คำนำ
โลกมีพลวัตอยตู่ ลอดเวลา บ่อยครั้งทีม่ กี ารเปลีย่ นแปลงแบบคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป แต่จะมนี าน ๆ คร้ังท่ีกอ่
เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน
การเปลยี่ นแปลงแบบถอนรากถอนโคน กอ่ ใหเ้ กิดการจบส้นิ ของบางสง่ิ พร้อม ๆ กับการอบุ ัตขิ น้ึ ของ
สงิ่ ใหม่ ๆ ที่ไมเ่ คยมมี ากอ่ นหนา้ น้นั การเปลย่ี นแปลงแบบถอนรากถอนโคนจนไมเ่ หลอื เคา้ โครงสร้างเดมิ ในทาง
ชวี วิทยาเรยี กวา่ “การปรบั เปลย่ี นเชิงโครงสรา้ ง” (Metamorphosis) ดังเชน่ ตัวหนอนทค่ี อ่ ย ๆ เปลย่ี นตวั เอง
เป็นดักแด้ ก่อนทจ่ี ะคอ่ ย ๆ เปล่ียนตัวเองอีกคร้ังเปน็ ผเี สือ้ ในที่สุด
การเปลี่ยนแปลงในพลวัตของโลก ก็ไมไ่ ดม้ อี ะไรท่ผี ิดแปลกแตกตา่ งไปจากการเปล่ียนแปลงจากตวั
หนอนเปน็ ผีเสอ้ื นคี่ อื ปรากฏการณท์ อี่ าจเรียกว่า “กำรปรบั โครงสรำ้ งโลก” (Global Metamorphosis)
ภายใตก้ ารปรับโครงสรา้ งโลก อารยธรรมกาลงั อยใู่ นระยะเปลี่ยนผ่าน ที่มไิ ด้มีแตเ่ พยี งการปฏวิ ัติ
อุตสาหกรรมครัง้ ท่ี 4 ท่เี กิดขึ้นพรอ้ ม ๆ กบั การปรับโครงสรา้ งเศรษฐกจิ คร้งั ใหญ่เทา่ นั้น แต่เกดิ การปฏวิ ัติทาง
สงั คมและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนษุ ย์ขนานใหญต่ ามมา …
… และนี่คอื ท่มี าของการอุบัตขิ ึ้นของ “สงั คมของพวกเรำ” ในโลกหลงั โควดิ
สวุ ิทย์ เมษนิ ทรยี ์
2 พฤษภำคม 2563
สำรบญั
โมเดลขบั เคลอื่ นควำมสมดลุ ในสงั คมหลงั โควดิ …………………..…..…..1
กำรอบุ ัตขิ นึ้ ของสงั คมหลงั โควดิ …………..…………………….………..……..3
7 ส่ิงมหศั จรรยจ์ ำกภำยใน…………..………………………..…...…..…..…..15
กำรเรม่ิ ตน้ ชวี ติ ใหมห่ ลงั โควิด…………..………………………...…..…..…..17
โมเดลขับเคลอ่ื นควำมสมดุลในสงั คมหลงั โควิด
“If at first the idea is not absurd,
there is no hope for it.”
Albert Einstein
เป็นทท่ี ราบกันดีวา่ อตุ สาหกรรมต่าง ๆ ลว้ นมีรากของการพฒั นาในยคุ ของ “สงั คมอุตสาหกรรม”
เมอ่ื โลกเข้าสู่ “สังคมฐานดจิ ิทัล” ก็พบวา่ หลาย ๆ อตุ สาหกรรมเร่ิมเผชญิ กบั ปญั หารอบด้าน ไม่วา่ จะเปน็
ปัญหาเรื่องส่งิ แวดล้อมและพลงั งาน ปัญหาทางสงั คมและชมุ ชน ปัญห าในเรอื่ งแรงงาน และการพัฒนา
ศกั ยภาพของความเปน็ มนุษย์ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การพฒั นาทกั ษะและความคิดสรา้ งสรรค์
บทเรยี นจากโรคระบาดโควดิ -19 และภาวะโลกรอ้ น สอนให้รู้วา่ วิกฤตทเ่ี กดิ ข้ึนล้วนแลว้ แตม่ รี ากมา
จาก “ความไมส่ มดุล” เป็นความไมส่ มดลุ ระหว่างมนุษยก์ ับมนษุ ย์ และความไมส่ มดลุ ระหวา่ งมนษุ ย์กับ
ธรรมชาติ ประเด็นทา้ ทายใน “โลกหลงั โควดิ ” จงึ อยู่ที่ว่า จะปรบั ความสมดลุ ใหเ้ กดิ ขน้ึ ในมติ ติ า่ ง ๆ ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง
ไดอ้ ย่างไร
ถึงเวลาทตี่ ้องมาทบทวนวา่ จะทาอย่างไรใหเ้ กิด “กำรขบั เคลือ่ นควำมสมดุล” (Thriving in
Balance) ใน 4 มิติ ซึง่ ประกอบดว้ ย
1) ควำมมงั่ คง่ั ทำงเศรษฐกจิ (Economic Wealth)
2) สังคมที่อยู่ดีมีสุข (Social Well-Beings)
3) กำรรักษ์ส่งิ แ วดล้อม (Environmental Wellness)
4) กำรเสริมสร้ำงภูมปิ ัญญำมนษุ ย์ (Human Wisdom)
เงื่อนไขสาคญั ในการทาให้เกิดการขับเคลอ่ื นความสมดุล อย่ทู คี่ วามพร้อมในการเตรียมผู้คนใหเ้ ปน็
มนษุ ย์ท่ีสมบรู ณ์ในโลกหลังโควิด มนุษย์ทส่ี มบูรณ์ต้องมี “ชวี ติ ทส่ี มดลุ ” (Balanced Life) ประกอบด้วยพลงั
ปัญญา (Head) ทักษะ (Hand) สุขภาพ (Health) และจิตใจท่ีงดงาม (Heart) ชวี ติ ทส่ี มดุลเปน็ ชวี ิตทเ่ี ตม็ เปย่ี ม
ไปดว้ ย “ความรู้” และ “คณุ ธรรม” เพราะทั้งความรแู้ ละคุณธรรมเปน็ ฐานรากสาคัญนาพาสกู่ ารพัฒนาทย่ี ง่ั ยนื
1
ด้วย “ควำมร”ู้ การแสดงออกซ่ึงคุณคา่ และศกั ยภาพของผ้คู นผ่านคา่ นยิ ม “ปจั เจกนทิ ศั น”์ (Self
Expression Value) จงึ จะสามารถถูกปลดปล่อยออกมา ค่านยิ มปจั เจกนทิ ิศนเ์ ป็นเง่อื นไขสาคัญในการสรา้ ง
“วฒั นธรรมผปู้ ระกอบการ” (Entrepreneurial Culture) และหากขาดซง่ึ วฒั นธรรมดังกล่าวก็เป็นไปได้ยากที่
จะสรา้ ง “เศรษฐกจิ รงั สรรคม์ ูลคา่ ” (Value Creation Economy) ทีส่ มบูรณแ์ บบได้
เฉ กเช่นเดียวกับ “คุณธรรม” หากคุณธ รรมของผู้คนบกพร่อง ค่านิยม “จิตสำธำรณะ”
(Communal Value) ก็ยากท่ีจะเกิดข้ึน ค่านิยมจิตสาธ ารณะเป็นตัวขับเคลื่อนสาคัญใ นการสร้าง
“วฒั นธรรมการเก้อื กลู และแบง่ ปนั ” (Caring & Sharing Culture) และหากขาดซ่ึงวฒั นธรรมดังกล่าว การ
สร้าง “สังคมของพวกเรา” (We-Society) ก็จะไม่บงั เกิดขึ้น
จงึ อาจกลา่ วได้วา่ ชีวติ ทส่ี มดลุ ดว้ ย “ควำมร”ู้ แ ละ “คณุ ธรรม” เป็นปฐมบทของการพัฒนาทส่ี มดลุ
ในโลกหลงั โควิด หากคขู่ องความรแู้ ละคณุ ธรรมบกพรอ่ ง คู่ของคา่ นยิ มปจั เจกนทิ ศั นแ์ ละค่านยิ มจติ สาธารณะก็
