The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รูปเล่ม ภูมิปัญญาครั้งที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pandey_p, 2022-02-18 08:55:37

รูปเล่ม ภูมิปัญญาครั้งที่ 1

รูปเล่ม ภูมิปัญญาครั้งที่ 1

รายงานผลการศกึ ษาภมู ิปัญญาทอ้ งถ่นิ เร่อื ง ผ้าทอไททรงดำ

( บ้านหวั เขาจีน อำเภอปากทอ่ จงั หวัดราชบรุ ี )

จัดทำโดย

นางสาว กลั ยณพรรณ ศิลปเ์ มือง รหสั 630610004

นางสาว นาราภัทร พุทธเจรญิ รหัส 630610021

นางสาว อมรรตั น์ เอ่ยี มกล้า รหสั 630610043

นางสาว อารสิ า แสงสว่าง รหสั 630610044

นางสาว ณฐั กานต์ รนื่ เรงิ รหสั 630610448

สาขาการศกึ ษาตลอดชีวิต คณะศึกษาศาสตร์

เสนอ

อาจารย์ ดร.พรรณภัทร ปลงั่ ศรีเจรญิ สุข

รายวชิ า 469280 ภูมิปัญญาทอ้ งถิน่ เพ่ือการศกึ ษา
ภาคการศกึ ษาตน้ ปกี ารศึกษา 2564 สาขาวิชาการศกึ ษาตลอดชวี ติ

คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

ไทดำ เป็นชนชาติไทย ที่เรียกตนเองว่า ไต (ไท) หรือ TAI
มชี ่อื เรยี กหลากหลายชื่อ เช่น ลาวโซง่ ไทยโซ่ง ลางซงดำ ผไู้ ทยดำ ไทยทรงดำ

คำนำ
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา 469280 ภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการศึกษา ซึ่งจัดทำโดย
นักศึกษาชั้นปีที่ 2 เอกการศึกษาตลอดชีวิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมีเนื้อหา
รายงานเกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาไทยเรื่อง ผ้าทอไทยทรงดำ ของบ้านหัวเขาจีน อำเภอปากท่อ
จังหวดั ราชบรุ ี
มีเรื่องราวประวัติความเป็นมา การอพยพเข้ามาในประเทศไทย ความเป็นอยู่ของชาวไทย
ทรงดำ ลวดลายของผ้าทอไทยดำ วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยทรงดำ ประวัติของการทอ
ผ้าไทยทรงดำ ความหมายของสีที่นำมาทอผ้าไทยทรงดำ ความรู้สึกที่เกิดจากลักษณะของเส้น และ
ข้อมลู อน่ื ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับ ผา้ ทอไทยทรงดำ
ทางคณะผู้จัดทำได้ทำการศึกษาและเรียบเรียงเป็นรูปเล่มรายงานเล่มนี้ เพื่อให้ผู้ที่มีความ
สนใจในเรื่อง ผ้าทอไทยทรงดำ ได้รับความรู้จากรายงานเล่มนี้ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทาง
คณะผจู้ ดั ทำขออภัย ณ ทนี่ ีด้ ว้ ย

คณะผ้จู ดั ทำ

สารบัญ

เรอื่ ง หน้า

บทที่ 1 บทนำ

- 1.1 ความเปน็ มาของการศกึ ษา
- 1.2 วัตถุประสงค์ของการศกึ ษา

- 1.3 ขอบเขตของการศึกษา
- 1.4 ระยะเวลาในการดำเนนิ การศึกษา

- 1.5 ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะได้รบั

บทที่ 2 วธิ กี ารศกึ ษา

- 2.1 พนื้ ที่ศึกษาและผใู้ ห้ข้อมลู

- 2.2 การเกบ็ รวมรวมข้อมลู

- 2.3 ขั้นตอนการศึกษา
ฐµบทที่ 3 ผลการศกึ ษา
ชน าน ว 1- 10 อ

- o33..21 1ขข)อ้้อมมปลููลรเขกะอวี่ยงตัวแกิคหบัวลาภง่ มูมเรเิปปยี ญั็นนมรญูภ้าาขูมทอปิ อ้ งญั งไถทญ่ินทารท←ง้อดงำถT่ิน
-

2) การอพยพเขา้ มาในประเทศไทย แ

-6

3) กลมุ่ ชาตพิ ันธไ์ุ ทดำในจังหวัดราชบุรี

4) ท่ีมาของการเรียกชอ่ื ไททรงดำ เนน
มา
5) สภาพความเปน็ อยขู่ องชาวไททรงดำ o
§ การตง้ั บา้ นเรือน

§ ลกั ษณะบ้านเรือน

§ สถาบนั ครอบครวั

§ สถาบนั โรงเรียน

6) เอกลักษณ์ชุมชนไททรงดำ

7) วัฒนธรรมผ้าทอ ลวดลาย ของผ้าไททรงดำ

8) วัฒนธรรมที่เป็นเอกลกั ษณข์ องชาวไททรงดำ

9) วฒั นธรรมการแต่งกายของไททรงดำ

§ การแตง่ กายของชาย

§ การแตง่ กายของหญิง

§ การนุ่งผา้ น่งุ

§ เสอื้ ตกั๊

้ต็ป้ขัห้บัร

§ เครอ่ื งประดับของชาวไททรงดำ เอา

010) วฒั นธรรม คา่ นยิ ม ความเชือ่ พธิ ีกรรม
§ ประเพณขี ้นึ เฮือนใหม่
§ ประเพณเี กีย่ วกับความรกั
§ ประเพณีการแตง่ งาน
§ ประเพณีปาดตง
§ ประเพณีแปงขวัญ
§ ประเพณีการทำศพ

11) ประวตั ิความเป็นมาของการทอผา้ ของชาวไททรงดำ

12) วธิ ีการขนั้ ตอนกระบวนการทอผ้า
§ วสั ดุ อปุ กรณ์ในการผลิตเสน้ ใย
§ การเตรยี มเสน้ ใย
§ วิธเี ลย้ี งไหม
§ อุปกรณใ์ นการสาวไหม
§ อปุ กรณใ์ นการทอผา้ แบบพ้นื บา้ นไททรงดำ
§ วธิ ขี น้ั ตอนการทอผา้ ไททรงดำ
§ การย้อมสีผ้า

13) ความหมายของสนี ำมายอ้ มผา้ ของชาวไททรงดำ

¥อn-e0_0✗ไ14)ความรู้สึกท่เี กดิ จากคณุ ลกั ษณะของเสน้
15) ความรสู้ กึ ท่ีเกดิ จากทศิ ทางของเส้น
16) กระบวนการถา่ ยทอดวฒั นธรรมการทอผา้

ม่

1


บทท่ี 1
บทนำ

1.1 ความเป็นมาของการศึกษา
ทางภาคตะวันตกของประเทศไทย นอกจากจะมีประชากรส่วนใหญ่เป็นคนไทยแล้วยังมีประชากรอีก

ส่วนที่เป็นชนกลุ่มน้อยหลายเผ่าพันธ์ุ อพยพมาจากประเทศใกล้เคียง เช่น จากประเทศจีน สาธารณรัฐ
เวียดนาม ชนกลุ่มน้อยเหล่าน้ีได้แก่ ชนชาติกระเหรี่ยง พม่า มอญ ไทยมุสลิม ไททรงดำ ลาวคลั่ง ไทยยวน

เป็นต้น โดยมีวัฒนธรรม ประวัติความเป็นมา ภาษาพูด ลักษณะการแต่งกาย พิธีกรรมตามความเชื่อท่ี
แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนอันเป็นเอกลักษณ์ของชนกลุ่มนั้นๆ ได้แก่ การแต่งกาย ซึ่งได้จาก

การทอผ้าท่มี ีลกั ษณะเฉพาะประจำเผา่ พนั ธ์
ซ่ึงวัฒนธรรมการทอผ้าเป็นศิลปหัตถกรรม และเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็นเครื่องหมายของความ

เจริญก้าวหน้าในสังคม เป็นเครื่องหมายของความเป็นเอกลักษณ์ที่สมบูรณ์ วัฒนธรรมจะอยู่ได้ต้องมีการ
สืบทอดให้คงอยู่เพื่อให้วัฒนธรรมในสังคมนั้นๆคงอยู่ตลอดไป วัฒนธรรมทุกสาขาจึงจำเป็นต้องมีการ

สืบทอดให้คนรุ่นหลัง เพื่อความคงอยู่และให้คนรุ่นหลังได้ประพฤติปฏิบัติตาม งานศิลปหัตถกรรมในทุก
สาขา ถือเป็นวัฒนธรรมอันเป็นมรดกทางสังคม จึงต้องมีการสืบทอดไปสู่คนรุ่นหลัง มนุษย์รับมรดกสังคมท่ี

ตกทอดมาจากบรรพบุรุษมากหรือน้อยตามจะส่งผ่านมรดกน้นั ไปสู่รุ่นลูกหลาน
จากการศึกษางานศิลปะผ้าทอของกลุ่มชนไททรงดำในจังหวัดราชบุรี ผู้จัดทำจึงได้เลือกศึกษางาน

ศิลปะผ้าทอของชนกลุ่มนี้ เนื่องจากผ้าทอบ่งบอกถึงความเป็นมาด้านวัฒนธรรมทางปัญญา และ
ความสามารถในการเลือกวัสดุที่มีอยู่ในธรรมชาติ งานศิลปะผ้าทอของชนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นงาน

ศิลปหัตถกรรมเฉพาะกลุ่มที่ถือว่าเป็นมรดกวัฒนธรรมทางภูมิปัญญาและความสามารถที่ผ่านการสืบทอด
กันมานานนับร้อยปีสามารถรักษารูปแบบของงานศิลปะที่มีลักษณะเฉพาะตัว ด้วยเหตุผลสำคัญดังกล่าว

ผู้จัดทำจึงสนใจที่จะศึกษากลุ่มชนไททรงดำ มีวิธีการหรือการสืบทอดงานศิลปะผ้าทอนี้ไว้ได้อย่างไร
จงึ สามารถรักษาวัฒนธรรมในสว่ นนไี้ วไ้ ดจ้ นถึงปจั จบุ ัน

1.2 วัตถุประสงคข์ องการศึกษา ไ4 ม . อง ปอ

1) เพื่อศึกษาภมู ิปญั ญาเรื่องการทอผา้ ไททรงดำ จ.ราชบรุ ี

o2) เพอ่ื ศกึ ษาแนวทางnสง่ เสริมหรือใชป้ ระโยชsนจ์ ากภูมปิ ัญญาการsทอผา้ ไททรงดำ
mmnmntเสนอแนว
ทาง ก. ก '
1.3 ขอบเขตการศกึ ษา
1) ขอบเขตดา้ นพืน้ ท่ี

สถานทใ่ี นการศกึ ษา คอื ชุมชนไททรงดำในจงั หวัดราชบรุ โี ดยเmก็บข้อมูลsจากaเอกสmารประeกอบ

และวดิ ีโอ YouTube

2) ขอบเขตดา้ นเนอ้ื หา → ตาม ต ประสง
- ประวตั คิ วามเป็นมาของชาวไททรงดำ

- การอพยพเขา้ มาในประเทศของชาวไททรงดำ

์คุถัว่ีทัป้ต่ม่ัส

2



- สภาพความเป็นอยู่ของชาวไททรงดำ
- เอกลักษณช์ ุมชนไททรงดำ
- ทมี่ าของชอ่ื ไททรงดำ
- วฒั นธรรมท่เี ป็นเอกลักษณข์ องไททรงดำ
- ประวตั คิ วามเปน็ มาการทอผ้าของชาวไททรงดำ
- วธิ ีการข้ันตอนการทอผา้ ไททรงดำ
- กระบวนการถ่ายทอดวฒั นธรรมการทอผ้าของชาวไททรงดำ
- ความหมายของสนี ำมาย้อมผา้ ของชาวไททรงดำ
- ความรสู้ ึกท่ีเกิดจากคุณลกั ษณะของเส้น
- วฒั นธรรมของผา้ ทอ ลวดลาย ของผา้ ไททรงดำ
- เครื่องประดบั ของชาวไททรงดำ
- วิธีเกบ็ รักษา

1.4 ระยะเวลาในการดำเนนิ การศึกษา
4 ตลุ าคม 2564 – 28 ตลุ าคม 2564

1.5 ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะได้รับจากการศึกษา
1) ทำให้ทราบถงึ เอกลักษณ์ การสื่อความหมายของผ้าทอไททรงดำ
2) เขา้ ใจข้นั ตอนและวิธีการทอผ้าไทดำ
3) สามารถนำองคค์ วามรูม้ าประยุกตใ์ ช้เปน็ แนวทางสร้างความเขา้ ใจท่ถี ูกต้องในการสือทอดภูมิปญั ญา

L" สนใจ ความ เ ยว
คน

21 # - แนวทาง ใน การ ด การ 1 บ

l มน บ ต

ุถัวัก์ธัพัสู้รัรัจ่ีกู้รีมู้ผ

3


บทท่ี 2

วธิ ีการศึกษา

2.1 พืน้ ท่ีศกึ ษาและมผใู้ หข้ ้อามลู

•ศนู ย์การเรยี นรวู้ ฒั นธรรมไททรงดำ บา้ นหวั เขาจีน จ.ราชบุรี

เอกสารประกอบเกยี่ วกบั ผา้ ทอไททรงดำ

2.2 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล

nแหmลง่ ขm้อมลู sปcฐมnภมู rิ :sศูนsยrก์ oารเsรียrนoรู้บn้านหrัวoเขoาจoีน อs.ปmากทn่อ จo.ราoชบsุรี

EOแหลง่ ขอ้ มูลทตุ ิยภมู ิ : เอกสารประกอบแนบไวอ้ ยู่ในบรรณานุกรม และ คลิปจาก YouTube
วธิ กี ารเกบ็ ข้อมูล : การศึกษาเอกสาร ประกอบ เ วย การ บ
ข้นั ตอนการศกึ ษา
2.3 น แห ง เขา

1.คน้ ควา้ คัดเลือก ตดั สนิ ใจเพ่อื กำหนดพืน้ ที่ศึกษา

เนื่องจากสมาชิกมีคนที่อยู่จังหวัดราชบุรีจำนวน 2 คนจึงเล็งเห็นว่าการศึกษาข้อมูลนี้ง่าย แต่ด้วย

สถานการณ์โควิดจึงไม่สามารถลงพื้นที่เพื่อศึกษาได้ทำได้เพียงไปบ้านหัวเขาจีนแต่ไม่สามารถ

สัมภาษณ์ได้ จึงได้มีการปรับแผนโดยศึกษาจากเอกสารที่มีอยู่ รวมถึงคลิปจาก YouTube ที่มีการ

สมั ภาษณค์ นในชุมชนผา้ ทอไททรงดำ

2.วางแผนและกำหนดแนวทางในการศึกษา

งCefp,fpgeg, แวัตถุประสงค์ ด บางแนวคำนถาม วิธกี าร แหลง่ ข้อมลู
- ศกึ ษาผ่านวิดิโอ ปฐมภูมิ : ศนู ย์การ
ขอบเขตการวิจัย YouTube เรยี นรวู้ ัฒนธรรมไท
-การศึกษาเอกสาร ทรงดำ บา้ นหัวเขาจีน
1.เพื่อศึกษาภูมิ 1.ประวตั ิความเป็นมา ชุมชนไททรงดำมี

ปัญญาเร่อื งการทอผ้า ชาวไททรงดำ ประวตั คิ วามเป็นมา

ไททรงดำ จังหวัด อย่างไร?
ราชบรุ ี อาจ มาเพ่ิมกเติม
อ2.การอพยพเขา้ มาใน ทตุ ิยภมู ิ : 10
Website
ประเทศไทยของชาว
ไททรงดำ ชมุ ชนไททรงดำอพยพ อ- อศนกึ ไษลานผใ์ ่านนถเรพะจาบบม
เข้ามาในประเทศไทย

ไดอ้ ย่างไร? Facebook

3.สภาพความเปน็ อยู่ ชาวไททรงดำเขามี
ของชาวไททรงดำ สภาพความเปน็ อยู่

อย่างไร?

4.เอกลักษณช์ มุ ชนไท เอกลักษณ์อะไรทบ่ี ่ง
ทรงดำ บอกวา่ เปน็ ชาวไททรง

ดำ?

5.ทีม่ าของช่ือไททรง ทำไมถงึ ช่อื วา่ ชาวไท
ดำ ทรงดำ?

•6.วฒั นธรรมทเี่ ปน็ ลักษณะทางภมู ิ

เอกลักษณ์ของไททรง ปัญญาคืออะไร?
ดำ

กษณะ ของ า

เ นไง ?

็ป้ผัลู่ย่ีทำทีม่ีทัอัต้กิว่ล้คืส้ด

4



7.ประวตั คิ วามเป็นมา การทอผ้าของชาวไท
การทอผ้าของชาวไท ทรงดำมปี ระวตั ิความ
ทรงดำ เป็นมาอยา่ งไร?

8.วิธกี ารข้นั ตอนการ - วธิ กี ารทอผา้ ไทดำมี
ทอผ้าไททรงดำ กว่ี ธิ ี
- แตล่ ะวิธกี ารมี
9.กระบวนการ ข้ันตอนอะไรบา้ ง?
ถา่ ยทอดวัฒนธรรม - แตล่ ะขั้นตอนใช้
การทอผา้ ของชาวไท วัสด/ุ เคร่อื งมืออะไร
ทรงดำ และใช้เวลานาน
เท่าไหร่?
- ท่มี าของวสั ด/ุ
เครื่องมือ มาอยา่ งไร
สรา้ งขน้ึ มาเองหรือซอื้
มา
การทอผ้าไททรงดำมี
กระบวนการถ่ายทอด
อยา่ งไร?

10.ความหมายของสี แตล่ ะสขี องผ้าทอไท

นำมาย้อมผา้ ของชาว ทรงดำมคี วามหมาย ใด
อยา่ งไร?
ไททรงดำ เ อไห

12.ความร้สู ึกท่เี กดิ เส้นลายการทอผ้าให้
จากคุณลักษณะของ ความรู้สกึ อยา่ งไร
เสน้ เมอ่ื ไดด้ ู

13.วฒั นธรรมของผา้ วตั นธรรมของผา้ ทอ
ไCeOาทอ ลวดลาย ของผา้ ใหอ้ ัตลกั ษณ์ทชี่ ดั เจน
ไทยทรงดำ อยา่ งไร? _ ลว ลาย อะไร

นtlllhr14.เคร่ืองประดับของ เคร่ืองประดับของชาว าง
ชาวไททรงดำ ไทดำมลี กั ษณะอย่าง

ไร

15.วธิ เี กบ็ รกั ษา - มีการทำความ

สะอาดอย่างไร?

- เกบ็ รกั ษา แบบไหน

และเก็บยงั ไง?

- ผา้ ทอแต่ละประเภท
มวี ธิ ีการเก็บรกั ษา

แตกตา่ งกนั อย่างไร?

้บ­ดีม่รีมีสุช่สู่ย

5

1.แนวทางการ - ทผ่ี า่ นมาชุมชนมวี ถิ ี -การศึกษาเอกสาร ปฐมภูมิ : ศนู ยก์ าร

2.เพ่อื ศึกษาแนวทาง สง่ เสรมิ การใช้ การถา่ ยทอดภูมิ เพิ่มเติม เรียนรวู้ ัฒนธรรมไทย
สง่ เสรมิ หรือใช้
ประโยชน์จากภมู ิ ประโยชนจ์ ากภมู ิ ปัญญาอย่างไร? - ศึกษาผา่ นระบบ ทรงดำ บา้ นหัวเขาจนี
ปญั ญาการทอผ้าไท
ทรงดำ ปัญญาการทอผ้า - คนมีความสนใจมาก ออนไลนใ์ นเพจ ทตุ ยิ ภมู ิ : 10 Website

นอ้ ยแคไ่ หน Facebook
- หน่วยงานท่ี

ถ่ายทอดเป็นใครบา้ ง

น เ ยน2.สภาพปัญหา - การถา่ ยทอดมี อ าง ไร
ปัญหาอปุ สรรค.
อุปสรรคของภมู ิ อะไรบ้าง ายทอด อ าง ไร
ปัญญาการทอผา้ ไทย
ทรงดำ -

3.ดำเนนิ การศกึ ษาภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิ่น :

รูปภาพ ขนั้ ตอน

1.เมอื่ มกี ารคัดเลอื กภูมิปัญญาที่จะศกึ ษา ก็มกี ารแบง่ หนา้ ทกี่ นั ไป
ค้นคว้าเอกสารเพอื่ จัดทำรายงานและแบ่งหัวขอ้ กนั ศกึ ษารายงาน

2.มกี ารศกึ ษาจากเอกสารประกอบเรอ่ื งภมู ปิ ญั ญาการทอผา้ ไท
ทรงดำ ดำเนินการศึกษากจิ กรรมด้วยการรว่ มกันศกึ ษาผ่าน Ms
Team เพ่อื ร่วมค้นควา้ หาขอ้ มลู

3.มกี ารศึกษาจากคลิปวดิ โี อ YouTube ท่มี กี ารสมั ภาษณช์ าวไท
ทรงดำ

่ย่ถ่ยู้รีร

6



4.สรปุ วิเคราะห์ข้อมูล และพัฒนาโครงการ/กจิ กรรม/แผน :
5.นำเสนอข้อมูล : ใส น ฬ
6.สรุปและจดั ทำรายงานสมบูรณ์ :

วั

7

บทท่ี 3

ประวตั คิ วามเปน็ มาของไททรงดำ zผลกาfรศeึกษา แ ง เ อหา

ประเ น ญ


..

