The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แคนม้งกับวิถีชาวม้ง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jirapa1070, 2021-09-16 02:06:16

แคนม้งกับวิถีชาวม้ง

แคนม้งกับวิถีชาวม้ง

แคนมง
กับวถิ ชี าวมง

มหสาำวนทิกั ยศาลิ ลปยั ะรแาลชะภวฏั ฒั เพนธชรรรบมรู ณ

คำนำ

เสียงที่เป็นเสียงธรรมชาติ หรือ เสียงที่มนุษย์สร้างขึ้น ย่อมสอดแทรกอารมณ์ความรู้สึกคละเคล้ากันอยู่
เสมอ แคนม้ง คือเครอื่ งดนตรีชนเผ่าที่มีความเป็นมาอันแสนยาวนาน โดยจุดมงุ่ หมายปลายทางท่ีนอกจากจะเป็น
เครื่องดนตรีประจำชนเผ่าแล้วยังมีจุดประสงค์ที่จะสื่อถึงสิ่งที่ตนรัก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนรักที่จากไปหรือ
ผูค้ นทีย่ ังมีชีวติ อยู่

จากวัสดุธรรมชาตินำมาปรุงแต่งจนเป็นเสียงดนตรีทีม่ ีเส้นเสียงสูง ๆ ต่ำ ที่พอจะเป็นสื่อได้ว่า เสียงดนตรี
คือเสียงสวรรค์ของผู้ที่มีอารยธรรมนั่นเอง ซึ่งสอดคล้องกับคำล้นเกล้าล้นกระหม่อม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ
เกลา้ เจา้ อยู่หัว วา่ “อันชนใดไม่มีดนตรีการ .ในสันดานเป็นคนชอบกลนกั ”

สำนกั ศลิ ปะและวฒั นธรรม
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเพชรบรู ณ์

มนี าคม ๒๕๖๔

สารบญั หนา้

เรื่อง ๑
วตั ถปุ ระสงค์ ๑
ขอบเขต ๑
เป้าหมาย ๑
ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะไดร้ ับ ๑
ความสำคญั และที่มา ๔
- บริบทชุมชนบา้ นเลา่ ลือ เล่าเน้ง ตำบลเขาค้อ อำเภอเขาค้อ จังหวดั เพชรบูรณ์ ๘
- แคนม้ง บ้านเลา่ ลอื เล่าเน้ง ตำบลเขาค้อ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบรู ณ์ ๘
- บทบาทหนา้ ทีข่ องวัฒนธรรมการเป่าแคน ๙
- แคนในพธิ ีศพ ๙
- การเปา่ แคนในพิธศี พ ๙
- ประเภทดนตรีในพิธกี รรมการทำศพ ๑๔
- ขนั้ ตอนการใช้ดนตรีและบทเพลงประกอบการทำศพ ๑๔
- หน้าท่แี ละบทบาทของดนตรีในพิธีกรรมการทำศพ ๑๕
- ข้อปฏิบตั ขิ องหมอแคน ๑๕
บทสรุป ๑๕
แนวทางการนำไปใช้ ๑๖
ข้อเสนอแนะ ๑๗
บรรณานกุ รม ๑๘
ภาคผนวก ๒๑
ภาคผนวก ก ภาพการลงพืน้ ท่เี ก็บข้อมูลองค์ความรูเ้ รอ่ื ง แคนมง้
ภาคผนวก ข รายละเอียดรายวิชา (มคอ. ๓) ที่ใชบ้ รู ณาการ



องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมเร่อื งแคนมง้ กับวถิ ีชวี ติ ชาวม้ง

วัตถุประสงค์
๑. เพอ่ื เป็นการเสาะหา รวบรวม จดั เกบ็ ความรู้ที่มีอยใู่ นตวั บุคคลแต่ละคนทเี่ ช่ียวชาญในด้าน
แคนมง้
๒. เพอ่ื นำความรู้ทไ่ี ด้ไปใชเ้ ปน็ แนวทางในการปฏบิ ัติงานในองค์กร และบูรณาการเป็นเอกสาร
ประกอบการเรียนการสอน
๓. เพอ่ื สร้างความรู้ใหม่ หรอื นำความร้ทู ีม่ ีอยมู่ าใช้ในการทำงานใหเ้ กิดผลสมั ฤทธิ์ที่มีประโยชน์ต่อ
องค์กรมากขึน้

ขอบเขต
ชมุ ชนบ้านเล่าลือ เล่าเนง้ ตำบลเขาคอ้ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์

เป้าหมาย
จัดเก็บข้อมลู ทางดา้ นวัฒนธรรมแคนมง้ กบั วถิ ีชวี ิตชาวม้งเพ่ือการประยุกต์ใชง้ านใหเ้ ป็นระบบ

ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะไดร้ บั
ได้ข้อมูลทางดา้ นวัฒนธรรมเรอ่ื งแคนมง้ กับวถิ ีชีวิตชาวมง้ ท่ีเป็นระบบ

ความสำคญั และที่มา
บริบทชุมชนบา้ นเล่าลือ เล่าเน้ง ตำบลเขาคอ้ อำเภอเขาค้อ จงั หวัดเพชรบูรณ์

๑. ท่ีมาของบ้านเลา่ ลือ
หมูบ่ ้านเล่าลอื ปัจจบุ นั ตั้งอยใู่ นพ้นื ทห่ี มทู่ ่ี ๙ ตำบลเขาค้อ อำเภอเขาคอ้ จังหวัดเพชรบรู ณ์

เดิมเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๐ กลุ่มชาติพันธุ์ม้งได้อพยพมาจากอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา มาตั้งอาศัยอยู่ท่ี
หลังเขายา่ ตงั้ ชอื่ วา่ หมู่บา้ นเล่าลือ หมู่ที่ ๙ ตำบลปา่ เลา อำเภอเมอื ง จังหวดั เพชรบูรณ์ ในปี พ.ศ.๒๕๑๙
ถูกกลุ่มผูก้ อ่ การรา้ ยคุกคาม ในขณะทีห่ มู่บ้านใกลเ้ คียงได้เข้าป่าเขา้ รว่ มกับพรรคคอมมิวนสิ ต์ รัฐบาลจึงได้
ให้
อพยพมาอยู่ที่บ้านเข็กน้อย และหลังจากที่สงครามเริ่มสงบลง ก็เริ่มมีการย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านเล่าลื อใน
ปัจจุบัน โดยได้ตั้งชื่อหมู่บ้านตามชื่อของผู้นำคนแรก คือ นายเล่าลือ แซ่คำ เพื่อความเข้าใจง่าย (กรกฤช
บำรงุ คีรี, ๒๕๖๒: สมั ภาษณ)์



 ป้ายทางเข้าบา้ นเล่าลอื หมู่ท่ี ๙  ทางเขา้ หมู่บา้ นเล่าลือ

๒. ทตี่ ั้งและอาณาเขต
สภาพภูมศิ าสตรแ์ ละการคมนาคม สภาพทั่วไปพ้ืนทีเ่ ป็นภเู ขาสงู มีอาณาเขตติดตอ่ ดังนี้
๒.๑ ทิศเหนือ ติดต่อกบั บา้ นเพชรดำ
๒.๒ ทศิ ใต้ ติดตอ่ กบั บา้ นสง่ คมุ้
๒.๓ ทิศตะวันออก ตดิ ต่อกบั บ้านอุทโยภาส
๒.๔ ทิศตะวนั ตก ตดิ ตอ่ กบั เขตป่าสงวน แห่งชาติ
การคมนาคม มีถนนของหมู่บ้านเชื่อมต่อกับถนนของทางหลวงจังหวัด (ถนนแคมป์สน –

สะเดาพง) มีรถยนตป์ ระจำทาง และรถยนตห์ มู่บ้านส่วนบุคคลวิ่งผ่านไปมาไดส้ ะดวก หมบู่ ้านเล่าลือ และ
เล่าเนง้ อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอเขาคอ้ ระยะทาง ๘ กโิ ลเมตร

๓. อาชพี
ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร เช่น ทำไร่ ทำสวน ปลูกข้าวรับประทานเอง

ข้าวทปี่ ลูกเรียกว่าขา้ วม้ง พืชไร่ทีน่ ยิ มปลูกกนั มาก ไดแ้ ก่ ขงิ ขา้ วโพด สว่ นผักท่ีนยิ มปลกู กันมาก ไดแ้ ก่ หัว
ผกั กาด ผักชีและแครอท เปน็ ต้น

๔. ศาสนาวัฒนธรรมและประเพณี
ประชากรส่วนใหญ่นับถอื ศาสนาพุทธ ร้อยละ ๙๐ นับถอื ศาสนาครสิ ต์ รอ้ ยละ ๑๐ ชาวบ้าน

นิยมประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของตนเองและนับถือผตี ่าง ๆ ชาวม้งจะมีชุดประจำเผ่าเป็นของตนเอง
เรียกว่าชดุ ม้ง ชาย กางเกงขายาวสีดำ เสื้อแขนยาวสีดำ ปักลวดลายและตัดเยบ็ เอง หญิง กระโปรงจีบสำ
ดำปักดว้ ยไหมสีต่าง ๆ สวยงามมาก เส้อื แขนยาวสีดำ ปกั ด้วยไหมสีต่าง ๆ สวยงามมาก เสื้อแขนยาวสีดำ
ปกั ด้วยไหมสตี ่าง ๆ เชน่ เดียวกนั ชดุ ประจำเผ่านจี้ ะนิยมตดั เยบ็ เองและจะนำมาใสใ่ นวันสำคัญต่าง ๆ เช่น
วันปีใหมม่ ง้ วนั พธิ กี ารตา่ ง ๆ โดยปกติท่ัวไปจะแตง่ ตามสมัยนยิ ม

ประเพณที ีน่ ิยมถือปฏบิ ัติกันมาชา้ นาน คอื ประเพณีใหม่ชาวมง้ ซ่ึงตรงกบั วันข้นึ ๑ ค่ำ เดือน
๑ หรือ เดือน ๒ ของทุกปี จะมีพิธีสะเดาะเคราะห์ของแต่ละตระกูล (พิธีซูตู้) หรือที่เป็นแซ่เดียวกันเป็น



ญาติกัน ญาติพี่น้องในตระกูลหรือแซ่เดียวกันจะต้องมารวมกันทำพิธีทางผี เป็นการพบปะกันระหว่าง
ญาติพี่น้องและผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจา้ ภาพทุกปีในหมู่ญาติพีน่ ้อง พิธีกรรมนี้แตล่ ะตระกูลจะถือปฏิบัติไม่
เหมือนกัน แต่โดยทั่วไปจะนิยมทำพิธีนี้กันมาก คือ วันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ของทุกปี เมื่อเสร็จจาก
พิธกี รรมแล้ว ชาวม้งกจ็ ะร่วมสนกุ สนานเฮฮา มีการละเลน่ ของชาวมง้ ทนี่ ิยมเลน่ กันมากในวันปีใหม่ม้ง คือ
การโยนลูกช่วง ซึ่งใช้ผ้าพันเป็นก้อนกลม ๆ โยนให้แก่กันผลัดกันรับผลัดกันโยนนิยมมากในหมู่หนุ่มสาว
การเล่นลูกขา่ งเล่นเปน็ ทีมผลัดเปลีย่ นกันต้ังลูกข่างและใหอ้ ีกฝ่ายหมุนลูกข่างไปตีลูกขา่ งของฝ่ายตรงข้าม
ที่ตั้งไว้ ฝ่ายใดตีได้มากกว่าเป็นฝ่ายชนะ การเล่นลูกขนไก่ใช้ขนของไก่เสียบกับซางข้าวโ พด แล้วใช้ไม้
ลกั ษณะคล้ายไม้ตีแบด แต่เป็นไม้ล้วน ๆ ไม่มเี อ็นเหมือนไม้แบด ใช้ตีโต้กนั ไปมาระหวา่ งผ้เู ลน่ ๒ คน

๕. ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น
การทอผ้าด้วยกี่กระตุก ปัจจุบันมีผู้ทอผ้านี้ได้น้อยมาก เนื่องจากปอที่ใช้ทอหายาและไม่