ยากทีจ่ ะเกดิ ข้นึ สง่ ผลใหค้ ูข่ องวฒั นธรรมผปู้ ระกอบการและวฒั นธรรมการเกือ้ กลู และแบ่งปนั ไม่เกดิ ขนึ้ เปน็
ผลทาใหเ้ ราไมส่ ามารถสรา้ งเศรษฐกิจรังสรรคม์ ลู ค่าใหเ้ กดิ ข้นึ พรอ้ ม ๆ กบั สังคมของพวกเรา ซงึ่ ท้ังสองปัจจัย
เปน็ องค์ประกอบสาคญั ของการพฒั นาทยี่ ่งั ยนื อย่างแทจ้ รงิ
โมเดลกำรขับเคล่อื นท่ีสมดุลในสังคมหลงั โควิด
2
กำรอบุ ัตขิ ึน้ ของสงั คมหลงั โควิด
ในหว้ งหลำยศตวรรษทผ่ี ่ำนมำ กำรปรบั โครงสรำ้ งโลก (Global Metamorphosis) เรมิ่ จำกกำร
เ ปล่ียนผำ่ นจำก “สังคมเกษตรกรรม ” (Agrarian Society) เ ป็น “สังคมอุตสำหกรรม” (Industrial
Society) ผ่ำนกระบวนทศั นก์ ำรพัฒนำทมี่ งุ่ สู่ “ควำมทนั สมยั ” (Modernism) และคอ่ ย ๆ ปรบั เปลย่ี นสู่
“สงั คมดิจทิ ลั ” (Digital Society) จนกระทงั่ กำรเผชญิ กบั วกิ ฤตโรคระบำดโควิด-19 ซ่งึ จะนำพำเรำไปสู่
“สงั คมหลงั โควดิ ” (Post COVID Society)
ผลกระทบที่คอ่ ย ๆ เกิดขน้ึ จากภาวะโลกร้อน ผนวกกับการระบาดของโรคโควดิ -19 ที่เฉยี บพลนั และ
รนุ แรง เปน็ ปัจจยั ทก่ี ่อใหเ้ กิดการปรับเปลย่ี นกระบวนทัศนก์ ารพฒั นาจากการมุง่ สู่ “ควำมทนั สมัย” ไปสกู่ าร
มงุ่ สู่ “ควำมยัง่ ยืน” ใหเ้ กดิ ในอตั ราเรง่ ท่เี รว็ ข้นึ ครอบคลุมมติ ทิ ม่ี ากข้นึ และในปริมณฑลทก่ี วา้ งขนึ้
“สังคมอุตสำหกรรม” (Industrial Society)
สังคมอุตสาหกรรม ใ ช้ทนุ ทำงกำยภำพแ ละเงินทนุ (Physical & Financial Capital) เปน็ ตวั
ขับเคลือ่ น โดยการพฒั นา “เครอื่ งมอื เครอ่ื งจกั ร” ในการปลดล็อกข้อจากัดของ “แ รงงำนมนษุ ย”์ นาไปสู่
“กำรผลติ ซำ้ จำนวนมำก” (Mass Production) สะทอ้ นผา่ น “กำรผลติ เพือ่ ขำย” (Making & Selling)
ประเด็นทำ้ ทำย “สังคมอตุ สำหกรรม”
ด้วยความเชื่อวา่ มนษุ ย์มคี วามสามารถในการเอาชนะธรรมชาติ ผู้คนใน “สงั คมอุตสาหกรรม” ม่งุ เนน้
“อัตตานิยม” “เรื่องทางโลก” และ “ความมเี หตุมผี ลทางวิทยาศาสตร์” มองวา่ คุณค่าของสรรพส่ิงอยูท่ ่ี
ประโยชนใ์ นการใช้เคร่ืองมอื สคู่ วามมัง่ ค่งั โดยมุ่งไปสู่การทากาไรสงู สุดภายใต้กลไกตลาด เพ่อื สะสมทนุ และ
ความมัง่ ค่ัง การเจรญิ เติบโตทางวตั ถุ และเน้นไปสกู่ ารบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกจิ เพยี งมติ เิ ดยี ว ความรู้ทมี่ งุ่
ไปสูก่ ารสร้างความม่ังคัง่ จึงไม่ไดบ้ ูรณาการกับชวี ิตจริง จริยธรรมและการดาเนินชวี ติ ประจาวนั เพื่อความอยู่
รอดนนั้ ถูกแยกออกจากกัน การรงั สรรคร์ ว่ มและคุณคา่ ร่วม ตลอดจนความผกู พนั ของผูค้ นทางจิตใจและจติ
วญิ ญาณอยา่ งใน “สังคมเกษตรกรรม” ได้ถูกลดทอนความสาคญั ลงอยา่ งมากใน “สงั คมอตุ สาหกรรม”
3
“สังคมดจิ ิทลั ” (Digital Society)
สงั คมดจิ ิทัล ใช้องคค์ วำมรแู้ ละเครอื ขำ่ ย (Knowledge & Network) เป็นฐานราก โดยการพฒั นา
“สมองกลและปญั ญำประดษิ ฐ”์ ในการปลดล็อกขอ้ จากัดของ “สมองมนษุ ย”์ นาไปสู่ “กำรผลติ ตำมควำม
ต้อ ง ก ำ ร ที่แ ต ก ต่ำ ง ” (Mass Customization) แ ล ะ “ก ำ ร ผ ลิต ตำ มค ว ำ มต้อ งก ำร ร ำย ตัว”
(Personalization) สะทอ้ นผา่ น “กำรรบั รู้เพือ่ ตอบสนอง” (Sense & Response)
ประเด็นทำ้ ทำย “สงั คมดิจทิ ัล”
ใน “สงั คมดจิ ทิ ัล” ผู้คนมิเพียงแตก่ าลงั เผชญิ กับ “ความไมเ่ ทา่ เทียมกันทางเศรษฐกิจ” ท่เี พมิ่ ขึ้น แต่
ตอ้ งเผชิญกับ “ความไมม่ เี สถยี รภาพทางสังคม” ทีเ่ พม่ิ ขนึ้ ดว้ ย “ชอ่ งวา่ งของความมง่ั ค่งั อานาจ และโอกาส”
ที่ค้างคามาตั้งแต่ใน “สังคมอตุ สาหกรรม” เป็นปญั หาใหญ่ ได้ถกู ซา้ เตมิ ด้วย “ช่องว่างทางดิจิทลั ” (Digital
Divide) ส่งผลให้ความเหลอ่ื มล้ามีมากข้ึน ระหวา่ ง “ผู้ไดโ้ อกาส” และ “ผ้ดู อ้ ยโอกาส” ในการเข้าถึงองค์
ความรู้ ด้วยเหตนุ ้ี Richard Sennett ไดก้ ลา่ วไวใ้ นหนังสือ The Culture of New Capitalism วา่ จะมี
ผคู้ นเพียงบางกลุ่มเทา่ นนั้ ที่สามารถสร้างความมนั่ คั่งในสภาพสังคมท่ีไมม่ เี สถยี รภาพอย่างเชน่ โลกของ “สงั คม
ดจิ ิทลั ”
การววิ ฒั นส์ ู่ “สังคมดิจิทัล” ยงั ไดก้ อ่ ให้เกดิ ปรากฏการณท์ นี่ า่ สนใจที่เรยี กว่า “Paradox of Our
Time”
เราร้จู กั สอ่ื สารกับคนมากขึ้น แต่กลับไม่คอ่ ยรู้จักหรือตดิ ต่อสอ่ื สารกับเพ่อื นบา้ น ด้วยอนิ เทอร์เนต็ ทา
ใหเ้ รารู้จักโลกภายนอกมากขนึ้ แตเ่ รากลับรูจ้ ักโลกภายในตัวเราน้อยลง พดู อีกนัยหน่งึ กค็ ือ ใน “สงั คม
ดิจทิ ัล” เราเข้าถึงเครือข่ายในการรับรู้สัมพนั ธ์กบั ผคู้ น แต่กลับกลายเปน็ ว่า ความผูกพันทางจิตใจ ซ่งึ
เป็นรากฐานสาคญั ในการเช่ือมต่อ “Heart & Hand” และ “Heart & Harmony” ระหว่างผคู้ น
กาลงั ถกู ลดทอน
“สงั คมหลังโควิด” (Post COVID Society)
