The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จริยธรรมเพื่อการพัฒนาชีวิตตนเอง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

จริยธรรมเพื่อการพัฒนาชีวิตตนเอง

จริยธรรมเพื่อการพัฒนาชีวิตตนเอง

Keywords: จริยธรรมเพื่อการพัฒนาชีวิตตนเอง

รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาพุทธจริยธรรม ทางการบริหาร ตามหลักสูตรปริญญารัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสศาสตร์ วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๖๖ รายงาน เรื่อง จริยธรรมเพื่อการพัฒนาชีวิตตนเอง จัดท าโดย พระมหาเสฏฐ์ศิรินทร์ ฉายา ส ิ ร ิ วญ ิฺญูนามสกลุอน ิ ต ๊ ะชัย รหัสนิสิต 66๒๘๐๕๐๔๐๐๕


รายงาน เรื่อง จริยธรรมเพื่อการพัฒนาชีวิตตนเอง จัดท าโดย พระมหาเสฏฐ์ศิรินทร์ ฉายา ส ิ ร ิ วญ ิฺญูนามสกลุอน ิ ต ๊ ะชัย รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาพุทธจริยธรรม ทางการบริหาร ตามหลักสูตรปริญญารัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสศาสตร์ วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๖๖


ก ค าน า รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา พุทธจริยธรรมทางการบริหารตามห ลักสูต รป ริญญ า รัฐ ประศาสนศาสต ร์บัณทิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ รหัสวิชา ๔๐๒ ๓๑๖ ชั้นปีที่ ๑ โดยมี จุดประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่อง จริยธรรมเพื่อการพัฒนาตนเอง เพื่อที่จะสามารถน าไปปรับใช้ใน ชีวิตประจ าวันของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้จัดท าได้เลือกหัวข้อนี้ในการท ารายงาน เนื่องมาจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจและ ผู้จัดท าหวังว่ารายงาน ฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ผู้จัดท า พระมหาเสฏฐ์ศิรินทร์สิริวิญฺญู ๑ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗


ข สารบัญ เรื่อง หน้า - ค าน า ก - สารบัญ ข - บทน า / บทที่ ๑ แนวคิดเกี่ยวกับจริยธรรม ๑ - ความหมายของจิรยธรรม 1 – 2 - ลักษณะของจิรยธรรม 2 - ความส าคัญของจริยธรรม 2 – 3 - องค์ประกอบของจริยธรรม 3 - สรุปท้ายบท 3 - บทน า / บทที่ ๒ หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชีวิตตนเอง 4 - หลักธรรมในพระพุทธศาสนา 4 - ธรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชีวิตตนเอง 5 - อธิบายรายละเอียดหัวข้อธรรมที่เลือก 5 – 6 - ธรรมะที่เลือกน ามาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาชีวิตตนเอง 6 – 7 - บทท้ายสรุป 8 - บรรณานุกรม 9 – 10


