อำเภอเชียงม่วนเดิมมีฐำนะเป็นตำบล ช่ือ ตำบลเชียงม่วน อยู่ในเขตกำรปกครอง ของอำเภอ
บ้ำนมว่ ง (ปัจจบุ ันเป็นอำเภอปง จังหวดั พะเยำ) จังหวัดนำ่ น เมอื่ พ.ศ. 2496 ทำงรำชกำรได้โอนเขตกำร
ปกครองของอำเภอปง จังหวัดน่ำน ไปขึ้นอยู่ในเขตกำรปกครองของจังหวัดเชียงรำย “อำเภอเชียงม่วน”
ซ่ึงขณะนั้นมีฐำนะเป็นตำบลเชียงม่วนจึงอยู่ในเขตกำรปกครองของอำเภอปง จังหวัดเชียงรำย เมื่อ
วันท่ี 18 มิถุนำยน พ.ศ. 2512 ได้มีกำรประกำศกระทรวงมหำดไทยแบ่งท้องที่อำเภอปง จังหวัด
เชียงรำย ตั้งเป็นกิ่งอำเภอเชียงม่วน อยู่ในเขตกำรปกครองอำเภอปง จังหวัดเชียงรำย ต่อมำเม่ือวันที่ 29
เมษำยน พ.ศ. 2517 ได้มีพระรำชกฤษฎีกำยกฐำนะ “ก่ิงอำเภอเชียงม่วน ข้ึนเป็นอำเภอเชียงม่วน” อยู่
ในเขตกำรปกครองของจังหวัดเชียงรำย ซ่ึงต่อมำได้มีพระรำชบัญญัติต้ังจังหวัดพะเยำ เม่ือวันท่ี 28
สิงหำคม พ.ศ. 2520 แยกอำเภอพะเยำ อำเภอจุน อำเภอแม่ใจ อำเภอดอกคำใต้ อำเภอปง
และอำเภอเชียงม่วน ออกจำกกำรปกครองของจังหวัดเชียงรำย ต้ังจังหวัดพะเยำ ดังนั้น
อำเภอเชยี งมว่ นจึงอยใู่ นเขตกำรปกครองของจงั หวัดพะเยำจนถึงปัจจุบัน
ยอ้ นอดีตเชยี งมว่ น
เชียงม่วนในอดีต ไม่มหี ลักฐำนทำงด้ำนวัตถุ ที่พอจะสืบค้นประวัติควำมเป็นมำของกำรต้ังถ่ินฐำน
ประชำกรได้ เช่น คูเมอื งหรอื บนั ทกึ เอกสำรต่ำงๆเฉพำะไว้ เพียงแต่อำศัยกำรค้นคว้ำเอกสำรท่ีระบชุ ่ือเชยี ง
ม่วน ตำมระยะเวลำที่มีกำรอ้ำงอิงในปัจจุบัน ประกอบกับกำรสอบถำมผู้สูงอำยุ ท่ีจำควำมได้ถึงควำม
เป็นมำของประวัติหมู่บ้ำนต่ำงๆ ก็พอจะทำให้ทรำบถึงควำมเป็นมำได้บ้ำง โดยเฉพำะหมู่บ้ำนท่ีมีอำยุกำร
ตัง้ ถิ่นฐำนไม่ถึง 100 ปี แต่บำงหมู่บ้ำนที่มีมำก่อนไม่มีใครยืนยันเกีย่ วกับเวลำ ตลอดจนกำรศึกษำค้นคว้ำ
ของสำนักงำนศึกษำธิกำรอำเภอเชยี งม่วน (2537)ไดเ้ สนอเรอ่ื งกำรตรวจสอบโบรำณสถำน บริเวณบ้ำนทุ่ง
หนอง ด้ำนทิศตะวนั ตกติดกับแม่น้ำยม ซึ่งอำจเป็นคูเมืองในอดีต และบริเวณบ้ำนห้วยก้ำงปลำ-บ้ำนนำ
บัว อำจเป็นแหล่งโบรำณคดีตำมที่หนังสือ พย 0427/775 ลงวันที่ 19 มีนำคม พ.ศ. 2535 เพื่อเสนอให้
หน่วยงำนของกรมศลิ ปำกรสง่ ผเู้ ช่ยี วชำญมำสำรวจ
มีนิทำนเล่ำขำนสืบต่อกันมำว่ำ “พระยำนุ่น” แห่งเมืองน่ำนเป็นผู้สร้ำงเมืองเชียงม่วน
(ไม่มีหลักฐำนปรำกฏในหลักฐำนทำงประวัติศำสตร์เมอื งนำ่ น) โดยเสด็จออกล่ำช้ำงป่ำและทรำบวำ่ ช้ำงป่ำ
ตัวน้ันเป็นช้ำงเผือกคู่บำรมีของพระมหำกษัตริย์ ออกหำกินในป่ำระหว่ำงแดนเมืองน่ำนและ เมืองพะเยำ
พระยำนุ่นได้ติดตำมช้ำงเผือก เข้ำไปถึงแดนเมืองปงซ่ึงเป็นหัวเมืองข้ึนต่อจังหวัดน่ำนและสำมำรถจับ
ชำ้ งเผอื กเชือกน้ันได้
พระยำนุ่นและบริวำรนำช้ำงเดินทำงรอนแรมมำถึงหมู่บ้ำนแห่งหนึ่ง อยู่ใกล้ฝ่ังแม่น้ำยม ท่ำนก็
หยุดพักขัดสีฉวีวรรณประดับประดำ ตกแต่งเคร่ืองทรงเตรียมกำรฉลองช้ำงเผือกคู่บำรมี ภำษำพื้นเมือง
เรยี กกำรอำบนำ้ ตกแตง่ อยำ่ งวจิ ติ รบรรจงเช่นนว้ี ำ่ “สระสลุง”
บ้ำนสถำนท่ีต้ังค่ำยพักแรม จึงมีช่ือว่ำ “บ้ำนสระสลุง” แต่ปัจจุบันเรียกสั้นๆว่ำ “บ้ำนสระ”พระ
ยำนุ่นจัดงำนเฉลิมฉลองอย่ำงเอิกเกริก มีกำรแสดงหลำยอย่ำงซึ่งไม่เคยมีมำก่อนในแถบนี้ ประชำชนที่มำ
ร่วมงำนต่ำงรู้สึกพอใจสนุกสนำนย่ิงนัก และเพื่อเป็นกำรระลึกถึงกำรฉลองช้ำง ในคร้ังน้ี พระยำนุ่นจึง
สร้ำงเมืองขึ้นมำแล้วให้ชื่อว่ำเมืองเชียงม่วน ซ่ึงแปลว่ำเมืองสนุก (อุทิศ ปฐมของและรวงทอง สมัคร ,
2537 : 2-7) เชียงม่วนชื่อที่ใช้ในปัจจุบัน น่ำจะเป็นช่ือเรียกในบัญชี เมืองโบรำณ สมัยขุนเจืองธรรมิก
รำช (โอรสขุนจอมธรรมครองเมืองภูกำมยำวมีพระชนม์อยู่ระหว่ำง พ.ศ. 1714-1790) จำกคำวำ่ “เมือง
มวน” ตำมบัญชีเมืองสมัยโบรำณ 23 หวั เมือง ซงึ่ มเี มืองทน่ี ำ่ สนใจดงั นี้
1. เมืองเทิง คือ อำเภอเทิง จงั หวัดเชียงรำย
2. เมืองคอบ อย่ใู นจงั หวัดน่ำน
3. เมืองคำ คืออำเภอเชยี งคำ จังหวดั พะเยำ
4. เมืองปง คืออำเภอปง จังหวัดพะเยำ
5. เมอื งชะเอียบ น่ำจะอยู่ในท้องที่ตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จังหวดั แพร่
6. เมอื งมวน น่ำจะเป็น “เมืองเชียงม่วน” จังหวัดพะเยำ ในสมัยพระเจ้ำแสนภู “ไดส้ ร้ำงเมอื ง
เชียงแสนเป็นรำชธำนี ปี พ.ศ. 1871 จึงปรับปรุง เขตกำรปกครองระหวำ่ งเมืองเชียงแสน-พะเยำ ระบุว่ำ
พันนำเชียงแสนทัง้ หมดมี 65 พันนำๆ ท่นี ่ำสนใจมีดังน้ี เมืองโก เชียงคำ เชยี งม่วน นำคำ นำผงึ้ เมอื งพำน
ท่ำซ้ำย เมืองมวน เมืองไร และเมอื งควร(ประชำกิจกำรจักร , 2518 : 283-285 อ้ำงอิงในอุทิศ ปฐมของ
และรวงทอง สมัคร , 2537 : 7 จำกเอกสำรประชมุ พงศำวดำร ภำคท่ี 10 ตอนต้น เร่ืองรำชวงศ์ปกรณ์
พงศำวดำรเมืองน่ำนฉบับพระเจ้ำสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้ำนครน่ำนระบุว่ำ “เม่ือ พ.ศ. 2399 (รัชกำลท่ี
4)ได้กวำดต้อนครอบครัวลื้อเมืองพง เขตสิบสองปันนำ ซึ่งเวลำนั้นอยู่ในบังคับของฮ่อ ให้เข้ำมำอยู่ใน
เขตเมืองน่ำนประมำณพันคนเศษๆ ได้ตั้งภูมิลำเนำอยู่ท่ีเมืองเชียงม่วนและเมืองเชียงคำ รวมเวลำได้ 5
เดือน” (เอกสำรประชุมพงศำวดำรภำคท่ี 10 ตอนตน้ : 162)
ในปี พ.ศ. 2537 ได้มีกำรยุบเมืองปง เมอื งควร ซ่ึงมีพอ่ เมืองปกครองขึ้นตอ่ นครน่ำน และ มศี นู ย์
รวมกำรปกครองที่เมืองเชียงคำ เรียกว่ำเขตน่ำนเหนือ (มนู นนทมนตรี 2536 : 160, อุทิศ ปฐมของและ
รวงทอง สมัคร, 2537: 11) และในปีพ.ศ. 2459 เปล่ียนช่ืออำเภอปงเป็น อำเภอบ้ำนม่วงและในปีพ.ศ.
2486 ได้โอนอำเภอปงไปข้ึนกบั จงั หวัดเชยี งรำย ซึ่งมี 8 ตำบลคือ ปง ควน งิม ผำช้ำงน้อย ยอด สระ
เชยี งมว่ น และออย (สถำบันภำษำศำสตร์, ม.ป.ป. ซ 2535)
วนั ที่ 18 มถิ ุนำยน พ.ศ. 2512 ไดม้ ีกำรประกำศยกฐำนะพ้ืนทเ่ี ขตตำบลเชียงมว่ น ตำบลบำ้ นมำง
ตำบลสระขึ้นมำเป็น “กิ่งอำเภอเชียงม่วน” และได้มีกฤษฎีกำยกฐำนะขึ้นเป็นอำเภอเชียงม่วน จังหวัด
เชยี งรำย เม่อื วนั ที่ 17 เมษำยน พ.ศ. 2517
ต่อมำในวันท่ี 28 สิงหำคม พ.ส. 2520 รัฐบำลได้ออกพระรำชบัญญัติจัดต้ังจังหวัดพะเยำ พ.ศ.
2520 ให้มีกำรปกครอง 7 อำเภอ คือ อำเภอเมืองพะเยำ อำเภอแม่ใจ อำเภอดอกคำใต้ อำเภอจุน
อำเภอเชยี งคำ อำเภอปง และอำเภอเชยี งม่วน
ลำดับยศเจำ้ นำยในเมืองเชียงม่วน
ขุนนำงสมัยก่อนพอเข้ำรับรำชกำรกจ็ ะได้ใช้คำ ขุน หลวง พระ นำหน้ำ ต่อด้วยบรรดำศักด์ซิ ึ่งระบุ
ถึงหน้ำที่กำรงำนส่วนพัน และหม่ืน นั้นต่ำลงไปกว่ำขุน เทียบได้คล้ำยช้ันประทวน กับสัญญำบัตร
ยกตัวอย่ำงจำกเรื่อง สำยโลหิต คุณคงนึกออกว่ำพระเอกช่ือขุนไกร แสดงว่ำเพิ่งเข้ำรับรำชกำรใหม่ๆ ก็
ได้เป็นขุนไปก่อนต่อมำถ้ำขุนไกรทำควำมดีควำมชอบ ก็จะได้เล่ือนเป็น หลวง ส่วนหลวงอะไรนั้นแล้วแต่
หน้ำที่กำรงำนจำกหลวง ถ้ำทำงำนได้ดี กเ็ ล่ือนเป็นพระ แล้วก็พระยำ ถ้ำระดับเสนำบดีเป็นเจ้ำพระยำ
หรือไม่ได้เป็นเสนำบดีแต่มีควำมดีควำมชอบกับแผ่นดิน ไม่แพ้เสนำบดี หรือเป็นที่โปรดปรำนฯ ก็เป็น
เจ้ำพระยำได้เหมือนกัน ถ้ำช้ันสูงสุดคือสมเด็จเจ้ำพระยำ ในรัตนโกสินทร์มีไม่กี่ท่ำน มีอยู่สกุลเดียวคือ
บนุ นำคย้อนหลังไปสัก ๑๐๐ ปี พวก vteam เรยี นจบมำเข้ำรบั รำชกำร จะไดเป็นหลวงทันที ขำ้ มขนั้ ขุน
เพรำะเรียนมำสูง ส่วนคำ ที่มี กรม เจ้ำนำยในสมัยอยุธยำต้ังแต่กลำงจนปลำย และมำถึงสมัยธนบุรีกับ
รัตนโกสินทร์ อยู่ในระบบเดียวต่อเน่ืองกันมำเจ้ำนำยผู้ชำยเม่ือพ้นโสกันต์(คือโกนจุก)แล้ว ออกจำก
พระบรมมหำรำชวังมำมีวังของตัวเอง มีข้ำรำชบริพำรของตัวเอง องค์ท่ีเข้ำรับรำชกำร รับผิดชอบงำน
ด้ำนตำ่ งๆ พระเจ้ำแผ่นดนิ อำจโปรดเกล้ำใหท้ รงกรม มีหวั หนำ้ ขำ้ รำชบรพิ ำรเป็นขุนนำงระดบั ต่ำงๆ
เร่ิมต้นด้วยขุน เจ้ำนำยก็เป็นกรมขุน ต่อมำทำควำมดีควำมชอบ เจ้ำนำยท่ำนก็เลื่อนเป็น
กรมหลวง กรมพระ กรมพระยำ ตำมลำดับเจ้ำกรมก็ระดับหลวง พระ พระยำ ส่วนเจ้ำนำยฝ่ำยใน
หมำยถึงสตรี ก็ทรงกรมได้เช่นกัน แต่ยังอยู่ในพระบรมมหำรำชวัง ไม่ได้มีวังอยู่ข้ำงนอกหลังเปล่ียนแปลง
กำรปกครอง เจ้ำนำยทรงกรมก็ยังมีอยู่ แต่เป็นกำรเฉลิมพระนำมว่ำทรงกรมอย่ำงเฉยๆ ไม่ต้องมีขุนนำง
ข้ำรำชบริพำรอย่ำงเมอ่ื กอ่ นเพรำะเขำเลกิ ขุนนำงกันไปต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕
ลำดับยศเจำ้ นำยในอำเภอเชยี งมว่ น
ผบู้ รหิ ำรระดบั กระทรวง เสนำบดี
ผู้บริหำรระดับมณฑล สมุหเทศำภบิ ำล
ผู้บรหิ ำรระดับจงั หวัด ขำ้ หลวงประจำจงั หวัด
ผู้บรหิ ำรระดับอำเภอ เจำ้ เมอื งหรือนำยอำเภอ
ตำแหนง่ หวั หนำ้ ตำบล เจ้ำแควน้ (กำนัน)
ตำแหน่งหัวหน้ำหมูบ่ ำ้ น พอ่ หลวง
ประวัตหิ ม่บู ำ้ นในอำเภอเชยี งมว่ น
ตำบลเชยี งม่วน ตำบลบ้ำนมำง ตำบลสระ
1. บำ้ นหลวง 1. บำ้ นมำง 1. บ้ำนสระ
2. บ้ำนกลำง 2. บำ้ นแพทย์ 2. บ้ำนท่ำฟำ้ ใต้
3. บำ้ นปิน 3. บำ้ นหนองหมู 3. บำ้ นท่ำฟ้ำเหนือ
4. บ้ำนสบทรำย 4. บ้ำนทุ่งมอก 4. บ้ำนท่ำฟ้ำใหม่
5. บ้ำนไชยสถำน 5. บ้ำนบอ่ เบีย้ 5. บำ้ นทุง่ หนอง
6. บำ้ นหล่ำยทุ่ง 6. บ้ำนบ่อตอง 6. บำ้ นนำบวั -หว้ ยกำ้ งปลำ
7. บำ้ นท่ำมำ่ น 7. บำ้ นบ่อต้นสกั
8. บำ้ นปงสนกุ 8. บำ้ นป่ำแขมเหนือ
9. บำ้ นใหม่ 9. บำ้ นป่ำแขมใต้
10. บ้ำนหนองกลำง
ประวตั หิ มู่บำ้ นในตำบลเชียงมว่ น
ประวัติควำมเปน็ มำ
มีเร่ืองเล่ำขำนสืบตอ่ กันมำวำ่ "พระยำนนุ่ " แหง่ เมืองนำ่ น เป็นผสู้ ร้ำงเมืองข้ึนโดยได้นำบริวำรนำ
ชำ้ งเดนิ ทำงรอนแรมมำถึงหมู่บ้ำนหนงึ่ ไดม้ ีกำรเฉลิมฉลองตง้ั ค่ำยพักแรม มกี ำรแสดงหลำยอยำ่ งซึง่ ไมเ่ คย
มีมำก่อนในแถบนี้ ประชำชนทมี่ ำรว่ มงำนต่ำงรูส้ ึกพอใจ เพ่ือเป็นกำรระลึกถึงกำรฉลองในครั้งน้ี จึงไดส้ ร้ำง
เมอื งขึ้น ให้ชือ่ ว่ำ "เมอื งเชยี งมว่ น" ซึ่งแปลวำ่ เมอื งสนกุ นั่นเอง
สภำพทัว่ ไปของตำบล
สภำพภูมิประเทศทัว่ ไปเป็นที่รำบสูงสลับกบั ภเู ขำ มแี หลง่ น้ำธรรมชำติท่สี ำคญั 1 สำย และมีอำ่ ง
เก็บนำ้ 1 แห่ง
อำณำเขตตำบล ติดต่อกับ ตำบลสระ อำเภอเชียงมว่ น
ตดิ ต่อกับ ตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จงั หวัดแพร่
ทิศเหนอื ตดิ ตอ่ กับ อำเภอบำ้ นหลวง จังหวัดนำ่ น
ทิศ ใต้ ติดต่อกับ ตำบลบ้ำนมำง อำเภอเชียงมว่ น
ทิศตะวนั ออก
ทิศตะวนั ตก
จำนวนประชำกรของตำบล
จำนวนประชำกรทง้ั ส้ิน 7,296 คน ชำย 3,721 คน หญงิ 3,412 คน
ขอ้ มูลอำชีพของตำบล
อำชพี หลัก ทำนำ ทำสวน/ทำไร่
อำชีพเสริม หัตถกรรม คำ้ ขำย
ขอ้ มูลสถำนที่สำคญั ของตำบล
1. ปั๊มน้ำมนั 3 แหง่
2. โรงพยำบำลของรัฐ 1 แห่ง/ศูนยบ์ รกิ ำรสำธำรณสุข 1 แหง่
3. โรงสขี ้ำวขนำดเลก็ 10 แห่ง
4. โรงเรียนประถมศึกษำ 5 แห่ง
5. ศูนยพ์ ัฒนำเด็กเล็ก 6 ศนู ย์
6. วัด 6 แห่ง
ประวัติบำ้ นหลวง
เดิมบริเวณของบ้ำนหลวง เป็นต้นกำเนดิ ของตำบลเชียงมว่ นในปัจจบุ ัน มผี ู้นำหมูบ่ ้ำน คือพ่ออุ้ย
คำแสน ซึ่งมำจำกเมืองไตรหลวง แคว้นสิบสองปันนำ ได้เดินทำงพร้อมครอบครัวและเพ่ือนบ้ำนมำต้ัง
รกรำกในปัจจุบนั จงึ มชี ื่อว่ำ “บำ้ นหลวง” สนั นฐิ ำนว่ำกลมุ่ ทมี่ ำอยู่คงเอำช่ือถ่นิ ฐำนเดิมมำใช้คือ เมืองไตร
หลวง เหลือแคค่ ำว่ำ “หลวง” น่ันเอง
ตอ่ มำพอ่ อยุ้ แสน ธนะวงศ์ ซ่ึงเป็นลูกเขยของพอ่ อุ้ยคำแสน คนต่อมำพ่ออุ้ยเมืองก้อน และตอ่ มำ
พ่ออุ้ยจันตำ (ต้นตระกูลจนั ตำ) ปกครองบำ้ นเมอื งต่อๆมำ (นำยช่นื นำงตุ่น กล้ำหำญ ผ้ใู หส้ มั ภำษณ์)
จำกเร่ืองเล่ำเป็นเกร็ดข้อคิดว่ำ ได้มีพญำลุม เดินทำงมำสำรวจพ้ืนท่ีรับผิดชอบของจังหวัดน่ำน
โดยใช้ช้ำงเป็นพำหนะได้พักค้ำงคืน ณ บริเวณบ้ำนหลวง คณะของท่ำนได้ทำพิธีทูลเชิญขวัญช้ำงและมี
กำรละเล่นต่ำงๆอยำ่ งสนกุ สนำน และตอ่ มำไดต้ังชื่อเมอื งน้ีว่ำ “เมืองเชียงม่วน”
ก่อนปี พ.ศ. 2457 ได้มีกำรเปล่ียนแปลงระบอบกำรปกครอง มีระบบกำรปกครองเรียกว่ำ
กระทรวง มณฑล จังหวัด อำเภอ เรียกตำแหน่ง ผู้บริหำรระดับกระทรวงว่ำ “เสนำบดี” ระดับมณฑล
เรียกว่ำ “สมุหเทศำภิบำล” ระดับจังหวัดเรียกว่ำ “ข้ำหลวงประจำจังหวัด” ผู้บริหำรระดับอำเภอเรียกว่ำ
“เจ้ำเมืองหรือนำยอำเภอ” และต่อมำได้ยุบกำรปกครอง ส่วนมณฑล คงเหลือระดับกระทรวง ระดับ
จังหวดั และระดบั อำเภอ
ประมำณปี พ.ศ. 2457 ได้ยกเลิกตำแหน่งเจ้ำผู้ปกครองเมือง แล้วหันมำใช้ตำแหน่งนำยอำเภอ
แทน โดยกระจำยอำนำจกำรปกครองส่วนย่อยๆ ออกเป็นตำบล หมู่บ้ำน ตำแหน่งหัวหน้ำตำบลเรียกว่ำ
“เจ้ำแคว้น”(กำนัน)ตำแหน่งหัวหน้ำหมู่บ้ำนเรยี กว่ำ “แก่บ้ำน”(ผู้ใหญ่บ้ำน) ปัจจุบันนิยมเรียกผู้ใหญ่บ้ำน
ว่ำ “พ่อหลวง”(พระรำชวสิ ทุ ธโิ สภณ ม.ป.ป. : 67-68)
ตั้งแต่ยกฐำนะเปน็ ตำบล ได้มีบคุ คลดำรงตำแหนง่ กำนนั ดังน้ี (นำยสุข สนสขุ ผใู้ ห้สัมภำษณ)์
1. ขุนศรีวิชยั ชุมภูชนะภยั 8. กำนนั บูรณ์ กองแก้ว
2. ขุนประทำนเชยี งเขตต์ 9. กำนันร่วง กล้ำหำญ
(กำนนั ป๋ัน เรง่ เร็ว) 10. กำนันประสิทธิ์ นำมธง
3. กำนนั ยะ ท้ำวแพทย์ 11. กำนันทวีเกยี รติ กองแกว้
4. กำนนั ศรีวงค์ กล้ำหำญ 12. กำนนั บุญธรรม กองแกว้
5. กำนันยศ ดำวดึงษ์ 13. กำนนั โดด กลำ้ หำญ
6. กำนันคำหลำ้ ชมุ ภชู นะภัย 14. กำนนั ศรเี ดช ชมุ ภชู นะภัย
7. กำนันบุญชู กล้ำหำญ
ผู้ดำรงตำแหน่งส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลผู้อำศัยในหมู่บ้ำนหลวง และระยะเวลำท่ีเข้ำมำ ดำรง
ตำแหน่งไม่มีใครบันทึกไว้เป็นลำยลักษณ์อักษร โดยเฉพำะลำดับต้นๆ ทำให้ไม่สำมำรถบอกระยะเวลำได้
และกำรประกอบอำชพี ส่วนใหญ่ จะทำไร่ ทำนำ ทำสวน รบั จ้ำงและค้ำขำยบ้ำง
กำรศึกษำของประชำชน ในหมู่บ้ำนเป็นสถำนท่ีต้ังโรงเรียนเป็นแห่งแรกของอำเภอเชียงม่วน ใน
พ.ศ.2465 ทำงรำชกำรได้ตั้งโรงเรียนล้ำนหลวง (อยู่ ณ บริเวณท่ีว่ำกำรอำเภอเชียงม่ว น ปัจจุบัน) มี
ชำวบ้ำนส่งบุตรหลำนมำเรียนไดแ้ ก่ บ้ำนหลวง บำ้ นปิน บ้ำนไชยสถำน บ้ำนท่ำมำ่ น บ้ำนหล่ำยทุ่ง บ้ำนทุ่ง
มอก บ้ำนมำง บ้ำนร่องอ้อ บ้ำนแพทย์ บ้ำนปงสนุก เปิดสอนต้ังแต่ชั้น ประถมศึกษำปีท่ี 1-4 ต่อมำในปี
พ.ศ. 2510 ท่ีคับแคบ จึงย้ำยโรงเรียนไปตั้งท่ีบ้ำนปิน (หมู่ท่ี 3) ประกอบกับทำงรำชกำร ต้องกำรสถำนที่
จดั สรำ้ งทวี่ ำ่ กำรอำเภอเชยี งม่วน
ศำสนสถำนมีหนึ่งแห่ง ช่อื ว่ำ “วัดหลวง” สังกดั คณะสงฆ์มหำนิกำย ท่ีดินทว่ี ัดต้ังอยู่มี เนื้อที่ 8 ไร่
37 ตำรำงวำ วัดแหง่ น้มี พี ระพทุ ธรูปสมัยเชียงแสน (กองพทุ ธศำสนสถำน2532: 995)
วัดหลวงสร้ำงเมื่อ พ.ศ. 2311 เดิมชำวบ้ำนเรียกว่ำ “วัดบ้ำนหลวง” ได้รับพระรำชทำน
วิสุงคำมสีมำวันที่ 30 ตุลำคม พ.ศ. 2479 ตั้งแต่มีเจ้ำอำวำสนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีท้ิงสิ้น 36 รูป มี
พระหลวงเป็นเจ้ำอำวำสองค์แรก และอยู่จำพรรษำนำนที่สุดถึง 26 ปี (นำยบุญธรรม กองแก้ว และนำย
บรรเลง คำบญุ เรือง ผู้ให้สัมภำษณ์)
ประวัตบิ ำ้ นปินและบ้ำนกลำง
เดมิ มีครอบครวั ท่ียำ้ ยเขำ้ มำต้ังกลุ่มบ้ำนแห่งนคี้ ร้ังแรกคอื แมอ่ ยุ้ ดวง (ไม่ทรำบนำมสกุล)แมอ่ ุ้ยคำ
เสมอ พ่ออ้ยุ แสนหลวง มั่งมลู ซึ่งย้ำยมำจำกอำเภอเชยี งแสน จงั หวดั เชยี งรำย ในคร้งั แรกย้ำยไปอยู่บำ้ น
น้ำครกใหม่จังหวัดน่ำน ต่อมำจึงย้ำยมำอยู่บ้ำนปิน (นำยจันทร์ เสมอ และ นำยสม จันแดง ผู้ให้
สมั ภำษณ)์
เหตุท่ีเรียกชื่อว่ำ “บ้ำนปิน” เพรำะแต่เดิมบริเวณท่ีตั้งหมู่บ้ำนท่ีอยู่ติดกับลำน้ำปี้ (ด้ำนทิศ
ตะวันออก) มีต้นมะปิน (มะตูม) อยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งใหญ่มำกแผ่กิ่งก้ำนสำขำคลุมฝ่ังน้ำปี้ ทำให้มีแอ่งน้ำ
ชำวบ้ำนต่ำงพำกันเรียกว่ำ “วัง” ต่อมำจึงเรียกหมู่บ้ำนน้ีว่ำ “บ้ำนวังปิน”ภำยหลังจึงตัดคำว่ำ “วัง” ทิ้ง
ไป เหลอื แตค่ ำว่ำ “บ้ำนปิน”(บำยบญุ ศรี จนั แดง ผู้ให้สัมภำษณ์)
ตั้งแต่มีกำรแยกกำรปกครองออกเป็นหมู่บ้ำน ได้มีบุคคลได้รับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้ำนจำนวน 17
คนมีนำยแสนจันทร์ แสนบ้ำน เป็นผู้ใหญ่บ้ำนคนแรก ในวันที่ 13 พฤษภำคม พ.ศ. 2539 พื้นท่ี ในกำร
ปกครองของบ้ำนปิน (หมู่ที่ 3) ได้แยกกำรปกครองไปจัดตั้งเป็นหมู่บ้ำน “บ้ำนกลำง” หมู่ท่ี 9 โดยมีนำย
เจรญิ กล้ำหำญ ได้รับเลอื กตง้ั ใหท้ ำหนำ้ ที่เปน็ ผ้ใู หญบ่ ำ้ นคนแรก
โดยลักษณะกำรประกอบอำชีพของรำษฎรทั้งสองหมู่บำ้ น จะมีอำชีพทำกำรเกษตรเป็นส่วนใหญ่
ทง้ั กำรทำไร่ ทำนำ ทำสวน และมีอำชีพรบั จ้ำง
สำหรับสถำนศึกษำของหมู่บ้ำนท้ังสองแห่ง อยู่ในเขตบริกำรกำรศึกษำของโรงเรียนชุมชน
บ้ำนหลวง
ศำสนสถำนของหมู่บ้ำน “บ้ำนกลำง” ไปทำกิจกรรมทำงศำสนำร่วมกับบ้ำนหลวง แต่รำษฎร
