำมาเขียนเป็นบท ซึ่งเป็นการ กำหนดลำดับก่อนหลังของการนำเสนอภาพและเสียง เพื่อให้ผู้ชมได้รับเนื้อหาสาระตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด ไว้ โดยระบุลักษณะภาพ และเสียงไว้ชัดเจน นอกจากนั้นบทรายการวีดิทัศน์ยังถ่ายทอดกระบวนการในการจัด


รายการออกมาเป็นตัวอักษรและเครื่องหมายต่าง ๆ เพื่อสื่อความหมายให้ผู้ร่วมการผลิตรายการได้ทราบ และ ดำเนินการผลิตตามหน้าที่ของแต่ละคน 1.6 การกำหนดวัสดุและอุปกรณ์ในการผลิตรายการ โดยที่ผู้ผลิตรายการจะต้องทราบว่าต้องใช้วัสดุ อุปกรณ์ใดบ้าง ซึ่งต้องกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ดังกล่าว เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการ จัดหา และเตรียมการต่อไป 1.7 การกำหนดผู้แสดง หรือผู้ดำเนินรายการ ต้องเป็นไปตามความเหมาะสมของเนื้อหาและรูปแบบ ของรายการที่จะนำเสนอ 1.8 การจัดทำงบประมาณ โดยทั่วไปจะมีการตั้งงบประมาณไว้ก่อนแล้ว แต่ในขั้นนี้จะเป็น การกำหนดการใช้ งบประมาณโดยละเอียด ซึ่งจะเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินการผลิต เช่น ค่าตอบแทนผู้รวมดำเนินการ ผลิตรายการ ค่าผลิตงานกราฟิก ค่าวัสดุรายการ ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าที่พัก และค่าพาหนะ เป็นต้น 2. ขั้นการผลิต (Production) คือ เป็นขั้นตอนการดำเนินการถ่ายทำตามเส้นเรื่องหรือบทตามสคริปต์ทีมงานผู้ผลิต ได้แก่ ผู้กำกับ ช่างภาพ ช่างไฟ ช่างเทคนิคเสียง ช่างศิลป์ และทีมงานจะทำการบันทึกเทปโทรทัศน์ รวมทั้งการบันทึกเสียง ตามที่ กำหนดไว้ในสคริปต์ อาจมีการเดินทางไปถ่ายทำยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในร่มและกลางแจ้ง มีการสัมภาษณ์ จัดฉาก จัดสถานที่ภายนอกหรือในสตูดิโอ ขั้นตอนนี้อาจมีการถ่ายทำแก้ไขหลายครั้งจนเป็นที่พอใจ (take) นอกจากนี้ อาจจะเป็นต้องเก็บภาพ/เสียงบรรยากาศทั่วไป ภาพเฉพาะมุมเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการขยายความ(insert) เพื่อให้ ผู้ชมได้เห็นและเข้าใจรายละเอียดมากยิ่งขึ้น โดยทั่วไปจะมีการประชุมเตรียมงาน และมอบหมายงานให้กับ ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านและนั้นคือการทำงานของทีม องค์ประกอบของขั้นการผลิต (Production) มีดังนี้ 2.1 ด้านบุคลากร ในการผลิตรายการวีดิทัศน์เป็นการทำงานที่เป็นทีม ผู้ร่วมงานมาจากหลากหลาย อาชีพที่มีพื้นฐานที่ต่างกัน ซึ่งการทำงานร่วมกันจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับทีมงานที่ดี มีความ ความเข้าใจกัน พูดภาษาเดียวกัน รู้จักหน้าที่ และให้ความสำคัญซึ่งกันและกัน 2.2 ด้านสถานที่สถานที่ในการผลิตรายการ แบ่งออกเป็น 2 แห่ง คือ ภายในห้องผลิตรายการ และ ภายนอกห้องผลิตรายการ สำหรับการผลิตรายการในห้องผลิตรายการ (Studio) นั้น ผู้ผลิตจะต้องเตรียมการ จองห้องผลิต และตัดต่อรายการล่วงหน้า กำหนดวันเวลาที่ชัดเจน กำหนดฉากและวัสดุอุปกรณ์ประกอบฉากให้ เรียบร้อย ส่วนการเตรียมสถานที่นอกห้องผลิตรายการ ผู้ผลิตจะต้องดูแลในเรื่องของการควบคุมแสงสว่าง ควบคุมเสียงรบกวน โดยจะต้องมีการสำรวจสถานที่จริงก่อนการถ่ายทำ เพื่อทราบข้อมูลเบื้องต้น และเตรียม แก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เพื่อจะได้ประหยัดเวลาในการถ่ายทำ 2.3 ด้านอุปกรณ์ในการผลิตรายการ โดยผู้กำกับฝ่ายเทคนิคจะเป็นผู้สั่งการเรื่องการเตรียมอุปกรณ์ ในการผลิต เช่น กล้องวีดิทัศน์ ระบบเสียง และระบบแสงและเครื่องบันทึกภาพ นอกจากนั้นยังจำเป็นต้อง เตรียมอุปกรณ์สำรองบางอย่างให้พร้อมด้วย ทั้งนี้เพื่อชวยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างทันทวงที 2.4 ด้านผู้ดำเนินรายการ และผู้ร่วมรายการ การเตรียมผู้จะปรากฏตัวบนจอโทรทัศน์เป็นสิงที่จำเป็น โดยเริ่มจากการคัดเลือก ติดต่อ ซักซ้อมบทเป็นการล่วงหน้า โดยให้ผู้ดำเนินรายการ และผู้ร่วมรายการได้ศึกษา และทำความเข้าใจในบทของตนเองที่จะต้องแสดง เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาในการถ่ายทำ


3. ขั้นการหลังการผลิต (Post-Production) คือ การตัดต่อลำดับภาพ หรือเป็นขั้นตอนการตัดต่อเรียบเรียงภาพและเสียงเข้าไว้ด้วยกันตามสคริปต์หรือ เนื้อหาของเรื่อง ขั้นตอนนี้จะมีการใส่กราฟิกทำเทคนิคพิเศษภาพ การแต่งภาพการย้อมสี การเชื่อมต่อภาพ/ ฉาก อาจมีการบันทึกเสียงในห้องบันทึกเสียงใส่เสียงพูดซาวน์บรรยากาศต่างๆ เพิ่มเติม อื่นๆ อาจมีการนำ ดนตรีมาประกอบเรื่องราวเพื่อเพิ่มอรรธรสในการรับชมยิ่งขึ้น ขั้นตอนนี้ส่วนใหญ่จะดำเนินการอยู่ในห้องตัดต่อ แต่มีข้อจำกัดหลายอย่างเช่น การเพิ่มเทคนิคพิเศษต่างๆ ซึ่งต้องใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัยและซับซ้อนมาก ยิ่งขึ้นมีเฉพาะช่างเทคนิคที่เกี่ยวข้องและผู้กำกับเท่านั้น (ในบางครั้งลูกค้าสามารถเข้ารับชมหรือมีส่วนร่วมใน การผลิต) ระยะเวลาในขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของบทและการบันทึกภาพ รวมถึงความยากง่ายและการ ใส่รายละเอียดต่างๆเพิ่มเติมของงานในแต่ละ THEME เช่น 3 วัน 7 วัน หรือมากกว่า 15 วันขึ้นไป องค์ประกอบของขั้นการหลังการผลิต (Post-Production) มีดังนี้ 3.1 การลำดับภาพ หรือการตัดต่อ (Editing) เป็นการนำภาพมาตัดต่อให้เป็นเรื่องราวตามบทวีดิ ทัศน์ โดยใช้เครื่องตัดต่อ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการตัดต่อนี้มี 2 ลักษณะ คือ 1) Linear Editing เป็นการตัดต่อระหว่างเครื่องเล่น/บันทึกวีดิทัศน์ 2 เครื่อง โดยให้เครื่องหนึ่งเป็นเครื่อง ต้นฉบับ (Master) และอีกเครื่องหนึ่งเป็นเครื่องบันทึก (Record) ในปัจจุบันไมนิยมใช้แล้ว เนื่องจากการตัดต่อ ลักษณะนี้ต้องใช้ผู้ที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน และใช้เวลานานมาก 2) Non-Linear Editing เป็นการติดต่อโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เฉพาะ ซึ่งเป็นการตัดต่อที่รวดเร็วและมี ข้อผิดพลาดน้อยที่สุด 3.2 การบันทึกเสียง (Sound Recording) จะกระทำหลังจากได้ดำเนินการตัดต่อภาพตามบทวีดิ ทัศน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทำการบันทึกเสียงดนตรี เสียงบรรยาย และเสียงประกอบลงไป 3.3 การฉายเพื่อตรวจสอบ (Preview) หลังจากตัดต่อภาพ และบันทึกเสียงเรียบร้อยแล้วจะต้อง นำมาฉายเพื่อตรวจสอบก่อนว่ามีอะไรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขหรือไม่ 3.4 ประเมินผล (Evaluation) เป็นการประเมินรายการหลังการผลิต ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ 1) ประเมินผลกระบวนการผลิต โดยจะเป็นการประเมินด้านความถูกต้องของเนื้อหาคุณภาพของเทคนิคการ นำเสนอ ความสมบูรณ์ของเทคนิคการผลิต โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา ผู้เขียนบท ผู้กำกับรายการ ทีมงานการ ผลิต และ 2) การประเมินผลผลิต ซึ่งจะเป็นการประเมินโดยกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก โดยจะประเมินในด้านของความ น่าสนใจ ความเข้าใจในเนื้อหา และสาระที่นำเสนอ 3) การเผยแพร่ ควรมีรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ และควรเก็บ ข้อมูล ข้อเสนอแนะต่าง ๆ ของผู้ใช้ เพื่อนำมาแก้ไขเรื่องอื่น ๆ ต่อไป ดังนั้นก่อนการผลิตวีดิทัศน์ ผู้ผลิตจำเป็นต้องคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการวางแผน การเตรียมการ ผลิต การใช้วัสดุอุปกรณ์ในการผลิต และการประเมินผลการผลิตรายการ