๑ บทที่ ๑ แนวคิดเกี่ยวกับจริยธรรม บทน า จริยธรรมฉบับนี้ได้กล่าวถึงหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการปฎิบัติงานในหน้าที่ของกรรมการและ พนักงานขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย เห็นถึงความส าคัญของ “การก ากับดูแลกิจการ ที่ ดีขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย” ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การด าาเนินงาน เพื่อให้เกิดความ โปร่งใส เป็นธรรมและตรวจสอบได้ โดยการด าเนินงานที่ผ่านมา ได้ปฏิบัติงานภายใต้กรอบของหลัก จรรยาบรรณที่ดีอยู่แล้ว เพื่อให้การด าเนินการตามนโยบายการก ากับดูแลกิจการที่ดีได้อย่างเป็นรูปธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณถือเป็นเครื่องมือที่จ าเป็นและส าคัญ จึงก าหนดแนวทางให้เป็นลายลักษณ์อักษร เกี่ยวกับการประพฤติ ปฏิบัติตามหน้าที่ และภารกิจที่ผู้บริหารและพนักงานทุกระดับพึงได้รับมอบหมาย ด้วย ความซื่อสัตย์ สุจริต เที่ยงธรรม ทั้งการปฏิบัติต่อองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย และผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียทุกกลุ่ม เพื่อให้ผู้บริหารและพนักงานทุกระดับรับทราบ และยึดถือเป็นแนวทางด าเนินใน ชีวิตประจ าวันของตนเอง ความหมายของจริยธรรม ค าว่า "จริยธรรม" แยกออกเป็น จริย + ธรรม ซึ่งค าว่า จริย หมายถึง ความประพฤติหรือกิริยาที่ควร ประพฤติ ส่วนค าว่า ธรรม มีความหมายหลายประการ เช่น คุณความดี, หลักค าสอนของศาสนา, หลักปฏิบัติ เมื่อน าค าทั้งสองมารวมกันเป็น"จริยธรรม" จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า "หลักแห่งความประพฤติ" หรือ "แนวทางของการประพฤติ" จริยธรรม เป็นสิ่งที่ควร ประพฤติ มีที่มาจากบทบัญญัติหรือค าสั่งสอนของศาสนา ดังค ากล่าวของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ว่า “จริยธรรมของ สังคมไทยขึ้นอยู่กับระบบศีลธรรมของพุทธ ศาสนา ศาสนาพุทธก าหนดหลักในการปฏิบัติในชีวิต ประจ าไว้อย่างไร นั่นหมายความว่า ได้ก าหนดหลัก จริยธรรมไว้ให้ปฏิบัติอย่างนั้น” แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า จริยธรรมอิงอยู่กับหลักค าสอนทางศาสนาเพียง อย่างเดียว แท้ที่จริงนั้นจริยธรรม หยั่งรากอยู่บนขนบธรรมเนียมประเพณี โดยนัยนี้ บางคนเรียกหลักแห่ง ความประพฤติอันเนื่องมาจากค าสอนทางศาสนาว่า "ศีลธรรม" และเรียกหลักแห่งความประพฤติอันพัฒนา มา จากแหล่งอื่น ๆ ว่า "จริยธรรม" ไม่แยกเด็ดขาดจากศีลธรรม แต่จริยธรรมจะมีความหมายกว้างกว่า ศีลธรรม เพราะศีลธรรมเป็นหลักค าสอนทางศาสนาที่ว่าด้วยความประพฤติปฏิบัติชอบ ส่วนจริยธรรม หมายถึง หลักแห่งความประพฤติปฏิบัติชอบอันวางรากฐานอยู่บนหลักค าสอนของ ศาสนา ปรัชญาและ ขนบธรรมเนียมประเพณี1 ______________________________ 1 ผศ.ดร.สถาพร วิชัยรัมย์ปร.ด.(รัฐประศาสนศาสตร์),จริยธรรมส าหรับนักบริหาร,(ออนไลน์) : แหล่งที่มา https://pa.bru.ac.th/2021/08/15/ethics01/สืบค้น เมื่อ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗


๒ ลักษณะของจริยธรรม ค าาว่า “จริยธรรม” (Ethics) เป็น “นามธรรม” เมื่อก าหนดเป็น “รูปธรรม” เพื่อใช้ในแต่ละกลุ่มคน จะมีการก าหนดเป็น “มาตรฐานทางจริยธรรม ” โดยก าหนดเป็นข้อปฏิบัติ (Do) หรือ ข้อห้าม (Don’t) ไว้ มี ประกาศิตบังคับ (Commandment) และมาตรการบังคับ (Sanction) แตกต่างกันตามจุดมุ่งหมาย (Objectives) เรียกชื่อต่าง ๆ กัน เช่น “มารยาท” (Manner) ใช้ในสังคมทั่วไป มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีประกาศิต บังคับ ในระดับ “ควร” มีมาตรการบังคับทางสังคม (Social Sanction) เช่น เป็นที่รังเกียจหรือไม่เป็นที่ ยอมรับ นับถือ “จรรยาบรรณของกรรมการและผู้บริหาร“ ๑. พึงบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล มีวิสัยทัศน์ในการด าเนินงาน ๒. พึงเสียสละเพื่อประโยชน์ขององค์กร ๓. พึงปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และเป็นธรรม ๔. พึงใส่ใจและจริงใจในการบริหารงานในองค์กรอย่างบริสุทธิ์ใจ ๕. พึงส่งเสริมบรรยากาศที่ดีในการปฏิบัติงานของพนักงานอย่างมีคุณค่า ๖. พึงส่งเสริมและพัฒนาความเจริญก้าวหน้าของพนักงานอย่างสม่ าเสมอ ๗. พึงเชื่อมั่นในคุณค่าของพนักงาน “จรรยาบรรณต่อตนเอง” ๑. เป็นผู้มีศีลธรรมและประพฤติตนเหมาะสม ๒. ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและโปร่งใส ๓. มีทัศนคติที่ดีรักความก้าวหน้าและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ๔. สร้างผลดีแก่ตนเองและผู้อื่น “วินัย” (Discipline) ใช้ในวงการผู้ท างานต่าง ๆ มีจุดมุ่งหมายเพื่อประสิทธิภาพในการท างานนั้น ๆ บังคับในระดับ “ต้อง” มีมาตรการบังคับทางวินัย(Disciplinary sanction) ซึ่งเป็นมาตรการลงโทษ (Punishment) การรับราชการเป็นการท างานอย่างหนึ่ง จึงต้องมีข้อก าหนดทางวินัยให้ข้าราชการยึดถือ ปฏิบัติใน การท างาน ความส าคัญของจริยธรรม จริยธรรมมีความส าคัญส าหรับเป็นแนวทางแห่งความประพฤติปฏิบัติส าหรับตนเองและสังคมโดยรวม ซึ่ง เมื่อบุคคลได้น ามาปฏิบัติแล้ว ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์สุข มีความสงบและเจริญก้าวหน้า องค์การใดหรือหมู่ คณะใด ได้ประพฤติปฏิบัติในหลักของจริยธรรมแล้ว ย่อมเป็นสังคมแห่งอารยะ คือ สังคมแห่งผู้เจริญอย่าง แท้จริง ได้กล่าวถึงความส าคัญของจริยธรรม ไว้ดังนี้ ๑.จริยธรรม เป็นรากฐานของความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคง และความสงบสุขของประชาชน สังคม ประเทศชาติ เพราะประเทศชาติแม้จะได้รับการพัฒนาในด้านวัตถุ เทคโนโลยี ความทันสมัย