บ้ำนปินได้จัดสร้ำงวัดซ่งึ อยทู่ ำงเหนือสุดของหมู่บ้ำน ในที่ดิน 6 ไร่ ท่ีนำยบุญชู กล้ำหำญได้บริจำค ทำกำร
สรำ้ งเม่อื วันท่ี 14 สิงหำคม พ.ศ. 2522 (กองพทุ ธศำสนสถำน 2532:856)
ประวัติบ้ำนสบทรำย
ประมำณปี พ.ศ. 2466 รำษฎรโดยกำรนำของพ่ออุ้ยทิ สมัคร พ่ออุ้ยปำ (ไม่ทรำบนำมสกุล) และ
แม่อ้ยุ ป้อ (ไม่ทรำบนำมสกุล) จำกบำ้ นทุ่งวัวแดงจังหวัดน่ำน ได้มำต้ังถน่ิ ฐำนท่ีบ้ำนปิน หลังจำกนั้นไมน่ ำน
ได้ย้ำยขำ้ มนำ้ ปไี้ ปตง้ั ถ่นิ ฐำนใกลน้ ำ้ ป้ีดำ้ นทศิ ตะวนั ออก โดยมีครอบครัวของชำวบำ้ นหลวงยำ้ ยตดิ ตำมมำ
บริเวณบ้ำนสบทรำยในอดีต มีป่ำทึบมีสัตว์ป่ำมำกมำย โดยเฉพำะเสือแผ้ว ชอบแอบมำจับสัตว์
เล้ียงของชำวบ้ำนเป็นประจำ บริเวณทิศตะวันออกของหมู่บ้ำน มีลำห้วยทรำยไหลมำบรรจบกับลำน้ำปี้
ชำวบำ้ นจึงเรยี กหมบู่ ำ้ นน้วี ำ่ “บ้ำนสบทรำย” (นำงฝำย สมคั รผูใ้ ห้สมั ภำษณ์)
ในปีพ.ศ. 2504 เกิดอุทกภัยอย่ำงหนัก ฝนตกติดต่อกันหลำยวัน ทำให้รำษฎรที่ตั้งบ้ำนเรือนอยู่
ใกลฝ้ ่งั น้ำป้ี ยำ้ ยขึน้ ไปอยู่ท่ีสูงเพ่ือหนีน้ำทว่ ม ซง่ึ ปจั จุบันทีต่ งั้ ของหมู่บ้ำนเปน็ สวนผลไม้ทง้ั หมด
ต่อมำในปี พ.ศ. 2513 ทำงรำชกำรได้ยกฐำนะหมู่บ้ำน ให้เป็นเอกเทศโดยแยกจำกบ้ำนปิน เป็น
บ้ำนสบทรำยหมู่ที่ 11 ตำบลเชียงม่วน และเมื่อกิ่งอำเภอเชียงม่วน ได้รับกำรยกฐำนะเป็นอำเภอ มีกำร
ปกครองแบ่งออกเป็น 3 ตำบล บ้ำนสบทรำยจึงได้เปลี่ยนจำกหมู่ 11 เป็นหมู่ที่ 7 ตำบลเชียงม่วน จนถึง
ปัจจบุ นั
กำรประกอบอำชีพของรำษฎร ส่วนใหญ่ทำกำรเกษตรและรับจ้ำง โดยสถำนศึกษำอยู่ในเขต
บริกำรของโรงเรียนชมุ ชนบ้ำนหลวง
ศำสนสถำนที่สำคัญ มีพระธำตุดอยแก้วอยู่ทำงทิศตะวันออกของหมู่บ้ำน สำหรับกำรประกอบ
พิธกี รรมทำงศำสนำ จะไปรว่ มกับวดั หลวง
ประวัติบ้ำนไชยสถำน
บ้ำนไชยสถำน แตเ่ ดิมเป็นหย่อมบ้ำนเล็กๆ ต้ังอยู่ติดลำน้ำปี้ ด้ำนทิศตะวันออก (ฝ่ังขวำ) ตรงข้ำม
กับสถำนีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วน มีรำษฎรประมำณ 4-5 ครอบครัว เรียกว่ำ “บ้ำนสบขำน” ต่อมำมี
รำษฎรจำกบ้ำนดอนชัย จังหวัดน่ำน ย้ำยมำสมทบอีก 3 ครอบครัว คือครอบครัวนำยหน้อย สิงห์น้อย
นำยรถ ใจสุภำและส.ต.ท.ใจ ประวุฒิ ซ่ึงมำรับรำชกำรที่สถำนีตำรวจภูธรอำเภอเชียงม่วน และบริเวณ
ด้ำนทิศใต้ของบ้ำนสบขำนเหนือมีหย่อมบ้ำนเล็กๆเรียกว่ำ “บ้ำนสบขำนใต้” ห่ำงกันประมำณ 500 เมตร
ตั้งอยู่ติดลำน้ำปี้ โดยกำรปกครองของทั้งสองหย่อมบ้ำนขึ้นอยู่กับบ้ำนหลวง ต่อมำ กำรติดต่อไม่สะดวก
โดยเฉพำะฤดูน้ำหลำก ชำวบ้ำนจะถกู น้ำท่วมเป็นประจำ จึงขอแยกกำรปกครองเป็นเอกเทศ ทำงรำชกำร
จึงต้ังช่ือหมู่บ้ำนว่ำ “บ้ำนดอนไชยสถำน” เพรำะผู้นำคนแรกคือ ส.ต.ท.ใจ ประวุฒิ บ้ำนเดิมคือจังหวัด
นำ่ น ทีย่ ้ำยมำ ในปี พ.ศ. 2461 และภำยหลงั ไดต้ ดั คำว่ำ “ดอน” คงเหลือช่ือว่ำบำ้ นไชยสถำน
ในปี พ.ศ. 2512 เกิดอุทกภัยจำกลำน้ำปี้ และลำห้วยขำนที่ไหลผ่ำนกลำงหมู่บ้ำนสบขำนเหนือ
รำษฎรทั้งสองหย่อมบ้ำน จึงพร้อมใจกันย้ำยจำกท่ีอยู่เดิมข้ึนไปท่ีสูง ด้ำนทิศตะวันออกห่ำงจำกท่ีเดิม
ประมำณ 1 กิโลเมตร โดยบริเวณดังกล่ำวน้ี มีหย่อมบ้ำนท่ีเรียกตนเองว่ำ “บ้ำนสันกุหลำบ” อยู่ก่อน จึง
รวมเป็นหมูบ่ ำ้ นไชยสถำนปัจจุบนั (นำยหวัน ประวฒุ ิ ผู้ใหส้ มั ภำษณ์)
กำรประกอบอำชพี รำษฎรส่วนใหญม่ อี ำชีพทำกำรเกษตรเช่น ทำนำ ทำสวน และมีอำชพี รบั จำ้ ง
กำรศึกษำของรำษฎรในหมู่บ้ำน เดิมอยู่ในเขตบริกำรของโรงเรียนชุมชนบ้ำนหลวง ต่อมำกำร
เดินทำงไม่สะดวก บำงคนต้องออกกลำงคัน ทำงรำชกำรจึงได้สร้ำงโรงเรียนข้ึนและเปิดทำกำรสอน เมื่อ
วันท่ี 17 กรกฎำคม 2510 ในพื้นท่ี 5 ไร่ 3 งำน 79 ตำรำรงวำ เปิดตง้ั แต่ต้ังแต่ช้ันประถมศึกษำปีท่ี 1-4 มี
นำยสมฤทธิ์ ศรนี รุ กั ษ์ ทำหน้ำทคี่ รูใหญค่ นแรก (โรงเรียนบ้ำนไชยสถำน , 2539)
ศำสนสถำนประจำหมู่บำ้ นมี “วัดไชยสถำน” สงั กัดคณะสงฆ์มหำนกิ ำยตั้งอย่ใู นท่ีดินเน้ือที่ 7 ไร่ 1
งำน 40 ตำรำงวำ (กองพุทธศำสนสถำน 2532: 816)
ประวตั ิบ้ำนทำ่ มำ่ น
แต่เดมิ บริเวณที่ตัง้ หมู่บำ้ นท่ำม่ำนเป็นป่ำดงดิบ มีต้นไม้ใหญม่ ำกมำยและมีลำน้ำสำยหน่ึงไหลผำ่ น
ทำงตอนเหนือ จึงนับว่ำเป็นพ้ืนที่อุดมสมบูรณ์มำก เม่ือประมำณ 2,000 ปีที่ผ่ำนมำมีพวกเงี้ยว (ไทยใหญ่)
ถูกพวกม่ำน (พม่ำ) โจมตีและขับไล่ออกนอกประเทศ พวกเงี้ยวจึงหนีมำถึงบริเวณนี้ และได้ข้ำมไปทำงฝ่ัง
เหนือของลำน้ำป้ีและต้ังฐำนทัพข้ึนที่น่ัน พวกม่ำนเม่ือตำมมำถึงก็ตั้งฐำนทัพข้ึนทำงฝ่ังใต้ของลำน้ำป้ี ซึ่ง
เป็นหมู่บ้ำนท่ำม่ำนในปัจจุบัน และได้เกิดกำรสูรบกันขึ้น พวกเงี้ยวสู้พวกพม่ำไม่ได้ก็แตกทัพหนีไป พวก
พม่ำก็ยกทัพกลบั ประเทศของตน
ต่อมำภำยหลังประชำชนท่ีอำศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง เช่นบ้ำนมำง บ้ำนหลวง ได้นำวัว ควำย มำ
เลี้ยงในบริเวณแห่งน้ีหลังเสร็จจำกฤดูทำนำ และรำษฎรบำงคนได้ต้ังบ้ำนเรือนข้ึน เช่น นำยดวงแก้ว ท้ำว
แพทย์ และอีก 2-3 ครอบครัว และได้ต้ังผู้นำหมู่บ้ำนชื่อนำยปัญญำ ท้ำวแพทย์ เม่ือ พ.ศ. 2475-2482
ในระหว่ำงนั้นได้เกิดสงครำมโลกคร้ังที่ 2 รำษฎรดังกล่ำจึงอพยพหนีกลับภูมิลำเนำเดิม ทำให้หมู่บ้ำนน้ัน
เป็นหมู่บ้ำนร้ำงจนถึง พ.ศ. 2488 ได้มีผู้รับเหมำทำกำรตัดไม้ซุงและได้ต้ังที่พักแรมข้ึน เม่ือผู้รับเหมำหมด
สัญญำรำษฎรท่ีท้ิงถ่ินฐำนไปก็กลับมำต้ังบ้ำนเรือนอีกคร้ัง มีผู้นำหมู่บ้ำนช่ือนำยต๋ำแก้ว จันตำ และได้มี
กำรเสนอเป็นหมู่บ้ำนและตัง้ ช่ือหมู่บ้ำน นำยดวงแก้ว ท้ำวแพทย์ จงึ ได้เสนอช่ือว่ำ “ทัพม่ำน” ภำยหลัง
จึงกลำยเป็น “ทำ่ มำ่ น” จนถงึ ปัจจุบัน (โรงเรยี นบ้ำนท่ำมำ่ น 2539)
ด้ำนกำรปกครองหลังจำกได้รับกำรแยกเป็นหมู่บ้ำนหมู่ที่ 5 บ้ำนท่ำม่ำน ตำบลเชียงม่วน มี
ผู้ใหญ่บ้ำนท่ีดำรงตำแหน่งจำนวน 11 คน โดยมีนำยสุข สมัครเป็นผู้ใหญ่บ้ำนคนแรก (นำยก๋อง มูลศรี,
นำยหน่อ ใจกล้ำ ผใู้ หส้ ัมภำษณ์)
กำรประกอบอำชีพ รำษฎรสว่ นใหญจ่ ะทำกำรเกษตร นอกจำกนน้ั ยังมีอำชพี รบั จำ้ ง
สถำนบริกำรทำงกำรศึกษำ แต่เดิมประชำชนต้องกำรเดินทำงไปเรียนที่โรงเรียนชุมชนบ้ำนหลวง
ในวันท่ี 24 มิถุนำยน 2502 ได้โอนนักเรียนจำกโรงเรียนชุมชนบ้ำนหลวง และบ้ำนปงสนุก ตั้งโรงเรียน
โดยมีนำยกองจันทร์ ชำวแพร่ เป็นครูใหญ่คนแรก ในพื้นที่ 5 ไร่ 1 งำน จำกกำรบริจำคของนำยมูล หมั่น
กำร รำษฎรในพืน้ ที่ มนี ักเรยี นตั้งแตช่ ัน้ ประถมศกึ ษำปที ่ี 1-4
ศำสนสถำนท่ีอยู่ในหมู่บ้ำนมีช่ือว่ำ “วัดไทยสุภำพ” ท่ีดินที่จัดตั้งอยู่มีเนื้อท่ี 4 ไร่ 2 งำน 55
ตำรำงวำ สร้ำงเม่อื พ.ศ. 2474 (กองพุทธศำสนสถำน 2532: 853)
ประวัติบำ้ นหลำ่ ยทุ่ง
แต่เดิมบ้ำนหล่ำยทุ่งเป็นป่ำท่ีใช้สำหรับเลี้ยงวัว ควำย มีรำษฎรจำกบ้ำนหลวง บ้ำนปิน
บำ้ นกลำงไดน้ ำวัว ควำยมำเล้ียงประจำ จนถงึ ฤดูทำนำเสรจ็
ในปี พ.ศ. 2486 พ่ออยุ้ น้อยวงศ์ กลำ้ หำญ รำษฎรบ้ำนหลวง ไดพ้ ำครอบครวั และเพ่ือนบ้ำนมำอยู่
เป็นกลุ่มแรก เรียกชื่อหมู่บ้ำนว่ำ “บ้ำนหล่ำยทุ่ง” (หล่ำยเป็นภำษำเหนือ แปลว่ำฝั่งตรงกันข้ำม) โดย
ระยะทำงถ้ำเดินจำกบ้ำนหลวง บ้ำนปิน และบ้ำนกลำง ต้องเดินข้ำมทุ่งนำเป็นระยะทำงเกือบ 2
กิโลเมตร ในกำรปกครองหมู่บ้ำนยังข้ึนกับบ้ำนหลวง โดยมีพ่ออุ้ยทำ น้ำสำเป็นผ้ชู ่วยดูแลกำรปกครองใน
หมูบ้ำน ต่อมำ พ.ศ. 2512 ทำงรำชกำรได้อนุมัติให้เป็นหมู่บ้ำนหมู่ท่ี 6 มีนำยศรีลัย สอนบุญมำ เป็น
ผใู้ หญบ่ ้ำนคนแรก (นำยชว่ ย มง่ั มลู ผูใ้ หส้ มั ภำษณ)์
กำรประกอบอำชพี ประชำชนสว่ นใหญม่ ีอำชีพทำกำรเกษตร รับจำ้ งและ หำของปำ่ มำขำย
กำรศึกษำแตเ่ ดิมประชำชนต้องส่งบตุ รหลำน ไปเรยี นที่โรงเรยี นชุมชนบำ้ นหลวง ตอ่ มำ ในปี พ.ศ.
2518 ทำงรำชกำรจึงได้จัดสร้ำงโรงเรียน มีนำยไหว ปัญญำคำทำหน้ำท่ีครูใหญ่คนแรก สอนตั้งแต่
ประถมศกึ ษำปที ่ี 1-4
ศำสนสถำน ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้ำน ในที่ดิน 9 ไร่ 1 งำน 65 ตำรำงวำ สังกัดคณะสงฆ์มหำนิกำย
โดยเร่มิ กอ่ สร้ำงวัดเม่ือ วนั ท่ี 1 มีนำคม พ.ศ. 2518 (โรงเรยี นบ้ำนหลำ่ ยท่งุ 2539)
ประวตั บิ ำ้ นปงสนุก
บ้ำนปงสนุก เดิมเป็นหมู่บ้ำนที่ข้ึนอยู่กับกำรปกครองของบ้ำนมำง ตำบลเชียงม่วน เม่ือปี พ.ศ.