นยิ มปลูก การเย็บปกั ถกั ร้อยสว่ นใหญผ่ ู้หญิงชาวม้งจะเยบ็ ปักถักร้อยเก่งมาก นยิ มเยบ็ ปักเสื้อผ้าใส่เองการ
สานตะกรา้ ใส่ของ การสานเปใ้ สข่ องเพือ่ การเกษตรต่าง ๆ การทำเคร่อื งเงินตา่ ง ๆ มีบา้ งเล็กนอ้ ย

๖. ทีม่ าบ้านเล่าเน้ง
บ้านเล่าเน้ง เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ ๑๔ ตำบลเขาค้อ อำเภอเขาค้อ จังหวัด

เพชรบูรณ์ ชอื่ หมูบ่ ้านเลา่ เน้ง ตำบลเขาค้อ อำเภอเขาค้อ มที ่มี าจากเหตุการณ์สงครามการเมืองระหว่าง
รฐั บาลกับพรรคคอมมวิ นสิ ตแ์ หง่ ประเทศไทย (พคท.) ทำให้เกิดสมรภูมเิ ลอื ดแทบทุกพืน้ ทข่ี องประเทศไทย
รวมถงึ อำเภอเขาค้อเปน็ อีกสมรภมู ิหน่ึงทคี่ ร่าชีวติ ของพลเรือน ตำรวจ ทหาร และประชาชน มากกว่าที่ใด
ๆ กระทงั่ ปี พ.ศ.๒๕๒๕ เสยี งปนื เรมิ่ สงบลงการศึกย่อยมีแพ้และชนะ การรบท่ยี ดื เย้ือมากกวา่ ๑๕ ปี ยุติ
ลงแล้วความสงบเริ่มเข้ามาแทนที่เหลือไว้เพียงความเสียหายที่เกิดจากสงครามอันยาวนานและโหดร้ายท่ี
คร่าชีวิตผู้คนบนเขาค้อไปมากมาย ชาวบ้านของเล่าเน้งได้มีการย้ายอพยพถิ่นมาจากเชียงราย เชียงคำ
แล้วย้ายมาอาศัยบนเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์บริเวณหลังเขาพระตำหนักย่าโดยใช้ชื่อหมู่บ้านว่าหมู่บ้าน
เลา่ ลือ ต่อมาได้มกี ารย้ายหมบู่ า้ นมาบริเวณข้างหมู่บ้านเพชรดำและหมบู่ ้านเล่าลือ

โดยได้มีการแต่งตั้งหมู่บ้านใหม่โดยใช้ชื่อหนึ่งในผู้คนที่เสียสละอย่างกล้าหาญโดยที่ตนเอง
มิได้เป็นทหารแต่อย่างใด คือผู้อาวุโส นายเล่าเน้ง แซ่จาง เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ท่านผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
เลา่ เน้ง (เลา่ ฤอ แซ่จาง, ๒๕๖๒: สัมภาษณ์)



 ป้ายหนา้ หมบู่ า้ นเล่าเนง้ หมูท่ ี่ ๑๔  บ้านของชาวบา้ นเล่าเน้ง

แคนมง้ บ้านเลา่ ลอื เลา่ เนง้ ตำบลเขาค้อ อำเภอเขาคอ้ จงั หวัดเพชรบูรณ์
ดนตรเี ป็นวฒั นธรรมหน่ึงที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับวีถีชวี ิตชาวมง้ ดนตรียังใช้บรรเลงเพ่ือเป็น

สื่อติดต่อระหว่างมนุษย์กับจิตวิญญาณ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่าจะช่วยดลบันดาลให้ทุกข์สุขกับคนใน
สังคม ดนตรียังใช้เพ่ือความบันเทิง เป็นดนตรแี บบดัง้ เดมิ ไม่มีการนำมาผสานกับดนตรใี นสังคมยุคใหม่ เนีอ้
หา มีการสอดแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อ ตำนาน วิถีชีวิต ประสบการณ์ต่าง ๆ กล่าวได้ว่าดนตรีแต่
ละอย่างต่างมลี ักษณะเฉพาะ สอดคลอ้ งเชื่อมโยงกับกฎระเบียบในสังคมที่กำหนดไว้ จากอดีตอันยาวนาน
ทำให้ความสมั พันธ์ต่าง ๆ เหล่านไี้ ดห้ ลอมรวมเปน็ สังคมจนยากทจี่ ะแยกออกจากกันได้

เก้ง เป็นคำที่ชาวม้ง ใช้เรียกเครื่องดนตรีตระกูลเครื่องลมไม้ประเภทลิ้นอิสระประจำเผ่าของตน
คือแคน (มาจาก qeng ซึ่งแปลว่า แคน บางทีได้ยินออกเสียงเป็น เก้ง หรือเขียนว่า เฆ่ง) เก้ง นับเป็น
เครื่องดนตรีชั้นสูงของชาวม้ง ชาวม้งมีความเชื่อว่าสามารถติดต่อสื่อสารกับวิญญาณได้ ถือได้ว่าเป็น
เครอ่ื งดนตรีทเ่ี ก่าแก่ท่สี ดุ ชนิดหนง่ึ

เก้ง เปน็ เคร่อื งเป่าตระกลู เดียวกันกับแคนซึง่ นอกจากพบในภาคอีสานประเทศไทยแล้ว ยังพบใน
จนี ญีป่ นุ่ และชาวไทยภเู ขาเผ่าอื่น ๆ ดว้ ย แตม่ ีรูปรา่ งลักษณะแตกต่างกัน เกง้ มลี ักษณะทางกายภาพ ๒
ส่วน คือ ส่วนท่อของเก้ง เรียกว่า ลำเก้ง (ดี๋เก้ง) ประกอบด้วยหลอดเสียงซึ่งส่วนมากทำจากไม้ในตระกูล
ไผ่ ทุกหลอดมลี ิ้นโลหะผสม (มที องเหลืองเป็นส่วนผสมสำคัญ) ผนกึ ตดิ อยู่ค่อนไปทางปลายดา้ นหนึ่ง และ
ส่วน ที่เรียกว่าเตา๊ เก้ง คอื เตา้ สำหรบั หรบั สอดหลอดเสยี งใหล้ ้นิ เขา้ ไปอยูใ่ นเต้า สว่ นนีบ้ างเผา่ ใชผ้ ลน้ำเตา้
แห้งทำเต้า และบางเผ่าใช้ไม้จริงทำ เต้าเก้งของชาวม้งทำด้วยไม้จริง มีท่อเป่าเป็นงวงซึ่งเป็นไม้เนื้อ
เดียวกันกับเตา้ ยาวเรียวตรงไป รวมความยาวทงั้ สิน้ ประมาณสองฟตุ หรอื กวา่ น้นั



วัสดุที่ใช้ทำ ในอดีตทำด้วยไม้ไผ่ แต่ในปัจจุบันมักพบในแบบที่ทำด้วยท่อพลาสติก PVC หุ้ม
ดว้ ยอลูมิเนยี ม ยดึ ต่อติดกัน ๖ ท่อ แตล่ ะทอ่ มลี น้ิ ในตัวเอง และเจาะช่องปดิ นว้ิ เพ่ือทำใหเ้ กิดความแตกต่าง
ของเสียง เชอ่ื มตอ่ กับท่อแกนหลักซง่ึ มชี ่องเป่าปาก ตวั แคนมีลักษณะโคง้ งอข้ึนดา้ นบน

 แคนม้ง (เกง้ ) ในอดีตทำดว้ ยไม้ไผ่  แคนม้ง (เก้ง) ปัจจบุ ันทำดว้ ยทอ่ พลาสติกและอลมู ิเนียม

เก้งที่ชาวม้งเล่นบรรเลงในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ทำจากท่อพีวีซีและแผ่นอะลูมิเนียม ซึ่งถือว่าเป็น
ผลิตภัณฑ์จากโรงงานอุตสาหกรรมอันเป็นการประกอบกิจการแบบสังคมเมือง โดยนำท่อพีวีซีมาดัดโค้ง
หมุ้ ด้วยแผน่ อะลูมิเนียม ใช้ทำตวั เกง้ ลำเก้ง รวมถึงทอ่ เป่าด้วย ซ่ึงถือวา่ แตกต่างเป็นอย่างย่ิงจากเดิมท่ีเก้ง
ต้องทำจากไม้ไผ่เทา่ นั้น อย่างไรก็ตามเก้งทที่ ำจากวสั ดุอุปกรณจ์ ากวฒั นธรรมสังคมเมืองน้ี ชาวม้งซือ้ หามา
จากร้านค้าในพื้นที่จังหวัดอื่น ไม่มีการสร้างทำเองภายในชุมชน แต่เก้งในรูปแบบท่อพีวีซีนี้ก็ได้รับความ
นิยม แม้กระทั่งช่างทำเก้งไม้ไผ่ในชุมชนยังยอมรับว่า ใช้งานเล่นบรรเลงได้เสียงเสมอกับเก้งไม้ไผ่แต่ยังมี
ความทนทานกว่าดว้ ย ผบู้ รรเลงเกง้ ไม้ไผจ่ ึงคอ่ ย ๆ ลดนอ้ ยลงไปตามกระแสความนิยมดงั กลา่ ว

ขนาด มีขนาดความยาวไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับความสูงและความถนัดของผู้เล่น
บรรเลง ความยาวโดยเฉล่ยี ของขนาดทว่ั ไป มีความยาวตัวแคนประมาณ ๘๐ เซนตเิ มตร ความยาวของลำ
แคนประมาณ ๑๒๐ เซนติเมตร

สว่ นประกอบของแคนม้ง (เกง้ ) ตวั เก้ง Qeej หรือ แคนม้ง แบง่ ออกเปน็ ๒ สว่ น คอื
- เตา๊ เก้ง คอื เต้าแคนในอดีตทำจากนำ้ เต้าแห้ง หรือไมเ้ นือ้ แขง็ มที ่อเป่าเป็นงวงเนือ้ เดียวกับเต้า
ยาวเรียวตรง ปจั จบุ ันพบ ทำจากท่อ pvc
- ดี๋เก้ง คือ ลำแคน ในอดีตทำด้วยไม้ไผ่ทะลุปล้อง ปัจจุบันพบทำจากอลูมิเนียม แต่ละลำมี
ความยาวไมเ่ ท่ากนั ใหเ้ สียงแตกตา่ งกนั มีท้งั หมด ๖ ท่อ คอื



๑. ดิห๊ ลวั ทอ่ บนสดุ ด้านขวา
๒. ด๊จิ ู ทอ่ กลางด้านขวา
๓. กั๊งด๊ิจู๊ ท่อล่างสดุ ดา้ นขวา
๔. ดิ๊ตอื ท่อบนสดุ ดา้ นซ้าย
๕. ดิ๊บู๊ ท่อกลางดา้ นซา้ ย
๖. กง๊ั ด๊บิ ู๊ ทอ่ ล่างสุดด้านซ้าย

 สว่ นประกอบของแคนมง้ (เก้ง)

ลักษณะของเสียง ใหเ้ สียงแหบตำ่ และแหบสงู
วิธีบรรเลง ใช้เป่าทีท่ ่อแกนหลัก โดยใช้นิว้ ปิดรูที่ลำแคนทั้ง ๖ เพื่อทำให้เกิดเสยี งที่แตกตา่ ง การ
เป่าเก้งจะเป่าเลียนเสียงคำพูดของชาวม้ง จึงเป็นการเป่าเป็นคำหรือเป็นประโยค ที่ชาวม้งจะสามารถฟัง
เขา้ ใจได้ โดยมีการปดิ นว้ิ บนท่อเกง้ ดังน้ี
๑. ดิ๊หลัว ปดิ นิว้ ท่ที ่อบนสุดดา้ นขวาดว้ ยนิ้วโป้งมือขวา
๒. ดิจ๊ ู๊ ปิดน้ิวที่ท่อกลางด้านขวาดว้ ยนิ้วกลางมือขวา
๓. กง๊ั ดิจ๊ ู๊ ปดิ น้วิ ทท่ี อ่ ลา้ งสดุ ด้านขวาด้วยนวิ้ นางมือขวา