๓ ๒.จริยธรรม เป็นเครื่องควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในสังคมให้เกิดการยอมรับในศักดิ์ศรีแห่งความเป็น มนุษย์ของผู้อื่น จริยธรรมจะเป็นเครื่องมือหล่อหลอมให้คนเกิดความรัก ความสามัคคีต่อกัน ประพฤติ ปฏิบัติต่อกันด้วยความเอื้ออาทร ต่อผู้อาวุโสกว่า และมีความอ่อนโยนต่อผู้ที่ด้อยกว่าทั้งด้านอายุ ต าแหน่งหน้าที่การงาน หรือสถานภาพทางสังคม องค์ประกอบทางจริยธรรม จริยธรรมของบุคคลมีองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ ๑. ด้านความรู้ (moral reasoning) คือ ความเข้าใจในเหตุผลของความถูกต้องดีงาม สามารถ ตัดสินแยกความถูกต้องออกจากความไม่ถูกต้องได้ด้วยการคิด ๒. ด้านอารมณ์ความรู้สึก (moral attitude and belief) คือ ความพึงพอใจ ความศรัทธา เลื่อมใส ความนิยมยินดี ที่จะรับจริยธรรมมาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตน ๓. ด้านพฤติกรรม (moral conduct) คือการกระท าหรือหารแสดงออกของบุคคลในสถานการณ์ ต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากอิทธิพลของทั้งสององค์ประกอบข้างต้น สรุปท้ายบท มาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม สิ่งที่ถือเป็นหลักส าหรับเทียบทางสภาพคุณงามความดีทั้งที่อยู่ ภายใน จิตใจและที่แสดงออกที่ควรประพฤติในสังคมนั้นได้ยอมรับนับถือกันมา และประพฤติปฏิบัติร่วมกัน ยอมรับว่าสิ่งใดควรกระท าสิ่งใดไม่ควรกระท า การที่มนุษย์เราจะอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความสงบสุข ร่มเย็น หรือท างานร่วมกันให้บรรลุผลส าเร็จได้นั้น จะต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวให้ทุกคนคิดและกระท าในสิ่งที่ถูกต้องและ ทุกคนถึง พอใจร่วมกัน สิ่งนั้นเรียกว่า “ความดี” กล่าวคือ การคิดดี พูดดี ท าดี ซึ่งหากมีในบุคคลใดสังคมใด แล้ว บุคคลนั้นสังคมนั้นอาจเรียกได้ว่ามี “คุณธรรมจริยธรรม” อันจะน ามาซึ่งคุณประโยชน์ส่วน ตนและสังคม ส่วนรวม เพราะความเจริญก้าวหน้าของสังคมตั้งแต่ระดับเล็กสุด คือ ครอบครัว ชุมชน จนกระทั่งระดับใหญ่ สุดคือประเทศชาติ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนในชาติทุกระดับชั้นมีคุณธรรมจริยธรรมเป็นเครื่องหล่อหลอมให้ เกิดความร่วมมือร่วมใจ มีแรงผลักดันในการพัฒนา ประเทศ สามารถเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวม ขณะเดียวกันองค์การระดับต่างๆ ผู้บริหารทุกระดับ รวมทั้งสมาชิกในองค์การจ าเป็นต้องมีคุณธรรมจริยธรรม เพื่อเป็นหลักในการ ๗ ด ารงพฤติกรรมในการครองตน ครองคนและครองงาน อันจะท าให้การปฏิบัติงานมี ประสิทธิภาพ และส่งผลต่อความส าเร็จขององค์การตามเป้าหมายที่ก าหนดไว้ จึงสรุปได้ว่า จริยธรรม คือ หลักแห่งความประพฤติที่ดีงาม ทั้งกาย วาจา