2452 นำยมูล ชำวแพร่ เล่ำว่ำได้ย้ำยมำอยู่บ้ำนปงสนุก ได้มบี ้ำนเรอื นอยู่กอ่ นแล้ว บริเวณทิศเหนือสุดของ
หมบู่ ำ้ นในปัจจบุ ัน ประมำณ 7 ครอบครวั ประกอบด้วย
ครอบครัวพ่อแกว้ วิไลรัตน์
ครอบครัวพอ่ ทิ (ไม่ทรำบนำมสกลุ )
ครอบครัวป้ำดวงแกว้ ชุมภชู นะภยั
ครอบครวั น้อยทิ นำ้ สำ
ครอบครวั พอ่ เฒำ่ แสงหล้ำ พุฒดี
ครอบครัวแมเ่ ฒ่ำคำกอ๋ น (ไมท่ รำบนำมสกุล)
ครอบครวั แมเ่ ฒ่ำนอ้ ย ชำวแพร่ (แมข่ องนำยมลู ชำวแพร่)
ลักษณะของบ้ำน จะอยู่ใกล้ๆกัน ติดกับลำน้ำปี้ ต่อมำก็มีรำษฎรจำกบ้ำนร่องเห็ด อำเภองำว
จังหวัดลำปำง ย้ำยมำสมทบ และรำษฎรท่ีย้ำยมำสมทบภำยหลังอีกได้แก่ ครอบครัว นำยโค้ (ไม่ทรำบ
นำมสกุล) ต่อมำเป็นผู้ใหญ่บ้ำน(นำยทอง รัตนแพทย์ ผู้ให้สัมภำษณ์) ครอบครัวของ นำยสุข(ไม่ทรำบ
นำมสกลุ )มำจำกบ้ำนวังหงส์ จังหวัดแพร่ ครอบครัวพอ่ เฒำ่ ห่วน วงศแ์ พทย์ จำกบำ้ นทำ่ ขำ้ ม จังหวัดแพร่
ครอบครัวพ่อเฒ่ำน้อยใจ เก๋ียงหนุน มำจำกบ้ำนวังหงส์ จังหวัดแพร่ ครอบครัวพ่อน้อยกัน ดำวดึงส์ มำ
จำกบ้ำนท่ำข้ำม จังหวัดแพร่ ครอบครัวพ่ออุ้ยเหมย รัตนแพทย์ จำกบ้ำนเหมืองหม้อจังหวัดแพร่ (ต่อมำ
ได้รับกำรแต่งตั้งให้เป็นแพทย์ประจำตำบล มีชื่อว่ำ หมื่นกำรุณย์รำษฎร์)และครอบครัวของพ่อเฒ่ำ
หนำนปิง ละอองเนตร จำกอำเภอลับแล จงั หวดั อุตรดติ ถ์
กำรประกอบอำชีพของรำษฎรจะทำกำรเกษตรเป็นส่วนใหญ่ และนอกจำกน้ันยังมีอำชีพรับจ้ำง
บรรทุกของโดยใช้ล้อวัว ล้อควำย บรรทุกจำกจังหวัดแพร่ถึงอำเภอเชียงม่วน โดยค่ำจ้ำงแล้วแต่จะตกลง
กนั เช่น พ่อเฒ่ำห่วน วงศ์แพทย์ รับบรรทุกรำงเหล็กจำกอำเภอเด่นชยั จังหวัดแพร่ รำคำเลม่ ละ 5 บำท
(ลอ้ ววั บรรทุกได้ 5 เล่มและล้อควำมบรรทกุ ได้ 6 เล่ม) ซ่ึงรำงเหล็กจะใช้สำหรบั สรำ้ งรำงรถไฟ ท่ีบรรทกุ ไม้
สกั จำกอำเภอดอกคำใต้ถึงอำเภอปง เพ่ือลอ่ งตำมลำน้ำยม (นำยมลู ชำวแพร่ ผูใ้ ห้สมั ภำษณ์)
ประวัติบำ้ นใหม่
บ้ำนใหม่ บรเิ วณทต่ี ้ังเดิมอยู่ระหว่ำงบ้ำนทำ่ ม่ำน กบั บ้ำนไชยสถำน ชำวบำ้ นมักเรียกว่ำ “บำ้ นป่ำ
ไร่”
พ่ออุ้ยดวง ผิวขำว เป็นครอบครัวแรกท่ีนำครอบครัวมำจำกบ้ำนสบขำนเหนือ มำตั้งถิ่นฐำนใน
กำรเลี้ยงวัว เล้ียงควำย(ตัง้ ปำงวัว ควำย) และญำติพ่ีนอ้ งได้ย้ำยติดตำมกนั มำอีก 4-5 หลัง เพรำะบริเวณท่ี
อยู่เดิมถูกน้ำท่วม ตลอดจนมีชำวบ้ำนหลวงย้ำยมำสมทบ ในช่วงระหว่ำงปี พ.ศ. 2510-2515 ชำวบ้ำนได้
ทยอยกันย้ำยไปอยู่ทำงทิศใต้ ห่ำงจำกที่เดมิ ประมำณ 500 เมตร เพรำะถูกเพือ่ นบ้ำนท่เี ป็นโรคประสำท (ผี
บ้ำ-ชำวบ้ำนเรียก) คนหนึ่งอำละวำดตลอดเวลำประกอบ กับกำรคมนำคมไม่สะดวก (นำงแล่ม เมืองก้อน
ผใู้ ห้สมั ภำษณ)์
ในปีพ.ศ. 2520 ทำงรำชกำรได้ตั้งหมู่บ้ำนช่ือบ้ำนใหม่ หมู่ท่ี 8 ตำบลเชียงม่วนโดยแยกจำกบ้ำน
ไชยสถำน เหตุท่ีเรียกช่ือ บ้ำนใหม่ เพรำะบริเวณที่มีกำรตั้งถิ่นฐำนอยู่ติดกับถนนสำย พะเยำ-น่ำน ที่กำลัง
ก่อสร้ำงใหม่ บำงคร้ังชำวบ้ำนมักเรียก “บ้ำนหนุนใหม่” มีผู้ใหญ่บ้ำนคนแรกช่ือ นำยต๋ำคำ เมืองก้อน
(นำยหวนั ประวฒุ ิ ผู้ให้สมั ภำษณ์)
กำรประกอบอำชีพ โดยส่วนมำกมีอำชีพทำไร่ ทำสวนและรับจ้ำง เพรำะท่ีทำกินของรำษฎรไม่มี
เปน็ ของตนเอง
ดำ้ นกำรศึกษำ แต่เดิมชำวบ้ำนจะส่งบุตรหลำนไปเรียนที่โรงเรียนชุมชนบ้ำนหลวง เมื่อโรงเรียน
บ้ำนไชยสถำนเปิดทำกำรสอน จึงให้บุตรหลำนเรียนที่ใกล้กว่ำ ในปี พ.ศ. 2524 ได้ย้ำยนักเรียนให้เข้ำ
เรียนที่โรงเรยี นบำ้ นทำ่ ม่ำน เพรำะเส้นทำงคมนำคมสะดวก
ศำสนสถำนของหมู่บ้ำนไม่มี กำรประกอบกิจกรรมทำงศำสนำไปร่วมกับรำษฎรวัดไทยสุภำพ
(บ้ำนท่ำมำ่ น)
ประวตั ิหมูบ่ ้ำนในตำบลบำ้ นมำง
ประวัตคิ วำมเปน็ มำ
บ้ำนมำงมีอำยุกำรก่อตงั้ มำแล้วประมำณ 300 กว่ำปี ชนด้งั เดมิ มี 2 กลุม่ คือ คนพน้ื เมืองท่ตี ัง้
รกรำกอยูท่ ำงใตว้ ดั ศรีเมืองมำง เป็นพวกทอ่ี พยพมำจำกน่ำน และชนเผ่ำไทล้ือซึ่งอำศยั อยู่ทำงเหนือวัดศรี
เมอื งมำง อพยพมำจำกแคว้นสบิ สองปนั นำในประเทศจีน เดมิ ทต่ี ำบลบ้ำนมำงขนึ้ กบั ตำบลเชยี งม่วน
อำเภอบ้ำนมว่ ง (อำเภอปงในปจั จุบัน) จงั หวัดนำ่ น ตำบลบ้ำนมำงได้รบั กำรยกฐำนะเป็นหม่บู ้ำนอยำ่ งเป็น
ทำงกำรเมือ่ ใดไม่ปรำกฎหลกั ฐำนที่แน่ชดั ทรำบแต่เพยี งว่ำผใู้ หญบ่ ำ้ นที่ปรำกฎนำมอย่ำงเปน็ ทำงกำรคน
แรก คือ นำยคนั ธรส มลู ศรี
สภำพท่วั ไปของตำบล
เปน็ ท่รี ำบน้ำทว่ มถงึ และมที ีร่ ำบหบุ เขำบำงส่วน มแี หล่งน้ำทำงกำรเกษตรท่ีสำคญั ได้แก่ แม่นำ้
ยม
อำณำเขตตำบล
ทิศเหนือ ติดตอ่ กับ ตำบลสระ อ.เชียงม่วน จ.พะเยำ
ทิศ ใต้ ติดต่อกับ ตำบลสะเอียบ อ.สอง จ.แพร่
ทิศตะวันออก ตดิ ต่อกับ ตำบลเชยี งมว่ น และเขตเทศบำลเชียงม่วน
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลแหง อำเภองำว จ.ลำปำง
จำนวนประชำกรของตำบล
จำนวนประชำกรในเขต อบต. 3,960 คน และจำนวนหลังคำเรอื น 1,110 หลงั คำเรอื น
ข้อมูลอำชีพของตำบล
อำชีพหลัก ทำนำ ทำสวน
อำชีพเสริม รบั จำ้ ง ค้ำขำย
ข้อมูลสถำนทสี่ ำคัญของตำบล
1. ปั๊มนำ้ มัน 1 แหง่
2. โรงงำนอตุ สำหกรรม 2 แห่ง
3. โรงเรียนสขี ำ้ ว 7 แหง่
4. ศูนย์พฒั นำเด็กเล็ก 3 ศูนย์
5. โรงเรียนมัธยมศกึ ษำ 1 แห่ง
6. วดั 4 แห่ง
7. ธนำคำร 2 แหง่
ประวัตบิ ำ้ นมำง
บ้ำนมำงอำยุกำรก่อต้ังแล้วประมำณ 300 กว่ำปี ชนด้ังเดิมมี 2 กลุ่ม คือ คนพื้นเมืองที่ตั้งรกรำก
อยู่ทำงทศิ ใต้วัดศรีเมอื งมำงเป็นพวกท่อี พยพมำจำกจงั หวัดนำ่ น และชนเผ่ำไทยลื้อทีอ่ ำศัย อยทู่ ำงทิศเหนือ
ของวัดศรีเมอื งมำง อพยพมำจำกแคว้นสิบสองปนั นำ ในประเทศจีน ต่อมำชำวไทยล้ือสว่ นหนง่ึ ได้อพยพไป
ตั้งรกรำกใหม่ท่ีบ้ำนมำง ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จึงเหลืออยู่ท่ีบ้ำนมำงเป็นส่วนน้อย (นำยทอง รัตน
แพทย์ ผู้ให้สัมภำษณ์) และมีควำมเกี่ยวพันกับกลุ่มไทยลื้อในหมู่บ้ำนอื่นๆ ในอำเภอเชียงม่วน (ศึกษำ
เพิม่ เติมในประวัติบำ้ นท่ำฟำ้ )
กำรปกครองของบ้ำนมำงในอดีต ข้ึนกับตำบลเชียงม่วน อำเภอบ้ำนม่วง(อำเภอปง ในปัจจุบัน)
จังหวัดน่ำน โดยหมู่บ้ำนมำงได้ยกฐำนะเป็นหมู่บ้ำนอย่ำงเป็นทำงกำรเม่ือใดไม่ปรำกฏหลักฐำนแน่ชัด
ทรำบแต่มำมีผู้ใหญ่บ้ำนท่ีปรำกฏนำมอย่ำงเป็นทำงกำรคนแรกคือ นำยคันธรส มูลศรี (นำยอินทร์ จันตำ
ผู้ใหส้ มั ภำษณ)์
ปัจจุบันบ้ำนมำงมีควำมเจริญด้ำนกำรคมนำคม และเศรษฐกิจเป็นอย่ำงมำก มีสถำบันกำรเงิน
เช่น ธนำคำรกรุงเทพจำกัด (มหำชน) ธนำคำรเพ่ือกำรเกษตรและสหกรณ์ นอกจำกน้ันยังมีร้ำนค้ำ สถำน
ประกอบกำร สถำนบรกิ ำรต่ำงๆ ทร่ี องรบั ควำมเจริญเติบโตทำงดำ้ นเศรษฐกิจภำยในอำเภอเชยี งมว่ น
กำรประกอบอำชีพ แต่เดิมประชำชนจะมีอำชีพทำกำรเกษตร เช่น ทำไร่ข้ำวโพด ยำสูบ เป็น
ส่วนมำก ปัจจุบันได้ลดจำนวนลงหันมำประกอบอำชีพด้ำนกำรค้ำขำย นอกจำกนั้นยังมีกำรทำสวนลำไย
สวนมะขำม
ด้ำนกำรศึกษำในบริเวณบ้ำนมำงมีสถำบันกำรศึกษำตั้งอยู่ 2 แห่ง คือโรงเรียนชุมชน บ้ำนมำง
เปิดสอนคร้ังแรกเม่ือปี พ.ศ. 2479 มีนำยบุญศรี รัตนแพทย์ เป็นครูใหญ่อำศัยศำลำ วัดศรีเมืองมำง ใช้
ช่ือว่ำ “โรงเรียนบ้ำนมำง” พ.ศ. 2480 ได้ย้ำยไปอยู่ที่แห่งใหม่ (บริเวณติดสะพำนน้ำปี้ที่ใช้ข้ำมระหว่ำง
บ้ำนมำกกับบ้ำนปงสนุก ด้ำนทิศใต้) ในที่ดิน 2 ไร่ 2 งำน 2 ตำรำงวำ ต่อมำ พ.ศ. 2510 พื้นที่คับแคบจึง
ย้ำยไปตงั้ ณ ทีป่ ัจจบุ ัน ในเน้อื ที่ 10 ไร่ 2 งำน (โรงเรยี นชมุ ชนบำ้ นมำง 2540)
สถำนศึกษำอีกแห่งหนึ่งมีควำมสำคัญ คือ โรงเรียนเชียงม่วนวิทยำคม ก่อสร้ำงและเปิดทำกำร
สอนเมื่อวันท่ี 16 มิถุนำยน ปจั จุบันเปิดทำกำรสอนต้ังแตช่ ั้นมัธยมศกึ ษำปีท่ี 1-6
ศำสนสถำน มีวัดศรีเมืองมำง สังกัดคณะสงฆ์มหำนิกำย สร้ำงเมื่อ พ.ศ. 2319 ในเน้ือที่ 2 ไร่ 1
งำน 52 ตำรำงวำ (กองพทุ ธศำสนสถำน 2532: 957)
ประวัตบิ ำ้ นแพทย์
บำ้ นแพทย์เป็นหมู่บ้ำนทีต่ ้ังรกรำกมำแล้วประมำณ 300 กว่ำปี คือ ในช่วงประมำณ พ.ศ. 2190
ถึง พ.ศ. 2344 ได้มีชำวไทลื้ออพยพมำจำกแคว้นสิบสองปันนำ ประเทศจีนในปัจจุบัน โดยมีพ่อเฒ่ำแสน
มังคละ เป็นผู้นำรำษฎรมำตั้งหมู่บ้ำนจำนวน 22 ครอบครัว ประมำณ 100 กว่ำคน ต่อมำประมำณ พ.ศ.