การผลิตวิดีโอ 1. การวางแผนเป็นการกำหนดเรื่องราวที่จะถ่ายทำว่าต้องการถ่ายทำสิ่งใด และกำหนดความ ยาวของเรื่องเพื่อที่จะได้เตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อม 2. การถ่ายทำเป็นการบันทึกภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่งหรือเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่ผู้ผลิตต้องการ จะถ่ายทำเพื่อจะได้นำข้อมูลนั้นเก็บไว้ 3. แคปเชอร์ (Capture)เป็นการถ่ายโอนข้อมูลที่เป็นภาพอย่างเดียว หรือทั้งภาพและเสียงทีได้ จากเทปวีดีโอ (VHS) มาบันทึกลงใน Harddisk ของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทำการจัดเก็บเป็น ไฟล์.AVI หลาย ๆ ไฟล์ ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ และสามารถนำไฟล์ .AVI นี้ไปใช้ในการ ตัดต่อภาพได้ 4. การตัดต่อเป็นการนำไฟล์หลาย ๆ ไฟล์ที่จัดเก็บอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์มาเรียงต่อกัน โดยทำ การเลือกภาพและเสียงที่ต้องการ จากนั้นจึงทำการตกแต่งภาพ โดยการเพิ่มเติมข้อมูลต่าง ๆ เช่น สีสัน ความสวยงาม ข้อความ เพิ่มความเร็วหรือลดความเร็วในการแสดงภาพเคลื่อนไหว ลดเหลี่ยมของภาพ หรือจะทำการปรับเปลี่ยนความยาวของข้อมูลก็ได้ เช่นการตัดต่อวีดีโอ ด้วย Adobe Premiere ปัจจุบันการตัดต่อวีดีโอด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์จะได้งานที่มีคุณภาพ ดีกว่า เนื่องจากสามารถเพิ่มเทคนิคพิเศษ ปรับแต่งภาพให้สวยงามได้ จึงได้รับความนิยม แต่ผู้ ที่ต้องการตัดต่ออย่างมืออาชีพต้องไม่ลืมว่างบประมาณในการเตรียมอุปกรณ์ตัดต่อนั้นมีราคา แพง หากจะทำการตัดต่อเพื่อเพิ่มความรู้ก็ควรใช้อุปกรณ์ที่มีราคาเหมาะกับงานที่จะทำ เพื่อ ป้องกันความสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ 5. การจัดทำสื่อประสมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จาการตัดต่อวีดีโอด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยนำ ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาทำการเก็บบันทึกให้อยู่ในรูปของไฟล์ต่าง ๆ เทปวีดีโอ แผ่นวีซีดี หรือแผ่นดีวีดี ซึ่งเป็นสื่อที่นิยมมากในปัจจุบัน เพื่อจะได้เก็บผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เหล่านั้นไว้ หรือนำออกมาเพื่อ เผยแพร่ ขั้นตอนการสร้างภาพยนตร์ 1.วางโครงเรื่อง เป็นการวางแผนชิ้นงานที่เราต้องการจะทำ เป็นการออกแบบเรื่องราวที่เราต้องการเรียบเรียง อย่างเช่น การสอนหนังสือ เราควรวางแผนว่าเราต้องถ่ายวีดีโอแบบใด เวลาพักเราต้องการอะไรมาคั่นรายการ โดยเราสามารถคิดและวาดขึ้นมา โดยเราเรียกขั้นแรกนี้ว่า การทำ Storyboard 2. การจัดเตรียมภาพยนตร์เป็นขั้นตอนที่เราต้องทำต่อจากการวางโครงเรื่องและนำมาประกอบกันเป็น เรื่องราวตาม Storyboard อย่างเช่น เราต้องถ่ายวีดีโอเกี่ยวกับงานสอน เราต้องถ่ายคลิปคั่นเวลา เป็นต้น 3. ตัดต่อภาพยนตร์เป็นการนำคลิปวีดีโอที่เราได้ทำการสอนไว้แล้วมาทำการตัดต่อ ให้ได้ดังโครงเรื่องที่เราคิด ไว้ (เราสามารถแก้ไขในส่วนที่เราคิดไว้ได้ อย่างเช่น คลิปที่นำมา ไม่สวยไม่งาม ก็สามารถแก้ไขได้ 4. แปลงไฟล์ภาพยนตร์เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการตัดต่อภาพยนตร์ ซึ่งเราต้องนำชิ้นงานที่เราได้ถ่ายทำไปแล้ว นั้นออกไปเผยแผ่


บุคคลที่เกี่ยวข้องในขั้นตอนการเตรียมงานสร้างภาพยนตร์ 1. ผู้อำนวยการผลิต (Producer) ผู้อำนวยการผลิตเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมการผลิตภาพยนตร์ทั้งหมด นับตั้งแต่การวางแผน การถ่ายทำ หลังการถ่ายทำ เพื่อให้การผลิตภาพยนตร์เป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสมบูรณ์ที่สุด 2. ฝ่ายกฎหมาย (Legal Department) ฝ่ายกฎหมายทำหน้าที่ในการทำสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตภาพยนตร์ ซึ่งได้แก่การทำสัญญาเช่า ลิขสิทธ์ การเช่าเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ การทำประกันภัย ฯลฯ 3. ผู้เขียนบทภาพยนตร์(Script Writer) ผู้เขียนบทภาพยนตร์ ทำหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์ตามที่ได้รับมอบหมายจนแล้วเสร็จ เมื่อเขียนบทเสร็จแล้ว ภาระหน้าที่ต่อไปก็คือการแก้ไขบท เมื่อแก้ไขบทจนเป็นที่พอใจของผู้ว่าจ้างแล้วภาระหน้าที่ของผู้เขียนบทก็ หมดไป 4. ผู้กำกับภาพยนตร์(Film Director) ผู้กำกับภาพยนตร์ มีหน้าที่ในการทำความเข้าใจบทภาพยนตร์ เลือกทีมงาน เลือกนักแสดง สถานที่ถ่ายทำ ภาพยนตร์ และเป็นผู้ที่ควบคุมงานผลิตภาพยนตร์ทั้งหมดภายใต้การดูแลของผู้อำนวยการผลิตภาพยนตร์ 5. ผู้ช่วยกำกับภาพยนตร์(Assistant Film Director) ผู้ช่วยกำกับภาพยนตร์ โดยทั่วไปแล้วถ้าเป็นกองถ่ายภาพยนตร์ทีมใหญ่ๆ จะมีผู้ช่วยกำกับภาพยนตร์ 2-3 คน ซึ่งมีหน้าที่แตกต่างกัน 6. ผู้กำกับภาพ (Director of Photography) ผู้กำกับภาพจะประสานงานกับผู้กำกับภาพยนตร์ในการวางแผนการจัดแสงการออกแบบแสงและการวางมุม กล้องเพื่อการสิ่อความหมายด้วยภาพต่างๆ กองถ่ายหนังใหญ่ผู้กำกับภาพนั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นช่างกล้องด้วย 7. ช่างกล้อง (Camera Operator) ช่างกล้องจะประสานงานกับผู้กำกับและผู้กำกับภาพในการถ่ายทำภาพยนตร์โดยการกำหนดการวางมุมกล้อง ขนาดภาพ การสื่อความหมายด้วยภาพซึ่งจะวางแผนล่วงหน้าในขั้นตอนเตรียมงานสร้างก่อนที่จะถ่ายจริง 8. ผู้กำกับศิลป์(Art Director) ผู้กำกับศิลป์ทำหน้าที่ในการไปหาสถานที่ ที่ถ่ายทำ ร่วมกับผู้ทำหน้าที่จัดหาสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ ผู้กำกับ ภาพยนตร์ ผู้ช่วยกำกับ ธุรกิจกองถ่าย ฯลฯ การออกแบบสร้างฉากตามยุคสมัยบรรยากาศตามเรื่องราวในบท ภาพยนตร์ 9. ผู้ช่วยกำกับศิลป์(Asst. Art Director)