๔. ดิต๊ ือ ปดิ นวิ้ ทท่ี ่อบนสดุ ดา้ นซา้ ยด้วยนวิ้ โปง้ มอื ซา้ ย
๕. ดบ๊ิ ู๊ ปิดนิ้วทท่ี ่อกลางดา้ นซา้ ยด้วยนิ้วกลางมือซ้าย
๖. กง๊ั ดิ๊บู๊ ปิดนิ้วที่ทอ่ ล้างสุดด้านซ้ายด้วยนวิ้ นางมอื ซา้ ย
การใช้งาน ใช้ในงานพิธีกรรมการทำศพ งานปีใหม่ บรรเลงบทเพลงเพอ่ื ความสนุกสนาน

 การแสดงประกอบแคนม้ง (เก้ง) ในงานปีใหม่ม้ง

การประสมวง ใช้เลน่ บรรเลงกับกลองหนังหรือดยวั ในพธิ กี รรมเผาศพเท่าน้ัน แต่สำหรับในงาน
รืน่ เรงิ ทัว่ ไปใช้บรรเลงเดีย่ ว หรือคู่ โดยไมม่ ีการประสมวงกับเครอ่ื งดนตรีอ่ืน

ขนบการบรรเลง การบรรเลงบทเพลงเก้งไม่จำกัดเพศหญิง ชาย บทเพลงเก้งทั่วไปสามารถ
บรรเลงได้ในทุกสถานที่ แต่สำหรับบทเพลงเก้งที่ใช้ในงานพิธีกรรมการทำศพนั้นห้ามฝึกหัดหรือเล่น
บรรเลงภายในบ้านที่ไม่มีการจัดงานโดยเด็ดขาด หากต้องมีการฝึกหัดบทเพลงพิธีกรรมดังกล่าวต้องไป
ฝกึ หดั ในป่า ไมใ่ ห้คนในชมุ ชนได้ยนิ


บทบาทหนา้ ที่ของวัฒนธรรมการเป่าแคน

วัฒนธรรมการเป่าแคนของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ตำบลเขาค้อ อำเภอเขาค้อ จงั หวัดเพชรบูรณ์
สามารถแบ่งออกเป็น ๒ วาระ คอื ๑) พธิ ศี พ และ ๒) ความบันเทิง

 การเป่าแคนในพิธีศพ
แคนในพิธศี พ

บทบาทที่สำคัญที่สุดของแคนในสังคมชาวม้ง คือ การเป่าในงานศพ ชาวม้งถือว่า แคน
เปรียบเสมือนเป็นสญั ลกั ษณ์ส่ือสารระหวา่ งวญิ ญาณผู้ตายสู่อีกโลกหนึง่ เม่ือมคี นตายในหมู่บ้านต้องรีบนำ
เก้งเป่าก่อนเพื่อเป็นการนำวิญญาณผูต้ าย เสียงแคนสามารถสื่อสารกับวญิ ญาณผูต้ ายได้ ในงานศพ จะมี
เพลงสวดสลับกับการเป่าแคนและตีกลองรัวไปตลอดคืนทุกคืนตลอดงานศพซึ่งมีระยะเวลานานตั้งแต่ ๕
คืนขึ้นไป นอกจากนี้ตอนกลางวันก็มีการเป่าแคนและตีกลองรัวเป็นระยะ ๆ ด้วย งานศพบางงานมี
ระยะเวลาถึงสองสัปดาห์ ดังนั้นชุมชนชาวม้งจึงต้องมีแคนและมีนักดนตรีประจำหมู่บ้านเสมอ แต่ในงาน
ศพจริง ๆ นักดนตรจี ากหมบู่ ้านอืน่ ๆ หลายคนจะมาช่วยนักดนตรีในหมูบ่ ้านท่ีมีงานศพ เพราะภาระหนา้ ที่
ดังกล่าวใช้เวลายาวนานมากจนนกั ดนตรคี นเดยี วหรอื สองคนไม่สามารถยดื ระยะได้



เพลงท่ีใช้ในงานศพของชาวม้งทุกเพลงเป็นเพลงต้องห้ามไม่สามารถนำไปเป่าในกาลเทศะอ่ืน ๆ
ได้ แม้แตเ่ พลงทใี่ ช้ตอนกลางวนั กบั ตอนกลางคืนก็ใช้สลบั กันไม่ได้ เพลงสำหรับเป่าแคนในงานศพที่สำคัญ
มีหลายเพลงแต่ละเพลงมีบทบาทหน้าที่เฉพาะ เช่น เพลงที่ใช้เป่าเพื่อบอกให้ผู้ตายทราบว่าตนนั้นได้ตาย
แล้วนนั้ ยงั สามารถแบ่งได้ตามอายุ และแบง่ ตามลักษณะของการตายท่ีแตกต่างกันไปอีกดว้ ย นอกจากน้ี
มีเพลงที่เป่าเพื่อจุดหมายปลายทางที่ภพภูมิของคนตาย เพลงที่บรรยายถึงการมีชีวิตและการแตกดับซึ่ง
เป็นธรรมดาของทุกภูมิทุกภพ เพลงที่แนะนำให้วิญญาณผู้ตายรู้จักบรรพบุรุษ และเพลงที่แนะนำวิธี
เดินทางไปพบบรรพบุรุษยังภพใหม่ของตน เป็นต้น นอกจากน้ี เวลามงี านทำบุญอทุ ศิ ใหญ้ าตผิ ลู้ ว่ งลบั ไปใน
อดีต ก็จะมีเพลงเป่าเพื่อปลดปล่อยวิญญาณ จากห้วงทุกข์ ชาวม้งในอดีตเคร่งครัดกับประเพณีที่ขึ้นกับ
ความเชือ่ นีม้ าก นกั ดนตรที กุ คนจะไมใ่ ชแ้ คนม้งเล่นเพลงสำหรับงานศพในงานอนื่ ๆ

การเป่าแคนในพิธศี พ
การเป่าแคนพิธีศพท่ีปรากฏในชุมชนบ้านเลา่ ลือ และบ้านเล่าเน้ง ตำบลเขาคอ้ พิธกี รรมการ

ทำศพ (ปะ่ ตัว) พธิ ีกรรมการทำศพของชนเผ่าม้ง มรี ะเบียบพิธหี ลายขน้ั ตอน และแตล่ ะขัน้ ตอนของพิธีศพ
จะมีแคนม้งเขา้ ไปเก่ียวข้องดว้ ยเสมอ

ประเภทดนตรีในพิธกี รรมการทำศพ
บทเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมการทำศพ มี ๒ ประเภท คอื
๑) บทเพลงแคน (เก้ง) และกลอง (ดยวั )
๒) บทเพลงขับร้อง

บทเพลงแคน (เกง้ ) และกลอง (ดยัว) คอื บทเพลงที่บรรเลงด้วยเกง้ หรือแคน ประกอบดยวั คือ
กลองหนงั ซึ่งเป็นเครือ่ งดนตรีทีใ่ ช้เฉพาะพธิ ีกรรมการทำศพเท่านน้ั โดยในการจดั งานพิธีหนึ่งคร้ังจะมีการ
เล่นบรรเลงเก้งและดยวั หลายบทขึ้นอย่กู บั ขนั้ ตอนพิธกี รรม

บทเพลงขับร้อง การขับรอ้ งบทเพลงในพธิ กี รรมการทำศพ มี ๒ ชนิด คือ
- บทสวดทำนองจีไซ้ คือบทสวดที่มีทำนองเฉพาะ เป็นการขับสวดบทเดี่ยว โดยไม่มีดนตรีเล่น
ประกอบหรือคลอตาม บทสวดจีไซ้เปน็ บทสวดทำนองสำหรับการบอกเล่าประวตั ิผู้ตาย สวดสง่
วญิ ญาณ สวดสัง่ สอนลูกหลาน และสวดอวยพรลกู หลาน
- บทเหงย๊ี คอื บทร้องไห้ให้ผ้ตู าย พรรณนาถงึ ความผูกพนั ระหวา่ งผขู้ ับร้องกับผตู้ าย พรรณนาถึง
ความดีความงามโดยญาติของผู้ตาย หรือผู้มาร่วมงานศพ โดยต่างคนต่างร้องบทพรรณนาตาม
ความรู้สึกของตนเองโดยไม่มีการประพันธ์ไว้ล่วงหน้าการใช้งานบทเพลงขับร้องภายในพิธี
กรรมการทำศพนีส้ อดแทรกอย่ใู นขนั้ ตอนของพธิ ีกรรม ท่ีมคี วามแตกต่างกันออกไปดังต่อไปน้ี

ขน้ั ตอนการใชด้ นตรแี ละบทเพลงประกอบการทำศพ
ในปจั จุบนั การจัดพธิ กี รรมการทำศพของชาวมง้ ในตำบลเข็กนอ้ ยมักจัด ๓ หรือ ๔ วนั ข้ึนอยู่กับ

เจ้าของบ้านท่ีมคี นตาย ในแตล่ ะวนั มขี ้ันตอนและการเล่นบรรเลงดนตรแี ละขบั รอ้ งบทเพลงแตกต่างกนั ไป
ดงั จะแสดงใหเ้ ห็น ดังน้ี

๑๐

การจดั งานวนั ท่ี ๑
คือในวันที่มีผู้เสียชีวิตลง ถือว่าต้องจัดงานขึ้นเป็นวันแรก โดยมีขั้นตอนต่าง ๆ คือ ๑) ยิงปืนแจ้ง

เหตุ ๒) แต่งต้งั เตอเก๊ ๓) บรรเลงดนตรีเพ่ือทำพิธีกรรม ดังน้ี
1) ยิงปืนแจ้งเหตุ เมื่อมีคนตายในบ้านใด ๆ ในอดีตชาวม้งจะยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นจำนวน ๓ - ๕
หรอื ๗ นัด เป็นระยะห่างกันพอให้นบั ได้ เพอ่ื เปน็ สญั ญาณบอกคนในหมบู า้ นให้รู้ว่ามีคนตาย
จากนนั้ จะจดั การแต่งตวั ใหศ้ พ
2) แต่งตั้ง เตอเก๊ หรือผู้ที่ชี้ทางให้คนตาย หรือ ก๊าสึ คือ ผู้จัดการงานพิธี ซึ่งต้องแต่งตั้งให้
ครบถ้วน ตลอดจนคณะกรรมการการจดั งานทั้งหมด โดยในการแตง่ ตั้งนจ้ี ะมีก๊าสึเป็นผู้กล่าว
ขอให้ทกุ คนมาร่วมกนั ชว่ ยให้งานสำเร็จไปดว้ ยดี
3) บรรเลงดนตรเี พ่ือทำพิธีกรรม เมอ่ื แต่งตั้งคณะกรรมการการทำงานเรยี บร้อยแล้ว นักดนตรี
เป่าแคน (เก้ง) และนักดนตรีดยัวหรือกลองทีท่ ำด้วยหนัง จะเริ่มบรรเลงบทเพลงสำหรับพิธี
กรรมการทำศพโดยเฉพาะขึ้น มีท้ังสิ้น ๕ บท คือ บทเพลงเก้งตูสา บทเพลงเจเหน่ง บท
เพลงจอ๊ จา บทเพลงเกง้ ไฉ่ชูเหมาะ และบทเพลงเกา้ เฉอเก๋
๓.๑ บทเพลงเก้งตูเชีย๊ ะ บทเพลงแคนและกลอง เนื้อหาบอกถึงการแจ้งใหผ้ ู้ตายทราบ
ว่าขณะนี้ได้ตายไปแล้ว จะได้ส่งวิญญาณให้ไปสวรรค์ ซึ่งบทเพลงนี้จะมีความยาวบรรเลง
ต่อเนือ่ งประมาณ ๒ ชวั่ โมง เพลงน้จี ะสลบั กนั บรรเลงระหวา่ งแคนกับกลอง
๓.๒ บทเพลงเจเหนง่ บทเพลงแคนและกลอง เน้ือหาบอกถึงการนำศพข้ึนม้า หรือแทน่
ทน่ี อนสำหรบั ศพ ซง่ึ ในปจั จุบัน คอื การนำร่างผูต้ ายใส่ในโลง เป่าแคนพรอ้ มกับตกี ลอง
๓.๓ บทเพลงจ๊อเจย้ี ฆ่าสัตว์ บทเพลงแคนและกลอง เนอ้ื หาบอกถึงการฆ่าสัตวเ์ พื่อเป็น
อาหารในงานพธิ ีให้คนตาย ในกรณนี ี้จะบรรเลงหนงึ่ บทเพลงต่อการฆ่าสัตว์หนึ่งตัวเสมอ โดย
ผู้จัดการจะต้องมาแจ้งนักดนตรีว่าเมื่อใดจะมีการฆ่าสัตว์กี่ตัว นักดนตรีจะเล่นบรรเลงบท
เพลงจอ๊ เจย้ี ใหต้ ามนั้น เป่าแคนพรอ้ มกบั ตีกลอง
๓.๔ บทเพลงเกง้ ไฉช่ ูเหมาะ บทเพลงแคนและกลอง เนอื้ หาบอกถงึ การเชิญให้วิญญาฯ
คนตายมาทานข้าว ซึ่งจะต้องบรรเลงในสามเวลาอาหาร คือ ข้าวเช้า ข้าวกลางวัน และข้าว
เย็น โดยมีเนื้อความเดยี วกัน เป่าแคนพร้อมกบั ตีกลอง
๓.๕ บทเพลงเก้าเฉอเก๋ เป่าแคนเพลงสดุ ท้ายก่อนนำไปฝงั เปา่ แคนพร้อมกับตีกลอง
นอกเหนือจากบทเพลงใน ๕ บทนแี้ ล้ว ระหว่างนน้ั นกั ดนตรแี คนและกลองจะสามารถเล่นบทเพลง