2400 รำษฎรมีจำนวนเพ่ิมขึ้น ท่ีทำมำหำกินไม่เพียงพอ รำษฎรส่วนหน่ึงจึงอพยพไปต้ังถ่ินฐำนแห่งใหม่ ท่ี
บ้ำนแพทย์ อำเภอเชียงคำ โดยนำช่ือหมู่บ้ำนเดิมไปต้ังด้วยทำให้เหลือพวกไทล้ืออยู่ไม่มำกนัก ในช่วง
นนั้ เองได้มีพวกคนเมือง (เรียกตัวเองวำ่ ไต)ได้อพยพมำจำกเมืองน่ำน มำสมทบอยู่กับพวกไทลื้อที่เหลืออยู่
และรวมกันเป็นหมูบ่ ้ำนเหมอื นเดิมและขึ้นอยู่กบั เขตกำรปกครองของอำเภอบ้ำนม่วง(อำเภอปงในปจั จุบัน)
จังหวัดน่ำน(นำยคำรณ มูลศรี ,2536 และนำยศรี ดอนแกว้ ผใู้ ห้สัมภำษณ)์
ดังน้ันประวัติหมู่บ้ำน จึงเก่ียวข้องกับกลุ่มไทลื้อในหมู่บ้ำนอื่นๆ (ศึกษำเพ่ิมเติมในประวัติบ้ำนท่ำ
ฟ้ำ
บ้ำนแพทย์ ได้รับกำรจัดต้ังเป็นหมู่บ้ำนอย่ำงเป็นทำงกำรเม่ือใด ไม่ปรำกฏ แต่มีผู้ใหญ่บ้ำนท่ี
ปรำกฏนำมอยำ่ งเปน็ ทำงกำรชือ่ นำยอนิ ทร์ ญำติแพร่ (นำยปนั คนต่ำ ผใู้ ห้สัมภำษณ์)
อำชีพ จำกอดตี ถึงปัจจุบัน รำษฎรบ้ำนแพทยส์ ว่ นใหญ่ประกอบอำชีพเกษตรกรรม เชน่ กำรทำไร่
ข้ำวโพด ข้ำวฟ่ำง ยำสูบ โดยเฉพำะกำรทำไร่ยำสูบพันธ์ุพื้นเมืองในปัจจุบัน ยังคงมีอยู่สำมำรถทำรำยได้
ให้แก่เกษตรกรได้เป็นกอบเป็นกำ นับว่ำเป็นหมู่บ้ำนที่ยังยึดอำชีพกำรปลูกยำสูบพันธ์ุพ้ืนเมืองไว้อย่ำง
เหนียวแน่น ในปัจจุบันคนหนุ่มสำวหันไปประกอบอำชีพขำยแรงงำน ในต่ำงจังหวัด โดยเฉพำะ
กรงุ เทพมหำนคร มีจำนวนมำก เนื่องด้วยท่ที ำกินไม่เพียงพอ ประกอบ กับรำตำผลผลิตต่ำ สำหรับกำรทำ
นำจะทำไว้พอบริโภคในครอบครวั
สถำนศึกษำในหมู่บ้ำน อยู่ในเขตบริกำรของโรงเรียนชุมชนบ้ำนมำง และกำรประกอบศำสนกิจ
ต่ำงๆชำวบำ้ นจะไปทว่ี ดั ศรีเมืองมำง และพระธำตุภปู อ
ประวตั ิบำ้ นหนองหมู
ประมำณ พ.ศ. 2490 ครอบครัวนำยตั๋น สมภำร (พ่ออุ้ยเว่อ) นำยหล้ำ มูลศรี และนำยปุ๊ด น้ำ
สำ ซ่ึงเป็นรำษฎรบ้ำนมำง ตำบลเชียงม่วน อำเภอปง จังหวัดเชียงรำย ได้เข้ำไปพัฒนำและจับจองท่ีดิน
แล้วตงั้ เป็นปำงววั ข้ึน ต่อมำ พ.ศ. 2494 ได้เกิดนำ้ ท่วมบริเวณที่รำบลุ่มอย่ำงหนกั จึงมีผู้คนอพยพหนีน้ำไป
สมทบกับผู้ต้ังปำงวัวอยู่ก่อน และต้ังเป็นหมู่บ้ำนที่ยังไม่เป็นทำงกำร ข้ึนกับ กำรปกครองบ้ำนมำง
จนกระท่ังวันท่ี 20 กรกฎำคม พ.ศ. 2513 บ้ำนหนองหมู จึงได้รับกำรยกฐำนะให้เป็นหมู่บ้ำนหมู่ท่ี 3
ตำบลบำ้ นมำง มีนำยไฝ นำ้ สำ เปน็ ผใู้ หญ่บ้ำนคนแรก (นำยไฝ น้ำสำ , นำยเลือ่ น พฒุ ดี ผู้ให้สัมภำษณ)์
กำรประกอบอำชพี ส่วนใหญ่จะทำกำรเกษตรเชน่ ทำไร่ข้ำวโพด ข้ำวฟำ่ ง พชื ผกั สวนครวั สำหรับ
กำรทำนำ ทำไวส้ ำหรบั บรโิ ภคในครอบครัว
สถำนศกึ ษำ อย่ใู นเขตบรกิ ำรของโรงเรยี นชุมชนบำ้ นมำง และประกอบศำสนกิจตำ่ งๆ ชำวบ้ำนจะ
ไปท่วี ดั ศรีเมืองมำง และพระธำตภุ ูปอ
ประวตั ิบำ้ นบ่อเบย้ี เบี้ย
บริเวณท่ีตั้งหมู่บ้ำนปัจจุบัน เดิมเป็นเขตป่ำ ซ่ึงเป็นทำงผ่ำนสำหรับลำกไม้ และได้มีชำวบ้ำน
บำงส่วนนำวัว ควำยเข้ำมำเลี้ยงบริเวณปำงผึ้ง (ปัจจุบันอยู่นอกเขตตัวหมู่บ้ำนบ่อเบี้ยเลยออกไปทำงทิศ
เหนือ) และตงั้ บ้ำนเรือนชวั่ ครำวบริเวณน้ันบำ้ ง
จนในปี พ.ศ. 2504 ฝำยน้ำปี้พัง ทำให้น้ำท่วมบริเวณอำเภอเชียงม่วน ไร่นำเสียหำยได้ผลผลิตไม่
เต็มท่ี ชำวบ้ำนแพทย์ บ้ำนมำง (ช่วงน้ันรวมเอำบ้ำนหนองหมูเข้ำร่วมด้วย) บ้ำนป่ำแขม บ้ำนท่ำม่ำน จำก
กำรนำของนำยวงศ์ มูลศรี และนำยหมวก ชมุ ภูชนะภยั จึงคดิ ขยับขยำยหำท่ีทำกินใหม่ และเห็นว่ำบริเวณ
ที่บ้ำนบ่อเบ้ียเป็นที่อุดมสมบูรณ์ จึงได้รวบรวมกัน แลติดต่อขออนุญำตจำกทำงกำนันไปทำมำหำกิน โดย
เรมิ่ ไปต้งั บ้ำนเรือนกันอย่ำจรงิ จงั ในปี พ.ศ. 2511 มปี ระมำณ 10 หลงั คำเรือน
ในช่วงที่เข้ำมำคร้ังแรกน้ัน ไม่มีถนน ต้องเดินด้วยเท้ำมำทำงแก่งขำม (ในเขตบ้ำนแพทย์ ตำบล
บ้ำนมำง)ผ่ำนแพะย่ำวอน สู่ลำน้ำปั๋งและปำงผึ้ง บริเวณที่ตั้งหมู่บ้ำนเป็นป่ำ มีโขลงช้ำง และสัตว์ป่ำอื่นๆ
เช่น หมูป่ำ เก้ง อยู่มำก ในระยะแรกเป็นช่วงท่ียำกลำบำก เพรำะจะต้องบุกเบิกป่ำ โค่นไม้ด้วยมือ ด้วย
แรงงำนคน ถำงป่ำเพ่ือปลูกข้ำวไร่ ต้องหำบข้ำวและเสบียงอำหำรต่ำงๆ ขึ้นไปภูมิลำเนำเดิม ผู้ท่ีเข้ำไป
บกุ เบกิ บำงสว่ นอยู่ไดเ้ พียงระยะเดยี วก็เกิดท้อถอย และท้งั กลัวอันตรำยจำกสัตว์ปำ่ ต่ำงๆ คิดวำ่ โอกำสที่จะ
ตั้งเป็นหมู่บ้ำนมีควำมเจริญเป็นไปได้ยำก เพรำะห่ำงไกลชุมชนอ่ืนๆมำก บำงส่วนจึงถอยกลับไป แต่มี
บำงสว่ นบุกเบกิ เขำ้ มำหำที่ดนิ ทำกนิ เพ่ิม
ในปี พ.ศ. 2513 มีชำวบ้ำนประมำณ 37 หลังคำเรือน ซ่ึงคิดจะลงหลักปักฐำนบริเวณนี้แน่นอน
จึงปรึกษำหำรือกันสร้ำงวัดสำหรับประกอบพิธีกรรมทำงศำสนำ และเป็นที่ยึดเหน่ียวทำงจิตใจ ตลอดจน
สร้ำงโรงเรยี นให้แก่เด็กๆ ในปีน้นั จึงมีกำรแต่งตั้งหมู่บ้ำนอย่ำงเป็นทำงกำร โดยมี พ่อหลวงแกว้ มูลศรี เป็น
ผูใ้ หญ่บำ้ นคนแรก กำรปกครองขนึ้ กับตำบลบ้ำนมำง ขณะนั้นมีประชำกรท้งั ส้ิน 149 คน เป็นชำย 67 คน
และหญงิ 82 คน
เม่ือเริ่มเข้ำมำบุกเบิกน้ัน ชำวบ้ำนเข้ำมำจับจองที่ดินและปลูกสร้ำงท่ีอยู่อำศัยอย่ำงกระจัด
กระจำยมำก เมื่อทำงอำเภอจดั ตัง้ เปน็ หมบู่ ้ำน จึงขอมำสรำ้ งให้บ้ำนเรือนมำอยรู่ วมกัน ไม่นำนกม็ ีชำวบำ้ น
จำกท่ตี ำ่ งๆมำ เชน่ อำเภอดอกคำใต้ อำเภอจนุ แพร่ เชยี งรำย ทยอยกนั เขำ้ มำตัง้ หลกั แหลง่ จนปัจจบุ ัน
กำรเรียกชื่อหมู่บ้ำน “หมู่บ้ำนบ่อเบ้ีย” นั้น เรียกตำมชื่อของแหล่งน้ำท้ำยหมู่บ้ำนท่ีช่ือว่ำ “บ่อ
เบี้ย” เป็นแหล่งน้ำที่ไหลออกจำกตำน้ำธรรมชำติ วำ่ กนั วำ่ เคยมีคนปักไม้เอำไว้ในน้ำ เม่ือดึงขึ้นมำมีเบ้ียติด
ปลำยไม้ จึงพำกันเรยี กแหลง่ นำ้ นีว้ ำ่ “บ่อเบย้ี ”
นอกจำกน้ัน หมู่บ้ำนยังมีชื่อเรียกอย่ำงไม่เป็นทำงกำร อีกช่ือหนึ่งคือ “บ้ำนห้วยหย่อง” ซ่ึงเรียก
กันตำมน้ำท่ีไหลผ่ำนหมู่บ้ำน ช่ือหมู่บ้ำนห้วยหย่องเป็นท่ีรู้จักกันดีกว่ำบ้ำนบ่อเบี้ยในละแวกนั้น (โสภำ
พรรณ อัศวรุจิกุลชยั , 2528: 8-9)
กำรประกอบอำชีพรำษฎรส่วนใหญ่ ประกอบอำชีพเกษตรกรรม เช่น ทำไร่ข้ำวโพด ไร่ฝ้ำย
ถ่ัวลิสงกำรศึกษำ ในหมู่บ้ำนมีโรงเรียนประถมศึกษำ ท่ีเปิดเปิดสอนทั้งระดับก่อนประถมศึกษำ ระดับ
ประถมศึกษำและระดับมัธยมศึกษำตอนต้น 1 โรง คือ โรงเรียนบ้ำนบ่อเบี้ย สร้ำงเม่ือวันท่ี 23 กรกฎำคม
พ.ศ. 2514 มีนำยสมบูรณ์ ณ น่ำน เป็นครูใหญ่คนแรก ศำสนสถำน มีวัดบ่อเบี้ย สังกัดคณะสงฆ์
มหำนิกำย แต่เดิมช่ือวัดป่ำเรไร สร้ำงตรงกลำงหมู่บ้ำน ประมำณ พ.ศ. 2512 ต่อมำได้ย้ำยไปสร้ำงใหม่
ดำ้ นทศิ ตะวันออกของวดั เดมิ มีเนือ้ ที่ 10 ไร่ 1 งำน 60 ตำรำงวำ (กองพทุ ธศำสนสถำน 2532: 859)
ประวตั บิ ้านบ่อต้นสัก
บ้ำนบ่อต้นสัก ปัจจุบนั ไดแ้ ยกเปน็ หมบู่ ำ้ นหมู่ท่ี 10 ตำบลบ้ำนมำง อำเภอเชยี งม่วน จังหวัดพะเยำ
แต่เดมิ อยใู่ นกำรปกครองของบ้ำนบ่อเบยี้ หมู่ท่ี 6 โดยมนี ำยสมคิด แซโ่ ฟ่ง เปน็ ผ้ใู หญ่บำ้ นคนแรก
บ้ำนบ่อต้นสักเป็นชำวเขำเผ่ำเย้ำ ส่วนใหญ่อพยพมำจำกอำเภองำว จังหวัดลำปำง เร่ิมจำก
ประมำณปี พ.ศ. 2512 มำทำมำหำกินบริเวณลำน้ำแม่ปุง หรือบริเวณท่ำมะโอ (เขตอำเภอสองจังหวัด
แพร่) โดยเดินทำงไปมำช่วงทำไร่ จะมีที่พักชั่วครำวท่ีแม่ปุง เมื่อหมดฤดูทำไร่ก็กลับไปท่ีบ้ำนเดิม จน
ประมำณปี พ.ศ. 2516 จงึ เขำ้ มำต้ังบ้ำนเรือนอยู่อยำ่ งจริงจงั
ในปีพ.ศ. 2523-2524 มีชำวเย้ำประมำณ 5-6 ครอบครัว มำตั้งหลักแหล่งรวมกับคนบ้ำน
บ่อเบี้ยแต่อยู่ไม่นำนก็ย้ำย ต่อมำบริษัทชำติไพบูลย์ได้รับอนุญำต สัมปทำนป่ำไม้ จึงให้ชำวเย้ำอพยพออก
จำกเขตป่ำไม่ที่สัมปทำน ชำวเย้ำจึงเลื่อนเข้ำมำตั้งบ้ำนเรือนบริเวณบ้ำนบ่อต้นสักปัจจุบัน (โสภำพรรณ
อศั วรจุ ิกุลชัย อ้ำงแล้ว: 10)
กำรประกอบอำชีพ โดยพื้นบ้ำนของชำวเย้ำจะผูกพันอำชีพกำรเกษตร ดังนั้นอำชีพ ท่ีทำเป็น
สว่ นใหญจ่ ะทำไร (ขำ้ วโพด ฝ้ำย) และมีกำรทำสวนมะขำม ลำไย บำ้ งเลก็ นอ้ ย
ดำ้ นกำรศึกษำอยู่ในเขตบริกำรของโรงเรียนบำ้ นบ่อเบ้ยี มรี ะยะห่ำงประมำณ 3 กโิ ลเมตร
ศำสนสถำนไม่มีอยู่ในหมู่บ้ำน แต่นับถือผี เช่ือเร่ืองโชคชะตำ ในหมู่บ้ำนจะมีผู้นำในกำรทำ
พิธีกรรมทำงศำสนำหรือท่ีเรียนกว่ำ “หมอผี” วันสำคัญของชำวเย้ำ ได้แก่ วันตรุษจีน วันอยู่กรรม
(วนั หยุดตำมระยะวันตรุษจีนหรือปีใหม่) เชน่ กรรมเสือ กรรมลม กรรมมีด-พร้ำ กรรมนก-กรรมหนู เป็น
ตน้
นอกจำกนั้นยังนับถือลัทธิขงจื้อ(บรรพบุรุษ) แต่ปัจจุบันเยำวชนรุ่นใหม่ของเย้ำจะนิยม ไปบวช
เรียนท่ีวัดศรีโสดำ จังหวัดเชียงใหม่ ดังน้ันชำวเย้ำจึงนับถือศำสนำพุทธไปด้วย (นำยทิวำกร แซโฟ่ง ผู้ให้
สัมภำษณ์)
ประวตั บิ ้านหนองกลาง
บ้ำนหนองกลำงเป็นหมู่บ้ำนที่ประกอบด้วย 2 บ้ำนคือ บ้ำนหนองกลำงและบ้ำนทุ่งต้นศรี ท่ีบ้ำน
หนองกลำงประมำณปี พ.ศ. 2495 โดยกำรนำของนำยหน่อ ท้ำวแพทย์ ชำวบ้ำนแพทย์ เข้ำมำอยู่เป็น
กลุ่มแรก สร้ำงปำงเล้ียงวัว ต่อจำกนั้นมีนำยจันทร์ ท้ำวแพทย์ นำยป๋ัน ท้ำวแพทย์ นำยวิชิต ถำคำ
นำยอิ่น ดอนแก้ว นำยคำ ขำนเพรำะ นำยคำ น้ำสำ และนำยรถ ทิวปำ มำสมทบเพิ่มเติมได้ตั้งช่ือว่ำ
“บ้ำนโจ้โก”้
บ้ำนทุ่งต้นศรีเดิมช่ือบ้ำน “สันขะแจะ” และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบ้ำนทุ่งต้นศรีโดยกำรเล่ำว่ำบ้ำน
แหง่ น้ี มีต้นไม้ใหญ่ที่มีควำมสำคัญทำงพทุ ธศำสนำ คือตอ้ นศรีมหำโพธ์ใิ นปี พ.ศ. 2504 นำยจนั ทร์ ท้ำว
แพทย์ นำยคำประสงค์ (อ้ยคำหนวด) นำยจำย มูลศรี นำยแปง ขันแข็ง นำยอ่ินคำ ผิวเหลอื ง นำยมูล
ดอนแก้ว และนำยต๊ิบ ดอนแก้ว ได้พำกันมำต้ังเป็นปำงเล้ียงวัวเป็นกลุ่มแรก มีบำงครอบครัวก็อพยพ
กลับไปและมีกลุ่มของนำยต๊ิบ ดอนแก้ว นำยปัน ไชยอักษร นำยสิงห์แก้ว พุฒอ่อน ได้มำสมทบ
เพมิ่ เตมิ มำกข้ึนกำรปกครองข้ึนกบั บำ้ นแพทย์
ในปี พ.ศ. 2522 ทำงรำชกำรได้ต้ังหมู่บ้ำนเป็นหมู่ท่ี 7 มีช่ือว่ำบ้ำนหนองกลำงมี นำยมิ่ง อิสำน
เป็นผู้ใหญ่บ้ำนคนแรก (นำยต๊บิ ดอนแก้ว, นำยเสวยี น ดอนแกว้ ผใู้ หส้ ัมภำษณ์)
กำรประกอบอำชพี ชำวบ้ำนหนองกลำงมอี ำชพี ดำ้ นเกษตรกรรม และรบั จ้ำงท่ัวไป
สถำนศึกษำเป็นหมูบ่ ้ำนทีอ่ ยู่เขตบริกำรของบ้ำนปงสนุก
ศำสนสถำน มีพระธำตุภูปออยู่ใกล้หมู่บ้ำน เนื่องจำกไม่ค่อยมีพระสงฆ์จำพรรษำอยู่ประจำ
ชำวบ้ำนมักจะไปประกอบพิธีกรรมทำงศำสนำร่วมกับวัดปงสนุก ท่ีอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็มีบำงส่วนไปร่วมกับ
วดั ศรีเมอื งมำง
ประวัตบิ ำ้ นปำ่ แขมใต้
บ้ำนป่ำแขม เดิมท่ีบริเวณแห่งน้ีเต็มไปด้วยหญ้ำแขม ชำวบ้ำนจึงมักเรียกทั่วๆไปว่ำ “ทุ่งแขม”
แต่เดิมเรียกว่ำ “บ้ำนห้วยทรำย” ในปี พ.ศ. 2480 เกิดน้ำท่วม ทำให้ท่ีอยู่และไร่นำเสียหำย ชำวบ้ำนมำง
โดยกำรนำของ พ่อเล้ียงวงศ์ มูลศรี พ่อเฒ่ำกันจินำ มูลศรี ได้อพยพเข้ำมำอยู่เป็นกลุ่มแรกและในปีพ.ศ.