ผู้ช่วยผู้กำกับศิลป์ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้กำกับศิลป์ในการออกแบบฉากที่ได้รับมอบหมายจากผู้กำกับศิลป์ 10. ฝ่ายจัดหาอุปกรณ์ประกอบฉาก (Properties Master) ฝ่ายจัดหาอุปกรณ์ประกอบฉากทำหน้าที่จัดหาอุปกรณ์ประกอบฉากต่างๆเช่น จัดหา ตู้ โต๊ะ นาฬิกา ผ้าม่าน ฯลฯ ตามการออกแบบของฝ่ายศิลป์ 11. ฝ่ายสร้างฉาก ฝ่ายสร้างฉากจะทำหน้าที่สร้างฉากตามที่ฝ่ายศิลป์ออกแบบ ภายในระยะเวลาที่กำหนดก่อนที่จะมีการถ่ายทำ ภาพยนตร์ 12. ผู้เขียนสตอรี่บอร์ด (Story Board Visualizer) ผู้เขียนสตอรี่บอร์ด จะทำหน้าที่แปลงบทภาพยนตร์ให้เป็นภาพเขียน โดยกำหนด ขนาดภาพ มุมกล้อง การจัด องค์ประกอบภาพ ฯลฯ เพื่อให้ง่ายสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์ โดยทั่วไปแล้วการเขียนสตอรี่บอร์ดนั้นจะเขียน เฉพาะฉากที่ถ่ายทำยากๆเท่านั้น เช่น ฉาก ACTION ต่างๆซึ่งทีมงานที่เกี่ยวข้องเช่น ผู้กำกับภาพยนตร์ ช่าง กล้อง ผู้กำกับศิลป์ ฯลฯ พอเห็นภาพจากสตอรี่บอร์ดแล้วก็สามารถจะออกแบบทำงานตามหน้าที่ของตนได้ ทันที 13. ผู้ออกแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย (COSTUME DESIGNER) ผู้ออกแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายทำหน้าที่ออกแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับต่างๆ ของตัวละคร โดย คำนึงถึงยุคสมัย บุคลิกของตัวละคร โดยก่อนที่จะออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายนั้น ผู้ออกแบบนอกจะ อ่านจากบทภาพยนตร์อย่างละเอียดแล้ว จะต้องเข้าร่วมประชุมกับผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้กำกับศิลป์ เพื่อทราบ แนวคิดและกำหนดแนวทางของการออกแบบโทรและอารมณ์ของภาพยนตร์ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน 14. ผู้จัดคิวเสื้อผ้าเครื่องแต่ง (WARDROBE) ผู้จัดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ทำหน้าที่จัดคิวเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของนักแสดงให้เป็นไปตามตารางการถ่ายทำ ภาพยนตร์ ตลอดจนดูแลเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้สามารถใช้งานได้ทันทีที่ผู้กำกับภาพยนตร์ต้องการ 15. ผู้จัดการจัดหาสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์(LOCATION MANAGER) บุคลากรตำแหน่งนี้เพิ่งมีในกองถ่ายภาพยนตร์ไทยในระยะเวลาที่ไม่นานมานี้ เพราะก่อนหน้านี้ผู้กำกับ ผู้ช่วย กำกับ และผู้กำกับศิลป์ จะช่วยกันหาสถานที่ถ่ายทำ แต่เพราะความไม่สะดวก เพื่อให้การจัดหาสถานที่ถ่ายทำ ภาพยนตร์เป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น จึงกำหนดให้มีตำแหน่งนี้ขึ้นมา 16. ผู้คัดเลือกนักแสดง (CASTING) ผู้คัดเลือกนักแสดง ทำหน้าที่คัดเลือกนักแสดงตามบุคลิกของตัวละครที่กำหนดไว้ในบทภาพยนตร์ ซึ่งการ คัดเลือกนักแสดงนี้ผู้คัดเลือกนักแสดงจะต้องทำงานร่วมกับผู้อำนวยการผลิต ผู้กำกับภาพยนตร์ และผู้ช่วย กำกับภาพยนตร์ เป็นต้น


17. ผู้ฝึกซ้อมนักแสดง (ACTING COACH) ผู้ฝึกซ้อมนักแสดง จะทำหน้าที่หลังจากที่คัดเลือกนักแสดงแล้ว บางกองถ่ายจะกำหนดให้มีการฝึกซ้อมนักแสดง ก่อนที่จะมีการถ่ายทำภาพยนตร์ 2-3 เดือน เพื่อให้นักแสดงบางคนที่ยังไม่มีพื้นฐานทางการแสดงได้พัฒนา ตนเอง สามารถที่จะแสดงภาพยนตร์ในขั้นตอนการถ่ายทำได้อย่างราบรื่น สำหรับนักแสดงที่มีประสบการณ์ แล้วก็จะต้องมีการฝึกซ้อมการแสดงตามบทภาพยนตร์ เช่นเดียวกัน 18. ธุรกิจกองถ่ายภาพยนตร์ ธุรกิจกองถ่ายภาพยนตร์ทำหน้าที่ติดต่อประสานงาน ขอใช้ ขอเช่าสถานที่ถ่ายทำ ภาพยนตร์ การติดต่อ นักแสดง การทำงบประมาณค่าใช้จ่ายรายวัน การจ่ายเงินแก่นักแสดงทีมงานตลอดจนทำบัญชีการใช้จ่ายในแต่ ละวันเพื่อนำเสนอบริษัท บุคลากรเหล่านี้จะต้องเข้ามาเตรียมงานที่บริษัท ก่อนที่จะลงมือสร้างภาพยนตร์ ซึ่งภาพยนตร์บางเรื่องจะใช้ เวลาในการเตรียมงานประมาณ 1-3 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของภาพยนตร์แต่ละเรื่อง ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น ขั้นที่1 หาองค์ประกอบด้านวิธีการ คือ หลักการ การวางแผน การถ่ายทำ การตัดต่อ การประเมินผล ขึ้นที่2 หาองค์ประกอบด้านบุคลากร คือ บุคลากรในหน้าที่ต่างๆ ตั้งแต่ ตัวละคร บุคคลทางเทคนิค รวมไปถึง ผู้มีความสามารถเฉพาะ และทีมเวิร์ค ขั้นที่3 เตรียมการผลิต คือ วางแผน เตรียมสถานที่ บท อุปกรณ์ ให้ครบ ขั้นที่4 บทหนัง คือ วางบท คำพูด ระยะเวลาสถานที่ เรื่องราว ที่จะสื่อออกมา เรื่องบทนี้จะมีหลายแบบ – บทแบบสมบูรณ์ ประมาณว่า เก็บทุกรายละเอียดทุกคำพูด – บทแบบอย่างย่อ ประมาณว่า เปิดกว้าง ๆ ให้ผู้ชมสังเกตในความเข้าใจของตนเอง – บทแบบเฉพาะ – บทแบบร่างกำหนด ขั้นที่5 การผลิต อย่างแรกเลย แต่ละฉากคุณต้องเลือกมุมกล้องให้เหมาะสม กับสภาพอากาศ ขนาดวัตถุ ว่า ควรเห็นแค่ไหน ขนาดมุมกล้องมีหลายแบบ เช่น ระยะไกลมาก ระยะไกล ระยะปานกลาง ระยะใกล้ ขั้นที่6 ค้นหามุมกล้อง – มุมคนดู เป็นมุมถ่ายจากรอบนอกของฉากนั้นๆ ครับ เหมือนผู้ชมเป็นคนสังเกตฉากนั้นๆ – มุมแทนสายตา – มุมพ้อยออฟวิว เป็นมุมที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ เช่น การถ่ายข้ามไหล่ของตัวละคร หรือวัตถุ


ขั้นที่7 การเคลื่อนไหวของกล้อง – การแพน การทิลท์คือ การทำการเคลื่อนไหวกล้องให้เห็นตำแหน่งวัตถุนั้นสัมพันกัน – การดอลลี่ คือ การติดตามการเคลื่อนไหว – การซูม เป็นการเปลี่ยนองค์ประกอบภาพ เหมือนเน้นความสนใจในจุดๆหนึ่ง ขั้นที่8 เทคนิคการถ่าย – จับกล้องให้มั่น คือแขนทั้งสองข้างแนบตัว – ไม่ควรเคลื่อนไหวกล้องแบบรวดเร็ว กล้องจะปรับโฟกัสไม่ทัน ทำให้ภาพเบลอ ขั้นที่9 หลังการผลิต คือ ขั้นตัดต่อ เพิ่มเสียง เอฟเฟกต์ ความคมชัด ความเด่นชัดเรื่อง อักษรหนังสือ ขั้นที่10 การตัดต่อ 1.เจเพ็ก (JPEG) : เป็นมาตรฐานการบีบอัดข้อมูล เนื่องจากมีความต้องการที่จะย่อภาพสีโดยให้คง รายละเอียดเดิมไว้ให้มากที่สุด ซึ่งคอมพิวเตอร์จะทำการสุ่มตัวอย่างของจุดภาพในส่วนต่าง ๆ ก่อนที่ จะบีบ อัดข้อมูล โดยตรวจสอบพื้นที่ว่าจะมีสีอะไรอยู่มากที่สุด จากนั้นจะยุบพื้นที่ให้เหลือเพียงสีที่ ต้องการเพียงหนึ่ง พิกเซล ซึ่ง JPEG จะถูกนำมาใช้กับภาพนิ่งที่อัตราส่วนการบีบประมาณ 25:1, 40:1 จนถึง 100:1 2. Motion – JPEG หรือ M – JPEG : เป็นมาตรฐานการบีบอัดข้อมูลที่สามารถบีบอัดและขยาย สัญญาณได้ตั้งแต่ 12:1, 5:1 และ 2:1 ทำให้ภาพที่ได้ออกมามีคุณภาพและเป็นที่น่าพอใจ สำหรับกลุ่ม ผู้ผลิต งานที่ไม่ต้องการความละเอียดมากนัก จึงเป็นระบบที่นิยมใช้ในการ์ตัดต่อ และการ์ดแคปเชอร์ (Capture Card) แบบต่าง แต่ในปัจจุบันเริ่มความนิยมเนื่องจากระบบดิจิตอลของกล้องดิจิตอลวีดิ ทัศน์เข้ามาแทนที่ 3. CODEC : เป็นเทคโนโลยีการบีบอัดและการคลายข้อมูล ซึ่งสามารถนำไปใช้กับซอฟต์แวร์และ ฮาร์ดแวร์หรืออย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ โดยส่วนมาก CODEC จะนิยมใช้กันในบีบอัดแบบ MPEG, Indeo และ Cinepak 4. เอ็มเพ็ก (MPEG : Moving Picture Experts Group) : เป็นมาตรฐานการบีบอัดสัญญาณภาพ และ เสียง โดยใช้ระบบ DCT ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กับระบบวีดิทัศน์คุณภาพสูงทั่วไป จะมีความคล้ายคลึงกับ การบีบอัดข้อมูลแบบ JPEG แต่จะลดจำนวนข้อมูลที่ซ้ำกันของภาพต่อไปด้วย การบีบอัดข้อมูลแบบ MPEG นี้ เป็นแบบไม่สมมาตร เนื่องจากขั้นตอนในการเข้ารหัสสัญญาณวีดิทัศน์นานกว่าขั้นตอนการ ถอดรหัสข้อมูล โดย MPEG ได้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องดังนี้ 4.1 MPEG-1 ใช้กับวีดิทัศน์ที่ดูตามบ้าน เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ VHS ซึ่งไฟล์ที่ได้จากการบีบอัด ข้อมูลแบบนี้สามารถใช้เครื่องเล่น CD ทั่วไป อ่านหรือเขียนข้อมูลได้ แต่ยังให้ภาพที่ค่อนข้างหยาบ สัญญาณสีแต่ละจุดไม่สามารถกำหนดเป็นสีที่ถูกต้องได้ ถ้าเป็นระบบที่ใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ช่วยในการ