(ท่ีมา : http://www.isan.clubs.chula.ac.th/simboard/)

ไททรงดำ มีชื่อเรียกอย่างอื่นด้วย เช่น ลาวโซ่ง ลาวทรงดำ หรือผู้ไทยดำ จากชื่อที่เรียกแตกต่างกัน
หลายชื่อนี้ ความหมายก็คือเป็นชนกลุ่มเดียวกัน ที่มีภาษาพูด ภาษาเขียนและวัฒนธรรมเดียวกัน เป็นชนชาติ
ไทยสาขาหนึ่งที่มีถิ่นฐานเดิมกระจายอยู่ในประเทศจีนตอนใต้บริเวณสิบสองจุไทและที่เมืองแถง (ปัจจุบัน คือ
เมืองเดียนเบียนฟู) เป็นอาณาเขตของประเทศเวียดนามอยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักรลาว ซึ่งจอมพลพระยา
สุรศักดิ์มนตรีได้บันทึกไว้เมื่อคราวไปปราบช่อ ในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ.2430 ว่าเมืองสิบ
สองจุไทนั้นเป็นเมืองของพวกผู้ไทยดำหรือลาวโซ่งดังพวกลาวเมืองเพชรบุรี (เรไร สืบสุข, สุขสมาน ยอดแก้ว
และรัชฎาพรรณ เศรษฐวัฒน์, 2523, หน้า 24) เมืองสิบสองจุไทนี้ประกอบไปด้วยผู้ไทยขาว 4 เมือง ผู้ไทยดำ
8 เมือง รวมเป็น 12 เมือง จึงเรียกว่า เมืองสิบสองผู้ไทย ต่อมาเรียกว่า เมืองสิบสองจุไทย เมืองไทยดำ 8 เมือง
ได้แก่ เมืองแถง เมืองควาย เมืองตุง เมืองม่วย เมืองลา เมืองโมะ เมืองหวัดและเมืองซาง ดังนั้นเมืองสิบสองจุ
ไทจึงเรียกได้ว่าเป็นเมืองของผู้ไทยดำ ซึ่งมีผู้ไทยดำอยู่เกือบทั้งหมดกรณีเมืองแถง หลังจากการอพยพครั้งใหญ่
ราว พ.ศ.1796 ไทยเสียอาณาจักรน่านเจ้าให้แก่ พระเจ้ากุบไลข่าน กษัตริย์มองโกลในสมัยนั้น ไทยได้อพยพ
แยกกันออกเปน็ สองพวก คือ ไทยใหญ่ และไทยนอ้ ย แตไ่ ทยดำเป็นชนชาตไิ ทยสาขาไทยน้อยยงั คงตั้งภูมิลำเนา
อยู่บริเวณแม่น้ำ (แม่น้ำที่ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขงที่หลวงพระบาง)ในแว่นแคว้นสิบสองจุไท และมีเมืองแถง
เป็นราชธานีก็แสดงให้เห็นว่าผู้ไทดำนั้นมีถิ่นฐานอยู่บริเวณนี้มาก่อนแล้ว แม้แต่ผู้ไทยมีการอพยพแต่
ผู้ไทดำไมอ่ พยพไปไหน

ไททรงดํา เป็นชาวไทยสาขาหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปหลายชื่อ เช่น ลาวโซ่ง ลาวซ่ง ลาว
ทรงดํา ไทยโซ่ง ไทยดํา ไทยซ่งดํา ไตดํา ไตซงดํา ผู้ไทยดํา (อัญชนา พานิช, 2537) แต่มีผู้ให้ความคิดเห็น ถึง
การเรียกชื่อชนกลุ่มนี้ที่อาศัยอยู่นอกประเทศไทยว่า “ไทดํา” หรือ “ผู้ไทดํา” (Black Tai) เพราะนิยม สวมเสื้อ
สีดําล้วน เม่ือชาวไทยกลุ่มนี้อพยพเข้ามาในประเทศไทยก็เรียกว่า “ลาวโซ่ง” หรือ “ไทยทรงดํา ซึ่งเห็นชัดเจน
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรด เกล้าฯ ให้เรียกว่า “ไทย” นําหน้าชื่อกลุ่มชน

้ีนัดัคำส็ด้ืน่บ

8


หรือกลุ่มภาษา เพื่อการเน้นถึงความเป็นชาติและความเป็นไทย จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และข้อมูลทาง
ภาษาศาสตร์ มีความเห็นพ้องกันว่าควรพิจารณาคํานําหน้าชื่อ ภาษาไทยถิ่นต่างเหล่านี้ใหม่ ตามกลุ่มภาษาที่
แท้จริง คือ กลุ่มภาษาลาวก็ควรใช้คํานําหน้าชื่อว่า “ลาว” ได้แก่ ลาวใต้ ลาวเวียง และลาวครั่ง กลุ่มภาษาไทย
ก็ควรใช้คํานําหน้าว่า “ไทย” ได้แก่ ภาษาไทดํา และไทยวน (วิภาวรรณ อยู่เย็น, 2528)ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ตอนต้น แคว้นสิบสองจุไท แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ติดกับพม่าและจีน เรียกว่า แคว้นสิบสองพันนา คือ
พวกไทยลื้อ และส่วนที่ติดต่อกับจีนและญวน เรียกว่า แคว้นสิบสองจุไท และแว่นแคว้นสิบสองจุไททางใต้
กษัตริย์เมืองหลวงพระบางได้แต่งตั้งท้าวพระยาขึ้นครองเมืองในตําแหน่ง หัวพันปกครอง เดิมมีอยู่ 5 เมือง
ภายหลังเพิ่มขึ้นอีก 1 เมือง จึงเรียกว่า “หัวพันทั้งห้าทั้งหก” ซึ่งต่อมาเป็น ช่ือจังหวัดหนึ่งของสาธารณรัฐ
ประชาธิปไตยประชาชนลาว มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า “เวียงไชย” หรือ “ซําเหนือ” ( มนตรี ศรีบุษราคัม,
2522 )พลเมืองของเมืองเวียงไชย (ซําเหนือหรือหัวพันทั้งห้าทั้งหก) ส่วนมากเป็นชาวไทดํา ซึ่งชาวลาว เรียกว่า
“ไทยเหนือ” เพราะตัง้ บา้ นเรอื นอยูต่ ิดกับเมอื งแถง แหง่ สบิ สองจไุ ท มสี าํ เนียงพดู คล้ายภาษา เชียงใหม่

การอพยพเข้ามาในประเทศไทย

( ท่มี า : ภาพจาก Facebook : Ma Famille )

ในปี พ.ศ. 2438 และ ปี พ.ศ. 2439 ได้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ของชาวผู้ไทขึ้น สาเหตุมาจากศึก
สงครามแย่งชิงอำนาจกันระหว่างบรรดาหัวหน้าของไทดำกลุ่มต่างๆ ในแคว้นสิบสองจุไท พวกไทดำจึงได้
อพยพเข้ามาในประเทศลาวและในภาคอีสานของประเทศไทย ในประเทศลาวนั้น ชาวไทดำส่วนมากได้ตั้ง
ถิ่นฐานในแขวงหลวงน้ำทา แขวงบ่อแก้ว แขวงอุดมไซ แขวงหัวพัน และ แขวงซำเหนือ ส่วนในประเทศไทยน้ัน
ก็อพยพเข้ามาด้วยเช่นกัน โดยมาตั้งถิ่นฐานในภาคอีสานตอนบน เช่น จังหวัดเลย นครพนม กาฬสินธุ์
มุกดาหาร ร้อยเอ็ด และ สกลนคร ในช่วงระหว่าง ปี พ.ศ. 2496 จนถึงปี พ.ศ. 2497 ได้เกิดสงครามในเมือง
เดียนเบียนฟู ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองของแคว้นสิบสองจุไทเดิม ชาวผู้ไทจึงได้อพยพหลบหนีการเกณฑ์ทหารของ
ฝรัง่ เศส เขา้ มาในประเทศลาวและในประเทศไทยอกี ระลอก

ในสมยั สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คร้ันพระองค์ทรงไปตกี รุงเวยี งจนั ทน์ ในปี พ.ศ. 2322 พระองค์

9


ทรงได้กวาดต้อนชาวไทดำที่อพยพมาจากสิบสองจุไท ส่งไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองเพชรบุรี ต่อมาในปี พ.ศ. 2335
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และในปี พ.ศ. 2381 สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์ก็ทรงยกทัพไปตีเวียงจันทน์ และก็ได้กวาดต้อนชาวไทดำมาอีก ซึ่งในปัจจุบันตั้งถิ่นฐานกระจายกันอยู่
ในพื้นที่หลายจังหวัด เช่น ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี พิจิตร พิษณุโลก กาญจนบุรี ลพบุรี สระบุรี ชุมพรและ
สุราษฎร์ธานี ปัจจุบันเรียกคนเหล่านี้ว่า ชาวไทยโซ่ง มีหลักฐานปรากฎในหนังสือประวัติผู้ไทหรือชาวผู้ไทที่ถูก
กวาดตอ้ นมาจากเมืองแถน หรือ เมืองแถง ดงั น้ี

ครั้งที่ 1 ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ปี พ.ศ. 2322 ดังปรากฏหลักฐานใน
พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 1 ความว่า ในจุลศักราช 1141 ปีกุน เอกศก (พ.ศ. 2322) พระยาเดโช (แทน)
พระยาแสนท้องฟ้าผู้น้องอพยพครอบครัวหนีไปอยู่เมืองญวน กองทัพสมเด็จพระมหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยา
สุรสีห์พิษณุวาธิราชตีเมืองล้านช้างได้แล้ว ให้เก็บสิ่งของปืนใหญ่น้อยครอบครัวเข้ามา ณ เมืองพันพร้าว และให้
กองทัพหลวงพระบางไปตีเมืองทันต์ ญวนเรียกว่า เมืองชื่อหงี เมืองม่วย สองเมืองนี้เป็นลาวทรงดำ (ผู้ไทดำ)
อยู่ริมเขตแดนเมืองญวน ได้ครอบครัวลาวทรงดำลงมาเป็นอันมาก พาครอบครัวลาวเวียงลาวทรงดำลงมาถึง
กรุงในเดือนยี่ ปีกุน เอกศก (พ.ศ. 2322) นั้น ลาวทรงดำนั้นโปรดให้ไปตั้งบ้านเมืองอยู่เพชรบุรี นับเป็นรุ่นแรก
ที่มาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ลาวเวียง ลาวหัวเมืองฟากโขงตะวันออกก็โปรดให้ไปตั้งบ้านเมืองอยู่สระบุรี
เมอื งราชบรุ บี ้าง ตามหัวเมอื งตะวันตกบ้าง อยเู่ มืองจันทบรุ ีบ้างก็มเี ชือ้ สายมาจน

ครั้งที่ 2 สมัยรัชกาลที่ 1 ในปี พ.ศ. 2335 กองทัพเวียงจันทน์ตีหลวงพระบางแตก และจับกษัตริย์
หลวงพระบางส่งกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.2335-2338 กองทพั เวียงจนั ทนไ์ ด้ตเี มอื งแถง และเมืองพวน ซ่งึ แข็งข้อตอ่
เวียงจันทน์ กวาดต้อนชาวผู้ไทดำ ลาวพวนเป็นเชลยส่งมากรุงเทพ ฯ รัชกาลที่ 1 ทรงมีรับสั่งให้ชาวผู้ไทดำ
ประมาณ 4,000 คนไปตง้ั ถน่ิ ฐานท่ีเพชรบุรีเช่นเดยี วกบั ชาวผไู้ ทดำรุน่ แรก

ครั้งที่ 3 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2379 มีหลักฐาน
ปรากฏในพงศาวดารเมืองหลวงพระบาง (หน้า 253-254) ความว่า ครั้งศักราช 1197 ปีมะแม สัปตศก (พ.ศ.
2378) เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (สมบุญ) เป็นแม่ทัพคุมพลทหารขึ้นไปตั้งอยู่เมืองหลวงพระบาง แล้วแต่งให้เจ้า
ราชไภยอุปราชท้าวพระยาคุมกองทัพขึ้นไปตีเมืองพวน แต่งให้เจ้าอุ่นแก้วน้องเจ้าอุปราช เจ้าสัญไชยบุตรเจ้า
อุปราชนาคที่ 7 เจ้าแก่นคำบุตรเจ้าหอหน้าอภัยที่ 2 เจ้าคำปานบุตรเจ้ามั้งที่ 1 ท้าวพระยายกกองทัพขึ้นตีเมือง
แถนจับได้ ลาวพวน ลาวทรงดำ (ผู้ไทยดำ) ส่งลงมา ณ กรุงเทพฯ เจ้าเมืองธาตุเจ้าเมืองหลวงพระบางครอง
เมืองได้ 20 ปี รวมอายุ 64 ปี ก็ถึงแก่กรรม ศักราช 1198 ปีวอก อัฐศก (พ.ศ. 2379) เจ้าอุปราชเจ้าราชวงศ์
มีศุภอักษรแต่งให้เจ้าอุ่นแก้วคุมดอกไม้เงินดอกไม้ทองลงมากรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเห็นว่า เจ้าอุปราชหรือเจ้าราชวงศ์คงจะตั้งเป็นเจ้าเมืองหลวงพระบางคนหนึ่ง จึงโปรดตั้งเจ้าอุ่นแก้วเจ้า
นครหลวงพระบางอนุรุธที่ 5 เป็นเจ้าน้องอุปราชราชไกยเป็นที่ราชวงศ์ขึ้นไปรักษาบ้านเมือง ครั้นเจ้าอุปราช
ราชวงศ์ปลงศพเจ้าเมืองหลวงพระบางเสร็จแล้ว พวกเมืองหึม เมืองคอย เมืองควร ตั้งขัดแข็งต่อเมืองหลวง
พระบาง เจ้าอุปราชเจ้าราชวงศ์แต่งให้ท้าวพระยาคุมกองทัพขึ้นไปตีจับได้ลาวทรงดำ (ผู้ไทดำ) แต่งให้พระยา
ศรมี หานามคุมลงมา ณ กรุงเทพฯ ครั้งหนึ่ง

ครั้งที่ 4 ปีพ.ศ. 2381 สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ยกทัพไปปราบ
เจ้าราชวงศ์

10


ครั้งที่ 5 ปีพ.ศ. 2425-2428 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ยกทัพไป
ปราบศึกฮ่อ ได้โปรดให้พระยาภูธราภัย หรือ พระยาชมภู เป็นแม่ทัพไปปราบฮ่อ และได้อพยพไทดำจาก
เมืองแถง และเมืองพวนในแคว้นสิบสองจุไท มาในปีพ.ศ. 2425 พักอยู่ที่กรุงเทพฯ 3 วัน โดยมีตัวแทนไทดำ
5คน ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชทานอาหารและเครื่องนุ่งห่ม คือ
1) พ่อของหยอด สิงลอคำ (อ้ายเฒ่ามน ไพศูนย์) 2) พ่อของนายนาค สิงลอ (อ้ายเฒ่าแฝง ดีแอ) 3) พ่อของนาย
โหย สิงลอ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2430 ได้อพยพเข้าไปในประเทศลาว อีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงอพยพกลับเข้ามาต้ัง
บา้ นเรอื นอยทู่ บ่ี า้ นนาปา่ หนาด ตำบลเขาแก้ว อำเภอเชยี งคาน จงั หวดั เลย เม่ือปี พ.ศ. 2460 จนถงึ ปัจจุบัน

พระมหามนตรี ขนติสาโร เขียนจาวไตดำ หรือจาวไตโซ่งในดินแดนสยาม ไว้ว่า จาวไตโซ่ง นับได้ว่า
เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทยที่เขาเรียกกันติดปากว่า คนลาว หรือ ผู้ลาว ในปัจจุบันนี้ได้กระจายแยกย้ายกัน
ไปทำมาหากนิ ตามใจชอบในทอ้ งถน่ิ ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย

ในจังหวดั เพชรบรุ ี ทอ่ี ำเภอเขายอ้ ย ตำบลหนองปรง ทบั คาง ห้วยท่าชา้ ง ทอ่ี ำเภอเมือง ตำบลวังตะโก
ท่อี ำเภอชะอำ และทีอ่ ำเภอบ้านแหลม ตำบลท่าชา้ ง

ในจังหวัดสุพรรณบุรี ที่อำเภออู่ทอง ตำบลบ้านดอน สระยายโสม หนองโอ่ง ดอนมะเกลือ ที่อำเภอ
สองพี่น้อง มีหมู่บ้านหนองงาน หมู่บ้านดอนมะนาว หมู่บ้านลาดมะขาม ตำบลบ้านโข้ง ที่อำเภอเมือง ตำบล
บางกุ้ง หมู่บา้ นบางหมัน และท่อี ำเภอบางปลาม้า

ในจังหวัดนครปฐม ที่อำเภอสามพราน ตำบลตลาดจินดา ที่อำเภอบางเลน หมู่บ้านเกาะแรตบ้านดอน
ขมิ้น บ้านหัวทราย บ้านไผ่หูช้าง บ้านไผ่คอกเนื้อ ที่อำเภอกำแพงแสน หมู่บ้านดอนเตาอิฐ บ้านสระ บ้านยาง
บ้านดอนทอง บ้านไผ่คอย บ้านไผ่โทน บ้านไผ่แกะ ที่อำเภอดอนตูม หมู่บ้านแหลมกระเจา บ้านหัวถนน และที่
อำเภอเมอื ง หม่บู ้านดอนขนาก

ในจังหวัดราชบุรี ที่อำเภอจอมบึง ตำบลจอมบึง หมู่บ้านตลาดควาย ที่อำเภอดำเนินสะดวก ตำบล
ดอนคลัง หมู่บ้านบัวงาม ท่อี ำเภอบางแพ ตำบลดอนคา หมูบ่ ้านตากแดด และทีอ่ ำเภอปากทอ่

ง เวลา

อ ลเอง มา 1ะ

ูม้ข่ีทุย

11



กลุ่มชาติพนั ธุไ์ ทดำในจงั หวดั ราชบรุ ี

1 มา ะ 1

ชุมชนไทยโซ่งในจังหวัดราชบุรีอาศัยอยู่ใน 4 อำเภอ ได้แก่ ชุมชนไทยโซ่งที่อำเภอจอมบึง อำเภอ
ดำเนินสะดวก อำเภอบางแพ และอำเภอปากทอ่

ชุมชนไทยโซ่งที่อำเภอจอมบึง อาศัยอยู่ที่ตำบลจอมบึง ที่ หมู่ 5 บ้านตลาดควาย มี ประชากรไทยโซ่ง
ประมาณ 500 คน

ชุมชนไทยโซ่งที่อำเภอดำเนินสะดวก อาศัยอยู่ใน 2 ตำบล คือ (1) ตำบลดอนคลัง ที่ หมู่ 1 บ้าน
ตับเป็ด หมู่ 2 บ้านโคกกลาง หมู่ 3 บ้านดอนคลัง หมู่ 4 บ้านหัวโคก หมู่ 5 บ้านรางเฟื้อ ข้อมูลจากองค์การ

บริหารส่วนตำบลดอนคลังบอกว่า ประชากร 90% ในตำบลดอนคลังเป็นไทยโซ่งที่หมู่ 3 บ้านดอนคลัง
เป็นพื้นท่ี ๆ มีกิจกรรมด้านการส่งเสริม อนุรักษ์ และสืบสานวัฒนธรรมไททรงดำประจำทุกปี (2) ตำบลบัวงาม

ที่ หมู่ 1 บ้านบัวงาม หมู่ 2 บ้านตลาดบัวงาม หมู่ 3 บ้านคอกควาย หมู่ 4 บ้านดงมะขาม หมู่ 5 บ้านดอนช่อย
หมู่ 6 บา้ นตาลเรยี ง

ชุมชนไทยโซ่งที่อำเภอบางแพ อาศัยอยู่ในตำบลดอนคา ที่ หมู่ 2 บ้านดอนพรม หมู่ 4 บ้านดอนคา
หมู่ 5 บ้านตากแดด กำนันประจวบ ติ่งต้อย กำนันตำบลดอนคา กล่าวว่า 80% ของประชากรต่ำบลดอนคา

เป็นไทยโซ่ง มีประวัติชุมชนร่วม 170 ปี บรรพบุรุษย้ายมาจากจังหวัดเพชรบุรี ที่วัดดอนพรหม บ้านดอนคา
ทางวัดร่วมกับชุมชนและหน่วยงานรัฐ ร่วมสร้างศูนย์วัฒนธรรมไททรงดำขึ้นโดยได้รับความช่วยเหลือจาก

พระครูถาวรวิหารการ เจา้ อาวาสวัดดอนพรหม ซง่ึ ทา่ นก็มเี ช้ือสายไทยโซ่งเชน่ กนั
ชุมชนไทยโซ่งที่อำเภอปากท่อ อาศัยอยู่ใน 2 ตำบล คือ (1) ตำบลห้วยยางโทนที่ หมู่1 บ้านหัวเขาจีน

หมู่ 2 บ้านห้วยยางโทน หมู่ 3 บ้านหนองลังกา หมู่ 4 บ้านพุเกตุ หมู่ 5 บ้านพุมะเดื่อ ชุมชนไทยโซ่งที่นี่ส่วน
ใหญ่ย้ายมาจากอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี มีปรประมาณ 60 ปี มีไทยโซ่งมากที่ หมู่ 1 บ้านเขาหัวจีน

ประมาณ 100 หลังคาเรือน (2) ตำบลทุ่งหลวง ที่ หมู่ 11 บ้านหนองวัวดำ ไทยโซ่งที่นี่ย้ายมาจากอำเภอเขา
ย้อย จังหวดั เพชรบรุ ี ประวตั ิชมุ ชนประมาณ 50 ปี มีไทยโซง่ ประมาณ 50 คน

ท่ี

12


ทม่ี าของการเรยี กชอ่ื ไททรงดำ
นับจากตั้งแต่เริ่มเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาร่วม 200 กว่าปี สิ่งที่ไททรงดำยังคงดำรงรักษาไว้และ

สืบทอดต่อกันมาเป็นเอกลักษณ์ประจำกลุ่ม ได้แก่ วัฒนธรรมด้านภาษา การไว้ทรงผมของผู้หญิง การแต่งกาย
ด้วยเสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ เฉพาะกลุ่มชาวไททรงดำ ตลอดจนขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรมต่างๆของ
แถง โดยจัดทัพอยู่ที่เมืองหลวงพระบางเมื่อยกทัพกลับก็ได้อพยพครอบครัวไททรงดำมาด้วยจึงทำให้คนทั่วไป
เรียกชนกลุ่มนี้ว่าลาวคำว่า โซ่ง น่าจะเป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า ช่วง ผู้เป็นภาษาไททรงดำ แปลว่า กางเกง
ไททรงดำสมัยนั้นนิยมนุ่งกางเกงกันทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงเมื่อทำงานและนิยมย้อมเสื้อกางเกง
เป็นสีดำ จึงทำให้ชุมชนภายนอกเรียกว่า ลาวช่วง หรือ ลาวช่วงดำต่อมาจึงเพี้ยนเป็น ลาวโซ่ง หรือลาวทรงดำ
คำว่า ไทยดำ คนไทยกลุ่มนี้นิยมกลายที่พุงเป็นลวดลายดำเป็นพีด ตลอดลงมาถึงหน้าขาโดยเฉพาะผู้ชาย และ