2482 ได้มีกลุ่มพ่ออุ้ยอุ่น มูลศรี พ่ออุ้ยเสำร์ มูลศรี พอ่ เฒ่ำอ่ิน มูลศรี พ่อเฒ่ำสุข มูลศรี (สุขดัก) และ
ครูต๊ะ เร่งเร็ว ได้อพยพมำสมทบเพิ่มมำกขึน้ จนกลำยเป็นหมู่บ้ำนกำรปกครองขึ้นกับบ้ำนมำง ในปี พ.ศ.
2500 บ้ำนป่ำแขมได้รับกำรแต่งตั้งให้เป็นหมู่บ้ำนอย่ำงเป็นทำงกำร มีนำยดำ มูลศรี เป็นผู้ใหญ่บ้ำนคน
แรก (นำยดำ มูลศรี , นำยถนดั มูลศรี ผู้ให้สมั ภำษณ)์
กำรประกอบอำชีพ ชำวบ้ำนป่ำแขมใตม้ ีอำชีพเกษตรกรรม ทำไร่ ทำนำ กำรประมงน้ำจดื
สถำนศึกษำ โรงเรียนบ้ำนป่ำแขม เปิดทำกำรสอนคร้ังแรก เม่ือวันที่ 8 มิถุนำยน พ.ศ. 2497
ต้ังแต่ชัน้ ประถมศกึ ษำปีที่ 1 – 3 โดยมีนำยอินสอน มูลศรี เป็นครูใหญค่ นแรก ขณะนม้ี ีเขตบรกิ ำรโรงเรียน
2 หมู่บ้ำน คือ บ้ำนป่ำแขมใต้ และบ้ำนป่ำแขมเหนือ นอกจำกน้ียังมีโรงเรียนสำหรับเปิดสอนพระภิกษุ –
สำมเณร ทวี่ ัดป่ำแขม (โรงเรียนป่ำแขมวทิ ยำ)
ศำสนสถำน ท้ังสองหมู่บ้ำนได้ร่วมกันจัดสร้ำงวัดป่ำแขม ประมำณปี พ.ศ. 2500 สังกัดคณะสงฆ์
มหำนกิ ำย ในเน้ือที่ 6 ไร่ 20 ตำรำงวำ (พระครูนันทบุรีพิทักษ์ ผูใ้ หส้ มั ภำษณ์)
ประวตั ิบ้านป่ าแขมเหนือ
เดิมท่ีบ้ำนป่ำแขมเหนือ กำรปกครองข้ึนอยู่กับบ้ำนป่ำแขมใต้ โดยกำรนำของนำยยอด
มูลศรี นำยต้ำว มูลศรี ได้อพยพมำอยู่เป็นกลุ่มแรก ต่อมำได้มีชำวบ้ำนในหมู่บ้ำนอื่นๆ อพยพเพิ่มมำกข้ึน
จนเป็นกลุ่มบ้ำนข้นึ กับบำ้ นป่ำแขมใต้ โดยมีผนู้ ำขณะนัน้ ตำแหน่งผชู้ ่วยผู้ใหญ่บำ้ น คือ นำยมำ ช้ำงสำร
ในปี พ.ส. 2521 บ้ำนป่ำแขมเหนือได้รับกำรแต่งตั้งเป็นหมู่บ้ำนอย่ำงเป็นทำงกำร หมู่ที่ 8
ผู้ใหญ่บำ้ นคนแรก คอื นำยพุฒ ไทยเหนือ (นำยพฒุ ไทยเหนอื , นำยเงนิ คิดดี ผใู้ ห้สมั ภำษณ์)
กำรประกอบอำชีพ ชำวบ้ำนป่ำแขมเหนือมีอำชีพเกษตรกรรม ทำไร่ ทำนำ ยำสูบ ตลอดจนทำ
กำรเกษตรบนท่รี ำบใกล้แม่นำ้ ยม
ในด้ำนสถำนศึกษำ บ้ำนป่ำแขมเหนือ อยูใ่ นเขตบรกิ ำรของโรงเรียนบำ้ นป่ำแขม และศำสนสถำน
ของหมบู่ ำ้ นไม่มี แตจ่ ะไปประกอบพิธกี รรมทำงศำสนำท่วี ัดปำ่ แขม
ประวัตบิ ำ้ นทุ่งมอก
บ้ำนทุ่งมอกเป็นถิ่นของชำวไทลื้อ ท่ีอพยพมำจำกแคว้นสิบสองปันนำของประเทศจีน โดยได้
อพยพมำพร้อมกับชำวไทยลื้อท่ีมำอยู่ในบำ้ นแพทย์ ตำบลบำ้ นมำง โดยมำครั้งแรกจำกกำรนำของพญำ แต่
เดิมเรียกว่ำ “บ้ำนอะม็อก” ขึ้นอยู่กับเขตปกครองของเจ้ำเมืองน่ำน (รำยละเอียดศึกษำเพ่ิมเติมจำก
ประวตั ิบ้ำนทำ่ ฟ้ำ)
กำรประกอบอำชีพรำษฎรส่วนใหญ่ประกอบอำชีพเกษตรกรรม ประกอบกับท่ีดิน เป็นที่รำบลุ่ม
แม่น้ำยม จึงเหมำสมท่ีจะปลูกพืชสวน ได้แก่ มะม่วง ลำไย ส้มโอ นอกจำกนั้น ยังมีกำรทำไร่ข้ำวโพด
ข้ำวฟ่ำง ทำนำ และกำรทำหัตถกรรมในครัวเรือนประเภททอผ้ำไทยล้ือ ในบริเวณพื้นท่ีของหมู่บ้ำนมี
โรงงำนผลติ บำนพบั และกลอนประตู และโรงงำนอุตสำหกรรมผลิตผลไม้กระป๋องต้งั อยดู่ ้วย
กำรศึกษำ มีโรงเรียนบ้ำนทุ่งมอก เปิดกำรสอนคร้ังแรกเม่ือ วันที่ 1 มิถุนำยน พ.ศ. 2488โดยมี
นำยตะ๊ เรง่ เรว็ เปน็ ครูใหญ่คนแรก มเี ขตบรกิ ำร 2 หมูบ่ ำ้ นคือบำ้ นทุ่งมอก หมทู่ ี่ 5และบำ้ นบ่อตองหมทู่ ี่ 9
ศำสนสถำน มีวัดทุ่งมอก สังกัดคณะสงฆ์มหำนิกำย สร้ำงเม่ือ พ.ศ. 2403 ในเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งำน
(กองพุทธศำสนสถำน 2532: 849)
ประวตั บิ ำ้ นบ่อตอง
บ้ำนบ่อตอง เดิมอยู่ติดกับลำห้วยหมูเน่ำ อำศัยอยู่ท่ีนั่นนำน 20 กว่ำปี ข้ึนกับกำรปกครองบ้ำน
ทุ่งมอก โดยกำรนำของนำยจุ้ม หลียอง ที่ย้ำยมำจำกจังกวัดลำพูนและนำยแหล บ้ำนสระ นำยซอน ชมพู
ได้อพยพมำเป็นกลุ่มแรก ต่อมำได้มีชำวบ้ำนทุ่งมอก ชำวบ้ำนสระ อพยพเข้ำมำเพิ่มเติมมำกข้ึน จนเป็น
หมู่บ้ำนขึ้นกับหมู่บ้ำนท่งุ มอก โดยมีสิทธิเลือกตั้งหัวหน้ำไดเ้ ป็น “ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้ำน” อย่ำไม่เป็นทำงกำร มี
นำยชว่ ย ชมุ ภู เปน็ ผ้ชู ว่ ยผใู้ หญบ่ ้ำนคนแรก ตั้งแตป่ ี พ.ศ. 2493
ในปี พ.ศ. 2524 บ้ำนบ่อตอง จึงได้รับกำรยกฐำนะให้เป็นหมู่บ้ำนอย่ำงเป็นทำงกำร มีนำยขวัญ
พอใจ เปน็ ผ้ใู หญบ่ ำ้ นคนแรก (นำยเสกสรร สืบจติ ต์ ผใู้ หส้ มั ภำษณ์)
กำรประกอบอำชีพ รำษฎรส่วนใหญ่ประกอบอำชีพเกษตรกรรม ทำไร่ ข้ำวโพด ข้ำวฟ่ำง
บำงส่วนทำงำนรบั จำ้ ง ขำยแรงงำน และบำงส่วนหำของปำ่ มำขำย
สถำนศึกษำ อยู่ในเขตบริกำรของโรงเรียนบ้ำนทุ่งมอก ศำสนสถำนในหมู่บ้ำนไม่มีแต่ไปร่วม
ประกอบกิจกรรมทำงศำสนำทีว่ ดั ท่งุ มอก
ประวัติหมบู่ ้ำนในตำบลสระ
ประวัติควำมเปน็ มำ
ประมำณ 70-80 ปี ก่อน พ.ศ. 2427 เจำ้ เมืองนำ่ นและเจำ้ เมืองพะเยำ มกี ำรติดตอ่ ค้ำขำยกัน
อยู่ โดยใช้เส้นทำงจำกจงั หวดั นำ่ น-บำ้ นสวด ถึงเชียงม่วนและต่อไปอำเภอดอกคำใต้ โดยในอำเภอเชยี ง
ม่วนจะตอ้ งขำ้ มแม่น้ำยมและหยุดพักอกี 1 คนื และได้สำรวจพบวำ่ ด้ำนตะวันตกของแม่นำ้ ยมสำมำรถ
สร้ำงทีอ่ ยู่อำศัยและเปน็ ที่ เพำะปลกู ได้ และได้ขออนุญำตเจ้ำเมอื งนำ่ นต้งั บ้ำนเรือนประมำณกวำ่ สบิ
ครอบครวั
สภำพทวั่ ไปของตำบล
สภำพภมู ิประเทศทวั่ ไปเปน็ ท่ีรำบระหว่ำงหบุ เขำมีเทือกเขำลอ้ มรอบ บำงส่วนเป็นเนินสงู
บำงส่วนเปน็ ท่ีรำบเอียงลำดและทร่ี ำบรมิ แม่น้ำ มลี ำนำ้ ยมไหลผ่ำน
อำณำเขตตำบล ติดต่อกับ อำเภอปง จังหวดั พะเยำ
ทศิ เหนอื ติดตอ่ กับ อำเภอเชยี งมว่ น จงั หวัดพะเยำ
ตดิ ต่อกับ อำเภอปง จงั หวดั พะเยำ,อำเภอบำ้ นหลวง จงั หวดั นำ่ น
ทศิ ใต้ ตดิ ต่อกับ อำเภอดอกคำใต้ จังหวดั พะเยำ
ทศิ ตะวันออก
ทศิ ตะวันตก
จำนวนประชำกรของตำบล
จำนวนประชำกรในเขต อบต. 6,390 คน และจำนวนหลังคำเรือน 2,026 หลังคำเรอื น
ข้อมูลอำชีพของตำบล
อำชีพหลัก ทำนำ ทำสวน ทำไร่
อำชพี เสริม หตั ถกรรม
ข้อมูลสถำนท่ีสำคญั ของตำบล
1. ปมั๊ น้ำมนั 6 แหง่
2. โรงสี 12 แห่ง
3. บรษิ ทั เหมืองแร่ 1 แหง่
4. วัด/สำนักสงฆ์ 5 แหง่
5. สถำนอี นำมัย 4 แห่ง
6. สถำนพยำบำล 2 แหง่
ประวัตบิ ำ้ นสระ
ประมำณ 70 – 80 ปีก่อน พ.ศ 2427 เจ้ำเมืองน่ำนและเจ้ำเมืองพะเยำ มีกำรติดต่อค้ำขำยกัน
โดยใช้เส้นทำงจำกจังหวัดน่ำน – บำ้ นสวด ถงึ เชียงมว่ น และตอ่ ไปอำเภอดอกคำใต้ โดยในอำเภอเชียงมว่ น
จะต้องข้ำมแม่น้ำยมและหยุดพัก 1 คืน เมื่อว่ำงจำกกำรรับใช้เจ้ำเมืองแล้วคณะของ ผู้ติดต่อตำมก็ออก
สำรวจรอบๆ บริเวณ พบว่ำด้ำนทิศตะวันตกของแม่น้ำยมสำมำรถสร้ำงท่ีอยู่อำศัยและเป็นท่ีเพำะปลูก
เป็นท่ีอำศัยได้ ภำยหลังจึงขออนุญำตเจ้ำเมืองน่ำน มำต้ังบ้ำนเรือนอยู่ประมำณสิบกว่ำครอบครัว (นำย
หวดั สืบแสน ผู้ใหส้ ัมภำษณ์) ประกอบด้วยผ้รู ่วมคณะดงั นี้
1. แสนหลวงวงค์
2. แสนเวียงงอก
3. แสนจกั ร
4. แสนเหน็ โอ้ม
5. แสนหลวงทำ้ วพระกำร
6. ขนุ เสนำ(ไม่ทรำบนำมสกลุ )
7. นำยพรหม พรมรกั ษ์ (ขุนอภริ กั ษ์สำรคำม)
ในปี พ.ศ. 2486 ขุนอภิรักษ์ สำรคำม กำนันตำบลสระขณะน้ัน ได้พัฒนำหมู่บ้ำน และบริจำค
ที่ดินเนื้อท่ี 6,883 ตำรำงเมตร ให้เป็นท่ีหรับสร้ำงโรงเรียนและต่อมำ มีรำษกรหมู่บ้ำนใกล้เคียงมำสมทบ
ทำใหเ้ ปน้ ชมุ ชนขนำดใหญ่ ปจั จบุ นั แบง่ เปน็ 5 หมบู่ ้ำน
กำรประกอบอำชีพ ยึดงำนเกษตรกรรมเป็นหลัก ในกำรดำรงชีวิต และในบริเวณทิศตะวันตก
ของหม่บู ้ำน มบี ริษัทเหมืองเชียงม่วนสัมปทำน ขุดแร่ลิกไนท์ ทำให้สภำพของรำษฏรเปลี่ยนแปลงอำชีพไป
บำงส่วน
สถำนศกึ ษำของหมู่บ้ำนสระ ไม่มีกำรบันทึกเป็นลำยลักษณ์อักษรว่ำมีกำรก่อต้ังในปี พ.ศ. ใด แต่
ท่ีระบุในปี พ.ศ. 2472 นำยอินผำย รำชเทียร ได้ดำรงตำแหน่งครูใหญ่ โดยสร้ำงตรงเรียนในเขตธรณีสงฆ์
ของวดั สระเหนอื ในที่ดนิ 1 งำนเศษ ต่อมำกย็ ้ำยโรงเรียนไปตั้งในทขี่ องขุนอภริ ักษ์สำรคำมบรจิ ำค (บริเวณ
สถำนีอนำมัยในปัจจุบัน) เม่ือจำนวนนักเรียนมำกขึ้นจึงย้ำยมำต้ังในที่ดินนำยเพียว ตันบรรจง บริจำคใน
ท่ีดิน 10 ไร่ 40 ตำรำงวำ จนถึงปจั จุบนั (โรงเรียนบ้ำนสระ , 2540)
ศำสนสถำน มีจำนวนวัด2แห่ง คือวัดสระใต้ โดยวัดสระสร้ำงเมื่อ พ.ศ. 2427 ในที่ดิน 6 ไร่ 55
ตำรำงวำ และวัดสระใต้สร้ำงเมื่อ พ.ศ . 2525 ซึ่งวัดท้ังสองแห่งสังกัดคณะสงฆ์นิกำยมหำยำน (องพุทธ
ศำสนำ 2532:964 - 965)
ประวตั ิบำ้ นนำบวั – หว้ ยก้ำงปลำ
จำกแผนกำรปรำบปรำมคอมมิวนิสต์ที่เข้ำมำทำงชำยแดนอำเภอเชียงคำ โดยเฉพำะในหมู่
ชำวเขำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 ต้องอพยพชำวเขำบนดอยผำแดง ซึ้งอยู่ห่ำงจำกท่ีว่ำกำรอำเภอเชียงคำไปใน