สงั คมหลงั โควดิ จะใช้กำรรงั สรรคร์ ว่ มและคณุ คำ่ รว่ ม (Co-Creation & Shared Value) เป็นฐาน
รากใ นการปรับเปลี่ยนการผลิตและการบริโภค จาก โ หมดการแข่งขันในการผลิตและการบริโภค
(Competitive Mode of Production & Consumption) เป็น โ หมดการผนึกกาลังในการผลิตและการ
4
บริโภค (Collaborative Mode of Production & Consumption) โดยใช้ ภูมปิ ญั ญำมหำชน (Wisdom of
the Crowd) และ จติ วญิ ญำณเพอื่ สว่ นรวม (Common of the Mind) เป็นตัวปลดลอ็ กวกิ ฤต ความเสยี่ ง
และภัยคกุ คามรว่ ม นาพาไปสู่ “กำรผลติ แบบรว่ มรงั สรรค”์ (Mass Collaboration) สะท้อนผ่าน “กำร
เกอ้ื กลู แ ละแ บ่งปัน” (Caring & Sharing)
กำรปรับโครงสร้ำงโลกสู่กำรอบุ ตั ิขึน้ ของสังคมหลงั โควิด
สังคมหลังโควิด จึงเปน็ สังคมที่สัมพนั ธภาพของผคู้ นไดแ้ ผ่ขยายออกไปจาก “Many2Many” สู่
“Mind2Mind” จาก “สงั คมเสมือนจรงิ ” กลบั มาเปน็ “สังคมทแี่ ทจ้ รงิ ” จาก “สงั คมของพวกก”ู เปน็
“สังคมของพวกเรำ” สังคมหลังโควดิ จึงเปน็ สังคมท่ีเนน้ “กลั ยำณมติ ร” มใิ ช่เพียงแค่ “พันธมติ ร” เปน็ สงั คม
ทปี่ รบั เปล่ียนรปู แบบปฏสิ ัมพันธข์ องผคู้ นจาก “ตำ่ งคนตำ่ งปดิ ” ไปสู่ “ตำ่ งคนตำ่ งเปดิ ” เป็นสังคมท่ีกา้ วผา่ น
ความคดิ ของ “กำรแขง่ ขนั ” ไปสู่ “กำรรว่ มรงั สรรค”์ ทสี่ าคญั เป็น “กำรรว่ มรงั สรรคท์ ำงสงั คม” ควบคไู่ ป
กบั “กำรรว่ มรงั สรรคใ์ นเศรษฐกจิ ” เปน็ สังคมทภี่ ูมปิ ัญญามนษุ ย์ไดพ้ ฒั นากา้ วข้ามปรมิ ณฑลของ “ทรพั ยส์ นิ
ทำงปญั ญำ” สู่ “ภมู ิปญั ญำมหำชน” เปน็ สังคมท่ีเปลีย่ นวถิ ีชวี ติ มนุษยด์ ว้ ยการลด “กำรพง่ึ พงิ ผอู้ น่ื ” ไปสู่
“ควำมเปน็ อสิ ระ” และ “กำรพง่ึ พำอำศยั กัน” อย่างแทจ้ ริง
จำก “Many2Many” สู่ “Mind2Mind”
การยึดโยงเป็นเครอื ขา่ ยในโลกเสมอื นผา่ นอินเทอร์เน็ตทาใหป้ ฏสิ มั พันธข์ องผคู้ นได้เปลย่ี นแปลงไป
จาก “One2One”, “One2Many” และ “Many2One” ใ นสังคมอุตสาหกรรม มาสู่ “Many2Many” ใน
“สังคมดจิ ิทลั ” “Many2Many” ท่ีเกิดข้ึนให้คุณูปการมากมายเพราะเปน็ การขยายปฏสิ ัมพันธท์ างสงั คมใน
5
แนวกว้าง โดยเปดิ โอกาสให้ผคู้ นสามารถตดิ ตอ่ สื่อสาร แลกเปลยี่ นขอ้ มลู และองค์ความรู้ ในเครอื ข่ายไซเบอร์
กอ่ ให้เกดิ Democratization of Information และ Demonopolization of Knowledge
ส่วน “การรังสรรคร์ ่วม” และ “คณุ คา่ ร่วม” ซ่งึ เป็นคณุ ลักษณะสาคญั ใน “สงั คมเกษตรกรรม” นน้ั
จะถูกรอ้ื ฟืน้ ใหม้ ีบทบาทมากขึ้นใน “สงั คมหลงั โควดิ ” หลังจากท่ถี ูกละเลยมานานหลงั การเกดิ ขน้ึ ของ “สังคม
อุตสาหกรรม” ในขณะที่การยดึ โยงเป็นเครือขา่ ยในโลกเสมอื นน้ัน เอ้อื ใหเ้ กิดปฏสิ ัมพนั ธท์ างสังคมใน “แนว
กว้าง” ผา่ น Many2Many การรงั สรรค์รว่ มและคณุ ค่าร่วมนน้ั จะเออ้ื ใหเ้ กดิ ปฏสิ มั พันธ์ทางสงั คมใน “แนว
ลกึ ” ผา่ น Mind2Mind
การผนวกการยึดโยงเปน็ เครอื ขา่ ยในโลกเสมอื น เขา้ กับ การรังสรรค์รว่ มและคณุ ค่าร่วม ทาให้ “สงั คม
หลงั โควิด” สามารถเตมิ เตม็ สว่ นทขี่ าดใน “สงั คมดิจทิ ลั ” โดยบรู ณาการปฏสิ มั พันธท์ างสงั คมในแนวกว้างและ
แนวลึกเข้าดว้ ยกัน เปน็ การสนธิ Many2Many กับ Mind2Mind ใหเ้ ป็นหน่งึ เดยี ว
กำรเช่อื มโยง Many2Many และ Mind2Mind ในสงั คมหลงั โควิด
จำก “สงั คมเสมือนจริง” สู่ “สงั คมท่ีแท้จรงิ ”
Mind2Mind ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับ Many2Many ทาใหเ้ กดิ การเปล่ียนผ่านจาก “สงั คมเสมอื นจรงิ ”
(Virtual Society) ใ นสังคมดจิ ิทัล ไ ปสู่ “สังคมทแ่ี ทจ้ ริง” (Genuine Society) ใ นสังคมหลังโควดิ โดย
“สังคมทีแ่ ท้จริง” จะเปน็ สังคมทป่ี ระกอบขน้ึ ดว้ ย “มนษุ ยท์ แ่ี ท”้ กล่าวคอื เป็นสังคมซงึ่ ผคู้ นมไิ ดม้ อี งคค์ วามรู้
หรือทักษะเพยี งอย่างเดียว แตเ่ ต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม และจิตสาธารณะควบคไู่ ปด้วย
6
การเปลี่ยนแปลงค่านิยมคร้งั ใหญ่จาก “อตั ตานิยม” ไปสู่ “จติ สาธารณะ” และจากการเนน้ “เรอื่ งทาง
โลก” และ”ความมีเหตมุ ผี ลทางวทิ ยาศาสตร์” ไปสู่ “ปจั เจกนทิ ัศน”์ ส่งผลให้เกดิ การปรบั เปลยี่ นกระบวนการ
จาก “ก ำรผลติ เพ่ือขำย” (Making & Selling) ใน “สงั คมอุตสาหกรรม” สู่ “กำรรบั รเู้ พ่อื ตอบสนอง”
(Sense & Response) ในสังคมดิจิทัล และไปสู่ “กำรเกอ้ื กลู และแบง่ ปนั ” (Caring & Sharing) ในสังคม
หลังโควดิ ในที่สดุ
กำรปรบั เปล่ยี นคำ่ นิยมในสังคมหลังโควดิ
ดว้ ยการเก้อื กูลและแบ่งปันของผู้คนในสงั คม ความเปน็ “มนษุ ย์ที่แท้จรงิ ” จงึ จะเกดิ ข้ึน และนาพา
ไปสู่ “สังคมท่แี ทจ้ รงิ ” ได้ในทสี่ ุด
7
จำก “สงั คมของพวกกู” เปน็ “สังคมของพวกเรำ”
“The whole is greater than the sum of its part,
a group is smarter than any of its members.”