แคนและกลองในบทเพลงใด ๆ ก็ได้ตามถนัด
เมอ่ื ถงึ เวลาคำ่ คืน นกั ดนตรแี คนและกลอง จำนวนไมต่ ำ่ กวา่ ๓ คน จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวยี นกนั เล่น

บรรเลงบทเพลงทั่วไปที่ฟังแล้วเพลิดเพลินสนุกสนาน เป็นการบรรเลงดนตรีเพื่อให้งานดูคึกครื้น สร้าง
ความเพลดิ เพลินให้กับผูเ้ ดินทางมาร่วมงาน โดยเฉพาะผทู้ ีเ่ ป็นคณะกรรมการการจดั งานที่จะต้องดูแลงาน
พิธีตลอดทง้ั คืนดว้ ย

นอกเหนือจากนั้นนอกบ้านยังมีการกางเต็นท์ ฉายภาพยนตร์วีซีดี ให้กับบรรดาคนที่มาร่วมงานได้
เลือกดูตามอัธยาศัยด้วย นน่ั คอื ใครต้องการฟังดนตรีใหเ้ ข้าไปฟังในบ้าน ใครท่ีชอบชมภาพยนตร์ให้ชมได้
ในเตน๊ ท์นอกบ้าน

๑๑

การจดั งานวันที่ ๒
การจัดงานวนั ท่ี ๒ นี้ เสมือนเปน็ วันทีร่ อใหญ้ าติของผูต้ ายที่อยู่ไกลไดม้ ีเวลาเดินทางมาเคารพศพ

นั่นเอง ดังนั้นพิธีการในวันที่ ๒ จึงไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าในวันแรก แต่มีลำดับการแสดงดนตรีภายในงาน
พธิ ี ซึ่งการบรรเลงดนตรใี นวนั ท่ี ๒ นี้ มีบททจ่ี ำเป็นตอ้ งเล่นบรรเลง คือ

๑) บทเก้งไฉ่ชูเมาะ หรือ บทเชิญวิญญาณมาทานอาหาร มื้อเช้า กลางวัน และเย็นเท่านั้น
นอกเหนือจากเวลานนั้

๒) บทเพลงเก้งเพื่อความบันเทิง เป็นการบรรเลงเก้งในแบบของเพลงสนุกสนานทั่วไป จนถึงยาม
ดกึ เชน่ เดยี วกบั คนื วันที่ ๑ ซงึ่ ในการบรรเลงเกง้ เพ่ือความบันเทงิ นจี้ ะไม่มกี ารเล่นกลองเดด็ ขาด

การจดั งานวันท่ี ๓ (วันควั จื่อ) เปน็ วันที่พธิ ีกรรมยาวนานมาก
การจดั งานในวันท่ี ๓ ถือเปน็ วันสำคญั ซึ่งเรียกว่า วนั ควั จ่ือ ซึง่ เปน็ วนั รวมญาตคิ นสำคญั ของผู้ตาย

ซึ่งถือเป็นแขกคนสำคัญ หากผู้ตายเป็นหญิง ญาติคนสำคัญจะต้องเป็นชาย หากผู้ตายเป็นชาย ญาติคน
สำคัญจะต้องจัดตั้งเป็นหญิง และในฝ่ายญาติหรือแขกคนสำคัญนี้จะตั้งเป็นขบวน โดยมีเก้งเป่าเดินนำ
ขบวน ตามมาด้วยขบวนญาติ ๆ จำนวนหลายสิบคนขึ้นอยู่กับว่าจะเรียกกันมาได้เท่าไร ยิ่งมามากยิ่งถือ
เป็นเกียรตผิ ู้ตายและเป็นบารมีของแขกคนสำคัญด้วย ซึ่งในวันทำพิธีคัวจื่อนี้จะมีการเล่นบรรเลงดนตรใี น
๓ ประเภท คอื บทเพลงแคนและกลอง บทเหงยี๊ และบทสวดทำนองจไี ซ้ใน ๔ ข้นั ตอน คือ

๑) บทเพลงแคนและกลอง ในการเคลอ่ื นขบวนแขกคนสำคญั และการตอ้ นรบั แขกคนสำคญั
๒) บทเหงี๊ย สำหรับผูม้ าร่วมงานไวอ้ าลยั ผตู้ าย
๓) บทเพลงแคนและกลอง เชญิ ผกี ินข้าว
๔) บทสวดทำนองจีไซ้

ซ่ึงมีรายละเอยี ด ดังนี้
๑. บทเพลงแคนและกลอง ในการเคลื่อนขบวนแขกคนสำคัญ และการต้อนรับแขกคนสำคัญ

เริ่มต้นพิธีจากแขกคนสำคัญ จะให้ตัวแทนยิงปืนขึ้นฟ้า ๑ นัด เป็นสัญญาณว่าขบวนเดินทางใกล้
จะมาถึงแล้ว จากนั้นตัวแทนจากบ้านพิธีจะยิงปืนขึน้ ฟ้าให้สญั ญาณตอบกลับ ๓ นัด เพื่อบอกว่า
พร้อมรบั แล้ว เม่ือนนั้ จึงเรมิ่ มีการบรรเลงดนตรี คือการเล่นบรรเลงแคนและกลอง จะบรรเลงแบ่ง
ออกเป็น ๒ วง และแต่ละวงเล่นบรรเลง ๒ บท โดยไม่คำนึงว่าท่วงทำนองจะสอดคล้องกับอีกวง
หรอื ไม่ และไม่จำเป็นตอ้ งนำแคนมาเทยี บเสยี งให้เท่ากนั เสียก่อน แตส่ ามารถเลน่ ด้วยกนั ได้ โดยมี
การแยกวงเลน่ บรรเลงเปน็ ๒ วง ดังน้ี

- เพลงแคนนำขบวนแขกคนสำคัญเข้าบ้าน เป็นวงเก้งที่แขกคนสำคัญจัดเตรียมมาเอง
เพ่อื เป็นเกยี รตแิ กผ่ ู้ตาย วงนำขบวนแขกน้จี ะบรรเลง ๒ บท คอื บทแรกในความหมายท่ี
บอกถึงวา่ ไดเ้ ดินทางมาถงึ แล้ว และบทที่ ๒ บอกถงึ การขอบคุณในการตอ้ นรบั

- เพลงแคนตอบรบั จากนักดนตรบี า้ นงานพธิ ี เป็นวงเกง้ ทเี่ ล่นโดยนักดนตรีที่เจา้ ของงาน
มอบหมายหน้าท่ีให้ตัง้ แต่วนั แรกถือ ว่าเป็นกรรมการฝ่ายดนตรี บรรเลง ๒ บท คือ บท
ที่ ๑ บอกถึงการต้อนรับแขกคนสำคัญ และบทที่ ๒ บอกถึงการขอบคุณแขกทุกท่านที่

๑๒

สละเวลาเดินทางมาไกลเพ่ือมาร่วมงานพธิ ีศพ และขอบคุณแขกทุกทา่ นที่มีน้ำใจนำข้าว
ของมาใหค้ นตาย

๒. บทเหงี๊ยสำหรับผู้มาร่วมงานไว้อาลัยผู้ตาย คือ การร้องไห้คร่ำครวญออกมาเป็นคำพูดที่มี
ท่วงทำนอง เกิดขึ้นเมื่อขบวนแขกคนสำคัญก้าวผ่านประตูบ้าน แขกทุกคนในขบวนต่างก็เริ่ม
ร้องไห้คร่ำครวญพูดออกมาเป็นทำนองโดยท่ีไม่คิดว่าเป็นบทเพลง แตต่ า่ งคนต่างร่ำร้องพรรณนา
ความเศรา้ โศกต่อการจากไปของผตู้ าย พร้อมกบั พยายามกระเสือกกระสนเอ้ือมมือไปสัมผัสลูบไล้
โลงศพใหไ้ ด้ เสมอื นว่าได้ลูบไลส้ มั ผสั ร่างกายของผตู้ ายอนั เป็นท่รี ัก

การขับบทเหงี๊ย ชาวมง้ ทร่ี ่วมขบวนมากับแขกคนสำคัญ จะต่างคนตา่ งขบั บทของตนเอง
ไป โดยไม่มใี ครฟังใคร และไมม่ ใี ครสนใจฟงั ดนตรแี คนและกลองซ่ึงยงั คงบรรเลงอยู่ท้ังจากวงแคน
ของขบวนแขก และวงแคนจากวงของฝ่ายบ้านงานพิธี ซึ่งเสียงซ้อนเหลื่อมกันอยู่แล้ว จึงเกิด
เป็นดนตรีที่มีการประสานกันระหว่างเสียงดนตรีและเสียงการขับร้องมากมาย ที่ไม่ได้อยู่บน
พื้นฐานของทำนองเดียวกัน แต่เล่นบรรเลงและขับร้องในเวลาเดียวกันเท่านั้น ต่อเมื่อแคนและ
กลองเลน่ บรรเลงจบท่ี ๒ ดงั กลา่ วข้างต้น กลองจะใหส้ ัญญาณในการจบเพลง แต่จากนั้นแขกผู้มา
ร่วมงานจะเริ่มทยอยหยุดขับบทเหงี๊ยหรือไม่นั้น แล้วแต่ความรู้สึกของแขกผู้มาร่วมงาน จะร้อง
ต่อไปก็ได้ หรือจะหยุดพร้อมแคนและกลองก็ได้ หรือเมื่อใดที่รู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อผู้ตายก็
สามารถมายนื รอ้ งไหค้ รำ่ ครวญขบั บทเหงี๊ยอยุ่หน้าโลงศพได้เสมอ

หลังจากนี้จะเป็นการเชิญรับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งจะจัดให้กลุ่มแขกคนสำคัญได้
ทานกอ่ น จากนนั้ จึงเชิญเพอ่ื นบา้ นให้มาทานเปน็ ลำดับตอ่ ไป