ถอดรหัสจะแสดงภาพที่ชัดเจนได้เต็มจอภาพ แต่ถ้าใช้ซอฟต์แวร์อย่างเดียวจะแสดงภาพที่ชัดเจนได้ เพียงครึ่ง จอภาพ 4.2 MPEG-2 เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยเฉพาะการบีบอัดข้อมูลแบบนี้ก่อนที่ คอมพิวเตอร์จะคำนวณผลเพื่อแทนค่าจุดสีต่าง ๆ ภาพจะถูกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ และจะคำนวณทีละ หลาย ภาพ เรียกว่า “GOP (Group of Picture) “ ซึ่งเป็นการมองภาพครั้งละ 8-24 ภาพ โดยจะดู จากภาพที่หนึ่ง ของ GOP เป็นหลัก จากนั้นจะทำการเข้ารหัสภาพ แล้วมองภาพถัดไปว่ามีความ แตกต่างจากภาพแรกที่จุดใด จากนั้นจะทำการเปรียบเทียบและเก็บเฉพาะที่แตกต่างของภาพไว้ใน เฟรมนั้น ส่วนภาพต่อไปก็ทำการเปรียบเทียบกับภาพติดกัน แล้วเก็บส่วนต่างไว้เช่นกัน ท ให้สามารถ ลดจำนวนข้อมูลที่ต้องการเก็บ และเก็บ บันทึกข้อมูลที่ต้องการถอดรหัสได้ 4.3 MPEG-3 เพื่อใช้งานกับโทรทัศน์ที่มีความคมชัดสูง หรือเรียกว่า HDTV (High – Definition Television) เป็นโทรทัศน์ดิจิตอลชนิดใหม่ที่ใช้ในสหรัฐ แต่ไม่ได้นำมาใช้งานเนื่องจากไม่ ประสบ ความสำเร็จ 4.4 MPEG-4 เป็นมาตรฐานที่ใกล้เคียงกับ Quick Time เพื่อใช้งานทางด้านมัลติมีเดียที่มี แบนด์วิดท์ (Bandwidth) ต่ำซึ่งสามารถรวมภาพ เสียง และส่วนประกอบอื่นที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นได้ ที่สำคัญ MPEG-4 ได้ถูกออกแบบให้มีความสามารถในเชิงโต้ตอบกับวัตถุต่าง ๆ ในภาพได้ 4.5 MPEG-7 เป็นตัวเชื่อมรายละเอียดเนื้อหามัลติมีเดียเข้าด้วยกัน (Multimedia Content Description Interface) โดยมีจุดหมายที่จะสร้างมาตรฐานการอธิบายข้อมูลข่าวสารของมัลติมีเดีย เพื่อใช้ในการสนับสนุนความหมายของข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ บนสื่อ 5. Microsoft Video : ทำงานในขั้นตอนการบีบอัดข้อมูลที่อัตราส่วนการบีบอัดต่ำได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำ หรับภาพที่มีความเคลื่อนไหวมาก ๆ แต่ความละเอียดต่ำ (240x180 พิกเซล) 6. Microsoft RLE : ใช้อัตราส่วนในการบีบอัดต่ำ เหมาะสำหรับภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่มีความ ชัดเจน แต่ไม่เหมาะกับงานวีดิทัศน์ 7. DV Format : มีการสร้างระบบการเข้ารหัสเพื่อบันทึกเป็นสัญญาณดิจิตอลโดยตรง เพื่อใช้กับกล้อง ถ่ายวีดิทัศน์แบบดิจิตอล ซึ่งเรียกการเข้ารหัสแบบนี้ว่า “DV Format” โดยสัญญาณที่ถูกบันทึกจะผ่าน การบีบอัดข้อมูลเรียบร้อยแล้ว สามารถส่งผ่านเข้าสู่คอมพิวเตอร์ได้โดยตรงไม่มีปัญหาการสูญเสีย ความคมชัด ของภาพ แต่ข้อมูลภาพดิจิตอลวีดิทัศน์ค่อนข้างใหญ่การส่งผ่านข้อมูลจะใช้เวลานาน จึงมี การพัฒนา มาตรฐาน IEEE หรือที่เรียกว่า “Fire Wire” มารองรับการส่งข้อมูลแบบ DV จนกระทั่งได้ กลายเป็นมาตรฐาน การเชื่อมต่อสำหรับกล้องดิจิตอลวีดิทัศน์ในที่สุด 8. DivX : กลุ่มโปรแกรมเมอร์ใต้ดินได้ร่วมกันพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ซึ่งสามารถลดข้อมูลเหลือ เพียง 10-20 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณข้อมูลเดิม และยังสามารถเปิดชมภาพยนตร์ด้วยโปรแกรมธรรมดาได้อีก ด้วย 9. DVI : เป็นเทคโนโลยี CODEC ที่ถูกพัฒนาซึ่งมีมาตรฐาน NTST ในการแสดงภาพที่มีอัตรา 30 เฟรม ต่อวินาที สามารถบันทึกและแสดงภาพวีดิทัศน์ที่มีการเคลื่อนไหวที่สมจริงเหมือนในโทรทัศน์ แต่


บางครั้งมักจะเกิดปัญหาเพราะเนื้อที่ของฮาร์ดดิสก์ไม่เพียงพอ เนื่องจากสามารถบันทึกข้อมูลได้ใน ปริมาณมาก ดังนั้น DVI จึงแก้ปัญหานี้โดยการบีบอัดข้อมูลและคลายข้อมูล DVI ด้วยอุปกรณ์ที่เป็น ฮารด์แวร์ทั้งหมด 10. Cinepak : เป็นเทคโนโลยีการบีบอัดและการคลายข้อมูล สามารถส่งข้อมูลวีดิทัศน์ขนาด 24 บิต บนพื้นที่ขนาด 1 ต่อ 4 ของจอภาพวินโดว์ ซึ่งนิยมใช้ในรูปแบบของไฟล์วีดิทัศน์ที่เป็น *.avi โดย สามารถ บีบอัดข้อมูลได้ดีแต่มีข้อเสียตรงที่ใช้เวลานานในการบีบอัดข้อมูล 11. Indeo : มีพื้นฐานมาจาก DVI ที่เป็นฮาร์ดแวร์ล้วน ๆ ส่วนการเข้าและถอดรหัสของ Indeo จะเป็น ซอฟต์แวร์ทั้งหมด โดยนิยมนำมาประยุกต์ใช้ในการประชุมด้วยภาพ รูปแบบการบันทึกข้อมูล ภาพวีดิทัศน์ที่ได้จาการบันทึกข้อมูลด้วยกล้องวีดิทัศน์ หรือวีดิทัศน์คลิปที่ทำการบันทึกด้วย เครื่องบันทึกสามารถนำเข้าภาพได้เพียงบางส่วนเท่านั้น แต่หากทำการบันทึกด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ จะสามารถบันทึกข้อมูลได้หลายรูปแบบดังนี้(วชิระ อินทร์อดุม, 2539) 1) S-VHS (Super Video Home System) เป็นรูปแบบวีดิทัศน์ที่มีคุณภาพ มีความละเอียด สูงกว่า VHS เนื่องจากข้อมูลสีและความสว่างสามารถจะแยกการบันทึกออกเป็น 2 แทร็กได้ เพื่อให้ ง่ายต่อการ ปรับปรุงคุณภาพของการแสดงผลให้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถแพร่ภาพความถี่ต่ำได้อีก ด้วย โดยปกติแล้ว เทป S-VHS ต้องใช้กับเครื่องเล่น S-VHS จะทำให้ได้ภาพที่มีความคมชัดเพิ่มมากขึ้น เมื่อเล่นกับโทรทัศน์ที่มีความละเอียดสูงและหากผู้ผลิตต้องการมัลติมีเดียที่แพร่ภาพผ่าน สถานีโทรทัศน์ก็ไม่ควรเลือกการจัดเก็บ รูปแบบนี้ 2) YUV หรือ YUV 4:2:2 เป็นรูปแบบของสัญญาณวีดิทัศน์พื้นฐานโดยที่ Y คือ ค่าความ สว่างม U คือค่าสีแดงลบค่าความสว่าง V คือค่าสีน้ำเงินลบค่าความสว่าง (ขนาดของข้อมูลเล็กกว่า 3 เท่า) ในการเก็บ บันทึกและการแสดงผลวีดิทัศน์ลงบนจอภาพนั้นจะต้องแปลงข้อมูล YUV ให้เป็น RGB ก่อนเสมอ คุณภาพของวีดิทัศน์ การวัดคุณภาพของวีดิทัศน์สามารถวัดได้จากอัตราเฟรมและความละเอียดของภาพ (วชิระ อินทร์อดุม, 2539) 1) อัตราเฟรม (Frame Rate) คืออัตราความถี่ในการแสดงภาพจาก Timeline ออกทาง หน้าจอ อัตราที่เฟรมถูกแสดงในวีดิทัศน์มีหน่วยเป็นเฟรมต่อวินาที (FPS ย่อมาจาก Frame Per Second เป็นหน่วยวัดปริมาณข้อมูลที่ใช้ในการเก็บบันทึกและแสดงวีดิทัศน์ นอกจากนี้ยังสามารถ แสดงเฟรมให้มีความต่อเนื่องในเวลาอันรวดเร็ว) โดยผู้จัดทำสามารถที่จะกำหนดอัตราเฟรมเองได้ เช่น อัตราเฟรมของภาพยนตร์เท่ากับ 24 fps อัตราเฟรมโทรทัศน์ระบบ PAL เท่ากับ 25 fps และอัตรา เฟรมโทรทัศน์ระบบ NTSC เท่ากับ 30 fps


