SJWD เปิดแผนธุรกิจปี 2567 วางกลยุทธ์ขยายและเชื่อม โครงข่ายโลจิสติกส์ทางบก น�้ำ และอากาศ ในระดับภูมิภาค เพื่อ ขยายธุรกิจ Freight Forwarder หลังเข้าถือหุ้น “SINO-ANISWIFT” พร้อมมุ่งเพิ่มศักยภาพและยกระดับธุรกิจห้องเย็นและ ออโตโมทีฟ และสร้างโอกาสจากธุรกิจใหม่ คลังสินค้า Built-toSuite, บริการโลจิสติกส์แก่อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์และยา และ ธุรกิจพื้นที่เก็บของให้เช่า นายบรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จ�ำกัด (มหาชน) หรือ SJWD ผู้ให้ บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และ เจาะลึกโลจิสติกส์ ไอที พลังงาน ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ การค้า ประกัน ยานยนต์ fb : Transport Journal Newspaper / www.trjournalnews.com ปีที่ 26 ฉบับที่ 926 • ประจำ�วันที่ 1 - 15 เมษายน 2567 PAGE 12 สแกนเนีย นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 ชูจุดเด่นความปลอดภัย ประหยัดน�้ ามัน รักษ์สิ่ งแวดล้อม SJWD เชือมโยงโลจิสติกส์ทางบก-น�่า ้ -อากาศ ระดับภูมิภาค ‘ไปรษณีย์ไทย’ ส่งโปรเด็ดเอาใจร้านค้าออนไลน์ สมัครใช้บริการครังแรกลดสูงสุด 3% นาน 1 ปี้ PAGE 5 ปีที่ 26 หนังสือพิมพ์ ทรานสปอร์ต เจอร์นัล เดินหน้ารุกเพิ่ มศักยภาพธุรกิจ ‘คลังห้องเย็น-ออโตโมทีฟ’ อ่านต่อหน้า...2 เปิดเส้นทาง! ‘ไทย’ ก้าวสู่ ‘ฮับการบิน’ ดัน ‘สุวรรณภูมิ’ ติด TOP 20 ของโลก บริษัท ไปรษณีย์ไทย จ�ำกัด เดินหน้าพัฒนาศักยภาพบริการ คลังสินค้าครบวงจร (THP Fulfillment)-คลังสินค้าคู่ใจ ธุรกิจ ออนไลน์ของคุณ พร้อมส่งโปรโมชันสุดคุ้ม เอาใจร้านค้าออนไลน์ “Member get Member” โดยมอบส่วนลดพิเศษสูงสุด 3% ส�ำหรับร้านค้าออนไลน์ที่สมัคร ใช้บริการตลอดปี 2567 เพื่อช่วยเซฟ ต้นทุนค่าบริหารจัดการคลังสินค้า ตั้งแต่การจัดเก็บสินค้า แพ็ก จัดส่ง และยังมีบริการเก็บเงินปลายทาง พร้อมรับฟรี! ค่าเก็บสินค้าในคลัง เดือนแรก และค่ารับ ‘สไมล์ลี่ฯ’ ต่อยอดธุรกิจ บริหารยานยนต์ครบวงจร ยืนหนึ่งผู้เชียวชาญทั้งระบบ สันดาปและรถไฟฟ้า! นายกรัฐมนตรีประกาศวิชั่น ดันไทยเป็น “ฮับการบิน” ของภูมิภาค ตั้งเป้า “สุวรรณภูมิ“ ติด TOP 20 ของโลกภายใน 5 ปี รองรับผู้โดยสารได้มากกว่าปีละ 150 ล้านคน ภายในปี 2573 พร้อมเปิดแผนพัฒนาสนามบิน ทอท. ด้าน “สุริยะ” เด้งรับนโยบาย ลุยจัดท�าแผนระยะสั้น-ระยะยาว ขับเคลื่อน อุตสาหกรรมการบิน เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อ่านต่อหน้า...2 ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์
2 ประจำ�วันที่ 1 - 15 เมษายน 2567 ต่อจากหน้า...1 กองบรรณาธิการ สารจาก จากการประกาศวิสัยทัศน์ Thailand Vision “IGNITE THAILAND : จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง” ของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มุ่งเป้าพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางเมืองแห่ง อุตสาหกรรมระดับโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน ครอบคลุม 8 ด้าน ส�ำหรับการเป็นศูนย์กลางทั้ง 8 ด้านได้แก่ 1.ศูนย์กลาง เมืองท่องเที่ยว (Tourism Hub) นอกเนือจากธรรมชาติที่สวยงาม แล้ว คือ การเฟ้นหา Soft Power ชูจุดขายเป็นเสน่ห์ของ ประเทศไทย ให้โดดเด่นในสายตาประชาคมโลก ทั้งในด้าน ไทยแลนด์ศูนย์กลาง 8 ด้าน ศิลปวัฒนธรรม งานเทศกาล คอนเสิร์ต งานภาพยนตร์ งานศิลปะ อาหาร วัฒนธรรม รวมถึงจะผลักดันบางจังหวัดให้เป็นมรดกโลก อีกทั้งรัฐบาลปลดล็อกกฎระเบียบต่าง ๆ เอื้อให้ผู้จัดงานระดับโลก ให้สามารถเข้ามาจัดแสดงในประเทศไทย 2. ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ (Wellness & Medical Hub) รัฐบาลจะผลักดันอุตสาหกรรมสาธารณสุข ให้เป็น ศูนย์ดูแลสุขภาพครบวงจรของโลก ด้วยเพราะระบบการรักษา พยาบาลของประเทศไทยมีชื่อเสียงระดับโลก ทั้งศาสตร์การดูแล สุขภาพแผนไทยที่มีชื่อเสียง บุคลากรที่มีคุณภาพ พร้อมผลักดัน การแพทย์แผนไทย นวดแผนไทย สปาแผนไทย สมุนไพร รวมทั้ง จะสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ท�ำใบรับรองประกาศนียบัตร และ ผลักดันให้ไปเปิดศูนย์ Wellness Center ได้ในต่างประเทศ 3. ศูนย์กลางอาหาร (Agriculture & Food Hub) จะดูแล ความมั่นคงทางอาหารของโลก พร้อมเป็นครัวของโลกที่สามารถ ปรุงอาหารทุกประเภทส่งออกไปยังตลาดโลก นอกจากนี้จะยกระดับ คุณภาพอาหาร ทั้งอาหาร Halal อาหารส�ำหรับผู้ป่วย และอาหาร ชนิดพิเศษอื่น ๆ ตลอดจนรัฐบาลจะสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ให้ไปเปิดร้านอาหารในต่างประเทศมากขึ้น 4. ศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) รัฐบาลมีแผน จะพัฒนาสนามบินให้รองรับการ Transit ของสายการบิน และ เตรียมปรับเปลี่ยนเส้นทางรวมถึงตารางบินให้เหมาะสม เพื่อเพิ่ม Transit Capacity ให้สูงขึ้น จะปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเรื่อง รันเวย์ อาคารผู้โดยการ คลังสินค้า สร้างระบบขนส่งสินค้าควบคุม อุณหภูมิ (Cold Chain) เพิ่มทรัพยากรบุคคล การตรวจความ ปลอดภัย เสริมคุณภาพการบริการทุกระดับ เพื่อเตรียมพร้อม จะเป็น Homeland ของสายการบินทั้งไทยและสายการบิน นานาชาติ 5 ศูนย์กลางขนส่งของภูมิภาค (Logistic Hub) รัฐบาล จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มศักยภาพระบบคมนาคมทั้งใน และต่างประเทศ โดยรัฐบาลมีแผนจะเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ กระจายความเจริญจากเมืองใหญ่สู่เมืองเล็ก ตั้งแต่การปรับปรุง สนามบินทั้งระบบ ขยายถนนทั้งถนนหลักและถนนรอง พร้อมเป็น ศูนย์กลางคมนาคมของอาเซียน เชื่อมจีน ยุโรป และเป็นศูนย์กลาง ขนส่งผ่าน Land Bridge เชื่อมสองฝั่งมหาสมุทรอันดามันอ่าวไทย 6. ศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต (Future Mobility Hub) มีเป้าหมายจะได้แผนการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท ได้หารือพูดคุยกับบริษัทยานยนต์ไปมากกว่า 10 ราย และมี การตอบรับจะลงทุนในประเทศไทยแล้วมากกว่า 150,000 ล้านบาท พร้อมทั้ง ส่งเสริมอุตสาหกรรมรถ EV ตลอดห่วงโซ่ อุปทาน 7. ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy Hub) รัฐบาลตั้งเป้าดึงอุตสาหกรรมแห่งอนาคต Digital for all Technology Innovation AI ให้มาขยายธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะเทคโนโลยี High Tech ต่าง ๆ ทั้งการลงทุนโรงงาน ผลิต Semiconductor, การตั้งศูนย์ Data Center รองรับ Cloud Computing, การวิจัยและน�ำ AI มาใช้งานในประเทศไทย 8. ศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) รัฐบาลตั้งเป้า จะเปลี่ยนให้ไทยเป็น Financial Center of Southeast Asia ขับเคลื่อนโดยระบบการเงินที่แข็งแกร่ง ดึงสถาบันการเงินระดับ โลกเข้ามาลงทุน สร้างย่านการเงิน Wall Street ของอาเซียน ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลจะเริ่มพัฒนาระบบ การเงินเพื่อความยั่งยืน Carbon Credit Trading ซึ่งในอนาคต จะมีความส�ำคัญมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้รัฐบาลจ�ำเป็นต้องมีหน่วยงาน กฎระเบียบ รองรับการก้าวไปสู่ยุคการเงินสมัยใหม่เช่นกัน นี่คือความพร้อมที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าเอาไว้ แต่สามารถ “ท�ำได้” หรือ”ขายฝัน”ก็ต้องดูกันต่อไป!!! เปิดเส้นทาง ข่าวต่อ SJWD ข่าวต่อ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า “รัฐบาลได้ผลักดันนโยบาย Aviation Hub พร้อม ประกาศวิสัยทัศน์ผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง การบินของภูมิภาค ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการบินฯ ติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลกภายใน 5 ปี รองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 150 ล้านคนต่อปี โดยได้เน้นย�้ำขั้นตอนการตรวจคน เข้าเมือง จะต้องมีความคล่องตัวและรวดเร็วมากขึ้น โดยต้องแก้ไขปัญหาภายใน 6 เดือน รวมทั้งการเปิด เช็กอิน โหลดสัมภาระแบบอัตโนมัติ และเพิ่มการเปิด เช็คอินและโหลดสัมภาระก่อนเครื่องบินจะขึ้น 6 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร และมีการเพิ่ม บุคลากรที่ให้บริการภาคพื้น และมีตัวชี้วัดการท�ำงาน อย่างชัดเจน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการท�ำงานของ บุคลากร รวมทั้งขั้นตอนการถ่ายสินค้าต้องเชื่อมโยง รวดเร็วและสะดวกขึ้น ซึ่งจะท�ำให้เศรษฐกิจจากการ ท่องเที่ยวดีขึ้น” ส�ำหรับท่าอากาศยานดอนเมือง รัฐบาลมีแผน เปลี่ยนท่าอากาศยานให้เป็นท่าอากาศยานแบบ POINT-TO-POINT ที่มีจุดเด่นให้บริการเข้าออกได้ เร็วขึ้น และขยายขีดความสามารถรองรับผู้โดยสาร จากเดิม 30 ล้านคน เป็น 50 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2573 ผ่านการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิมและ ขยายอาคาร 1 และอาคาร 2 ให้เป็นอาคารผู้โดยสาร ภายในประเทศ รองรับผู้โดยสารได้ 27 ล้านคน ต่อปี และจะสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศใหม่ รองรับผู้โดยสารได้ 23 ล้านคนต่อปี รวมทั้งมีแผน ก่อสร้างอาคาร Junction Building เป็นพื้นที่ เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ จัดแสดงและจ�ำหน่ายสินค้า โอทอป และยกระดับการให้บริการทุกภาคส่วน ทั้งพื้นที่จอดรถการเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชน ทางรางรถไฟฟ้าสายสีแดงให้เดินทางเข้าออกเมือง ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า “รัฐบาลมีแผน ก่อสร้างท่าอากาศยานภูเก็ตแห่งที่ 2 หรือ ท่าอากาศยานอันดามัน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่ เดินทางมาเยือนจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ รวมทั้ง จังหวัดใกล้เคียง โดยจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 40 ล้านคน ตั้งเป็นฮับการบินภาคใต้เชื่อมเส้นทาง ระยะไกล (Long-haul Flight) ทั้งเที่ยวบินตรง ระหว่างประเทศแบบ Point to Point ส�ำหรับ ท่าอากาศยานภูเก็ตมีแผนพัฒนาส่วนต่อขยายอาคาร ผู้โดยสารระหว่างประเทศ และก่อสร้างอาคารเทียบ เครื่องบิน รองรับผู้โดยสารจากเดิม 12.5 ล้านคน ต่อปี เป็น 18 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2573” นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาโครงการพัฒนา Seaplane & Ferry Terminal พัฒนาพื้นที่ อากาศยานขึ้น-ลงในทะเล เชื่อมต่อไปยังเกาะสมุย เกาะช้าง และหัวหิน เป็นต้น ส�ำหรับแผนพัฒนา ท่าอากาศยานเชียงใหม่ โดยก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร ระหว่างประเทศและปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิม ที่รองรับจ�ำนวนนักท่องเที่ยวจากเดิม 8 ล้านคน ต่อปี เป็น 16.5 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2572 และ ก่อสร้างท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2 หรือ ท่าอากาศยานล้านนา ให้สามารถรองรับผู้โดยสาร ได้เพิ่มขึ้นอีก 20 ล้านคนต่อปี ขณะเดียวกันรัฐบาลมีแผนยกระดับสนามบิน ทั่วประเทศ น�ำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับ ระบบบริการผู้โดยสารสมัยใหม่เข้ามาใช้เพิ่ม ซัพพลายเชนในปี 2567 ของ 5 ประเทศหลัก ในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย มีแนวโน้มเติบโตได้ดี สะท้อนจากภาพรวมเศรษฐกิจของ 5 ประเทศ ดังกล่าว ที่คาดการณ์ว่าจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 4.2% ในปีนี้ สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทที่รุกขยาย ธุรกิจตัวแทนน�ำเข้าและส่งออกสินค้า (Frieght Forwarder) และการเติบโตในอาเซียน โดยบริษัท วางกลยุทธ์หลัก 3 ส่วนในปีนี้ ได้แก่ 1.ขยายและ เชื่อมโครงข่ายโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในระดับ ภูมิภาค (Regional Connectivity & Expansion) 2.เพิ่มความแข็งแกร่งและยกระดับธุรกิจ “คลังสินค้า ห้องเย็น” และ “ออโตโมทีฟ” (Strengthen & Scale up Cold Chain & Automative) และ 3.สร้างโอกาสจากธุรกิจใหม่ (New Business Opportunities) ภายใต้งบลงทุนรวมในปีนี้กว่า 4,600 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้เติบโต 12% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 23,979 ล้านบาท และวาง เป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตาม ราคาตลาด (Market Cap) เป็น 100,000 ล้านบาท ภายในปี 2570 กลยุทธ์แรก “Regional Connectivity & Expansion” บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนก�ำไร จากต่างประเทศเป็น 40% ในปี 2570 โดยนับจาก ปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบันบริษัทได้ขยายการลงทุน ในธุรกิจตัวแทนขนส่งสินค้าทางทะเล (Sea Freight) ตัวแทนขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Freight) และ เข้าลงทุนในบริษัทให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลาย เชนรายใหญ่ในมาเลเซีย เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้ บริการขนส่งหลายรูปแบบอย่างไร้รอยต่อ ครอบคลุม ทางบก ทางน�้ำและทางอากาศ ในภูมิภาคอาเซียน และจีน ได้แก่ 1. เข้าถือหุ้น 4.2% ใน บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น จ�ำกัด (มหาชน) หรือ SINO ผู้ให้บริการ โลจิสติกส์ระหว่างประเทศอย่างครบวงจรรายใหญ่ โดย SINO มีปริมาณขนส่งสินค้าทุกเส้นทางรวม 46,985 ตู้ในปีที่ผ่าน และมีปริมาณขนส่งสินค้าทาง ทะเลเส้นทางไทย-สหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 1 ในไทย และอันดับ 6 ของโลก 2. เพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็น 20.12% ใน บริษัท เอเชีย เน็ตเวิร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล จ�ำกัด (มหาชน) หรือ ANI ผู้ประกอบการรายใหญ่ 1 ใน 3 ของเอเชีย ในธุรกิจตัวแทนขายระวางสินค้าแก่สายการบิน ต่าง ๆ (General Sales Agent หรือ GSA) กว่า 20 สายการบิน ครอบคลุม 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, เวียดนาม, กัมพูชา, เมียนมา, จีน และฮ่องกง โดย ANI มีส่วนแบ่งตลาดกว่า 20% ในปีที่ผ่านมา และมีแผนขยายเครือข่ายให้บริการ ในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น ยุโรป, ออสเตรเลีย เป็นต้น ซึ่งบริษัทคาดว่าจะรับรู้ส่วนแบ่งก�ำไรจาก ANI ประมาณ 185 ล้านบาท ในปีนี้ 3. เข้าซื้อหุ้น 20.44% ในบริษัท Swift Haulage Berhad หรือ SWIFT (สวิฟท์) ผู้ให้บริการ โลจิสติกส์แบบครบวงจรรายใหญ่ที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย ที่มีความเชี่ยวชาญการ ขนส่งทางรถและเป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด้วย รถเทรลเลอร์ (รถหัวลาก) รายใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย ช่วยเพิ่มศักยภาพให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดน ในเส้นทางไทย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ แก่ SJWD สินค้าเข้าคลัง ณ คลังสินค้า 8 แห่งที่ครอบคลุม พื้นที่เศรษฐกิจทั่วประเทศไทย ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จ�ำกัด กล่าวว่า จากทิศทาง การเติบโตอย่างต่อเนื่องของภาคธุรกิจออนไลน์ ส่งผลให้ความต้องการเช่าคลังสินค้า มีแนวโน้ม เติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางขนาดใหญ่ที่มีการขยายพื้นที่เก็บสินค้าเพิ่มขึ้น รวมทั้ง ต้องการหาผู้ช่วยในการจัดการออร์เดอร์อย่างมืออาชีพ เพื่อความคล่องตัวทางธุรกิจ ล่าสุดนี้ไปรษณีย์ไทย จึงได้เดินหน้าเพิ่มศักยภาพบริการคลังสินค้า ฟูลฟิลล์เม้นท์ (Fulfillment) เก็บ แพ็ก ส่ง และ เก็บเงินปลายทางเพื่อรองรับความต้องการของ ผู้ประกอบการโดยเป็นผู้ช่วยร้านค้าออนไลน์ตั้งแต่ กระบวนการน�ำสินค้าเข้ามาจัดเก็บไว้ที่คลังสินค้า ควบคุมด้วยระบบ “Warehouse Management Service : WMS” ที่การันตีความถูกต้อง แม่นย�ำ และสามารถตรวจสอบสถานะสินค้าได้ควบคู่กับ ระบบจัดการค�ำสั่งซื้อในระบบ อีกทั้งยังมีฟังก์ชัน สรุปสถานะจัดการค�ำสั่งซื้อ การหยิบสินค้า แพ็ก สินค้า รวมถึงการจัดท�ำจ่าหน้า ส่งสินค้าถึงมือผู้รับ ด้วยบริการส่งด่วน EMS ทุกวันทั่วไทย และอีก 106 ปลายทางทั่วโลก ตลอดจนรับช�ำระค่าสินค้าผ่าน บริการ COD เก็บเงินปลายทางเพื่ออ�ำนวยความ สะดวกให้กับร้านค้าได้ประหยัดเวลาและสามารถ บริหารจัดการธุรกิจได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ไปรษณีย์ไทยได้จัดโปรโมชันพิเศษ “Member get Member” โดยลูกค้าปัจจุบัน ที่บอกต่อ หรือแนะน�ำลูกค้ารายใหม่มาใช้บริการ จะได้รับส่วนลดค่าเก็บสินค้าในคลังนาน 1 เดือน สูงสุด 1,200 บาท ส�ำหรับร้านค้าออนไลน์ที่เป็น ลูกค้าใหม่ รับฟรี! ค่าจัดเก็บสินค้าในคลังนาน 1 ปี พร้อมบริการขนย้ายของจากคลังสินค้าเดิมใน ครั้งแรก มูลค่าส่วนลดสูงสุด 2,000 บาท โดย สามารถเลือกใช้บริการคลังสินค้า 8 แห่ง ทั่วประเทศ ได้แก่ คลังสินค้ากรุงเทพฯ (หลักสี่), ชลบุรี (อ.ศรีราชา), ราชบุรี, นครราชสีมา, เชียงใหม่, อุดรธานี, นครศรีธรรมราช (อ.ทุ่งสง) และตาก (แม่สอด) ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อใช้ บริการและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่อีเมล [email protected] LINE : @396wjfja หรือ โทร. 0-2831-3558 คาดว่าบริษัทจะรับรู้ส่วนแบ่งก�ำไรจากการลงทุน ใน SWIFT ประมาณ 55 ล้านบาทในปีนี้ โดยทั้ง 3 บริษัท ดังกล่าว มีรายได้รวมกันในปีที่ผ่านมา มากกว่า 10,000 ล้านบาท ขณะที่แผนการลงทุนต่อจากนี้ บริษัทเตรียม เข้าถือหุ้น 100% ใน บริษัท เอสซีจี อินเตอร์ เวียดนาม จ�ำกัด หรือ SCG Inter Vietnam จาก บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล จ�ำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้ บริการโลจิสติกส์แก่ Long Son Petrochemicals โครงการปิโตรเคมีครบวงจร นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารร่วม SJWD กล่าวว่า ขณะที่ กลยุทธ์ที่ 2 “Strengthen & Scale up Cold Chain & Automative” บริษัทจะใช้จุดแข็งด้าน ความสามารถการให้บริการ “คลังสินค้าห้องเย็น” อย่างครบวงจรแบบ End-to-End และการให้บริการ โลจิสติกส์แก่ผลิตภัณฑ์ยาครอบคลุมทั่วประเทศ ในการขยายตลาดเพื่อสร้างรายได้เติบโต 10% จากปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีคลังสินค้าห้องเย็นที่ เปิดบริการแล้ว 6 ท�ำเล ได้แก่ สมุทรสาคร, บางนาตราด กิโลเมตรที่ 17, 19, 22, สุวินทวงศ์ และสระบุรี รองรับสินค้าได้ 135,000 ตัน มีอัตราการเช่าพื้นที่ เฉลี่ย 74% และวางแผนขยายคลังสินค้าห้องเย็นอีก 5 ท�ำเล รองรับสินค้าได้อีก 34,000 ตัน ได้แก่ 1.DC คลังสินค้าห้องเย็น ย่านรังสิต 2 หลัง รองรับสินค้า ได้ 23,000 ตัน 2.สาขาเชียงใหม่ จัดเก็บสินค้าได้ 1,500 ตัน 3.สาขาขอนแก่น จัดเก็บสินค้าได้ 1,500 ตัน 4.คลังห้องเย็นสระบุรีเฟส 2 จัดเก็บสินค้าได้ 8,000 ตัน นอกจากนี้จะรวมเครือข่าย FUZE POST ที่ให้บริการจัดส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วน เพื่อตอบสนองดีมานด์ตลาด B2B2C ขณะที่ธุรกิจ “ออโตโมทีฟ” (บริการจัดเก็บ และบริหารยานยนต์) วางเป้าหมายรายได้เติบโต 10% ในปีนี้ สอดคล้องกับตลาดรถยนต์พลังงาน ไฟฟ้าที่ก�ำลังได้รับความนิยม สะท้อนจากสถิติเดือน มกราคม 2566 - มกราคม 2567 ที่มีสถิติน�ำเข้าและ จดทะเบียนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย รวม 63,250 คัน โดยปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ให้บริการ โลจิสติกส์แก่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรถยนต์ เชื้อเพลิงน�้ำมันรายใหญ่ในไทย ครองส่วนแบ่งตลาด ประมาณ 30-35% มีพื้นที่ให้บริการรวมกว่า 870,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นการให้บริการในพื้นที่ ของบริษัท 400,000 ตารางเมตร และให้บริการแบบ ออนไซต์ในพื้นที่ของลูกค้าอีกกว่า 472,000 ตารางเมตร ซึ่งบริษัทจะน�ำความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ จากการให้บริการแบบ End-to-End solution แก่ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่น�ำเข้ามาจ�ำหน่ายรวมทั้ง ชิ้นส่วนอะไหล่ นอกจากนี้ มีแผนน�ำโมเดลธุรกิจ ออโตโมทีฟรุกให้บริการในประเทศเวียดนาม ส่วนกลยุทธ์ที่ 3 “New Business Opportunities” จะโฟกัส 3 ธุรกิจ ได้แก่ 1.