๓. บทเหง๊ยี เก้งและดยัวเชิญผกี นิ ข้าว (บทเพลงเกง้ ไฉช่ เู มาะ) เม่ือถงึ เวลาการรบั ประทานอาหารนี้
แคนและกลองต้องบรรเลงบทเพลงอีกครั้งเพื่อเชิญวิญญาณผีมาทานข้าว คือ บทเพลงเก้งไฉ่ชู
เมาะ เพื่อเชิญวิญญาณคนตายมาทานข้าวเที่ยงและต่อด้วยบทเพลงทานข้าวเย็นต่อเนื่องกันเลย
เฉพาะในวันคัวจ่ือนี้ เนอื่ งจากหลังจากนี้จะมีพิธสี ำคัญยาวนานท่ีไมส่ ามารถเล่นบรรเลงเก้งในบท
เชิญทานข้าวเย็นได้อีก ซึ่งในระหว่างนี้กรรมการจัดงานจะเร่ิมจดั โต๊ะภายในบ้านเพ่ือจะทำพิธีช่วง
ตอ่ ไป

๔. การขับสวดบททำนองจีไซ้ เป็นบทสวดที่มีท่วงทำนองคล้ายบทเพลง ซึ่งบทสวดทองนองจีไซ้
เป็นบทสวดที่สำคัญมากในพิธีศพ เป็นการขับร้องเดี่ยวโดยไม่มีการบรรเลงดนตรีประกอบ แต่ผู้
สวดสามารถมีหลายคนได้ โดยสลับกันมาขับบทสวด จะขับร้องโดยผู้ที่ได้รับการแต่งตั้ง ซึ่งต้อง
เป็นผู้มีความสามารถสูงเนื่องจากเป็นบทสวดที่มีหลายขั้นตอน และแต่ละขั้นตอนมีความหมาย
ยาวมาก บางบทนานนบั ชั่วโมง
การขับบทสวดทำนองจีไซ้ จะเริ่มขึ้นหลังจากการรับประทานข้าวกลางวันจบสิ้นลง
กรรมการจัดโต๊ะภายในบ้านสำหรบั เชิญแขกคนสำคัญพร้อมด้วยกรรมการตำแหน่งสำคัญในงาน
เรยี บร้อยแลว้ จากนน้ั ผ้สู วดจไี ซ้ ท่เี รยี กวา่ เฉอก๊าเตง้ จะขับบทสวด ๕ บท ตามลำดับ ดังนี้ คอื

๑๓

๔.๑) บทเค๊ะเพี่ย หรือบทประวัติศาสตร์การเจ็บป่วยของผู้ตาย เนื้อหาบอกถึงว่าผู้ตายชื่ออะไร
เจ็บป่วยด้ายโรคอะไร อาการอย่างไร มีการรักษาอย่างไรไปบ้าง มีการทำพิธีกรรมอัวเน้งไปหรือ
ยงั แต่แล้วก็ถงึ คราวเวรกรรมท่แี กไ้ มต่ ก จงึ ต้องมาตายจากไป
๔.๒) จื๊อคัว เป็นบทเฉพาะกล่าวถึงแขกที่มานั่งร่วมโต๊ะในพิธีนี้ว่าใครเป็นใคร มีควมเกี่ยวพัน
อย่างไรกับผู้ตาย ซึ่งจะต้องขับหนึ่งบทต่อหนึ่งคน หากคนร่วมโต๊ะพิธีมีทั้งหมดเก้าคน ก็ต้องขับ
รอ้ งจ๊อื ควั ย่อยๆเก้าบท
๔.๓) ค้วั เกาะ เปน็ บทสงั่ สอนลูกหลานผ้ตู าย ซง่ึ ผ้ขู บั บทสวดจะถือเสมือนเป็นตัวแทนของผู้ตาย
มาสั่งสอนลูกหลานด้วยตนเอง ดังนั้นในระหว่างบทสวดนี้ ลูกหลานของผู้ตายทั้งหมดต้องมาน่ัง
มอบกราบกับพื้นต่อหน้าผู้ขับบทสวดจีไซ้ และแสดงการลุกขึ้นคำนับเคารพผู้ตายเป็นระยะตาม
การให้สญั ญาณของผูข้ ับบทสวดด้วย
๔.๔) ฝ่งเกาะ เป็นบทอวยพรลูกหลานและคนเป็นอื่นๆ โดยการแนะแนวทางว่าการฝังศพนีใ้ ห้
เลือกพื้นทภ่ี ูเขาใหด้ ี หากเลือกพ้นื ท่ีไม่ดีจะไมด่ ีตอ่ ลูกหลาน แตห่ ากได้พื้นที่ฝงั ศพดี และดูแลหลุม
ศพดี จะสง่ ผลดีตอ่ ลูกหลาน จะใหพ้ รลูกหลานให้ได้ดี เป็นเจ้าคนนายคน ใหร้ ่ำให้รวย ในระหว่าง
การขับบทสวดอวยพรนี้ เมื่อถึงตอนใดที่เป็นการอวยพรลูกหลานทั้งหมดจะต้องลุกขึ้นยืนคำนับ
ขอบคุณผู้ตายเสมอตลอดการขับบทน้ี
๔.๕) เยเกว่าดู้ เป็นบทสวดส่งวิญญาณผู้ตายไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ และให้นำคำพูดอวย
พรของผู้ตายกลับมาใหล้ กู หลานไดอ้ ยดู่ ีมีสขุ
การจดั งานวนั ที่ ๔ (วนั ซะซ่า)
หมายถึงวันพิธีฝังศพ เริ่มงานในเวลาเช้าตรู่ของพระอาทิตย์ขึ้น โดยมีการบรรเลงแคนและกลอง
เปน็ สัญญาณการเริม่ พธิ ี และบรรเลงบทเพลงตอ่ เนือ่ งกัน ๖ บท ในทุกลำดับพธิ ีสำคญั ของงาน ไดแ้ ก่
๑) บทเพลงสง่ เงนิ ทองใหผ้ ตู้ าย คือบทเพลงเพื่อบอกความหมายถึงการส่งเงินทองให้ผตู้ าย ดว้ ยการที่
ญาตผิ ูต้ ายเผากระดาษเงินกระดาษทองสง่ ไป โดยเผากนั ภายในบา้ นหนา้ โลงศพน่นั เอง
๒) บทเพลงพาคนตายไป ฉช่ึ ้า ซ่งึ หมายถึงที่โล่ง เพ่ือฆา่ สตั ว์ใหค้ นตายนำไปใช้งานในเมืองผี
๓) บทเพลงตั้งโลงศพในพิธี เป็นการบรรเลงบทเพลงเพื่อนำโลงศพจัดวางในตำแหน่งในบริเวณท่ี
กำหนดเปน็ ฉชึ่ า้ ของการทำพธิ ี หลงั จากน้จี ะมีการลม้ วัว หรอื ฆา่ สงั เวยใหศ้ พนำไปใชง้ านในเมือง
ผี
๔) บทเพลงมอบวัว บทเพลงสำหรับแคนและกลอง บรรเลงหลังจากการล้มวัวจบสิน้ ลงในทนั ที และ
จำนวนแคนและจำนวนบทเพลงจะเท่ากับจำนวนวัวทีม่ อบให้ หากมอบวัวหรือล้มวัวสองตัว ต้อง
ใชแ้ คนสองตัวและเปา่ บทเพลงสองบท
๕) บทเพลงเก้งไฉช่ ูเมาะ ในบทเชิญวญิ ญาณคนตายทานข้าวเช้า ต่อดว้ ยบททานข้าวกลางวัน ซึ่งจะ
มบี ทขับรอ้ งคลอประกอบด้วย
๖) บทเพลงพาผ้ตู ายไปป่าชา้ เปน็ บทเพลงสำหรบั แคนและกลอง เปา่ เมอื่ จะเคลอ่ื นยา้ ยศพจากลานท่ี
โลง่ ทฆี่ า่ วัวสงั เวยน้ี ไปทำพธิ ฝี งั ท่ีป่าช้า ซงึ่ อย่นู อกหมู่บ้าน ซง่ึ อาจไกลออกไปที่เนินเขาอีกลูกหน่ึง
แต่การเป่าแคนในบทนี้จะเป่าพอเป็นพิธี และเดินนำทางเคลื่อนขบวนไปสักเล็กน้อยก็หยุดเป่า
ปล่อยใหข้ บวนเคลื่อนยา้ ยศพได้เดนิ ทางตอ่ ไปเอง

๑๔

หลังจากขบวนเคลอื่ นย้ายศพเดนิ ทางออกพน้ บริเวณ ฉช่ึ ้า แลว้ จงึ ถือวา่ จบพธิ ีกรรมการทำศพ ที่มี
ความเกี่ยวข้องกบั ดนตรีและการขบั รอ้ งบทเพลง

หนา้ ทแี่ ละบทบาทของดนตรีในพธิ ีกรรมการทำศพ
จากการที่แคนถูกใช้เป็นเครื่องดนตรีหลักในการประกอบพิธี แคน จึงเป็นสื่อเสียงส่งวิญญาณไป

สวรรค์
อยา่ งไรกต็ าม แคนของชาวม้งไมใ่ ช่เคร่ืองดนตรีสำหรับความตายเทา่ น้นั ในบริบทอื่น ๆ เช่น งาน

รื่นเริงในวันขึ้นปีใหม่ ก็จะมีเพลงสำหรับงานนั้น ๆ อีกเป็นจำนวนไม่น้อย เพลงในบริบทเหล่านี้เป็นเพลง
สนุกสนาน เป็นสื่อของงานเฉลิมฉลอง บางแห่งนักดนตรีที่มีทักษะสูงหลายคนใช้แคนเป่าทักทายปราศรัย
กันแทนการใชค้ ำพูดดว้ ย และโดยปกตินักดนตรีมักจะเตน้ รำไปด้วยในขณะทเ่ี ป่าแคน บทบาทของแคนใน
งานรนื่ เรงิ ทำใหแ้ คนมีสถานะเปน็ เสมอื นของเลน่

จารตี ประเพณีในการปฏิบัติต่อผลู้ ่วงลบั มีส่วนสำคญั ยิ่งในสังคมชาวมง้ เพราะเป็นการแสดงความ
รักความอาลยั ท่ีมตี ่อผลู้ ่วงลับ เป็นการแสดงความเคารพและให้เกยี รติอย่างสูง และแคนคือสื่อแสดงความ
รัก ความรู้สึกตลอดจนการสั่งเสียและฝากฝังที่ผู้อยู่ข้างหลังจดั ให้แก่ผู้ล่วงลับผ่านทางเสียงเพลงของแคน
ดังนั้น บทบาทของแคนในงานศพ จึงเป็นพิธีการที่จริงจังและขรึมขลัง บทบาทนี้แคนไม่ใช่ของเล่นเพ่ือ
ความสนุก แต่เป็นส่งิ ทมี่ ีชนั้ วรรณะสูงกว่าปกติ

บทบาทและสถานะที่ต่างกันตามความเชื่อและประเพณี ทำให้แคนเป็นสัญลักษณ์ของประเพณี
และความเชื่ออันเป็นอัตลักษณ์ของชนเผ่าม้งด้วยการที่แคนสำคัญต่อวิ ถีชีวิตของชาวม้งอย่างแนบแน่น
เช่นนี้ทำให้หมอแคนม้งคนหนึ่งกล่าวว่า “ไม่มีแคนก็ไม่ใช่ม้ง” (ซัว นทีไพรวัลย์, สัมภาษณ์ ๒๑ เมษายน
๒๕๕๗)

อยา่ งไรกต็ าม ชาวม้งและแคนกำลงั เผชิญกบั ปัญหาหนึ่งอยู่ในขณะนี้ คือ จำนวนชา่ งผู้สามารถทำ
แคนดีๆได้ลดจำนวนลงเป็นลำดับ ถึงแม้ชาวม้งจะกระจายตัวอาศัยอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ รวม ๑๔ จังหวัด
แต่ช่างทำแคนจะมีในไม่เกินครึ่งหนึ่งของจำนวนจังหวัดเหล่านี้ การสงวนรักษาแคนไว้ในฐานะมรดกทาง
วฒั นธรรมของชนเผ่าจงึ เปน็ เร่ืองท่ีสมควรพิจารณาอย่างยง่ิ