แต่ละสังคมมีปัจจัยขับเคลื่อนท่ีแตกตา่ ง ปัจจัยขับเคลื่อน “สังคมเกษตรกรรม” และ “สังคม
อุตสาหกรรม” คือ “การเพาะปลูก” (Growing Things) และ “การผลิต” (Making Things) ตามลาดบั
ในขณะท่ปี จั จยั ขบั เคลื่อน “สงั คมดจิ ิทลั ” คือ “การตอบสนอง” (Serving), “การสร้างความรู้” (Knowing),
“การรงั สรรค์ความคดิ ” (Thinking) และ “การสัง่ สมประสบการณ์” (Experiencing) สงั คมหลงั โควิดจะตอ่
ยอดปจั จยั ขบั เคลอื่ นใน “สังคมดจิ ิทลั ” ดงั กล่าวด้วย “ควำมไวว้ ำงใจ” (Trusting), “กำรเกอ้ื กลู ” (Caring),
“กำรแ บ่งปัน” (Sharing) และ “ควำมรว่ มมอื ร่วมใจ” (Collaborating)
หวั ใจในกำรขบั เคล่อื นสังคมหลังโควิด
การตอบสนอง การสร้างความรู้ การรังสรรค์ความคดิ และการสั่งสมประสบการณ์ เป็นคุณลักษณท์ ี่
“จาเป็น” สาหรบั ผู้คนในสงั คมหลังโควดิ เพราะเป็นโลกที่ผคู้ นแลกเปลี่ยนข้อมลู และองคค์ วามรู้เพอื่ ความอยู่
รอด แต่การทผ่ี ูค้ นจะอยใู่ นสงั คมหลงั โควดิ ไดอ้ ย่างมคี วามหมายและเปน็ ปกตสิ ุขนัน้ จะต้องมคี ุณธรรมและ
จริยธรรมควบคู่ไปด้วย น่นั หมายถงึ จะตอ้ งมคี วามไวว้ างใจ การเก้อื กูล การแบง่ ปนั และความร่วมมือรว่ มใจ
เพม่ิ ขึน้ มา ทง้ั 4 ปัจจยั นี้เปน็ คุณลักษณท์ ี่ “พอเพยี ง” ของการดารงอยอู่ ย่างมคี วามหมายและเปน็ ปกตสิ ขุ กอ่
เกิดประโยชน์รว่ มที่เกิดจากการผนึกกาลงั และการพึ่งพาอาศัยกัน (Benefits of Mutual Dependence &
Collective Efforts) จึงเป็นการปฏิวัติทางสังคมและการปรับเปล่ียนพฤติกรรมมนุษย์ครงั้ ใหญ่ จาก “สงั คม
ของพวกกู” (Me-Society) เปน็ “สังคมของพวกเรำ” (We-Society)
8
สงั คมหลังโควิด จะเปดิ โอกาสให้ข้อมลู ไหลเข้าออกจากบุคคลหรอื องค์กร โดยตระหนกั ว่าการเปิด
ประตสู ู่โลก จะสรา้ งโอกาสที่ดีในการแลกเปล่ียนองค์ความรู้ใหม่ ๆ ในขณะเดยี วกันก็สร้างความโปรง่ ใสและ
ความไว้เน้อื เชือ่ ใจระหว่างกนั ซึ่งจะเสริมสรา้ งพลงั ในการขบั เคลอ่ื นองค์กรทม่ี วี ัฒนธรรมแบบ เปดิ (Free
Culture) น่ันคอื เป็นองค์กรท่มี ีท้ัง “Free to take” และ “Free to share”
สังคมหลังโควิด จะมกี ารแบ่งปันกนั ไมว่ ่าจะเป็นข้อมลู ความรู้ หรอื ทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา ซงึ่ แตกต่าง
จากความคิดดั้งเดิมท่ีสนับสนุนใหม้ กี ารปกปอ้ งทรพั ย์สินทางปัญญา หากมใี ครละเมดิ กใ็ หม้ กี ารตอ่ ส้ทู าง
กฎหมายอย่างถึงทส่ี ุด แต่แนวคิดใหมใ่ นสงั คมหลงั โควิดมองวา่ การแบง่ ปนั จะทาใหเ้ กดิ การสรา้ งโอกาสใหม่ ๆ
ซึ่งจะเปน็ ผลดตี ่อทกุ คนในวงการนัน้ ๆ แม้กระท่งั ตวั เจา้ ของทรพั ยส์ ินทางปญั ญาเอง สิ่งท่แี ตล่ ะองค์กรจะตอ้ ง
ให้ความสนใจอยา่ งมาก คอื การบริหารจัดการทรพั ย์สนิ ทางปัญญาของตนเองวา่ อะไรที่ควรจะแลกเปลย่ี นและ
อะไรที่ตอ้ งการเกบ็ ไว้เอง
ความไว้วางใจ การเกือ้ กลู การแบง่ ปนั และความรว่ มมอื ร่วมใจ เป็น “ทนุ สังคม” ทเ่ี อ้ือประโยชน์
ทางด้านเศรษฐกจิ เพราะปฏสิ ัมพนั ธ์ท่อี ยบู่ นพ้ืนฐานของความไว้เนอื้ เชอ่ื ใจกัน ทาใหต้ ้นทุนการทาธุรกรรม
ลดลง สง่ ผลใหเ้ กดิ ประสิทธิผลพร้อม ๆ กบั ความมน่ั ใจในการดาเนินธรุ กจิ ในโลกหลงั โควิด
ความไวว้ างใจ การเกื้อกลู การแบง่ ปนั และความรว่ มมอื รว่ มใจ จึงถือเป็น “ทรพั ยำกรทำงคณุ ธรรม”
(Moral Resources) ท่ีใช้ไมม่ วี นั หมด อย่างไรก็ดี ทรพั ยากรประเภทน้ี ถ้าไม่ไดน้ ามาใช้ ก็จะเปลา่ ประโยชน์
ซ่งึ เป็นคุณลกั ษณ์พเิ ศษที่แตกตา่ งไปจากทรพั ยากรทางกายภาพอน่ื ๆ ท่ีมโี อกาสหมดไปเม่ือถูกนาไปใช้
ความไว้วางใจ การเกือ้ กูล การแบง่ ปัน และความรว่ มมอื รว่ มใจ ถอื เปน็ ชดุ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผคู้ นที่
ตั้งอย่บู นความคาดหวงั ในสง่ิ ทีต่ ้องใชร้ ่วมกนั มคี า่ นิยมแบบเดยี วกัน และมีความไว้เน้ือเช่ือใจตอ่ กัน ความ
ไวว้ างใจ การเก้อื กูล การแบ่งปัน และความรว่ มมือรว่ มใจ จะทาหนา้ ท่เี ชื่อมโยงผูค้ นต่างชนชน้ั ตา่ งชาตพิ นั ธ์ุ
ตา่ งวฒั นธรรมเขา้ ด้วยกนั สรา้ งความผกู มดั กระชับแนน่ ของผคู้ นเหลา่ นี้ดว้ ยจดุ รว่ มและเป้าหมายเดยี วกนั ใน
สังคมทข่ี าดความไวว้ างใจ ขาดการเกื้อกลู ขาดการแบ่งปนั และขาดความรว่ มมอื ร่วมใจ จะกลายเปน็ สงั คมที่