ธุรกิจ คลังสินค้าแบบ Built-to-Suit ที่ก่อสร้างตามความ ต้องการของผู้เช่า ภายใต้บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จ�ำกัด ซึ่ง SJWD ร่วมทุนกับ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ปัจจุบันมีโครงการที่เปิดด�ำเนินการ แล้วและอยู่ระหว่างพัฒนารวม 9 ท�ำเล คิดเป็นพื้นที่ คลังสินค้าให้เช่ารวมกว่า 500,000 ตารางเมตร รวมถึงมีแผนน�ำคลังสินค้าจัดตั้งกองรีทส์ในปีนี้ 2. ขยายธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์แก่อุตสาหกรรม เฮลท์แคร์และยาที่มีศักยภาพเติบโตสูง โดยเตรียม คลังสินค้าในย่านบางนา กม.22 พื้นที่กว่า 28,000 ประสิทธิภาพในการให้บริการให้มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และมีแผนขยาย อุตสาหกรรมการบ�ำรุงรักษาให้กลายเป็นศูนย์กลาง การบ�ำรุงรักษาทั้งเครื่องบินพาณิชย์และเครื่องบิน ส่วนตัว มีระบบคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิเพื่อ กระจายสู่ประชากรกว่า 280 ล้านคน ทั้งประเทศไทย มาเลเซีย สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม พร้อมทั้ง จะต่อยอดความร่วมมือกับสายการบินต่าง ๆ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมโรงแรม และ พัฒนาสายการบินไทย ปรับปรุงเส้นทางตาราง การบินให้เหมาะสม จ�ำนวนและประเภทเครื่องบิน บัตรโดยสารและการบริการ ตลอดจนส่งเสริม บุคลากรให้เพียงพอพร้อมให้บริการ “เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบิน จะต้อง ยกระดับสนามบินสุวรรณภูมิให้ติดอันดับ 1 ใน 50 ของสนามบินที่ดีที่สุดในโลก ภายในระยะเวลา 1 ปี และติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลก ภายในระยะเวลา 5 ปี” นายเศรษฐา กล่าว ด้าน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ประกาศ วิสัยทัศน์ Thailand Vision “IGNITE THAILAND : จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง” เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา โดยมุ่งเป้าพัฒนา ประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรม ระดับโลก พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคต ที่ยั่งยืน และตั้งเป้าประเทศไทยก้าวไปเป็นที่ 1 ของ ภูมิภาคนั้น 1 ใน 8 เสาหลักเศรษฐกิจ คือ การผลักดัน และพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินและ การขนส่งแห่งภูมิภาค ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม รวมทั้งหน่วยงาน ในสังกัด และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ได้ขานรับ วิสัยทัศน์ นโยบาย และน�ำมาจัดท�ำเป็นแผน ด�ำเนินงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อขับเคลื่อน นโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของ ประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบิน หรือ Aviation Hub ของภูมิภาค เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว สร้างรายได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจของ ประเทศ และน�ำความอยู่ดีกินดีมาสู่พี่น้องประชาชน โดยรัฐบาลมีแผนจะพัฒนาท่าอากาศยานของไทย ให้กลับมาติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินที่ดีที่สุด ในโลกภายใน 5 ปี เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในจุด ภูมิศาสตร์กึ่งกลางของเอเชียแปซิฟิก มีพรมแดน ติดกับ 3 ประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งได้รับสิทธิประโยชน์ จากการเปิดบินเสรีการบินอาเซียน นายสุริยะ กล่าวต่อว่า “รัฐบาลมีแผนพัฒนา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยขยายขีดความ สามารถให้รองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2573 ซึ่งขณะนี้ ทอท. เปิดใช้อาคาร เทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 หรือ SAT-1 ที่สามารถ รองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี และในปี 2567 เตรียมเปิดใช้ทาง วิ่งเส้นที่ 3 ซึ่งจะสามารถรองรับเที่ยวบินจาก 68 เที่ยวต่อชั่วโมง เป็น 94 เที่ยวต่อชั่วโมง และมีแผนก่อสร้างขยายอาคารผู้โดยสารทาง ทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก ให้สามารถรองรับ ผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 30 ล้านคนต่อปี รวมทั้งมีแผน ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารทางทิศใต้ ให้สามารถ รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นอีก 60 ล้านคนต่อปี และแผนก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 4 รองรับเที่ยวบิน ได้ถึง 120 เที่ยวบินต่อชั่วโมง” ตารางเมตร ไว้รองรับ โดยจะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ ชั้นน�ำในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และยา และ ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญของบริษัท และ 3. ด้าน การให้บริการคลังสินค้าห้องเย็น คาดว่าจะสร้าง รายได้แก่บริษัท 70 ล้านบาท ในปีนี้ นอกจากนี้ได้วางเป้าหมายรายได้จากธุรกิจ พื้นที่เก็บสินค้าให้เช่าภายใต้แบรนด์ “MeSpace Self Storage” 112 ล้านบาท เติบโต 53% จากปีก่อน โดยใช้ศักยภาพการเป็นผู้น�ำธุรกิจพื้นที่เก็บสินค้า ให้เช่าอันดับหนึ่งที่มีจ�ำนวน 10 สาขา เช่น สยาม, ลาดพร้าว, พระราม 9, ศรีกรีฑา, พัทยา, ภูเก็ต เป็นต้น พื้นที่รวม 30,000 ตารางเมตร มากที่สุด ในประเทศไทย สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค ยุคใหม่ที่ต้องการเช่าพื้นที่เก็บของเพิ่มเติม โดยมี บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จ�ำกัด (มหาชน) หรือ CPN เป็นพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งร่วมกันขยายธุรกิจ ไปรษณีย์ไทย ข่าวต่อ
ประจำ�วันที่ 1 - 15 เมษายน 2567 3 ในปัจจุบัน “ระบบราง” ถือเป็นระบบการขนส่ง ที่ส�ำคัญของไทย ทั้งในภาคการขนส่งผู้โดยสาร และ การขนส่งสินค้า สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ที่ได้ ผลักดันให้การขนส่งทางรางให้เป็นการขนส่งหลัก ของประเทศ โดยมีเป้าหมายในการลดต้นทุนด้าน โลจิสติกส์ ซึ่งนับเป็นกระดูกสันหลังใหญ่ของภาค เศรษฐกิจที่มีทิศทางการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค อีกทั้ง ช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันกับนานา ประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ “การรถไฟแห่ง ประเทศไทย” (รฟท.) ก็นับเป็นอีกหนึ่งองค์กร ที่ส�ำคัญของไทย เป็นฟันเฟืองและหน่วยงานหลัก ในการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางของไทย เห็นได้จาก “พันธกิจ” ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเป็น องค์กรที่สร้างรายได้และการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผ่านการพัฒนาระบบการขนส่งให้มีประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการขนส่งของประเทศ ที่ส�ำคัญคือ เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรางของประเทศด้วย บริการที่มีคุณภาพ ครบวงจร ทันสมัย พร้อมทั้งเป็น องค์กรที่มีธรรมาภิบาล ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ที่ทันสมัย พัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพนักงาน ทั้งนี้ ภายใต้การบริหารงานของ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ในช่วงระยะ เวลา 4 ปีที่ผ่านมา การรถไฟฯ ได้ด�ำเนินโครงการ ที่ส�ำคัญมากมาย ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบรางมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการเดินทาง และการขนส่งสินค้า ตลอดจนกิจกรรมเพื่อสังคม ล้วนสร้างประโยชน์อย่างมากมาย ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีแผนในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วย เริ่มต้นด้วยการเปิดให้บริการ “สถานีกลาง กรุงเทพอภิวัฒน์” ซึ่งเป็นศูนย์กลางการคมนาคม และการขนส่งทางรางของประเทศ และเป็นสถานี รถไฟที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวมถึงเป็นศูนย์กลาง การคมนาคมแห่งใหม่เทียบเท่าสถานีรถไฟชั้นน�ำ ของโลกอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา พร้อมกับมีการปรับเปลี่ยนสถานี ต้นทาง-ปลายทางของขบวนรถไฟทางไกล สายเหนือ ใต้ อีสาน ทั้งขบวนรถด่วนพิเศษ รถด่วน รถเร็ว จ�ำนวน 52 ขบวน มาที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ แต่ขณะเดียวกันยังคงอนุรักษ์สถานีกรุงเทพ (หัวล�ำโพง) และเปิดให้บริการควบคู่กันตามปกติ ส�ำหรับให้บริการ ขบวนรถท้องถิ่น ขบวนรถชานเมือง ขบวนรถท่องเที่ยว ต่อด้วยการเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการรถไฟ ทางคู่และรถไฟสายใหม่ ตามนโยบายของกระทรวง คมนาคมให้ส�ำเร็จตามแผน ในส่วนเส้นทางรถไฟทาง คู่ระยะที่ 1 ขณะนี้สามารถเปิดใช้งานทางคู่ในช่วง แรกได้แล้วหลายเส้นทาง ได้แก่ โครงการช่วงชุมทาง ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย โครงการช่วง ชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ขณะที่เส้นทางรถไฟทาง คู่สายใต้ ก็สามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ได้เปิดให้บริการ ระหว่างสถานีบ้านคูบัว จ.ราชบุรี ถึงสถานีสะพลี จ.ชุมพร รวมระยะทาง 348 กิโลเมตร ส่วนช่วงที่ 2 เมือ 127 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ่ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชด�าเนินไปประกอบพระราชพิธีเปิดการเดินรถไฟหลวง สายแรกในพระราชอาณาจักรคือสายนครราชสีมา ซึ่งขณะนั้นสร้างเสร็จตอนหนึ่งระหว่างสถานีกรุงเทพ ถึงอยุธยา ถือได้ว่ากิจการรถไฟหลวงของไทยได้ถือก�าเนิดตังแต่บัดนั้น และการรถไฟฯ ได้ถือเอาวันที้ 26 มีนาคม่ เป็นวันสถาปนากิจการรถไฟของไทย << คมนาคม >> บริการและรถตู้โดยสาร) เข้ามาจอดส่งผู้โดยสารขาเข้า บริเวณประตูที่ 3 ของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ช่วยเพิ่มทางเลือกการเดินทางที่สะดวกอย่างไร้รอยต่อ ให้กับประชาชน การดูแลทางด้านสังคม การรถไฟฯ ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง ออกหน่วยแพทย์เฉพาะทางเคลื่อนที่ น�ำแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีชื่อเสียงของ ประเทศไปท�ำการตรวจรักษา และดูแลพี่น้อง คนรถไฟและพี่น้องประชาชนบริเวณใกล้เคียง ด้วยการลงพื้นที่ และรักษาอย่างต่อเนื่องผ่านระบบ Tele Med หรือ VDO Conference ในด้านของเยาวชน การรถไฟฯ ร่วมกับมูลนิธิ ช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ น�ำน้อง ๆ ผู้พิการทางสายตาไปทัศนศึกษานอกสถานที่ การจัดโครงการน�ำเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดน ใต้ทัศนศึกษาทางรถไฟ การสนับสนุนโครงการ สานใจไทยสู่ใจใต้โดยสนับสนุนตู้โดยสารในการ เดินทางไปท�ำกิจกรรมต่าง ๆ และร่วมกับส�ำนัก บริหารงานการศึกษาพิเศษ สังกัดส�ำนักงานคณะ กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ น�ำคณะนักเรียนผู้พิการและด้อยโอกาสนั่งรถไฟ ไปศึกษาประวัติศาสตร์ ผ่านแหล่งเรียนรู้ที่ส�ำคัญ ในเส้นทางต่าง ๆ อาทิ กรุงเทพฯ-กาญจนบุรี กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา ให้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ชาติไทย รวมถึงการจัดกิจกรรมมวลชนสัมพันธ์กับ พี่น้องประชาชนในหลายพื้นที่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชุมชนกับการรถไฟฯ ให้สามารถด�ำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ตัวอย่างที่กล่าวมานี้จะเห็นว่า การรถไฟฯ มุ่งมั่นในการยกระดับพัฒนาการท�ำงาน และการให้ บริการ ให้เท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลงของบริบท แวดล้อมภายนอก ตลอดจนเป็นการยกระดับคุณภาพ ชีวิตให้กับผู้เกี่ยวข้อง หรือ Stakeholders ทั้งหมด ตามวิสัยทัศน์ขององค์กร กล่าวโดยสรุป ในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมา ภารกิจของการรถไฟฯ ส�ำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ตามแผนงานที่ก�ำหนดไว้หลายด้าน จนท�ำให้องค์กร มีการพัฒนา ก้าวหน้าแบบต่อเนื่องอย่างเห็นผลเป็น รูปธรรม ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การรถไฟฯ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการท�ำหน้าที่ สนับสนุนภารกิจต่าง ๆ ของกระทรวงสาธารณสุข ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ของโรคโควิด-19 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในหมู่ประชาชนบุคลากร ด่านหน้าในการให้บริการสาธารณสุข รวมถึงพนักงาน การรถไฟฯ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน โดยการสนับสนุนพื้นที่ภายในสถานีกลางกรุงเทพ อภิวัฒน์ ตั้งเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ เริ่มเปิด ให้บริการตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 จนถึง วันที่ 30 กันยายน 2565 เป็นเวลาทั้งสิ้น 477 วันที่ ให้บริการฉีดวัคซีน จ�ำนวนกว่า 6 ล้านโดส ซึ่งเป็น ความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคม และ กระทรวงสาธารณสุข การส่งเสริมการท่องเทียว โดยผลักดันให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง่ การรถไฟฯ กับหน่วยงานทีเกี่ยวข้องทั่งภาครัฐ ภาคเอกชน ในการเปิดมุมมองใหม่้ ของการท่องเที่ยวทางรถไฟ โดยใช้รถ KIHA 183 มาให้บริการท่องเที่ยวแบบ ครบวงจร ขณะทีการก้าวสู่ความทันสมัยก็เห็นผลเป็นรูปธรรม โดยมุ่งมั ่นในการ่ ยกระดับพัฒนาการท�างาน และการให้บริการ ให้เท่าทันต่อความเปลียนแปลงของ่ บริบทแวดล้อมภายนอก ตลอดจนเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้เกียวข้อง ่ ตามวิสัยทัศน์ขององค์กร “เป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการเชือมต่อและการขนส่ง่ ทีมุ่งตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสีย”่ ขับเคลื่อนการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะด้วย การน�ำเทคโนโลยียานยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงาน ไฟฟ้า (EV) แทนที่ยานยนต์ที่ใช้น�้ำมันเชื้อเพลิงของ กระทรวงคมนาคม เพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาด ลดมลพิษในด้านต่าง ๆ นอกจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบ รางแล้ว การรถไฟฯ ยังได้เดินหน้าด�ำเนินการพัฒนา เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการในด้านต่าง ๆ เพื่อ อ�ำนวยความสะดวกในการเดินทางสูงสุดแก่พี่น้อง ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงคมนาคม Quick Win “คมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน” ของ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม โดยการขับเคลื่อนภารกิจให้ขบวนรถไฟชานเมือง สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน ปรับลดค่าโดยสารรถไฟชานเมืองสายสีแดงสูงสุด ไม่เกิน 20 บาท หรือ 20 บาทตลอดสาย และ ปรับลดค่าบริการจอดรถชั้นใต้ดินสถานีกลาง กรุงเทพอภิวัฒน์ เพื่อลดรายจ่ายและค่าครองชีพ ให้แก่ประชาชน รวมถึงกระตุ้นให้มีผู้โดยสารหันมา ใช้บริการมากขึ้น ไม่หยุดเพียงเท่านี้ การรถไฟฯ ได้ขยายเวลา เปิดให้บริการจองตั๋วโดยสารล่วงหน้าสูงสุด 90 วัน ในขบวนรถด่วนพิเศษและขบวนรถด่วน จ�ำนวน 32 ขบวน ให้ผู้โดยสารสามารถวางแผนการเดินทาง ได้สะดวกยิ่งขึ้น สามารถจองและซื้อตั๋วโดยสารได้จาก 3 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางจ�ำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ D-Ticket : https://www.dticket.railway.co.th ช่องทางจ�ำหน่ายตั๋วผ่านสถานีรถไฟทุกแห่งทั่วประเทศ และช่องทาง Call Center การรถไฟแห่งประเทศไทย 1690 ‘รถไฟไทยไม่เหมือนเดิม’ 127 ปี ของสายใต้ระหว่างสถานีสะพลี-ด้านเหนือสถานี ชุมพร ตามแผนการจะเปิดใช้ทางคู่ประมาณช่วงเดือน เมษายน 2567 จากนั้นจะทยอยเปิดใช้งานช่วง นครปฐม-บ้านคูบัว ประมาณเดือนมิถุนายน 2567 นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี 2567 จะเปิดให้บริการ รถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ช่วงบันไดม้า-คลองขนานจิตร อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ระยะทาง 29.70 กิโลเมตร ที่การก่อสร้างงานโยธา แล้วเสร็จ ขณะเดียวกัน การรถไฟฯ ยังเดินหน้าโครงการ ก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้นทาง ได้แก่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งปัจจุบันภาพรวม ความก้าวหน้า ร้อยละ 6.695 และการก่อสร้าง โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ดมุกดาหาร-นครพนม สัญญา 1 บ้านไผ่-หนองพอก ความก้าวหน้าโครงการ ร้อยละ 5.065 สัญญา 2 หนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 ความก้าวหน้าโครงการ ร้อยละ 7.897 ไม่เพียงเท่านี้ การรถไฟฯ ยังเดินหน้า โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 เพิ่มเติมอีก 7 สายทาง ได้แก่ ช่วงปากน�้ำโพ-เด่นชัย, ช่วงขอนแก่นหนองคาย, ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี, ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี, ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทาง หาดใหญ่-สงขลา และช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ที่คณะกรรมการรถไฟฯ ได้อนุมัติและส่งเรื่องไปยัง กระทรวงคมนาคมเพื่อขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ต่อไป ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงเด่นชัยเชียงใหม่ อยู่ระหว่างการจัดท�ำข้อมูลเพื่อเสนอ ขออนุมัติโครงการฯ ส่วนการด�ำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ซึ่งมีจุดเริ่มต้น จากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ถึงสถานีปลายทาง นครราชสีมา ระยะทางรวม 250.77 กิโลเมตร มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง มีผลงานรวมอยู่ที่ ร้อยละ 32 ในส่วนของการก่อสร้างงานโยธามี 14 สัญญา ได้ก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว 2 สัญญาอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 10 สัญญา และยังไม่ลงนาม 2 สัญญา นอกจากนี้ ยังมีสัญญางานระบบฯ 1 สัญญา อยู่ระหว่างการ ออกแบบและจัดหาวัสดุอุปกรณ์ตามสัญญา คาดว่า จะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2571 รวมถึงการเสริมทัพของหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า 50 คัน (Diesel Electric Locomotive) มาใช้งาน โดยถือเป็นรถจักรดีเซลไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งน�ำมาใช้ทดแทนหัวรถจักรเดิมที่มีอายุการใช้งาน มานาน สามารถรองรับปริมาณผู้โดยสารและการขนส่ง สินค้าทั่วประเทศ ปัจจุบันได้เปิดให้บริการเดินขบวน รถทางไกลในเส้นทางต่าง ๆ ทั่วประเทศ ช่วยให้ การรถไฟฯ มีรถจักรเพียงพอต่อการให้บริการขนส่ง ผู้โดยสารและสินค้าได้มากขึ้นสามารถเดินขบวนรถ ได้ตรงตามก�ำหนดเวลา รองรับโครงการรถไฟทางคู่ ที่ทยอยเปิดใช้งาน ริเริ่มพัฒนารถไฟระบบ EV on Train จนสามารถ ด�ำเนินการเริ่มทดสอบรถจักรพลังงานไฟฟ้าจาก แบตเตอรี่เป็นรถต้นแบบคันแรก เพื่อใช้ในระบบ สับเปลี่ยนขบวน (Shunting) เป็นไปตามนโยบาย การรถไฟแห่งประเทศไทย ขณะเดียวกันยังมีระบบ TTS (Train Tracking System) https://ttsview.railway.co.th ที่ สามารถตรวจสอบเวลาและต�ำแหน่งขบวนรถ ทุกขบวน โดยระบบจะแสดงสถานะการเดินรถให้ ทราบทันที ซึ่งจะท�ำให้ผู้โดยสารและผู้ที่มารอรับที่ ปลายทาง สามารถวางแผนการเดินทางได้สะดวก ยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการยกระดับมาตรฐานด้านความสะดวก และความปลอดภัย ช่วยสร้างความมั่นใจในการเดินทาง แก่ผู้โดยสารตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง การรถไฟฯ ยังได้ร่วมกับ บริษัท ขนส่ง จ�ำกัด (บขส.) บูรณาการโครงข่ายคมนาคมเชื่อมต่อ การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ โดยได้น�ำ รถบัสโดยสารเฉพาะของ บขส. (ไม่รวมรถร่วม