อีกกรณหี น่งึ คอื คนไทยกลุ่มนนี้ ิยมแตง่ ชดุ ดำตลอดจึงทำใหถ้ กู เรยี กวา่ ไทดำ 1 ใ าง ง 1

สภาพความเป็นอยขู่ องชาวไททรงดำ

(ทม่ี า ; https://www.silpa-mag.com/culture/article_6000 )

การตัง้ บา้ นเรือน
การตั้งบ้านเรือนนิยมปลูกบ้านอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มเดียวกันทั้งตำบลหรือกลุ่มละ 2-3

หมู่บ้าน มีกระจัดกระจายบ้างเป็นส่วนน้อยซึ่งไปปลูกบ้านอยู่ในที่นาของตนเองเป็นบ้านเดี่ยว แต่ละหมู่แต่ละ
หลังของตำบลเดียวกันสามารถเดินเท้าติดต่อกันหรือเดินทางด้วยจักรยาน จักรยานยนต์ และรถยนต์ได้ เพราะ
บ้านแต่ละหลังจะอยู่ใกล้ ๆ กัน มีถนนซอยผ่านหน้าบ้านเป็นสาย ๆ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยพอควร
บริเวณบ้านแต่ละหลังจะมีรั่วกันแบ่งเป็นอาณาเขตซึ่งบางที่จะมี 2 - 5 หลังอยู่ในบริเวณรั้วเดียวกันซึ่งรั้วส่วน
ใหญ่จะทำด้วยไม้รวกขัดแตะและที่ริมรั่วจะปลูกต้นหม่อนไว้รอบๆ สำหรับใช้เลี้ยงตัวไหม ภายในบริเวณบ้านก็
จะทำสวนครัวไว้สำหรับใช้ประกอบอาหาร เช่น ข่า ตะไคร้ โหระพา และพืชผักสวนครัวต่าง ๆ สิ่งปลูกสร้างทุก
บ้านจะมีตัวบ้านกับฉางข้าว ซึ่งชาวไททรงดำเรียกว่า "ทงเล้า" เอาไว้สำหรับใส่ข้าวเปลือกไว้กินหลังจากเสร็จส้ิน

สิอ้อ่

13


ฤดูเก็บเกี่ยวบางบ้านก็เก็บไว้สำหรับขายเมื่อข้าวมีราคาดี ลักษณะการปลูกทงเล้าจะปลูกเป็นหลังหนึ่งต่างหาก
กับตัวบ้านและ จะนิยมยกพื้นให้สูงกว่าพื้นบ้านมีใต้ถุนโปร่ง เสาและตงต้องแข็งแรงมาก ด้านบนจะตีปิดเป็น
ห้องสี่เหลี่ยมด้วยไม้ฝาหรือใช้ไม้รวกขัดแตะ เป็นแผ่นสี่เหลี่ยนแล้วนำมากั้นห้อง แบ่งเป็นสองห้อง คือ ห้อง
สำหรบั เกบ็ ขา้ วเหนียวกบั ขา้ วจา้ ว

ลกั ษณะบ้านเรอื น

(ทมี่ า: ศิรชิ ัย นฤมิตรเวชกร ใน กรมยุทธโยธาทหารบก)

บ้านของชาวไทดำหรือลาวโช่ง เรียกว่า เฮือนลาวหรือเรือนลาว ในอดีตเป็นเรือนหลังใหญ่ มีลักษณะ
เป็นบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง ทั้งนี้เพื่อใช้บริเวณใต้ถุนบ้านเป็นที่ประกอบกิจกรรมต่างๆ ภายในครัวเรือน เช่นการ
ทอผ้า ปั่นด้าย ตำข้าว และเพื่อเป็นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยง สร้างด้วยวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ หญ้าแฝก
และไม้เนื้อแข็งต่างๆ ส่วนของพื้นบ้านปูด้วยฟากไม้ไผ่ ใช้ลิ่มเป็นสลัก หรือตัวยึด และใช้หวายผูก แทนการตอก
ตะปู เสาบ้านทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ส่วนห้องน้ำห้องส้วมจะปลูกแยกห่างจากตัวเรือน หลังคามงด้วยหญ้าคาเป็น
รูปโค้งลงมาปกคลุมทั้งบ้านเกือบครึ่งหลัง เปรียบเสมือนฝาบ้านส่วนหนึ่ง ใช้ป้องกันลมและความหนาวเย็น
บริเวณจั่วบนหลังคามีลักษณะที่โดดเด่นถือเป็นเอกลักษณ์ของบ้านลาวโซ่ง คือ การนำเอาไม้มาประดิษฐ์เป็นรูป
โค้ง 2 ชิ้น ประกบไขว้กันคล้ายเขาควายอยู่บนยอดจั่ว ลาวโซ่ง เรียกว่า "ขอกุด" ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่ง
ความดีและความสำเร็จ ส่วนระเบียงบ้านทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน มีบันไดขึ้น-ลง ทั้งหน้าและหลัง ระเบียง
ด้านหน้าใช้เป็นที่รับแขกผู้หญิง เรียกว่า "กกชาน" ส่วนระเบียงด้านหลัง เรียกว่า "กว้าน" สำหรับแขกผู้ชาย
ส่วนในตัวบ้าน จัดมุมใดมุมหนึ่ง ให้เป็นห้องสำหรับเป็นที่อยู่ของผีบรรพบุรุษ ซึ่งเรียกว่า "กะล้อห่อง" ในห้องผี
ต้องเจาะช่องฝาบ้านไว้ 1 ช่อง เพื่อเวลาทำพิธีเสนเรือนจะต้องส่งอาหารที่ทำพิธีให้บรรพบุรุษทางช่องน้ี
ส่วนตัวบ้านให้จัดเป็นมุมนอนมุมหนึ่ง มุมครัวมุมหนึ่ง ที่ครัวจะมีเตาไฟและอุปกรณ์การหุงต้มด้วยหม้อดิน
เหนือเตาไฟขึ้นไปจะมีทิ้งเพื่อเก็บของใช้จำพวกหวายและไม้ไผ่ เพื่อรักษาเนื้อไม้ไผ่และหวายไม่ให้มอดกิน
เมื่อเวลาหุงหาอาหารควันไฟจะขึ้นไปรวมของใช้บนหิ้ง ซึ่งลาวโซ่ง จะเรียกท้ังนี้ว่า "ส่า" ส่วนทางมุมนอน
จะเห็นที่นอนและมุ้ง ซึ่งล้วนเป็นสีดำทั้งสิ้น จะไม่มีการเก็บที่นอนและจะกางมุ้งไว้ตลอดเพราะถือว่า นั่นเป็นท่ี
ส่วนตัว หรือเป็นห้องอีกห้องหนึ่งเช่นกัน ถัดออกไปอีกจะมีทิ้งเก็บสิ่งของเกี่ยวกับเสื้อผ้าของใช้มีค่าใส่ไว้ในหีบที่
ทำด้วยไม้ไผ่ ซึ่งชาวโซ่งใช้แทนตู้เสื้อผ้า เรียกหีบไม้ไผ่นั้นว่า "ขมุก" ส่วนของหลังคาบ้านมุงด้วยหญ้าคา ฝาบ้าน
ขัดแตะดำด้วยไม้ไผ่ ไม่มีช่องหน้าต่าง ในปัจจุบันเปลี่ยนมาปลูกบ้านสมัยใหม่เกือบหมดแล้ว แต่ประเพณีต่างๆ
ยงั รกั ษาไว้เหมอื นเดิมทกุ อยา่ ง

14



สถาบนั ครอบครวั

(ท่มี า: https://www.silpa-mag.com/old-photos-tell-the-historical-story/article_54935)

ชมุ ชนไททรงดำเป็นชุมชนแบบเปดิ มีการติดตอ่ กับชุมชนภายนอกมาก ภายในครอบครวั ของไททรงดำ
ให้ความสำคัญของผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และผู้ชายจะมีสถานภาพสูงกว่าผู้หญิง (มยุรี วัดแก้ว, 2521, หน้า 56
โดยลูกชายจะเป็นที่ชื่นชอบมากกว่าลูกสาว เพราะลูกชายเป็นที่พึ่งของพ่อแม่ไปจนตาย โดยเฉพาะลูกชายคน
สุดท้องจะต้องอยู่เรือนหลังใหญ่ เมื่อพ่อแม่ตายไป ลูกชายทุกคนต้องเป็นผู้เลี้ยงผีพ่อแม่ ส่วนลูกสาวเม่ือ
แต่งงานไปแล้วต้องไปเข้าผีทางฝ่ายสามี และ เลี้ยงผีพ่อแม่ฝ่ายสามีสืบต่อไป ดังนั้นลูกชายเท่านั้นเป็นผู้เลี้ยงผี
พ่อแม่ ส่วนลูกสาวก็จะเอาขนมของหวานมาร่วมเป็นเครื่องเซ่นเท่านั้น เมื่อลูกชายเป็นผู้ทำการเสนเรือน ลูก
สาวจะเลี้ยงและสืบทอดผีพ่อแม่ฝ่ายสามี ไม่มีหน้าที่ในการเลี้ยงผีพ่อแม่ของตนเอง ในการสืบผีจะแบ่งเป็น 2
สาย คือ ผีผู้ท้าวและผีผู้น้อย ใดยเชื่อว่าผีผู้ท้าวคือผู้ที่มีเชื้อสายมาจากเจ้านาย มียศฐาบรรดาศักดิ์ ส่วนผีผู้น้อย
คือผู้ที่มีเชื้อสายมาจากสามัญชนธรรมดา แต่ในสังคมไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะทั้งสองสายสามารถมี
ความสัมพันธ์กันได้ แต่งงานกันได้ และในการนับถือผีของชาวไททรงดำไม่มีการแบ่งเขตเป็นตำบล เป็นหมู่บ้าน
จะสืบทอดกันไปได้ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ดังนั้นจึงเห็นสังคมไททรงดำเป็นสังคมระบบเครือญาติ โดยยึดเอา
สายโลหิตเป็นหลัก ยึดถือบรรพบุรุษมีสายสกุลเดียวกัน สืบทอดเครือญาติกัน และอีกด้านหนึ่ง คือเครือญาติ
ทางด้านการแต่งงาน ที่เกี่ยวดองกัน ได้แก่พี่สะใภ้ น้องสะใภ้ ลูกสะใภ้ พี่เขย น้องเขย ลูกเชย หลานเขย
กลุ่มบุคคลเหล่านี้ไม่ได้เป็นสายโลหิตเดียวกัน อยู่นอกสายโลหิตแต่เข้ามาอยู่ในเครือญาติเดียวกัน เพราะผู้หญิง
เมื่อแต่งงานแล้วต้องเข้ามาอยู่ในสายสกุลของสามี และเข้าถือผีของฝ่ายสามี ดังนั้นเมื่อมีกิจกรรมด้านพิธีกรรม
ที่เกี่ยวข้องกับผีบรรพบุรุษผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสะใภ้ และเขยจะต้องเข้าร่วมในพิธี และแต่งกายด้วยชุดพิเศษคือ
ผู้เป็นเขยต้องใส่เสื้อชี สะใภ้ก็ใส่เสื้อฮี เช่นเดียวกัน จากการสัมภาษณ์ผู้อาวุโสท่านหนึ่งในตำบลหนองชุมพลได้
บอกว่า "การร่วมพิธีนี้หากสะใภ้หรือเขยผู้ใดไม่แต่งกายชุดพิเศษก็จะไม่ได้เข้าร่วมในพิธีกรรม และจะถูกญาติ
ผู้ใหญ่ว่ากล่าวตักเตือนว่า ทำไมไม่มีการแนะนำจัดเตรียมเสื้อผ้าที่จะต้องใส่รวมพิธีกรรมให้เขยให้สะใภ้หรือ
บุคคในครอบครวั ทจ่ี ะเขา้ รว่ มงานพธิ กี รรม โดยเฉพาะพอ่ แม่จะถูกตำหนจิ ากชุมชนมากทส่ี ุด"

15


สถาบันโรงเรยี น
ชาวไททรงดำปัจจุบันได้รับการศึกษาจากสถาบันโรงเรียนในระดับประถมและสูงกว่าประถม บทบาท

ของโรงเรียนระดับประถมที่มีต่อกระบวนการถ่ายยทอดการทอผ้านั้น พบว่าถ่ายทอดโดยทางตรงยังไม่มีมีเพียง
การถ่ายทอดโดยทางอ้อมโดยโรงเรียนประถมทั่วไปจะกำหนดให้เด็กแต่งชุดไททรงดำแสดงกิจกรรมนักเรียนใน
โอกาสที่โรงเรียนมีกิจกรรมวันสำคัญต่างๆ เช่นงานเปิดอาคารเรียน งานปิดภาคเรียน งานวันเด็ก แต่ไม่ได้มีการ
สอนที่เป็นการถ่ายทอดกระบวนการทอผ้าให้แก่เด็กในระดับนี้จากการให้สัมภาษณ์ของอาจารย์ท่านหนึ่งของ
โรงเรียนประถมศึกษาในตำบลหนองปรงได้กล่าวให้เหตุผลว่า "หลักสูตรระดับประถมมีเนื้อหาที่เป็นวิชาสามัญ
มากต้องจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกำหนด แม้ว่าปัจจุบันหลักสูตรจะกำหนดให้เรียนวิชาชีพในท้องถิ่น
ได้มากแต่ในทางปฏิบัติก็ยังไม่ได้ทำกัน เนื่องจากข้อจำกัดทางวัสดุอุปกรณ์ บุคคลผู้รู้กระบวนการทอผ้า
ข้อจำกัดด้านเวลา รวมไปถึงความตระหนักและคุณค่าของครู-อาจารย์ในโรงเรียนด้วย มีสถาบันการศึกษา
ระดับมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งของอำเภอเขาย้อยได้ตระหนักถึงการถ่ายทอดวัฒนธรรมการทอผ้าของชาวไททรง
ดำโดยอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นชาวไททรงดำ และได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรมาต่าง ๆ มามาก ได้คิดริเริ่มนำ
กระบวนการทอผ้าของชาวไททรงดำไปถ่ายทอดให้กับนักเรียนในระดับมัธยมเปิดสอนเป็นวิชาเลือกให้นักเรียน
ได้เลือกเรียนกระบวนการทอผ้า นำเครื่องมือ อุปกรณ์การทอผ้ามาไว้ในโรงเรียนสอนเองบ้างหรือบางครั้งก็เชิญ
ผู้อาวุโส ในท้องถิ่นมาเป็นผู้ถ่ายทอดแก่นักเรียน อาจารย์ท่านนี้ให้ความเห็นกับผู้วิจัยว่า "การทอผ้าของ
ไททรงดำ น่าจะมีการสอนเพื่อถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้ปฏิบัติสืบกันไปเด็กบางคนไม่ได้รับการถ่ายทอดจาก
ทางบา้ นมาแลว้ ก็จะได้รบั ความรู้ความชำนาญมากขนึ้ ไปอกี "

เอกลกั ษณ์ชมุ ชนไททรงดำ
เอกลักษณ์ชุมชน หมายถึง ลักษณะเฉพาะตัวอันเกิดจากภาพรวมที่ปรากฏอยู่ในรูปแบบลักษณะทาง

กายภาพ เป็นอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่ปรากฏอยู่ในเมือง โดยพิจารณาจากองค์ประกอบหลายๆอย่าง
ประกอบกัน ที่ทำให้พื้นที่นั้นมีลักษณะที่พิเศษแตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ ทั้งนี้รวมถึงความต่อเนื่องของการ
ดำรงชีวิตในสังคมที่อยู่ในพื้นที่หรือเมือง เช่น กิจกรรมของเมือง ซึ่งเป็นแบบแผนความเป็นอยู่ที่คงมีอย่าง
ต่อเนอ่ื งจากอดีตจนถงึ ปัจจุบัน

ทางด้านวัฒนธรรม ชาวไททรงดำบ้านหัวเขาจีนมีความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือผี โดยเฉพาะผี
บรรพบุรุษ (ผีบ้านผีเรือน) โดยมีการเซ่นไหว้กันในเดือนหก เดือนแปดและเดือนสิบสองของทุกปี จะเรียกพิธีนี้
ว่า “พิธีเสนบ้านเสนเรือน” เป็นการสอนให้คนในครอบครัวได้รู้จักและนับถือผีบรรพบุรุษประจำตระกูลของ
ตนเอง

ทางด้านลักษณะการแต่งกายของชาวไททรงดำบ้านหัวเขาจีน ผู้ชายนุ่งกางเกงขาสั่นสีดำหรือสีคราม
เข้ม เรียกว่า"ล้วงขาสั้น" (กางเกงขาสั้น) สวมเสื้อแขนกระบอกสีดำ แขนยาว ผ่าหน้าติดกระดุม ประมาณ
15-20 เม็ด เรียกว่า "เสื้อไท" ส่วนผู้หญิงนุ่งซิ่นสีดำหรือสีครามเข้ม มีลายขาวเป็นริ้วลงตามยาวของซิ่น เรียก
ซิ่นลายแตงโม สวมเสื้อแขนกระบอกสีดำแขนยาว ผ่าหน้าตลอด ติดกระดุมประมาณ 9-10 เม็ด เรียก
"เสื้อก้อม" ผู้หญิงไททรงดำมีผ้าแถบหรือผ้าฮ้างห่ม สำหรับพันรอบอกขณะอยู่กับบ้าน และมีผ้าเปียว เป็นผ้าสี
ดำกว้างประมาณ 20-30 เซนติเมตร ยาวประมาณ 150 เซนติเมตร ปั่นลวดลายด้วยไหมสีส้ม แดง และเขียว
ใชส้ ำหรับหอ้ ยคอ พาดบา่ หญิงสาวขณะไปงานรนื่ เริง คนสงู อายุใชเ้ ปน็ ผา้ หม่ สไบเฉยี งไปงานบญุ ต่างๆ

16


ทางด้านที่อยู่อาศัย ลักษณะบ้านเรือนของชาวไททรงดำบ้านหัวเขาจีน ในอดีตมีลักษณะหลังคาโค้งสูงรูป
กระดองเต่าหลังคามุงด้วยหญ้าคา ตัวเรือนยกใต้ถุนสูงเพื่อใช้เป็นที่เก็บสิ่งของเครื่องใช้และการประกอบอาชีพ
เช่น ตำข้าว ทอผ้า ยอดจั่วประดับด้วยไม้แกะสลักคล้ายเขาควาย เรียกว่า "ขอกุด" แต่ในสังคมปัจจุบันน้ีได้มี
การปรับรูปแบบการสร้างบ้านเรือนของชาวไททรงดำบ้านหัวเขาจีน ส่วนมากมีลักษณะผสมผสานระหว่างเรอื น
ไม้ดั้งเดิมกับเรือนไม้สมัยใหม่บ้างก็ใช้วัสดุที่เป็นไม้มาเป็นฝาผนังบ้านหรือใช้ปูน หรือบางบ้านก็แทบไม่มี
เอกลักษณ์ของไททรงดำอยู่เลย สภาพที่บ้านเรือนดั้งเดิมของไททรงดำบ้านหัวเขาจีนเหลือไว้ให้ศึกษา 1 หลัง
อยูภ่ ายในศนู ย์วัฒนธรรมบา้ นหัวเขาจนี เท่านัน้

วฒั นธรรมผา้ ทอ ลวดลาย ของผา้ ไททรงดำ

เอกลักษณ์ของชาวไททรงดำ หากเป็นคำทักทาย คือ “ลุกกะเฮือนมาก็ว่าซัมบายดีล่ะบ๊อ” นี่เป็นคำสวัสดี
ของไททรงดำ และคำตอบคือ “อ๋ออยู่ดีซั่งแมงว่าง อยู่กว่างซั่งเบือนม๊น” ไอ้ด้วงกว่างอ่ะเราอยู่งุ๊งงิ๊ง ๆ
ลาวโซ่งอ่ะ อัตลักษณ์การแต่งกาย คือ ผ้าซิ่นลายแตงโม ที่คุณถนอม คงยิ้มละมัย สวมใส่มาในวันนี้ ที่จริงมี
หลายอย่าง ซิ่นตาหมีจะนึ่งกินงาย ซิ่นตาลายจะนุ่งกินเหล้า ซิ่นตาเป่าตีนจ๊กลายสนก็มี ตาหมี คือ สวย, นึ่งกิน
งาย คือ อาหารเช้า ตาลายนี่นุ่งกินเหล้า นุ่งทับนุ่งเถือ คนดอนทรายเขาถวายสมเด็จพระราชินี ในรัชกาลที่ 9
แต่เป็นผ้าซิ่นสำหรับไปไร่ไปนา ไม่สมพระเกียรติ กำนันเขาจะให้ถวายใหม่ ให้สมเด็จพระเทพฯ แต่งอย่างนี้ก็
เสื้อแบบนี้ ถึงจะเป็นอัตลักษณ์ ซิ่นแตงโมที่เก่าแก่ มีอายุมาก ลายจะเล็ก ถ้าตัวเองใส่จะออกลายฟ้า ๆ มันจะ
มีลายติ่งกระเด็นออกมานิดหนึ่ง ถ้าเป็นผ้าซิ่น ตามความเชื่อของชาวไททรงดำเขาว่าจะอับปรีจัญไรเขาไม่ให้เอา
ไปทำ แล้วก็ไม่เลาะตีนซิ่น ถ้าเลาะตีนซิ่น หมายความว่า สามีเสีย ขาดความเป็นสามีภรรยาตรงตีนซิ่น บางคน
นั่งสง่างาม แต่ซิ่นจะเลาะตินซิ่นไม่ได้ ใช้เฉพาะที่เฉพาะกิจ อีกอย่าง ถ้านุ่งเอาตีนซิ่นขึ้นมาด้านบน เขาเชื่อกัน
ว่าเป็นการแช่งแม่สามี นุ่งแบบนี้ต้องสำรวมไว้ให้ดีว่าล่วงเกินอะไรแม่สามี เมื่อเร็วนี้เราภาคภูมิใจมาก อพท.
เชิญไปพูด พอเราจะไปก็ขยาด เสื้อแบบนี้คือ คอก้อม ที่ไปคนที่มาคือลาวโซ่งทั้ง 3 จังหวัด ไม่มีถูกเลย อาจารย์
ละมัย แกอายุ 89 ปีแล้ว ยังไม่เสีย คอแหกก็ไม่ให้ไปด้วย เพราะคอเสื้อเธอก็ไม่ถูก เราไม่ให้ไป อยากให้ดำรง
อัตลกั ษณข์ องไททรงดำด้งั เดมิ เอาไว้ ซึ่งตอนนีย้ คุ ใหมม่ าทำใหว้ ิถชี วี ิตของการแต่งกายเปลย่ี นไป