๔ บทที่ ๒ หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชีวิตตนเอง บทน า สังคมในปัจจุบันนี้ มีการพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องเป็นอย่างมาก สืบเนื่องมาจากสภาพ ของธรรมชาติโดยทั่วไป มนุษย์พัฒนาตนเองมาโดยเป็นล าดับ ในตอนแรกก็อยู่กันเป็นกลุ่มเฉพาะตน ปกป้อง แต่พวกตนเป็นหลัก ในขณะเดียวกันก็เป็นศัตรูกับกลุ่มอื่น ๆ แก่งแย่งชิงดี สู้รบกับกลุ่มอื่น ๆ จนภายหลังมี การเปลี่ยนแปลงและพัฒนา ใช้ปัญญาในการวิวัฒนาการ ที่เปลี่ยนแปลงไปสามารถรวมกลุ่มให้ใหญ่ขึ้นไป เรื่อย ๆ และสามารถอยู่ร่วมกันได้ มนุษย์นั้นเป็นสังคม หมายถึง การอยู่รวมเป็นกลุ่มๆ ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ ที่มีลักษณะต่าง ๆ แตกต่างกันออกไป เป็นต้นว่า อยู่เป็นครอบครัว เผ่าพันธุ์ชุมชน สังคม และประเทศชาติ เมื่อมาร่วมกันเป็นกลุ่มนั้นย่อมมีผู้น าและผู้ตาม ของประชาชนหรือคนในกลุ่ม ยังมี การควบคุมดูแล การจัดระเบียบ และการพัฒนา เพื่อให้เกิดความสงบสุข และมีการพัฒนาขึ้นมาได้อย่าง ต่อเนื่อง เมื่อมีกลุ่มคนเหล่านี้ ก็ย่อมมีในสิ่งที่ดีที่เจริญต่อไป ในทางค ากริยา ค าว่า พัฒนา หมายความว่า การ ท าให้เจริญ ท าให้เติบโตงอกงามและมากขึ้น มนุษย์ทุกคนอยากเป็นคนที่สมบูรณ์ มีชีวิตที่มีความสุข ในการ ด าเนินชีวิต ประสบความส าเร็จตามเป้าหมายที่ตัวเองได้ตั้งไว้ จึงจะต้องมีการพัฒนาตนเองให้มีการเรียนรู้ สร้างวิสัยทัศน์ใหม่ ๆ ที่ทันสมัยต่อยุคในปัจจุบันนี้ เมื่อมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเอง ให้ตนเองได้ทันยุค ทันสมัยมีความเจริญงอกงาม มีความรู้ มีทักษะและมีความสามารถ ในการพัฒนาประสิทธิภาพในการท างาน ด้านการอยู่ร่วมในกันสังคม มีปัญญาและคุณธรรม ควบคู่ไปด้วย ดังค าที่ว่า "เมื่อไม่ได้พัฒนาที่จิตใจจะพัฒนา ด้านใด ๆ ก็ไร้ผล การพัฒนาจึงต้องเริ่มที่ใจคน เพื่อเกิดผลพัฒนาที่ถาวร" หลักธรรมในพระพุทธศาสนา หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาที่มีความสอดคล้องที่สามารถฝึกฝนการพัฒนาตนเอง คือ สิกขา 3 หรือไตรสิกขา เป็นข้อที่จะต้องศึกษา ข้อปฏิบัติที่เป็นหลักส าหรับศึกษา คือในการฝึกหัดอบรม กาย วาจา จิตใจ และปัญญาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนบรรลุจุดหมายสูงสุดคือพระนิพพาน ได้แก่ ๑) อธิสีลสิกขา สิกขาคือศีลอันยิ่ง ข้อปฏิบัติส าหรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง ๒) อธิจิตตสิกขา สิกขาคือจิตอันยิ่ง ข้อปฏิบัติฝึกอบรมจิตเพื่อให้เกิดคุณธรรม เช่น สมาธิอย่างสูง และ ๓) อธิปัญญาสิกขา สิกขาคือปัญญาอันยิ่ง ข้อปฏิบัติส าหรับฝึกอบรมปัญญาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้ง อย่างสูง เรียกง่าย ๆ ว่า ศีล สมาธิ และปัญญา ดังมีพุทธพจน์ที่เน้นย้ าหลักการฝึกฝนพัฒนาตนของมนุษย์ และเร้าเตือน พร้อมทั้งส่งเสริมก าลังใจ ให้ทุกคนมุ่งมั่นในการฝึกศึกษาพัฒนาตนจนถึงที่สุด หลักธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นค าสอนที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงบัญญัติให้ พุทธศาสนิกชนยึดเป็นหลักในการด าเนินชีวิต โดยตั้งหลักค าสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ๓ ประการ ได้แก่ ๑. ไม่ท าความชั่วทั้งปวงทั้งทางกาย วาจาและ ใจ