ขอ้ ปฏิบัตขิ องหมอแคน
พิธีขอบคุณ คนที่สอนเป่าแคน โดยต้องเตรียมของไหว้เพื่อต้องมอบให้ครู คือ ไก่ ๑ ตัว เหล้า ๑ ขวด
โดยนำไปคาราวะครูท่ีบ้านครู
สมัยก่อน ผู้ชายม้ง ๘๐% เป่าแคนได้ และเป่าตลอดเวลาที่ว่างจากงาน ถือติดตัวไปด้วยทุกที่ รักแคนยิ่ง
กว่าสมบัตอิ ย่างอ่ืน
ขอ้ ห้าม หา้ มเปา่ บทเพลงงานศพในบา้ นทไ่ี ม่มตี ายเดด็ ขาด

๑๕

บทสรปุ
จะเห็นได้ว่า มนุษย์ในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก็ตามย่อมมีความสุนทรีย์ทางอารมณ์ ที่มี

ช่องทางในการแสดงความรู้สึกในเบื้องลึกออกมาตามช่องทางของบทเพลงโดยเฉพาะแคนม้งของพี่น้อง
ชาวม้ง ซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ตามเนินเขา ซึ่งการดำเนินชีวิตของเขายังคงควบคู่กับเสียงดนตรี
ตลอดไปตราบช่ัวอายุไข

แนวทางการนำไปใช้
๑. ใช้เปน็ แนวทางในการปฏบิ ัตงิ านในองคก์ ร
๒. ใช้เป็นฐานข้อมูลการศึกษาในการบูรณาการกับการเรียนการสอนรายวิชา HSDP ๑๐๕

ศิลปะการแสดงพืน้ บา้ นไทย โดยนำองคค์ วามรทู้ ีไ่ ดไ้ ปใช้ในกระบวนการเรียนการสอน (มคอ.๓ หมวดที่ ๕)
โดยใช้สอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยกำหนดนโยบายด้านการอนุรักษ์ทางวัฒนธรรม เพื่อให้
นักศึกษามีความรู้และความเข้าใจในศาสตร์ทางความงามทั้งดนตรี ศิลปะและนาฏศิลป์ เห็นคุณค่าและ
สามารถนำความรู้มาใชใ้ นการดำรงชวี ิตในสงั คมไดอ้ ย่างมีความสขุ

ขอ้ เสนอแนะ
ควรจะนำรูปแบบการจดั เกบ็ องค์ความรูใ้ นคร้ังน้ไี ปขยายผลใชก้ ับพื้นที่อื่น ๆ หรอื ดนตรีของกลุ่ม

คนอนื่ ๆ

๑๖

บรรณานกุ รม
เรยี บเรยี งโดย ผูช้ ว่ ยศาสตราจารยป์ ระสิทธ์ิ เลียวศิริพงศ์
ทม่ี าอ้างอิง : นิรตุ ร์ แกว้ หล้า ๒๕๕๔

เอกสารอ้างอิง
นริ ุตร์ แก้วหลา้ (๒๕๕๔). ดนตรขี องชาวม้งในเขตพ้นื ที่ศนู ยพ์ ฒั นา โครงการหลวงหนองหอย ตำบลแม่

แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชยี งใหม่ เชียงใหม่ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเชยี งใหม่
ประสทิ ธ์ิ เลยี วสริ ิพงศ์ (๒๕๔๒) ดนตรพี ื้นบ้านไทยภาคเหนือ เชียงใหม่ โครงการตำราวิชาการราชภฏั เฉลมิ
พระเกียรติ สถาบันราชภัฏเชียงใหม่
รลั นา มณปี ระเสริฐ (๒๕๓๑) “เพลงและการละเลน่ พืน้ บา้ นแมว้ :ภาพสะทอ้ นภูมิปญั ญาท้องถน่ิ ” เพลง

และการละเลน่ พื้นบา้ นลา้ นนาเชียงใหม่ วทิ ยาลยั ครูเชียงใหม่
วสนั ตช์ าย อิมโอษฐ์ (๒๕๔๓) เคง่ : เครื่องดนตรีของชนเผ่ามง้ นครปฐม คณะดุรยิ างคศิลป์ บัณฑติ

วิทยาลัยมหาวทิ ยาลยั มหิดล
สวุ ิชานนท์ รัตนภิมล (๒๕๔๑) เพลง ดนตรี ชีวติ ชาวดอย เชียงใหม่ กองทนุ ชุมชนรกั ป่า มูลนธิ ิพฒั นา

ภาคเหนือ

สัมภาษณ์
นายเล้ง แซจ่ นั ทร์ (นักดนตรีเค่งชาวมง้ ) (๒๕๔๐) ศูนย์วฒั นธรรมเชยี งใหม่ ตำบลหายยา อำเภอเมือง

จงั หวัดเชียงใหม่
นายหลอื เตชะเลิศพนา (นักดนตรีเคง่ ชาวม้ง) (๒๕๕๗) บา้ นหนองหอย ตำบลแมแ่ รม อำเภอแมร่ มิ

จังหวดั เชียงใหม่
นายซัว นทไี พรวลั ย์ (นกั ดนตรเี คง่ ชาวมง้ ) (๒๕๕๗) บา้ นหนองหอย ตำบลแมแ่ รม อำเภอแม่รมิ จังหวดั

เชยี งใหม่

๑๗

ภาคผนวก

๑๘

ภาคผนวก ก
ภาพการลงพ้นื ท่ีเก็บองคค์ วามรู้เร่ือง แคนมง้

๑๙

๒๐

๒๑

ภาคผนวก ข
รายละเอียดรายวชิ า (มคอ. ๓) ท่ีใช้บูรณาการ

๒ม๒คอ. 3

รายละเอียดของรายวิชา (มคอ.3)

คณะ มนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเพชรบูรณ์

หลักสูตรสาขาวชิ า นาฏศิลป์และศลิ ปะการแสดง

หมวดที่ 1 ข้อมูลโดยทว่ั ไป

1. รหัสและช่อื รายวิชา

HSDP105 ชอ่ื รายวชิ า (ภาษาไทย) ศลิ ปะการแสดงพ้นื บา้ นไทย

ชือ่ รายวชิ า (ภาษาองั กฤษ) Thai Folk Performing Arts

2. จำนวนหนว่ ยกติ

3 (2-2-5) จำนวนหนว่ ยกิต (บรรยาย-ปฏิบัติ-ศกึ ษาดว้ ยตนเอง)

3. หลักสูตรและประเภทของรายวิชา

หลกั สูตรศลิ ปกรรมศาสตรบัณฑติ สาขาวิชานาฏศิลป์และศิลปะการแสดง

และหมวดวิชาเฉพาะ วิชาแกน

4. อาจารย์ผรู้ ับผิดชอบรายวิชาและอาจารย์ผูส้ อน

4.1 ผชู้ ่วยศาสตราจารย์จันทรพ์ มิ พ์ มเี ปยี่ ม ผรู้ บั ผดิ ชอบรายวิชาและอาจารยผ์ ู้สอน

5. ภาคการศกึ ษา/ชั้นปีท่ีเรียน
ภาคการศึกษาที่ 1 ชนั้ ปีท่ี 2 (ตามแผนการเรียน)

6. รายวิชาท่ีต้องเรียนมาก่อน (Pre-requisite)
ไม่มี

7. รายวิชาที่ต้องเรียนพร้อมกัน (Co-requisites)
ไม่มี

8. สถานที่เรยี น
สาขาวิชานาฏศิลปแ์ ละศิลปะการแสดง คณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั
เพชรบรู ณ์

9. วนั ท่จี ดั ทำหรอื ปรับปรุงรายละเอียดของรายวิชาครงั้ ล่าสดุ
วันท่ี 7 มถิ นุ ายน 2564

๒๓

หมวดท่ี 2 จดุ มงุ่ หมายและวตั ถุประสงค์

1. จดุ มงุ่ หมายของรายวิชา
1. สามารถเข้าใจในที่มาของดนตรีประกอบการแสดงพื้นเมืองเพชรบูรณ์
2. เขา้ ใจหลกั การที่มาขององค์ประกอบด้านลีลา ท่ารำของการแสดงพ้ืนเมืองเพชรบูรณ์
3. เขา้ ใจหลักการที่มาขององค์ประกอบด้านเสื้อผ้า การแต่งกาย เครื่องประดับ
4. สามารถเหน็ ความสำคญั ของดนตรีประกอบการแสดงพื้นเมืองเพชรบูรณ์

2. วัตถุประสงค์ในการพฒั นา/ปรบั ปรงุ รายวิชา
เพือ่ ใหน้ กั ศึกษามคี วามรู้ความเข้าใจในการแสดงพ้ืนเมืองเพชรบูรณ์ รวมถึงเห็นคุณคา่ และความ

สำคัญของการแสดงพื้นเมืองเพชรบูรณ์ และสามารถปฏิบตั ิการแสดงพ้ืนเมืองเพชรบูรณ์

หมวดท่ี 3 ลกั ษณะและการดำเนนิ การ

1. คำอธบิ ายของรายวิชา
ศกึ ษาศิลปะการแสดงทั้ง 4 ภาค และการแสดงพ้ืนเมอื งเพชรบรู ณ์ โดยศึกษาลีลา ท่ารำ เส้อื ผา้

การแตง่ กาย เคร่ืองประดับ และท่ีมาขององค์ประกอบเหล่านน้ั
Study the performances of 4 parts of Thailand and Phetchabun folk performance

focusing on dance styles, costumes, accessories, and their resources.

2. จำนวนชั่วโมงทใี่ ชต้ ่อภาคการศกึ ษา

จำนวนช่ัวโมงต่อภาคการศึกษา

หนว่ ยกติ บรรยาย การฝึกปฏิบัติ/ การศึกษาด้วย สอนเสรมิ

การฝกึ งาน ตนเอง

3(2-2-5) 30 30 75 ตามความต้องการ

ของนักศึกษา

3. จำนวนชั่วโมงต่อสปั ดาห์ที่อาจารย์ให้คำปรึกษาและแนะนำทางวชิ าการแก่นักศึกษาเป็นรายบุคคล

1 ช่วั โมง (เฉพาะรายทีต่ ้องการ)

ตารางการให้คำปรกึ ษาและแนะนำทางวชิ าการแก่นกั ศึกษาเป็นรายบคุ คล

วัน-เวลา สถานท่ีหรือ หมายเลข ที่อยขู่ อง รวมจำนวน

ให้ หมายเลขหอ้ ง โทรศัพท์ E-mail ผู้สอน ชัว่ โมงต่อสปั ดาห์

รายวิชา อาจารย์ผู้สอน คำปรึกษา ผู้สอน ผูส้ อน ที่ใหค้ ำปรึกษา

1.ศลิ ปะ อ.จันทรพ์ มิ พ์ มเี ปยี่ ม วนั จันทร์ ห้องพัก 085-4239903 Chanpimm_2520 1ชม./สด.
การแสดง เวลา อาจารย์ @hotmail.com
12.00- นาฏศลิ ป์ฯ
พ้ืนบ้านไทย 13.00 น.