ทิศทำงตะวนั ออกประมำณ 30 กิโลเมตร ใหย้ ำ้ ยลงมำอยู่ ณ หมบู่ ำ้ นใหม่รม่ เยน็ ในปี พ.ศ. 2515
“นำ้ เปน็ ที่อยู่ของปลำ ปำ่ ไม้และภูเขำเป็นท่ีอยูข่ องชำวเขำ” ควำมเชื่อและวิธีกำรดำเนนิ ชวี ิตท่ียึด
ม่นั มำตั้งแต่บรรพบุรุษ ทำใหเ้ กดิ ปัญหำในกำรยำ้ ยที่อยใู่ หม่ที่ทำงรำชกำรไม่ได้กำหนดพื้นที่ให้ เพรำะพื้นที่
ไม่เพียงพอต่อกำรประกอบอำชีพ ประกอบกับกำรคุมกำเนิดท่ียังไม่ค่อยได้ผลในขณะน้ัน ชำวบ้ำนกลุ่ม
หน่ึงได้ประชุมวำงแผนเพื่อท่ีจะย้ำยที่อยู่ใหม่ โดยออกสำรวจ เม่ือประมำณปลำยเดือนกุมภำพันธ์ 2516
(หลงั เทศกำลตรษุ จนี ) ประกอบดว้ ย
1. นำยยนุ้ จ้อย แซจ่ ำ๋ ว 5. นำยจำ่ นเฉิง เซเ่ ติ๋น
2. นำยเวนิ่ เสง็ แซจ่ ๋ำว 6. นำยฟุวำ แซเ่ ต็ม
3. นำยจันออน แซเ่ ต็ม 7. นำยเจยี วจอ่ ย แซ่จ๋ำว
4. นำยฟุซำง แซ่เตม็ 8. นำยยน่ ว่ำ แซจ่ ๋ำว
คณะสำรวจออกเดินทำงจำกบ้ำนใหม่ร่มเย็นไปทำงอำเภอดอกคำใต้โดยรถยนต์ มุ่งหน้ำ เข้ำสู่
หมู่บ้ำนหนองหล่มเพรำะจำกกำรบอกเล่ำว่ำพ้ืนท่ีเขตติดต่อระหว่ำงอำเภอเชียงม่วนกับอำเภอดอกคำใต้
ยงั มีพน้ื ท่ีทีเ่ หมำะสมจะเปน็ ทอี่ ยู่อำศยั ได้
ณ ท่ีบ้ำนหนองหล่ม คณะสำรวจได้รบั กำรเอำใจใส่และร่วมมือ จำกนำยป่วน (ไม่ทรำบนำมสกุล)
ผู้ใหญ่บ้ำนหนองหล่มให้คำแนะนำ ตลอดจนช่วยเหลือเป็นอย่ำงดี คณะสำรวจเดินทำงเข้ำ ลงห้วย ลูก
แล้วลกู เลำ่ ในท่ีสุดกพ็ บ และทป่ี ระชุมหมู่บำ้ นบำงส่วนได้ตกลงยำ้ ยถ่นิ ท่ีอยูใ่ หม่ โดยมี 10 ครอบครวั คือ
1. นำยจ้อยฟุ แซเ่ ต็ม 6. นำยเว่นิ เส็ง แซ่จำ๋ ว
2. นำยยุ่นจอ้ ย แซ่จำ๋ ว 7. นำยแคะกวำง แซเ่ ตม็
3. นำยจ้อยล่นิ แซ่จ๋ำว 8. นำยเจีย้ ว เต็มศิริรตั น(์ แซ่เตม็ )
4. นำยแคะวำ่ แซ่เต็ม 9. นำยอุ่งไหน เซ่ฟุ้ง
5. นำยยุน่ วำ่ แซ่เต็ม 10. นำงแสงรนิ ทร์ แซ่จ๋ำว
คณะอพยพเดินทำงจำกอำเภอเชียงคำ ผ่ำนอำเภอปง เข้ำสูอ่ ำเภอเชยี งม่วน เขำ้ พบนำยสม บ้ำน
สระ ผู้ใหญ่บ้ำนในพื้นท่ี เพอ่ื แจง้ จดุ หมำยในกำรเดนิ ทำงมำและมุ่งสเู่ ปำ้ หมำยบนดอยทเี่ คยสำรวจไว้
ตอ่ มำญำติพ่ีน้องจำกอำเภอเชยี งคำ ก็ย้ำยมำสมทบและส่วนหน่ึงก็แยกย้ำยไปต้ังเป็นหมู่บ้ำนห้วย
ก้ำงปลำ ซ้ึงห่ำงกันประมำณ 6 – 7 กิโลเมตร จนกระทั่ง 31 พฤษภำคม พ.ศ. 2538 หมู่บ้ำนนำบัวและ
หว้ ยก้ำงปลำ ก็ได้รับกำรแบ่งแยกเปน็ อิสระ จำกบ้ำนสระหมู่ท่ี 4 เป็นหมทู่ ่ี 9 ตำบลสระ มี นำยสูโฟว แซ่
เต็ม เปน็ ผูใ้ หญ่บำ้ นคนแรก (นำยยุ่นจอ้ ย แซ่จ๋ำว ผใู้ ห้สัมภำษณ์)
กำรประกอบอำชีพ รำษฎรมีอำชีพ ทำไร่ขำ้ วโพดเปน็ สว่ นใหญ่ ซึง้ มีหนว่ ยงำนท่จี ัดเกยี่ งกับ
กำรศึกษำ มีกำรก่อสรำ้ งอำคำรเรยี นชว่ั ครำว โดยในปี พ.ศ. 2530 สำนักงำนกำรประถมศึกษำอำเภอ
เชยี งม่วน ไดเ้ ปดิ โรงเรยี นให้หมู่บ้ำนสระสำขำบ้ำนนำบวั มีนำยศรีธร ปัญญำบุญ มำปฏบิ ัติกำรสอนเปน็ คน
แรกสำหรบั สถำนศึกษำโรงเรียนบ้ำนสระสำขำห้วยก้ำงปลำมีนำยวิญญู บษุ บก ปฏบิ ัติกำรสอน กอ่ นหน้ำ
นั้นไดม้ หี นว่ ยประชำสงเครำะหเ์ ปิดสอนให้ควำมรู้ก่อนแล้ว
ศำสนสถำนประจำหมู่บ้ำนทั้งสองแห่งเน่ืองจำกเป็นชำวเขำเผ่ำเย้ำที่มีประเพณีนับถือผี จึงไม่มี
สถำนที่เกี่ยวกับศำสนำ โดยวัฒนธรรมต่ำงๆ ยังคงรักษำเอกลักษณ์ของชำวเขำ เช่น เทศกำลตรุษจีน(ปี
ใหม่เย้ำ) กำรเป๋งผี กำรบวช กำรเข้ำกรรม กำรเซ่นไหว้บรรพบุรษุ กำรเล่นระบำรำถำด เป็นตน้
ประวัตบิ ้ำนทุ่งหนอง
บ้ำนทุ่งหนอง แต่เดิมเป็นหมู่บ้ำนเล็กๆ รำษฎรได้ตั้งบ้ำนเรือนเพ่ือเพำะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ต่ังอยู่
ห่ำงจำกหม่บู ้ำนในปัจจุบัน ไปทำงทิศตะวันตกออกเฉียงเหนือ ห่ำงกนั ประมำณ 7 กิโลเมตร รอบๆหมู่บำ้ น
มีหนองน้ำหรือแอ่งน้ำ ตลอดจนเป็นที่ทำนำของชำวบ้ำนจำกบ้ำนปิน บ้ำนหลวง โดยมีนำยทิ้มชำวน่ำน
เป็นผู้นำหมู่บ้ำน ต่อมำในวนั ที่ 1 กุมภำพันธ์ พ.ศ. 2517 ทำงรำชกำรได้ประกำศพื้นทเี่ ขตอำเภอเชียงม่วน
เปน็ พ้ืนท่อี นั ตรำย (แดนสีชมภู)
อันเน่ืองมำจำกภัยคุกคำมของผกู้ ่อกำรร้ำยคอมมิวนิสต์ ทหำรได้อพยพชำวบ้ำนทอี่ ยู่บริเวณบ้ำน
ทงุ่ หนองทกุ หลงั คำเรอื น ใหอ้ อกมำตั้งในบริเวณที่จัดตงั้ ให้(บริเวณปัจจุบัน) ประกอบเส้นทำงคมนำคมกับ
หมู่บ้ำนอน่ื ๆ ไม่สะดวก ตอ่ มำไดย้ กฐำนะเป็นหมบู่ ำ้ นเป็น หมทู่ ่ี 5 ตำบลสระ
กำรประกอบอำชีพส่วนใหญ่จะประกอบอำชีพเกษตรกรรม และมีอำชีพรับจ้ำง โดยมี
สถำนศกึ ษำในหมู่บ้ำน 1 แห่งคือ โรงเรียนบ้ำนทุ่งหนอง เปิดทำกำนสอนเป็นคร้ังแรกเม่อื วนั ที่ 9 มถิ ุนำยน
พ.ศ. 2514 มีนำยสม บ้ำนสระ เป็นครูใหญ่คนแรก สอนต้ังแต่ชั้น ป.1 – ป.3 ต่อมำย้ำยมำอยู่พื้นที่ใหม่
โรงเรยี นมเี นือ้ ท่ที ง้ั ส้ิน 10 ไรเ่ ศษ (โรงเรยี นบำ้ นทุ่งหนอง, 2539)
ศำสนสถำนประจำหมู่บ้ำนมีวัด 1 แห่ง ช่ือวัดทุ่งหนอง สังกัดคณะสงฆ์นิกำยมหำนิกำย ตั้งอยู่ใน
ทีด่ นิ 8 ไร่ 1งำน 30 ตำรำงวำ (กองพุธศำสนสถำน, 2532: 880)
ประวตั บิ ้ำนทำ่ ฟ้ำใต้
กำรศึกษำควำมเป็นมำของชำวไทลื้ออำเภอเชียงม่วนมีควำมเก่ียวพันกับประวัติอันยำวนำนของ
กลุ่มไทล้ืออื่นๆ ไม่ว่ำจะเป็นอำเภอเชียงคำ จ.พะเยำ อำเภอเทิง จ.เชียงรำย อำเภอท่ำวังผำ อำเภอนำ
น้อย จ.น่ำน จำกกำรสอบถำมผู้สงู อำยใุ นปจั จุบันก็ไม่มีใครยนื ยันหลักฐำนหรือเอกสำรท่ีบันทกึ ไว้เพียงแต่มี
กำรบอกเลำ่ ต่อกนั มำประกอบกบั กำรบันทึกเร่ืองรำวควำมเปน็ มำนน้ั
ประมำณปี พ.ศ. 2399 พระเจ้ำสุริยพงศ์ ผริตเดช ได้ยกทัพไปปรำบข้ำศึกท่ีเมืองเชียงตุงได้พบ
เห็นเผ่ำไทล้ือกลุ่มหนึ่งซ่ึงมีวัฒธรรมมีนิสัยใจเย็นอดทน ขยันขันแข็ง รักควำมสงบแต่ตกอยู่ในอำนำจของ
จีนฮอ่ 1,000 คนพวกจนี ฮ่อไดท้ ำรณุ กรรมดว้ ยวธิ ตี ่ำงๆนำนำ
ไทล้ืออีกกลุ่มจำนวน 2 ครัวเรือนประมำณ 100 คนเศษจำกเมืองพงสิบสองปันนำเช่นกัน ซ่ึงมี
พ่อแสนมังคละเดินทำงลงมำสร้ำงหมู่บ้ำนในบริเวณทุ่งใกล้ริมฝั่งแม่น้ำป้ี ท่ีเรียกกันวำ่ ทุ่งล้ำ-ทุ่งลอ และตั้ง
ชื่อหมู่บ้ำนว่ำบ้ำนแพทย์ ตำมหมู่บ้ำนเดิมในเมืองพง เม่ือพ่อเฒ่ำมังคละถึงแก่กรรม พ่อเฒ่ำแก้วกำบคำได้
สืบตำแหน่งแทน พ่อเฒ่ำอุทัย อุ่นตำลแห่งบ้ำนทุ่งหนอง ตำบลสระ อำเภอเชียงม่วน ให้ข้อมูลว่ำไทลื้อ
กลุ่มพ่อเฒ่ำแสน เป็นกลุ่มแรกทมี่ ำสรำ้ งบ้ำนเรอื นในเชียงมว่ น ซ่งึ พอ่ เฒ่ำได้บันทึกเป็นเอกสำรตำมคำบอก
เลำ่ ของคนร่นุ เก่ำ
ปี พ.ศ.2399 พระเจ้ำสุรยิ ผริตเดชไว้กวำดต้อนชำวไทลอ้ื มำไวใ้ นเขตจังหวัดน่ำนประมำณ 2,000
คน (โรงเรยี นหนองบวั อำ้ งถึงในกรมศลิ ปกร 2530:42)
แต่หลังฐำนบำงเล่มกล่ำวไว้ว่ำ (เง้ียว) ยกทัพรุกล้ำเข้ำมำในรำชอำณำเขตเจ้ำครองนครน่ำนจึง
ออกไปปรำบขับไล่ พบว่ำพบว่ำ ชำวไทลื้อถูกจีนฮ่อรังแกได้รับควำมเดือดร้อนจึงเกล้ียกล่อมให้นำมำตั้ง
บ้ำนเรือนทบ่ี ้ำนหงำวในท้องท่ี อ.เทงิ จังหวดั เชียงรำยขณะน้ันยังขึ้นตอ่ เมืองน่ำนต่อมำไทลื้อขออนุญำตไป
อยู่ร่วมกับไทลือ้ เชยี งมว่ น
เม่อื ชำวไทลื้อกลุ่มพ่อเฒำ่ แสน กลุ่มพญำคำ พญำธนะ ตัง้ ถนิ่ ฐำน ณ เมอื งเชียงมว่ นแล้วภำยหลังมี
ชำวไทลื้อจำกท้องท่ีจังหวัดน่ำน ปัจจุบัน เช่นท่ำวังผำ นำน้อยเคล่ือนย้ำยลงมำสมทบอีกเป็นจำนวนมำก
ประชำกรชำวไทลื้อรุ่นปัจจุบันหลำยคน บอกว่ำได้ย้ำยมำจำกเมืองน่ำนโดยเฉพำะชำวไทลื้อบ้ำนท่ำฟ้ำซ่ึง
ต่อมำได้ขยำยออกเป็นบ้ำนท่ำฟ้ำใต้-ท่ำฟ้ำเหนือ-ท่ำฟ้ำใหม่ ได้ย้ำยมำจำกบ้ำนหนองบัว ท่ำวังผำ จังหวัด
น่ำนอีกทอดหน่ึงซึ่งเป็นผลพวงมำจำก ยุคเก็บผักใส่ซ้ำ เก็บข้ำใส่เมือง (วิมล ปิงเมืองเหล็กสัมภำษณ์) ซึ่ง
แตเ่ ดมิ เป็นชำวลือ้ จำกเมืองล่ำ ในสิบสองปนั นำ
หมบู่ ้ำนไทล้ือเมืองเชยี งม่วนต้ังหมู่บ้ำนริมแมน่ ้ำป้ีและน้ำยมนับตั้งแต่บ้ำนตน้ ซำง (บริเวณท่วี ำ่ กำร
อำเภอเชียงม่วน ปัจจุบันเป็นบ้ำนหลวง) บ้ำนร่องอ้อ บ้ำนมำง บ้ำนแพทย์ บ้ำนน้ำล้อม บ้ำนห้วยทรำย
บ้ำนทุ่งมอก บ้ำนบ่อตอง บ้ำนทุ่งหนอง บ้ำนท่ำฟ้ำ ส่วนบ้ำนปงสนุกน่ำจะเป็นส่วนขยำยของบ้ำนแพทย์
คนรุน่ แรกนำ่ จะมำจำกบ้ำนปง ในสิบสองปันนำเมื่อมำตั้ง ถนิ่ ฐำนรมิ แมน่ ้ำป้ี ได้รับควำมสะดวกสบำยปลูก
ผักทำกำรเกษตรไดผ้ ลสมบูรณด์ ีไม่ตอ้ งเดือดรอ้ นหนภี ัยชำวจีนจงึ เติมวำ่ สนกุ ต่อมำภำยหลัง
คำว่ำทุ่งล่ำ-ทุ่งลอท่ีพ่อเฒ่ำแสนมังคละผู้นำชำวไทลื้อมำต้ังหลักแหล่งเป็นกลุ่มแรกตำมคำบันทึก