๕ ๒. ท าความดีทางกาย วาจาและใจ ๓. ท าจิตใจให้ผ่องใส หลักธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นค าสอนในพระพุทธศาสนาที่ถือว่าเป็นแก่นของค าสอนอื่น ๆ และถือ ว่าเป็นหัวใจที่ผู้มีคุณธรรมพึงยึดถือปฏิบัติ โดยมีค าสอนที่ส าคัญมากมาย ธรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตตนเอง หลักธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นค าสอนที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงบัญญัติให้ พุทธศาสนิกชนยึดเป็นหลักในการด าเนินชีวิต สาเหตุที่ต้องเทิดทูนพระคุณของพระพุทธเจ้าเพราะเป็นผู้สอน และชี้แนวของการปฏิบัติตน เพื่อความสงบสุขของสภาพจิตใจ การสอนเกี่ยวกับ “ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา “ หัวข้อนี้จะช่วยให้ผู้สนใจได้หยิบยกมาคิด และท าความเข้าใจ พร้อมทั้งปฏิบัติตาม แม้จะยากแต่การคิดบ่อยๆ จะช่วยให้เข้าใจชีวิตแจ่มแจ้งชัดเจนขึ้น และยอมรับสภาพการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ง่ายและเร็วขึ้น ผู้สูงอายุที่ มีปัญหาด้านจิตใจมากบ้าง น้อยบ้าง หากเข้าใจถึงคุณประโยชน์ของ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา จะช่วยให้เข้าใจ แก่นแท้ของชีวิต และการด าเนินชีวิตได้อย่างมีสาระประโยชน์ ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วงวัยใดๆ ในธรรมของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับการด าเนินของมนุษย์ที่ได้กล่าวว่า แต่ละคนมีกรรมเป็นแดน เกิด มีการเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ทุกคนเป็นไปตามกรรม ในข้อนี้ ก็เป็นการสอนชี้ให้เห็นเกิดความ จริง เพื่อไม่ให้ประมาท ให้ละความประมาท ให้เร่งประกอบความดีงาม ประกอบกุศลกรรม เพื่อจะเป็น แนวทางน าบุคคลสู่ความดีงาม ความถูกต้องงดงามในชีวิต หากคิดแต่เพียงว่าเกิดมาดีแล้ว หรือไม่ดีเลย ก็จะ ไม่ทราบจะสร้างคุณงามความดีไปท าไม การสร้างความดีงามนั้นเพื่อความสุขใจ ความอิ่มเอิบใจ และเป็นการ สร้างความมีคุณค่าให้แก่ตนเอง ผู้ที่ได้รับผลการกระท าความดีงามนั้น ผู้กระท าย่อมได้รับผลก่อนผู้อื่นเสมอ และผู้ใกล้ชิดก็จะได้รับผลแห่งการกระท านั้นเป็นอันดับต่อมา เพราะผู้ให้ ผู้ปฏิบัติดี ผู้ปฏิบัติชอบเป็นที่รักใคร่ และเป็นที่เคารพนับถือเสมอ การไม่ปฏิบัติให้อยู่ในความดีงาม หรือสิ่งที่ถูกต้องจะเป็นผลให้ผู้ปฏิบัติเร่าร้อนใจ นั่งนอนไม่เป็นสุข ผู้ใกล้ชิดก็เดือดร้อนไปด้วย ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงสิ่งที่เห็นได้ในปัจจุบัน และผู้ที่ได้ปฏิบัติ จัก พึงเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตนเอง ทั้งปัจจุบันและอนาคต อธิบายรายละเอียดหัวข้อธรรมที่เลือก ธรรมปฏิบัติ ในที่นี้ใคร่ขอแยกออกเป็นดังนี้ ๑. การสวดมนต์ ถือว่าเป็นการสวดระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์มี หลายแบบ มั่นใจว่าผู้สูงอายุทุกท่านจะได้ปฏิบัติอยู่แล้วเป็นประจ า และการสวดมนต์นั้นมีทั้งสวดภาษาบาลี และแปลเป็นไทย ซึ่งช่วยให้ผู้สวดเกิดความเข้าใจ และซาบซึ้งในค าสวดได้มาก ต่อประโยชน์ชวนให้อยากสวด เพราะมีความรู้ และเข้าใจทุกประโยค การสวดมนต์ถ้าปฏิบัติได้เป็นประจ า ถือว่าเป็นการปฏิบัติดีอย่างหนึ่ง