๒๔

หมวดที่ 4 การพัฒนาการเรยี นรู้ของนกั ศึกษา

1. ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม 1.2 กลยทุ ธ์/วธิ กี ารสอน 1.3 กลยทุ ธ์/วธิ กี ารประเมินผล

1.1 ผลการเรียนรู้ ศกึ ษาสาระการเรียนรู้ 3 ด้าน คือ วธิ ีการประเมินผลการเรยี นร้ใู ชว้ ธิ กี าร
ภาคทฤษฎี ภาคปฏิบตั แิ ละการ ประเมินหลากหลายวิธีโดยคํานงึ ถงึ
1 [•] ซอ่ื สตั ย์สุจรติ มีวินยั และมคี วามรบั ผิดชอบ สร้างสรรค์ รวมท้ังความรดู้ า้ นคณุ คา่ พัฒนาการของผ้เู รียน และผลการเรยี นรู้ท่ี
ต่อตนเองและสังคม กลุม่ ความร้ทู ง้ั สามคุณลักษณะเน้น ตอ้ งการวดั เช่น การสอบ การนาํ เสนอ
ความรคู้ วามสามารถในเชิงสห ผลงาน การทดสอบ ทกั ษะการปฏบิ ตั ิงาน
วิทยาการ ท้งั นเี้ พือ่ ให้ผูเ้ รยี นมีความ การอภปิ รายในชนั้ เรยี น การสังเกต
เขา้ ใจ เขา้ ถึงธรรมชาตขิ องสาขา พฤตกิ รรม ซ่งึ อาจเปน็ การประเมนิ โดย
ศลิ ปกรรมศาสตรโ์ ดยเรียนรูจ้ ากโลก ตนเอง โดยผ้สู อน และโดยผูม้ ีสว่ น
ภายนอก ที่เปน็ ธรรมชาติสง่ิ แวดลอ้ ม เกยี่ วขอ้ ง
ทมี่ องเห็นไดส้ มั ผสั รบั รู้ไดจ้ าก
อายตนะตา่ ง ๆ และโลกภายในที่
เป็นความคิด จินตนาการผ่านอารมณ์
ความรู้สกึ

2 []……………………... 2…………………..…… 2…………………..……
3 []……………………... 3…………………..…… 3…………………..……
4 []……………………… 4…………………..…… 4…………………..……
5 [ ]……………………. 5…………………..…… 5…………………...……

2. ดา้ นความรู้ 2.2 กลยุทธ์/วิธกี ารสอน 2.3 กลยุทธ์/วธิ ีการประเมินผล

2.1 ผลการเรียนรู้ ศกึ ษาสาระการเรียนรู้ 3 ดา้ น คอื วธิ ีการประเมนิ ผลการเรยี นรใู้ ช้วธิ ีการ
ภาคทฤษฎี ภาคปฏิบตั แิ ละการ ประเมนิ หลากหลายวธิ โี ดยคาํ นงึ ถงึ
1 [•] รอบรใู้ นศาสตรท์ างศลิ ปกรรม และศาสตร์ สรา้ งสรรค์ รวมทัง้ ความร้ดู า้ นคณุ คา่ พฒั นาการของผู้เรียน และผลการเรยี นรทู้ ี่
อื่นท่เี กี่ยวขอ้ ง กล่มุ ความรทู้ งั้ สามคุณลักษณะเนน้ ตอ้ งการวดั เชน่ การสอบ การนาํ เสนอ
2 []……………………... ความรูค้ วามสามารถในเชงิ สห ผลงาน การทดสอบ ทกั ษะการปฏิบตั งิ าน
วิทยาการ ท้งั นี้เพ่อื ให้ผู้เรยี นมีความ การอภปิ รายในชน้ั เรียน การสงั เกต
3 [•] มีความร้ใู นทางศลิ ปะที่สมั พันธ์กบั บริบท เขา้ ใจ เข้าถงึ ธรรมชาตขิ องสาขา พฤติกรรม ซง่ึ อาจเปน็ การประเมินโดย
ศิลปกรรมศาสตร์โดยเรยี นรูจ้ ากโลก ตนเอง โดยผสู้ อน และโดยผูม้ ีสว่ น
ทางสงั คมภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ภายนอก ท่เี ป็นธรรมชาตสิ ่ิงแวดลอ้ ม เกยี่ วขอ้ ง
ทม่ี องเห็นไดส้ มั ผัสรบั รู้ไดจ้ าก
4 []…………………… อายตนะตา่ งๆ และโลกภายในทเ่ี ปน็ 4…………………..……
5 []……………………. ความคดิ จนิ ตนาการ ผา่ นอารมณ์ 5…………………..……
ความรสู้ ึก

4…………………..……

5…………………..……

๒๕

3. ดา้ นทกั ษะทางปัญญา

3.1 ผลการเรียนรู้ 3.2 กลยทุ ธ์/วธิ ีการสอน 3.3 กลยทุ ธ์/วิธีการประเมนิ ผล

1 []…………………… 1…………………..…… 1…………………..……
2…………………..……
2 []…………………… 2…………………..…… 3.วิธีการประเมินผลการเรียนรู้ใชว้ ธิ กี าร
ประเมินหลากหลายวธิ ีโดยคาํ นงึ ถึง
3 [•]สามารถบรู ณาการความรกู้ บั ศาสตรอ์ ื่นเพือ่ 3.ศกึ ษาสาระการเรยี นรู้ 3 ดา้ น คอื พฒั นาการของผเู้ รียน และผลการเรยี นรูท้ ี่
สรา้ งสรรค์ผลงานทางวิชาการและวิชาชพี ได้ ภาคทฤษฎี ภาคปฏบิ ัติและการ ต้องการวัด เช่น การสอบ การนาํ เสนอ
สร้างสรรค์ รวม ทั้งความร้ดู ้านคณุ คา่ ผลงาน การทดสอบ ทกั ษะการปฏบิ ัติงาน
การอภปิ รายในชน้ั เรียน การสังเกต
กลมุ่ ความรู้ทงั้ สามคุณลักษณะเนน้ พฤติกรรม ซึ่งอาจเปน็ การประเมนิ โดย
ตนเอง โดยผู้สอน และโดยผมู้ สี ว่ น
ความร้คู วามสามารถในเชงิ สห เก่ยี วขอ้ ง

วิทยาการ ทงั้ นี้เพื่อให้ผ้เู รียนมีความ 4…………………..……
5…………………..……
เขา้ ใจ เขา้ ถงึ ธรรมชาติของสาขา
4.3 กลยุทธ์/วิธีการประเมินผล
ศลิ ปกรรมศาสตร์โดยเรยี นรู้จากโลก
1. วธิ กี ารประเมินผลการเรียนรูใ้ ช้วธิ ีการ
ภายนอก ท่ีเปน็ ธรรมชาตสิ ิ่งแวดล้อม ประเมินหลากหลายวิธีโดยคํานงึ ถึง
พัฒนาการของผูเ้ รยี น และผลการเรยี นรทู้ ี่
ทีม่ องเห็นไดส้ ัมผสั รบั รู้ไดจ้ าก ต้องการวัด เช่น การสอบ การนาํ เสนอ
ผลงาน การทดสอบ ทกั ษะการปฏิบตั งิ าน
อายตนะตา่ งๆ และโลกภายในทเ่ี ปน็ การอภปิ รายในชนั้ เรียน การสงั เกต
พฤตกิ รรม ซงึ่ อาจเป็นการประเมนิ โดย
ความคิด จนิ ตนาการ ผ่านอารมณ์ ตนเอง โดยผู้สอน และโดยผ้มู สี ว่ น
เก่ยี วขอ้ ง
ความร้สู กึ
3…………………..……
4 []…………………… 4…………………..…… 3…………………..……
3…………………..……
5 []…………………… 5…………………..……

4. ดา้ นทักษะความสัมพนั ธร์ ะหว่างบคุ คลและความรับผิดชอบ

4.1 ผลการเรยี นรู้ 4.2 กลยทุ ธ์/วธิ กี ารสอน

1 []…………………… 1. ศึกษาสาระการเรยี นรู้ 3 ดา้ น
คอื ภาคทฤษฎี ภาคปฏบิ ัตแิ ละ
2 [•] มคี วามรับผดิ ชอบต่องานของตนเอง และ การสรา้ งสรรคร์ วมทง้ั ความรู้ดา้ น
สามารถทาํ งานร่วมกบั ผู้อื่นได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ คุณค่ากลุม่ ความรู้ทง้ั สามคุณลกั ษณะ

เน้นความรคู้ วามสามารถในเชิงสห

วทิ ยาการ ทัง้ น้ีเพ่ือให้ผ้เู รียนมคี วาม

เขา้ ใจ เข้าถงึ ธรรมชาติของสาขา

ศลิ ปกรรมศาสตรโ์ ดยเรียนรู้จากโลก

ภายนอก ท่ีเป็นธรรมชาตสิ ิ่งแวดล้อม

ทมี่ องเห็นไดส้ ัมผัสรับรู้ได้จาก

อายตนะตา่ งๆ และโลกภายในที่เป็น

ความคิด จินตนาการ ผ่านอารมณ์

ความรสู้ กึ

3 []…………………… 3…………………..……

4 []…………………… 3…………………..……

5 []…………………… 3…………………..……

๒๖

5. ด้านทักษะการวิเคราะห์เชงิ ตวั เลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ

5.1 ผลการเรยี นรู้ 5.2 กลยทุ ธ์/วิธกี ารสอน 5.3 กลยุทธ์/วิธกี ารประเมินผล

1 []…………………… 1…………………..…… 1…………………..……

2 [•] สามารถเลือกใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศใน 2.สามารถเลือกใชเ้ ทคโนโลยี 2.การเรียนการสอน โดยเน้นผู้เรียนเป็น
การสืบคน้ ขอ้ มูลเพื่อการสรา้ งสรรค์ผลงาน หรือ สารสนเทศในการสืบค้นขอ้ มลู เพอ่ื สาํ คัญ เน้นการคน้ ควา้ เฉพาะตวั กําหนด
การนาํ เสนอผลงานได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ การสร้างสรรค์ผลงาน หรอื การ ประเด็นศึกษา กําหนดแนวทาง
นาํ เสนอผลงานได้อย่างมี ค้นคว้าวิจัย นักศึกษาเสนอแนวทาง

ประสิทธิภาพ ค้นคว้าวจิ ัย มกี ารวิพากษ์วจิ ารณ์ ทั้งของ

นักศึกษาในชั้นเรียนและของอาจารย์การ

สัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการ

สาธิตจากอาจารย์ผู้สอนหรือผู้เชี่ยวชาญ

สอดแทรกเน้ือหา/กจิ กรรม

ท่สี ง่ เสริมด้านคุณธรรมจริยธรรมในการ

เรียน การสอนต่างๆ จะทาํ ใหผ้ ู้เรียนเกิด

ทักษะในการเรียนร้ฝู ึกทกั ษะในการ

นำเสนอและอภปิ รายโดยใช้ เทคโนโลยี

สารสนเทศในการสอื่ สารกับผู้อื่น ทกั ษะ

การใช้ภาษาไทยและภาษาตา่ งประเทศ

การรับฟังความคิดเห็นของผอู้ น่ื และเป็นผู้

มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรมในตนเอง วิชาชีพ

และสังคม

6. ด้านทักษะพสิ ยั

6.1 ผลการเรียนรู้ 6.2 กลยทุ ธ์/วิธีการสอน 6.3 กลยทุ ธ์/วธิ กี ารประเมนิ ผล

1 [•] สามารถใชท้ กั ษะปฏิบตั ทิ างศิลปกรรม 1.ศึกษาสาระการเรียนรู้ 3 ด้าน คือ 1.วิธีการประเมนิ ผลการเรยี นรใู้ ช้วธิ กี าร
ศาสตร์ในการสรา้ งสรรค์ผลงานของตน ภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัตแิ ละการ ประเมนิ หลากหลายวิธีโดยคํานึงถงึ
สรา้ งสรรค์ รวมทั้งความรูด้ า้ นคณุ ค่า พฒั นาการของผเู้ รยี น และผลการเรียนรทู้ ่ี

กลุ่มความรู้ทั้งสามคณุ ลักษณะเนน้ ตอ้ งการวดั เช่น การสอบ การนาํ เสนอ

ความรคู้ วามสามารถในเชิงสห ผลงาน การทดสอบ ทกั ษะการปฏิบตั ิงาน

วทิ ยาการ ทัง้ นเ้ี พือ่ ใหผ้ ูเ้ รยี นมคี วาม การอภปิ รายในชนั้ เรียน การสงั เกต