2) ความละเอียด (Resolution) หมายถึง ความคมชัดของภาพที่แสดงผลออกทางจอภาพ ความละเอียดของจอภาพขึ้นอยู่กับจำนวนจุดทั้งหมดที่เกิดบนจอ จุดต่าง ๆ นี้ เรียกว่า พิกเซล (Pixel) นอกจากนี้ภาพที่มีขนาดเท่ากัน บางครั้งก็อาจจะมีความละเอียดที่ต่างกันได้ เนื่องจากจำนวนพิกเซล ต่างกันจะส่งผลให้ขนาดของพิกเซลต่างกันด้วยยิ่งความละเอียดของจอภาพสูงจะยิ่งทำให้มองเห็น พื้นที่ใช้งานบนจอกว้างมากขึ้นแต่จะทำให้มีขนาดเล็กลง 5. ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการผลิตวีดิทัศน์ (ทวีศักดิ์ กาญจนสุวรรณ, 2546) 1. Macromedia Flash MX โปรแกรมสำหรับสร้างงานอนิเมชั่น มัลติมีเดีย งานอินเตอร์เอค ทีฟและรองรับงานออนไลน์ต่าง ๆ 2. Ulead Video Studio เป็นโปรแกรมตัดต่อวีดิทัศน์ Capture ภาพที่นำสัญญาณผ่านเข้า มาสามารถตัดต่อวีดิทัศน์ให้อยู่ในฟอร์แมต MPEG I, MPEG II, DV และ VCD ได้ 3. Adobe Photoshop CS โปรแกรมสำหรับตกแต่งรูปภาพ 4. Windows Movie Maker โปรแกรมสำหรับใช้ในการตัดต่อภาพเป็นมัลติมีเดียสตรีมมิ่งทั้ง ภาพและเสียงที่ได้จากการตัดต่อวีดิทัศน์และสามารถนำเข้าไฟล์ไม่ว่าจะเป็น *.avi, *.afs, *.MPEG, *.MPG, *.MPA เป็นต้น 5. VirtualDub เป็นโปรแกรมที่ช่วยใส่ Feeling ต่าง ๆ ให้แก่ภาพ ช่วยในการลดเม็ดสีที่คล้าย เม็ดหิมะที่เกิดจากการตัดต่อภาพจาก TV หรือ TV จูนเนอร์ และสามารถทำการบีบอัดข้อมูลได้ 6. TMPGEnc หรือทีเอ็มเพ็ค 2 เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการดัดแปลงไฟล์ VDO แบบ *.avi ให้ เป็น *.MPEG ได้สามารถใช้โปรแกรม TMPGEnc ร่วมกับ VirtualDub ได้ 7. Cyberlink Videolive Mail เป็นโปรแกรมที่สามารถปรับแต่งภาพและสนับสนุนการรับชม รายการโทรทัศน์ วีดิทัศน์และบันทึกรายการโทรทัศน์หรือวีดิทัศน์ที่รับชมได้ 8. Flash เป็นโปรแกรมสำหรับพัฒนางานรูปแบบต่าง ๆ เช่น งานวีดิทัศน์งานมัลติมีเดีย งาน เว็บ แอพพลิเคชั่น ระบบ E-Learning และระบบแอพพลิเคชั่นขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับ การผลิตวีดิทัศน์จำนวนมากการเลือกโปรแกรมตัวใดมาก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ผลิตมีความชำนาญในโปรแกรม นั้น ๆ อาจจะดูจากการใช้งานง่าย ไม่มีปัญหาลิขสิทธิ์ ในเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้จะนำเสนอ วิธีการตัดต่อวีดิทัศน์ด้วยโปรแกรม Proshow Producer 6. ประโยชน์และคุณค่าของวีดิทัศน์เพื่อการเสนอ วชิระ อินทร์อุดม (2539) ได้กล่าวว่า คุณค่าและประโยชน์วีดิทัศน์มีดังนี้ 1. ผู้ชมได้เห็นภาพและได้ยินเสียงไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นการรับรู้โดยผ่านสัมผัสทั้ง 2 ทางซึ่ง ย่อมดีกว่าการรับรู้โดยผ่านประสาทสัมผัสเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง 2. ผู้ชมสามารถเข้าใจกระบวนการที่ซับซ้อนได้โดยอาศัยศักยภาพของเครื่องมือ


3. การผลิตวีดิทัศน์ที่สามารถ ย่อ ขยายภาพทำให้ภาพเคลื่อนที่ช้าหรือเร็ว หรือหยุดนิ่ง แสดง กระบวนการที่มีความต่อเนื่อง มีลำดับขั้นตอนในเวลาที่ต้องการโดยอาศัยเทคนิคการถ่ายทำและ เทคนิคการตัดต่อ 4. บันทึกเหตุการณ์ในอดีตและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างสถานที่ ต่างเวลา เปิดชมได้ทันที 5. เป็นสื่อที่ใช้ได้ทั้งรายบุคคล กลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่และใช้กับมวลชน ใช้กับผู้เรียนทุกเพศทุกวัย ทุกระดับชั้น 6. วีดิทัศน์ที่ได้รับการวางแผนการผลิตที่ดี ผลิตอย่างมีคุณภาพสามารถใช้แทนครูได้ 7. ใช้ได้กับทุกขั้นตอนของการสอนไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นระหว่างการสอนหรือ ขั้นสรุป 8. ใช้เพื่อการสอนซ่อมเสริมได้อย่างมีประสิทธิภาพ 9.ใช้เพื่อบันทึกภาพที่เกิดจากอุปกรณ์ฉายภาพหลายชนิดเช่นภาพสไลด์ฟิลม์สตริป ภาพยนตร์ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องฉายหลายประเภทในห้องเรียน 10. ใช้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองโดยการทำห้องสมุดวีดิทัศน์ใช้ในการฝึกอบรมผู้สอน ด้วยการบันทึกการสาธิตวิธีการสอน การบันทึกรายการ การจัดการศึกษาใหม่ ๆ 11.ช่วยปรับปรุงเทคนิควิธีการสอนของครูโดยการใช้เทคนิคการสอนแบบจุลภาคใช้ใน การศึกษาแบบเปิดและการศึกษาทางไกลโดยอาจจะใช้เป็นการสอนซ่อมเสริม โดยการออกอากาศซ้ำ หรือส่งวีดีทศัน์ไปให้ผู้เรียนที่บ้าน 7. ขั้นตอนการตัดต่อวิดิทัศน์ด้วย Proshow Producer 1. หลังจากติดตั้งโปรแกรม Phoshow Producer แล้วการใช้งานให้เริ่มจากเรียกใช้โปรแกรม ด้วยการ double click ที่ icon ของ Phoshow Producer จากนั้นจะเข้าสู่หน้าจอการทำงานของโปรแกรม ซึ่งผู้ใช้งานจะเห็นหน้าต่างการทำงาน ส่วนที่ 1 จากรูปจะเห็นส่วนประกอบของจอแบ่งเป็น 4 ส่วนที่สำคัญคือ 1. ส่วนแสดง drive ที่เก็บงานไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ มีไว้เพื่อใช้เลือกหาตำแหน่งที่ตั้งของ file หรือ folder ที่เก็บภาพซึ่งจะนำมาทำงานนำเสนอ 2. ส่วนพื้นที่หน้าจอแทนหน้าจอที่ใช้ในการนำเสนองาน 3. ส่วนของหน้าต่างแสดงเฟรมของงาน มีไว้เพื่อเลือกรูปที่ต้องการนำเสนอมาเรียงตามลำดับ การนำเสนอ โดยสามารถกำหนดเวลาในการแสดงในแต่ละเฟรมและกำหนดค่า effect ที่ใช้ในเปลี่ยน แต่ละเฟรม