4 << TRANSPORT >> ‘มนพร’ เร่งสร้าง ‘ท่าเรือแหลมฉบัง’ เฟส 3 “มนพร” สัง กทท. เร่งสร้างท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 อัปเดตล่าสุดคืบหน้า 22.01% ด้านกิจการ่ ร่วมค้า CNNC มันใจส่งมอบพื่ ้นทีถมทะเล 3 ภายในเดือนมิถุนายน 2567 คาดแล้วเสร็จทั ่งโครงการ้ ภายในปี 2569 พร้อมติดตามการด�าเนินการสรรหาเอกชนร่วมลงทุนใหม่ตาม พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ พ.ศ. 2562 ของท่าเทียบเรือA5-โครงการ SRTO-โครงการท่าเทียบเรือ A เพิ่ มขีดความสามารถ ของท่าเรือ รองรับความต้องการการขนส่งสินค้าทางทะเล พร้อมสังลุย 3 โปรเจกต์ รับขนส่งสินค้าทางทะเล ่ จอดรถไฟได้สูงสุด 8 ขบวน รองรับตู้สินค้าสูงสุด 2 ล้าน TEU ต่อปี ได้มีการจัดท�ำแผนด�ำเนินการเพิ่มเติมจ�ำนวน 3 แผน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และปริมาณการขนส่งตู้สินค้า ทางรถไฟของ กทท. ดังนี้ 1.จ้างเหมาบริการ Reach Stacker จ�ำนวน 2 คัน ภายในเดือนเมษายน 2567, 2.จ้างเหมาเปลี่ยนสายไฟฟ้า (Cable Reel) ของ RMG จ�ำนวน 2 คัน (เพิ่มระยะสายจาก 480 เมตรเป็น 600 เมตร) ภายในเดือน กรกฎาคม 2568 และ 3.จ้างเหมาสร้าง RMG จ�ำนวน 2 คัน และ RTG จ�ำนวน 4 คัน (จัดหาเครื่องมือระยะที่ 2) หาก ด�ำเนินการแล้วเสร็จตามแผน จะสามารถสนับสนุนนโยบายการ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง (Shift Mode) จากทางถนนเป็น ทางราง เพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์ โดยรวมของประเทศให้มีการ ประหยัดพลังงานมากขึ้น ลดมลภาวะ รวมทั้งลดต้นทุนโลจิสติกส์โดยรวมของ ประเทศให้ต�่ำลงอีกด้วย ในส่วนของโครงการท่าเทียบเรือ A “ทางหลวงชนบท” เปิดแผนลงทุน 7 พันล้านบาท ขยายเส้น ทางถนน “ไทยแลนด์ริเวียร่า” เลียบชายเขาฝั่งทะเลอ่าวไทยเทือกเขาตะนาวศรี พร้อมจ่อชงงบปี 2568 ขยายเพิ่ม 300 กม. วิ่งยาวถึง 3 จังหวัดชายแดนใต้ “สงขลา-ปัตตานี–นราธิวาส” นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาถนนท่องเที่ยวเลียบชายฝั่ง ทะเลภาคใต้ (ไทยแลนด์ริเวียร่า) ว่า ปัจจุบัน ทช. ได้พัฒนา ถนนไทยแลนด์ ริเวียร่ามาอย่างต่อเนื่อง แบ่งเป็นระยะที่ 1 ช่วง สมุทรสงคราม-ชุมพร มีระยะทาง 658 กิโลเมตร (กม.) อยู่ในความ ดูแลของ ทช. มีจ�ำนวนทั้งสิ้น 43 สายทาง ระยะทาง 514 กม. ปัจจุบัน สถานะโครงการด�ำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ 42 สายทาง คิดเป็น ระยะทางทั้งหมด 507 กม. และอยู่ระหว่างก่อสร้าง 1 สายทาง ระยะทาง 6.753 กม. ขณะที่ระยะที่ 2 ช่วงชุมพร-สงขลา มีระยะทางรวม 544 กม. อยู่ในความดูแลของ ทช. ประมาณ 145 กม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างด�ำเนินการ ก่อสร้าง โดยแบ่งเป็นการขยายความกว้างผิวจราจร 25 สายทาง และ การปรับปรุงผิวจราจร 41 สายทาง นอกจากนี้ ปัจจุบัน ทช. มีแผน พัฒนาโครงการดังกล่าวในระยะที่ 3 ช่วงเลียบชายเขาฝั่งทะเลอ่าว ไทย และช่วงเลียบเทือกเขาตะนาวศรี ระยะทางรวมกว่า 433 กม. ซึ่งจะมีการทยอยเสนอของบประมาณด�ำเนินการในปี 2568-2572 รวมวงเงินกว่า 7 พันล้านบาท นายอภิรัฐ กล่าวต่อว่า ส่วนแผนพัฒนาระยะที่ 3 จะมีแนว เส้นทางแบ่งเป็น เส้นทางสามสมุทร งบประมาณ 4,000 ล้านบาท เชื่อมต่อจากจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ระยะทางรวม 83 กม. สถานะโครงการปัจจุบันได้ส�ำรวจออกแบบ และจัดท�ำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้าง อีกทั้งยังมีแผนพัฒนาเส้นทางตะนาวศรี คีรีพัฒน์ งบประมาณ 3,000 ล้านบาท เชื่อมต่อจากจังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ มีระยะทางรวม 350 กม. โดยปัจจุบันสถานะ โครงการได้ส�ำรวจออกแบบและจัดท�ำรายงานอีไอเอแล้วเสร็จ อยู่ ระหว่างการพิจารณาเล่มอีไอเอ และอยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะเริ่มด�ำเนินการในปีงบประมาณ 2568 ใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปีแล้วเสร็จ นอกจากนี้ ทช. ยังวางแผนพัฒนาถนนไทยแลนด์ริเวียร่า ระยะ ที่ 4 ช่วงสงขลา-นราธิวาส ซึ่งมีแนวเส้นทางผ่านจังหวัดสงขลา ปัตตานี และนราธิวาส ระยะทางรวม 300 กม. เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพด้าน การคมนาคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ทั้งในเรื่องของการขนส่ง การค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนในพื้นที่ โดยสถานะปัจจุบัน อยู่ระหว่างการขอสนับสนุนงบประมาณปี 2568-2569 วงเงินประมาณ 33 ล้านบาท เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการพัฒนาเส้นทาง อย่างไรก็ตาม จากความส�ำเร็จของการพัฒนาโครงข่ายสายทาง ถนนไทยแลนด์ริเวียร่า ซึ่งทยอยแล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว ในปัจจุบัน ระยะที่ 1 ช่วงสมุทรสงคราม-ชุมพร ได้เก็บสถิติข้อมูล ปริมาณจราจร (PCU) ในเส้นทางดังกล่าว พบว่ามีอัตราการเพิ่ม ขึ้นของปริมาณจราจรตั้งแต่ปี 2560 ถึงปี 2567 คิดเป็น 111% หรือเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว ผุดเพิ่ ม 300 กม. วิงเชื่อม 3 จังหวัดชายแดนใต้ ่ ทช. เดินเครื่องสร้าง ‘ไทยแลนด์ริเวียร่า’ นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง คมนาคม เปิดเผยว่า นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อ�ำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ได้รายงานถึงความคืบหน้าการด�ำเนินโครงการพัฒนา ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยกิจการร่วมค้า CNNC สามารถด�ำเนินงานคืบหน้า อยู่ที่ 22.01% โดยมีเครื่องจักรทางทะเล 71 ล�ำ และ ก�ำลังคนจ�ำนวน 520 คน ทั้งนี้ กิจการร่วมค้าฯ ได้แจ้ง ปัญหาอุปสรรคในการด�ำเนินงานว่าจ�ำนวนหินที่ใช้ใน โครงการฯ และเครื่องจักรยังมีไม่เพียงพอ จึงมีแนวทาง การแก้ไขปัญหาโดยการประสานเหมืองหินให้เร่งผลิตหิน ให้เพียงพอภายในเดือนมีนาคม 2567 และได้มีการเพิ่ม เครื่องจักรในการท�ำ Geotube ซึ่งเป็นส่วนส�ำคัญในการ ก่อสร้างคันหินล้อมพื้นที่ และในส่วนของงานถมทะเลได้ เพิ่มเรือ Grab Dredger เข้ามาช่วยในการขุดลอก ทั้งนี้ นับจากเดือนมีนาคม 2567 จะต้องด�ำเนินการ ให้ได้ความก้าวหน้าประจ�ำเดือนอย่างน้อย 4.04% โดย กิจการร่วมค้าฯ ได้น�ำเสนอแผนเร่งรัดงานให้ทันตามแผน 4.0 โดยภายในวันที่ 7 มิถุนายน 2567 วันที่ครบก�ำหนดส่งมอบ พื้นที่ถมทะเล 3 จะต้องมีความก้าวหน้าสะสมอย่างน้อย 35.87% เพื่อให้สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 มีความก้าวหน้า สะสม 37.77% อย่างไรก็ตาม กิจการร่วมค้า CNNC มั่นใจว่าจะสามารถส่งมอบพื้นที่ถมทะเล 3 ได้ทันภายใน เดือนมิถุนายน 2567 นี้ และจะส่งมอบพื้นที่ F1 ของโครงการฯ ให้แก่บริษัทเอกชนคู่สัญญาได้ภายในปลายปี 2568 และ ก�ำหนดส่งมอบแล้วเสร็จทั้งโครงการฯ ในปี 2569 นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ส�ำหรับการด�ำเนินการ สรรหาเอกชนร่วมลงทุนใหม่ตาม พ.ร.บ ร่วมลงลงทุนฯ พ.ศ. 2562 ของท่าเทียบเรือ A5 ซึ่งเป็นท่าเทียบเรือ ส�ำหรับขนส่งรถยนต์ มีความยาวหน้าท่า 527 เมตร และ มีขีดความสามารถขนถ่ายรถยนต์ 700,000 คัน/ปี โดยบริษัท นามยง เทอร์มินัล จ�ำกัด เป็นผู้ประกอบการ ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 30 เมษายน 2569 ซึ่งภายหลัง สิ้นสุดสัญญาต้องด�ำเนินการเป็นโครงการร่วมลงทุนใหม่ ทั้งนี้ กทท. ได้มีการจัดท�ำรายงานผลการศึกษาฯ และ หลักการโครงการฯ เรียบร้อยแล้ว โดยเสนอผ่าน กระทรวง คมนาคม ตามขั้นตอนของกฎหมาย และขณะนี้อยู่ระหว่าง ขั้นตอนการด�ำเนินการตามมติคณะกรรมการ PPP และ รอผลสรุปจากที่ประชุม โดย สคร. จะแจ้งให้ทราบผลต่อไป ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบันของโครงการ SRTO ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2561 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 600 ไร่ บริเวณถ้าเทียบเรือ B กับ C มีจ�ำนวนรวม 6 ราง สามารถ ขยายถนน 4 เลน ทล.231 กว่า 18 กม. เปิดใช้ปี ‘70 ‘ทางหลวงอุบลฯ’ ชงของบปี ‘67 มูลค่า 1.5 พันล้าน เป็นท่าเทียบเรือที่ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการ พัฒนาการขนส่งทางน�้ำ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนนโยบาย ส�ำคัญในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากทางถนนไปเป็น ทางรางและทางน�้ำ และส่งเสริมการขนส่งสินค้าระหว่างท่าเรือ แหลมฉบังกับท่าเรือกรุงเทพ ในปัจจุบันได้มีการยกเลิกประกาศ กทท. เรื่องให้เรือชายฝั่งที่รับตู้สินค้าขาเข้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง ด�ำเนินการบรรจุตู้สินค้าลงเรือ (Loading Container) ณ ท่าเทียบเรือชายฝั่ง ข้อที่ 1 “ให้เรือชายฝั่งที่จะด�ำเนินการ บรรทุกตู้สินค้าลงเรือ (Loading Container) ที่ ทลฉ. มา ด�ำเนินการบรรทุกตู้สินค้า ณ ท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) เท่านั้น” โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไปนั้น ส่งผลให้ปริมาณตู้สินค้าใน ทลฉ. ลดลง เพราะเจ้าของตู้สินค้า ประสงค์จะขนถ่ายตรง ณ TLC เนื่องจากค่าใช้จ่ายถูกกว่า ซึ่ง กทท. อยู่ระหว่างทบทวนอัตราค่าภาระ โครงสร้าง และ น�ำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป “ทางหลวงอุบลฯ“ ชงของบปี 2567 กว่า 1.5 พันล้าน ขยายถนน 4 เลน ทล.231 ช่วงแยกลือค�ำหาญ-แยกกุดลาด ระยะทาง 18.1 กม. เผยเป็นเส้นทางส�ำคัญ หลังใช้เป็นทางเลี่ยงหนีน�้ำท่วมใหญ่ เมื่อปี 2565 พร้อมสร้างสะพานแม่น�้ำมูล คาดเปิดใช้ปี 2570 อ�ำนวยความสะดวกการเดินทางชาวอุบล หนุนท่องเที่ยว ส่งเสริม การค้าชายแดน นายชยุธ โลหกิจ ผู้อ�ำนวยการส�ำนักงานทางหลวงที่ 9 กรม ทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ส�ำนักงานทางหลวงที่ 9 ได้เสนอขอรับ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจ�ำปี 2567 วงเงิน 1,550 ล้านบาท (งบผูกพันปี 2567-2569) เพื่อน�ำมาด�ำเนินการโครงการก่อสร้างขยาย ทางหลวงหมายเลข 231 ช่วงแยกลือค�ำหาญ-แยกกุดลาด ระหว่าง กม. 17+828-กม.35+982 ระยะทางรวม 18.1 กิโลเมตร (กม.) จากปัจจุบัน มีขนาด 2 ช่องจราจร (ไป-กลับ) ขยายเป็น 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ) พร้อมการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น�้ำมูล โดยหากเมื่อได้รับการจัดสรร งบประมาณวงเงินดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะใช้ระยะเวลาการ ก่อสร้างประมาณ 3 ปี แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2570 ส�ำหรับโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงขนาด 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ) บน ทล. 231 ช่วงแยกลือค�ำหาญ-แยกกุดลาดนั้น เนื่องจาก เพื่อปรับปรุง และแก้ไขปัญหาการจราจรบน ทล. 231 และช่วงจุดตัด ทางหลวงบริเวณทางแยก ประกอบกับเส้นทางดังกล่าว ยังเป็นอีก 1 เส้นทาง ส�ำคัญของ จ.อุบลราชธานี หลังจากใช้เป็นทางเลี่ยงครั้งเมื่อเกิด เหตุการณ์น�้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งช่วยอ�ำนวยความสะดวก ในการเดินทางของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย นายชยุธ กล่าวต่อว่า โครงการจะปรับปรุง ทล. 231 ในส่วนที่เป็น 2 ช่องจราจร ระหว่าง กม. ที่ 17+828 (แยกลือค�ำหาญ) ถึง กม. ที่ 35+982 (แยกกุดลาด) โดยจะขยายเป็น 4 ช่องจราจร ความกว้าง ช่องจราจรช่องละ 3.50 เมตร พร้อมเกาะกลางแบบร่อง กว้าง 5.00 เมตร ไหล่ทางด้านในกว้าง 1.50 เมตร และไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.50 เมตร ส่วนช่วงประมาณ กม. 21+300 หรือทางเข้าบ้านบัวท่า จะมีการก่อสร้าง สะพานบก เพื่อให้ชุมชนทั้ง 2 ฝั่ง สามารถสัญจรเชื่อมต่อกันได้ ขณะที่ กม. 28+900 (แยกบัวเทิง) ตัดกับ ทล.217 (ถนนสถิตย์ นิมานกาล) จะมีการปรับปรุงทางยกระดับให้ใช้ข้ามและกลับรถ ได้สะดวกยิ่งขึ้น อีกทั้ง จะด�ำเนินการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น�้ำมูลใหม่ ในช่วง กม. 32+000 เพิ่มเติมอีก 1 สะพาน รวมถึง กม. 35+928 ตัดกับทางหลวงชนบท อบ.4005 (แยกกุดลาด) จะก่อสร้างเป็นทางลอด และมีการจัดช่องจราจร และปรับปรุงภูมิทัศน์ด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะช่วยระบายความ คับคั่งของปริมาณการจราจรในตัวเมืองอุบลราชธานี โดยเฉพาะ ในช่วงเทศกาล นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้เส้นทาง และลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุ พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการ พัฒนาโครงข่ายทางหลวงในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น สามารถเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดใกล้เคียง สามารถพัฒนาโครงข่าย ทางหลวงที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงส่งเสริมการพัฒนา ทางด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี และ ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าชายแดนด้วย มนพร เจริญศรี ชยุธ โลหกิจ ประจำ�วันที่ 1 - 15 เมษายน 2567
<< AUTO & TRUCK >> 5 นางสาวดวงใจ พงศ์ประเทืองสุข ผู้อ�ำนวยการ ฝ่ายงานขาย และกลยุทธ์ประจ�ำประเทศไทย บริษัท สแกนเนีย สยาม จ�ำกัด กล่าวถึงการบุกตลาดและ การเปิดตัวรถโดยสารยูโร 5 ใหม่เป็นเจ้าแรกของไทยว่า การมาถึงของ สแกนเนีย นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 (Scania New Bus Generation EURO 5) พร้อม แชสซีส์ใหม่ จะเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งให้กับ วงการรถโดยสารของไทย ซึ่งสแกนเนียมีเทคโนโลยี เครื่องยนต์ยูโร 5 ที่ใช้ในงานขนส่งจริงมามากกว่า 15 ปี โดยมีการพัฒนาประสิทธิภาพเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่อง จนได้รับการยอมรับเป็นอันดับต้นทั่วโลก ทั้งในยุโรป อเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง เอเชีย โอเชียเนีย และยังมี แนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในทั่วทุกภูมิภาคของโลก ส�ำหรับหัวใจที่ท�ำให้สแกนเนียครองความเป็น อันดับหนึ่งรถบัสโดยสารพรีเมียมนั้น มาจากการผลิตที่ ค�ำนึงถึงทุกส่วนส�ำคัญของผู้ประกอบการ คือ ความคุ้มค่า ตลอดอายุการใช้งาน ทั้งประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ และความคงทนของแชสซีส์ ความคุ้มค่าด้านต้นทุนจาก การประหยัดน�้ำมัน ความแข็งแรง เป็นผู้น�ำเรื่องระบบ ความปลอดภัยสูงสุด ช่วยลดการศูนย์เสียจากอุบัติเหตุ บนท้องถนน มีช่วงล่างที่ผู้โดยสารประทับใจในความ นุ่มนวลมั่นคง ไม่เวียนหัวแม้จะนั่งแถวหลังสุดของรถโดยสาร นอกจากนั้นยังมีงานบริการดูแลรักษาที่มีคุณภาพครบวงจร ส่วนในด้านของความยั่งยืนก็ไม่ได้เป็นแค่การเป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อมแค่การปล่อยไอเสียที่น้อยลงด้วยเครื่องยนต์ ยูโร 5 ที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ความยั่งยืนที่สแกนเนียท�ำเป็น บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย (BMT) ร่วมลงนามความ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (KMUTNB) ด้านการศึกษา การวิจัย การสรรหาและแลกเปลี่ยนบุคลากร ส�ำหรับนักศึกษา ของทางมหาวิทยาลัยทั้งในหลักสูตรอาชีวศึกษา ปริญญาตรี และปริญญาโท ช่วย สนับสนุนนักศึกษาในประเทศไทยด้วยการส่งมอบโอกาสในการฝึกงานให้แก่ เยาวชนที่มีศักยภาพ ถ่ายทอดองค์ความรู้จากบุคลากรของบีเอ็มดับเบิลยู ท�ำงาน ร่วมกันในด้านงานวิจัย จัดการเยี่ยมชมโรงงานผลิตรถยนต์ที่ระยอง รวมทั้งจัดท�ำ โครงการปรับและพัฒนาทักษะเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่แรงงานในอนาคต ของประเทศไทย เพื่อให้มีทักษะที่เหมาะสมกับความต้องการของอุตสาหกรรม ยานยนต์ มร.เอริค รูเก้ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ตระหนักถึง ความส�ำคัญของการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีทักษะส�ำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรมแล้ว ยังจะช่วยบ่มเพาะอีโคซิสเต็มของรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับอนาคตของประเทศอีกด้วย ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยก�ำลังก้าวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตยานยนต์ พลังงานไฟฟ้า 100% เรามองเห็นความต้องการบุคลากรส�ำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นจ�ำนวนมากในประเทศไทย ในฐานะผู้น�ำในตลาดรถยนต์ระดับ พรีเมียม บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุน บุคลากรในประเทศ และตั้งเป้าที่จะยกระดับทักษะให้แก่นักเรียนไทย ผ่านโครงการ ความร่วมมือต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการเปิดโอกาสให้นักเรียนและนักศึกษาได้เข้าฝึกงาน การช่วยสนับสนุนด้านการท�ำงานวิจัย และการให้บุคลากรของบีเอ็มดับเบิลยูได้ร่วม ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่นักศึกษาของสถาบัน เราเชื่อว่าการลงทุนในภาคการศึกษา และการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนไทย จะมีส่วนช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ไทยเติบโต รวมทั้งช่วยวางรากฐานให้แก่อนาคตของภาคยนตรกรรมของประเทศ” ด้าน มร.คนุท โบลกแคร์ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู พาร์ทส์ แมนู แฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู พาร์ทส์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ถือเป็นส่วนประกอบส�ำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ซึ่งนั่นท�ำให้เรา มีเป้าหมายส�ำคัญร่วมกันในด้านการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ของประเทศไทย เพื่อ รองรับกับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยในอนาคต โครงการความร่วมมือ เพื่อยกระดับการศึกษาร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ในครั้งนี้จะท�ำให้เกิดประโชน์กับทั้งสองฝ่าย เพราะท�ำให้เราสามารถร่วมมือกันในด้าน โครงการวิจัย การแบ่งปันองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญ รวมถึงการสนับสนุนด้าน การแลกเปลี่ยนทั้งในแง่ของวิชาการและวัฒนธรรม ความร่วมมือดังกล่าวมีเป้าหมาย เพื่อช่วยยกระดับภาคการศึกษาของประเทศไทย และถือเป็นการตอกย�้ำค�ำมั่นสัญญา ของเราที่มีให้กับประเทศไทยในด้านการร่วมพัฒนาและเติบโตไปพร้อมกัน โดยเฉพาะ ในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยก�ำลังเติบโตทั้งในกลุ่มยานยนต์แบบ 4 ล้อ และ 2 ล้อ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีชั้นแนวหน้า” สแกนเนีย เดินเกมบุกตลาดรถยูโร 5 ส่งรถบัสโดยสาร สแกนเนีย นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 พร้อมแชสซีส์ใหม่ทั้งคันสู้ศึก มั่นใจสร้างมาตรฐาน ใหม่ที่มากกว่าเครื่องยนต์ยูโร 5 ด้วยจุดเด่นด้านระบบความปลอดภัยสูงสุด การประหยัดน�้ ามัน และเป็นมิตรต่อสิ่ งแวดล้อม การันตีความมั่นใจให้กับ ลูกค้าด้วยการเป็นหนึ่งในผู้น�าด้วยยอดใช้งานจริงจ�านวนมากในยุโรปและ อเมริกาใต้ตลอด 15 ปี คาดตลาดรถบัสปีนีเป็นใจ ท่องเที ้ ยวฟื้ น ความต้องการ ่ รถบัสบริการนักท่องเที่ยวพุ่ง สแกนเนีย นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 ความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งลูกค้า คู่ค้า พันธมิตร สังคม และ สิ่งแวดล้อม ส่วนแนวโน้มของตลาดรถบัสโดยสารของไทยปีนี้ คาดว่าจะเป็นปีของการฟื้นตัวอย่างชัดเจน จากสัญญาณ ที่แสดงให้เห็นตั้งแต่ปลายปี 2566 ที่มีการเดินทางของ นักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะ จนผู้ประกอบการ รถบัสโดยสารด้านการท่องเที่ยว มีการติดต่อสอบถาม เข้ามาเพื่อถามหาและจองรถบัสของสแกนเนียเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ไตรมาส 3ของปี 2566 และในปีนี้ภาครัฐมีมาตรการ กระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ ทั้งการฟรีวีซ่าแก่ นักท่องเที่ยวจีนและคาซักสถานที่เริ่มเห็นผลอย่างชัดเจน จนประเมินว่าปีนี้อาจมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทาง เข้าไทยสูงถึง 40 ล้านคน ถือเป็นปัจจัยบวกอย่างมากต่อ ตลาดรถบัสโดยสารและเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการ ที่ต้องการรถใหม่ เนื่องจาก สแกนเนีย นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 เป็นรถเทคโนโลยีล่าสุด ที่มีความคุ้มค่าสูง และ จะสร้างแต้มต่อทางธุรกิจให้กับกลุ่มผู้ให้บริการรถโดยสาร ด้านการท่องเที่ยวอย่างแน่นอน นายณรงค์ฤทธิ์ อิทธิสารรณชัย ผู้อ�ำนวยการ สนับสนุนการขายและโลจิสติกส์ บริษัท สแกนเนีย สยาม จ�ำกัด กล่าวถึงประสิทธิภาพของ สแกนเนีย นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 ที่มาพร้อมแชสซีส์ใหม่ว่า เป็นรถบัส โดยสารที่มีนวัตกรรมและคุณสมบัติเด่นล่าสุดของตระกูล รถยูโร 5 ด้วยเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูงช่วยประหยัด น�้ำมันได้ถึง 8% เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ยูโร 3 ของ สแกนเนียมีระบบเทคโนโลยีบ�ำบัดมลพิษในไอเสียที่เกิดจาก การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงภายในเครื่องยนต์ (Selective Catalytic Reduction : SCR) โดยเติมแอดบลู (AdBlue) หรือสารยูเรียที่ไม่เป็นอันตรายในการบ�ำบัดไอเสียให้ แปรสภาพจากไนโตรเจนออกไซด์ที่เป็นก๊าซพิษเป็น ไนโตรเจนกับน�้ำก่อนปล่อยออก ท�ำให้ส่งผลกระทบกับ สิ่งแวดล้อมน้อยลง ลด PM2.5 ได้มากถึง 5 เท่า เมื่อ เทียบกับรถยูโร 3 และระบบเกียร์ใหม่ที่มีเกียร์เดินหน้าถึง 12 เกียร์ (จากเดิม 8 เกียร์เดินหน้า) ช่วยให้การขับขี่ราบรื่น ชูจุดเด่นความปลอดภัย ประหยัดน�า ้ มัน รักษ์สิงแวดล้อม ่ ร่วมยกระดับการเรียนรู้ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ BMW จับมือ ม.