๖ ๒. การถือศีล ๕ ศีล ๘ และอุโบสถศีล มีความมุ่งหมาย เพื่อให้บุคคลส ารวมกาย วาจาใจลดละ ความพึงพอใจบางอย่าง และสร้างความดีงามเพิ่มขึ้นด้วยการไปวัด ฟังธรรมตามสภาพร่างกาย และ สิ่งแวดล้อมจะเอื้ออ านวย ขณะฟังธรรม และจะให้เกิดผลจริงๆ ๓. การเจริญสติ คือ การก าหนดอิริยาบถให้ทันปัจจุบัน และรับรู้ความรู้สึกตามทวารต่างๆ อย่าง สม่ าเสมอ ตลอดเวลาให้มากที่สุด ความรู้สึกของคนมีทางรู้อยู่ ๖ ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ก าหนดรู้ ไปตามจริงที่ใจรู้พร้อมกับ กิริยาเคลื่อนไหวอื่นๆ ท าอะไร ก็ให้มีสติก าหนดให้รู้ให้ทันปัจจุบันให้มากที่สุด อิริยาบถใหญ่คือ กานยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถย่อยคือ การเคลื่อนกายทุกกิริยา ๔. การปฏิบัติสมาธิภาวนา และวิปัสนาภาวนา ขั้นแรกคือ การท าสมาธิเพื่อให้จิตสงบ รวมเป็น หนึ่ง เมื่อฝึกจิตสงบได้ดีแล้ว ซึ่งใช้เวลานานแตกต่างกัน ในแต่ละคนจึงปฏิบัติขั้นต่อไปคือ วิปัสนาภาวนา ซึ่งผู้ ปฏิบัติ จะต้องมีอาจารย์ผู้สอนแนะแนวทาง จึงจะเกิดความเข้าใจ และน าไปปฏิบัติต่อไปด้วยตนเอง ๕. การเดินจงกรม มีหลายแบบหลายวิธีแต่ทุกๆ วิธีมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกันคือ ให้จิตเกิดสมาธิ ผลที่ได้ควบคู่กับการเดินจงกรมคือ การเคลื่อนไหวร่างกาย มีเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงส่วนปลายของร่างกาย โดยเฉพาะเท้าได้ดีขึ้น เวลาที่ใช้ในการเดินแต่ละครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ส าหรับวิธีการเดินนั้น ผู้สนใจ จะต้องศึกษาจากครูอาจารย์ ผู้รู้จะช่วยแนะแนวทางที่ถูกต้อง และบรรลุผลได้ ธรรมะที่เลือกน ามาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาชีวิตตนเอง หลักสัปปุริสธรรม ๗ในชีวิตประจ าวันเหล่านี้ สามารถสรุปเป็นค าจ ากัดความเพื่อให้เราสามารถน าไป ปฏิบัติในการด าเนินชีวิตได้ง่าย นั่นคือ รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้สังคม และรู้บุคคล สิ่งนี้เป็นกุศล ธรรมที่ท าให้บุคคลเป็นคนดี และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับชาวโลกได้ นอกจากจะท าให้เราสามารถพัฒนา คุณธรรมประจ าใจของตนเอง และพัฒนาชีวิตของเราให้ก้าวหน้าแล้วนั้น ยังท าให้เรามีคุณสมบัติเป็น กัลยาณมิตรที่ดีให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย หากเราสามารถท าได้ครบทุกข้อ ชีวิตก็จะประสบความเจริญและรุ่งเรือง เพราะมีการเรียนรู้ ปรับปรุง และพัฒนาตนเอง ให้ถูกหลักธรรมะ และด าเนินชีวิตตามหลักธรรม ค าว่า สัปปุริสธรรม ๗ มีอธิบายดังนี้ ๑. ธัมมัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเหตุ หมายถึง ความเป็นผู้รู้หลัก คือความเป็นผู้รู้จักว่าสิ่งนี้เป็นเหตุของ สิ่งนั้น สิ่งนั้นเป็นเหตุของสิ่งนี้ เช่นรู้ว่า เมื่อคนเราขาดอิทธิบาท ๔ ในการประกอบอาชีพท ามาหากิน หรือในการท ากิจต่างๆ ก็จะไม่ประสบความส าเร็จ เป็นต้น ๒. อัตถัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักผล หมายถึง ความเป็นผู้รู้จักว่า ผลอันนี้เกิดจากเหตุอันนี้ เช่น เมื่อไม่ ประสบความส าเร็จในการประกอบอาชีพท ามาหากินในทางสุจริต การศึกษาเล่าเรียน หรือในการท า กิจต่างๆ ก็รู้ว่าเป็นเพราะขาดหลักอิทธิบาท ๔ กล่าวคือ ไม่มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ในการ ประกอบอาชีพนั้น ในการศึกษาเล่าเรียนนั้น หรือในการท างานนั้น เป็นต้น