ออ่ นแอ เปราะบาง และมโี อกาสทจี่ ะเกิดความขัดแย้งที่นาไปสู่ความรนุ แรงสงู
ด้วยควำมไวว้ ำงใจ กำรเกอ้ื กลู กำรแบง่ ปนั และควำมรว่ มมอื รว่ มใจ ภูมปิ ญั ญำมหำชน (Wisdom
of the Crowd) แ ละ จิตวิญญำณเพือ่ ส่วนรวม (Common of the Mind) จึงจะเกดิ ขึ้น ภมู ปิ ญั ญำ
มหำชนและจติ วิญญำณเพื่อสว่ นรวม เปน็ 2 ตวั ขับเคลอ่ื นกอ่ ใหเ้ กดิ พลวัตอนั ทรงพลงั นำมำสนู่ วตั กรรม
มำกมำยใน “สังคมของพวกเรำ” ด้วยกำรปฏวิ ตั ิทำงสงั คมและกำรปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมมนุษยจ์ ำก
“สังคมของพวกก”ู มำสู่ “สงั คมของพวกเรำ” เทำ่ นนั้ “สังคมหลงั โควดิ ท่พี งึ ประสงค์” จึงจะอบุ ัตขิ ึ้น
9
จำก “พันธมติ รทำงธุรกจิ ” สู่ “กลั ยำณมติ รทำงสังคม”
ใ นขณะท่นี วตั กรรม องค์ความรู้ และความคดิ ในสังคมดจิ ิทัลสว่ นใหญไ่ ดม้ าจากการแข่งขัน เปน็
ผลผลิตในเชิงธรุ กจิ ดว้ ยการตอ้ งเผชญิ กบั “หนงึ่ โลก หนง่ึ ชะตำกรรมรว่ ม” (One World, One Destiny)
การผลิตหลายอย่างในสงั คมหลงั โควดิ ได้เรม่ิ ก้าวขา้ มปรมิ ณฑลของการแข่งขัน เรมิ่ มนี วัตกรรม องคค์ วามรู้
และความคดิ ท่พี ฒั นาขน้ึ บนพื้นฐานของการรว่ มรงั สรรค์ของผ้คู น เพ่ือทีจ่ ะตอบโจทยป์ ระเด็นทา้ ทายของสงั คม
ของประเทศ หรือของมวลมนษุ ยชาติ
ด้วย “Many2Many” และ “Mind2Mind” เครือขา่ ยการรังสรรค์นวัตกรรมทีเ่ กดิ ข้ึนจึงเป็นแบบ
Mass Collaboration ซง่ึ เปน็ การรว่ มรังสรรค์ทไ่ี มไ่ ด้มจี ดุ ประสงค์ในเชิงธรุ กิจเพียงอย่างเดยี ว แตเ่ ป็น “การ
ร่วมรังสรรคท์ างสังคม” กิจกรรมต่าง ๆ เหล่าน้ีจะเริ่มมมี ากขนึ้ เร่ือย ๆ ในโลกหลังโควดิ ในขณะทีก่ ารร่วม
รงั สรรคเ์ ชงิ ธรุ กจิ อาศยั “พนั ธมติ รทำงธรุ กจิ ” การร่วมรังสรรคเ์ ชิงสงั คมอาศัย “กลั ยำณมิตรทำงสังคม”
การร่วมรังสรรค์เชงิ “กัลยาณมติ ร” แท้จรงิ แล้วไมใ่ ช่เรื่องใหม่ หากมองย้อนไปในอดีต การรว่ ม
รังสรรค์ของผู้คนใ นลักษณะของ “กัลยาณมิตร” ก็มีอยู่ไ ม่น้อย แต่ส่วนใ หญ่เป็นแบบ One2One
Collaboration ไ ม่ใ ช่ Mass Collaboration ดังเช่นใ นปจั จุบัน อย่าง Albert Einstein กับ Niels Bohr,
Marie กับ Pierre Curie, Georgia O’Keeffe กับ Alfred Stieglitz, Martha Graham กับ Erick Hawkins,
Pablo Picasso กับ Georges Braque การร่วมรังสรรค์ของบคุ คลเหล่านล้ี ้วนแล้วแตเ่ ปน็ ผลงานท่ถี ูกจารกึ ไว้
ในประวตั ศิ าสตร์ สะท้อนใหเ้ ห็นวา่ ความคิดทย่ี ิ่งใหญ่นั้นเกดิ ข้ึนจากพลงั ของการแลกเปลยี่ นทางความคดิ ใน
หนังสือ Creative Collaboration, Vera John-Steiner ไ ด้กล่าวว่า พลังขับเคล่ือนใ ห้มกี ารรงั สรรค์
นวตั กรรมทย่ี งิ่ ใหญ่เกิดจาก Reflection, Renewal และ Trust ทอ่ี ยู่ลึก ๆ ในความสัมพันธท์ ยี่ ัง่ ยนื ของคน
เหลา่ นี้
โลกหลงั โควิดจะมีการพฒั นาในลักษณะที่กา้ วข้ามสัมพันธภาพแบบ “ธุรกรรม” ผา่ น “กิจกรรมในเชงิ
ธรุ กิจ” ไปสู่สมั พันธภาพแบบ “ความสัมพนั ธ์” ผ่าน “กจิ กรรมทางสงั คม”มากข้นึ
10
จำก “ธรุ กรรม” สู่ “ควำมสัมพนั ธ์”
ในสังคมหลงั โควดิ กจิ กรรมทางสงั คมในรปู แบบของ “การรว่ มรงั สรรคท์ างสังคม” จะทวคี วามสาคัญ
มากขึ้นในทุกขณะ คา่ นิยม “จติ สาธารณะ” จะสง่ ผลให้ผู้คนมปี ฏิสมั พนั ธก์ นั ในฐานะของ “ความเปน็ มนษุ ย”์
(Human-beings) และ “สมาชิกในชุมชนทีม่ ีเจตจานงร่วม” (Member of Community of Like-minded
People) มากกวา่ ในฐานะของ “ผูเ้ ล่นในตลาด” (Market Player) ทผี่ า่ นกลไกราคา ในหลายธรุ กรรมทาง
ธรุ กจิ “Market Power” กาลงั จะถูกแทนที่ด้วย “People Power” บรรยากาศของการรว่ มรงั สรรคท์ าง
สังคมน้นั จะจูงใจและเอื้อให้ผ้คู นโดยเฉพาะอย่างยิง่ Creative People นั้น มาทางานร่วมกนั ได้ดีกวา่ ใน
บรรยากาศองคก์ รในรูปบรษิ ัทอย่างทีเ่ ป็นอยใู่ นปจั จุบัน โดยก่อใหเ้ กดิ วัฒนธรรมใหมข่ อง “การแบง่ ปนั แบบ
เปิด” ทใ่ี หโ้ อกาสทุกคนสามารถมาใช้ แตง่ เตมิ ขยายและสรา้ งผลงานของตนเองขน้ึ มา ดังนัน้ ผลผลิตทไ่ี ดจ้ งึ
เปน็ “สมบัติร่วม” (Common Property) ไม่ใช่ “สมบตั ิแยก” (Private Property) แบบเดมิ
สังคมหลังโควดิ จึงเปดิ โอกาสใหม้ นษุ ยท์ าอะไรรว่ มกนั ที่มากกว่าการเป็นแค่ “พนั ธมติ รทางธรุ กิจ” แต่