พระจอมเกล้าพระนครเหนือ ส่งแคมเปญ ‘ขายรถเองบนรถโดนใจ ขายง่าย ขายไว ได้ราคาดี’ เสริมทัพรถบ้านดูแลดี บนเว็บไซต์ Roddonjai นิ่มนวลจนผู้โดยสารไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง ขณะเปลี่ยนเกียร์ อีกสิ่งส�ำคัญที่ขาดไม่ได้ส�ำหรับรถสแกนเนีย คือ ระบบความปลอดภัยที่ดีที่สุดในตลาดประเทศไทย ใหม่ล่าสุดกับ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) เต็มระบบ มาตรฐานเดียวกับรถโดยสารที่ใช้ ในยุโรป เช่น ระบบป้องกันรถออกนอกเลน (LDW) ระบบ เตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning) ระบบเบรก ฉุกเฉินอัตโนมัติ(AEB) ที่เบรคจนถึงจุดหยุดนิ่ง ท�ำงาน ร่วมกับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) ที่ปรับความเร็วรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจาก รถคันหน้าจนถึงจุดหยุดนิ่งโดยอัตโนมัติ และยังออกตัวเอง เมื่อจอดไม่เกิน 3 วินาที รวมถึงยังมีระบบความปลอดภัยเดิม ที่ยังมีอยู่ครบและยังท�ำงานได้ดีขึ้น เช่น เบรก ABS และ EBS เบรกไอเสียและเบรกเสริมรีทาร์เดอร์ ระบบป้องกัน การพลิกคว�่ำ (ESP) ระบบกันลื่นไถล (Traction Control) ฯลฯ ด้วยคุณสมบัติเด่นดังกล่าวท�ำให้ทั้งผู้โดยสารและ ผู้ขับขี่รถบัสโดยสารระดับพรีเมี่ยมยกให้รถบัสสแกเนีย ทีทีบีไดรฟ์ โดยทีเอ็มบีธนชาต มุ่งมั่นส่งมอบประสบการณ์ที่ดี ให้กับลูกค้า ด้วยบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการเรื่องรถในทุกช่วงชีวิต ส�ำหรับผู้ที่ก�ำลังมองหารถมือสองในปีนี้ ทาง Roddonjai เว็บไซต์ซื้อขายรถมือสองคุณภาพโดนใจ เปิดหมวดพิเศษ “รถบ้านดูแลดี” ขายตรงจากเจ้าของรถตัวจริง พร้อมแคมเปญ “ขายรถเองบนรถโดนใจ ขายง่าย ขายไว ได้ราคาดี” ฟรีค่าตรวจสภาพรถยนต์ มูลค่า 1,500 บาทแก่ผู้ขาย นายชัชฤทธิ์ ตั้งเถกิงเกียรติ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าผลิตภัณฑ์ธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ ทีเอ็มบี ธนชาต เปิดเผยว่า หลังจากเปิดตัว Roddonjai แพลตฟอร์มออนไลน์ซื้อขายรถมือสองไปเมื่อปีที่ผ่านมา ปัจจุบัน มีรถมือสองคุณภาพดีให้เลือกผ่าน Roddonjai.com ร่วม 16,000 คัน ซึ่งได้กระแสตอบรับที่ดีจากความโดดเด่น ที่มุ่งคัดสรรรถยนต์มือสองใน 5 หมวดรถพิเศษ ที่คัดมาแต่รถโดน ๆ ที่รถโดนใจ ได้แก่ รถผู้บริหารวิ่งน้อย รถ 5 ดาวอายุไม่ถึง 5 ปี รถเทสจากโชว์รูม รถนางฟ้าเช็กแต่ศูนย์ และรถวารันตีเหลือ ซึ่งขายรถออกไปแล้ว กว่า 12,000 คัน จากดีลเลอร์เต็นท์รถพันธมิตรชั้นน�ำมากกว่า 3,000 รายทั่วประเทศ ส�ำหรับในปี 2567 นี้ Roddonjai ได้เสริมทัพรถคัดคุณภาพจากแหล่งที่มาพิเศษเพิ่มเติม ในหมวดของ “รถบ้านดูแลดี” ซึ่งคาดว่า จะมีรถบ้านมาจ�ำหน่ายบนเว็บไซต์ Roddonjai ไม่ต�่ำกว่า 10,000 คัน และช่วยผลักดันยอดจ�ำหน่ายรวมของ รถยนต์มือสองของ Roddonjai เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ส�ำหรับผู้ที่ต้องการขายรถบ้านเอง สามารถลงขายรถที่เว็บไซต์ Roddonjai ได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง โดย ลงทะเบียนเป็นผู้ขายประเภทบุคคลทั่วไป ระบุข้อมูลรถยนต์ และท�ำการนัดหมายการตรวจสภาพรถยนต์กับ Roddonjai มีแคมเปญ “ขายรถเองบนรถโดนใจ ขายง่าย ขายไว ได้ราคาดี” มอบสิทธิพิเศษให้เจ้าของรถ ที่ลงประกาศขายรถระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 - 30 เมษายน 2567 รับโค้ดค่าตรวจสภาพรถยนต์ 274 จุด มูลค่า 1,500 บาท (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการเดินทาง) เพื่อน�ำมาใช้เป็นส่วนลดส�ำหรับการน�ำรถยนต์เข้าตรวจ สภาพก่อนน�ำรถยนต์มาขายอีกด้วย ผู้ขายรถบ้าน มั่นใจได้ว่าลงขายแล้วขายไวได้ราคา เพราะ Roddonjai มีเครื่องมือและแคมเปญช่วยขาย ตลอดทุกเดือน พร้อมสื่อโฆษณาฟรี ช่วยท�ำการตลาดออนไลน์ในทุก ๆ ช่องทาง โดนเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อได้ตรงกลุ่ม รถทุกคันที่ลงขายสามารถจัดสินเชื่อรถได้ทุกคัน บริการจัดสินเชื่อถึงที่ วงเงินอนุมัติสูงสุด 100% กับสินเชื่อ รถยนต์ใช้แล้วทีทีบีไดรฟ์ ช่วยให้ผู้ซื้อสบายใจได้รถง่าย ผู้ขายได้เงินไว “การมุ่งเจาะกลุ่มตลาดรถบ้าน เป็นการเสริมทัพรถคัดคุณภาพจากแหล่งที่มาพิเศษ เน้นรถที่มีการดูแล รักษาดี ผ่านการตรวจสอบความเป็นเจ้าของรถยนต์ก่อนประกาศขาย และเป็นการขายตรงจากเจ้าของรถ ตัวจริง หวังช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์มือสองในปีนี้ให้คึกคักขึ้น โดยรถทุกคันจะต้องผ่านการตรวจสอบ คุณภาพรถยนต์สูงสุด 274 จุด ตามมาตรฐานของ Roddonjai นอกจากนี้ รถทุกคันยังสามารถจัดสินเชื่อ ด้วยบริการคุณภาพจากสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้วทีทีบีไดรฟ์ ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่เริ่มต้นที่ 2.79% ต่อปี และสามารถผ่อนได้นานสูงสุดถึง 84 เดือน กู้เท่าที่จ�ำเป็นและช�ำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.29% - 15.00% (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารก�ำหนด)” นายชัชฤทธิ์ กล่าวสรุป ชัชฤทธิ์ ตั้งเถกิงเกียรติ์ ภายใต้การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือจะท�ำงานร่วมกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ครอบคลุมทั้งในด้านการศึกษา การวิจัย การสรรหาบุคลากร การแลกเปลี่ยน บุคลากร และโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ภายในระยะเวลา 3 ปี โดย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จะเปิดโอกาสให้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยฯ ที่มี ศักยภาพ ได้เข้าฝึกงาน ภายในระยะเวลาตั้งแต่ 3 เดือนจนถึงหนึ่งปี นอกจากนี้ ยังจะช่วยสนับสนุนนักศึกษาของสถาบันในด้านต่าง ๆ ทั้งการท�ำงานวิจัยที่สถาน ปฏิบัติงานของบริษัท หัวข้อการวิจัย การเยี่ยมชมโรงงานของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนู แฟคเจอริ่ง ประเทศไทย สนับสนุนทั้งในด้านของบุคลากรบีเอ็มดับเบิลยูและ ทางมหาวิทยาลัยฯ เพื่อส่งเสริมการยกระดับสมรรถนะบุคลากรของบีเอ็มดับเบิลยู พัฒนาทักษะ และเพิ่มโอกาสทางการศึกษา รวมทั้ง อ�ำนวยความสะดวกการด�ำเนิน โครงการการเคลื่อนย้ายบุคลากรระหว่างบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เพื่อพัฒนา ศักยภาพการวิจัยในภาคอุตสาหกรรม ณ บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มุ่งสนับสนุนโอกาสทางการเรียนรู้ให้แก่ นักศึกษาไทยทั้งในด้านทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ความร่วมมือระหว่างบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือในครั้งนี้ มีเป้าหมายร่วมกันเพื่อยกระดับการศึกษาในประเทศไทย ด้วยทักษะและความเชี่ยวชาญจากทางบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ให้แก่นักเรียน นักศึกษาไทย จากทั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และ สถาบันอื่น ๆ ซึ่งจะเป็นหมุดหมายส�ำคัญส�ำหรับการปรับและพัฒนาทักษะแรงงาน ในอนาคตของประเทศ ซึ่งจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ของ ประเทศไทยในภาพรวม เป็นแบรนด์ยุโรปอันดับหนึ่งในตลาดประเทศไทย สแกนเนีย นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 และแชสซีส์ใหม่ เปิดตัวพร้อมกัน ทั้ง รถ 6 ล้อ (4x2) ความยาว 12 เมตร 320 แรงม้า และ รถ 8ล้อ (6x2*4) ความยาว 13.50 เมตร 410 แรงม้า) และ รถ 8ล้อ(6x2*4) ความยาว 15 เมตร 410 แรงม้า นอกจากนี้สแกนเนียยังมีความพร้อมด้าน ผู้เชี่ยวชาญการต่อตัวถังคอยดูแลให้รถได้มาตรฐาน และ เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ด้านแผนการตลาดนั้น นายพรต โชตินันทน์ ผู้จัดการฝ่ายขายรถโดยสารสแกนเนีย บริษัท สแกนเนีย สยาม จ�ำกัด กล่าวว่า ลูกค้ากลุ่มรถบัสโดยสารของ สแกนเนีย แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มรถประจ�ำทาง กลุ่มรถท่องเที่ยว กลุ่มรถโรงงาน และกลุ่มรถที่มาจาก การประมูลงานราชการหรือกลุ่มที่น�ำรถไปใช้ส่วนตัว ซึ่ง สิ่งส�ำคัญของผู้ประกอบการรถโดยสาร คือ ความต้องการ รถประสิทธิภาพสูงที่พร้อมท�ำงานได้ตลอดเวลา มีความ ปลอดภัยที่ได้รับความไว้วางใจจากนักขับและผู้โดยสาร และความคุ้มค่าในการด�ำเนินงาน เช่น การประหยัดน�้ำมัน ซึ่งสแกนเนียมีความพร้อมตอบโจทย์งานขนส่งผู้โดยสาร ครบทุกมิติ จึงไม่แปลกที่จะเป็นตัวเลือกล�ำดับต้นของ ผู้ประกอบการ ซึ่งในช่วงแรกที่ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็น ทางการก็ได้รับความสนใจและมีความต้องการจากตลาด จองรถกันเข้ามาแล้ว ส่วนงานบริการและอะไหล่นั้น สแกนเนีย ประเทศไทย พร้อม 100% เพราะ นิว บัส เจเนอเรชั่น ยูโร 5 มีการใช้งานแพร่หลายอยู่แล้ว ผนวกกับศูนย์บริการ มาตรฐาน 11 สาขาทั่วประเทศบนเส้นทางขนส่งหลัก และทีมช่างที่ได้รับการอบรมตามมาตรฐานการดูแล รักษารถอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานสูงสุดเสมอ รวมถึง มีสต๊อกอะไหล่อย่างเพียงพอต่อความต้องการ ส�ำหรับ ราคาขายนั้น รุ่น 6 ล้อ เริ่มต้นที่ 3.9 ล้านบาท ซึ่งสแกนเนีย มีหน่วยงานบริการด้านการเงิน (ไฟแนนซ์) ของตัวเอง ที่เข้าใจธุรกิจขนส่งและพร้อมมอบความยืดหยุ่น เงื่อนไข สุดพิเศษให้กับลูกค้าที่สนใจ ประจำ�วันที่ 1 - 15 เมษายน 2567
6 วิริยะประกันภัย เดินเกมกลยุทธ์ปี ’67 เปิดตัว Allianz Commercial กรุงเทพประกันภัย ร่วมกับ กรมสุขภาพจิต ‘มากกว่าความคุ้มครอง คือ ความคุ้มค่า’ รณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจให้คนไทยห่างไกลภาวะซึมเศร้า วิริยะประกันภัย มุ่งมันพัฒนาการบริการอย่างไม่หยุดยั่ง พร้อมประกาศแผนงานปี 2567 วางทิศทางด�้าเนินงานภายใต้แนวคิด “ปีแห่งความ มั่นคงและเป็นธรรม : มากกว่าความคุ้มครอง คือ ความคุ้มค่า” ตอกย�้ าความเชื่อมั่นด้วยประสบการณ์ด้านประกันวินาศภัยกว่า 77 ปี “มั่นคง” ด้วยสินทรัพย์ทีแข็งแกร่ง 68,335 ล้านบาท “เป็นธรรม” ทุกขั ่นตอนของการบริการ และมอบประสบการณ์ความ “คุ้มค่า” ให้แก่ลูกค้าด้วยการน�้า เทคโนโลยี AI มาพัฒนานวัตกรรมบริการใหม่ ๆ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยฐานข้อมูล Big Data ที่ลงลึกตรงใจลูกค้ามากยิ่ งขึ้น ส่วน ผลประกอบการในรอบปีที่ผ่านมามีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวมทั้งสิ้ น 40,077 ล้านบาท ในขณะที่เป้าหมายปี 2567 ตั้งเป้าไว้ที่ 43,000 ล้านบาท นายอมร ทองธิว กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จ�ำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางการด�ำเนินงานในปี 2567 บริษัทยังคงมุ่งมั่น พัฒนาการบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการน�ำเทคโนโลยี เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการด�ำเนินงานและการให้ บริการต่าง ๆ โดยยึดหลักลูกค้าเป็นศูนย์กลาง บริษัท ยังคงยืนหยัดเคียงข้างดูแลเพื่อท�ำหน้าที่บริหาร จัดการความเสี่ยงด้วยระบบประกันภัยให้กับประชาชน ในสังคม พร้อมตอกย�้ำความมั่นคงแข็งแกร่งด้วย สินทรัพย์ที่มีอยู่ถึง 68,335 ล้านบาท และอัตราส่วน เงินกองทุน (CAR) อยู่ที่ 180% ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่า มาตรฐานของเงินกองทุนฯ ตามที่กฎหมายก�ำหนดไว้ นายอมร กล่าวต่อไปอีกว่า ในปี 2567 นี้ บริษัท ยังมุ่งมั่นที่จะตอบสนองต่อความพึงพอใจของลูกค้า ที่ให้ความเชื่อมั่นไว้วางใจในวิริยะประกันภัย ด้วยการ ส่งมอบประสบการณ์ที่ “คุ้มค่า” ไม่ว่าจะเป็นการน�ำ เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรม บริการประกันภัย ซึ่ง 2-3 ปี ที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกัน ดีว่า บริษัทได้มีการน�ำบริการ “VClaim on VCall” หรือการเคลมนัดหมายออนไลน์ผ่านวิดีโอคอลมาให้ บริการแก่ลูกค้า ซึ่งปัจจุบันบริการนี้ได้ขยายออกไป ครอบคลุมทุกทิศทั่วไทยเสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้า ท�ำให้บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้บริษัทยังได้เปิดตัวนวัตกรรมบริการใหม่ “V-Inspection” เป็นบริการที่น�ำ AI เข้ามาช่วย ในการตรวจสภาพรถยนต์ก่อนการรับประกันภัย ให้ ผู้เอาประกันภัยสามารถตรวจสภาพรถยนต์ได้สะดวก ทุกที่ทุกเวลาผ่านมือถือ ส่วนทางด้านประกันภัยรถยนต์ นายสยม โรหิตเสถียร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะ ประกันภัย จ�ำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “นับเป็น ความท้าทายอย่างมากส�ำหรับธุรกิจประกันภัย และ วิริยะประกันภัย ในการน�ำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้ บริการลูกค้า ซึ่งต้องผสมผสานการท�ำงานร่วมกัน บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย เดินหน้าขยายธุรกิจ บุกตลาดองค์กร ขนาดกลางและใหญ่ในประเทศไทย มุ่งต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านประกันภัย เครือข่ายธุรกิจ และความแข็งแกร่งของสถานะการเงินระดับโลก มั่นใจ เติบโตแบบก้าวกระโดด 20% ภายในสิ้นปี 2567 นี้ มร.ลาร์ส ไฮบุทสกี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย กล่าวว่า ปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่บริษัท เติบโตได้เป็นอย่างดี โดยภาพรวม เติบโตเร็วกว่าตลาดถึงสองเท่า ส�ำหรับปีนี้ หนึ่งในกลยุทธ์ส�ำคัญ คือ ขยายธุรกิจประกันภัยองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับกับ ความเสี่ยงขององค์กรขนาดใหญ่ ทั้งจากเหตุการณ์ที่ท�ำให้ธุรกิจหยุดชะงัก ความเสี่ยงด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ หรือเทคโนโลยี ใหม่ ๆ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงอันดับต้นของประเทศไทย จึงได้มีการเปิดตัว Allianz Commercial ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจดูแลลูกค้าองค์กรขนาดกลางและ ขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ภายใต้ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย ทั้งยังได้รับการสนับสนุน ด้านองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ เครือข่ายของกลุ่มอลิอันซ์ที่มีในกว่า 70 ประเทศ ทั่วโลก รวมทั้งความแข็งแกร่งทางการเงินเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต และสร้าง โอกาสทางธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กรข้ามชาติมีธุรกิจในหลาย ประเทศหรือมีลักษณะธุรกิจที่พิเศษ ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางด้านการพิจารณา ประกันภัย เพื่อดูแลความเสี่ยง มร.คริสเตียน แซนดริก ผู้อ�ำนวยการบริหารภูมิภาคเอเชีย Allianz Commercial กล่าวเสริมว่า แผนการเติบโตในไทยสอดคล้องกับการขยาย ธุรกิจอย่างแข็งแกร่งทั่วภูมิภาคเอเชีย ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดส�ำคัญของ อลิอันซ์ ที่เราจะสามารถใช้ความเชี่ยวชาญด้านประกันภัยในการน�ำเสนอผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าองค์กรได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจให้เติบโตต่อเนื่อง ในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจ และการค้าของ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กอปรกับความพร้อมของโครงสร้างสาธารณูปโภค พื้นฐาน ท�ำให้ประเทศไทยเป็นตลาดที่น่าดึงดูดในแง่ของการพัฒนาเศรษฐกิจ ส�ำหรับในประเทศไทยการด�ำเนินงานของธุรกิจองค์กร น�ำโดย กรุงเทพประกันภัย และ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เห็นความส�ำคัญของปัญหา ด้านสุขภาพจิต โดยเฉพาะสถานการณ์ของผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและก�ำลังเป็นปัญหา ทางสังคมที่ต้องได้รับการแก้ไขและป้องกันไม่ให้ขยายวงกว้าง จึงร่วมจัดงานแถลงข่าว พร้อมร่วมเสวนา ในหัวข้อการส่งเสริมสุขภาพใจ ใส่ใจสุขภาพจิต เพื่อการป้องกันอย่างยั่งยืน เน้นสร้างการตระหนักรู้ เกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าให้แก่ประชาชนทั่วไป รวมถึงการสร้างองค์ความรู้ ให้คนรอบข้างและครอบครัว สามารถดูแลผู้ที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าได้อย่างเข้าใจด้วยวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสม พร้อมเปิดตัว ภาพยนตร์โฆษณาที่สะท้อนถึงภาวะซึมเศร้าซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาทางจิตใจแต่เป็นโรคที่รักษาหายได้ จากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ผ่านการถ่ายทอดเรื่องราว โดย นายปองกูล สืบซึ้ง (ป๊อบ-ปองกูล) ศิลปินอารมณ์ดี และยังมี นายนที เอกวิจิตร (อุ๋ย บุดด้าเบลส) ร่วมเผยประสบการณ์ในฐานะนักบ�ำบัด ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหาร และกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จ�ำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยนโยบายด้านการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) ที่ให้ความส�ำคัญกับการด�ำเนินธุรกิจที่ยึดมั่นหลักธรรมาภิบาล การบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีคุณภาพ ค�ำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ควบคู่ไปกับการสนับสนุนส่งเสริม คุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนในสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทได้มุ่งเน้นการให้ ความร่วมมือกับองค์กรเครือข่าย ต่าง ๆ โดยให้การสนับสนุนการด�ำเนินกิจกรรมเพื่อดูแลช่วยเหลือผู้ที่ เดือดร้อนพร้อมการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาสังคมอย่างแท้จริง” โดยในงานแถลงข่าวกรุงเทพประกันภัย และกรมสุขภาพจิต ได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาสร้าง ความรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าที่ถือว่าเป็นอาการของโรคที่สามารถ รักษาได้ เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าภาวะซึมเศร้าเป็นความอ่อนแอ ไม่จ�ำเป็นต้องพบแพทย์ แต่จริง ๆ แล้วภาวะซึมเศร้าเป็นอาการที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ต่างจากโรคทางกายอื่น ๆ ซึ่งสาเหตุเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น ทางกาย ด้านจิตใจ และสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ โดยสิ่งที่ภาพยนตร์ โฆษณา ต้องการจะสื่อคือการสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชน รับรู้ว่า ภาวะซึมเศร้าเป็นอาการของ โรคที่ไม่ได้เกิดจากความอ่อนแอหรือไม่ใช่แค่ความรู้สึก และอยากให้เขาเหล่านั้นได้เข้าไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งสามารถขอค�ำปรึกษาได้ที่สายด่วนกรมสุขภาพจิต โทร.1323 << BANKING & INSURANCE >> นางเดือนฉาย โกศลเมธากุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานลูกค้าองค์กร ซึ่งจะเน้นขยายธุรกิจผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. ผลิตภัณฑ์ประกันภัยส�ำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ครบวงจร หลากหลาย ส�ำหรับทุกธุรกิจ 2. ต่อยอดความเชี่ยวชาญและเครือข่ายระดับโลกที่จะท�ำให้อลิอันซ์ อยุธยา กลายเป็นศูนย์กลางของการให้บริการประกันภัยในเอเชีย ส�ำหรับบริษัท ข้ามชาติที่ด�ำเนินธุรกิจในเอเชีย 3. โซลูชั่นประกันภัยที่ตอบโจทย์ทุกช่องทาง การขาย ไม่ว่าจะช่องทาง ตัวแทน โบรกเกอร์ ช่องทางพันธมิตร และช่องทางขายตรง รวมทั้งการรับ ประกันภัยต่อ “เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า การขับเคลื่อนที่มุ่งการประกันภัยสู่องค์กร ธุรกิจขนาดใหญ่ครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้กับ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัยได้เป็นอย่างดี ด้วยการสนับสนุนจากกลุ่มอลิอันซ์ และความมั่นคงแข็งแกร่ง ในฐานะบริษัทประกันภัยระดับโลก เชื่อมั่นว่า จะสามารถเติบโตพอร์ทธุรกิจองค์กรได้ 20%” มร.ลาร์ส กล่าวสรุป กับคน เนื่องจาก Human Touch เป็นเรื่องส�ำคัญ และเปราะบางมากส�ำหรับธุรกิจประกันภัย ไม่ว่า เทคโนโลยีจะก้าวล�้ำเพียงใดการน�ำมาใช้ต้องอยู่บน พื้นฐานของความเหมาะสมและความพอดี ส�ำหรับ งานบริการประกันภัยส่วนหน้าที่ต้องเกี่ยวข้องกับ การดูแลลูกค้า ขั้นตอนการรับแจ้งเคลมจากลูกค้าผ่าน Contact Center หรือ Application การให้บริการ ลูกค้า ณ จุดเกิดเหตุ และการดูแลลูกค้า ณ จุดบริการ ต่าง ๆ (Touch Point) สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัย ส�ำคัญที่ช่วยสร้างชื่อเสียงและการยอมรับด้านการ บริการให้วิริยะประกันภัยมาโดยตลอด” นอกจากนี้ บริษัทได้น�ำเทคโนโลยี AI เข้ามา ช่วยอ�ำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการท�ำ ประกันภัยกับบริษัท โดยมีการพัฒนานวัตกรรม บริการ “V-Inspection” ซึ่งเป็นบริการตรวจสภาพ รถยนต์ก่อนท�ำประกันภัยผ่านมือถือ ซึ่งช่วยลดระยะ เวลา และการเดินทางเพื่อตรวจสภาพรถยนต์ ท�ำให้ ลูกค้าได้รับการอนุมัติท�ำประกันภัยที่รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมระบบข้อมูลการรับประกันภัย ด้วย API (Application Programing Interface) ท�ำให้บริษัทสามารถเชื่อมต่อข้อมูลการประกันภัย กับระบบการขายของคู่ค้าได้อย่างรวดเร็วเป็นปัจจุบัน ลูกค้าจะได้รับทราบเบี้ยประกันภัย ทุนประกัน และ ความคุ้มครองอย่างทันท่วงที เพื่อใช้เป็นข้อมูล ประกอบการตัดสินใจท�ำประกันภัย และช�ำระเงิน ผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย รวมถึงการใช้ RPA (Robotic Process Automation) เพิ่ม ประสิทธิภาพ และความรวดเร็วในการน�ำเข้าข้อมูล เพื่อพิจารณาอนุมัติและออกกรมธรรม์ ส่วนทางด้านประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ นางฐวิกาญจน์ เตชทวีทรัพย์ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จ�ำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เป้าหมายปี 2567 บริษัทยังคงมุ่งเน้นดูแล และพัฒนาการให้บริการลูกค้าเป็นส�ำคัญ เพื่อมอบ คริสเตียน แซนดริก ลาร์ส ไฮบุทสกี้ ประกันภัยที่ช่วยส่งเสริมการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บริษัทจึงน�ำแนวคิด Green Insurance มาพัฒนา ร่วมกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีอยู่ อาทิ ให้ความ คุ้มครองการทดแทนสิ่งปลูกสร้างหรืออาคารที่ สร้างขึ้นใหม่ด้วยวัสดุในการปลูกสร้างที่เป็น EcoFriendly ในการประกันอัคคีภัย นอกจากนี้จะสร้าง แรงจูงใจด้วยการให้ส่วนลดเบี้ยประกันพิเศษ เพื่อ สนับสนุนให้ใช้วัสดุในการปลูกสร้างที่เป็น EcoFriendly มากขึ้น ถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ แต่เชื่อว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะช่วยลดปัญหาของ สิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้” นางฐวิกาญจน์ กล่าว ในส่วนของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีเพื่อ พัฒนาระบบงาน Non-Motor บริษัทมี Roadmap ในการพัฒนาระบบ New Core System โดยมีการ เริ่มใช้งานระบบ New Core Phase 1 ในส่วนของ กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันภัยการเดินทาง เมื่อช่วงเดือน ธันวาคม 2566 และ Phase ต่อไปในปี 2567 จะเป็น ในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพและประกัน อุบัติเหตุ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพระบบการบริการ ประกันภัยและสินไหมรองรับการเติบโตของบริษัท “นอกเหนือจากความคุ้มครองที่วิริยะ ประกันภัยดูแลลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง บริษัทได้ยก ระดับการดูแลลูกค้าดั่งแคมเปญบริษัทในปี 2567 ที่ว่า “มากกว่าความคุ้มครอง คือ ความคุ้มค่า” ผ่านโครงการ Viriyah Privileges ด้วยการมอบ หลากหลายสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าเพื่อสร้าง ประสบการณ์ที่ดีตลอดระยะเวลาที่เป็นสมาชิก ของวิริยะประกันภัยตามเงื่อนไขของโครงการ โดยร่วมกับพันธมิตรแบรนด์ดังมากมาย และ โรงพยาบาลชั้นน�ำ เพื่อตอกย�้ำความเป็นผู้น�ำ ในธุรกิจประกันภัย ในการส่งมอบบริการและ ประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ทุกมิติ” นางฐวิกาญจน์ กล่าว ตังเป้าโตก้าวกระโดด 20% ภายในปี 2567 ้ ประสบการณ์ที่ดีเหนือความคาดหวังของลูกค้าทุกท่าน ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงที่เป็นธรรม ทั้งยัง สอดรับปรัชญาในการด�ำเนินธุรกิจของบริษัทที่มั่นคง โปร่งใส จริงใจ และเป็นธรรม ทั้งนี้ บริษัทได้มีการ วางแผนขยายประกันภัย Non-Motor ให้เติบโตเพิ่มขึ้น 11% โดยจะมุ่งเน้นไปที่การรับประกันความเสี่ยงภัย รายย่อยด้านส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ ประกันภัยการเดินทาง ประกันภัย บ้าน และประกันภัยความรับผิด นางฐวิกาญจน์ กล่าวต่อไปถึงแนวทางการ ด�ำเนินงานในปี 2567 ว่า บริษัทให้ความส�ำคัญในการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพส่วนบุคคล ประกันสุขภาพเฉพาะโรค และประกันภัยโรคร้ายแรง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพิ่มความ คุ้มครอง และบริการที่เกี่ยวข้อง มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพ เชิงป้องกัน และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของลูกค้า (Good Health and Wellbeing) นอกจากนี้ยังคงมุ่งมั่นพัฒนา ต่อยอดผลิตภัณฑ์ประกันภัยเดินทาง เพื่อให้สอดคล้อง กับภาพรวมการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ตลอดไปจนถึงการพัฒนาประกันภัย Carrier Liability Insurance, Cyber Security Insurance และ Professional Liability Insurance ด้วยการ ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ให้สอดคล้องกับ ความต้องการของผู้ประกอบการในแต่ละประเภทธุรกิจ “บริษัทยังมีนโยบายที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อ ตอบสนองแนวคิด ESG Responsibilities ออกมา ในรูปแบบ Green Insurance ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ ประจำ�วันที่ 1 - 15 เมษายน 2567