๗ ๓. อัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักตน หมายถึง ความเป็นผู้รู้จักฐานะ ภาวะ เพศ ก าลังความรู้ ความสามารถ ความถนัดและคุณธรรม เป็นต้น ของตนว่ามีสภาพอย่างไร แล้วประพฤติปฏิบัติตนให้ เหมาะสมและท าการต่างๆ ให้สอดคล้องถูกจุดที่จะสัมฤทธิ์ผล ตลอดจนพร้อมแก้ไขปรับปรุงตนให้ เจริญงอกงามถึงความสมบูรณ์อันยิ่งขึ้น ๔. มัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประมาณ หมายถึง ความรู้จักพอดีในสิ่งต่างๆ เช่น รู้จักประมาณในการ บริโภคและการใช้จ่ายทรัพย์ รู้จักความพอเหมาะในการพูด การปฏิบัติกิจและท าการต่างๆ ตลอดจน การพักผ่อนนอนหลับและการสนุกสนานรื่นเริงทั้งหลาย ท าการงานทุกอย่างด้วยความเข้าใจ วัตถุประสงค์เพื่อผลดีแท้จริงที่ พึงต้องการ โดยมิใช่เพียงเพื่อเห็นแก่ความพอใจ ชอบใจ หรือเอาแต่ ใจของตน แต่ท าตามความพอดีแห่งเหตุปัจจัย หรือองค์ประกอบทั้งหลายที่จะลงตัวให้เกิดผลดีงาม ตามที่มองเห็นด้วยปัญญา ๕. กาลัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักกาล หมายถึง การรู้จักเวลาอันเหมาะสมและระยะเวลาที่จะต้องใช้ใน การประกอบกิจกระท าหน้าที่การงาน เช่น ให้ตรงเวลา ให้เป็นเวลา ให้ทันเวลา ให้พอเวลา ให้เหมาะ เวลา เป็นต้น หรือการรู้จักกาลเวลาในอันที่จะประกอบกิจนั้นๆ เป็นต้นว่า ตนมีหน้าที่การงานจะพึง ท าหลายอย่างด้วยกัน จะเป็นกิจการทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม จะต้องแบ่งเวลาให้เหมาะแก่กิจที่ จะต้องท านั้นๆ การงานจึงจะด าเนินไปโดยเป็นระเบียบเรียบร้อยดี ไม่ยุ่งยิ่งยุ่งเหยิง คั่งค้างอากูล ตลอดจนรู้จักกะเวลาและวางแผนการใช้เวลาอย่างได้ผล ๖. ปริสัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประชุมชน หมายถึง ความเป็นผู้รู้จักถิ่น รู้จักที่ชุมนุม รู้จักสังคม คือรู้จัก ว่า ชุมชนหรือสังคมนั้นเป็นอย่างไร จะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะเหมาะกับสังคมนั้นเพื่อให้สามารถเข้า กับชุมชนนั้น โดยไม่เก้อเขินหรือประหม่า เช่น เมื่อไปร่วมพิธีงานศพจะต้องแต่งกาย จะพูดและจะท า อย่างไร เมื่อเข้าวัดไปในพิธีท าบุญต่างๆ จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร จึงจะเหมาะสม จะวางตัวอย่างไร เมื่อพูดคุยกับพระสงฆ์ เป็นต้น ๗. ปุคคลปโรปรัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเลือกคบบุคคล หมายถึง ความเป็นผู้รู้จักบุคคล คือรู้จักและเข้า ใจความแตกต่างแห่งบุคคลว่าโดยอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม เป็นต้น ใครๆ ยิ่งหรือหย่อน อย่างไร และรู้จักที่จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นๆ ว่าควรคบหรือไม่ จะใช้ จะต าหนิ ยกย่อง และแนะน าสั่ง สอนอย่างไร จึงจะได้ผลดี เป็นต้น _____________________________ หนังสือ PD 008 พุทธธรรม 2 , หนังสือเรียน DOU หลักสูตร Pre-Degree พระมหาสมควร ศรีสงคราม ,2550.การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสัปปุริธรรมและพละธรรมกับการ ปฏิบัติงานของผู้น าสถานศึกษา ค้นคว้า 16 กุมภาพันธ์ 2567