เปน็ “กัลยาณมิตรทางสังคม” เนน้ การสร้างความไวว้ างใจและความเคารพซ่ึงกนั และกนั ในระหว่างบุคคล
ระหวา่ งองค์กร และระหว่างชนชาติ ก้าวข้ามความเปน็ รฐั ชาติไปสคู่ วามเปน็ มนษุ ยชาติ สงั คมหลงั โควดิ จะเนน้
การใหโ้ อกาสและเกือ้ กลู กบั ผู้ท่ีอ่อนดอ้ ยกวา่ ใหแ้ ตม้ ตอ่ กับ “ผู้ทพ่ี รอ่ ง” จาก “ผู้ทม่ี ีพรอ้ ม” กวา่ เน้นการ
พัฒนาคณุ ธรรมและยกระดับจิตวญิ ญาณของมนุษย์ ดงั ที่กวีนามอโุ ฆษ Aimé Césaire กลา่ วไว้ว่า
“ภำรกจิ ของมนษุ ยชำตทิ เ่ี พ่งิ จะเรม่ิ ตน้ คือกำรกำจดั ควำมรนุ แรงทฝี่ งั ลกึ อยใู่ นกน้ บง้ึ ในจติ ใจของ
เรำ ไมม่ ชี นชำตใิ ดทสี่ ำมำรถผูกขำดควำมงดงำม ควำมเฉลยี วฉลำด และกำลงั มพี นื้ ทสี่ ำหรบั คน
ทกุ คน ณ สถำนทีแ่ ห่งชยั ชนะของเรำ”
11
จำก “Copyright” สู่ “Copyleft”
ค่านิยม “จิตสาธารณะ” และ “ปัจเจกนทิ ศั น์” ไ ดเ้ ปลี่ยนแปลงกระบวนทศั น์และพฤติกรรมของ
ปัจเจกบคุ คล จากเดมิ ทเี่ น้น “ตนเองเป็นศูนยก์ ลาง” มาสกู่ ารเน้น “มหาชนเป็นศนู ยก์ ลาง” โดยมกี รอบ
ความคดิ ท่เี ปลี่ยนไปด้วย จากเดิมทเ่ี น้นการรังสรรคน์ วตั กรรมบนความเปน็ “สมบตั สิ ่วนตัว” ในรปู แบบของ
ต่างคนต่างปิด ไปสู่การมองวา่ นวตั กรรมหลายอยา่ งเป็นสมบัตสิ ่วนรวม โดยพัฒนาผ่านการ ร่วมรังสรรคบ์ น
“พื้นที่สาธ ารณะ” ใ นรูปแบบของต่างคนต่างเปิด แนวโ น้มดังกล่าวได้ก่อให้เกิดการพัฒนา Open
Collaborative Platform ท่ีเป็นเครอื ข่ายความรว่ มมอื ระหวา่ งผู้คนทงั้ ในโลกแท้จรงิ และโลกไซเบอร์ โดยไมม่ ี
การจาแนกคนตามลาดับขัน้ การบรหิ ารจัดการตามแนวทางของธรุ กิจโดยท่วั ๆ ไป แตเ่ ป็นรูปแบบใหมท่ ที่ กุ
คนทางานหน่งึ งานใดร่วมกนั ในแนวระนาบ โดยที่แตล่ ะคนจะทาในสว่ นทแ่ี ตกตา่ งกัน แตไ่ มม่ ีใครมคี วามสาคญั
มากกวา่ กนั Open Collaborative Platform จึงเป็นรปู ธรรมหนง่ึ ที่สะท้อนการปรับเปลยี่ นสู่โลกของ “การ
รังสรรค์นวตั กรรมแบบเปดิ ” อยา่ งแทจ้ ริง
กำรปรบั เปล่ยี นส่กู ำรรงั สรรคน์ วัตกรรมแบบเปดิ
12
ยกตัวอยา่ งประเด็นของ “ทรัพยส์ นิ ทำงปญั ญำ” ใ นขณะทน่ี ักกฎหมายต่างกาลังง่วนอยู่กบั การ
คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และ “Copyright” ต่าง ๆ ผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งกลับสนใจในสงิ่ ทเี่ รยี กว่า
“Copyleft” โดยกาลังงว่ นอยกู่ ับการถกเถยี งวา่ “รหสั ” ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโปรแกรมนนั้ ควรที่จะเปิดเผยมาก
นอ้ ยแคไ่ หน พวกเขาเหล่านี้มีความเชื่อวา่ หลายส่ิงหลายอย่างใน “โลกเสมือนจริง” อย่างซอฟตแ์ วร์ หรือใน
“โลกทแ่ี ท้จรงิ ” อย่างพนั ธ์พุ ชื ยารกั ษาโรคพ้นื ฐานหลายชนดิ นั้น เป็น “สมบตั สิ ำธำรณะ” (Global Public
Goods) ที่ทกุ คนในโลกน้ี ไมว่ ่าเชอ้ื ชาติไหนตอ้ งมสี ิทธไิ์ ด้ใช้เหมอื นอากาศ แสงแดด หรือแรงโนม้ ถว่ งในโลก
ทางกายภาพ
Open Collaborative Platform ทางานอย่บู นหลักคิดทเี่ รียกว่า NEA
N คือ “Nobody Owns.” – ไมม่ ใี ครเป็นเจำ้ ของ
E คือ “Everybody Can Use.” – ทุกคนมีสทิ ธิ์เข้ำไปใช้ได้
A คือ “Anybody Can Improve It.” – ใครก็สำมำรถเขำ้ ไปปรบั ปรุงแ กไ้ ข
“ไมม่ ีใครเปน็ เจา้ ของ” สะท้อนใหเ้ ห็นว่า ส่งิ ที่รว่ มรงั สรรคอ์ ยูน่ นั้ เป็น “สาธารณะ” “ทุกคนมีสิทธเ์ิ ขา้
ไปใชไ้ ด้” บอกเราว่า สิ่งทรี่ ว่ มรงั สรรคอ์ ยนู่ นั้ “Free to take” ในขณะที่ “ใครกส็ ามารถเข้าไปปรับปรงุ แกไ้ ข”
บง่ บอกวา่ สง่ิ ทรี่ ่วมรังสรรค์อยูน่ ั้น “Free to share”
Open Collaborative Platform ท่ีเกิดขนึ้ ต้ังอยูบ่ นพ้ืนฐานสาคญั 3 ประการคือ
1) ระบบทพ่ี ฒั นำขึ้นมำน้นั เปน็ Inventions แ ละ Conventions
2) รหัสตำ่ ง ๆ ทอี่ ยู่ในระบบน้นั สำมำรถเรยี นรู้แ ละเปิดโอกำสให้พฒั นำขึน้ มำใหม่ได้
3) เปน็ กระบวนกำรเรยี นรู้ผ่ำนกำรมสี ่วนร่วมแ บบ Mass Collaboration
มีตวั อย่างมากมายที่แสดงให้เหน็ ว่าโลกกาลงั ก้าวสู่ Open Collaborative Platform มากขน้ึ ทาให้
เกดิ โอกาสในการสร้างผลตอบแทนทางธรุ กิจข้ึนอีกมากเพราะเปน็ เวทีท่ีจะตอ้ งรว่ มกนั สร้าง ไม่ใช่ตา่ งคนตา่ ง
เก่ง ตา่ งคนต่างเก็บ เหมอื นเมอ่ื กอ่ น Open Collaborative Platform จงึ เปน็ ทัง้ “กำรทะลำยกำรผกู ขำด