•กล่าวโดยสรุปว่า อัตลักษณ์ที่ชัดเจนของไททรงดำราชบุรีคือ ซิ่นลายแตงโม ต้องเป็นสีดำ, กรมท่า

หรือสีคราม และเสื้อก้อม ที่เป็นเสื้อคอปิด สีดำ หรือสีกรมท่า หรือสีครามเช่นเดียวกัน และสามารถใส่ได้ทั้ง
สองด้าน ซึ่งการเย็บจะไม่มีใครเหมือน ตะเข็บจะกลมกลืนทั้งหมด การนุ่งซิ่นถ้าพันเอวจะเป็นการแต่งกายไปไร่
ไปนา การติดดอกลั่นทมจะติดไว้หลังก้อนผม และก็มีเสื้อฮี ที่เก็บความงามไว้ข้างใน ลักษณะโครงสร้างทาง
กายภาพของสาวไทยทรงดำ คือ คำปูมเอเละ คอปอ่ ง หางตาแดง

วัฒนธรรมทเ่ี ป็นเอกลักษณ์ของชาวไททรงดำ
วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไททรงดำนอกจากวัฒนธรรมด้านการแต่งกาย พิธีกรรม ความเช่ือ

ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ประจำกลุ่มของชาวไททรงดำแล้ว
ยังมีวัฒนธรรมด้านอื่นอีกที่เป็นเอกลักษณ์ให้เห็นชัดเจนในชีวิตประจำวัน ของชาวไททรงดำ ได้แก่ วัฒนธรรม
ด้านภาษา การไว้ทรงผม และอุปกรณ์เครื่องใช้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เช่น ย่าม ผ้าเปียว (ผ้าสไปที่ทำจาก
ฝ่าย ทอไว้ใช้เอง สตรีสูงอายุนิยมใช้) วัฒนธรรมเหล่านี้เป็นของตนเองเฉพาะกลุ่ม ย่อมแสดงให้เห็นว่า

17


ชาวไททรงดำมีความรุ่งเรืองมาก่อน นอกจากนั้นยังมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าเมืองแถงมี อาณานิคมมากมาย
หลายเมือง มเี จา้ เมืองเป็นผปู้ กครอง
วัฒนธรรมการแต่งวัฒนธรรมการแต่งกายของไททรงดำเป็นวัฒนธรรมหนึ่งซึ่งถือ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม
ของชาวไททรงดำที่ยังดำรงลักษณะเด่นของกลุ่มตนไว้ไม่เหมือนไทยกลุ่มอื่นซึ่งคล้ายคลึงกันเป็นส่วนมาก
จะต้องสังเกตฟังเสียงจึงจะทราบว่า เป็นไทยกลุ่มไหนโดยเฉพาะเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มของชาวไททรงดำทำกันเอง
ทั้งสิ้นไม่ว่างานมงคล หรืองานอวมงคลจะใช้เสื้อผ้าแบบเดียวกันทั้งหญิงและชายยกเว้นในงานพิธีกรรมจะต้อง
ใส่ชุดพิเศษ สีเสื้อผ้าของชาวไททรงดนิยมใช้สีดำหรือความเข้มเป็นประจำจนได้ชื่อเรียกว่า "ไททรงดำ" หรือ
ลาวทรงดำ" ส่วนสีอื่นเพียงมาตกแต่งเพื่อให้สวยงามเท่านั้น * (คำว่าก้อมหมายถึงสั้นหรือพอดีตัว) ส้วงก้อม
คล้ายกางเกงขาก๊วยของจีนเสื้อมี 2 แบบเสื้อไทเป็นเสื้อคอตั้งแขนยาวรัดเอวปลายถ้วยเล็กน้อยติดกระดุมเงิน
2 ชุม ๆ ละ 9 เม็ดเสื้อ เป็นเสื้อคอกลมแขนยาวตัวยาวมาปิดกั้นความงามอยู่ด้านข้างโชว์ลายซึ่งเรียกว่า" ขอกุด
เสื้อชายใส่ได้ด้านเดียวเสื้อที่ใช้ในพิธีสำคัญผู้ชายจะนุ่งกางเกงขายาวสีดำที่เรียกว่า "วงขาเสื้อผ้าฝ้ายย้อมคราม
ตัวเสื้อเข้ารูปเล็กน้อยผ่าหน้าตลอดความยาวคลุมตะโพกด้านข้างผ้าขึงเอวคอเสื้อเป็นคอกลมติดกันรอบคอด้วย
ไหมสแี ดงตรงคอเสอื้ มกี ระดมุ ติดไว้ 1 เมด็ แขนเส้อื เป็นแขน

-เครื่องแต่งกายกางเกงชายมี 2 แบบขายาวเรียกล้วงขายขาส้ันเรียกวงก้อมกระบอกยาวปักตกแต่งรักแร้และ
ด้านข้างของตัวเสื้อด้วยไหมสีต่าง ๆ ติดกระจกชิ้นเล็ก ๆ มีลวดลายอย่างสวยงามใช้เป็นงานพิธีสำคัญ เช่น งาน
ตายงานแตง่ งานงานเสน

-เครื่องแต่งกายของหญิงชาวไททรงดำหญิง จะมีผ้าซิ่นลายแตงโมประกอบผ้า 3 ชิ้นคือตีนชื่นตัวชื่นหัวซ่ินหญิง
แต่ละวัยนั่งไม่เหมือนกันดังคำกลอนของชาวไททรงดำว่า "สาวน้อยขอดซอยเอื้อมไหล่สาวใหญ่ ๆ นุ่งซิ่นต่อหัว
สาวมีผัวนุ่งซิ่น 2 ช้อนเสื้อหญิงก็มีเสื้อก้อมกับเสื้อ เสื้อยีหญิงใช้เย็บนุ่งได้ 2 ด้านด้านมงคล มีลวดลายน้อยงาน
อวมงคลลายมาก และใช้คลุมหลังโลงศพเวลาตายปกติใช้เสื้อก้อมเป็นเสื้อแขนยาวคอตั้งติดกระดุม 9 เม็ดหรือ
1 เม็ดตรงสาบเหนือสะดือจะเว้าประมาณ 1 1/2 นิ้วเพื่อโชว์หน้าท้อง และเข็มขัดเงินเป็นจุดเซ็กซี่ของไททรง
ดำสีที่ใช้แต่งเสื้อหรือทำหน้าหมอนจะมีสีหลัก 4 สีคือ แดงเลือดหมูสีส้มสีเขียวและสีขาวผ้าสไบสาว ๆ ใช้ผ้าสี
คนมีอายุจะใช้ผ้าเปียวหรือผ้าฮ้างห่มสีดำ ซึ่งจะเป็นดอกสวยงามการนุ่งผ้าซิ่นจะนุ่งหน้าสั้นหลังยาวสองชายพับ
มารวมตรงหน้า และพับตลบหลังทับกันตรงหน้าท้องสะดวกในการเดินและทำให้เนื้อผ้าชื่นไม่แยกเวลาทำงาน
หนักมักใช้สะไบคาดเอวเน้นความเข้มแข็งทะมัดทะแมงหญิงไทยทรงดำยันเวลาตายจะนุ่งผ้าซิ่นให้ศพ 3 ผืน
ตอ้ งเปน็ ช้นิ ลาวและมผี ้าไหมปดิ หน้าถ้าไมม่ ีจะถูกผู้ใหญใ่ นชุมชนตำหนติ เิ ตียน

-เครื่องแต่งกายของเด็กเด็กเล็ก ๆ มักจะใช้ผ้าผืนหนึ่งปิดหน้าอกหน้าท้องมีสายโยงไปข้างหลักผูกมัดกันไว้ผ้า
ชนิดนี้คนจีนเรียกว่า" ผ้าเอี้ยม "เด็กอาจนุ่งกางเกงใส่เสื้อก็ได้ แต่ส่วนมากมักไม่นุ่งกางเกงสวม แต่เสื้อเพราะ
เกรงจะถ่ายอุจจาระเปื้อนกางเกงได้เด็กไททรงดำมีหมวกแปลกกว่าเด็กชาติอื่นคือที่หมวกของเด็กไททรงดำมี
ชายสีดำยาวซึ่งป้อนกันความร้อนได้ดีส่วนด้านหน้าก็มักเป็นลวดลายสวยงาม นอกจากนี้ยังมีสายสะพายสีดำ
เรียกวา่ " พานหลา "ซง่ึ พนั รอบตัวเดก็ ไปคลองไหลข่ องแม่ทำให้ปลอดภยั ในเวลาอุ้มท่ี

-การแต่งกายของชาวไททรงดำในพิธีงานแต่งงานในพิธีแต่งงานบรรดาแขกที่มาร่วมในพิธีแต่งงานแต่งกายด้วย
ชุด ที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั้งชาย และหญิงฝ่ายชายจะยกขบวนขันหมากมาบ้านฝ่ายหญิงและจะหยุดอยู่เพียง
ประตูรั้วบ้านแล้วล่ามจะไปแจ้งข่าวล่วงหน้าก่อนเรียกว่า "ล่ามส่อง" ล่ามส่องจะขึ้นไปบนบ้านเจ้าสาวพร้อมท้ัง

18


ผู้หญิงอีก 4 คนที่แต่งงานแล้วซึ่งแต่งกายด้วยชุดที่ใช้ในโอกาสพิเศษชุดเสื้อ) สะพายกะเหลบคนละ 1 ใบ
กะเหลบบรรจุหมาก 20 ใบพลู 1 ห่อปูนแดง 1 ห่อยาสูบ 1 ห่อล่ามฝ่ายเจ้าบ่าวจะเดินหน้าเจ้าบ่าวและเพื่อน
เจ้าบ่าว 3 คน (รวมเป็น 4 คน) ถือขันหมาก 4 วันไปนั่งบนเสื้อที่เจ้าภาพจัดเตรียมไว้พ่อแม่และล่ามเจ้าสาวนั่ง
รับขันหมากและนับเงินสินสอดส่วนเจ้าบ่าวจะสวมสร้อยที่เป็นทองหมั้นให้เจ้าสาวสามฝ่ายเจ้าบ่าวจะกล่าว
มอบสินสอดและมอบตัวเจ้าบ่าวให้ฝ่ายเจ้าสาวสามฝ่ายเจ้าสาวกล่าวตอบต่อจากนั้นสามทั้งสองฝ่ายทั้งสองฝ่าย
จะนำขนั หมาก 4 วนั และเงนิ สินสอดไปมอบใหผ้ ีเรอื นในหอ้ งผเี รอื นเป็นการบอกผบี า้ นผเี รอื นทราบ

การแต่งกายของชายไททรงดำ

กางเกงมี 2 แบบ ซ่วงกอ้ ม กบั ซ่วงฮี เส้ือไท เส้อื ฮี งานไมเ่ ปน็ พธิ ี ใช้ซ่วงกอ้ ม กบั เส้ือไท งานพิธี ซว่ งฮหี รอื
กางเกงขายาว และเส้ือฮี หากใสเ่ สอ้ื ไทนยิ มคาดกระป๋องบหุ รหี่ รอื เงนิ เสอื้ ไทเปน็ เสอ้ื คอตง้ั ไมม่ ีปกตรงแขนยาว
ตรงสะโพกจะบานออกติดกระดุมถี่เท่าใดแสดงถึงเป็นคนละเอียดรอบคอบ นิยมติด 19 เม็ด 21 เม็ด 27 เม็ด
กระดุม1 ชุดเรียกว่า 1 ซุ่ม จะติดจำนวนคี่ ดังนั้นหากใครติดรังดุมมากเท่าใดญาติต้องช่วยใส่ลูกกระดุมให้ เป็น
การแสดงออกถึงการเอื้ออาทรต่อกัน ผ้าขาวม้าลาวโซ่งนิยมพาดบ่า หรือ โพกศีรษะ ผ้าขาวม้าจะเป็นลายทางๆ
ไม่เป็นตาสี่เหลี่ยม สีที่ใช้คั่นผ้าขาวม้าเป็นสีหลักดังกล่าว พื้นมักจะเป็นสีขาวไม่นิยมพื้นสีดำ เสื้อฮีชาย ที่คอเดิน
ด้ายหลายสีชายเสื้อด้านในตกแต่งด้วยเอื้อแส่ว ด้านข้างตัวเสื้อจะเย็นขอกุด เป็นจุดสวยที่จะโชว์ คือบริเวณนี้
เพราะอยู่ด้านนอก ใตร้ ักแร้ จะตกแต่งด้วยเออ้ื แส่ว ไมม่ ีเส้ือชัน้ ในหรอื กางเกงใน กางเกงในใช้ซว่ งก้อม

การแต่งกายของหญงิ ไททรงดำ

มีแบบเป็นพิธี และไม่เป็นพิธี แบบไม่เป็นพิธี หญิงนุ่งผ้าถุงลายแตงโมกับเสื้อก้อม ผ้าสไบต้องใช้เป็น
ประจำสำหรับคล้องคอเวลาคุยกับหนุ่ม เอาไว้โพกผมมิให้หลุดเวลาทำงานหรือพันเอวหรือสะโพกเวลาทำงาน
เพื่อให้กระชับหรือนุ่งผ้าตาหมี่เอาไว้ใช้ในพิธีเสน ซึ่งสิ่งของสวยงามไปให้ผีใช้ แบบเป็นพิธี นุ่งผ้าซิ่นตาหมี่หรือ
ผ้าซิ่นลายแตงโมกับเสื้อฮี การใส่เสื้อฮี หมายถึงการแต่งกายอย่างเรียบร้อยแสดงถึงความเคารพ การใส่เสื้อฮีจะ
ใส่ด้านที่ไม่มีลวดลายสวยงาม สำหรับด้นในของเสื้อฮีใช้ในการคลุมโลงศพเพียงอย่างเดียว คลุมทั้งศพผู้หญิง
หรือศพผู้ชาย แต่ใช้เสื้อฮีผู้หญิงไม่ใช้เสื้อฮีผู้ชายแม้กระทั่งแต่งกายให้ศพ ก็ต้องใส่เสื้อฮี เพื่อที่จะได้ไปเฝ้าแถน
และต้องใส่ด้านทคี่ นมีชวี ติ ใส่ เสอ้ื ฮีใช้ในงานมงคลและอวดมงคล บอกถงึ ฐานะของผู้ใส่วา่ เป็นเขยหรือสะใภ้

การนงุ่ ผ้านงุ่

เด็กจะนุ่งทบไปข้างหน้าเหมือนคนไทย เริ่มเป็นสาวเริ่มนุ่งผ้าต่อหัวซิ่นและนุ่งแบบ “หน้าวัว” คือ ทบ
ทั้ง 2 ด้าน มาไว้ตรงกลางหน้าท้องและพับมุมผ้ามารวมตรงหน้าท้องทั้งนี้เพื่อสะดวกในการเดินทาง เพราะการ
ทอผา้ ดว้ ยมือหากแรงกระแทกไม่แข็งแรงเนอื้ ผา้ จะแยก นุ่งกต็ อ้ งระวัง น่งั กต็ ้องระวงั

เส้อื ต๊ัก

เสื้อตั๊ก คือ เสื้อที่ใส่ไว้ทุกข์เมื่อญาติผู้ใหญ่เสียชีวิต ผู้ที่จะใส่คือ ลูกหลานใกล้ชิด จะเป็นผีเดียวกันหรือ
ไม่ใช่ผีเดียวกัน หากเป้นญาติใส่เสื้อตั๊ก เสื้อตั๊กใช้แบบเดียวกันทั้งชายและหญิง มีลักษณะเป็นคอแหลม
ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เย็บไม่ต้องมั่นคงพออยู่ได้ไม่มีแขน ใช้แขนในตัว หากพ่อแม่เสียชีวิต ลูกๆต้องโพก

19


ศีรษะด้วยผ้าขาวตัดเป็นสี่เหลี่ยมแล้วพับเป็นสาวเหลี่ยมโพกศีรษะ การโพกศีรษะต้องระวังมีผู้ใกล้ชิดมีชีวิตอยู่
ไมน่ ิยมโพกศีรษะใส่เสือ้ ตั๊กอย่างเดยี ว

เครอื่ งประดับของชาวไทดำ
เครื่องประดับจะประดับด้วยเงินทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ตุ้มหู สร้อยคอ กำไลมือ กำไลข้อเท้า เข็มขัดคาด

เอว ส่วนผู้ชายก็จะมีเข็มขัดคาดเอวเหมือนกัน แต่จะทำด้วยผ้าที่มีลวดลายสวยงามมากโดยจะใช้กระจกเงา
ฝนเป็นอันกลมๆ เล็กๆ ถักด้วยด้ายรอบกระจกและใช้ผ้าสีตัดเป็นลวดลายปะเป็นแถวๆ ด้านในเย็บเป็นกระเป๋า
ใส่ของส่วนตัว เช่น ยาเส้น ใบจาก ไม้ขีด ยาประจำตัว และสตางค์เครื่องแต่งกายชาวไททรงดำ การแต่งกาย
ของไทยทรงดำเป็นเผ่าพันธุ์ที่สุดประหยัดเพราะไม่ว่างานมงคลหรืออวมงคลใช้เสื้อแบบเดียวกันที่ใช้มีอย่างละ
2 แบบ สีหลัก 2 สี คือ ขาวและดำ สีอน่ื เพยี งเพ่ือใหส้ วยงาม มีอีก 3 สี คอื เขยี ว เหลอื ง แดง

วัฒนธรรม ค่านิยม ความเช่ือและพธิ ีกรรมท่เี กย่ี วขอ้ ง ประเพ า2 เ อน
ใ มา พ
ภอามษาพปูดและภาษาเขียน
ชาวไทดำหรือลาวโซ่งมีลักษณะทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น

การแต่งกาย ขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรม และความเชื่อดั้งเดิมอยู่เป็นอันมาก ลักษณะทางสังคมของ

ลาวโซ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีและพิธีกรรมไว้อย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในความ

เป็นปกึ แผน่ และการดำรงเอกลกั ษณ์ของกล่มุ ชาติพันธ์ุ พธิ กี รรมหลัก เช่น พิธีเสน พิธงี านศพ พธิ ขี ึ้นบ้านใหม่ ฯ

ประเพณีข้ึนเฮือนใหม่

เมื่อปลูกเรือนใหม่ การทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ มักทำในช่วงเวลาบ่าย หลังจาก 15.00 น. ล่วงไปแล้วถือเป็นพิธี

ชั้นกลาง หมอพิธจี ะมาข่มขวง คอื ข่มส่ิงเลวร้าย ผรี ้ายออกจากไมไ้ ปอยู่ที่อื่น จากนน้ั ขนอปุ กรณท์ ี่จำเปน็ ในการ
ดำรงชีวิตขึ้นบ้าน ของใช้ในพิธีมี ขมุก ไหเอือด (ไหพริก) ไหเกลือ ไหนึ่งข้าว ที่นอน หมอน มุ้ง เสื่อ สาด ฯลฯ

แล้วจึง "เลาผีเฮือน" คือ การบอกเล่า หรือ เชิญผีเรือนมาอยู่บนบ้านใหม่ ทำพิธี "จ่ีไฟไหข้าว" (นึ่งข้าวก่อไฟบน
เตาที่ใช้ก้อนหิน 3 ก้อน เรียกว่า ก้อนเส้า) เลี้ยงอาหารค่ำแล้วเสร็จพิธี คนบ้านใกล้เรือนเคียงไม่มีการให้

ของขวัญ มแี ตค่ ำอวยพรใหอ้ ยู่ดีมสี ุข อายมุ ่นั ขวญั ยืน

ประเพณเี กย่ี วกบั ความรัก

การลงขวง

เป็นประเพณีที่เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มและหญิงสาวได้พบปะสนทนาเพื่อเรียนรู้นิสัยใจคอเปรียบเสมือนเป็น

ประเพณีการหาคู่ โดยฝ่ายหญิงประมาณ 4-5 คน จะรวมกลุ่มกันทำงานบ้าน งานฝีมืออยู่กับบ้าน เช่น ปั่นด้าย
เย็บปักถักร้อย จักสาน ตำข้าว เป็นตัน ที่ขวงหรือลานขวง (เป็นลานในบริเวณบ้านหรือของหมู่บ้าน) ใน

ตอนกลางคืน ประมาณทุ่มหรือสองทุ่ม การมาทำงานเช่นนี้เรียกว่า "อยู่ขวง" ความหมายก็คือ มาทำงานใน
บริเวณลานบ้านในตอนกลางคืน โดยปกติก็นั่งกันเป็นกลุ่มวงกลม จุดไฟไว้ตรงกลางความสำคัญของการอยู่ขวง

คือ การเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มได้มาเที่ยวหาพูดคุย เรียกว่า "แอ๊ปสาว"(รู้จักคุ้นเคยกับหญิงสาว) เพื่อได้รู้จัก
สนทนากัน บางครั้งหมู่บ้านหนึ่งๆ มีหลายขวง ชายหนุ่มก็เลือกเที่ยวชมได้สบาย เรื่องที่สนทนากันก็จะถามช่ือ

ที่อยู่การทำมาหากิน ถ้าคุ้นเคยก็กล่าวหยอกล้อกันไป แต่ผลสุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ศึกษาอุปนิสัยใจคอ