4. ส่วนแสดงภาพที่เลือกจากตำแหน่งที่ตั้งเพื่อใช้ในการนำเสนอ หากภาพใดที่เลือกใช้ไปแล้ว จะเกิด สัญลักษณ์เครื่องหมาย √ สีเขียวขึ้นที่มุมล่างด้านขวามือของภาพ ในการทำงานให้เลือกไฟล์ภาพที่ต้องการมาเรียงลำดับที่ส่วนหน้าต่างแสดงเฟรมของงาน (ส่วนที่3) ให้ครบตามลำดับนำเสนอ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการตั้งค่าและตกแต่ง effect ที่ใช้ในการ นำเสนองาน โดย การ click mouse ที่ปุ่มด้านขวา แล้วเลือกเมนู slide option ที่อยู่ด้านบนสุด จากนั้นจะพบกับหน้าจอส่วนที่ควบคุมการกำหนดค่าในการนำเสนอโดยเมนู slide option นี้จะ ประกอบด้วยเมนูย่อย 5 เมนูด้วยกัน คือ 1. เมนูเกี่ยวกับการจัดการ slide งาน ซึ่งแยกเป็น function ย่อยคือ slide style ซึ่งทาง โปรแกรม Proshow Producer ได้จัดเตรียมรูปแบบ (style) สำเร็จรูปให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้เพื่อเพิ่มลูกเล่น ในการนำเสนอไว้มากมาย สามารถเลือก click ที่ชื่อ รูปแบบเพื่อดูตัวอย่างการนำเสนอได้ที่ มุมบนด้าน ซ้ายมือ ซึ่งจะปรากฏเป็นหน้าต่างเล็ก ๆ มีรูปเฟรม ปัจจุบันที่ต้องการตกแต่ง เพิ่มเติมลูกเล่น/รูปแบบ ประกอบอยู่ ในส่วนชื่อของรูปแบบจะมีจำนวนภาพ ต่อเฟรมระบุไว้ในด้านขวามือของชื่อรูปแบบเพื่อสะดวก ต่อการเลือกรูปแบบให้เหมาะสมกับเฟรมที่จะ นำเสนอ เมนูย่อยอีก 2 เมนูที่ประกอบอยู่ในของส่วนการจัดการกับ slide คือส่วนของการจัดรูปแบบ หน้าจอ ของ slide หรือ slide setting กับส่วนของการจัดการกับพื้นหลังหรือ background มีไว้ เพื่อให้กำหนดค่า เริ่มต้น (default) ของการนำเสนอ 2. เมนูการจัดการของ layer หรือชั้นงานซึ่งโปรแกรมจะมองวัตถุแต่ละประเภทเป็นชิ้นงาน คน ละชิ้นที่มาประกอบเข้าด้วยกันเป็นชั้น ๆ ซึ่งแต่ละชั้นสามารถกำหนด/ตั้งค่าได้โดยอิสระจากกัน โดยเมนูการจัดการของ layer นี้ยังแยกย่อยเป็นเมนูย่อยอีก 3 เมนูอีก คือ layer setting, video setting, editing ในส่วนเมนูย่อยเมนูแรกนี้เป็นส่วนของ layer setting ซึ่งเป็นส่วนที่โปรแกรมจะ เตรียมเครื่องมือในการจัดการกับชิ้นงานไว้ให้ทั้งด้านการปรับแต่งแก้ไขคุณลักษณะเบื้องต้นของภาพ รูปแบบ ความกว้าง/หนา สามารถทดลองเลือกใช้เพื่อดูลักษณะที่เกิดขึ้นกับภาพได้ที่จอ preview ด้าน ขวามือ เมนูย่อยที่ 2 ส่วนของ video setting เป็นส่วนที่รองรับการนำ file video เข้ามาใช้ร่วมใน งานนำเสนอโดยสามารถเลือกช่วงเวลาของวีดิทัศน์ที่ต้องการน าเสนอ และเลือกคุณสมบัติของวีดิทัศน์ เช่น ต้องการให้ เสียงจากวีดิทัศน์ปรากฏในงานนำเสนอหรือไม่ ระดับความดังของเสียง เวลาที่ใช้ใน การนำเสนอ วีดิทัศน์เป็นต้น 3. ส่วนเมนูย่อยสุดท้าย editing เป็นการปรับแต่งชิ้นงานไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่งหรือวีดิทัศน์ให้มี คุณสมบัติตามต้องการ โดยเครื่องมือสามารถปรับได้ทั้งสีสัน ความสว่าง ความมืด ความคมชัด เป็นต้น 4. เมนูควบคุมลูกเล่นในการนำเสนอ (effect) โดยแบ่งเป็น motion effect ซึ่งเกี่ยวกับการ ทำภาพเคลื่อนไหว ส่วน adjust effect เป็นเครื่องมือที่กำหนดค่าในการทำงานภาพเคลื่อนไหว โดย เลือก กำหนดค่าของเฟรมเริ่มต้นและเฟรมสุดท้ายได้อย่างอิสระ


Work Flow (3) (4) (5) (6) (Pre-Production) (Planning) (Production) (1) / (2) (7) (Post-Production)


ขั้นตอนการปฏิบัติงาน ขั้นตอนก่อนการผลิตสื่อวีดิทัศน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ (1) ศึกษา วิเคราะห์ รวบรวมข้อมูลกิจกรรมตามประเด็น/หัวข้อที่กำหนด เพื่อดำเนินการผลิตและ เผยแพร่สื่อวีดิทัศน์ - หน่วยงานเจ้าของโครงการหรือกิจกรรม ประสานงานมายังกองเกษตรสารนิเทศ เพื่อขอความ อนุเคราะห์ผลิตสื่อวีดิทัศน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ - ผู้อำนวยการกองเกษตรสารนิเทศ มอบหมายงานให้กลุ่มงานเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ดำเนินการ - หัวหน้ากลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ พิจารณามอบหมายงานผลิตสื่อวีดิทัศน์ให้กับนักวิชาการ เผยแพร่และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการ - นักวิชาการเผยแพร่ ศึกษางานที่ได้รับมอบหมาย อาทิ หัวข้อเรื่อง หน่วยงานรับผิดชอบ ผู้ ประสานงาน - นักวิชาการเผยแพร่ วิเคราะห์งานที่ได้รับมอบหมาย อาทิ แนวคิดหลักและเนื้อหาสำคัญในการผลิต วีดิทัศน์ (Theme & Concept) กิจกรรมหรือข้อมูลที่โดดเด่นของบุคคล สถานที่ หรือการดำเนินงานของโจทย์ งาน/หัวข้อจากหน่วยงานที่ขอให้ผลิตสื่อสิดีทัศน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ - รวบรวมข้อมูลจากโจทย์หรือกิจกรรมที่ได้รับ โดยประสานข้อมูลจากบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมจัดทำบท (Script) - ประสานข้อมูลเกี่ยวกับการถ่ายทำ ได้แก่ เวลานัดหมาย สถานที่ บุคคล ข้อมูลการเดินทาง ข้อมูล พื้นฐานของบุคคลหรือประเด็นกิจกรรมที่ต้องการให้ผลิตสื่อวีดีทัศน์ (2) การวางแผนและกำหนดแนวทางการผลิตและเผยแพร่สื่อวีดิทัศน์ ทีมงานประชุมระดมความคิดเกี่ยวกับประเด็นการผลิตรายการ อาทิ - การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย (ผู้ชม) - ประเด็นหรือเนื้อหาสำคัญที่ต้องการนำเสนอในวีดิทัศน์ - ความคาดหวังจากการผลิตสื่อวีดิทัศน์ - วัตถุประสงค์หรือความจำเป็นในการผลิตสื่อวีดิทัศน์ อาทิ วีดิทัศน์นำเสนอการดำเนินงาน หรือผลงานของปราชญ์เกษตรเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการคัดเลือกปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน วีดิทัศน์สำหรับ งานเกษียณอายุราชการ ฯลฯ - กำหนดขอบเขตเนื้อหา


- กำหนดงบประมาณ ค่าใช้จ่าย - จัดลำดับขั้นตอนการทำงาน จะทำอะไรเมื่อไร กำหนดผู้รับผิดชอบในแต่ละขั้นตอน - กำหนดสถานที่ถ่ายทำ - รูปแบบการนำเสนอ เทคนิคการนำเสนอ - เวลา / ความยาว / ออกอากาศ - สถานที่ที่ใช้ในการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ อาทิ สถานีโทรทัศน์ สถานที่จัดประชุม งาน เลี้ยง นิทรรศการ ฯลฯ (3) เตรียมการผลิตสื่อวีดีทัศน์ตามแผน 3.1 การเขียนบท (Script) การเขียนบทวีดิทัศน์จะมีทั้งการร่างบทวีดิทัศน์และการเขียนบทวีดิทัศน์ ฉบับสมบูรณ์ โดยเริ่มแรกจะร่างบทโทรทัศน์เป็นการวางโครงเรื่อง (Plot) ของรายการแต่ละรายการ แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ - การเกริ่นนำ (Introduction) - เนื้อเรื่องหรือตัวเรื่อง (Body) - การสรุปหรือการส่งท้าย (Conclusion) ส่วนบทวีดิทัศน์ฉบับสมบูรณ์ (Full Script) หรือบทสำหรับถ่ายทำ (Shooting Script) จะนำเอาร่าง บทมาขยายอย่างละเอียด ในลักษณะของการถ่ายทำ ซึ่งจะมีลักษณะของภาพขนาดของภาพ กำหนดกล้องและ การแสดงของผู้แสดง หรือ เหตุการณ์นั้น อย่างสมจริง โดยทีมงานจะยึดการปฏิบัติงานตามบทวีดิทัศน์นี้ แต่ ลักษณะที่เป็นจริงบทวีดิทัศน์อาจจะมีการปรับเปลี่ยนบทบ้าง ตามความเหมาะสมของเหตุการณ์นั้น ทั้งนี้ อาจมีการให้ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องรายการที่จะดำเนินการผลิตสื่อ วีดิ ทัศน์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ในกลุ่มงานเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ อ่านทบทวน และปรับปรุงแก้ไข บท โทรทัศน์ ภายหลังจากการเขียนเสร็จร่างที่ 1 และนำมาปรับแก้ไขให้สมบูรณ์อีกครั้งภายหลังได้รับคำแนะนำ จากกลุ่มบุคคลข้างต้น 3.2 การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ (Preparation) ในการเตรียมเพื่อการผลิตรายการนั้น คณะทำงานจะ เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างที่มีส่วนเอื้ออำนวยต่อการทำงาน เครื่องมือ อุปกรณ์ ในการถ่ายทำ เตรียมสถานที่ เตรียม บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ - เตรียมอุปกรณ์การถ่ายทำ กล้องวิดีโอ อุปกรณ์บันทึกเสียง - เตรียมการเดินทางและที่พัก ประสานงานกับบุคคลหรือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ ในพื้นที่ เพื่ออำนวยความสะดวกในการถ่ายทำ หรือช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน


ขั้นตอนการผลิตสื่อวีดิทัศน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ (4) การดำเนินการถ่ายทำ การถ่ายทำวีดิทัศน์ จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 4.1 การดำเนินงานถ่ายทำตามท้องเรื่อง หรือตามสคริปต์ที่เขียนขึ้น ทีมงานจะทำการบันทึกเทป โทรทัศน์ รวมทั้งการบันทึกเสียง ตามที่กำหนดไว้ในสคริปต์ อาจมีการเดินทางไปถ่ายทำยังสถานที่ต่างๆ ทั้งใน ร่มและกลางแจ้ง หรือมีการสัมภาษณ์ จัดฉาก จัดสถานที่ภายนอกหรือในสตูดิโอ ขั้นตอนนี้อาจมีการถ่ายทำ แก้ไขใหม่หลายครั้งจนกว่าจะเป็นที่พอใจ นอกจากนั้น ยังมีการเก็บภาพบรรยากาศทั่วไป ภาพเฉพาะมุมเพิ่มเติมเพื่อนำไปขยายความ เพื่อให้ ผู้ชมได้เห็นและเข้าใจในรายละเอียดมากยิ่งขึ้น และเพื่อนำมาประกอบรายการ อาทิ สถานที่ ผู้คน รวมถึงการ สัมภาษณ์บุคคล 4.2 ถ่ายทำในส่วนของพิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการ 4.3 การบันทึก (Recording) กระบวนการถ่ายทำ จะดำเนินไปตามแผนที่ได้วางไว้ และถ่ายทำตาม บท โดยมุ่งให้ได้ภาพตรงตามความต้องการมากที่สุด อาจจะถ่ายทำหลาย ๆ ครั้ง ในฉากใดฉากหนึ่ง เพื่อมา คัดเลือกหาภาพที่ดีในตอนจะตัดต่ออีกครั้งหนึ่ง ในการบันทึกแบ่งเป็น บันทึกภาพและบันทึกเสียงซึ่งการ บันทึกภาพนั้นจะได้ทั้งภาพทั้งเสียงอยู่แล้ว เมื่อตัดต่อสามารถเลือกได้ว่า ช่วงไหนจะใช้แต่ภาพ หรือใช้ทั้งภาพ และเสียง การบันทึกภาพ บันทึกหรือถ่ายทำตามสภาพความเป็นจริง และความจำเป็นก่อนหลัง ไม่จำเป็นต้อง เรียงฉาก ตามบทวีดิทัศน์ (Script) ในการบันทึกเสียง จะบันทึกทั้งเสียงเหตุการณ์จริง เสียงสัมภาษณ์ เสียง สนทนา เสียงบรรยาย เสียงเพลงประกอบ และเสียงเหตุการณ์หรือเสียงที่นำมาใช้เป็นเอฟเฟค (Sound Effect) ให้เรื่องราวน่าสนใจซึ่งกระบวนการเกี่ยวกับเรื่องเสียง จะมีการผสมเสียงอีกครั้งหนึ่ง ในกระบวนการ ตัดต่อภาพและเสียง (5) การลำดับภาพและเสียง - การลำดับภาพ หรือการตัดต่อ (Editing) เป็นการนำภาพมาตัดต่อให้เป็นเรื่องราวตามบทวีดิทัศน์ โดยใช้เครื่องตัดต่อ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันใช้การตัดต่อด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ (Non-Linear Editing) แทนแบบ Linear Editing ซึ่งใช้ระยะเวลานาน - การบันทึกเสียง (Sound Recording) ดำเนินการหลังจากได้ตัดต่อภาพตามบทวีดิทัศน์เรียบร้อย แล้ว โดยจะมีการบันทึกเสียงดนตรี เสียงบรรยาย และเสียงประกอบต่างๆ ลงไป โดยจะบันทึกทั้งเสียง


เหตุการณ์จริง เสียงสัมภาษณ์ เสียงสนทนา เสียงบรรยาย เสียงเพลงประกอบ และเสียงเหตุการณ์หรือเสียงที่ นำมาใช้เป็นเอฟเฟค (Sound Effect) ให้เรื่องราวน่าสนใจ - โดยการลงเสียงผู้บรรยาย จะเป็นเจ้าหน้าที่ของกองเกษตรสารนิเทศ ทำหน้าที่ดังกล่าว โดยอ่านจาก บทบรรยายตามที่ผู้เขียนสคริปต์ได้จัดทำขึ้น การลงเสียง จะดำเนินการคนละส่วนกับการตัดต่อ แล้วจึงนำ เสียงไปประกอบเข้ากับภาพที่ได้ลำดับเรื่องราวไว้แล้ว - เจ้าหน้าที่ ดำเนินการนำไฟล์วีดีโอบันทึกลงเครื่อง คัดเลือกช็อตภาพที่ต้องการแยกกลุ่มไว้ และทำ การตัดต่อลำดับภาพด้วยโปรแกรม โดยใช้เทคนิคต่างๆ ตามหลักการผลิตสื่อวีดิทัศน์ การตัดต่อลำดับภาพ ใน ขั้นนี้ถือว่าเป็นสุดท้ายของการผลิต เป็นขั้นสำคัญอีกขั้นหนึ่งที่ต้องมีความละเอียดรอบคอบทั้งทางด้านภาพและ เสียง โดยการนำภาพต่างๆ เสียง กราฟิก มาเรียบเรียง ลำดับให้เป็นเรื่องราวตามบทวีดิทัศน์ที่กำหนดไว้ พร้อม ทั้งการแก้ไข ปรับแต่งให้มีความเหมาะสม สวยงาม น่าสนใจติดตาม และจะต้องคำนึงถึงรูปแบบของสื่อที่จะ เผยแพร่อีกด้วย ขั้นตอนหลังการผลิตสื่อวีดิทัศน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ (6) ตรวจสอบชิ้นงานก่อนส่งมอบหรือส่งเผยแพร่ - การฉายเพื่อตรวจสอบ (Preview) หลังจากตัดต่อภาพ และบันทึกเสียงเรียบร้อยแล้ว จะต้องนำมา ฉายเพื่อตรวจสอบก่อนว่า มีอะไรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขหรือไม่ - การประเมินกระบวนการผลิต โดยจะประเมินความถูกต้องของเนื้อหา คุณภาพของเทคนิคการ นำเสนอ ความสมบูรณ์ของเทคนิคการผลิต โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา ผู้เขียนบท ผู้กำกับรายการ ทีมงาน การผลิต - การประเมินผลผลิต ประเมินโดยกลุ่มเป้าหมาย โดยประเมินจากความน่าสนใจ ความเข้าในใน เนื้อหาที่นำเสนอ การติดตามรายการ และสาระที่นำเสนอ ฯลฯ - เจ้าหน้าที่กลุ่มงานเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ร่วมกันตรวจสอบชิ้นงานก่อนส่งมอบหรือส่งเผยแพร่ โดยมีเกณฑ์การตรวจสอบให้วีดิทัศน์นั้นๆ เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด ได้แก่ เนื้อหา ความยาว ความคมชัด ของภาพและเสียง คุณภาพของสื่อที่บันทึกวีดิทัศน์ ด้วยการเปิดเทปหรือแผ่นดีวีดีที่บันทึกวีดิทัศน์ภายหลังทำ การเขียน (Write) เสร็จสิ้น เพื่อตรวจสอบว่าการบันทึกสมบูรณ์จริง