ของฝง่ั อปุ ทำน” (Supply-Side Demonopolization) พร้อม ๆ กบั “กำรเตมิ เตม็ พลงั ของฝง่ั อปุ สงค”์
(Demand-Side Empowerment) ควบคู่กนั
13
อาจกลา่ วได้วา่ ในช่วงเปล่ียนผา่ นสู่สงั คมหลังโควดิ เรากาลงั เผชิญกับโลกที่มองดเู หมอื นจะยอ้ นแยง้
กัน โดยเมื่อก่อนแลว้ ถอื วา่ ใครมนี วตั กรรมต้องรกั ษาไว้สดุ ชีวติ เปน็ นวตั กรรมแบบปิด แต่ปัจจบุ นั โลกกาลงั กา้ ว
ไ ปสู่ Open Source, Open Innovation Economy ซ่ึงทาใ ห้ธรรมาภบิ าล โ ครงสรา้ ง และพฤติกรรม
เปล่ียนแปลงอย่างสิ้นเชงิ เมอื่ กอ่ นเชื่อกนั ว่า ความลับทางการคา้ ต้องรกั ษาไว้ จึงจะสามารถสรา้ งความ
ได้เปรียบทางการคา้ ได้ แต่จากน้ไี ป ถ้าองค์กรอยากสรา้ งความไดเ้ ปรียบในการแข่งขนั กลับต้องแลกเปลยี่ น
ความลบั ทางการค้า คือนาความลับทางการคา้ บางสว่ นมาใช้ประโยชน์รว่ มกันบน Open Collaborative
Platform
ภำยใตก้ รอบควำมคดิ ของ Open Collaborative Platform คุณคำ่ ทส่ี รำ้ งข้ึนมำเพ่ือคน ๆ หนงึ่
ก็คอื คณุ คำ่ ทีส่ ร้ำงขน้ึ มำสำหรบั ทุกคน เป็นสมบตั ิสำธำรณะ
14
7 สง่ิ มหศั จรรย์จำกภำยใน
มกี ารกล่าวถึง “7 สงิ่ มหศั จรรย์ของโลก” (7 Wonders of the World) ในหลายยคุ หลายสมยั
7 สง่ิ มหัศจรรยข์ องโลกในยคุ โบรำณ ไดแ้ ก่ 1) มหาพรี ะมิดแห่งกีซา 2) สวนลอยแห่งบาบโิ ลน 3)
เทวรูปซูสทีโ่ อลมิ เปยี 4) วหิ ารอาร์เทอมสี 5) สสุ านแหง่ ฮาลิคารน์ ัสเซิส 6) เทวรปู โคโลสซสู และ 7)
ประภาคารฟาโรส
7 สิง่ มหศั จรรยข์ องโลกในยคุ กลำง ไดแ้ ก่ 1) โคลอสเซียม สนามกฬี าแห่งกรงุ โรม 2) หลุมฝังศพแหง่
อเลก็ ซานเดรยี 3) กาแพงเมืองจีน 4) สโตนเฮนจ์ 5) เจดีย์กระเบือ้ งเคลือบ เมอื งหนานกิง 6) หอเอน
เมอื งปซิ า และ 7) ฮาเยยี โซเฟีย แห่งคอนสแตนตโิ นเปลิ (ปัจจบุ ันคอื กรุงอิสตันบลู ) ประเทศตรุ กี
7 ส่งิ มหศั จรรยข์ องโลกในยคุ ใหม่ (ซงึ่ จดั อันดบั โดยการลงประชามติ ผ่านมลู นิธิ New7Wonders)
ไดแ้ ก่ 1) ชีเชนอิตซา 2) กรชิ ตูเรเดงโตร์ (Christ the Redeemer) 3) กาแพงเมืองจนี 4) มาชูปิกชู 5)
เปตรา 6) โคลอสเซยี ม และ 7) ทชั มาฮาล
ส่งิ มหัศจรรยข์ องโลกทกี่ ลา่ วมาทงั้ หมดข้างตน้ ไมว่ า่ ในยคุ สมัยใด ล้วนแลว้ แต่เปน็ “7 สง่ิ มหศั จรรย์
จำกภำยนอก” (Miracles from “Outside”) หลายสิ่งไมม่ ีใหเ้ หน็ แล้ว เสอื่ มสลายไปตามกาลเวลา แสดงถงึ
ความไม่จีรงั ย่งั ยืนของสรรพสิ่ง หากแต่มสี ิ่งท่ีน่าอัศจรรยก์ วา่ สง่ิ มหศั จรรยข์ องโลกเหล่าน้ี น่ันกค็ อื “7 สงิ่
มหัศจรรย์จำกภำยใน” (Miracles from “Within”) อนั ประกอบดว้ ย
1) กำรไดส้ มั ผสั (To Touch)
2) กำรรบั รูร้ สชำติ (To Taste)
3) กำรมองเห็น (To See)
4) กำรได้ยิน (To Hear)
5) กำรมีควำมรู้สึก (To Feel)
6) กำรหัวเรำะ (To Laugh)
7) กำรมีควำมรกั (To Love)
7 สง่ิ มหัศจรรย์จากภายในน้ี สอดคลอ้ งกับงานวิจัยที่ยาวนานทีส่ ดุ ในโลกของมหาวิทยาลยั ฮาวาร์ด
เร่ือง Harvard Study of Adult Development (การศึกษาการพัฒนาการของผู้ใ หญ่) ผ่านการตอบ
แบบสอบถามเกยี่ วกับความพึงพอใจในชีวิต ท้ังด้านหนา้ ทกี่ ารงาน ด้านสังคม ด้านชวี ิตสว่ นตัว ของกลุ่ม
15
ตวั อยา่ งท่ีเป็นวัยรนุ่ ชายอายุ 12-16 ปี จานวน 724 คน คณะผู้วจิ ยั (ทเี่ ปลี่ยนมาแลว้ ถงึ 4 รุน่ ) ทาการเกบ็
ขอ้ มลู ทกุ ๆ 2 ปี ตดิ ต่อกันยาวนานถงึ 75 ปี จนกลุม่ ตัวอยา่ งในปัจจบุ นั เหลอื มชี วี ติ อยเู่ พยี ง 60 คนและทกุ คน
อายุเกนิ 90 ปแี ล้ว ผลสรปุ ของงานวิจัยระบุนสิ ัยแหง่ ความสขุ ท่ีแทจ้ รงิ 20 ประการได้แก่ 1) สานึกบุญคุณคน
2) เลือกคบเพอ่ื นดี 3) เห็นอกเหน็ ใจคนอ่ืน 4) หมั่นเรยี นรู้ 5) เปน็ ผู้แกป้ ัญหาได้ 6) ทาในสงิ่ ทีเ่ รารกั 7) อยู่กบั
ปจั จุบัน 8) หวั เราะบ่อย ๆ 9) ให้อภัย 10) กลา่ วขอบคุณเสมอ 11) สรา้ งความสมั พนั ธล์ ึกล้า 12) รกั ษาสญั ญา
13) ทาสมาธิ 14) ตง้ั มนั่ ในสง่ิ ท่กี าลงั ทา 15) มองโลกในแงด่ ี 16) รกั อย่างไมม่ เี งือ่ นไข 17) อยา่ ยอมแพ้ 18) ทา
ดีท่สี ดุ แลว้ อยา่ ยดึ ติด 19) ดแู ลตวั เอง และ 20) ตอบแทนสงั คม
สิ่งมหัศจรรยจ์ ากภายนอกนน้ั สลับซบั ซ้อน ในขณะท่ี สิง่ มหศั จรรยจ์ ากภายในนนั้ เรียบงา่ ย
ส่ิงมหศั จรรยจ์ ากภายนอกนน้ั ดูเปน็ เรือ่ งพิเศษ ในขณะท่ี สิ่งมหศั จรรยจ์ ากภายในนนั้ เปน็ เรอ่ื งธรรมดา