7 ธนาคารกรุงเทพ เจาะกลุ่มผู้ค้าทองค�าเข้าถึงเงินทุน! ผนึก อินเตอร์โกลด์ฯ ให้บริการ ‘Supply Chain Finance’ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธาน กรรมการ ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ผลส�ำเร็จจาก การรวมกิจการท�ำให้ทีทีบีแข็งแกร่งยิ่งขึ้นและเพิ่ม ความสามารถในการช่วยเหลือลูกค้าได้รอบด้าน พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้แนวคิด The Bank of Financial Well-being โดยต่อยอดจาก ฐานลูกค้าที่มีมากขึ้นและเพิ่มศักยภาพด้านดิจิทัล ผ่านการเปิดตัวเวอร์ชันใหม่ ttb touch ในปี 2565 เพื่อยกระดับการน�ำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ ตอบสนองต่อความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้า แต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อสร้างความ สามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการผ่าน กลยุทธ์การท�ำ Ecosystem Play บนกลุ่มลูกค้าที่ ธนาคารมีความช�ำนาญและมีฐานลูกค้าเป็นแต้มต่อ เช่น กลุ่มพนักงานเงินเดือน คนมีรถ คนมีบ้าน สอดรับกับกลยุทธ์ระยะกลางถึงระยะยาวที่ธนาคาร ได้วางเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนธุรกิจบนช่องทาง ดิจิทัลและเพิ่มประสบการณ์ทางการเงินของลูกค้า เพื่อให้ธนาคารสามารถพัฒนาความสัมพันธ์และดูแล ลูกค้าได้ในระดับบุคคลตลอดทุกช่วงเวลา ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวค่อนข้างช้า และหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ทีทีบี ในฐานะ D-SIBs Bank ยังคงเดินหน้าด�ำเนินธุรกิจ ภายใต้ ธนาคารกรุงเทพ จับมือ อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด เปิดให้บริการ “Supply Chain Finance” สินเชื่อเพื่อ เครือข่ายการค้า เจาะผู้ค้าทองค�ำเข้าถึงแหล่งเงินทุนเต็ม รูปแบบ เพิ่มทุนหมุนเวียนซื้อ-ขายทองค�ำ ให้วงเงินสูง อัตรา ดอกเบี้ยพิเศษ ท�ำธุรกรรมเบิกใช้วงเงิน-ช�ำระเงิน ผ่านออนไลน์ ได้อย่างปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง ฟรี! ไม่มีค่าธรรมเนียม ช่วยเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย ช่วงชิงโอกาสเติบโต รับเทรนด์ตลาดลงทุนทองค�ำสดใส พิพัฒน์ อัสสมงคล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จ�ำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารได้ร่วมมือกับ บริษัท อินเตอร์ โกลด์ โกลด์เทรด จ�ำกัด หนึ่งในผู้น�ำเข้าและส่งออกทองค�ำแท่ง รายใหญ่ของประเทศ เปิดให้บริการสินเชื่อเพื่อเครือข่ายการค้า “Supply Chain Finance” ส�ำหรับกลุ่มผู้ประกอบการค้า ทองค�ำ ซึ่งเป็นบริการทางการเงินแบบออนไลน์ ช่วยเสริม ศักยภาพทางการเงินให้กับผู้ประกอบการที่เป็นคู่ค้ากับอินเตอร์ โกลด์ฯ ได้มีเงินทุนหมุนเวียน พร้อมส�ำหรับการไขว่ขว้าโอกาส และการแข่งขันในธุรกิจ โดยเฉพาะตลาดทองค�ำที่ยังได้รับความ สนใจและความนิยมจากนักลงทุนและนักออมอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารได้ออกแบบสินเชื่อให้ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ได้อย่าง ตรงใจ ทั้งดอกเบี้ยในอัตราพิเศษ สะดวก! เพราะสามารถเบิกใช้ วงเงินและช�ำระเงิน รวมทั้งตรวจสอบวงเงินสินเชื่อคงเหลือ แบบ ออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง มั่นใจไร้กังวลภายใต้มาตรฐานความ ปลอดภัยขั้นสูง ฟรี! ค่าธรรมเนียมการท�ำรายการ “ความร่วมมือระหว่างธนาคารกับ อินเตอร์โกลด์ โกลด์ เทรด ในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวส�ำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้คู่ค้าของ อินเตอร์โกลด์ฯ มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ด้วยความพร้อมด้าน สภาพคล่องส�ำหรับการซื้อ-ขายทองค�ำในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันทองค�ำเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุน และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการออมเงินอย่างกว้างขวาง ตลาดเติบโต ขึ้นต่อเนื่อง เพราะเป็นสินทรัพย์มีความปลอดภัย มีความมั่นคงสูง และเป็นสินทรัพย์ไม่กี่ประเภทที่ไม่ผันแปรตามวิกฤตเศรษฐกิจ หรือภาวะสงคราม ดังนั้น บริการ “Supply Chain Finance” พร้อมจะเป็นแหล่งเงินทุนเต็มรูปแบบ ที่จะเข้าไปช่วยเสริม ศักยภาพทางการเงินแก่คู่ค้าของอินเตอร์โกลด์ฯ ได้เป็นอย่างดี ถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะ “เพื่อนคู่คิด” มีความภูมิใจที่ได้ร่วมเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้คว้า โอกาสทางธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นคง” นายพิพัฒน์ กล่าว พร้อมสนับสนุนลูกค้าธุรกิจด้วย Transition Finance ทีทีบี เผยกลยุทธ์องค์กรสู่การสร้างชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ประธานบอร์ดทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) เปิดแผนกลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรปี 2567 มุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการผ่าน Ecosystem Play โดยเน้นการใช้ช่องทางดิจิทัลเป็นหลักในการพัฒนาความ สัมพันธ์และดูแลลูกค้าในระดับบุคคลตลอดทุกช่วงเวลา พร้อมสนับสนุนนโยบาย ภาครัฐช่วยลดภาระหนีของประชาชน มุ่งให้ความส�้าคัญกับการให้สินเชืออย่างรับ่ ผิดชอบและเป็นธรรมควบคู่ Transition Finance ปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยให้ลูกค้า เปลี่ยนผ่านไปยังธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่ งแวดล้อม พร้อม ประกาศปักหมุดก้าวสู่ Net Zero << BANKING & INSURANCE >> พันธกิจหลักในการช่วยให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงิน ที่ดีขึ้น โดยธนาคารได้ให้ความส�ำคัญอย่างมาก ในเรื่องการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและ เป็นธรรม เพราะเรื่องหนี้เป็นปัญหาใหญ่ ของคนไทยที่ต้องได้รับการช่วยเหลืออย่าง เร่งด่วน ในขณะที่ลูกค้าธุรกิจก็ต้องการ ความช่วยเหลือในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ ที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้อย่าง แข็งแกร่งและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ธนาคารจึงได้น�ำหลักคิดเหล่านี้มา พัฒนากลยุทธ์และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือลูกค้าได้ ดร.เอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การช่วยลดภาระหนี้ของประชาชน อย่างยั่งยืนและเป็นระบบมีความจ�ำเป็น อย่างยิ่ง โดยตั้งแต่ต้นปี 2567 ธนาคารแห่ง ประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อ อย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม เพื่อสานต่อการแก้ หนี้ครัวเรือน ยกระดับการบริหารจัดการด้านสินเชื่อ ให้มีความรับผิดชอบและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น พร้อม ส่งเสริมให้ลูกค้าที่มีความจ�ำเป็นก่อหนี้ใหม่อย่างมี คุณภาพและมีวินัยทางการเงินที่ดีขึ้น โดยในปี 2566 ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าผ่านสินเชื่อ ส�ำหรับรวบหนี้ โอนยอดหนี้ และสวัสดิการ มากกว่า 17,000 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อรวม กว่า 6.7 พันล้านบาท ช่วยลูกค้าประหยัด ดอกเบี้ยไปได้กว่า 1.2 พันล้านบาท ความโดดเด่นของ ทีทีบี ในด้าน Responsible Lending คือ การจัดทีม Loan Specialist มากกว่า 900 คนที่สาขา ซึ่งมีความ เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์สินเชื่อแบบครอบคลุม จึงสามารถท�ำให้แนะน�ำสินเชื่อที่เหมาะสมกับลูกค้า ได้ตรงความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อ บ้าน สินเชื่อรถ สินเชื่อส่วนบุคคล หรือโซลูชันรวบหนี้ เป็นต้น โดย ปัจจุบันมีลูกค้าที่สามารถเข้าถึง สินเชื่ออเนกประสงค์ทีทีบี (ttb welfare loan) ได้มากกว่า 350,000 ราย และส�ำหรับลูกค้า ทีทีบีที่เริ่มมีปัญหาในการช�ำระ หนี้ ธนาคารจะแนะน�ำให้ลูกค้า มาปรึกษากับทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ของ ทีทีบี เพื่อปรับเทอมการ จ่ายและค่างวดให้เหมาะสม กับความสามารถปัจจุบัน หรือ ปรับโครงสร้างหนี้ และใน อนาคต ทีทีบี จะมีทีมโค้ช ปลดหนี้ที่จะช่วยให้ค�ำปรึกษา กับกลุ่มลูกค้าบัญชีเงินเดือน ของธนาคารต่อไป ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อม และกาเปลี่ยนแปลงของ สภาพภูมิอากาศเป็นประเด็น ส�ำคัญเร่งด่วนของโลก ซึ่ง ทีทีบี ได้ด�ำเนินการในเรื่องนี้ อย่างจริงจังมานาน และ ในปี 2567 คณะกรรมการธนาคารมีมติประกาศ เป้าหมายส�ำคัญ ปักหมุดการปล่อยก๊าซเรือน กระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero เพื่อให้สอด รับตามเป้าหมายของประเทศไทย โดยความมุ่งมั่น ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธนาคาร สะท้อนผ่านการด�ำเนินกิจกรรมภายในองค์กร (Scope 1 and 2) รวมไปถึงการให้สินเชื่อในการเปลี่ยนผ่าน ไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Scope 3) และธนาคารเล็งเห็นถึงความรับผิดชอบ และความสามารถในการสร้างโซลูชันทางการเงินที่ จะช่วยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน เพราะบทบาท ของธนาคารไม่ใช่การน�ำพาตนเองไปสู่การปล่อย ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์เพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจ ต่าง ๆ ในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปล่อยก๊าซเรือน กระจกสุทธิเป็นศูนย์ ผ่านการให้สินเชื่อ ให้ค�ำปรึกษา และสนับสนุนลูกค้าบนเส้นทางการเปลี่ยนผ่านนี้ ส�ำหรับการให้สินเชื่อและการให้ค�ำปรึกษา ลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปล่อยก๊าซ เรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ธนาคารได้ตั้งวงเงิน สินเชื่อ 20,000 ล้านบาท ในปี 2567 ส�ำหรับ การปล่อยสินเชื่อเพื่อธุรกิจหรือโครงการที่ ต้องการมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งยังมุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ที่สนับสนุนกลุ่มธุรกิจที่ต้องการปรับตัว และ ธนาคารยังคงสานต่อโครงการเสริมสร้างความรู้ ความสามารถให้กับลูกค้าธุรกิจผ่านการจัด สัมมนาที่มุ่งเน้นเกี่ยวกับความท้าทายของภาค ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงในการเผชิญหน้ากับ กฎระเบียบใหม่ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ พร้อมช่วยให้ค�ำปรึกษาและวางแผน ให้กับธุรกิจที่มีความประสงค์ที่จะมุ่งสู่ Net Zero ด้าน ธีรรัฐ จุฑาวรากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ โกลด์ โกลด์เทรด จ�ำกัด กล่าวว่า บริษัทในฐานะหนึ่งในผู้น�ำเข้า และส่งออกทองค�ำแท่งรายใหญ่ของประเทศ คร�่ำหวอดในวงการ ทองค�ำมากว่า 70 ปี ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในธุรกิจ ทองค�ำครอบคลุมทั้งกลุ่มลูกค้าขายปลีก-ส่ง และลูกค้านักลงทุน รายย่อย ด้วยทองค�ำแท่งมาตรฐานเต็มเปอร์เซ็นต์ 96.5% (มาตรฐาน สคบ.) และทองค�ำแท่ง 99.99% (มาตรฐาน LBMA) ที่เป็นที่ยอมรับในประเทศและตลาดโลก ให้บริการผ่านระบบ โทรศัพท์ (Gold Phone) ระบบซื้อ-ขายออนไลน์ (Gold Online) และ Application ส�ำหรับการซื้อ-ขายทองค�ำแท่งบนโทรศัพท์ มือถือ (InterGOLD Application) โดยความร่วมมือกับธนาคาร กรุงเทพ เปิดให้บริการ “Supply Chain Finance” ในครั้งนี้ จะท�ำให้สมาชิกของอินเตอร์โกลด์ได้ประโยชน์อย่างมาก ในการ เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนดอกเบี้ยต�่ำ เพื่อน�ำมาเสริมสภาพ คล่องท�ำให้มีเงินสดหมุนเวียนเพิ่มขึ้น พร้อมที่จะขยายการลงทุน ซื้อ-ขายทองค�ำ ต่อยอดท�ำก�ำไรได้มากขึ้นด้วย “อินเตอร์โกลด์ฯ มีความยินดีอย่างยิ่งที่ ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นน�ำได้เข้ามาร่วมมือกันสนับสนุน สินเชื่อเพื่อเสริมศักยภาพทางการเงินให้กับบริษัทคู่ค้าของเรา ผ่านบริการ “Supply Chain Finance” ซึ่งจะช่วยเสริม สภาพคล่องของบริษัทคู่ค้าของอินเตอร์โกลด์ ในการท�ำธุรกิจ และสามารถลงทุนซื้อขายท�ำก�ำไรทองค�ำได้มากขึ้น โดยเฉพาะ ในช่วงเวลาปัจจุบันที่ราคาทองค�ำมีการปรับขึ้นลงตลอดเวลา ท�ำให้เป็นที่สนใจอย่างมากจากนักลงทุนในการเข้ามาซื้อขาย ท�ำก�ำไรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” นายธีรรัฐ กล่าว CIMB Preferred ย�า้จุดยืน Wealth Management มัดใจลูกค้า ‘เลือกที่จะแตกต่าง เพื่อผลลัพธ์ที่เหนือกว่ามา’ ซีไอเอ็มบี ไทย ย�้ำจุดยืนธุรกิจ Wealth Management “เลือกที่จะแตกต่าง เพื่อผลลัพธ์ที่เหนือกว่ามา” ชูจุดแข็งของ CIMB Preferred ผลิตภัณฑ์การออมและการลงทุนที่ครบ วงจรตั้งแต่พื้นฐานไปถึงผลิตภัณฑ์ซับซ้อน และพร้อมจูงมือ ลูกค้าไปลงทุนต่างประเทศ กมลพรพรรณ ภัทรฤทธิศักดิ์ ผู้อ�ำนวยการกลยุทธ์ลูกค้า บุคคลธนกิจ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า จุดยืนธุรกิจ Wealth Management ของธนาคารปีนี้ คือ “เลือกที่จะแตก ต่าง เพื่อผลลัพธ์ที่เหนือกว่า” เพื่อสื่อสารให้ลูกค้าทราบถึง จุดแตกต่าง ของการเป็นสมาชิก CIMB Preferred หรือลูกค้า บุคคลธนกิจของ ซีไอเอ็มบี ไทย ด้วยเงินฝากหรือเงินลงทุน (AUM) ขั้นต้น 3 ล้านบาทขึ้นไป ลูกค้าจะได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า และ เหนือกว่าตลาด เริ่มตั้งแต่การมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญศึกษาความ ต้องการของลูกค้า ดูแลสมาชิก CIMB Preferred ทุกคนอย่างใกล้ชิด น�ำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล และมา พร้อมกับอัตราดอกเบี้ยพิเศษและสิทธิพิเศษด้านไลฟ์สไตล์ อีกมากมาย เพราะเป้าหมายของธนาคารคือการพาลูกค้าบรรลุ เป้าหมายทางการเงินการลงทุน และการใช้ชีวิตในแบบที่ลูกค้าเลือก จุดแข็งของ CIMB Preferred คือ ผลิตภัณฑ์การออมและ การลงทุนที่ครบวงจรตั้งแต่พื้นฐานไปถึงผลิตภัณฑ์ซับซ้อน และ พร้อมจูงมือลูกค้าไปลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุน ทางเลือก (Alternative Investment) และ Offshore Fund ผ่านเครือข่ายแข็งแกร่งของ CIMB Group ดังนั้น ลูกค้าที่เข้ามา ไม่ว่าจะรับความเสี่ยงได้มากหรือน้อย ธนาคารสามารถจัดสรร ทางเลือกลงทุนได้ตรงจุด (Pers onalized Wealth Management) ประจำ�วันที่ 1 - 15 เมษายน 2567 ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ พิเศษไปกว่านั้น ส�ำหรับปี 2567 สมาชิก CIMB Preferred จะได้รับเอกสิทธิ์โปรแกรมรีวอร์ดที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 190 เอกสิทธิ์ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ โดยเอกสิทธิ์ที่แตกต่างในปีนี้ อาทิ ตู้นิรภัยมาตรฐานระดับโลก, โปรแกรมตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง, ช่องทางพิเศษอ�ำนวยความสะดวกในสนามบิน (Airport Fast Track) พร้อมบริการรถกอล์ฟในสนามบิน และแพ็คเกจตีกอล์ฟ และบริการ CIMB Preferred Concierge service ผู้ช่วย ส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมท�ำธุระต่าง ๆ แทนให้ เช่น บริการ ให้ความช่วยเหลือบนท้องถนน, จองบัตรเข้าชมการแสดงต่าง ๆ และอีกมากมาย พร้อมเอกสิทธิ์ระดับภูมิภาคอาเซียนผ่าน เครือข่ายของ CIMB Group “จุดยืนของปีนี้ของ CIMB Preferred คือ “เลือกที่จะ แตกต่าง เพื่อผลลัพธ์ที่เหนือกว่า” ตรงความต้องการลูกค้า กลุ่มนักลงทุน Gen ใหม่ ที่สนใจวางแผนและต่อยอดการ ลงทุนอย่างคุ้มค่า ศึกษาสภาวะตลาด การลงทุน และสนใจ ใฝ่หาความรู้ใหม่ตลอดเวลา และจากการศึกษาความต้องการ ของลูกค้า พบว่าเจ้าของธุรกิจ Generation ที่ 2 ที่ 3 ก�ำลัง เริ่มเข้ามามีบทบาทในการบริหารและต่อยอดความมั่งคั่งของ ครอบครัว แต่ CIMB Thai มองไกลไปกว่านั้น เราเห็น ศักยภาพของลูกค้าในการใช้ชีวิต ท�ำธุรกิจ และลงทุนอย่าง ไร้พรมแดน ลูกค้าจะได้รับสิทธิพิเศษในระดับภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีเงินฝากในภูมิภาค อัตราแลกเปลี่ยน เงินตราพิเศษระหว่างประเทศ และกิจกรรมระดับภูมิภาค Next Generation Leadership Program ให้ลูกค้า Private Wealth ของไทย ติดปีกความรอบรู้ให้พร้อมก้าวขึ้นมารับ บทบาทส�ำคัญต่อจากครอบครัว และก้าวเป็น Global Citizen ในอนาคต ด้วยแผนธุรกิจปีนี้ที่ชัดเจน เราตั้งเป้าหมายขยาย ฐานสมาชิก CIMB Preferred ให้เติบโตต่อเนื่องมากกว่า 12% ต่อปี จากปัจจุบันมีสมาชิก CIMB Preferred ประมาณ 100,000 ราย และมีสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) 3.6 แสนล้านบาท” กมลพรพรรณ กล่าว
8 ประจำ�วันที่ 1 - 15 เมษายน 2567 << ENERGY >> นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธาน คณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จ�ำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ มุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการ จัดการด้านก๊าซเรือนกระจกและแก้ปัญหาภาวะ โลกร้อน ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ส�ำคัญ ต่อการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน การที่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จ�ำกัด (มหาชน) (WHAUP) ได้ร่วมมือกับ บริษัท สหฟาร์ม จ�ำกัด และ บริษัท โกลเด้น ไลน์ บิสซิเนส จ�ำกัด ในครั้งนี้ จึงเป็นไปตามกลยุทธ์ การด�ำเนินธุรกิจ ที่จะสร้างความยั่งยืนด้วย การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นการ ช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยเดินไปสู่เป้าหมาย การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) การใช้พลังงานทดแทนหรือพลังงานแสง อาทิตย์ ในโครงการดังกล่าวจะช่วยลดปริมาณ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก กว่า 35,000 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) ต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ ดับบลิวเอชเอ ที่จะช่วยส่งเสริมและขับเคลื่อนการด�ำเนินธุรกิจ อย่างยั่งยืนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านการใช้ เทคโนโลยีของ WHAUP ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการ ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ “ปูนดอกบัว” เดินหน้าสู่สังคมสีเขียว เปิดตัวโครงการ “โซลาร์ฟาร์ม” โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรก ด้วยก�ำลัง การผลิต 20 เมกกะวัตต์ ณ ต�ำบลพุกร่าง อ�ำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 12,000 ตันต่อปี สร้างแหล่งพลังงานสีเขียวเทียบเท่าปลูกต้นไม้ 1.2 ล้านต้น ร่วมขับเคลื่อน “สระบุรีแซนด์บอกซ์” เมืองต้นแบบ คาร์บอนต�่ำยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน นายนภดล รมยะรูป กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปูนซีเมนต์ เอเซีย จ�ำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจ�ำหน่ายปูนซีเมนต์ตราดอกบัว กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายการด�ำเนินธุรกิจตามหลักการพัฒนาอย่าง ยั่งยืน โดยมุ่งมั่นสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยความรับผิดชอบ ต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และการก�ำกับกิจการที่ดี พร้อมร่วมมือกับ พันธมิตรทางทุกธุรกิจและทุกภาคส่วน ก�ำหนดนโยบายและแผน ระยะยาวในเรื่องการลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศและภาวะ โลกร้อน เพื่อก้าวสู่สังคมสีเขียว “Go Green Society” โดยมี เป้าหมายก้าวสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี พ.