ูร้ร่ีท่สืดีณ

20


ซึ่งกันและกัน หากพึงพอใจต่อกันก็จะสานสัมพันธ์ต่อไป การอยู่ขวงทำงานบ้านเช่นนี้ทำได้ตลอดปี ไม่เลือก
ฤดูกาลอย่างการอิ้นกอน กติกาในการเที่ยวขวง คือ ความเป็นประชาธิปไตยและน้ำใจนักกีฬา หนุ่มคนใดหรือ
กลุ่มใดคุยอยู่กับสาว หากมีหนุ่มกลุ่มอื่น ให้โอกาสกลุ่มมาทีหลัง ต่อจากนั้นก็จะกลับเช้าไปอีก แสดงให้รู้ว่าเขา
สนใจอยู่ก่อนแล้วอย่างจริงจัง กลุ่มอื่นไม่ควรมาสนใจ แต่ทั้งนี้กลุ่มหนุ่มจะมีไมตรีต่อกันไม่ผิดใจกัน จึงเป็น
ความงดงามทางวฒั นธรรมทคี่ วรประกาศคุณคา่

การลว้ งสาว

การที่สาวไม่ได้นั่งลงขวง หากหนุ่มใดอยากจะคุยต้องหาวิธีที่จะให้สาวรู้ตัว นั่นคือ พิธีล้วงสาว หรือจกสาว
โดยหนุ่มต้องมีไม้ล้วง ซึ่งมีลักษณะคล้ายไม้ตะพดขนาดยาวหนึ่งศอกเศษ และใช้ส่วนที่แหลมของไม้ล้วงสาว
แทงไปบนที่นอนให้สาวรู้ตัว สาวก็จะขยับตัว ซึ่งหนุ่มมักจะรู้ได้ เพราะสมัยก่อนนอนบนฟาก หากนอนกระดาน
ก็ไม่ต้องตอกตะปู หากใครไม่มีไม้ล้วงสาวประจำกายก็จะใช้ดินเหนียวผูกติดปลายเชือกกล้วย และนำเชือกผูก
ปลายไม้ชิ้นเล็กๆ พอที่จะลอดช่องได้ และส่งก้อนดินเหนียวไว้ให้ถูกตัวสาว สาวรู้ตัวก็จะดึงดินเหนียวหรือเอา
เล็บจิกดินเหนี่ยวไว้เป็นการบอกให้หนุ่มรู้ตัวว่าตนเองรู้ตัวแล้ว สาวก็จะจุดตะเกียงงอยเพียงงอยเดียว (ขณะที่
ตะเกียงงอยมี 3 ไส้) เพียงเพื่อให้เกิดแสงสว่างและแจ้งให้ผู้ปกครองทราบว่า ตนไปคุยกับหนุ่ม ไม่ได้เป็นการ
ลักลอบ และเปน็ เคร่ืองเตอื นใจไมใ่ ห้ผดิ ประเพณี

การเลน่ คอน หรอื อ้ินกอน

เป็นประเพณีที่จัดในเดือน 5 หรือเตือน 6 เพื่อสมานสามัคคี เปิดโอกาสให้ชายหญิงได้พบปะ ฟ้อนรำ
ร้องเพลงเกี้ยวกัน รู้นิสัยใจคอ และมีการเล่นโยนลูกช่วง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ทอดมะกอน" มีหญิง-ชาย
ชาวไทดำหลายคู่ได้พบรักและแต่งงานกันเพราะการเล่นคอน "อิ้น" แปลว่า เล่น กอน คือ "ลูกช่วง" เป็นผ้า
สี่เหลี่ยมยัดด้วยเมล็ดฝ้าย ตีที่สุดคือเมล็ดนุ่น รองลงมาเมล็ดมะขาม เอาไว้โยนแกล้งให้เจ็บ มีพู่ห้อย 5 มุม มี
สายสำหรับจับโยน ยาวประมาณ 1 ช่วงแขน หนุ่มที่จะเล่นลูกช่วง ต้องมีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป มีหัวหน้าฝูง
กอน คือ คนที่มีครอบครัวแล้ว หรือหนุ่มสูงอายุที่คอยควบคุมดูแลพฤติกรรมต่างๆ ในกลุ่ม ซึ่งเรียกว่า ฝูงกอน
มีจำนวน 15-20 คนขึ้นไป ในจำนวนนี้จะมีหมอแดนเป็นคนที่ได้รับมอบความเคารพนับถือ ไม่จำเป็นต้องเป็น
หวั หน้าฝงู กอน

วธิ กี ารอน้ิ กอน จะมี 3 แบบ คอื

1. อ้นิ กอนค้าง หนุ่มจะไปตง้ั แตต่ อนสาย ปรบมอื ให้สาวในหมูบ่ า้ นรจู้ ักว่ามีฝงู กอนจะมาขอเลน่ ลูกช่วงแลว้
มารวมที่ชวง รับหนุ่มไปค้างบ้านตนหรือไปช่วยงานในบ้านตนหรือบ้านที่เป็นหัวหน้าขวง หนุ่มจะไปช่วยตักน้ำ
ตำข้าว แล้วแต่สวบ้านใดมีงาน ตกเย็นทำอาหารเลี้ยงกัน หนุ่มก็จะเข้าไปช่วยสาวทำอาหารศึกษาและสังเกต
พฤติกรรมของสาว หัวค่ำสาวจะใส่เสื้อฮีลงมาต๊อดกอน (โยนลูกช่วง) หนุ่มน้อยก็ใส่เสื้อฮีเสร็จแล้วกินแลง
(รับประทานอาหารเย็น) ต่อจากนั้นจึงจะมีการฟ้อนรำ ฟ้อนรำเสร็จ วานสาว คือ การจองเป็นคู่คุยกันในคืนนั้น
หลังจากนั้นหนุ่มจะค้างที่บ้านสาว หรอื นอนทขี่ วงแลว้ แตค่ วามสมัครใจ

2. อิ้นกอนสู่แลง หนุ่มมาตอนหัวค่ำ มากินแลง (รับประทานอาหารเย็น) ด้วยกัน และร้องรำวานสาวแล้ว
กลับบา้ น โดยไมไ่ ด้ค้างคนื วิธีการเล่นลกู ช่วงเหมือนกบั อิ้นกอนค้าง ตา่ งกันตรงฝงู กอนไมไ่ ด้ด้างคนื

21


3. อิ้นกอนเตียว (กลับ) หนุ่มมาตอนมืด ประมาณ 20.00 น. คือกินแลง (รับประทานอาหารเย็น)มาก่อน
แล้ว จึงมาปรบมือขอเล่นลูกช่วง ปรบมือ เป๋าแคน เริ่มร้องรำ หลังจากนั้นจึงต๊อดกอน (โยนลูกช่วง)และวาน
สาว เสรจ็ แลว้ กลบั บ้านตนเอง

ประเพณกี ารแตง่ งาน

การแต่งงาน หรือเรียกว่า "งานกินดอง" หรือ "งานกินหลอง" หมายดวามว่า งานเลี้ยงเพื่อดวามเกี่ยวดอง
เป็นญาติกัน ชายหนุ่ม หญิงสาว เมื่อมีความรักใคร่ชอบพอกันถึงขั้นแต่งงานกัน ฝ่ายชายจะส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอ
หญิงสาวจากพ่อแม่ฝ่ายหญิง เรียกว่า "ไปโอ้โลม"สิ่งของที่เตรียมไปมีห่อหมาก พลู บุหรี่ 4 ชุด เหล้า 1 เท (32
ขวด) ขนม 8 ถาด หมู ไก่ พร้อมหญิงสาว 2 คน มักหหญิงสาวจากครอบครัวที่ดี คือ มีพร้อมทั้งบิดามารดา
และมีประวัติการแต่งงาน มิใช่หนี่ตามกัน สำหรับถือหมาก พลู อันเป็นมงดล ทั้งเถ้าแก่และหญิงสาว ต้องสวม
"เสื้อฮี' ให้เรียบร้อยถูกต้องตามประเพณี ถ้าเจรจาตกลงกันได้ก็จะนัดหมายทำการหมั้น หรือจะนัดหมาย
แต่งงานกันเลยกไ็ ด้

ขั้นตอนในพธิ ีแต่งงาน แบ่งออกเป็น 4 ขนั้ คือ
1. ส่อง หรือ การหมั้น เมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว ฝ่ายชายจะไปเยี่ยมหญิงเป็นครั้งแรก หรือจะไปๆ มาๆ ก็ได้

เรียกวา่ "ไปหยามหอ่ มะปู" คือ ไปเยี่ยมเยือนห่อหมากพลูของหม้นั ของฝากที่บ้านหญงิ คือ วธิ ีการไปพบคนรกั
2. สู่ คอื การทีฝ่ า่ ยชายไปมาหาสู่
3.สา คือ ฝ่ายชายไปทำงานรับใช้อยู่บันฝายหญิง เป็นเวลา 1-5 ปี กรณีที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะไม่เรียกสินสอด

ทองหมั้น ฝา่ ยชายจึงตอ้ งอาสาทำงานเพือ่ รบั ใชพ้ ่อแม่ฝา่ ยหญิงเป็นการทดแทน
4. สง่ คอื พิธีสง่ ตวั เจ้าสาวใหแ้ กเ่ จา้ บ่าวในวนั แตง่ งาน

พธิ เี สนเรือน หรือเสนเฮือน

พิธีเสนเรือน คือ พิธีเช่นไหว้ ผีเรือนที่รักษาบ้านเรือนของแต่ละตระกูล ไทดำ นับถือผีบรรพบุรุษอย่าง
เคร่งครัดและถือปฏิบัติสืบต่อกันมา โดยเฉพาะพ่อ แม่ ย่า ตา ยาย ผู้แต่งงานไปเข้าผีตามคู่สมรสของตน
ซึ่งเป็นบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้ว บ้านทุกบ้านจะมีผีเฮือน (ผีเรือน) ลูกๆ จะจดชื่อใส่ไว้ในบัญชีผีประจำบ้าน
เรียกว่า "ปั๊บผีเรือน" ลูกหลานจะมีการอัญเชิญดวงวิญญาณขึ้นมาเป็นผีประจำบ้าน ซึ่งต้องเป็นผีดีที่ตายในบ้าน
นั้นหรือเจ็บป่วยหรือแก่ชราตาย แต่ผีที่ตายจากการเกิดอุบัติเหตุ หรือผีตายโหง เรียกว่า เป็นผีไม่ดี วิญญาณจะ
ไม่ถูกเชิญให้ขึ้นเรือน เพราะถือว่าตายไม่ดี โดยจัดให้อยู่ ณ มุมห้องๆ หนึ่ง ในห้องที่จัดไว้เฉพาะ เรียกว่า
"กะล้อห่อง" พิธีนี้จะทำเป็นประจำทุกปีหรือ 2-4 ปี ครั้งก็ได้ แล้วแต่ฐานะ แล้วแต่ความพร้อมที่จะทำบุญให้กับ
ญาติที่เสียชีวิต การเสนจะยกเว้นคือ เดือนเก้าและเดือนสิบ เพราะการเสน 2 เดือนนี้เชื่อกันว่า ผีไปเฝ้าแถน
ไทดำเชื่อกันว่า เมื่อเช่นไหว้ผีเรือนแล้ว ผีจะคุ้มครองรักษาตนและครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุขมีความ
เจริญก้าวหน้า คนในตระกูลเดียวกัน นามสกุลเดียวกัน จะมีผีเรือนเดียวกันเป็นผีของตระกูลนั้น เรียกว่า "ซิง
หมายถึง แซ่ หรือนามสกุล" ของตระกูลนั้นๆ ลักษณะของพิธีเสนเรือน เป็นพิธีของครอบครัวหัวหน้าครอบครัว
มีหน้าที่รับผิดชอบที่จะทำเสนเรือนเป็นประจำ ซึ่งการเซ่นไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่า ทำเมื่อไหร่หากบ้านใดไม่
จัดทำพิธีเสนเรือน มีความเชื่อว่า จะเกิดสิ่งอัปมงคลแก่ครอบครัว เกิดการเจ็บป่วย หรือตายด้วยเหตุอันไม่ควร

22


และจะถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณ วันเสนต้องไม่ตรงกับวันเวนตงวันเวนตงของแต่ละบ้านจะนับ
เอาวันที่เชิญวิญญาณผีต้นตระกูลขึ้นบ้านโดยมีหมอผี หรือที่เรียกว่า หมอเสนเป็นผู้ดำเนินพิธีกรรม โดยการ
ท่องบทกล่าวเชื้อเชิญวิญญาณผู้ท่ีล่วงลับไปแล้วมารับเครื่องเช่นใน "กะล้อห่อง" ซึ่งเป็นสถานที่เคารพยำเกรง
ใครเข้ากะล้อห่องโดยไม่มีเหตุผลอันควรไม่ได้ แขกแปลกหน้ามาขึ้นบ้านต้องนำหมากพลูไปบอกผีบ้านผีเรือนใน
กะล้อห่อง หากดื่มเหล้าต้องนำเหล้าไปบากขวด (เหล้าที่รินครั้งแรก) ไปเช่นก่อน มิฉะนั้นผีเรือนจะทำร้ายด้วย
การบิตไส้ (ทำให้ปวดท้อง) เครื่องเช่นต่างๆ จะถูกจัดเตรียมใส่ "ปานเผือน"(ภาชนะสำหรับใส่อาหาร ทำด้วยไม้
ไผ่)ในความชื่อของไทดำ เชื่อว่า ผีเรือน มีดวามสำคัญมาก จึงมีการสืบสกุลของตระกูลด้วยการสืบผีโดยยึดเพศ
ชายเป็นหลัก เริ่มนับจากพ่อบ้านเป็นผู้สืบสกุลจากบรรพบุรุษ หากต้องหาผู้สืบสกุลคนต่อไปต้องเลือกจากลูก
ชายหรือเพศชายคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ห้ามเป็นเพศหญิงโดยเด็ดขาด หากไม่มีลูกชายจะเลือกหลานชาย หรือผู้
ที่อาศัยอยู่ในบ้านที่เป็นเพศชายแทนก็ได้เป็นผู้สืบทอดทำพิธีต่อไป พิธีเสนเรือน เช่น เสนเรียกขวัญ (เสนโต๋)
เป็นพิธีกรรมที่ทำเพื่อเรียกขวัญ เป็นการต่ออายุ ต่อเงาหัว เรียกขวัญกลับคืนให้แก่เจ้าของขวัญที่เกิดไม่สบาย
เสนต่ังบั้ง (เสนกินปาง เป็นพิธีกรรมเช่นไหว้ผีเรือนที่เป็นผีพ่อ ปู ตา หรือบรรพบุรุษที่มีวิชอาดม เวทมนต์ดาถา
ในการรักษาโรคไข้เจ็บป่วย ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อยได้ หรือแก้ไสยศาสตร์ได้ เรียกว่า เป็นหมอมนต์มาก่อน
ลกู หลานจะอัญเชญิ ใหอ้ ยบู่ นทิ้งตา่ งหากอีก 1 ทงิ้ ในหอ้ งกะล้อหอ่ ง นอกจากนี้ยังมี เสนรับมด (เสนฮบั มด) เสน
ฆ่าเกือด เสนเต็ง (เสนน้อยจ้อย) เสนสะเดาะเคราะห์เสนแผ่วเฮือน เสนกวัดกว้าย เสนแก้เคราะห์เฮือน เสนเอา
ผีข้ึนเรอื น

ประเพณีการเสนเรือนแบ่งออก เป็น 2 ประเภท ขึน้ อยูก่ ับการสบื ทอดสายตระกูล คอื ผูน้ อ้ ย และผตู้ ้าว (ท้าว)
เสนผู้น้อย สำหรับตระกูลที่เป็นสามัญชน จะเสนหมู เสนไก่ เพื่อนำมาใช้ในพิธีและนำมาปรุงอาหารเลี้ยง

แขก
เสนผู้ต้าว สำหรับชนชั้นปกครองหรือตระกูลที่มีชาติกำเนิดสูง เป็นผู้มีสกุลสูง จะเสนสัตว์ใหญ่ 1 ครั้ง ใน 1

ชว่ งชวี ิตซงึ่ ใชค้ วายเป็นเครื่องเช่น

ประเพณีปาดตง
พิธีปาดตง คือ การเช่นไหว้บรรพบุรุษของชาวไทดำ วันปาดตงจะถูกกำหนดขึ้นมาโดยเฉพาะแต่ละ

ครอบครัว ซึ่งจะตรงกับวันที่เรียกผีต้นตระกูลขึ้นเฮือน (เรือน) การปาดตงสำหรับผู้น้อยจะทำทุก 10 วัน ส่วนผี
ผู้ต้าว (ท้าว) ทำทุก 5 วัน เครื่องเช่นไหว้จะนำไปวางไว้ที่กะล้อห่อง ปาดตงจะทำตลอดปี แต่ครั้งสำคัญที่สุดคือ
ปาดตงข้าวใหม่ มีการเรียกเพื่อนมากินงายตง ซึ่งเป็นอาหารมื้อเช้า มื้อเย็นไม่นิยมเชิญมากินกัน เป็นการแจ้ง
ตอ่ ผีเรอื นว่า ลกู หลานอดุ มสมบรู ณด์ ้วยขา้ วปลาอาหาร ซงึ่ เครอ่ื งเชน่ จะมีลกั ษณะเฉพาะ คือ

ข้าวเม่า คือ การนำข้าวเปลือกข้าวเหนียวที่ยังไม่แก่จัดมาคั่ว และนำมาตำ หลังจากนั้นนำข้าวเม่ามาคลุก
กับมะพร้าวออ่ น โรยดว้ ยนำ้ ตาลและเกลอื

ข้าวฮาง ข้าวที่น่ึงทั้งเปลือกและนำไปผึ่งแดดให้แห้ง นำมาตำหรือสีเอาเปลือกออก แล้วจึงนำไปนึ่งอีกคร้ัง
บางบ้านปลูกข้าวพิเศษไว้เพ่อื ปาดตง คือ ข้าวเหนียวดำ เรียกวา่ "ขา้ วเหล็กหลำ"

ขา้ วตะหลาย คอื ขา้ วเหนียวใหม่
ปลาปงิ้ งบ คอื ปลาทีน่ ำมาผสมกับเคร่ืองแกง หอ่ ด้วยใบตองและนำไปน่งึ

23


กบฝอ หรือกบโอ่ ดือ กบยัดไส้ด้วยเครื่องผสมพริกแกงนำไปนึ่ง แล้วนำไปปิ้งหรือย่างอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากน้ันยังมีปลายา่ ง ก้งุ หอย ปู รวมทั้งของหวานและผลไม้ชนดิ ต่างๆ

ขบั มด

เปน็ จารีตในการรกั ษาโรคภยั ไข้เจบ็ ของไทดำ กล่าวคอื เมื่อมคี นเจบ็ ป่วยเรื้อรังในครอบครวั รกั ษาดว้ ยหมอ
พื้นเมืองแล้วไม่หาย สามีภรรยาหรือญาติผู้ป่วยจะไปหา "หมอเหยา" มาเสกเป่าเยียวยาแก้ไข ถ้ายังไม่หายก็จะ
ไปเชิญหมอมดมาทำพิธีรักษา หมอมดจะรักษาด้วยการขับมด และเสี่ยงทาย เพื่อให้ทราบสาเหตุของการ
เจ็บป่วย ถ้าหากถูกผีทำก็จะทำพิธีเลี้ยงผีแก้ไขอาการเจ็บป่วย เดิมการรักษาของหมอมดมีค่าคายขึ้นครู 2 บี้
แต่ปัจจุบันใช้เงิน 1,000 กีบ เทียน 8 คู่ ไข่ 2 ฟอง กระเทียม 2-3 หัว ฝ้าย 1 มัด เกลือ 1 ห่อข้าวสารใส่
กะละมัง หวี และปอยผม 1 ปอย เพื่อถวายให้ผีมด การรักษาเริ่มด้วยการให้ผู้ช่วยหมอมด 2 คนช่วยกันเป่าปี่
หมอมดจะทำการชับมดเพื่อเชิญผีมดให้มาช่วยในการวินิจฉัยสาเหตุของการเจ็บป่วย โดยสุ่มถามผีมดว่า ถูกผี
อะไรทำ เช่น ถามว่าถูกผีเรือนทำใช่ไหม แล้วเสี่ยงทายหาคำตอบด้วยการสาดข้าวสารลงบนพื้น 3 ครั้ง ให้ได้
จำนวนค-ู่ คี่ สลบั กนั กลา่ วคอื ถา้ คร้งั แรกไดจ้ ำนวนคู่ คร้งั ทสี่ องต้องได้จำนวนดี และครัง้ ท่ีสาม

ต้องได้จำนวนคู่ แสดงว่าผิดผีเรือน ถ้าเสี่ยงทายไม่ได้จำนวนดังกล่าวก็จะเป่าปี่ขับมดต่อไปอีกจนจบคำขับ
มดแล้วเสี่ยงทายอีก เช่นนี้ จนกระทั่งได้จำนวนคู่สลับคี่ตามที่ต้องการ ดังนั้นการขับมดจึงใช้เวลานาน อาจใช้
เวลาตั้งแต่ตอนบ่ายจนกระทั่งถึงกลางคืน เมื่อทราบสาเหตุของการเจ็บป่วยว่าถูกผีใดทำ หมอมดก็จะให้ญาติ
ผ้ปู ่วยจัดเตรียมเหล้า อาหาร และสง่ิ ของสำหรับเช่นเล้ยี ง เพือ่ ให้เลิกทำแกผ่ ูเ้ จบ็ ป่วย การรักษาของหมอมดไมม่ ี
ข้อห้ามในการรักษาร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบัน แม้ว่าคนป่วยจะนอนอยู่โรงพยาบาล หมอมดก็ทำพิธีรักษาท่ี
บ้านไปด้วยได้ ผู้ร่วมพิธีขับมดได้แก่ ญาติพี่น้องใกล้ชิด เพื่อนบ้านใกล้เดียง รวมทั้งคนในหมู่บ้านจะมาร่วมโดย
ไม่ต้องบอกกล่าวขับมด เป็นการรักษทางด้านจิตใจ การเชิญหมอมดมารักษา แสดงว่า ลูกผัวฮักแพง รวมทั้งมี
ญาตแิ ละเพอื่ นบ้านมาเยีย่ มเยอื น ทำให้ผปู้ ว่ ยมีขวญั และกำลงั ใจดีข้นึ ซงึ่ อาจทำให้หายจากการเจบ็ ป่วย