ของพ่อเฒ่ำอุทัย อุ่นตำลน่ำจะเป็นบริเวณที่รำบตั้งแต่ดอยหลวง ดอยแก้ว ดอยภูปอ จนถึงฝั่งยม บริเวณ
บ้ำนทุ่งหนอง สถำนท่ีต้ังโบรำณสถำนคูเมือง ซึ่งน่ำเช่ือถือได้ว่ำเป็นท่ีต้ังเมืองเชียงม่วนเก่ำบริเวณทุง่ ที่ว่ำนี้
มลี ำนำ้ ปี้ไหลมำบรรจบกนั เรียกว่ำ สบป้ี ยน่ื เปน็ แหลม มีร่องรอยของชุมชนโบรำณ ชำวบ้ำนเคยขุดพบถ้วย
ชำมดินเผำในบริเวณกวำ้ งต่อมำถูกน้ำทว่ มบ่อยเนือ่ งจำกอยู่ใกล้ ฝง่ั ยม ฝ่งั ป้ี จึงย้ำยหนใี นทส่ี ุด
ทุ่งล่ำ-ทุ่งลอ ถูกลำน้ำและเทือกเขำขนำบไว้กำรขยำยพ้ืนที่ไปทำได้ยำชุมชนไทล้ือยุคแรกขำด
อปุ กรณ์กำรเกษตรที่มสี มรรถภำพสงู กำรขยำยและปรับปรุงพ้ืนทก่ี ็มีปัญหำจงึ ต้องทำนำทำไร่ริมฝั่งน้ำเป็น
หลัก ถ้ำปีใดน้ำท่วมสูงพืชผกั เสยี หำย บ้ำนเรือนที่อยอู่ ำศยั ก็จะกระทบกระเทือนไปด้วย หมู่บ้ำนไซยสถำน
ซ่ึงสมัยหนง่ึ เคยเรียกวำ่ บ้ำนสันกหุ ลำบ
ประชำชนไทล้ือเชียงม่วน คงขยำยอย่ำงรวดเร็วด้วยสำเหตุกำรขยำยเผ่ำพันธุ์ภำยในและ
ประชำกรนอกพื้นที่มำสมทบเช่น จำกเขตอำเภอเทิงจำกเมืองน่ำน สถำปัตยกรรม เช่น วิหำรวัดทุ่งมอก
หลังเก่ำ วัดบ้ำนมำง วัดบ้ำนหลวง แสดงให้เห็นว่ำชำวไทลื้อต้องมีจำนวนมำกและเข้มแข็ง พอท่ีจะสร้ำง
ศำสนะสถำนเช่นนไ้ี ด้
เม่ือประชำกรไทลื้อเพิ่มมำกขึ้น ท่ีทำกินมีจำกัดและประสบอุทกภัยบ่อยคร้ังควำมเป็นอยู่ไม่
สมบูรณ์ตำมเดิมจนมีคำพูดเชิงประชดประชันว่ำ เมืองเซี้ยงม่วน แทนคำว่ำหมด แล้วเมืองเชียงม่วน
ประกอบกับขณะมีชำวไทล้ือจำนวนหนึ่งจำกสิบสองปันนำ โยกย้ำยถิ่นฐำนมำอำศัยในเขตเมืองเชียงคำ
เช่น กลุ่มพญำโพธิสัตว์ (พญำนำยฮ้อย)จำกเมืองหย่วนมำสร้ำงบ้ำนหย่วน กลู่มเจ้ำนำงมะทรุดจำกเมือง
โลงเพรำะได้ขำ่ ววำ่ “เมงิ เทิง ดน๋ิ ด๋ำ น้ำจุม่ ”
พญำคำและพญำธนได้นำไทลื้อจำนวนหน่ึงไปอยู่เมืองเชียงคำสร้ำงหมู่บ้ำนใหม่ช่ือบ้ำนมำง ตำม
ช่ือบำ้ นมำง อำเภอเชียงม่วนและไทลื้อกล่มุ น้ีคงย้ำยไปหลงั จำกที่ได้สรำ้ งวดั ศรีเมืองมำงและวดั บ้ำนทุ่งมอก
แห่งเมืองเชียงม่วน แล้วเพรำะวัดทุ่งมอกในบัดนี้ตำมประวัติบอกเล่ำยืนยันว่ำ พญำคำ เป็นผู้สร้ำงวัด
ทุง่ มอก
ผู้เฒ่ำแสนกำบคำนำไทลื้อจำกบ้ำนแพทย์ เมืองเชียงม่วน ไปสร้ำงบ้ำนแพดเมืองเชียงคำ (กำร
เขียนชื่อหมู่บ้ำนแตกต่ำงกัน) เพรำะทำงเชียงม่วนเขียนเป็นภำษำไทยในปัจจุบัน แต่เสียงยังพ้องกัน
สำมำรถสบื ต่อควำมหมำยกนั ได้
พ่ออุ้ยอุทัย อุ่นตำล แห่งบ้ำนทุ่งมอกเมืองเชียงม่วน ได้ทำบัญชีไทลื้อท่ีอพยพไปอยู่เมืองเทิงและ
เมอื งเชียงคำ ดังนี้
ชือ่ หมู่บ้ำนในอำเภอเชยี งม่วน ชอ่ื หมู่บ้ำนท่ียำ้ ยไปอยู่
บำ้ นบ่อตอง บ้ำนหว้ ยหลวง อ.เทิง จ.เชยี งรำย
บำ้ นรอ่ งออ้ บ้ำนหยว่ น อ.เชยี งคำ
บำ้ นมำง บำ้ นมำง อ.เชยี งคำ
บำ้ นนำ้ ลอ้ ม บำ้ นแพด อ.เชยี งคำ
บำ้ นแพทย์ บ้ำนทุ่งมอก อ.เชียงคำ
บำ้ นทงุ่ มอก บำ้ นทุ่งหนอง อ.เชียงคำ
บำ้ นทงุ่ หนอง บำ้ นหนอง อ.เชยี งคำ
บ้ำนหว้ ยทรำย บำ้ นทรำย อ.เชยี งคำ
บำ้ นตน้ ซำง (หย่อมบำ้ นหนึง่ ของบำ้ นหลวงตัง้ แต่ท่ีวำ่ กำรอำเภอทำงทิศใต้) ยำ้ ยไปอยู่อำเภอเชียง
คำ เรยี กว่ำ ศรีพรม
กำรย้ำยถ่ินฐำนของชุมชนโบรำณโดยปกติจะมีอยู่อย่ำงต่อเน่ืองเหมือนน้ำซึมในดินทรำยด้วยเหตุ
ทำงกำรประกอบอำชีพเว้นแต่ในกรณีหลบภัยกำรอพยพส่วนใหญ่จะย้ำยเปน็ กลุม่ ใหญ่บ่อยครั้งที่ชำวไทลื้อ
สบั สน ไทลื้ออำเภอเชียงคำก็บอกว่ำย้ำยมำจำกเชียงมว่ นและไทลื้อเชยี งมว่ น ก็เขำ้ ใจว่ำย้ำยมำจำกอำเภอ
เชยี งคำ
ณ หมู่บ้ำนทำ่ ฟ้ำใต้มเี ร่อื งเลำ่ ต่อๆกนั มำเกี่ยวกบั ประวตั ิหมู่บ้ำนดังน้ี
ในวันหนึ่งมีฝูงช้ำงออกมำกินข้ำวไร่นำ และพืชผลต่ำงๆของผู้เฒ่ำคนหน่ึงจนได้รับควำมเสียหำย
เป็นอย่ำงมำกทำให้ผู้เฒ่ำบันดำรโทสะเป็นอย่ำงย่ิงจึงเอำปืนไฟมำยิงช้ำงทันใดนั้นก็เกิดมืดฟ้ำมัวฝนฟ้ำได
ผำ่ ถูกตัวผ้เู ฒ่ำคนนั้นจนถึงแก่ชีวติ ใกล้ๆท่ำน้ำฝงั่ ขวำของแม่น้ำยมต่อมำชำวบ้ำนจึงพำกันเรียกว่ำ “ทำ่ เฒ่ำ
ฟ้ำ”
ภำยหลังเรียกส้ันๆว่ำ ท่ำฟ้ำ จนถึงปัจจุบันและได้สร้ำงศำลเรียกว่ำ “หอผีฟ้ำ” หอน้ีไม่มีหอ
หลังคำต่อมำมีผู้หวังดีได้สรำ้ งหลังคำให้และเกิดล้มป่วยจนในที่สุดต้องรอ้ื หลังคำออกจึงจะหำยปัจจุบันหอ
นอ้ี ยตู่ ดิ กบั สถำนอี นำมยั บ้ำนทำ่ ฟ้ำใต้ (นำยธรรม กันทะ ผใู้ ห้สมั ภำษณ์)
ในช่วงระหว่ำงวันท่ี 16 ตุลำคม – 2 พฤศจิกำยน พ.ศ. 2455 พระยำดัษกรปลำศได้ยกทัพ
ปรำบปรำมผู้เงี้ยว จำกเมืองสะเอียบ จ. แพร่ ถึงเมืองออย อ. ปง ในขณะเดินทำงได้ข่ำวว่ำผู้ร้ำยเง้ียวเข้ำ
มำต้ังคอยต่อสู้อยู่หลำยแห่งจนมีจดหมำยไปถูกผู้บังคับกองทหำรเมืองพะเยำ ให้นำทหำรตีพวกเง้ียวอีก
ทำงหน่ึงเมื่อรบชนะก็ยกติดข้ึนไปกองทหำรท่ีมำจำกเมืองพะเยำรบเงี้ยวเข้ำมำอีกทำง เง้ียวสู้พลำงถอย
พลำง จนมำถึงบ้ำนท่ำฟ้ำพระยำดัษกรปลำศยกข้ึนไปนำยทหำรที่มำจำกเมืองพะเยำจับพม่ำไว้ได้ 2 คน
เอำมำส่งให้พระยำดัษกรปลำศไต่ถำม พม่ำสองคนไม่ให้กำรจึงสั่งประหำร แต่คนทั้ง 2 เป็นคนในบังคับ
ของอังกฤษ อังกฤษฟ้องว่ำหำได้เป็นผู้ร้ำยไม่ เมื่อเสร็จจำกกำรปรำบผู้ร้ำยเงี้ยวจึงต้ังศำลทหำรพิจำรณำ
คดีเรือ่ งพระยำดัษกรปลำศสง่ั ให้ประหำรชีวติ พม่ำท้ัง 2 คน กำรพิจำรณำได้ควำมวำ่ พม่ำคนหน่ึงหนขี ้ึนไป
จำกเมอื งแพร่กับผูร้ ำ้ ยเงี้ยวเดยี วกัน อกี คนหนงึ่ เป็นคนจรจัดจัดอยู่ในหมผู่ ู้รำ้ ยเง้ียวท่ีต่อสู้กบั กองทหำร ไม่
มีพยำนปรำกฏว่ำทหำร 2 คนสู้รบด้วย แต่ปรำกฏว่ำพระยำดัษกรปลำศไม่สืบให้สิ้นกระแสควำมในเรื่อง
พม่ำ 2 คนเป็นแต่ถือเอำข้อที่ไม่ให้กำรเป็นพิรุธ โดยฐำนไม่มีข้อแก้ตัวศำลจึงพิจำรณำว่ำพระยำดัษกร
ปลำศมีควำมผิดแต่ทำโดยซ่ือตรงไม่ได้ทำโดยทุจริต พระยำดัษกรปลำศจึงถูกขังอยู่โรงทหำรปีเศษ จึง
โปรดยกโทษพระรำชทำนสำนวนคดี เร่ืองน้มี แี จ้งในหนงั สอื รำชกิจจำนุเบกษำ รัตนโกสินศก 122 นนั้ แล้ว
ปัจจุบันชำวไทล้ือบ้ำนท่ำฟ้ำได้ถูกวัฒนธรรมเมืองเข้ำมำผสมผสำนตลอดจนลูกหลำนปัจจุบันได้
เปลี่ยนวถิ ีกำรดำเนินชีวิตแต่ท่ียงั เหลืออยู่คอื ด้ำนภำษำพดู กำรแต่งกำย กำรทำบุญข้นึ บ้ำนใหม่ กำรตำน
ตุงยำว ส่วนบำงอย่ำงที่สืบทอดไม่ได้เช่น กำรขับล้ือ กำรฟ้อนเจิง เล่นมะกอน(นำยอู๊ด เข่ือนแกวผู้ให้
สมั ภำษณ์)
กำรประกอบอำชีพส่วนใหญ่จะทำเกี่ยวกับกำรเกษตรบนฝั่งแม่น้ำยม เช่น ไร่ยำสูบ
ไร่ข้ำวโพด ข้ำวฟ่ำง มะเขือเทศเป็นต้น
สถำนศึกษำในหมู่บ้ำนมี 1 แห่งก่อตั้งเม่ือปี พ.ศ. 2482 ในที่ดิน 3 ไร่ต่อมำแม่น้ำยมกัดเซำะจึง
ย้ำยไปท่ีแห่งใหม่ห่ำงจำกแหล่งเดิมประมำณ 100 เมตร ด้ำนทิศตะวันตกมีท่ีดินประมำณ 5 ไร่ 20 ตำรำง
วำ ต่อมำในปี พ.ศ. 2520 ได้ย้ำยไปอยู่ที่แห่งใหม่ในเน้ือท่ี 47 ไร่เพรำะจำนวนนักเรียนเพิ่มมำกขึ้นและที่
โรงเรียนเดมิ เป็นศนู ย์พัฒนำเดก็ เล็ก กรมพฒั นำชุมชน
ศำสนสถำนมี 2 แห่งคือวัดท่ำฟ้ำใต้สร้ำงเมื่อ พ.ศ.2417 สังกัดคณะสงมหำนิกำยมีเน้ือที่
2 ไร่ 35 ตำรำงวำ
โดยวิหำรวัดท่ำฟ้ำใตไ้ ด้ขึ้นทะเบียนโบรำณสถำนแห่งชำติและมีพระธำตุโป่งเกลอื สร้ำงเม่ือปี พ.ศ.
2538
ประวตั ิบ้ำนท่ำฟำ้
เหนือ
บำ้ นท่ำฟำ้ เหนอื เป็นหมบู่ ้ำนชำวไทลื้อเป็นกล่มุ ชนเดียวกับบ้ำนท่ำฟ้ำใต้ ซงึ่ ได้เข้ำไปตงั้ ถ่ินฐำนห่ำง
จำกบ้ำนท่ำฟ้ำใต้ไปทำงทิศเหนือติดกับแม่น้ำยมประมำณ 3 กิโลเมตรต่อมำมีกำรอพยพชำวบ้ำนจำกบ้ำน
มำงและท่ีอ่ืนๆมำสมทบ ได้สร้ำงอำรำมสงฆ์ติดกับลำห้วยขำมด้ำนทิศตะวันออก โดยวิหำรเป็นศิลปะแบบ
ไทลื้อ 1 หลังกุฏิ 1 แห่ง (นำยแสงตำล ประชุมและนำยแก้ว ไชยลังกำร ผู้ให้สัมภำษณ์ )
ในปี พ.ศ. 2504 ได้มีกำรแบ่งกำรปกครองโดยแยกหมู่บ้ำนที่อยู่ฝ่ังตรงข้ำมกับลำห้วยขำมทิศ
ตะวันตกเปน็ บ้ำนหลำ่ ย หมทู่ ี่ 6 (นำยเสวก เทพเสนำ ผู้ให้สัมภำษณ)์
กำรประกอบอำชีพส่วนใหญ่ทำกำรเกษตร ปลูกยำสบู ไร่ข้ำวโพด ข้ำวฟ่ำง พืชผักต่ำงๆ เป็นต้น
โดยนิสัยของชำวไทลื้อจะมีควำมมุมำนะมำกขยันขันแข็งในกำรประกอบอำชีพและพ้ืนที่เหมำะสม
กำรเกษตรทำให้ฐำนะควำมเปน็ อยู่ค่อนขำ้ งดี
สถำนศึกษำในหมู่บ้ำนมี 1 แห่งจัดต้ังเมื่อปี พ.ศ. 2482 โดยมีนำยเสวก เทพเสนำ เป็นครูใหญ่
คนแรกต้งั อยูใ่ นทด่ี ิน 4 ไร่ 1 งำน 40 ตำรำงวำ
ศำสนสถำนประจำหมู่บ้ำนมี 1 แห่งคือวัดท่ำฟ้ำเหนือสังกัดคณะสงฆ์มหำนิกำย ต้ังอยู่ในเน้ือท่ี 3
ไร่ 2 งำน 20 ตำรำงวำ มพี ระอภวิ งศเ์ ป็นเจ้ำอำวำสองคแ์ รก (กองพุทธศำสนสถำน. 2532: 844)