ศ. 2593 ล่าสุด บริษัท เอเซียซีเมนต์เอ็นเนอจี คอนเซอร์เวชั่น จ�ำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บริษัท ปูนซีเมนต์เอเชีย จ�ำกัด (มหาชน) ได้ด�ำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แบบติดตั้ง บนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) ขนาดก�ำลังการผลิต 20 เมกกะวัตต์ ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ 160 ไร่ ของโรงงานที่ต�ำบลพุกร่าง อ�ำเภอ พระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ตามเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นที่จะ สร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผลักดันและสนับสนุนการใช้พลังงาน หมุนเวียนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชนใกล้เคียง ได้รับเกียรติ จาก นายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี เป็น ประธานในพิธีเปิดโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ “ด้วยก�ำลังการผลิต 20 เมกกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 12,000 ตันต่อปี เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 1.2 ล้านต้น โรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาด และเป็นทรัพยากรหมุนเวียนที่ใช้ได้ไม่มีวันหมด เป็นความตั้งใจของ เราในการใช้นวัตกรรม เพื่อพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และ บริการ ร่วมถึงการดูแลด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งยกระดับ คุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชน เพื่อก้าวย่างสู่สังคมสีเขียว Go Green Society อย่างยั่งยืน” นายนภดล กล่าว นายบัญชา เชาวรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี กล่าวว่า โครงการโซลาร์ฟาร์มของ บริษัท ปูนซีเมนต์เอเซียจ�ำกัด (มหาชน) WHAUP ผนึก สหฟาร์ม และ โกลเด้น ไลน์ บิสซิเนส ดังนั้น ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ยาวนาน จะช่วยเพิ่มศักยภาพ และยกระดับภาคอุตสาหกรรม เกษตรไทยสู่ระดับสากลมากขึ้น ส�ำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการ ต่อยอดความร่วมมือของทั้ง 3 บริษัท ในด้าน พลังงานทางเลือกและพลังงานสะอาดที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อมที่จะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ทางธุรกิจ และสถานการณ์โลกที่มีความเกี่ยวข้อง กับการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต ลงนามซื ้ อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 14 โครงการ 46.36 MW ถือเป็นหนึ่งในภาคีเครือข่ายที่ร่วมกันด�ำเนินการตามแนวทาง “สระบุรีแซนด์บอกซ์” เพื่อผลักดันเมืองอุตสาหกรรมให้เป็น เมืองสีเขียว คาร์บอนต�่ำ และจะเป็นต้นแบบให้อีกหลาย ๆ จังหวัด ขับเคลื่อนได้ โดยปัจจัยของความส�ำเร็จในการเปลี่ยนเมืองอุตสาหกรรม ให้เป็นเมืองสีเขียวครั้งนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือและท�ำงานอย่าง จริงจังระหว่างภาคราชการกับภาคเอกชน รวมถึงการได้รับความ สนับสนุนจากผู้ประกอบการและประชาคมในพื้นที่ “สระบุรีแซนด์ บอกซ์” จะเป็นโครงการน�ำร่องที่ท�ำให้หลายอุตสาหกรรมลุกขึ้นมา ท�ำตาม ส�ำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งนี้ เริ่มก่อสร้าง ในวันที่ 28 กันยายน 2565 เพิ่งแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม ปี 2566 โดยจะผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในโรงงาน และถือเป็นโรงไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกของโครงการ “สระบุรีแซนด์บอกซ์” ที่ปูนซีเมนต์เอเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมอุตสาหกรรม ปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) ได้ร่วมกันพัฒนาระบบนิเวศน์เพื่อผลักดัน ให้สระบุรีเป็นเมืองต้นแบบแห่งแรกในไทยที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก สุทธิเป็นศูนย์ ที่ผ่านมา ปูนซีเมนต์เอเชีย ได้ประกาศเจตนารมณ์ในการ เป็นเหมืองแร่ที่มีธรรมาภิบาล และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มุ่งมั่น ในการด�ำเนินกิจการด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม และสุขภาพ ของประชาชน ด้วยการน�ำนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการท�ำ เหมืองที่ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพ ชีวิตของประชาชน และน�ำประเทศก้าวสู่สังคมคาร์บอนต�่ำอย่าง ยั่งยืน จนได้รับรางวัล “Thailand Green & Smart Mining Awards 2023” จากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ อีกด้วย ร่วมขับเคลือน ‘สระบุรีแซนบอกซ์’ เมืองต้นแบบคาร์บอนต�่า่ ‘ปูนดอกบัว’ เดินหน้าโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด อีโค่ แพลนท์เซอร์วิสเซส (EPS) ผู้น�ำโซลูชันและงาน บริการด้านวิศวกรรมส�ำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ประกาศ ความร่วมมือ กับ Heat Management จากสวีเดน ผู้น�ำระดับ โลกด้านเทคโนโลยีการท�ำความสะอาดหม้อไอน�้ำอุตสาหกรรม (Boiler) ผสานศักยภาพความแข็งแกร่งส่งมอบ Infrasound Cleaning เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการท�ำความสะอาด ด้วยคลื่นความถี่ต�่ำภายในหม้อไอน�้ำอุตสาหกรรม (Boiler) โดยไม่ต้องหยุดเดินเครื่องจักร ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิง พร้อมลดค่าใช้จ่ายในการ Maintenance หวังเป็นอีกหนึ่งกลไกส�ำคัญช่วยผลักดันสู่การเป็น Green Industrial นายณัฐพล โดมทอง Energy Business Director บริษัท อีโค่ แพลนท์เซอร์วิสเซส จ�ำกัด (EPS) เปิดเผยว่า EPS มุ่งน�ำ เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมด้านพลังงานใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม สามารถขับเคลื่อนธุรกิจ เข้าสู่เป้าหมายการเป็น Green industrial หรือ Net Zero ได้เร็วขึ้น ช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้ทรัพยากรในกระบวนการ ผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านโซลูชันในกลุ่ม Smart Green Energy ของ EPS เพื่อการ จัดการพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในโรงงานอุตสาหกรรม มุ่งสู่ Net Zero โดยล่าสุดประกาศความร่วมมือ (Cooperation Agreement) กับ Heat Management ผู้น�ำระดับโลกด้าน เทคโนโลยีการท�ำความสะอาดหม้อไอน�้ำอุตสาหกรรม (Boiler) จากสวีเดน น�ำเทคโนโลยี Infrasound Cleaning เข้าใช้เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการท�ำความสะอาดด้วยคลื่นความถี่ต�่ำภายใน หม้อไอน�้ำอุตสาหกรรม (Boiler) EPS มีประสบการณ์ในการบ�ำรุงรักษาหม้อไอน�้ำอุตสาหกรรม ผนึก Heat Management ผลักดัน ‘Infrasound Cleaning’ EPS เดินหน้ายกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย ที่มีการให้ความส�ำคัญกับการใช้พลังงานสะอาด ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการใช้ พลังงานอย่างคุ้มค่ามากที่สุด อุตสาหกรรมเกษตรของกลุ่มสหฟาร์ม เป็น อุตสาหกรรมการผลิตไก่ครบวงจร ตั้งแต่เริ่มต้น กระบวนการฟักไข่ การให้แสงสว่าง การท�ำให้ ไก่อบอุ่น ขบวนการผลิตอาหารสัตว์ และ เครื่องจักรส�ำหรับการผลิตต่าง ๆ ภายในโรงงาน ล้วนแล้วแต่ใช้พลังงานสูงมาก และปัจจุบันราคา ค่าพลังงานมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ และ การผลิตพลังงานบางส่วนก็ยังคงมีผลต่อสภาพ แวดล้อม กลุ่มสหฟาร์มตระหนักได้ถึงปัญหา ที่เกิดขึ้นจึงริเริ่มปลุกจิตส�ำนึกในกับคนในองค์กร โดยเริ่มต้นด้วยการเน้นไปที่การประหยัดพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานพลังงานให้มี ประสิทธิภาพให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ส่งผลเสียต่อ สภาพแวดล้อมให้น้อยที่สุด กลุ่มบริษัทในเครือสหฟาร์ม จึงได้ร่วมกับ WHAUP วางแผนในการลดต้นทุนด้านพลังงาน รวมถึงลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ด้วย การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นพลังงาน สะอาดผลิตได้ตลอดทั้งปี ติดตั้งครอบคลุมพื้นที่ ของสหฟาร์มถึง 300 ไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ โครงการย่อย 14 โครงการ มีก�ำลังผลิตไก่ ได้กว่า 700,000 ตัวต่อวัน ซึ่งสามารถลด การใช้พลังงานได้ประมาณ 30 % โดยคิดจาก การท�ำงาน 24 ชั่วโมงต่อวัน หากคิดเป็น จ�ำนวนเงิน จะสามารถประหยัดเงินได้มากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นเงินประมาณ 1,600 ล้านบาท ภายใน 14 ปี รวมถึงลดการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 870,000 ตัน ใน 25 ปี บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงาน แสงอาทิตย์ ร่วมกับ บริษัท สหฟาร์ม จ�ากัด และ บริษัท โกลเด้น ไลน์ บิสซิเนส จ�ากัด ผู้ผลิตและจ�าหน่าย ผลิตภัณฑ์จากไก่ครบวงจร เพื่อผลิตและจ�าหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รูปแบบ Solar Floating Solar Farm และ Solar Rooftop รวม 14 โครงการ ก�าลังผลิตไฟฟ้ารวม 46.36 เมกะวัตต์ ในพื้นที่จังหวัด ลพบุรี และเพชรบูรณ์ ซึงอยู่ภายนอกเขตนิคมอุตสาหกรรมของ WHA คาดเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ภายใน ่ ไตรมาส 1-2 ปี 2568 ไลน์ บิสซิเนส ครั้งนี้ ถือเป็นโครงการแรกของ การด�ำเนินการด้านพลังงานหมุนเวียนภายนอก นิคมอุตสาหกรรมในภาคธุรกิจเกษตรกรรม หรือ Agriculture โดยไฟฟ้าที่ได้จะใช้ในกลุ่ม อุตสาหกรรมของสหฟาร์มทั้งโรงเชือด โรงแปรรูป โรงเลี้ยงไก่ โรงฟักไข่ และโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดลพบุรี และเพชรบูรณ์ ซึ่งโครงการดังกล่าว มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 1,000 ล้านบาท ขานรับนโยบายของภาครัฐ ที่มีเป้าหมายส�ำคัญในการลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในระยะยาว และตามแนวทางการด�ำเนินธุรกิจ อย่างยั่งยืนในทุกมิติของ WHA ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มจ่าย ไฟฟ้าเข้าระบบ ได้ภายในไตรมาส 1-2 ของ ปี 2568 อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการเซ็นสัญญา กับ สหฟาร์ม และ โกลเด้น ไลน์ บิสซิเนส ในครั้งนี้ ส่งผลให้ WHAUP มีก�ำลังการผลิตไฟฟ้า สะสมเพิ่มขึ้นเป็น 915 เมกะวัตต์ เข้าใกล้ เป้าหมายการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ 1,000 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าทุกประเภท โดยเป็นพลังงานแสง อาทิตย์แบบ Private PPA และสัญญากับภาครัฐ รวมเป็นจ�ำนวน 367 เมกะวัตต์ นางสาวบุญญาลักษณ์ โชติเทวัญ กรรมการ บริษัท สหฟาร์ม จ�ำกัด และ บริษัท โกลเด้น ไลน์ บิสซิเนส จ�ำกัด กล่าวว่า ในฐานะ ผู้ผลิต ผู้ส่งออกและจ�ำหน่ายผลิตภัณฑ์ไก่ ครบวงจร ซึ่งด�ำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน 54 ปี เรายึดหลักโปร่งแสง น�้ำใส สะอาดบริสุทธิ์ ยุติธรรมและเล็งเห็นถึงความส�ำคัญในการรักษา สภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น มุ่งเน้นให้เป็นองค์กรสีเขียว ให้กับโรงปูนซีเมนต์ของ SCG มากกว่า 20 ปี ครอบคลุมการบริการ แบบครบวงจรด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่ด้านวิศวกรรม การ ด�ำเนินงานการบ�ำรุงรักษา พร้อมทั้งน�ำเทคโนโลยีท�ำความสะอาด Boiler ด้วยคลื่นความถี่ต�่ำ Infrasound Cleaning ของบริษัท Heat Management เข้ามาใช้ในโรงปูนซีเมนต์ของ SCG และ ขยายผลไปสู่ลูกค้าภายนอก เรามองเห็นโอกาสและความต้องการ ในการเพิ่มประสิทธิภาพของหม้อไอน�้ำในตลาดอุตสาหกรรมของ ประเทศไทย และเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยี “Infrasound Cleaning” จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพหม้อไอน�้ำ อีกทั้งช่วยลดปริมาณของเสีย เช่น ฝุ่น ขี้เถ้า ท�ำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าหม้อไอน�้ำสามารถท�ำงานได้ ต่อเนื่อง ที่ส�ำคัญช่วยค่าใช้จ่ายในการบ�ำรุงรักษา และลดการใช้ เชื้อเพลิง Mr.Johannes Holmberg ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Heat Management AB เปิดเผยว่า “ความร่วมมือกับ EPS ในครั้งนี้ สอดคล้องกับเป้าหมายของ Heat Management ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถผลิตพลังงาน ได้มากขึ้นและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน “Infrasound Cleaning” นับเป็น 1 ในเทคโนโลยีทางเลือกที่ใช้ คลื่นความถี่ต�่ำกว่าความถี่ที่มนุษย์ได้ยิน ช่วยท�ำความสะอาดท่อ ที่มีเขม่าและฝุ่นติดค้างอยู่ในท่อไฟหรือบนผิวท่อน�้ำของหม้อไอน�้ำ อุตสาหกรรม ซึ่งสามารถท�ำความสะอาดหม้อไอน�้ำได้หลาย อุตสาหกรรม เช่น อาหารและเครื่องดื่ม น�้ำตาล โรงไฟฟ้า เป็นต้น” ความร่วมมือครั้งนี้ ยังมีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วย ให้ค�ำปรึกษา ออกแบบและติดตั้ง Infrasound Cleaning เทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับระดับโลก พร้อมปรับความถี่ ให้เหมาะสมกับหม้อไอน�้ำ มั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การท�ำงานของหม้อไอน�้ำและลดการใช้พลังงานได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งท�ำให้ สหฟาร์ม และ โกลเด้น ไลน์ บิสซิเนส สามารถลดค่าใช้จ่าย ค่าไฟฟ้าได้มากกว่า 1,600 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 14 ปี นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จ�ำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP กล่าวว่า โครงการติดตั้ง พร้อมผลิตไฟฟ้าจาก พลังงานแสงอาทิตย์ให้กับสหฟาร์ม และโกลเด้น
<< TRADE, INDUSTRY >> 9 หนุนเอสเอ็มอีไทย ชูเรือธง ‘เติมทุนคู่พัฒนา’ โตอย่างยังยืน ่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ลุยปรับตัวตอบโจทย์ความ ต้องการตลาดแรงงาน เตรียมปั้นบัณทิตวิศวกรรมเคมีรุ่นใหม่ เก่งทั้งในและนอกต�ำราเพื่อป้อนภาคอุตสาหกรรมอย่างตรงจุด ดึงยักษ์ใหญ่ภาคเอกชนเข้าร่วมพัฒนาหลักสูตร โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ลงนามความร่วมมือ (MoU) กับกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) สนับสนุนโครงการสหกิจศึกษา เพื่อมอบโอกาส การฝึกงานภาคสนามและถ่ายทอดประสบการณ์จริงจาก วิศวกรมืออาชีพในโรงงานระดับโลก มุ่งพัฒนาวิศวกรเคมี ชาวไทยที่มีศักยภาพตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต Dow เป็นบริษัทชั้นน�ำระดับโลกด้านวัสดุศาสตร์ (Materials Science) ที่ด�ำเนินงานมายาวนานกว่า 126 ปี มีเครือข่ายโรงงาน กว่า 100 แห่งในกว่า 30 ประเทศ และจ�ำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบันโรงงาน Dow ในประเทศไทยเป็น ฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของ Dow ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และมี วิศวกรเคมีมืออาชีพมากมายทั้งชาวไทยและต่างประเทศ โดย ความร่วมมือทางวิชาการกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีในครั้งนี้ Dow ได้ร่วมให้ความเห็น ในการพัฒนาหลักสูตรให้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน ส่งวิศวกรผู้เชี่ยวชาญมาถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านการบรรยาย พิเศษในชั้นเรียน สนับสนุนทุนการศึกษา รวมทั้งเปิดรับนักศึกษา ในหลักสูตรฯ เข้าฝึกงานที่โรงงานของ Dow ในพื้นที่นิคม อุตสาหกรรมมาบตาพุด และนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย จังหวัด ระยอง ซึ่งมีมาตรฐานและผลการด�ำเนินการด้านความปลอดภัย และ Reliability เป็นอันดับต้น ๆ ของ Dow ทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้น ยังเตรียมที่จะพิจารณาผู้ส�ำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรดังกล่าว เป็นพนักงานของบริษัทในอนาคต นางศิริพร เฟื่องมารยาท ผู้อ�ำนวยการฝ่ายทรัพยากร รัฐมนตรีฯ กระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมและมอบโยบายการท�างานแก่ SME D Bank แนะใช้แนวทาง “รือ-ลด-ปลด-สร้าง” ยกระดับองค์กร เพื้ ่อเป็นกลไกส�าคัญขับเคลือนนโยบายรัฐบาลในการสนับสนุนเอสเอ็มอีไทย ่ ด้าน SME D Bank ขานรับ ชูเรือธง “เติมทุนคู่พัฒนา” สนับสนุนเอสเอ็มอีสู่ความส�าเร็จ ส่งต่อคุณประโยชน์ สู่ทุกภาคส่วน พาเศรษฐกิจและสังคมไทยเติบโตเข้มแข็งยั่งยืน ปั้นทักษะตอบความต้องการตลาด ดึง Dow ร่วมพัฒนา นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยม และมอบนโยบายแก่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวง การคลังว่า ได้มอบนโยบายการท�ำงานแก่คณะกรรมการ และคณะผู้บริหาร SME D Bank ให้เดินหน้า สนับสนุนเอสเอ็มอีกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง สอดคล้องกับ Thailand Vision ที่ตั้งเป้าให้ไทยเป็น ศูนย์กลางเศรษฐกิจใน 8 ด้าน ได้แก่ การท่องเที่ยว การแพทย์ สุขภาพ อาหาร การบิน การขนส่ง ยานยนต์อนาคต ดิจิทัล และการเงิน โดยให้บริการ ด้านการพัฒนาควบคู่กับการให้สินเชื่อ พร้อมเชื่อมโยง และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายพันธมิตรภายในและ ภายนอกกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ขอให้ SME D Bank น�ำแนวทาง “รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง” มายกระดับขั้นตอนการ ท�ำงาน หมายถึง รื้อ ลด และปลด สิ่งที่เป็นอุปสรรค ในการด�ำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี พร้อมกับสร้าง สิ่งใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอี เช่น การพัฒนา ศูนย์ One Stop Service ส�ำหรับให้บริการกลุ่ม เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ การน�ำเทคโนโลยี ดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการ และมุ่งสู่การเป็น Digital Banking โดยสมบูรณ์ นอกจากนี้ธนาคาร จะต้องใช้ประโยชน์จากข้อมูล Data Warehouse และระบบ Core Banking System (CBS) ที่ ธนาคารพัฒนาขึ้น เพื่อน�ำไปวิเคราะห์ วิจัย และ SME D Bank ขานรับนโยบาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ ประมวลผลให้ได้ข้อมูลเชิงลึก (SME Insight) ส�ำหรับ ก�ำหนดเป็นนโยบายสนับสนุนเอสเอ็มอีต่อไป นอกจากนั้น SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงิน ของรัฐ จะต้องวางภาพลักษณ์องค์กรเป็น Professional Banking มีวัฒนธรรมการท�ำงานที่โปร่งใส เป็นธรรม และเป็นมืออาชีพ “ดิฉันมั่นใจในศักยภาพของ SME D Bank และยินดีที่จะสนับสนุนการด�ำเนินงานของ SME D Bank ในทุกมิติ เพื่อให้ SME D Bank เป็นกลไก ส�ำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล สามารถ ช่วยเหลือและเพิ่มศักยภาพแก่เอสเอ็มอีไทย ซึ่งจะ สร้างประโยชน์ ก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ ประชาชนมีรายได้ คุณภาพชีวิตดีขึ้น ส่งต่อประโยชน์ ไปยังทุกภาคส่วน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม ท�ำให้ประเทศไทยเติบโตอย่างเข้มแข็ง และยั่งยืน” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการ กระทรวงอุตสาหกรรม และประธานกรรมการ SME D Bank กล่าวว่า SME D Bank พร้อมขานรับด�ำเนินการ ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ผ่านกระบวนการ “เติมทุนคู่พัฒนา” ช่วยเอสเอ็มอี เติบโตอย่างเข้มแข็ง โดยด้าน “การเงิน” จัดเตรียม ผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเอสเอ็มอี วงเงิน กู้สูงสุด 50 ล้านบาท นอกจากนั้นยังเป็นสินเชื่ออัตรา เอสซีจี เผยมุมมองการเปลี่ยนผ่านสู่สังคม Net Zero ควบคู่สร้างการเติบโตให้เอเชียอย่างยั่งยืน ต้องใช้จุดแข็ง ของประเทศผสานพลังของเทคโนโลยี แก้โจทย์พลังงาน สะอาดและพัฒนานวัตกรรมกรีน ในงาน 3rd Annual Sustainability Week Asia การสร้างสมดุลระหว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ เป็นศูนย์ ควบคู่ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเป็นประเด็น ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน บนสังคม Net Zero นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ได้แบ่งปันมุมมองในประเด็นดังกล่าว ร่วมกับผู้น�ำองค์กรระดับโลกบนเวทีเสวนา หัวข้อ “Achieving Net Zero: Matching Ambition with Action” ในงาน 3rd Annual Sustainability Week Asia โดย Economist Impact เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 ณ ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชันโฮเทล กรุงเทพฯ นายธรรมศักดิ์ กล่าวบนเวทีเสวนาว่า “เอสซีจีเป็น อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ใช้พลังงานมาก ถ้าเอสซีจีจะไปถึง เป้าหมาย Net Zero 2050 ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต อย่างธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน ก�ำลังเดินหน้าปูน คาร์บอนต�่ำด้วยนวัตกรรมวัสดุศาสตร์และเทคโนโลยีการผลิต มาตรฐานใหม่ พร้อมส่วนผสมพิเศษที่เอสซีจีพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะ ท�ำให้ปูนคาร์บอนต�่ำ เจเนอเรชันแรก สามารถลด คาร์บอนไดออกไซด์ ร้อยละ 10 ปีนี้เตรียมออกปูนคาร์บอนต�่ำ เจเนอเรชันที่ 2 ซึ่งลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นจาก รุ่นแรก อีกร้อยละ 5 และจะพัฒนารุ่นต่อไปให้สามารถลด การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นเรื่อย ๆ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ขยายความถึงแนวทาง ต่อว่า “เทคโนโลยีมีบทบาทส�ำคัญมากต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ พลังงานสะอาด สิ่งส�ำคัญคือ การน�ำเทคโนโลยีมาผสานกับ จุดแข็งของแต่ละพื้นที่หรือภูมิภาค เช่น ไทยเป็นประเทศ เกษตรกรรม สามารถน�ำเทคโนโลยีมาเปลี่ยนพืชผลเกษตร เหลือใช้ อย่างใบอ้อย ฟางข้าว ซังข้าวโพดให้กลายเป็น เชื้อเพลิงชีวมวล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงทดแทนพลังงานฟอสซิล ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ ขณะที่ควบคุมต้นทุนได้ดี เอสซีจี เอสซีจี เผยแก้โจทย์เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ชูจุดแข็งประเทศผสานเทคโนโลยี เติบโตบนสังคม Net Zero จึงเร่งเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลอย่างเต็มที่” นอกจากนั้นผลิตผลเกษตรยังสามารถน�ำมาพัฒนา นวัตกรรมกรีนอย่างพลาสติกชีวภาพ ซึ่งตลาดโลกต้องการมาก ทิศทางนี้จะช่วยให้เราเดินหน้าธุรกิจ เศรษฐกิจ ควบคู่กับ สังคม Net Zero ได้เร็วยิ่งขึ้น องค์กรจึงควรลงทุนและสร้าง ความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีกับทุกภาคส่วน นายธรรมศักดิ์ ทิ้งท้ายถึงความมุ่งมั่นของเอสซีจี “เราพร้อมร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืนในเอเชียและทั่วโลก เพื่อ สร้างสังคม Net Zero ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยนวัตกรรม กรีน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามแนวคิด Passion for Inclusive Green Growth ของเอสซีจี” งาน 3rd Annual Sustainability Week Asia โดย Economist Impact เวทีขับเคลื่อนความยั่งยืนระดับ เอเชีย ภายใต้แนวคิด “Achieving climate targets, faster” จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มุมมองเชิงลึก และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ใช้ได้จริง เพื่อสร้างความ ร่วมมือแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศและการส่งต่อ เทคโนโลยีโดยประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจ โดยมีผู้น�ำทางธุรกิจ ผู้ก�ำหนดนโยบาย ผู้เชี่ยวชาญด้าน วิทยาศาสตร์ ตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศ และ NGOs ทั่วเอเชียเข้าร่วมกว่า 800 ราย ภายในงาน และจาก ช่องทางออนไลน์อีกกว่า 2,000 ราย ประจำ�วันที่ 1 - 15 เมษายน 2567 ล้านบาท ส่วนด้าน “การพัฒนา” ยกระดับศักยภาพ เอสเอ็มอี ผ่านโครงการ SME D Coach ที่เชื่อมโยง การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 50 แห่งมาไว้ในจุดเดียว เน้นเติมความรู้ใน 6 ด้าน ส�ำคัญ ได้แก่ 1.