๘ สรุปท้ายบท การพัฒนาเป็นสิ่งส าคัญต่อการด ารงชีวิตในปัจจุบันนี้ ถ้าคนเราน าหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ที่มีการเรียนรู้ฝึกฝนตนเองอยู่สม่ าเสมอ และสามารถน ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวันได้อย่างดี ซึ่งท าให้มี ชีวิตที่ดี มีสติ เพราะสติ เป็นจุดเริ่มต้นแห่งปัญญามีความสุขที่แท้จริง ด าเนินชีวิตด้วยปัญญา รู้เท่าทันความ จริงที่เป็นธรรมดาที่เป็นเหตุปัจจัยในกฎของธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง สามารถท าหน้าที่ ของตนเองได้อย่างถูกต้อง ตั้งใจท าให้ดี พัฒนาตนเอง ให้ถึงจุดมุ่งหมายของชีวิต ท าให้เกิดคุณประโยชน์ต่าง ๆ จนส่งผลให้มีความประสบความส าเร็จในหน้าที่การงาน เมื่อเรามีความตั้งใจในงานที่ได้รับ มีความพยายาม ในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ รู้จักใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญญาเมื่อเกิดปัญหา สามารถไตร่ตรอง ตรวจสอบเหตุผลที่ เป็นจริงได้ มีการพัฒนาหน้าที่การงานของตนเองไปในทางที่ดีที่เจริญ จากนั้นก็ร่วมมือพัฒนาสังคมต่อ มีการ พัฒนาให้เจริญงอกงาม เมื่อสังคมมีการพัฒนา ที่มีการเน้นทางด้านการปรับพฤติกรรม พัฒนาพฤติกรรมให้ เหมาะสม และยังเสริมไปสู่จุดมุ่งหมายสร้างในสิ่งที่ต้องการ วางแผนและแนวทางในการปฏิบัติ น าหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนามายึดในการด ารงชีวิต ยึดหลักปฏิบัติที่มีประโยชน์ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสังคม เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการด าเนินชีวิตไปสู่การด าเนินชีวิตที่เข้าถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดต่อไป


๑๘ บรรณานุกรม หนังสือ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพมหานคร : กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๒. หนังสือ พระคันธสาราภิวงศ์. พรหมวิหาร. กรุงเทพมหานคร : หจก.ประยูรสาส์นไทย การ พิมพ์, ๒๕๕๕. หนังสือ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). ปัญญาต้องคู่กับกรุณา จึงจะพาชาติ รอด. กรุงเทพมหานคร : เซนปริ้นติ้ง, ๒๕๕๓. หนังสือ พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงขยายความ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖. หนังสือ พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตฺโต). รุ่งอรุณของการศึกษา เบิกฟ้าแห่งการพัฒนาที่ ยั่งยืน. นครปฐม : วัดญาณเวศกวัน, ๒๕๔๖. หนังสือ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). จะพัฒนาคนกันอย่างไร ?. นครปฐม : วัด ญาณเวศกวัน, ๒๕๕๑. . หนังสือ ชีวิตที่ดีงาม. นครปฐม : วัดญาณเวศกวัน, ๒๕๕๗.พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). ชีวิตที่สมบูรณ์. นครปฐม : วัดญาณเวศกวัน, ๒๕๕๖. หนังสือ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). ชีวิตนี้เพื่องาน งานนี้เพื่อธรรม. นครปฐม : วัดญาณเวศกวัน, ๒๕๕๗. หนังสือ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). ธรรมนูญชีวิต. กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์จันทร์เพ็ญ, ๒๕๕๐. หนังสือ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์ผลิธัมม์ ในเครือ บริษัท ส านักพิมพ์เพ็ทแอนด์โฮม จ ากัด, ๒๕๕๘. หนังสือ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). ICT ก้าวหน้าคนต้องพัฒนาปัญญาและวินัย. นครปฐม : คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๕๓.


Click to View FlipBook Version