ประเพณีแปงขวญั

ไทดำมีความเชื่อในเรื่อง "ขวัญ" ซึ่งขวัญ เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นเงาหรือแววของชีวิต เป็นสิ่งติดตัวมาแต่
กำเนิด และเชื่อว่า คนเราจะได้ดีมีสุข มีทุกข์โศกเคราะห์ร้ายหรือเจ็บป่วยไข้ ก็เพราะ "ขวัญ" ที่อยู่ในตัวของตน
เป็นสาเหตุ ถ้าขวัญอยู่กับตัวก็เป็นศิริมงคล อยู่เย็นเป็นสุข จิตใจมั่นคง เมื่อใดตกใจ เสียขวัญ ขวัญออกจากตัว
ไป หรือมัวไปหลงทงอยู่ที่ใด ซึ่งเรียกว่า ขวัญหาย ขวัญหนี ฯลฯ ก็อาจจะทำให้เกิดเจ็บป่วยไข้หรือเคราะห์ร้าย
ได้ การแปงขวัญ หรือ การเรียกขวัญ หรือ การส่อนขวัญ คือ การเรียกขวัญให้กลับคืนมาโดยการจัดทำพิธีอ้อน
วอน ซึ่งจะมีเทพประจำขวัญ ภาษาถิ่นเรียกว่า "ผีขวัญ" คือ ผู้ดูแลขวัญทั้ง 32 เทพประจำขวัญมี 12 เทพ เป็น
เพศชาย เพียงหนึ่ง ได้แก่ พ่อ แม่ น้ำ ไฟ ไก่ ปลา กล้วย หูกทอผ้า เปล ผ้าหลา(ผ้าสะพายลูก) แถนผู้กำหนด
ชะตาชีวิต เทพทั้ง 12 มีหน้าที่ดูแลอวัยวะตา่ งๆ เวลาร่างกายเจ็บป่วยก็ต้องอ้อนวอนเทพประจำขวัญต่างๆ การ
แปงขวัญ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) การแปงขวัญเด็ก 2) การแปงขวัญผู้ใหญ่ และ 3) การแปงขวัญ
ผู้สูงอายุ สาเหตุที่ต้องมีการแปงขวัญ อาจมีสาเหตุมาจาก การหายจากเจ็บไข้หรือคลุกคลีกับสิ่งที่ไม่เป็นมงคล

24


เช่น แปงขวัญให้เขยผู้จัดงานศพ ให้ขวัญเขยอยู่กับตัวอย่าตามคนตายไปหรือ แปงขวัญเพื่อเสริมกำลังใจสำหรับ
ผูส้ ูงอายุ เป็นต้น

ประเพณกี ารทำศพ

ชาวไทดำ ถือว่า การตายเป็นเรื่องสำคัญมาก เมื่อมีการตาย ญาติพี่น้องผีเดียวกันจะหยุดทำงานทุกอย่าง
เพื่อเป็นการไว้ทุกข์ และช่วยกันจัดการเกี่ยวกับประเพณี งานศพนั้น เรียกว่า "กำบ้าน กำเมือง" และถือเป็น
ความโศกเศร้าจนกว่าจะนำศพไปเผาแล้ว จึงจะมีการทำงานตามปกติได้ พิธีศพเป็นพิธีที่ยึดถือกันจนเป็นธรรม
เนียมปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอนหลายอย่าง และจำเป็นต้องมีผู้รู้คอยแนะนำปฏิบัติ ซึ่งเป็นผู้สูงอายุในพิธีศพที่ยัง
ถือปฏบิ ตั ิกนั อยูใ่ นปัจจุบันนั้น เมือ่ มผี ้เู สียชีวติ จะเรมิ่ จากการ "หรอย"

"หรอย" เป็นการจัดตกแต่งศพก่อนที่จะบรรจุลงหีบศพ โดยเริ่มจาการอาบน้ำศพ พร้อมทั้งแต่งตัวใส่เสื้อผ้า
ให้เรยี บรอ้ ย

"เอ็ดแฮว" เป็นการเตรียมการเครื่องใช้ในการประกอบพิธีศพ สิ่งที่ต้องเตรียมได้แก่ การทำเสาหลวงปรี
เซียน นกหงส์ ใบไม้ หอแก้ว ลำธงกาว และเครื่องใช้ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นข้าวของเครื่องใช้สำหรับส่ง
มอบให้กบั ผตู้ าย

"หอแก้ว" เป็นเรือนจำลอง สร้างด้วยไม้ลักษณะคล้ายศาลาการเปรียญขนาดเล็ก ล้อมรอบด้วยเสาเรียกว่า
เสาหลักเมือง ประดับด้วยปุย ทำจากด้ายสีแดง เหลือง รอบเสาหลักเมือง และเรือนหอแก้ว หอแก้วนี้สร้างเป็น
เกียรตสิ ำหรับผ้ตู ายอายุ 80 ปีข้นึ ไป

เซียน" เป็นเสมือนร่มกันแดดเป็นแกนกลางประดับโดยรอบด้วยลายผ้าเหลือง ดำ แดง ประกบกันแล้วตัด
คว้านตรงกลางผ้าให้ห้อยลงมา เซียนจะอยู่บนปรี หรือนกหงส์ บนยอดเสาหลวงปรี เชื่อกันว่าเป็นพาหนะที่จะ
นำดวงวิญญาณของผู้ตายกลับไปยังเมืองแถน ทำจากไม้เนื้ออ่อน เหลากลึงให้กลม ส่วนบมีปีก ข้างละ 3 อัน
เพือ่ ใช้ในการบิน ปรจี ะอยู่สว่ นบนยอดเสาหลวง ใชเ้ ฉพาะผูต้ ายที่

"นกหงส์" เชื่อกันว่าเป็นพาหนะที่จะนำดวงวิญญาณของผู้ตายที่เป็นชาย บินกลับไปยังเมืองแถนทำจากไม้
เนื้อออ่ นเปน็ รปู นก มีปีกขา้ งละ 3 อัน นกหงสจ์ ะอยูบ่ นยอดเสาหลวง

"เสาหลวง" เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ ทำจากไม้ทั้งต้น ยาวประมาณ 3 เมตร ประดับโดยรอบด้วยใบไม้ที่ทำ
จากผ้าขาวและผา้ แดง ขนาด 30x30 เชนตเิ มตร ติดไวก้ บั ปลายไม้ ถา้ ผู้ตายเปน็ ชาย จะใช้ใบไม้ประดับเปน็ แผง
ติดกับเสาหลวง ถ้าผู้ตายเป็นหญิง จะใช้ใบไม้ประดับเป็นวงกลมรอบเสาหลวง ส่วนยอดของสาหลวงมึนกหงส์
หรือปรี ประดับอยู่ โดยมีเซียนเป็นร่มเสียบอยู่ส่วนบนสุด จำนวนใบไม้ทั้ง 2 สี จะใช้อย่างละ 20 หรือ 40 ผืน
แล้วแตฐ่ านะของผู้ตาย

"ลำธงกาว" เป็นธงที่บ่งบอกถึงผู้ตายว่าเป็นพ่อบ้านพ่อเรือน หรือผู้นำครอบดรัว ธงกาวนี้ยิ่งยาวเท่าใดยิ่งบ่ง
บอกฐานะของผู้ตาย บอกถงึ ความมง่ั มรี ่ำรวยของผู้ตาย

การกำหนดวันผาศพคนไทดำ ต้องไม่ตรงกับมื้อเวนตง (วันเลี้ยงผีประจำตระกูล) ซึ่งแต่ละตระกูลจะมีม้ือ
เวนตงแตกตา่ งกนั ออกไป ไทดำถือกำหนดใน 1 สัปดาห์ มี 10 วัน คือ

2) มือ้ ขด 3) ม้ือฮวง 4) มือ้ เต๋า 25
7) มื้อฮับ 8) มอ้ื ฮาย 9) ม้ือเมงิ
1) มือ้ กดั 5) ม้อื กำ
6) มื้อกาบ 10) มอื้ เปกิ

เมื่อกำหนดวันเผาได้แล้ว พิธีในวันนั้นจะเริ่มจากการกินข้าวปานต๊ก (การรับประทานอาหารร่วมกันของ
ญาติพี่น้อง) แล้วจึงเริ่มพิธีการบอกทางให้ดวงวิญญาณของผู้ตายเดินทางตามเส้นทางจากบ้านไปยังป่าช้าโดยมี
"เขย" (บุตรเขยของผู้ตาย) เป็นผู้ทำพิธี หลังจากพิธีการบอกทางแล้วจะเป็นการ "ซ่อนขวัญ" เป็นพิธีเรียกเอา
ขวัญของญาติพี่น้องให้ยังอยู่กับบ้านกับเรือน ไม่ให้หลงไปกับดวงวิญญาณของผู้ตาย โดยมีหมอพิธีเป็นผู้ทำการ
ซ่อนขวัญ ถ้าหมอพิธีเป็นหญิงจะเรียกว่า "แเม่มด" ถ้าหมอพิธีเป็นชายจะเรียกว่า "เขย" แล้วจึงนำศพไปยังป่า
ช้า เมื่อขบวนเคลื่อนศพออกจากบ้านจะมี "ธงเจาอวน" ซึ่งถือโดยบุตรชายของผู้ตายถือเดินนำหน้าขบวน เพื่อ
เป็นการเบิกทางให้กับดวงวิญญาณ เมื่อถึงกองฟอน นำศพวนรอบกองฟอน 3 รอบ วางศพลงบนกองฟอน เปิด
หีบศพล้างหน้าศพด้วยน้ำมะพร้าว นำห่อเสื้อผ้าและเครื่องใช้มาโยนข้ามหีบศพ 3 ครั้งเรียกว่า "โยนผ้าหน้าไฟ"
เพื่อส่งสิ่งของเหล่านั้นให้กับผู้ตาย แล้วทำการเผาศพวันรุ่งขึ้นญาติพี่น้องจะร่วมกันเก็บกระดูกใส่ลงในไห
กระดูกที่เตรียมไว้ จากนั้นทำพิธี "ตั้งเฮือนป่า"เพื่อส่งสิ่งของเครื่องใช้ให้กับผู้ตาย ขั้นตอนนี้เขยจะทำพิธีบอก
ทางอีกครั้ง เป็นการบอกเส้นทางให้ดวงวิญญาณเดินทางไปเมืองแถน และบอกดวงวิญญาณของผู้ตายกลับมา
อีกครั้งเมื่อถึงวัน "มื้อเวนตง" ของตระกูล เพื่อมารับเครื่องเช่นที่ญาติพี่น้องนำมาเช่นไหว้ เสร็จพิธีเขยจะใช้
ปลายมีดขีดที่พื้นดิน เพื่อเป็นการตัดขาดซึ่งกันและกัน ทุกคนเดินหันหลังไม่เหลียวกลับมามองเฮือนป่าอีก
เพื่อที่ดวงวิญญาณจะได้ไม่ห่วงผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่บุตรของผู้ตายจะต้องนำห่อข้าว ปลาอาหาร ซึ่งห่อด้วยใบตองมา
ส่งที่เฮือนป่าอีก 3 วัน เฉพาะตอนเช้า ส่งเสร็จแล้วใช้มีดขีดที่พื้นดิน แล้วหันหลังกลับ ในการส่งห่อข้าว 3 วันน้ี
ผู้ที่ส่งอาหารจะต้องสวม "เสื้อต๊กปกหัวขาว" ไปด้วยการเอาผีขึ้นเรือน จะกำหนดวันโดยผู้ตา้ วเอาผีขึ้นเรือนตรง
กับวัน "มื้อเวนตง" ของตระกูล ส่วนผู้น้อยนั้นจะเอาผีขึ้นเรือนไม่ตรงกับ "มื้อเวนตง" ของตระกูล โดยมีหมอพิธี
เรียกว่า หมอเสน เป็นผู้ทำพิธี เมื่อเสร็จพิธีนี้แล้วจะทำการไล่หมอพิธีให้ลงไปจากบ้าน ล้างทำความสะอาดบ้าน
เพื่อไม่ให้งานเช่นนี้เกิดขึ้นในบ้นี้อีกต่อไป เป็นที่น่าสังเกตว่า พิธีกรรมของไทดำกับคนเชื้อสายจีนจะมีพิธีหลัก
โดยรวมท่ีคลา้ ยคลึงกนั แตกตา่ งกนั ทีช่ น้ั ตอนในการปฏิบัติ เชน่ การเสนเรอื นกับการไหว้ตรุษจนี พิธบี อกทางกบั
พิธีกงเต๊ก การนุ่งชุดเสื้อผ้าไว้ทุกข์ที่คล้ายกัน คงจะเนื่องมาจากถิ่นฐานเดิมของไทดำนั้นอยู่ทางตอนใต้ของ
ประเทศจนี จึงมีความคล้ายคลงึ กนั

ประวัตคิ วามเป็นมาของการทอผา้ ของชาวไททรงดำ

แ งผ้าทอของชาวไททรงดำจากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุในชุมชนว่า ผ้าทอของชาวไททรงดำมี 4 ชนิด คือ

ภZื๊ื☒ผ้าฝ้าย ผ้าซิ่นลายแตงโม ผ้าตีนซ่ินและผ้าไหม ซึ่งการทอผ้านี้มีความเป็นมาคู่กับประวัติของกลุ่มชนชาว

ไททรงดำมาตลอด เพราะไม่มีหลักฐานพอที่จะให้ค้นคว้าได้ ตามประวัติชาวไททรงดำที่มีบันทึกอยู่จะกล่าวถึง
การแต่งกายของชาวไททรงดำว่า มักแต่งกาย ด้วยชุดสีดำประดิษฐ์จากผ้าที่ตนเองทอขึ้นมา นับตั้งแต่กลุ่มชนนี้

hefeตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของประเทศจีน ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองแถง จากเหตุผลอย่างหนึ่งที่ ชาวไททรงดำทอผ้า

ใช้เองคือ ชาวไททรงดำไม่ชอบอาศัยอยู่ในที่ลุ่ม มักอาศัยอยู่ตามที่ดอน ซึ่งด้านหนึ่งเป็นที่ลุ่มสามารถปลูกข้าว
ได้ ส่วนอีกด้านหนึ่งจะอยู่ติดป่าหรือภูเขาเพื่อใช้พื้นที่ส่วนนี้ปลูกฝ่ายเพื่อนำคอกฝ่ายที่ได้มาตีปั่นเป็นเส้นด้าย
สำหรับใช้ทอเป็นผ้าฝ้าย และฟื้นที่อีกส่วนหนึ่งก็จะปลูกต้นหม่อนสำหรับใช้เลี้ยงไหมเพื่อนำใยไหม มาทอเป็น
ผ้าไหม สำหรับเอาไว้ใช้ทำหน้าหมอน ประดิษฐ์ลวดลายเสื้อชีและใช้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

บ่ืณ่

26


วัฒนธรรมเหล่านี้เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ได้สืบทอดจากบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบันการทอผ้าฝ้ายผ้าฝ้าย คือ ผ้าที่
ผลิตจากดอกของต้นฝ้ายที่ชาวไททรงดำปลูกขึ้นเอง และนำมาตีและปั่นเป็นเส้นด้าย ที่จะใช้ทอเป็นฝืนผ้าต่อไป
ในปัจจุบันเส้นด้ายนิยมซื้อจากตลาด ไม่นิยมปลูกฝ้ายเอง เพราะเกิดความยุ่งยากในการดูแลบำรุงรักษา และ
เป็นการลดระยะเวลาขั้นตอนการทอผ้าลง ซึ่งมีกรรมวิธีการผลิต โดยการนำเอาดอกฝ้ายที่เก็บเกี่ยวจากต้นฝ้าย
มาติดให้เป็นปุยฝ้ายแล้วนำปุ๋ยฝ้ายมากรอด้วยเครื่องมือกรอด้าย ซึ่งชาวไททรงดำเรียกว่า "ในปั่นฝ้าย" ปั่นปุย
ฝ้ายออกมาเป็นเส้นด้าย พอได้เส้นด้ายแล้วนำเอาเส้นด้ายมาแช่น้ำข้าวน้ำ ข้าวในที่นี้คือการนำข้าวมาต้มให้
เปื่อยเป็นน้ำข้าว แล้วนำเส้นด้ายมาแช่ใช้เวลาแช่ประมาณ 1 วัน แล้วนำเส้นด้ายออกตากแดดโดยไม่ต้องล้าง
น้ำอีก ในขณะที่ตากเส้นด้ายต้องใช้ไม้ตีเส้นด้ายเพื่อให้เส้นด้ายแยกออกจากกัน เมื่อผ่านการตากเส้นด้ายแล้วก็
นำเส้นด้ายมาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยเครื่องมือในการแบ่งเรียกว่า "จวงเยน" แบ่งด้ายโดยการกรอใส่หลอด
ส่วนหนึ่งใช้สำหรับเป็นด้ายยืนซึ่งเรียกว่า "เจือ" อีกส่วนหนึ่งใช้เป็นด้ายพุ่งหรือด้ายนอนเรียกว่า "ด้ายกระสวย"
ส่วนด้ายยืนนั้นจะนำออกจากหลอดอีกครั้งหนึ่งด้วยการกรอโดยใช้เครื่องมือเรียกว่า "จวงเขน" การกรอด้ายยืน
จะกรอโดยผู้กรอจะเดินรอบเสาบ้านหลาย ๆ เสา ความยาวตามต้องการ ภาษาชาวไททรงดำเรียกว่า "การเข็น
หู" เมื่อกรอรอบเสาเสร็จแล้วก็จะเก็บ ใส่ถุงย่าม โดยวิธีการถักเพื่อไม่ให้ด้ายพันกันแล้วนำเส้นด้ายแต่ละเส้นมา
สอดใส่อุปกรณ์ของกี่ซึ่ง เรียกว่า "เขาและพึม" เขาจะทำหน้าที่แบ่งด้ายยืนออกเป็น 2 ส่วน เสร็จ แล้วนำไปข้ึน

✗กี่แล้วจึงด้ายยืนให้ตึง จากนั้นก็เริ่มการทอโดยใช้กระสวยเป็น ตัวนำด้ายนอนสอดผ่านช่องว่างระหว่างด้ายยืน

ส่วนบนกับส่วนล่างที่เกิดจาการสลับขึ้นลงได้โดยการ ใช้เท้าเหยียบที่ขายันข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งมีเชือกผูกติดกับ
เขาทำให้เขาขึ้นลงระหว่างเส้นด้ายที่ขึงขนานกันแล้วใช้มือข้างหนึ่งจับกระสวย (ที่มีเส้นด้ายข้างในและเกิด
ช่องว่าง พุ่งเข้าไประหว่างด้ายยืน ขณะที่กระสวยผ่านช่องว่างก็จะปล่อยด้ายนอนจึงกดฟิมให้แน่น ทำอย่างนี้
ไปเรื่อย ๆจนกว่าด้ายนอนจะเต็มด้ายยืน ก็จะได้ผ้าผ้ายจากการทอผ้า สำหรับการทอผ้าฝ้ายที่ซื้อเส้นด้าย
สำเร็จรูปมาจากตลาด จะมีกรรมวิธีการทอเช่น เดียวกันกับการทอจากเส้นด้ายที่ได้จากการกรอฝ้ายจากดอก
ฝ้าย โดยมีขั้นตอนแตกต่างจากการทำ ฝ้ายให้เป็นเส้นด้ายเท่านั้น กรณีผ้าที่ได้จากการทอขึ้นมาเองนั้นเป็นผ้า
ฝ้ายสีขาว ก่อนนำมาใช้เป็นเครื่องแต่งกายจะต้องมีการย้อมสี หรือย้อมนิล หลังจากนั้นจึงนำมาประดิษฐ์เป็น
เสื้อ กางเกง สิ่งของเครื่องใช้ และอีกส่วนหนึ่งของผ้าที่ทอได้จะเก็บไว้ประกอบพิธีงานศพของสมาชิกภายใน
ครอบครัวของตนเอง ซึ่งรายละเอียดในวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการทอผ้านี้ ได้ศึกษาในรายละเอียดของแต่ละ
หัวข้อตอ่ ไป ว่าแต่ละพธิ ีกรรมมีความโยงใยต่อการทอผ้าอยา่ งใด

27



✓การทอผ้าซ่ินลายแตงโม

7 กษณะ (ท่ีมา: https://www.oar.ubu.ac.th)

เหมือนกับการทอผ้าฝ้ายทุกขั้นตอนมีข้อแตกต่าง คือ การทอผ้าซิ่นเมื่อได้เส้นด้าย มาแล้ว จะนำมา

ย้อมสีก่อนคือ ด้ายยืนจะย้อมสีแดง ส่วนมากใช้เส้นด้ายจากฝ้ายธรรมดา บางคนใช้ด้ายมาจากใยไหม ส่วนด้าย

นอนกับด้ายพุ่งจะย้อมสีดำและขาว การทอจะใช้กระสวยพุ่งด้ายสองอัน คืออันหนึ่งเป็นสีดำ อีกอันหนึ่งเป็นสี

ขาว ทอสลับกันไป ด้ายดำ จะทอมีความกว้างประมาณ 2 นิ้ว และสลับสีขาวประมาณ 4 เส้นด้าย แล้วทอสีดำ

อีกประมาณ 2 นิ้ว สลับด้วยด้ายขาวประมาณ 2 หุน 2 เส้นโดย 2 เส้นนี้จะห่างกันอยู่ 2 หุน ซึ่งสลับด้วยสีดำ

ต่อ จากนั้นก็ทอสีดำอีกประมาณ 2 นิ้ว เหมือนกับการเริ่มต้นครั้งแรก สลับกันไป เช่นนี้ตลอดความยาว

ของด้ายยืน เมื่อทอเสร็จแล้วจะนำมาตัดเย็บเป็นผ้าซ่ิน ซึ่งจะต่อด้ายส่วนบนคือหัวซิ่นต่อด้วยผ้าฝ้ายย้อมคำ