การตลาด 2.มาตรฐาน พัฒนา ผลิตภัณฑ์ 3. เทคโนโลยีและนวัตกรรม 4. การเงิน เขียนแผนธุรกิจ บัญชี ภาษี 5.การผลิต และ 6.บ่ม เพาะเตรียมพร้อมเข้าสู่แหล่งทุน ทั้งนี้ SME D Bank ยังด�ำเนินการตามนโยบาย รัฐบาล แก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบให้แก่ประชาชนและ เอสเอ็มอี โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 กลุ่มรหัส 21 (วงเงินสินเชื่อรวมไม่เกิน 10 ล้านบาท และเป็น NPL ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566) ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น พักช�ำระหนี้เงินต้น 1 ปี อีกทั้ง ระหว่างพักช�ำระเงินต้นจะได้ลดดอกเบี้ย 1% ต่อปี นอกจากนั้น ยกดอกเบี้ยผิดนัดให้ทั้งหมด และ หากปิดบัญชี ลดดอกเบี้ยค้างให้ 100% เป็นต้น สามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2568 ณ สาขา SME D Bank ที่ใช้ บริการสินเชื่อ ส�ำหรับปีนี้ (2567) SME D Bank ยังเดินหน้า กระบวนการ “เติมทุนคู่พัฒนา” พร้อมยกระดับ น�ำเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้บริการเอสเอ็มอีได้ ครอบคลุม และกว้างขวางยิ่งขึ้น ได้แก่ ระบบ Core Banking System (CBS) ที่สามารถให้ บริการทางการเงินได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง และแพลตฟอร์ม DX (Development Excellent) ระบบพัฒนา ผู้ประกอบการอัจฉริยะ สร้างสังคมของการเรียนรู้ e-Learning ศึกษาได้ด้วยตัวเอง 24 ชั่วโมง ช่วยเติมศักยภาพให้เอสเอ็มอีสู่ความส�ำเร็จอย่าง ยั่งยืน พระจอมเกล้าธนบุรี ลุยปรับหลักสูตรวิศวะเคมี ดอกเบี้ยพิเศษ ผ่อนนานพิเศษสูงสุด 15 ปี และ ปลอดช�ำระเงินต้นสูงสุด 24 เดือน ช่วยลดภาระ ทางการเงิน อีกทั้ง ใช้กลไกบรรษัทประกันสินเชื่อ อุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สนับสนุนกลุ่มที่ไม่มี หลักประกันให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ ขณะเดียวกัน พิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จริง ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา SME D Bank ดูแลช่วยเหลือเอสเอ็มอีอย่างใกล้ชิดและ ต่อเนื่อง สามารถพาเข้าถึงแหล่งเงินทุนกว่า 231,250 ล้านบาท ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบ เศรษฐกิจไทยกว่า 1 ล้านล้านบาท และช่วยรักษา การจ้างงานได้กว่า 752,345 ราย ควบคู่กับช่วย พัฒนาเสริมศักยภาพเอสเอ็มอีกว่า 75,000 ราย อีกทั้ง ช่วยเหลือผ่านมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ อย่างยั่งยืน (ฟ้า-ส้ม) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กว่า 83,520 ราย วงเงินรวมกว่า 145,240 รรมศักดิ์ เศรษฐอุดม บุคคล กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า “จากการที่ภาค อุตสาหกรรมของไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การที่บัณทิตไทย รุ่นใหม่มีความรู้ความสามารถ พร้อมที่จะท�ำงานและแข่งขันกับ ต่างชาติได้เป็นสิ่งส�ำคัญ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ในฐานะ องค์กรชั้นน�ำระดับโลกที่มีฐานการผลิตขนาดใหญ่อยู่ที่นี่ และ มีความผูกพันกับประเทศไทยมายาวนานเกือบ 60 ปี จึงมุ่งมั่น ที่จะสนับสนุนการพัฒนาทักษะและเตรียมความพร้อมให้กับ วิศวกรเคมีชาวไทยเพื่อตอบโจทย์ตลาดแรงงาน พร้อมเติบโต และแข่งขันในเวทีโลก โดยนักศึกษาจะได้สัมผัสกับเทคโนโลยี ล�้ำสมัย เรียนรู้มาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก และได้รับการ ถ่ายทอดประสบการณ์จริงจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ ของ Dow โดยตรง ซึ่งเรามั่นใจว่าความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งเป็นสถาบันชั้นน�ำด้านวิศวกรรม ในครั้งนี้จะช่วยสร้างวิศวกรเคมีรุ่นใหม่ให้มีความรู้ความสามารถ มีทักษะ และประสบการณ์มากยิ่งขึ้น เมื่อจบการศึกษาจะสามารถ เข้าท�ำงานในอุตสาหกรรมเคมีได้ทันทีอย่างเป็นมืออาชีพ ส่งผลดี ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยและช่วยยกระดับขีดความสามารถ การแข่งขันของประเทศได้ในอนาคต” ศ.ดร.ชัย จาตุรพิทักษ์กุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า “คณะ วิศวกรรมศาสตร์ มจธ. มีการพัฒนาและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อการันตีว่าเราจะสามารถผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพสูง ออกไปรับใช้สังคมและประเทศชาติ และเป็นที่ต้องการของ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ความร่วมมือกับ Dow ในครั้งนี้ จะเป็นการเชื่อมโยงระหว่างการศึกษาทางวิชาการกับอุตสาหกรรม บูรณาการความร่วมมือในการพัฒนาการเรียนการสอนของ เราให้ดีและมีคุณภาพยิ่งขึ้น ท�ำให้นักศึกษามีโอกาสพัฒนา ทักษะและความช�ำนาญที่จะตอบโจทย์และพร้อมรับมือกับ การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและตลาดแรงงาน”
10 << CSR >> ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น ร่วมกับ บริษัท ชูมณี จ�ำกัด มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตอกย�้ำบทบาทของการเป็น สะพานบุญแห่ง “การให้” สานต่อภารกิจเพื่อสนับสนุนการด�ำเนินงานของโรงพยาบาลรามาธิบดี เดินหน้าโครงการใหม่ “รามา+1 เพิ่มพื้นที่ บวกความหวัง” ชวนคนไทยร่วมส่งพลังบวก 1 เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับผู้ป่วยและขยายศักยภาพการรักษา พร้อมเปิดตัว ภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ชุดใหม่จากเรื่องราวของ “ความหวัง” เดินหน้าระดมทุนให้แก่โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และ ย่านนวัตกรรมโยธี เพื่อเพิ่มพื้นที่และยกระดับศักยภาพการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนชาวไทย พร้อมผลักดันระบบ สาธารณสุขไทยให้เท่าทันสภาวการณ์แห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี ออกแบบภายใต้แนวคิด “เข้าใจเขา เข้าใจเรา เข้าใจทุก(ข์)คน” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงการแก้ไขปัญหาด้านความแออัดของพื้นที่อาคารเดิม โดยตั้งเป้าหมายการระดมทุนเพิ่มเติมจากการสนับสนุนของภาครัฐบาล รวมจ�ำนวน 9,000 ล้านบาท เพื่อน�ำไปใช้ด�ำเนินการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลและการจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย จ�ำนวนมาก ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2573 มูลนิธิรามาธิบดีฯ เปิดตัว ‘รามา+1 เพิ่ มพื้นที่ บวกความหวัง’ เดินหน้าโครงการ Wash & Share ‘ซักเพื่อให้’ ครังที่ 3 ที่ Otteri ้Wash & Dry 314 สาขา ทัวประเทศ่ พานาโซนิค สนับสนุนนักเตะเยาวชนชลบุรี อคาเดมี่ กลุ่มบริษัทพานาโซนิคในประเทศไทย และ สโมสรชลบุรี เอฟ.ซี. น�ำทีมผู้บริหารร่วมเยี่ยมชมศูนย์ฝึกฟุตบอล ชลบุรี อคาเดมี่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี พร้อมมอบผลิตภัณฑ์พานาโซนิค สนับสนุนนักเตะเยาวชนไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสะดวก สบาย และปลอดภัยในการฝึกซ้อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการด�ำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมภายใต้โครงการ “พานาโซนิค แคร์” (Panasonic Cares) มร.ฮิเดคาสึ อิโตะ ซีอีโอ กลุ่มบริษัทพานาโซนิค ในประเทศไทย ได้มอบผลิตภัณฑ์พานาโซนิคที่มีคุณภาพและเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อมให้กับศูนย์ฝึกฟุตบอลชลบุรี อคาเดมี่ (CHONBURI ACADEMY) โดยมี นายวิทยา คุณปลื้ม ประธานสโมสรชลบุรี เอฟ.ซี. และ นายวิทยา เลาหกุล (โค้ชเฮง) ประธานฝ่ายเทคนิค และหัวหน้าผู้ฝึกสอน สโมสร ชลบุรี เอฟ.ซี. เป็นผู้รับมอบ ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย สมาร์ททีวีขนาด 65 นิ้ว จ�ำนวน 1 เครื่อง, เครื่องซักผ้า จ�ำนวน 1 เครื่อง, ตู้เย็น จ�ำนวน 1 เครื่อง, ชุดหลอดไฟแอลอีดี แบบยาว แสงสีขาว ขนาด 22 วัตต์ จ�ำนวน 140 ชุด และหลอดไฟแอลอีดี อีโค แสงสีขาว ขนาด 14 วัตต์ จ�ำนวน 100 หลอด เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้เยาวชนนักฟุตบอล ผู้ฝึกสอนและผู้ดูแล ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สะดวกสบาย และมี ความปลอดภัยในการฝึกซ้อม สามารถพัฒนาตนเองสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เป็นก�ำลังส�ำคัญให้กับประเทศไทยต่อไปได้ ผลักดันการระดมทุนโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดี และย่านนวัตกรรมโยธี ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น ร่วมกับ บริษัท ชูมณี จ�ำกัด เดินหน้าโครงการ Wash & Share “ซักเพื่อให้” ครั้งที่ 3 ที่ Otteri Wash & Dry 314 สาขา ทั่วประเทศ หวังลดปัญหาขยะเสื้อผ้า จํานวนมหาศาล บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จ�ำกัด (ปณด) ได้ร่วมกับ บริษัท ชูมณี จ�ำกัด วิสาหกิจเพื่อ สังคม ภายใต้การด�ำเนินงานของ บริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จ�ำกัด เจ้าของแบรนด์ร้านสะดวกซัก Otteri Wash & Dry และมูลนิธิกระจกเงาจัดท�ำโครงการ Wash & Share “ซักเพื่อให้” ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 1 -31 มีนาคม 2567 ผ่านจุดรับบริจาค Otteri wash & dry สาขาที่ร่วมโครงการทั้ง 314 สาขาทั่วประเทศ โดยเปิดรับบริจาคเสื้อผ้า 4 ประเภท ได้แก่ เสื้อผ้าแฟชั่น, ชุดนักเรียน, ผ้าขนหนู และตุ๊กตา มุ่งหวัง ที่จะลดปัญหาขยะเสื้อผ้าจํานวนมหาศาลด้วยการน�ำเสื้อผ้าที่ได้รับบริจาคมาคัดสภาพและซักท�ำความ สะอาด แบ่งออกเป็น3ส่วนส่วนแรกส่งต่อให้ผู้ที่ขาดแคลน ส่วนที่สองส่งต่อให้แก่มูลนิธิกระจกเงา ในการคัดแยกเพื่อน�ำมาขายต่อในราคาถูกเพื่อหารายได้ และส่วนที่ไม่สามารถส่งต่อหรือขายได้จะถูก ส่งให้พาร์ทเนอร์ในการรีไซเคิลทอเป็นผ้าแล้วตัดเย็บให้เป็นเสื้อยืดตัวใหม่เพื่อบริจาคต่อไป นอกจาก บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จ�ำกัด ที่เข้าร่วมในส่วนของการขนส่งเสื้อผ้า ข้ามจังหวัดแล้ว ยังมีพาร์ทเนอร์เข้าร่วมด�ำเนินการในครั้งนี้ ประกอบด้วย มูลนิธิกระจกเงา, บริษัท ปตท.จ�ำกัด (มหาชน), บริษัท ไอ.พี.วัน จ�ำกัด, บริษัท ทีพีบีไอ จ�ำกัด (มหาชน), บริษัท เวิสฟอร์ จ�ำกัด, บริษัท แม็คกรุ๊ป จ�ำกัด (มหาชน), บริษัท แสงเจริญแกรนด์ จ�ำกัด, บริษัท ตระกูลเฉิน จ�ำกัด โดยก่อนหน้านี้ โครงการ Wash & Share “ซักเพื่อให้” ครั้งที่ 2 ที่ได้มีเสื้อผ้าที่ถูกส่งมา บริจาคมากถึง 180 ตัน เสริมคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความปลอดภัยระหว่างฝึกซ้อม ประจำ�วันที่ 1 - 15 เมษายน 2567
<< LOGISTICS >> 11 นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธาน คณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จ�ำกัด (มหาชน) กล่าวว่า“การร่วมทุนกับไดวะ เฮ้าส์ ของ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปเพื่อร่วมสร้างโครงการ “DPL Vietnam Minh Quang” ในประเทศเวียดนามใน ครั้งนี้ นับว่าเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโต ของธุรกิจโลจิสติกส์ของเราที่มุ่งเน้นการเดินหน้า ขยายธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดย ให้ความส�ำคัญกับการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ การ เสริมศักยภาพด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี และ การส่งเสริมแนวปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน พร้อมทั้ง ตอบรับความต้องการด้านโลจิสติกส์ที่เติบโตขึ้น อย่างต่อเนื่องในพื้นที่เวียดนามตอนเหนือ ซึ่ง ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปเชื่อมั่นว่า โครงการนี้จะช่วยต่อยอด การเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ของเราให้แข็งแกร่ง ยิ่งขึ้น และท�ำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นพื้นที่ส�ำคัญที่ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกมาก ยิ่งขึ้น” ธุรกิจโลจิสติกส์ของ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีการ เติบโตอย่างโดดเด่นในปี 2566 โดยมีการลงนามสัญญา เช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้า เพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 242,000 ตร.ม. ซึ่งสูงสุดเป็น ประวัติการณ์ ส่งผลให้มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การ ถือครองและบริหารทั้งหมด 2,945,000 ตร.ม. นอกจากนี้ยังมีการขายสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป จับมือ ไดวะ เฮ้าส์ เปิดศูนย์โลจิสติกส์ ‘DPL Vietnam Minh Quang’ กระทรวงพาณิชย์พร้อมด้วยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและ สังคม หนุนความร่วมมือกรมการค้าภายใน และไปรษณีย์ไทย เติมเต็ม ศักยภาพภาคธุรกิจและอีคอมเมิร์ซเปิดจุดบริการ “ไปรษณีย์ไทย@ ธงฟ้า” เพิ่มเครือข่ายจุดดรอปพัสดุ (Drop Off) ส�ำหรับอีคอมเมิร์ซ ที่ครอบคลุมกว่าเดิม โดยความร่วมมือดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อหนุน การเติบโตและสร้างความสะดวกให้กับผู้ประกอบการให้สามารถส่ง สิ่งของได้ง่ายจากจุดดรอปพัสดุที่กระจายอยู่ทุกพื้นที่ ระบบขนส่ง ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างรายได้ให้ร้านธงฟ้ากว่า 20,000 แห่ง ทั่วประเทศซึ่งจะเริ่มให้บริการตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นไป นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “โครงการไปรษณีย์ไทย @ธงฟ้า เป็นการ บูรณาการความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยใช้กลไกเครือข่ายร้านธงฟ้าที่มีอยู่ทั่วประเทศ ให้เป็นจุดดรอปพัสดุของไปรษณีย์ตามแนวทางการส่งเสริมศักยภาพ กันและกันอย่างเป็นรูปธรรม ที่มีวัตถุประสงค์ในการเพิ่มเครือข่าย บริการไปรษณีย์ไทยเพิ่มศักยภาพในการให้บริการไปรษณีย์ให้ครอบคลุม ต่อประชาชน ส�ำหรับในส่วนของร้านธงฟ้าถือเป็นการพัฒนาศักยภาพ ด้านการค้าให้ร้านธงฟ้า โดยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทาง การค้า เพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้ สร้างโอกาสให้แก่ร้านธงฟ้า และ พัฒนาร้านธงฟ้าเข้าสู่ธุรกิจรับ-ส่งพัสดุ ด้วยระบบดิจิทัลมากขึ้น ซึ่ง โครงการจะช่วยอ�ำนวยความสะดวกให้แก่ร้านค้าออนไลน์ และ ประชาชน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดข้อจ�ำกัดด้านเวลา เช่น ชั่วโมง เร่งด่วน หรือการเลือกช่วงเวลาที่สะดวก เป็นต้น” นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า กระทรวงฯ ยังคงมุ่งพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล และมีนโยบายให้หน่วยงานภายใต้สังกัด น�ำบทบาทและการด�ำเนินงานมาสร้างโอกาสให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมเน้นการท�ำงานแบบบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อส่งเสริม ให้ภาคธุรกิจ ประชาชน รวมถึงหน่วยงานภาครัฐได้ใช้ประโยชน์จาก ความเป็นดิจิทัลให้ได้มากที่สุด โดยภาคส่วนหนึ่งที่ก�ำลังเติบโตอย่าง รวดเร็วและจ�ำเป็นต้องสร้างศักยภาพให้ทันต่อการแข่งขันก็คือภาคค้า ปลีกและอีคอมเมิร์ซที่ต้องใช้ทั้งบริการการขนส่งที่มีคุณภาพ และ เครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วถึงมาอ�ำนวยความสะดวก สร้างความเชื่อมั่น ให้กับผู้ใช้บริการทุกกลุ่มเป้าหมาย กระทรวงฯ จึงได้มอบหมายให้ ไปรษณีย์ไทยร่วมกับกรมการค้าภายใน พัฒนาระบบ รองรับการขยาย จุดดรอปพัสดุที่ร้านธงฟ้า เพื่อใช้และสร้างโอกาสให้กับร้านธงฟ้าที่มีอยู่ ทุกชุมชนเป็นช่องทางในการให้บริการไปรษณีย์อ�ำนวยความสะดวก ผู้ประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซ มีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น และผลักดันให้ระบบ ฝากส่งสิ่งของเป็นเรื่องที่สะดวก และง่ายยิ่งขึ้นจากการมีจุดดรอปออฟ ที่กระจายอยู่ทุกพื้นที่ ‘ไปรษณีย์ไทย@ธงฟ้า’ ปักหมุดจุดบริการเพิ่ มอีก 2 หมื่นแห่ง ไปรษณีย์ไทย x กรมการค้าภายใน เปิดจุดดรอปพัสดุ ห่างจากท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย ซึ่งเป็น สนามบินระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ตอนเหนือ ราว 54 กิโลเมตร และอยู่ห่างจาก “ท่าเรือไฮฟอง” ซึ่งเป็นท่าเรือการค้า ประมาณ 80 กิโลเมตร ศูนย์โลจิสติกส์แห่งนี้จึงมีความเหมาะสม อย่างยิ่งส�ำหรับการเป็นศูนย์กลางเพื่อการท�ำธุรกิจ น�ำเข้าและส่งออก ศูนย์โลจิสติกส์แห่งนี้ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นมากกว่า 90 บริษัทที่ ด�ำเนินงานอยู่ในบริเวณนี้ คาดว่าจะมีความต้องการ ใช้พื้นที่แห่งนี้เพื่อรองรับงานด้านการผลิต ตลอดจน การใช้เพื่อเป็นพื้นที่จัดเก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ ประเทศเวียดนามมีการเติบโตของประชากร และการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องมานาน หลายทศวรรษ และการเติบโตของจีดีพีที่แท้จริง (ประมาณการ) ถึง 5% ในปี 2566 นอกจากนี้ หลาย ประเทศและภูมิภาคยังได้ท�ำข้อตกลงการค้าเสรีและ ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับเวียดนาม ทางด้าน การค้าระหว่างประเทศของเวียดนามก็เติบโตรุดหน้า และมีบริษัทหลากหลายสัญชาติเข้ามาลงทุนและ ด�ำเนินธุรกิจภายในเวียดนาม นับเฉพาะบริษัทสัญชาติ ญี่ปุ่นก็มีจ�ำนวนมากกว่า 2,300 บริษัท เวียดนาม จึงเป็นตลาดที่น่าจับตามอง ขณะเดียวกันเมืองฮานอย ซึ่งเป็นเมืองหลวง ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเวียดนาม ยังเป็นเมือง เศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองในแง่ของจ�ำนวน ประชากร รองจากเมืองโฮจิมินห์ทางตอนใต้ของ เวียดนาม และเป็นพื้นที่ที่คาดว่าจะเกิดการขยาย ตลาดและการพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น อย่างต่อเนื่องในอนาคต อันเนื่องมาจากการเติบโต ของเครือข่ายการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคกลาง ของเวียดนาม ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของจ�ำนวน ประชากรในตัวเมือง WHA Group จับมือ Daiwa House จากประเทศญีปุ่น เปิดโครงการสร้างศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ่ “DPL Vietnam Minh Quang” อย่างเป็นทางการ โดยจะเริมต้นท� ่าการก่อสร้างอาคารคลังสินค้า บนพื้นที่ โครงการ 70,109 ตร.ม. และมีพื้นทีใช้สอยรวม 42,330 ตร.