(7) ส่งมอบชิ้นงานเพื่อเผยแพร่ตามภารกิจ - ส่งมอบชิ้นงานให้กับหน่วยงานหรือบุคคลเจ้าของเรื่องตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อนำไปเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ตามวัตถุประสงค์ต่อไป - เก็บวีดิทัศน์ในรูปแบบของไฟล์บันทึกในแผ่นดีวีดี หรือเทป หรือวัสดุบันทึกอื่นตามความเหมาะสม - ในการเผยแพร่รายการวีดิทัศน์ให้กับผู้ชมรายการกลุ่มเป้าหมายนั้น เราสามารถเผยแพร่ได้ หลากหลายวิธี เช่น การนำไปออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ (Broadcasting) การจัดทำเป็นแผ่น VCD, DVD หรือเผยแพร่ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การเผยแพร่ในระบบวงจรปิด CCTV (Close Circuit television) 7. มาตรฐานคุณภาพงาน มาตรฐานระยะเวลา: การปฏิบัติงานด้านการผลิตสื่อวีดิทัศน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ ถึงแม้ว่าจะไม่มี เอกสารหรือข้อกำหนดระยะเวลาเริ่มต้น-สิ้นสุดในการปฏิบัติงานที่ชัดเจน เป็นข้อกำหนดสากล แต่จะยึด หลักการพื้นฐานของการผลิตสื่อเพื่อการประชาสัมพันธ์ คือ ความถูกต้อง รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ ดัง รายละเอียดต่อไปนี้ ประเภทของข่าวประชาสัมพันธ์ มาตรฐานระยะเวลา (1) ศึกษา วิเคราะห์ รวบรวมข้อมูลกิจกรรมตามประเด็น/หัวข้อที่ กำหนด เพื่อดำเนินการผลิตและเผยแพร่สื่อวิดีทัศน์ 2 วัน (2) การวางแผนและกำหนดแนวทางการผลิตและเผยแพร่สื่อวีดิทัศน์ 1 วัน (3) เตรียมการผลิตสื่อวีดีทัศน์ตามแผน 4 วัน (4) การดำเนินการถ่ายทำ ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย (5) การลำดับภาพและเสียง 3 วัน (6) ตรวจสอบชิ้นงานก่อนส่งมอบหรือส่งเผยแพร่ 1 วัน (7) ส่งมอบชิ้นงานเพื่อเผยแพร่ตามภารกิจ 1 วัน


มาตรฐานในเชิงคุณภาพ / ข้อกำหนดที่สำคัญ ขั้นตอน ข้อกำหนดที่สำคัญ 1. กระบวนการก่อนการผลิตสื่อวีดีทัศน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ 1. ชัดเจน 2. ถูกต้อง 3. คุณภาพ 2.กระบวนการผลิตสื่อวีดีทัศน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ 1. คุณภาพ 2. ครบถ้วน 3. รวดเร็ว 3. กระบวนการหลังการผลิตสื่อวีดีทัศน์เพื่อการประชาสัมพันธ์ 1. ถูกต้อง 2. ครบถ้วน 3. ทันการณ์ 8. ระบบติดตามประเมินผล ขั้นตอน ความเสี่ยง ตัวชี้วัด การติดตามประเมินผล 1. กระบวนการก่อน การผลิตสื่อวีดีทัศน์ เพื่อการ ประชาสัมพันธ์ ได้รับแจ้งกิจกรรมหรือ โจทย์งานที่ต้องการให้ ผลิตสื่อวีดิทัศน์ใน ระยะเวลาที่กระชั้นชิด ทีมงานสามารถ เตรียมการถ่ายทำทุก ส่วนได้อย่างครบถ้วน ก่อนการเดินทางไปถ่าย ทำนอกสถานที่ หรือ ก่อนบันทึกเทป - สคริปต์พร้อมถ่ายทำ - แผนการทำงาน/แผนการ เดินทางที่ชัดเจน 2.กระบวนการผลิต สื่อวีดีทัศน์เพื่อการ ประชาสัมพันธ์ กรณีถ่ายทำนอกสถานที่ อาจถูกรบกวนจากปัจจัย สภาพอากาศ ส่งผลให้ ไม่ได้ภาพตามที่ต้องการ การดำเนินการถ่ายทำ และตัดต่อภาพ/เสียง เป็นไปตามแนวคิดหลัก ของหัวข้อที่กำหนด การเทียบเคียง วัตถุประสงค์ และสคริปต์ ถ่ายทำ กับวีดิทัศน์ที่ผลิต เสร็จสิ้น


ขั้นตอน ความเสี่ยง ตัวชี้วัด การติดตามประเมินผล 2.กระบวนการหลัง การผลิตสื่อวีดีทัศน์ เพื่อการ ประชาสัมพันธ์ ไม่สามารถส่งมอบชิ้นงาน ทันตามเวลาที่กำหนด สามารถดำเนินการส่ง มอบงานตามระยะเวลา ที่กำหนดไว้ใน กระบวนงาน การบันทึกและควบคุม เวลาการส่งมอบงาน 9. แบบฟอร์มที่ใช้ - แบบฟอร์มจัดทำสคริปต์สำหรับการถ่ายทำ - แบบฟอร์มบันทึกการทำงานตามมาตรฐานกระบวนงาน การผลิตวีดิทัศน์ (Video Production) การผลิตวีดิทัศน์มีหลากหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่จะเน้นการถ่ายทำ เพื่อเล่าเรื่องและนำเสนอด้วยภาพและเสียง ในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว เป็นการถ่ายทอดเนื้อหาจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร ลักษณะเฉพาะของวีดิทัศน์ 1.เป็นสื่อที่สามารถเห็นได้ทั้งภาพและเสียง 2.มีความคงที่ของเนื้อหา 3.เสนอเป็นภาพเคลื่อนไหวที่แสดงความต่อเนื่องของการกระทำ 4.สามารถรับชมได้ทุกเพศทุกวัยหรือเฉพาะกลุ่ม


5.นำเสนอได้ทั้งภาพจริงและกราฟิกต่างๆ 6. สามารถเก็บเป็นข้อมูลและนำมาเผยแพร่ได้หลายครั้ง รูปแบบของวีดิทัศน์ 1.สารคดี 2.มิวสิควิดีโอ 3.ภาพยนตร์/หนังสั้น 4.ละคร/ซีรีส์ 5. รายการโทรทัศน์


กระบวนการผลิตสื่อวีดิทัศน์สำหรับงานมัลติมีเดีย 1. ขั้นตอนก่อนการผลิต (Pre-Production) 1.การวางโครงเรื่อง(Story) 2.การเขียนบท(Script) 3. การเขียนบทภาพ (Storyboard) 2. ขั้นตอนการผลิต (Production) 1.การบันทึกวิดีโอ(VideoRecording) 2. การบันทึกเสียง (Sound Recording) 3. ขั้นตอนหลังการผลิต (Post-Production) 1.การจัดการไฟล์วิดีโอและเสียง 2. การตัดต่อวิดีโอ


แบบทดสอบ 1. Motion-Jpeg เรียกอีกอย่างว่าอะไร ก. M - Jpeg ค. Mpeg ข. Jpeg ง. Motion 2. รูปแบบการบันทึกข้อมูลมีกี่รูปแบบ ก. 2 รูปแบบ ข. 3 รูปแบบ ค. 4 รูปแบบ ง. 5 รูปแบบ 3. การวัดคุณภาพของวีดีทัศน์วัดจากอะไร ก. ความละเอียด ข. อัตราเฟรม ค. ความกี่ ง. ถูกทั้งข้อ ข และ ข้อ ค 4. หลักการพื้นฐานในการผลิตวีดีทัศน์มีกี่ประการ ก. 3 ประการ ข. 4 ประการ ค. 5 ประการ ง. 6 ประการ 5. ปัจจัยในการผลิตวีดีทัศน์มีกี่อย่าง ก. 2 อย่าง ข. 3 อย่าง ค. 4 อย่าง ง. 5 อย่าง 6. ขั้นตอนการผลิตได้แก่อะไรบ้าง ก. การประสานงาน ข. การประชุมวางแผนการผลิต ค. การเตรียมข้อมูล ง. ถูกทุกข้อ


7. ซอร์ตแวร์ที่ใช้ในการผลิตวีดีทัศน์แบ่งออกเป็นกี่ข้อ ก. 5 ข้อ ข. 6 ข้อ ค. 7 ข้อ ง. 8 ข้อ 8. ทีเอ็มเพ็ค เรียกอีกอย่างว่าอะไร ก. Tmpgenc ข. Flash ค. Virtualdub ง. ถูกทุกข้อ 9. ขั้นเตรียมการผลิต Pre – production ประกอบด้วยกี่อย่าง ก. 5 อย่าง ข. 6 อย่าง ค. 7 อย่าง ง. 8 อย่าง 10. Flash เป็นโปรแกรมสำหรับงานประเภทไหน ก. ตกแต่งรูปภาพ ข. ตัดต่อวีดีทัศน์ ค. พัฒนารูปแบบต่างๆ ง. การดัดแปลงไฟล์


เฉลยข้อสอบ 1. ก. M – Jpeg 2. ก. 2 รูปแบบ 3. ง. ถูกทั้งข้อ ข และ ข้อ ค 4. ข. 4 ประการ 5. ก. 2 อย่าง 6. ง. ถูกทุกข้อ 7. ง. 8 ข้อ 8. ก. Tmpgenc 9. ง. 8 อย่าง 10. ค. พัฒนารูปแบบต่างๆ


https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfLBcuchfjeQTFitAcFPxHhjaKjbYEoIWake7Zt__yaf hutgA/viewform


บรรณานุกรม ทวีศักดิ์ กาญจนสุวรรณ. (2546). Multimedia ฉบับพื้นฐาน. กรุงเทพมหานคร : เคทีพี คอมพ์แอนก์คอน ซัลท์. ประทิน คล้ายนาค. (2541). การผลิตรายการโทรทัศน์ทางการศึกษา. นครปฐม: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). พจนานุกรมฉบับบราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ: นานมีบุคส พับลิเคชั่นส์. วชิระ อินทร์อดุม. (2539). เอกสารประกอบการสอนวิชา 212703 การ ผลิตวีดิทัศน์เพื่อการศึกษา. ขอนแก่น : ภาควิชาเทคโนโลยีทางการศกึษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://classroomkrubeer.wordpress.com https://www.google.com/ https://touchpoint.in.th/


Click to View FlipBook Version