คุณป้าท่านหนึ่งของตำบลหนองปรง มีความรู้ความชำนาญในการทอผ้า ได้บอกถึงเหตุผลของการต่อหัวผ้าซ่ิน

กับผู้วิจัยได้ ซึ่ง สรุปได้ว่า เหตุที่ต้องต่อด้วยหัวซิ่นเพื่อให้สะดวก ต่อการช้างชีน (วิธีการนุ่ง) ส่วนส่างคือคืนซีน

นำมาเยบ็ ตอ่ กนั ไว้เพ่อื ปอ้ งกนั ไม่ให้ด้ายชายลา่ งผ้าซิน่ ขาดงา่ ย

② การทอผ้าลายสายฝน
ชาวไททรงดำ จะให้ความสำคัญกับความเจริญรุ่งเรืองและความอุดมสมบูรณ์ของน้ำ เพราะชาวไท

ทรงดำมีอาชพี ทำนาเปน็ หลัก จึงตอ้ งพงึ่ พาฝน

ocel /การทอผา้ ไหม / น ตอน กระบวน การ ทอ า
สำหรับการทอผ้าไหม คือ การทอผ้าที่ได้จากเส้นใยไหมที่ชาวไททรงดำเลี้ยง และสาวเอาไหมออก

มาแล้วนำเส้นไหมที่ได้มาผ่านกรรมวิธี โดยการนำ เส้นไหมมาแช่น้ำด่าง ซึ่งน้ำด่างนี้ได้จากการนำเอาขี้เถ้ามา
แช่น้ำให้ตกตะกอน และนำเอาน้ำค่าง นี้มาแช่เส้นไหมให้เส้นไหมนั้นอ่อนตัว เพื่อสะดวกในการกรอและทอผ้า

ส่วนการทอผ้าไหมมีข้อแตกต่างจาก การทอผ้าฝ้ายอยู่อีกอย่างหนึ่งคือในขณะที่กำลังทอนั้นเส้นด้ายแนวนอน
จะต้องเปียก ชุ่มน้ำตลอดเวลาในการทอ เพื่อให้เส้นไหมได้กระชับแน่นให้มากขึ้นอีกอย่าง หนึ่งในการทอผ้า

ไหมชาวไททรงดำนั้น แต่ละครอบครัวนิยมทอไว้ไม่มากนักจะเก็บเอาผ้าไหมที่ทอ ไว้ใช้สำหรับประเพณีงานศพ
โดยดูจำนวนสมาชิกในครอบครัวไม่นิยมทอมาใช้ตัดเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่ม นายทวย จับใจ เลขานุการกลุ่มทอผ้า

ชายชาวไททรงดำตำบลหนองปรง ที่ทอผ้าขายเป็น อาชีพเสริมได้เล่าถึงการทอผ้าของชาวไททรงดำให้ผู้วิจัยฟัง
สรุปว่า เท่าที่สังเกตการทอผ้าของ ชาวไททรงดำเป็นกิจกรรมของครอบครัวไม่เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง

ในครอบครัวส่วนมาก สมาชิกที่เป็นผู้หญิงจะเป็นผู้ดำเนินการเพื่อจะได้ผ้ามาใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม และอีกส่วน

ล้ผัชั

28


หนึ่งจะนำไป ใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีในครอบครัวในการมีส่วนร่วมการทอผ้า
จึงทำใหส้ มาชกิ ของครอบครวั ทเ่ี ปน็ ผูช้ ายจำนวนไม่นอ้ ยท่สี ามารถทอผา้ ได้

mวธิ ีกาwรข้นั ตอนกระบวนการทอผ้า (วสั ด-ุ อปุ กรณ์ วธิ กี าร)
วัสด-ุ อุปกรณใ์ นการผลิตเสน้ ใย

0ฝา้ ย เปน็ ฝ้ายที่ปลกู เองตามสถานท่ีรอบๆ ในชมุ ชน ทีป่ ลกู กนั ตัง้ แตด่ งั้ เดิม เมอ่ื เก็บมาแลว้ ก็จะนำมาอิว้

เพือ่ เอาเมลด็ ออก จากนน้ั กจ็ ะนำมาปั่นให้เป็น เส้นใย แล้วจึงนำมาย้อมสี หรอื นำมาทอเป็นผนื ผ้าแลว้ จงึ ยอ้ มสี
ภายหลงั ฝา้ ยพนั ธทุ์ ่ีใชท้ อผ้าจะเปน็ พนั ธุ์พืน้ เมืองมี 2 ชนิด คอื พันธ์ุเมล็ดเลก็ เรยี กวา่ พนั ธุ์ แก่นน้อยและพนั ธุ์
เมลด็ ใหญ่ เรียกวา่ พนั ธแุ์ ก่นใหญ่ ทั้ง 2 ชนดิ นเ้ี ปน็ พันธ์ุท่นี ิยมใชก้ ันทว่ั ไป ยังมีฝา้ ยอีกพันธ์หุ นงึ่ คอื ฝา้ ยเทศ
ซึ่งไม่ต้องนำมาอิว้ สามารถนำมาปนั่ เป็นด้ายได้เลย แตไ่ ม่นยิ มใช้เพราะเนอื้ หยาบ ผ้าทที่ อออกมาจะมีลกั ษณะ
หยาบไม่น่มุ จึงไมน่ ิยมใช้ แต่ในปจั จุบนั ไม่นยิ มปลูกฝา้ ยไว้ใชเ้ อง แตซ่ ้ือฝ้ายสำเรจ็ จากร้านคา้ เพราะสะดวกกวา่

การเตรียมเส้นใย

อว้ิ ฝ้าย ใช้เครอ่ื งอวิ้ ฝา้ ยเพอ่ื เอาเมลด็ ฝ้ายออก แลว้ จึงนำไปตหี รือถาบฝา้ ย

ถาบฝา้ ย (ตีฝ้าย) เครือ่ งถาบฝ้ายจะทำใหฝ้ ้ายฟุ้งหรอื ฟขู ึ้น แล้วจงึ นำไปเข้าเคร่ือง

ม้วนฝา้ ย นำฝา้ ยทีต่ แี ลว้ ไปเข้าเครอ่ื งมว้ น ภาษาไททรงดำเรียกว่า ลอ้ ฝ้ายก่อน

ปั่น0ฝา่ ย การทำฝ้ายให้เปน็ เสน้ ยาวติดต่อกนั หรอื เรยี กวา่ ไนฝา้ ย
เปยี ฝ้าย นำด้ายทที่ ำไวเ้ ป็นเส้นมาทำใหเ้ ปน็ เขม็ พรอ้ มท่ีจะนำไปยอ้ มสหี รือนำไป

ไหม เป็นไหมพันธุ์พื้นบ้าน ซึ่งมีมาตั้งแต่ดั้งเดิม ซึ่งเลี้ยงง่าย ทนโรค ให้เส้นใย ละเอียด เส้นยาว จึงนิยมใช้พันธุ์

น้ี สว่ นไหมญ่ีปนุ่ หรอื ไหมทสี่ ำเร็จรูปมาแลว้ ไมเ่ ปน็ ที่นิยมอาหารของตัวไหม คอื ใบของตน้ หมอ่ น

aepefhlpgnวธิ เี ลี้ยงไหม เรา น การ ทอ าไหม

ตวั ไหมที่เลีย้ งเพ่อื เอาเสน้ ไหมนน้ั จะมีอยู่ 4 วัย า าย
วยั แรก เรยี ก "นอนก๋าย" .

วัยที่ 2 เรยี ก "นอนสอง"

วนั ที่ 3 เรียก "นอนสาม"

เมื่อถึงวัยที่ 4 ประมาณ 6-7 วันจะสุก ตัวไหมก็จะเข้ารับ ถ้าเป็นรังตัวผู้ รังจะยาว ถ้าเป็นรังตัวเมียรังจะสั้น

รังไหมภาษาไทยทรงดำ เรียกว่า “เหลาะหม้อน" เมื่อตัวไหมเข้ารังหมดแล้วก็จะนำไหมมาต้มและสาวไหมเพ่ือ

ใชเ้ ปน็ เสน้ ใยเก็บไว้ใช้ทอผา้

•อุปกรณใ์ นการสาวไหม
1.กระด้งหรือกะโล่ (ภาษาไทยทรงดำ เรยี ก) "ตกหม้อน"
2.หมอ้ ต้ม (ใชต้ ม้ ตัวไหม) เพอ่ื สาวไยไหมออกมา
3.จวงสาว ทำดว้ ยใบไม้นำมาขดใหโ้ ค้ง ใชด้ งึ เส้นไหมออกจากหมอ้
4.เตา
5.กระด้งรองเส้นไหม

้ฝ้ผ้ผ้ัร

29


วัสดุอุปกรณ์ในการผลิตเส้นใยที่สตรีไททรงดำนำมาทอเป็นผ้านั้นเป็นสิ่งที่ทำสืบทอดกันมาแต่โบราณ
ฝ้ายที่นำมาทอผ้านั้นแม้ในปัจจุบันจะนิยมใช้ฝ้ายจากโรงงานเป็นส่วนใหญ่เพราะให้ ความสะดวก และรวดเร็ว
กว่าการปลูกเอง ส่วนไหมที่นำมาทอผ้านั้นจะเป็นไหมพันธุ์พื้นเมือง ที่เล้ียงกัน มาแต่ดั้งเดิมทั้งสิ้น ไม่นิยมเลี้ยง
ไหมพันธตุ์ ่างประเทศเพราะยุง่ ยาก

อปุ กรณ์ในการทอผ้าแบบพื้นบ้านไททรงดำ
เครื่องมือที่ใช้ทอผ้าแบบพื้นบ้านไททรงดำ เรียกว่า "กี่" ซึ่งเป็นกี่ทอมือแบบโบราณ อุปกรณ์ที่นำมา

ประกอบเป็นตัวกี่ ใช้วัสดุ และอุปกรณ์ ที่หาได้ในท้องถิ่น และสามารถทำขึ้นใช้ได้เอง และเป็นสิ่งที่ใช้สืบทอด
กนั มาเปน็ เวลานาน หลายช่วั อายุคน ก็ในลกั ษณะนเ้ี ปน็ กีแ่ บบเดยี วกับทท่ี อผ้า พน้ื เมอื งของภาคอสี าน ซงึ่
ทรงพันธ์ วรรณมาศ (2534) ไดร้ วบรวมไวป้ ระกอบด้วย
1. โครงก่ี คอื เป็นโครงสร้างใหญ่ของเครื่องทใี่ ชท้ อ
2. ฟีม คือ ส่วนที่ใช้กระทบให้ดายที่ทอเข้าแน่นมีลักษณะเป็นแผ่น ซึ่งรวมเอาไม้เล็กๆ ถี่ เข้ากันไว้เป็นช่องๆ
ระหวา่ งเหลา่ น้ีได้ใช้สำหรับสอดดา้ ยยืนทั้งหมด
3. เขาหกู (ตะกอ) ใชส้ ำหรบั เกบ็ ลวดลาย
4. ไม้ม้วนผา้ และหลักมว้ นผา้ คือ ไม่ทใี่ ช้ม้วนผ้าท่ีทอแลว้ ไว้อีกส่วนหนงึ่ เป็นไม้ขนาดความกว้างเท่ากบั ก่ี
5. ไมส้ ำหรบั นงั่ เวลาทอผา้ คือใชส้ ำหรับผทู้ อนง่ั ทอผ้าเวลาทำการทอผา้
6. ไมเ้ หยีบสำหรับดึงเสน้ ดา้ ยให้ขึ้นลง (คานเหยยี บ)
7. ไม้แกนมว้ นด้ายยืน
8. คานแขวน
9. ผา้ ท่ที อแลว้ มว้ นไว้ทไี่ ม้
10.ด้ายยืน
11.กระสวย คือ ไม่ที่เป็นรูปตรงปลายทั้งสองข้างใหญ่ตรงกลาง มีร่องสำหรับใช้หลอดด้ายอยู่ตรงการ ใช้
สำหรับลอดไปในระหว่างชอ่ งการทอผา้
12.หลอดด้ายพุง่ คอื หลอดไมใ้ ฝท่ ่บี รรจดุ า้ ยจนเตม็ ใส่อยภู่ ายใน
13.ผังและอปุ กรณต์ า่ งๆ ทีใ่ ช้ประกอบใช้การทอการเกบ็ ดอก

สอ

ในa-วธิ ีการข้ันตอนการทอผา้ ไททรงดำ p
เทคนิคและกรรมวิธีในการทอผ้าเทคนิคและกรรมวิธีในการทอผ้าและการทำลวดลายผ้าทอโดยทั่วไปเป็น
การทำที่มีการสืบทอดกันในครอบครัวเป็นส่วนใหญ่จากการเรียนรู้ในการทอผ้าเมื่อเปรียบเทียบกับการเรียน
การสอนวิชาศิลปศึกษาในปัจจุบันเป็นวิธีการเดียวกับที่ ชวชิต ดาบแก้ว และสุดาวดี เหมทานนท์ (2525) ได้
กล่าวถึงการสอนศิลปศึกษาด้วยวิธีการลอกเลียนแบบในลักษณะแบบบอกให้โดยตรง (Direct Method) คือ
การสอนที่ให้ผู้สอนเป็นผู้นำและผู้เรียนเป็นผู้ตามเป็นการสอนที่เน้นการลอกเลียนแบบมุ่งทำให้เหมือนให้มาก
ทีส่ ุดวิธีสอนท่ีจัดอยู่ในประเภทน้ี ไดแ้ ก่
ก. วิธีสอนทำตามแบบหรือตามการสาธิตผู้สอนจะเป็นผู้ออกคำสั่งให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติตามเป็นขั้น ๆ
ขั้นตอนใดผิดผู้สอนจะแนะนำให้เหมาะสำหรับการฝึกหัดผู้เรียนที่ไม่เคยปฏิบัติตามเป็นขั้น ๆ ขั้นตอนใดผิด
ผู้สอนจะแนะนำให้เหมาะสำหรบั การฝกึ หดั ผ้เู รยี กทีไ่ ม่เคยปฏิบัติงานกอ่ น
ข. วิธีสอนโดยใช้แม่แบบเป็นการสอนที่ผู้สอนเตรียมบทเรียนโดยสร้างแม่แบบขึ้นแล้วให้ผู้เรียนลอกแบบ
ตาม

30


นวลศิริเปาโรหิตย์ (2527) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้ตามทฤษฎีนี้มีความเชื่อว่ามนุษย์เรียนรู้โดยการ
ลอกเลียนแบบและจดจำจากแม่แบบ (Modeling) ได้ดีกว่าวิธีการเรียนรู้แบบอื่น ๆ ซึ่งนวลศิริ เปาโรหิตย์ได้
อ้างถึง Jonson (1972) กลา่ วถงึ การเรยี นรจู้ ากแม่แบบวา่ มีความสำคัญดังตอ่ ไปนี้

ก. ทำให้รู้จักวิธีตอบสนองแบบใหม่การจดจำแม่แบบบุคคลได้เรียนรู้วิธีการที่แม่แบบใช้อาจเป็นวิธีการใหม่
ซึง่ เขาไมเ่ คยรมู้ ากอ่ นนอกจากนีก้ ารดูแบบและนำมาทำตามมกั จะทำได้อยา่ งไมใ่ ครผดิ พลาด
ข. ช่วยใหพ้ ฤติกรรมท่เี รียนรแู้ ล้วไดแ้ สดงออกง่ายขึ้นการสงั เกตจากแมแ่ บบน้ี

การย้อมสผี ้า

ผ้าผ้ายหลังจากการทอ•เป็นผืนผ้าแล้วซึ่งมีสีขาว ก่อนจะนำไปใช้งานบางอย่างจำเป็นต้องมีการย้อมสีก่อน

สีที่ใช้มาเป็นสีที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ต้นครามซึ่งได้จากการปลูกตามริมรั้วบ้านหรือชายไร่ชายบำ โดยการนำ
ต้นครามทั้งต้นมาแช่น้ำประมาณ 5-7 วัน แล้วใบจะล่วงลงในโอ่งที่แช่ ก็นำต้นครามออกทิ้งไปและหมักใบต่อ
อีก ประมาณ 1 สับดาห์ จนใบคราม เน่าเปื่อยหมดจะเห็นน้ำเป็นสีนิล หลังจากนั้นนำน้ำที่ได้จากต้นคราม ซึ่ง
เรียกว่า "น้ำนิล" นำน้ำนิลไปกรองเอาเศษใบครามและตะกอนต่าง ๆ ออก หลังจากนั้นนผ้า ฝ้ายที่ต้องการย้อม
มาแช่ไว้ 1 คืน เมื่อเห็นสีติดผ้าเข้มดีแล้ว นำ "ฝ้ามาล้างน้ำ 1 ครั้ง แล้วนำไปตากให้แห้ง หลังจากนั้นจึงนำไปใช้
งานต่อไป ค่านิยม ความเชื่อ และพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการถ่ายทอดวัฒนธรรมการทอผ้าของ
ชาวไททรงดำ

กระบวนการทอผา้ ของชาวไททรงดำ

แต่เดิมชาวไทดำจะผลิตผ้าฝ้ายและผ้าไหมเพื่อใช้เองในครอบครัว เป็นการผลิตแบบครบวงจรซึ่งผลิต
ควบคู่กับการประกอบอาชีพหลัก คือ การทำนา ชาวไทดำมีความรู้เรื่องการผลิตผ้าฝ้ายและผ้าไหมจากการ
ถ่ายทอดสืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษจนกระทั่งปัจจุบัน เมื่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ซึ่งเคยเป็นสังคมแบบพึ่งพาตนเองเปลี่ยนเป็นสังคมแบบซื้อขาย การแสวงหาและการผลิตเสื้อผ้า
เครื่องแต่งกาย และเครื่องนุ่งห่มก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย วัตถุดิบที่ใช้ในการทอผ้าก็ซื้อหาได้จากตลาด ปัจจุบันจึง
ไม่นิยมผลิตเส้นใยเอง แต่จะใช้เส้นใยสังเคราะห์ที่เรียกว่า “ด้ายโทเร” มาทอเป็นผ้าแทน ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก
การนำเส้นใยไหมหรือเส้นใยฝ้ายมาทอผ้านั้นมีกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อนไม่เหมาะกับการดำรงชีวิต
ในปัจจุบัน ซึ่งต้องทุ่มเทเวลาในแต่ละวันกับการทำไร่นาของตนเอง หากจำเป็นต้องใช้ผ้าไหม ชาวไทดำจะซ้ือ
จากแหลง่ อน่ื เชน่ ตลาด หรือผา้ ไหมท่ชี ายตามเทศกาลงานต่างๆ

ชาวไทดำเมื่อว่างจากการทำไร่นาและเริ่มจะเข้าสู่ฤดูหนาวจะนิยมทอผ้าห่มด้วยผ้าฝ้าย โดยซื้อฝ้าย
สำเร็จรูปจากตลาดเพื่อนำมาทอเป็นผ้าห่มและจะนิยมทอด้วยฝ้ายสีเข้มด้วยเห็นว่า สีเข้มเก็บความร้อนได้ดีกว่า
ผ้าห่มสีอื่นๆ เมื่อทอเสร็จจะนำมาเย็บเป็นผืนหนาใหญ่ใส่นวมหนาบางตามต้องการ นอกจากนั้นจะทอผ้า ซิ่น
ผ้าเปยี วเบา๊ ะไวใ้ ชใ้ นครอบครัว ลวดลายท่ใี ช้ในการทอผ้า เช่น ลายดอกผกั แวน่ ลายนาค ลายแตงโม เปน็ ต้น

31


ขนั้ ตอนการทอ

1. เสน้ ฝา้ ย เอามาลงแปง้ กอ่ น สมยั ก่อนลงดว้ ยนำ้ ขา้ วเจา้ ไมไ่ ดล้ งแปง้ ขาว (แป้งมนั สำปะหลัง) นวด

พอประมาณ แลว้ นำไปตาก เสน้ ฝา้ ยไดจ้ ากการปลูกฝา่ ยเอง ปลูกท้งั ฝา้ ย ทง้ั คราม

2. เอาเสน้ ฝา้ ยท่ียอ้ มดว้ ยหม้อฮอ่ ม หมอ้ นลิ มาใสก่ ง ไทดำเรยี กว่า กงกวา๊ ง

°3. เผย่ี น (แกว่ง) ใส่หลอด
4. จวงเขน็ หูก ค้นหูก
nep ใ
5. สืบหูก ตอ่ ใส่ฟมื

6. นำไ•ปตำ่ (ทอ) เป็นผืน
โดยมกี ระบวนการทอผา้
eepeer edขั้นตอนที่ 1 เอาเส้นไหมใยฝ้ายหรือด้ายโทเรมาใส่กงาน
ไ ทตดำสเรียากหว่ากกงรกรว๊ามง น - ม า ป ั ่ น ด ้ ว ยจ ว ง เ ผ ี ่ย น (อุปกรณ์



ปน่ั ดา้ ยเขา้ หลอด)

ขั้นตอนที่ 2 การจูงด้าย เพื่อให้ได้ความยาวของด้ายตามต้องการ เอาหลอดด้ายไปเข็นด้วยจวงเข็น โดยเอา

หลอดด้ายใส่จำนวน 8 หลอด แล้วเอาไม้มาผูกใส่เสา เอาปลายเส้นด้ายรวมกัน 8 เส้น คล้องใส่เสาข้างละ 5 วา

มหี ลกั 2 หลักสำหรบั ไว้ไขว้

ขนั้ ตอนที่ 3 นำดา้ ยผกู ใสก่ ่ี ใสแ่ ปรงกร่ี ูละ 8 เสน้ 1 หลบ มี 10 รู ๆ ละ 8 เส้น มีทัง้ หมด 10 หลบ (100 ร)ู

ขั้นตอนที่ 4 แช่เส้นด้ายเพื่อไม่ให้เส้นด้ายแข็ง หากเส้นด้ายแข็งจะทอไม่แน่น จากนั้นขอดหัวหูก เพื่อให้

เสน้ ดา้ ยตงึ

ขั้นตอนที่ 5 แหย่ด้ายอีกด้านหนึ่งใส่เขาหูกทั้ง 2 เขา (เขาบน-เขาล่าง) สลับกัน (บน-ล่าง) เหยียบโดยใช้ตีนยัน