ม. ในวันที่ 1 มีนาคม 2567 ภายในนิคมอุตสาหกรรม่ มินห์กวาง จังหวัดฮึงเอียน ถือเป็นโครงการโลจิสติกส์ เซ็นเตอร์แห่งแรกของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปในเวียดนาม ตอนเหนือ องค์ความรู้และเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา ศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ การออกแบบ การก่อสร้าง รวมถึงการจัดการและการด�ำเนินงานด้านโลจิสติกส์ เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างธุรกิจที่จะดึงดูดบริษัทต่าง ๆ จากทั่วโลกให้เข้ามาใช้พื้นที่ด้านโลจิสติกส์ภายใน “ไปรษณีย์ไทยเป็นกลไกส�ำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของระบบ เศรษฐกิจ สังคมและชุมชน ซึ่งปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเป็นรัฐวิสาหกิจที่ ก้าวทันทุกการแข่งขัน คล่องตัว มีเครือข่าย ข้อมูล ระบบการให้บริการ และเทคโนโลยีที่รองรับความต้องการได้หลากหลายรูปแบบ รวมทั้งความ เชี่ยวชาญของบุรุษไปรษณีย์ ซึ่งความโดดเด่นเหล่านี้ จะช่วยสร้างโอกาส ให้กับทุกคน และหนุนเศรษฐกิจดิจิทัลให้เติบโตได้แบบไร้รอยต่อ” ด้าน ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จ�ำกัด กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทยพร้อมสนับสนุนนโยบาย ของรัฐบาลด้วยการพัฒนาระบบขนส่งให้มีประสิทธิภาพ และใช้กลไกนี้ เป็นจุดเชื่อมต่อภาคส่วนต่าง ๆ ให้ได้รับประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง ส�ำหรับโมเดลการพัฒนาร้านธงฟ้า 20,000 แห่ง ให้เป็นจุดให้บริการ งานไปรษณีย์ในลักษณะดรอปออฟในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งแนวทาง สนับสนุนภาคเศรษฐกิจ สังคม ชุมชน ให้มีการเติบโตในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ในส่วนของร้านธงฟ้าที่สามารถสร้างรายได้โดยไม่ต้องลงทุน และ สามารถสร้างเครือข่ายกับธุรกิจต่าง ๆ ได้มากขึ้น ในส่วนของผู้ประกอบการ อีคอมเมิร์ซที่มีสัญญากับไปรษณีย์ไทยจะได้รับความสะดวกในการดรอป สิ่งของที่จุดให้บริการใกล้บ้าน ท�ำให้ดรอปง่าย สร้างรายได้ เครือข่าย ครอบคลุมด้วยคุณภาพบริการตอบโจทย์ธุรกิจ ส�ำหรับจุดบริการ “ไปรษณีย์ไทย@ธงฟ้า” ในระยะแรกจะเปิด เป็นจุดดรอปพัสดุ ผู้ฝากส่งเพียงเตรียมการฝากส่งล่วงหน้า ซึ่งผู้ให้ บริการร้านธงฟ้าสแกนบาร์โค้ดหน้ากล่องผ่านแอปพลิเคชันเพื่อรับ สิ่งของเข้าระบบ จากนั้นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จะเข้ามารับพัสดุไป ด�ำเนินการเพื่อส่งต่อให้ผู้รับปลายทาง และระบบ จะค�ำนวณรายได้ ให้ร้าน ธงฟ้า โดยจะเริ่มให้บริการในเดือนเมษายน 2567 ตามเวลา ท�ำการของร้านธงฟ้าแต่ละแห่ง ส่วนระยะต่อไปจะเปิดให้บริการทั้ง จุดรับพัสดุและเป็นจุดรอจ่ายพัสดุให้ผู้รับปลายทาง ทั้งนี้ จากความ ร่วมมือดังกล่าว จะท�ำให้ไปรษณีย์ไทยมีเครือข่ายรวมมากกว่า 50,000 จุดทั่วประเทศ บริษัท โซเด็กซ์โซ่ อมฤต (ประเทศไทย) จ�ำกัด บริษัท ในเครือของ บริษัท โซเด็กซ์โซ่ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จ�ำกัด ผู้ให้บริการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบครบวงจร จากประเทศฝรั่งเศส ได้ประกาศเปิดคลังสินค้าเพื่อให้บริการ ลูกค้าอย่างเป็นทางการแล้วบนพื้นที่กว่า 1 ไร่ ใน จ.สงขลา โดยคลังสินค้าแห่งนี้จะช่วยเสริมศักยภาพในการบริหาร จัดการลูกค้าในอุตสาหกรรมชายฝั่งด้านแท่น ขุดเจาะน�้ำมัน และก๊าซธรรมชาติในภาคใต้ของประเทศไทย ทั้งนี้ นอกจาก จะช่วยให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และสร้างก�ำไร เพิ่มขึ้นแล้ว ยังสามารถสนับสนุน การจ้างงานในชุมชน และส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นได้เป็น อย่างดี นายอาร์โนด์ เบียเลคกิ กรรมการผู้จัดการ ประจ�ำ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โซเด็กซ์โซ่ กล่าวว่า“ปัจจุบัน ลูกค้าให้ความส�ำคัญกับบริษัท ที่มีระบบคลังสินค้าที่มีมาตรฐาน และมีการรับรองคุณภาพ ซึ่งการมีคลังสินค้าช่วยให้เราสามารถ บริการได้ครบวงจร และยังท�ำให้เราสามารถต่อรองราคา คัดสรรสินค้าคุณภาพจากซัพลายเออร์ เพื่อจัดเก็บสินค้าใน ช่วงที่มีราคาถูกเพื่อตรึงราคาในการรักษาค่าบริการ ถึงแม้ว่า ราคาสินค้าเหล่านั้นจะมีราคา ที่ปรับสูงขึ้นในตลาดก็ตาม ซึ่ง คลังสินค้าของโซเด็กซ์โซ่ อมฤต ที่ จ.สงขลา นี้ ไม่ได้มุ่งเน้น แค่การส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่เรามุ่งมั่น ที่จะช่วยเพิ่มอัตราการจ้างงานในท้องถิ่นอีกด้วย โดยพิจารณา คัดเลือกผู้ที่มีภูมิล�ำเนาในบริเวณชุมชนที่ใกล้เคียงก่อน เพื่อ เข้าร่วมงาน ประจ�ำในต�ำแหน่งต่างๆ เช่น พนักงานยกของ พนักงาน สนับสนุน ช่างซ่อม ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายควบคุมคุณภาพ พนักงานขับรถโฟล์คลิฟท์ และรถเครน เป็นต้น” นายวิลเลี่ยม โวเวลล์ ผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการธุรกิจ พลังงานและทรัพยกรและธุรกิจบริการอาหาร บริษัท โซเด็กซ์โซ่ อมฤต (ประเทศไทย) จ�ำกัด “ส�ำหรับระบบคลังสินค้าที่ นอกจากจะต้องมีมาตรฐานสูงและมีการรับรองคุณภาพแล้ว การรับรองคุณภาพนั้นต้องได้รับการรับรองมาตรฐานระบบ บริหาร งานคุณภาพ หรือ ISO 9001 : 2015 การรับรอง มาตรฐานสากลการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมขององค์กร หรือ ISO 14001 : 2015 และการรับรองมาตรฐานสากลระบบ การจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย หรือ ISO 45001 : ต่อยอดธุรกิจสร้างคลังสินค้าหนุนการจ้างงานในท้องถิน่ ‘โซเด็กซ์โซ่ อมฤต’ ผู้น�ำการให้บริการด้านอุตฯ ชายฝั่ ง กองทรัสต์ WHART จ�ำนวน 142,900 ตร.ม. คิดเป็น มูลค่ารวม 3,566 ล้านบาท ส�ำหรับการจับมือร่วมกันเป็นพันธมิตรกับ ไดวะ เฮ้าส์ ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปนั้น เริ่มต้นขึ้น ในปี 2559 เมื่อทั้งสองบริษัทได้ก่อตั้งบริษัทร่วมทุน ในชื่อ “บริษัท ดับบลิวเอชเอ ไดวะ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้ จ�ำกัด” (WHA Daiwa Logistics Property Co., Ltd.) เพื่อร่วมมือกันในการพัฒนา โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ในประเทศไทย โดยในเดือน มีนาคม 2566 ได้มีการพัฒนาโครงการโลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ บนถนนบางนา-ตราด กม. 23 เพิ่มอีก โครงการหนึ่ง เพื่อขยายธุรกิจมายังภูมิภาคอาเซียน และเอเชียตะวันออก ด้วยความเชี่ยวชาญในการพัฒนา ธุรกิจโลจิสติกส์ในเวียดนามตอนใต้ของไดวะ เฮ้าส์ และการพัฒนาธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนาม ของ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปในวันที่ 26 มกราคม 2567 ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปและไดวะ เฮ้าส์ จึงได้ร่วมลงนาม ในข้อตกลงร่วมทุนใหม่เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการ “DPL Vietnam Minh Quang” โดยรวมเอา ศักยภาพในการจัดการของทั้งสองบริษัท ไม่ว่าจะเป็น โครงการนี้ โครงการ “DPL Vietnam Minh Quang” ที่ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปและไดวะ เฮ้าส์ จะร่วมทุนกัน สร้างขึ้น เป็นอาคารชั้นเดียวบนพื้นที่โครงการ 70,109 ตร.ม. และมีพื้นที่อาคารคลังสินค้ารวม 42,330 ตร.ม. พื้นที่แห่งนี้เชื่อมต่อโดยตรงไปยังถนน สายหลักคือทางหลวงสายเอเชียหมายเลข 14 และ อยู่ห่างจากกรุงฮานอยราว 40 กิโลเมตร ท�ำให้ที่นี่ เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมส�ำหรับการเป็นศูนย์กลาง การขนส่งสินค้าส�ำหรับเมืองฮานอย นอกจากนี้ยังอยู่ 2018 เพราะนอกจากจะช่วยให้การบริหาร จัดการแบบ เบ็ดเสร็จและมีคุณภาพแล้ว ยังเป็นการยืนยันว่ามีระบบงาน ที่ใส่ใจในเรื่องของธุรกิจแบบยั่งยืน (Sustainable Business Practices) ที่ค�ำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นส�ำคัญ ส�ำหรับการออกแบบคลังสินค้าส�ำหรับการจัดเก็บ วัตถุดิบและตู้คอนเทนเนอร์ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้ 1. พื้นที่เก็บสต็อก (ในร่ม) ส�ำหรับสต็อกแห้ง : วัตถุดิบ แห้งต่าง ๆ เช่น แป้ง น�้ำตาล เกลือ ข้าวสาร ฯลฯ สต็อกชิลเลอร์ : วัตถุดิบที่ต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิต�่ำ เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ สด นม ฯลฯ และสต็อกฟรีซเซอร์: วัตถุดิบที่ต้องเก็บรักษาใน อุณหภูมิต�่ำมาก เช่น เนื้อสัตว์แช่แข็ง ไอศกรีม ฯลฯ 2. พื้นที่จัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ เป็นพื้นที่จัดเก็บของ ที่ต้องใช้เป็นประจ�ำทุกวัน และมีการหมุนเวียนใช้งานตลอด เวลา เช่น อุปกรณ์ต่างๆ เครื่องมือ อะไหล่ ฯลฯ 3. พื้นที่ปฏิบัติงาน เพื่อการตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ พื้นที่ส�ำหรับตรวจสอบสภาพตู้คอนเทนเนอร์ก่อนใช้งานว่าอยู่ ในสภาพดีพร้อมใช้งานหรือไม่ การล้างท�ำความสะอาดพื้นที่ ส�ำหรับล้างท�ำความสะอาดตู้คอนเทนเนอร์หลังใช้งาน และ พื้นที่เตรียมส่ง: พื้นที่ส�ำหรับจัดเตรียมตู้คอนเทนเนอร์ที่โหลด สินค้าเสร็จแล้ว รอการส่งไปยังท่าเรือเพื่อน�ำไปใช้งานที่แท่น ขุดเจาะของลูกค้า ปัจจุบันคลังสินค้าแห่งนี้ได้เริ่มให้บริการแก่ลูกค้า ในธุรกิจด้านพลังงาน แท่นขุดเจาะที่มีฐานผลิตอยู่นอกชายฝั่ง เป็นหลัก และมีแผนจะขยายการบริการ ไปยังภาคธุรกิจ อื่นๆ ในอนาคต เช่น เหมืองถ่านหิน เหมืองทอง เหมือง ลิเธียม ในประเทศไทย ประจำ�วันที่ 1 - 15 เมษายน 2567
12 ยืนหนึ ่ งผู้เชียวชาญทั ้ งระบบสันดาปและรถไฟฟ้า! << LOGISTICS >> ‘สไมล์ลี่ฯ’ ต่อยอดธุรกิจบริหารยานยนต์ครบวงจร โคเวสโตร แถลงเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขต 3 เพื่อก้าวสู่ขั้นตอน สุดท้ายของกลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศเพื่อลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจก โดยเป้าหมายระยะสั้น บริษัทวางแผนลดปริมาณ ก๊าซเรือนกระจกลง 10 ล้านเมตริกตัน ภายในปี พ.ศ. 2578 เผยแผนยะยาวโคเวสโตรวางแผนสร้างความเป็นกลางทาง คาร์บอนให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2593 หลังจากที่ลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกในขอบเขต 3 เสร็จสมบูรณ์ โคเวสโตร เคยแถลงเป้าหมายอันมุ่งมั่นเรื่องการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกในขอบเขต 1 และขอบเขต 2 เมื่อปี พ.ศ. 2565 ซึ่งรวมถึงการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในการ ด�ำเนินงานภายในปี พ.ศ. 2578 การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในขอบเขต 3 จ�ำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบห่วงโซ่อุปทาน ทั้งหมด เนื่องจากมีปัจจัยมากมายที่ส่งผลกระทบถึงกันและกัน ซึ่งรวมถึงความพร้อมในการจัดหาวัตถุดิบทางเลือก พลังงาน หมุนเวียน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและกระบวนการผลิต ใหม่ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงในตลาด ล้วนมีบทบาทส�ำคัญ ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ และเพื่อให้บรรลุการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โคเวสโตร คาดว่าจะลงทุนเพื่อ ‘โคเวสโตร’ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขต 3 นายยุทธนา หลักบุญ ประธานบริหาร บริษัท สไมล์ลี่ แอสซิสแตนซ์ (ประเทศไทย) จ�ำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้สไมล์ลี่ฯ ได้ขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้า ที่หลากหลายได้แก่ กลุ่มลูกค้ายานยนต์ กลุ่มบริษัท ประกันภัยรถยนต์ กลุ่มสถาบันการเงิน เป็นต้น โดย ลูกค้าส่วนใหญ่เริ่มต้นใช้บริการด้าน Call Center เพื่อ อ�ำนวยความสะดวกและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เป็นหลัก และได้ขยายใช้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบน ท้องถนน หรือ Roadside Assistance และมีเครือข่าย ให้บริการทั่วประเทศไทย จนท�ำให้สไมล์ลี่ฯ ได้รับการ ยอมรับในตลาดอย่างกว้างขวาง สไมล์ลี่ แอสซิสแตนซ์ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2561 ด้วยทุนจดทะเบียน 6 ล้านบาท การเริ่มต้นด�ำเนินธุรกิจ ด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนทั่วประเทศ จากประสบการณ์กว่า 30 ปีในเทคนิคยานยนต์ พบว่า ปัญหา Breakdown ของรถยนต์ต่าง ๆ ท�ำให้ผู้ใช้รถต้อง เสียเวลา และมีความร้อนใจ ทุกข์ใจ เพราะรถขับเคลื่อน ไปต่อไม่ได้ ท�ำให้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ จึงได้ริเริ่ม ก่อตั้งทีม Smiley Club ขึ้น หัวใจส�ำคัญหลัก คือ การ ให้ค�ำแนะน�ำในการแก้ปัญหา เบื้องต้นด้วยตัวผู้ใช้รถเอง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่หากแก้ไขไม่ได้ จึงจะเสนอ บริการของสไมล์ลี่ฯ ไม่ว่าจะเป็นการพ่วงแบต การเปลี่ยน ยางอะไหล่ การยกลาก ท�ำให้ผู้ใช้รถอุ่นใจ และสบายใจ ยิ้มได้เมื่อได้รับบริการจากสไมล์ลี่ฯ สะท้อนหลักการท�ำงาน ของทีมสไมล์ลี่ แอสซิสแตนซ์ คือ สไมล์ลี่ฯ จะบริการ ด้วยรอยยิ้ม ประกอบกับไม่กี่ปีต่อมา เป็นช่วงที่สังคมไทยก�ำลัง ประสบภาวะวิกฤติของการระบาดโควิด-19 ที่ต้องรักษา ระยะห่าง ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นโอกาส ที่สไมล์ลี่ฯ ได้น�ำเสนอทางออกในการช่วยให้ธุรกิจด�ำเนินต่อไปได้ ให้กับลูกค้า ท�ำให้สไมล์ลี่ฯ ได้รับการยอมรับจากลูกค้า องค์กรต่าง ๆ “เราคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังขององค์กรต่าง ๆ ในการ ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าขององค์กรเหล่านั้น สไมล์ลี่ฯ คือ Outsource ด้าน Call Center ให้กับธุรกิจซึ่งในช่วง วิกฤติโควิด-19 เรามองว่าวิกฤติคือโอกาสของเรา เพราะ จากเรา และถามว่าเราท�ำอะไรที่ต่อเนื่องจาก Call Center ได้บ้าง บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนถนน 24 ชั่วโมง เป็นบริการต่อเนื่องจาก Call Center และล่าสุด ลูกค้าได้ทราบว่าเราสามารถให้บริการ บริหารกองรถ เขาก็ให้เราท�ำเพิ่ม” นางสาว ชนัญชิตา กล่าว นางสาวชนัญชิตา เพิ่มเติมว่า บริษัท อีวี มี พลัส จ�ำกัด (EVme) เป็นกรณีล่าสุด ที่ขยายการใช้บริการจาก Call Center และมอบหมายให้สไมล์ลี่ฯ บริหารกองรถ ด้วย โดยทีมงาน สไมล์ลี่ฯ เมื่อได้รับ การจองรถของลูกค้าผู้เช่ารถจาก ระบบ ทีมงานของ Call Center จะประสานกับทีมบริหารกองรถ เพื่อด�ำเนินการส่งมอบรถตามจุดที่ ลูกค้าก�ำหนดและรับรถกลับตามจุด ที่ลูกค้าต้องการ การใช้บริการ Call Center Service บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบน ถนนตลอด 24 ชั่วโมง และการบริหาร กองรถ โดย บริษัท อีวีมี พลัส จ�ำกัด ถือเป็นบริษัทน�ำร่องที่ยกระดับมาตรฐาน การบริการของสไมล์ลี่ฯ โดยมอบความไว้ วางใจให้ทีมสไมล์ลี่ฯ ช่วยดูแลด้านงานขาย และบริการหลังการขายทั้งหมด นอกจาก นี้ สไมล์ลี่ฯ ยังให้บริการ Call Center ใน นาม ของแบรนด์ประกันภัยชั้นน�ำอีกด้วย ซึ่งรูปแบบการ ให้บริการสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของ ลูกค้าแต่ละราย “ล่าสุด เราได้ลงนามบันทึกข้อตกลงกับบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จ�ำกัด (มหาชน) หรือ DMT ให้ สไมล์ลี่ฯ บริการช่วยเหลือฉุกเฉินต่อจากทีมช่วยเหลือ บนทางยกระดับดอนเมือง โทลล์เวย์ หลังจากสิ้นสุด บริการช่วยเหลือบนทางด่วนดอนเมือง โทลล์เวย์” นางสาวชนัญชิตา กล่าว ปัจจุบัน สไมล์ลี่ ฯ มีลูกค้าองค์กรทั้งสิ้น 10 ราย ได้แก่ บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จ�ำกัด (มหาชน) บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จ�ำกัด (มหาชน) บริษัท อีวีมี พลัส จ�ำกัด บริษัท อีวี ไพรมัส จ�ำกัด บริษัท อาคเนย์แคปปิตอล จ�ำกัด บริษัท บีควิก จ�ำกัด บริษัท อีซี่ อินชัวร์โบรคเกอร์ จ�ำกัด บริษัท พรีเมี่ยม เซอร์วิส (ประเทศไทย) จ�ำกัด บริษัท เอวีพี อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ส จ�ำกัด และ บริษัท พี-ไบค์ จ�ำกัด ทุกคนต้องรักษาระยะห่าง ดังนั้น บริการ Call Center ถือเป็นทางออกของธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องปรับตัวเพื่อให้ บริการแก่ลูกค้าในสังคมไทยขณะนั้น และด้วยความ พร้อมของทีมงานที่มีพื้นฐานด้านการให้บริการยานยนต์ มาเป็นเวลายาวนานมากกว่า 20 ปี ท�ำให้เราเข้าใจความ ต้องการของผู้ใช้รถยนต์ที่เป็นลูกค้าขององค์กรต่าง ๆ และให้ค�ำแนะน�ำเบื้องต้นแก่ผู้บริโภคที่ใช้บริการ Call Center ของเราได้อย่างรวดเร็ว” นายยุทธนา กล่าว นายยุทธนา กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาให้กับผู้ใช้ รถยนต์บนท้องถนนได้ 24 ชั่วโมง และมีเครือข่าย ให้บริการทั่วประเทศ ภายใต้การบริการของสไมล์ลี่ฯ ท�ำให้ลูกค้าขององค์กรต่าง ๆ เกิดความพึงพอใจในบริการ ขององค์กรเหล่านั้น ซึ่งบริการ Call Center นอกจาก จะต้องให้ค�ำปรึกษาและข้อแนะน�ำที่เป็นทางเลือกให้กับ ลูกค้าแต่ละรายจนน�ำไปสู่การให้บริการที่ตรงกับความ ต้องการของลูกค้าเช่น การให้บริการรถยกอย่างมืออาชีพ บริการเปลี่ยนยาง ปะยาง เติมลมยาง เปลี่ยนแบตเตอรี่ ตลอดจนเติมน�้ำมันฉุกเฉิน ผนึกพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ปรับใช้พลังงานสะอาด บริษัท สไมล์ลี แอสซิสแตนซ์ (ประเทศไทย) จ�่ากัด ผู้น�าด้านบริหารยานยนต์ครบวงจร 24 ชั่วโมง เดินหน้ารุกตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยบริการ Call Center ที่เข้าถึงความ ต้องการของลูกค้า ชูจุดขายด้วยทีมทีเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ทั่งระบบสันดาปและไฟฟ้า ้ โดยเฉพาะลูกค้าองค์กรที่ต้องการน�าบริการ Call Center แก้ปัญหาฉุกเฉิน สนับสนุน งานขายและบริการหลังการขาย สร้าต่องความพึงพอใจให้กับลูกค้า ล่าสุด ได้ขยาย บริการบริหารกองรถให้กับ EV Me บริษัทในเครือ ปตท. ประจำ�วันที่ 1 - 15 เมษายน 2567 เป้าหมายเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านยูโรในช่วงเวลา 10 ปีข้างหน้านี้ ดร.มาร์คุส สไตเลอมานน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โคเวสโตร กล่าวว่า “เป้าหมายขอบเขต 3 ของเรา ถือเป็นความ มุ่งมั่นขั้นสูงและมีแผนการด�ำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อการ สนับสนุนให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบส�ำคัญในกลยุทธ์ ด้านสภาพภูมิอากาศของเรา การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลาง ทางสภาพภูมิอากาศนับเป็นอีกหนึ่งก้าวส�ำคัญในการปรับเปลี่ยน การด�ำเนินงานของเราทั้งหมดให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ในการ ก้าวสู่การหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยแนวทางนี้ เราก�ำลัง จะแสดงให้โลกเห็นอีกครั้งว่า เราคือผู้น�ำในการเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ที่แท้จริง” ในกลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศนี้ โคเวสโตรมุ่งเน้นการ ด�ำเนินงานใน 4 หมวดของขอบเขต 3 ส�ำหรับแผนระยะสั้นถึง ระยะกลาง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องวัตถุดิบ การบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ เมื่อหมดอายุการใช้งาน และการขนส่งเชื้อเพลิงและพลังงาน ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ระดับต้นน�้ำ ด้วยการบริหารจัดการทั้ง 4 หมวดนี้ เมื่อค�ำนวณรวมกันจะคิดเป็นก๊าซเรือนกระจกปริมาณ 21.3 ล้านตัน ต่อปี (ข้อมูล ณ ปี 2564) ซึ่งโคเวสโตรจะสามารถลดการปล่อยก๊าซ ในขอบเขต 3 ลงได้ถึง 10 ล้านเมตริกตันภายในปี พ.ศ. 2578 “การค�ำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขต 3 ถือ เป็นความท้าทายอย่างมากส�ำหรับเราในฐานะบริษัทเคมีภัณฑ์ เนื่องจากการปล่อยก๊าซดังกล่าวเกิดขึ้นทั้งในระดับต้นน�้ำเมื่อเรา ท�ำการจัดซื้อวัตถุดิบ และในระดับปลายน�้ำหลังจากที่เราจ�ำหน่าย ผลิตภัณฑ์ของเราออกไป ดังนั้น มาตรการในการลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกในขอบเขต 3 จึงส่งผลกระทบทั้งต่อซัพพลายเออร์ และลูกค้าของเรา ซึ่งจ�ำเป็นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน ทั้งหมด” ดร.ทอร์สเต็น ไฮน์มานน์ ผู้อ�ำนวยการฝ่ายนวัตกรรม และความยั่งยืน โคเวสโตร กล่าว ส�ำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานการผลิตระดับ โลก ของโคเวสโตรที่มาบตาพุด บริษัทได้ท�ำงานร่วมกับกลุ่ม พันธมิตรเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อส่งเสริมเส้นทางสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและ เป้าหมายของขอบเขต 3 ของบริษัท หนึ่งในการด�ำเนินงานเพื่อ การส่งเสริม ในเรื่องนี้คือการที่บริษัทได้รับใบรับรอง ISCC Plus จากการใช้วัตถุดิบตั้งต้นแบบชีวภาพแทนวัตถุดิบตั้งต้นจาก ฟอสซิล และบริษัทยังท�ำการส�ำรวจความเป็นไปได้ของวัตถุดิบ สีเขียว (Green Raw Material) อื่น ๆ เช่น CO หรือไฮโดรเจน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีแนวทางความร่วมมือกับส่วนราชการและ สมาคมและองค์กรต่าง ๆ รวมถึงผู้ให้บริการด้านพลังงานเพื่อ ผลักดันและสนับสนุนนโยบายด้านแหล่งพลังงานสะอาดอื่น ๆ ส�ำหรับการด�ำเนินงานด้านโลจิสติกส์ โคเวสโตร ประเทศไทย มีความพยายามอย่างมากในการแสวงหาวิธีการที่เป็นไปได้ ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากกิจกรรมการขนส่งของบริษัท โดยร่วมมือกับซัพพลายเออร์เพื่อปรับเปลี่ยนมาใช้ยานพาหนะ ไฟฟ้า คลังสินค้าพลังงานสะอาด และส�ำรวจหาโอกาสในการพัฒนา ด้านอื่น ๆ ของห่วงโซ่อุปทานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น “เราต้องการผนึกก�ำลังกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลักและ พันธมิตรทุกรายทั้งในภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมในการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือน กระจก เพราะเราเชื่อว่านี่คือหนึ่งในปัจจัยส�ำคัญที่จะสามารถ ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทยได้ดีใน อนาคต” “สไมล์ลี่ฯ มีความพร้อมเดินหน้ารุกตลาดอย่าง ต่อเนื่อง เพื่อช่วยลูกค้าที่อยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันด้าน ยานยนต์ไฟฟ้าที่ดุเดือดและมีบทบาทมากขึ้นในตลาด รถยนต์ไทย เราเตรียมแผนงานระยะสั้นและระยะยาว ไว้แล้ว โดยตั้งเป้าหมายสู่การเป็นผู้น�ำด้านบริหารยานยนต์ ครบวงจร 24 ชั่วโมง คาดว่าภายในปีนี้จะมีการเติบโต ของธุรกิจที่ 50% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา” นายยุทธนา กล่าวสรุป ทางด้าน นางสาวชนัญชิตา สังข์สุวรรณ ที่ปรึกษา อาวุโส ส่วนบริหารแผนการตลาด กล่าวเพิ่มเติมว่าจาก บริการ Call Center ที่ สไมล์ลี่ฯ เริ่มให้บริการ ได้สร้าง ความพึงพอใจแก่ลูกค้าองค์กร ท�ำให้ลูกค้าองค์กรเหล่านี้ ให้ความไว้วางใจใช้บริการที่ต่อเนื่องจากบริการ Call Center ได้แก่ บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนถนนตลอด 24 ชั่วโมง “ด้วยความประทับใจในบริการ Call Center จากทีมสไมล์ลี่ฯ ลูกค้าเราก็เริ่มถามหาบริการเพิ่มเติม ยุทธนา หลักบุญ ชนัญชิตา สังข์สุวรรณ