สามัญ
สง่ิ มหัศจรรยจ์ ากภายนอกนนั้ เปน็ สงิ่ ที่ไมจ่ ีรังเสื่อมไปตามกาลเวลา ในขณะที่ สง่ิ มหศั จรรย์จากภายใน
น้นั เปน็ สงิ่ ทจ่ี ีรังย่ังยืน เป็นอกาลโิ ก
แ ทท้ จ่ี รงิ แลว้ สง่ิ มหศั จรรยม์ ีอยใู่ นตัวมนษุ ยท์ กุ คน ไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งเพรยี กหำจำกภำยนอก หำกอยำก
มชี วี ติ ทเี่ ปน็ ปกตสิ ขุ ในโลกหลงั โควิด กล็ องคน้ หำ ควำมดี ควำมงำม แ ละควำมจรงิ ผ่ำน “7 สง่ิ มหศั จรรย์
จำกภำยใน” ของพวกเรำน่นั เอง
16
กำรเรมิ่ ตน้ ชวี ิตใหม่หลงั โควิด
เราจะต้งั ต้นชีวิตใหม่ ในสงั คมหลังโควิด ได้อยา่ งไร
สงั คมหลงั โควดิ มรี ะบบนเิ วศท่เี ปลีย่ นแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชงิ หลายคนพดู ถงึ การพัฒนาหรอื การ
เพมิ่ เตมิ ทกั ษะเพอื่ ปรับเปลีย่ นตนเองให้สอดรบั กับระบบนเิ วศใหม่ แท้ท่ีจริงแลว้ ชีวติ ใหม่ในสงั คมหลังโควดิ
เร่ิมตน้ ดว้ ยการมหี ลกั คิดทถี่ กู ตอ้ ง (Right Mindset) แล้วคอ่ ยตามมาด้วยการพัฒนาหรอื การเพม่ิ เติมทกั ษะ ไม่
ว่าจะเปน็ ทักษะชีวิตและทักษะอาชพี กต็ าม
ทง้ั นี้เพราะหลกั คดิ ท่ีแตกต่าง จะนยิ ามความหมายของความสาเร็จและความหมายของความลม้ เหลว
ที่แตกต่างไปอยา่ งส้นิ เชงิ มิเพยี งเทา่ นัน้ หลักคิดท่ีแตกต่างยังกาหนดระดบั ของความมงุ่ มน่ั และความพยายาม
ที่แตกตา่ งอกี ด้วย
ในโลกก่อนโควดิ ผคู้ นจานวนมากมหี ลกั คดิ ชวี ติ เชงิ ลบ น่นั คือกลวั ความลม้ เหลว กลัวการเปลยี่ นแปลง
สง่ ผลให้เกิดความลงั เลและสงสัย ซึ่งทาให้ไมก่ ลา้ คดิ ไม่กลา้ ฝัน ไมก่ ล้าทา โดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา นาพา
ไปสู่ความผิดหวังและสนิ้ หวงั เกิดเป็น “วงจรอุบาทว์” (Vicious Circle) ในชวี ิต
ในขณะท่ยี ังมคี นอีกจานวนไมน่ ้อยทีม่ หี ลกั คิดชวี ติ เชงิ บวก กลา่ วคอื แทนทจี่ ะมองความลม้ เหลวเปน็ สง่ิ
ที่ยอมรับไมไ่ ด้ กลับมองความล้มเหลวเปน็ สง่ิ ทา้ ทาย แทนทจ่ี ะกลัวความผดิ พลาด กลับกลวั ว่าจะเสียโอกาส
จากการไมไ่ ดเ้ ผชิญกับส่ิงทา้ ทายนัน้ คนทม่ี หี ลกั คดิ ชวี ติ เชงิ บวกจะมคี วามมงุ่ มั่นและแนว่ แน่ กลา้ ลอง กล้าลม้
กล้าลกุ จนประสบผลสาเร็จและความสมหวัง เกดิ เป็น “วงจรเสริมสง่ ” (Virtuous Circle) ในชีวติ
กำรเปล่ยี นกระบวนทศั น์หลงั โควิด
17
ในชว่ งการระบาดของโรคโควดิ -19 เราได้เหน็ การตอบสนองตอ่ ภาวะวกิ ฤตของผ้คู นทแ่ี ตกตา่ งกัน
Oxford Leadership ได้นาเสนอการตอบสนองตอ่ ภาวะวิกฤตของคนแต่ละกลุ่ม บางกล่มุ อยู่ใน Fear Zone
บางกลุ่มอย่ใู น Learning Zone และบางกลมุ่ อยใู่ น Growth Zone
กลุม่ คนทต่ี นื่ ตระหนกและหวาดระแวงต่อเหตกุ ารณ์ อยู่ใน Fear Zone มลี ักษณะดังตอ่ ไปน้ี
ทาการกกั ตนุ อาหารและเวชภัณฑท์ ัง้ ๆ ที่ไม่จาเป็น
ไม่ทาความเขา้ ใจกบั ข้อมูลทไ่ี ด้มา
สง่ ต่อขอ้ มูลทุกอย่างโดยไม่ตรวจสอบถึงความถกู ตอ้ ง
พร่าบน่ ถึงความเลวรา้ ยของสถานการณ์
พดู แตป่ ระเดน็ ปญั หาโดยไมช่ ่วยคดิ หาทางแก้ไข
กลมุ่ คนที่เริ่มเขา้ ใจสถานการณ์โดยปรบั ตวั และเรยี นรู้ อยใู่ น Learning Zone มลี กั ษณะดงั ต่อไปนี้
ตัง้ สติ ปรับตัวและทาในสง่ิ ท่ถี ูกตอ้ ง
ตรวจสอบข้อมลู ท่ไี ด้รับและแบ่งปันขอ้ มลู ทเี่ ปน็ ประโยชน์
ปล่อยวางในส่ิงท่อี ยูน่ อกเหนือความควบคุม
ตระหนักโดยไมต่ ระหนกกับสถานการณ์
กลุ่มคนที่คดิ ในทางบวกและพร้อมเตบิ โตไปขา้ งหนา้ อยใู่ น Growth Zone มีลกั ษณะดังต่อไปนี้
มคี วามเขา้ ใจในสถานการณว์ ิกฤต
มคี วามเห็นอกเหน็ ใจผู้อ่นื
ยอมรบั และปรบั ตัวใหท้ ันกบั สถานการณ์ทีเ่ ปลี่ยนแปลง
มองหาโอกาสในวกิ ฤต
เหน็ แนวทางท่ีตนสามารถทาประโยชน์ต่อสาธารณะได้
18
กำร ตอบ สน องต่อภำวะวิกฤตท่ีแ ตกต่ำงกนั
ในโลกหลงั โควดิ พวกเรำอำจจะยงั ตอ้ งเผชญิ กบั วิกฤต ควำมเสยี่ ง และภยั คกุ คำมอกี มำกมำย แม้
ชีวิตเปน็ สง่ิ ทเ่ี ลือกเกดิ ไมไ่ ด้ เรำมีสิทธทิ จ่ี ะเลอื กอยแู่ ละใชช้ วี ิตใน Fear Zone, Learning Zone หรอื
Growth Zone แ ต่ทส่ี ำคญั เรำทกุ คนสำมำรถกำ้ วข้ำมจำก Fear Zone ไ ปสู่ Learning Zone แ ละ
Growth Zone ได้ ก็ด้วยกำรมี The Right Mindset นั่นเอง
19
กระทรวงแห่งโอกำส
กระทรวงแห่งปัญญำ
กระทรวงแหง่ อนำคต