แปรงหกู เขาบน-เขาลา่ ง ฟืม กระสวย ตีนยัน

ขั้นตอนท่ี 6 สืบหูก ต่อใส่ฟืม ทอดว้ ยกี่กระตกุ หรือทอด้วยกพ่ี น้ื เมือง



ำ1 เ น น



๊ํล่หืผ็ป้หำทืณุอ้ด่ส

32



zความหมายของสนี ำมาย้อมผา้ ของชาวไททรงดำ

33


ความร้สู ึกทีเ่ กดิ จากคุณลักษณะของเส้น
เสน้ ตรง : ใหค้ วามรูส้ กึ แน่นอน แข็งแรง ตรง เข้ม ไม่ประนีประนอม หยาบ และเอาชนะ
เส้นโค้งน้อยหรือเป็นคลื่นน้อย ๆ : ให้ความรู้สึก สบาย เปลี่ยนแปลงได้ เลื่อนไหล ต่อเนื่องมีความกลมกลืนใน
การเปลี่ยนทิศทาง ความเคลื่อนไหวช้า สุภาพ เป็นผู้หญิง นิ่มและอิ่มเอิบ ถ้าใช้เส้นนี้มากเกินไปจะให้ความรู้สึก
กงั วล เร่ือยเฉื่อยขาดจดุ หมาย
เสน้ โค้งแคบ : ใหค้ วามรู้สึก เปล่ยี นทศิ ทางรวดเร็ว มพี ลงั เคลอ่ื นไหวรนุ แรง
เส้นโค้งของวงกลม : ให้ความรู้สึก การเปลี่ยนทิศทางที่ตายตัว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ให้ความรู้สึกเป็นเรื่องซ้ำๆ
เปน็ เสน้ โค้งทมี่ ีระเบยี บท่ีสุด แต่จืดชดื ท่สี ุด ไมน่ า่ สนใจ เพราะขาดความแปรเปล่ยี น
เส้นโค้งก้นหอย : ให้ความรู้สึก เคลื่อนไหว คลี่คลาย และเติบโต เมื่อมองจากภายในออกมา แต่ถ้ามองจาก
ภายนอกเข้าไปจะให้ความรู้สึกที่ไม่สิ้นสุดของพลังเคลื่อนไหว เส้นก้นหอยที่พบในธรรมชาติมักจะวนทวนเข็ม
นาฬิกา พบไดใ้ นกน้ หอย ในหมอกเพลงิ ในอาการท่ีเกี่ยวพันของไม้เล้อื ย เป็นเส้นโค้งทขี่ ยายตัวออกไมม่ จี ดุ จบ
เส้นฟันปลาหรือเส้นคดที่หักเหโดยกะทันหัน : ให้ความรู้สึก เปลี่ยนทิศทางเร็วมาก ทำให้ประสาทกระตุก ให้
จงั หวะกระแทก เกร็ง ทำใหน้ ึกถงึ พลงั ไฟฟา้ ฟ้าผา่ กจิ กรรมท่ขี ัดแยง้ ความรุนแรงและสงคราม

ความรู้สึกทีเ่ กิดจากทศิ ทางของเส้น
เส้นนอน : กลมกลนื กับแรงดึงดูดของโลก ให้ความรู้สกึ พักผ่อน เงยี บ เฉย สงบ ผอ่ นคลาย
เส้นตั้ง : ให้ความสมดุล มั่นคง แข็งแรง พุ่งขึ้น จริงจัง และเงียบขรึม เป็นสัญลักษณ์ของความถูกต้อง ซื่อสัตย์
มีความสมบรู ณใ์ นตัว เปน็ ผ้ดู ี สงา่ ทะเยอทะยาน และรุ่งเรอื ง
เส้นเฉียง : เป็นเส้นที่อยู่ระหว่างเส้นนอนกับเส้นตั้ง ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวไม่สมบูรณ์ ไม่มั่นคง ต้องการเส้น
เฉียงอีกหน่ึงมาช่วยให้มั่นคง สมดลุ ในรปู ของมุมฉาก
เส้นเฉยี งและโคง้ : ให้ความรู้สกึ ขาดระเบยี บ ตามยถากรรม ใหค้ วามรูส้ กึ พงุ่ เข้าหรอื พ่งุ ออกจากที่ว่าง

กระบวนการถ่ายทอดวัฒนธรรมการทอผ้ากระบวนการทอผ้าของไททรงดำ เป็นวัฒนธรรมหนึ่งของ

_Lเ จ นไ,,ชาวไททรงดำ เพราะได้มีการปฏิบัติสืบทอดกันมาจากสมาชิกรุ่นเก่า ๆ จนถึงปัจจุบันจากการศึกษาของผู้วิจัย

วิจัยพบว่ากระบวนการถ่ายทอดวัฒนธรรมการทอผ้ามีหลายรูปแบบที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดทางตรงและถ่ายทอด
ทางอ้อมสถาบันต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ในการถ่ายทอดวัฒนธรรมต่าง ๆ รวมถึงวัฒนธรรมการทอผ้าให้กับสมาชิก
ชาวไททรงดาสถาบันเหลา่ นี้ ได้แก่ สถาบนั ครอบครวั โรงเรียน กลุ่มเพื่อน กล่มุ อาชีพ กลุม่ ผนู้ ํา กลมุ่ กิจกรรม

กระบวนการถา่ ยทอดวฒั นธรรมการทอผา้
ในการศึกษาถึงกระบวนการถ่ายทอดวัฒนธรรมการทอผ้า และวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องของชาวไททรงดำ

ผวู้ ิจัยไดจ้ ำแนกหวั ข้อทีจ่ ะนำเสนอดงั ตอ่ ไปนี้
1. กระบวนการทอผ้าของชาวไททรงดำ
2. วัฒนธรรม คา่ นิยม ความเชื่อและพธิ ีกรรมทเี่ ก่ียวข้อง
3. กระบวนการถ่ายทอด วฒั นธรรมการทอผ้าของชาวไททรงดำ

ฉุขับ็

34


f สา ต เ ยน/ จาก การ
แหละ เ น

กระบภวูมนิปกัญาญรถาเ่าปย็นทสอิ่งดที่มวแีัฒคนวนาวธมรสรำมคดกัญาตรท่อชอุมผชา้ ขนอแลงชะาทว้อไงทถทิ่นรใงนดกำา\รเป็นสสา่วนหตจนึ่งงของวิถีชีวิตในท้องถิ่นนั้น ๆ โดย
สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น การศึกษาแนวคิดของกระบวนการการถ่ายทอดความรู้และภูมิปัญญา

จะช่วยให้เข้าใจในรูปแบบและกระบวนการถ่ายทอดภูมิปัญญาผ้าทอมือของชุมชนไททรงดำได้เข้าใจยิ่งข้ึน

แนวคิดการถ่ายทอดความรู้และภูมิปัญญาที่รวบรวมมามีดังน้ี เอกวิทย์ ณ ถลาง (2539: 40 – 48) กล่าวว่า

ธรรมชาติการเรียนรู้ของมนุษย์มีความสำคัญ และธรรมชาติของการเรียนรู้ส่งผลให้เกิดการสั่งสมในทางภูมิ

ปัญญาของมนุษย์เอาไว้และสืบต่อถ่ายทอดกันเรื่อยมา ซึ่งรูปแบบของการถ่ายทอดสืบต่อภูมิปัญญานั้น

ประกอบไปดว้ ยรูปแบบต่าง ๆ ดงั นี้

1. การลองผิดลองถูก วิธีการนี้เป็นวิธีการตั้งแต่อดีตที่มนุษย์ใช้ในการเรียนรู้เพื่อดำรงชีวิตและรักษาเผ่าพันธุ์

ของตนเอาไว้ มนุษย์ได้ลองผิดลองถูกทั้งในการหาอาหาร การต่อสู้รับมือกับธรรมชาติ การใช้สมุนไพรเพื่อการ

รักษาโรค ประสบการณ์จากการลองผิดลองถูกได้สั่งสมเกิดเป็นความรู้ภูมิปัญญาและถ่ายทอดต่อไปสู่ลูกหลาน

ภูมิปัญญาบางอย่างถูกถ่ายทอดไปในรูปของข้อปฏิบัติข้อห้าม จารีต หรือประเพณีในวัฒนธรรมของกลุ่มคน

น้นั ๆ สบื ต่อไป

2. การลงมือปฏิบัติจริงจากสถานการณ์จริง มนุษย์จะได้เรียนรู้ด้วยการลงมือทำและปฏิบัติจริงจาก

สภาพแวดล้อมตามที่ตนอยู่อาศัย เช่น การเดินทาง เกษตรกรรม การสร้างบ้านเรือน ฯลฯ อย่างในกรณีของ

ไทยชาวบ้านในพื้นที่ทางภาคเหนือก็เรียนรู้ด้วยการร่วมกันและจัดทำระบบเหมืองฝาย ให้สามารถทำ

การเกษตรบนพื้นที่หุบเขา คนทางภาคอีสานเรียนรู้การหาแหล่งดินดำน้ำชุ่มและตั้งรกรากทำมาหากิน

ชาวภาคกลางเรียนรู้จากภาวะน้ำท่วมที่ประสบอยู่บ่อยครั้งจึงเรียนรู้การปลูกใต้ถุนสูงเพื่อหนีน้ำ และชาว

ภาคใตเ้ รยี นรู้การแลกเปลีย่ นผลผลิตกันระหวา่ งพืน้ ทช่ี ายทะเลกับพืน้ ที่สว่ นใน เป็นต้น

03. การสาธิต เป็นวิธีการถ่ายทอดด้วยการบอกเล่าและทำเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นรูปแบบหนึ่งของการ
สืบทอดภมู ปิ ัญญาหลงั จากท่ีมนษุ ย์ไดเ้ รียนรู้แลว้ กจ็ ะทำการส่งต่อคนรุ่นหลงั ต่อไปดว้ ยวธิ ีการสาธิต สำหรบั การ
ถา่ ยทอดดว้ ยการบอกเลา่ ท้ังการบอกเลา่ ปกติหรอื อยใู่ นรปู อ่นื อย่างเพลง คำพังเพย สภุ าษิต เปน็ ต้น นอกจากนี้

ยงั สรา้ งองค์ความรู้สืบต่อเป็นลายลักษณอ์ กั ษรทง้ั บนั ทึก ตำรา แผนที่ เปน็ ตน้

4. พิธีกรรม การสืบทอดความรู้ภูมิปัญญาอาจอยู่ในรูปของพิธีกรรม โดยลักษณะของพิธีกรรมจะแสดงให้เห็น

ความศักดิ์สิทธิ์และมีพลังในการโน้มน้าวให้คนในกลุ่มรับเอาคุณค่าและแบบอย่างพฤติกรรมที่ต้องการให้เข้าไป

อยู่ในตัวของคนนั้น และเป็นการตอกย้ำความเชื่อ กรอบศีลธรรมจรรยาของกลุ่มคน แนวปฏิบัติและความ

คาดหวงั นอกจากน้ี พิธีกรรมจะไม่ตอ้ งการใหห้ รอื ไมจ่ าเปน็ ทต่ี อ้ งมกี ารจำแนกแจกแจงเหตผุ ล

5. ศาสนา โดยหมายรวมถึงหลักธรรมคำสอน ศีล และวัตรปฏิบัติ ตลอดจนกิจกรรมทางสังคมที่ศาสนสถาน

เป็นศูนย์กลางของชุมชนในการเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการเน้นย้ำของภูมิปัญญา ในอุดมการณ์แห่ง

ชีวิต ให้เป็นกรอบและบรรทัดฐานความประพฤติ และให้ความสงบทางจิตใจ เป็นที่ยึดเหนียวแก่การใช้ชีวิต

การถ่ายทอดความรู้ด้วยศาสนาจึงเป็นแบบองค์รวม ศาสนามีอิทธิพลต่อบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องในทางตรงและ

ทางอ้อม และเป็นแกนในกระบวนการขดั เกลาทางสังคม

ิธิคิรำทู้รีร็ปิธ

35


6. การแปลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างกลุ่มคนที่แตกต่างกัน ทั้งในชาติพันธุ์ ถิ่นฐาน และ
วัฒนธรรม ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และถ่ายทอดภูมิปัญญาให้ขยายตัว เกิดสิ่งใหม่ ผสมผสานกลมกลืน
หรือเกดิ การขัดแย้งกัน กลายเปน็ การเรยี นร้ทู ีห่ ลากหลายผา่ นเครือข่ายของความแตกต่างดงั กล่าว
7. การผลิตซ้ำทางวัฒนธรรม การแก้ปัญหาทางสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมได้เลือกใช้ความเชื่อและ
ธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาในสังคม เกิดเป็นการผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับฐานความเชื่อเดิม
เกิดเป็นแนวทางการแก้ปัญหาต่อบริบทสภาพแวดล้อมใหม่ๆ การผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมนี้จึงถือเป็นการเรียนรู้
และถ่ายทอดอยา่ งหนึ่งในสังคม
8. ครูพักลักจำ เป็นวิธีหนึ่งในการเรียนรู้ภูมิปัญญา ซึ่งครูพักลักจำเป็นการแอบเรียนหรือแอบทำการสืบทอด
ด้วยการเลียนแบบอย่างและลองทำตามจากการที่คอยเฝ้าสังเกตอยู่ห่างๆโดยผู้ที่แสดงภูมิปัญญาไม่รู้ตัว
จนสามารถเรียนรแู้ ละนำไปทำเองไดจ้ รงิ

รัตนา แสงสว่าง (2549: 38) กล่าวถึงรูปแบบการถ่ายทอดภูมิปัญญาว่าการถ่ายทอดภูมิปัญญาจะมีรูปแบบ
การถ่ายทอดที่แตกต่างกันออกไปตามหลักเกณฑ์ที่แตกต่างการเป็นรูปแบบของการใช้คำพูด รูปแบบที่ไม่ใช้
คำพูด รูปแบบผสมของทั้งสองรูปแบบ หรืออาจเป็นการถ่ายทอดแบบเป็นลายลักษณ์อักษร รูปแบบที่ไม่เป็น
ลายลักษณ์อักษร หรืออาจเป็นการถ่ายทอดในรูปแบบของการถ่ายทอดตามความสะดวก รูปแบบของ
การถ่ายทอดแบบมีความร่วมมือ ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ การถ่ายทอดภูมิปัญญา
ให้แก่เด็กและผู้ใหญ่ก็แตกต่างกันไปตามแต่สภาพแวดล้อมและบริบทของท้องถิ่นทั้งทางตรงและทางอ้อม การ
ถ่ายทอดยังอาจอาศัยศรัทธาทางศาสนา ความเชื่อต่าง ๆ รวมถึงความเชื่อของบรรพบุรุษเป็นตัวกลางในการ
ถา่ ยทอดกไ็ ด้

สามารถ จันทร์สูรย์ (2536: 150 – 152) กล่าวว่าวิธีการถ่ายทอดภูมิปัญญาขึ้นอยู่เกณฑ์ของผู้ที่รับช่วงการ
ถ่ายทอด ซึง่ สามารถจำแนกเปน็ 2 วิธีตามอายุของผู้รบั การถา่ ยทอด ได้แก่

1. การถ่ายทอดภูมิปัญญาแก่เด็ก ในกลุ่มเด็กนี้ผู้ถ่ายทอดต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของเด็กมีความสนใจที่สั้น
กิจกรรมที่ใช้ในการถ่ายทอดภูมิปัญญาต้องคำนึงถึงความง่าย ไม่ซับซ้อน มีความสนุกสนานและดึงดูด วิธีการ
ถ่ายทอดจึงเป็นการละเล่น การเล่านิทาน การให้ทดลองท าตามตัวอย่าง หรือการเล่นปริศนาค าทาย วิธีการ
เหล่านี้ถือเป็นการสร้างเสริมนิสัยและบุคลิกภาพไปในตัวของเด็กตามที่สังคมปรารถนา และจะมุ่งเน้นไปที่การ
เสริมสรา้ งจริยธรรมในส่ิงทค่ี วรทำและไมค่ วรทำ

2. การถ่ายทอดภูมิปัญญาแก่ผู้ใหญ่ สำหรับกลุ่มผู้ใหญ่จะเป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์ในชีวิตในระดับหนึ่ง
และเป็นวัยที่อยู่ในวัยทำงาน รูปแบบวิธีการถ่ายทอดจึงทำได้หลากหลายและจริงจังมากกว่าเด็ก เช่น การบอก
เล่าตามคำสอนโดยตรง หรือการบอกเล่าผ่านพิธีกรรมอย่างพิธีสู่ขวัญพิธีกรรมทางศาสนา หรือพิธีกรรมตาม
ขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นต่างๆ รวมทั้งการให้ลงมือประกอบอาชีพตามแบบอย่างของบรรพบุรุษท่ี
ถา่ ยทอดกนั มา เป็นต้น

สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (2537 อ้างถึงใน จิติกานต์ จินารักษ์, 2551: 7 – 8) ระบุว่า
องค์ประกอบสำคญั ในกระบวนการถา่ ยทอดความรูภ้ มู ิปญั ญาและทกั ษะ ประกอบไปดว้ ย 7 ส่วน ไดแ้ ก่

1. ผู้ถ่ายทอด เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดของกระบวนการ เพราะทำหน้าที่เป็นผู้ที่เป็นตัวกลางในการนำ
ความรูภ้ ูมิปัญญาไปสู่ผูท้ ร่ี ับการถ่ายทอดภูมิปัญญา

36


2. สื่อ เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการถ่ายทอดภูมิปัญญาให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ สื่อในการถ่ายทอดมีได้
หลายประเภททั้งรูปแบบเอกสาร วัสดุ หรืออุปกรณ์ ผู้ถ่ายทอดควรให้ความสำคัญของสื่อและใช้สื่อประกอบ
เพ่อื ใหผ้ ้รู บั การถา่ ยทอดภมู ิปัญญาเข้าใจอย่างถ่องแท้

3. กิจกรรมหรือวธิ ีการที่ผู้ถ่ายทอดใชเ้ พื่อนำพาเอาความรูภ้ ูมิปญั ญาเหล่านั้นไปสผู่ ทู้ ่รี ับการถา่ ยทอด
4. พื้นที่ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องคำนึงในการถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญา ซึ่งพ้ืนที่หรือสถานที่นั้นจะต้องมีความ
เหมาะสมกบั ลักษณะและเน้อื หาของภมู ปิ ัญญาที่ทำการถ่ายทอด
5. เนื้อหา โดยจะต้องมีเนื้อหาของภูมิปัญญาที่ทำการถ่ายทอด ซึ่งควรมีเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับการดำรงชีวิต
ในท้องถน่ิ น้นั
6. บรรยากาศและสภาพแวดล้อม ผู้ที่ถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญาควรเลือกบรรยากาศที่เหมาะสมต่อการ
ถ่ายทอดภมู ปิ ัญญา เพ่อื ใหท้ ่ีผรู้ บั สามารถซึมซบั และรบั เอาการถ่ายทอดภมู ปิ ัญญาน้นั ไดอ้ ย่างเต็มที่
7. การประเมินผล ในท้ายที่สุดขั้นตอนการถ่ายทอดความรู้และภูมิปัญญานั้นควรได้รับการประเมินผลของ
การถา่ ยทอด เพอื่ ให้ทราบวา่ กระบวนการถา่ ยทอดน้ันมีผลสมั ฤทธ์ิมากน้อยเพียงใด
อบเชย แก้วสุข (2543 อ้างถึงใน นริศรา วัฒนสิน, 2557) กล่าวถึงความหมายของการถ่ายทอดความรู้ภูมิ
ปัญญาว่า เป็นการบอกวิชาความรู้ภูมิปัญญาให้แก่ผู้เรียน หรือแก่กลุ่มเป้าหมาย ด้วยวิธีการบอกหรือการทำให้
เห็นเป็นตัวอย่าง โดยผู้สอนหรือผู้ถ่ายทอดไม่ได้ร่ำเรียนจากสถาบันใดๆ แต่ใช้สามัญสำนึกแบบสังคมประกิต
คือ การสอนและการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการเลียนแบบและการจดจำสืบทอดกันมาในครอบครัว ซึ่งใช้การ
ถา่ ยทอดโดย
1. การสาธิต คือ การทำให้ดูเป็นตัวอย่าง และอธิบายให้เห็นทุกขั้นตอน ทำให้ผู้เรียนหรือผู้รับการถ่ายทอด
เข้าใจกอ่ น แลว้ จงึ คอ่ ยให้ปฏบิ ตั ติ าม
2. การให้ลงมือปฏิบัติจริง คือ การให้ผู้เรียนหรือผู้รับการถ่ายทอดได้ลงมือปฏิบัติตามสิ่งที่ได้รับฟัง อธิบาย
และสาธิตก่อนหนา้ ผู้เรยี นตอ้ งได้รับการปฏบิ ัตซิ ำ้ ๆ จนเกิดเป็นความชำนาญ
กระบวนการถ่ายทอดภูมิปัญญาถือเป็นขั้นตอนการถ่ายทอดองค์ความรู้จากคนหนึ่งไปสู่คนอีกคนหนึ่ง
องค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งคือผู้ถ่ายทอดและผู้รับการถ่ายทอด ที่หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปก็อาจไม่
สามารถเกิดกระบวนการถ่ายทอดขึ้นได้ รวมถึงองค์ประกอบย่อยอื่นๆ ที่ไม่อาจข้ามไปได้ทั้งลักษณะและ
รูปแบบของการถ่ายทอด สื่อ อุปกรณ์ สภาพแวดล้อม เป็นต้น องค์ประกอบพิจารณาเหล่านี้จะนำไปใช้
วิเคราะห์การศกึ ษาการถ่ายทอดภูมปิ ญั ญาผา้ ทอมอื ของชุมชนไททรงดำ

สป

3. 3 เคราะ

ยาเขา สามารถ อ ยอด เสา ใส

- สภาพ ญµ งคง ก บ ทอด

3. 4 แนวทาง ยถอน ภ

. ..

อนอก รอย→ °

ยาสย → ผ ต

ิลัอ่ัรัสัมัยับัมูภ่ต์หิวุร

37


บรรณานุกรม


Click to View FlipBook Version