เข้าใจ เขา้ ถงึ ธรรมชาตขิ องสาขา พฤติกรรม ซึ่งอาจเปน็ การประเมนิ โดย

ศิลปกรรมศาสตรโ์ ดยเรียนรู้จากโลก ตนเอง โดยผสู้ อน และโดยผู้มสี ว่ น

ภายนอก ทเี่ ปน็ ธรรมชาติส่ิงแวดล้อม เกี่ยวขอ้ ง

ทมี่ องเหน็ ได้สมั ผัสรบั รู้ได้จาก

อายตนะตา่ งๆ และโลกภายในท่ีเปน็

ความคิด จนิ ตนาการ ผ่านอารมณ์

ความรสู้ กึ

๒๗

หมวดที่ 5 แผนการสอนและการประเมนิ ผล

1. แผนการสอน

สปั ดาห์ หัวขอ้ /รายละเอยี ด ช่ัวโมงสอนตอ่ กิจกรรมการสอน ส่อื ที่ใช้ใน อาจารย์ผ้สู อน
ที่ สปั ดาห์ การสอน ผศ.จันทรพ์ มิ พ์ มเี ปยี่ ม
-บรรยายพรอ้ ม -Power point
1 ศึกษาท่ีมาและลักษณะ ทฤษฎี ปฏิบตั ิ ยกตวั อย่าง เช่น เรอื่ ง -เอกสารประกอบ ผศ.จนั ทรพ์ มิ พ์ มเี ปี่ยม
การแสดงพ้ืนบ้านไทย ขันหมากเบ็ง : การบรรยาย ผศ.จันทร์พมิ พ์ มเี ปี่ยม
-ความรู้เกย่ี วกับการแสดง 22 วฒั นธรรมและความ -แผ่น CD, VDO
พ้นื เมือง ศรทั ธาสเู่ คร่ืองบูชา ผศ.จันทรพ์ ิมพ์ มเี ป่ยี ม
(องค์ความรูท้ างวฒั นธรรม 44 จากงานฝีมือ) -Power point
เร่ืองขนั หมากเบง็ : -มอบหมายให้ค้นควา้ -เอกสารประกอบ
วฒั นธรรมและความ 44 เขียนรายงานโดย การบรรยาย
ศรัทธาส่เู ครือ่ งบชู าจาก แบ่งกลมุ่ 4 กลมุ่ -แผน่ CD, VDO
งานฝีมือ) 44 -บรรยายพร้อม
ยกตัวอย่าง เชน่ เรือ่ ง -Power point
2-3 -ศึกษาท่ีมาและลักษณะ แคนม้งกับวถิ ีชีวิต -เอกสารประกอบ
การแสดงพื้นบ้านไทย ชาวม้ง) การบรรยาย
ภาคเหนือ -รายงานกลมุ่ ที่ 1 -แผ่น CD, VDO
(องคค์ วามรูท้ างวฒั นธรรม ภาคเหนอื
เรอื่ งแคนม้งกบั วถิ ชี วี ติ -ปฏบิ ัตจิ ริง -Power point
ชาวม้ง) -บรรยายพรอ้ ม -เอกสารประกอบ
ยกตัวอย่าง เชน่ เรอ่ื ง การบรรยาย
4-5 -ศึกษาท่ีมาและลักษณะ แม่ศรี การละเลน่ -แผ่น CD, VDO
การแสดงพ้ืนบ้านไทย พนื้ บา้ นนายม ตำบล
ภาคกลาง นายม อำเภอเมอื ง
(องค์ความรูท้ างวฒั นธรรม จังหวัดเพชรบรู ณ์
เรอื่ งแม่ศรี การละเลน่ -รายงานกลุ่มที่ 2
พื้นบ้านนายม ตำบลนายม ภาคกลาง
อำเภอเมือง จังหวดั -ปฏิบัติจรงิ
เพชรบูรณ์) -บรรยายพร้อม
ยกตัวอย่าง
6-7 -ศึกษาท่ีมาและลักษณะ -รายงานกลมุ่ ท่ี 3
การแสดงพื้นบ้านไทย ภาคอีสาน
ภาคอีสาน -ปฏบิ ัติจรงิ

๒๘

สปั ดาห์ หวั ขอ้ /รายละเอยี ด ชว่ั โมงสอนตอ่ กจิ กรรมการสอน ส่ือท่ใี ช้ใน อาจารยผ์ ้สู อน
ท่ี สัปดาห์ การสอน ผศ.จันทร์พมิ พ์ มเี ปี่ยม
-บรรยายพรอ้ ม ผศ.จนั ทรพ์ ิมพ์ มเี ปย่ี ม
8-9 -ศึกษาท่ีมาและลักษณะ ทฤษฎี ปฏบิ ตั ิ ยกตวั อย่าง -Power point ผศ.จนั ทร์พมิ พ์ มเี ปยี่ ม
การแสดงพ้ืนบ้านไทย -รายงานกล่มุ ท่ี 4 -เอกสารประกอบ
ภาคใต้ 44 ภาคใต้ การบรรยาย ผศ.จนั ทรพ์ มิ พ์ มเี ปี่ยม
-ปฏิบตั จิ ริง -แผ่น CD, VDO
10 การแสดงพ้ืนเมอื ง 22 -บรรยายพรอ้ ม
เพชรบูรณ์ ยกตัวอย่าง -Power point
-ศึกษาท่ีมาและลักษณะ 44 -จดั กิจกรรม อภปิ ราย -เอกสารประกอบ
การแสดงพ้ืนบ้าน แสดงความคดิ เหน็ การบรรยาย
เพชรบูรณ์ 66 -แผ่น CD
-บรรยายพร้อม
11-12 -ศึกษาลีลา ท่ารำ เสื้อผา้ ยกตวั อย่าง -Power point
การแตง่ กาย เครอ่ื งประดับ -จดั กิจกรรม อภปิ ราย -เอกสารประกอบ
และที่มาขององค์ประกอบ แสดงความคดิ เห็น การบรรยาย
ในการแสดง ชดุ ฟอ้ น -ปฏบิ ัติจรงิ การฟ้อน -แผน่ CD
แขบลาน (องคความรู้ทาง แขบลานแบบดัง้ เดมิ
วัฒนธรรม เรือ่ งแขบลาน : และแบบสร้างสรรค์ -Power point
ประเพณชี าวหลม่ สัก) ข้ึนใหม่ -เอกสารประกอบ
-บรรยายพร้อม การบรรยาย
13-15 -ศกึ ษาลีลา ท่ารำ เสื้อผา้ ยกตัวอย่าง -แผน่ CD
การแตง่ กาย เครอื่ งประดบั -จัดกิจกรรม อภปิ ราย
และที่มาขององค์ประกอบ แสดงความคดิ เหน็
ในการแสดง ชุด ระบำ -ปฏิบัติจริง
นางสุ่ม

สอบปลายภาค

๒๙

2. แผนการประเมนิ ผลการเรียนรู้

กจิ กรรม การเรยี นรูด้ า้ น ผลการเรียนรู้ วธิ กี ารประเมิน สปั ดาหท์ ่ี สดั ส่วนการ
ท่ี คุณธรรม จรยิ ธรรม ประเมนิ ประเมิน
1 1) ซ่ือสัตยส์ ุจริต มีวนิ ยั และมคี วาม -การสอบ ตลอด 10%
2 ความรู้ รับผิดชอบต่อตนเองและสงั คม -การนาํ เสนอผลงาน การศึกษา 10%
2) มีทศั นคติท่ีเปิดกว้าง ยอมรบั ฟงั -การทดสอบ 15%
3 ทกั ษะทางปญั ญา แนวคิดของผ้อู นื่ -ทักษะการ 4 30%
4 1) มคี วามสามารถในการค้นควา้ ปฏบิ ัตงิ าน 4, 10, 15
ทกั ษะ แก้ปญั หาและพฒั นาทางดา้ น -การอภปิ รายในช้นั ปลายภาค -
5 ความสัมพันธ์ ศลิ ปกรรมศาสตร์ อยา่ งเป็นระบบ เรียน -การสงั เกต 15%
ระหวา่ งบุคคลและ 2) มีความรู้ในทางศิลปะทสี่ ัมพันธ์ พฤติกรรม ซงึ่ อาจ -
6 ความรบั ผิดชอบ กับบริบททางสงั คม ภูมปิ ญั ญาและ เป็นการประเมนิ โดย 10%
วฒั นธรรม ตนเอง โดยผูส้ อน 4, 10, 15
ทกั ษะการวเิ คราะห์ 1) สามารถบูรณาการความรกู้ บั และโดยผมู้ สี ว่ น 10%
เชงิ ตัวเลข การ ศาสตรอ์ ื่นเพื่อสรา้ งสรรค์ผลงานทาง เกี่ยวข้อง 10, 15
สอื่ สาร และการใช้ วิชาการและวิชาชพี ได้
เทคโนโลยี 1) มภี าวะผู้นํา เขา้ ใจบทบาทหนา้ ที่ ตลอด
สารสนเทศ ของตนเอง รับฟังความคิดเห็นของ การศกึ ษา
ทักษะพสิ ยั ผู้อนื่ และมนุษยสมั พนั ธ์ทด่ี ี
2) มีความรับผิดชอบต่องานของ
ตนเอง และสามารถทํางานร่วมกับ
ผูอ้ ่นื ได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
1) สามารถเลอื กใชเ้ ทคโนโลยี
สารสนเทศในการสบื ค้นข้อมลู เพอ่ื
การสร้างสรรคผ์ ลงาน หรอื การ
นําเสนอผลงานไดอ้ ยา่ งมี
ประสิทธภิ าพ
1) สามารถใชท้ กั ษะปฏิบตั ิทาง
ศิลปกรรมศาสตรใ์ นการสรา้ งสรรค์
ผลงานของตน

๓๐

หมวดท่ี 6 ทรพั ยากรประกอบการเรยี นการสอน

1. ตำราและเอกสารหลัก
เอกสารประกอบการสอน รายวิชาศิลปะการแสดงพื้นบ้านไทย รหัสรายวิชา HSDP105 สาขาวิชา

นาฏศิลป์และศลิ ปะการแสดง คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฎั เพชรบรู ณ์
2. เอกสารและข้อมูลสำคัญ

รานี ชัยสงคราม. นาฏศลิ ปไ์ ทยเบอ้ื งต้น. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พอ์ งคก์ ารคา้ ของครุ ุสภา, 2544.
เรณู โกศินานนท์. นาฏยศพั ท์ ภาษาทา่ นาฏศิลปไ์ ทย. กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช, 2544.
สุมติ ร เทพวงษ์. นาฏศลิ ปไ์ ทย:นาฏศิลปส์ ำหรับครปู ระถมและมัธยม. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์,
2541.
อมรา กล่ำเจริญ. สนุ ทรยี ะนาฏศิลปไ์ ทย. กรงุ เทพมหานคร : โอ.เอส. พรน้ิ ตง้ิ เฮาส์, 2542.
3. เอกสารและข้อมูลแนะนำ
วรรณกรรมและประวตั ิศาสตร,์ กอง, กรมศิลปากร. ตำรารำ. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปากร, 2540.
http://www.thaidances.com/catalog/index.asp หัวข้อค้นคว้า เนื้อเพลงและประวัติการ
แสดง คน้ ควา้ เม่อื 26 พฤษภาคม 2555
http://www.banramthai.com หัวข้อค้นควา้ เพลง-ท่ารำ นาฏยศัพท์ นาฏศลิ ปไ์ ทย.
คน้ คว้าเม่ือ 26 พฤษภาคม 2555
http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/art04/03/401/index.htm หวั ข้อ
ค้นควา้ นาฏศลิ ปไ์ ทยเบ้ืองต้น. ค้นควา้ เมอ่ื 26 พฤษภาคม 2555
http://www.songpit.ac.th/work153/web/natkritakorn/index.html หวั ขอ้ ค้นคว้า การแตง่ กาย
นาฏศิลป์ไทย นาฏยศัพท์ ทา่ รำเบือ้ งต้น. ค้นคว้าเมือ่ 26 พฤษภาคม 2555

๓๑

หมวดที่ 7 การประเมนิ และปรับปรงุ การดำเนินการของรายวิชา

1. กลยุทธก์ ารประเมินประสทิ ธิผลของรายวชิ าโดยนกั ศึกษา
-การสนทนากลมุ่ ระหวา่ งผู้สอนและผู้เรยี น
-แบบประเมนิ ผสู้ อนและแบบประเมนิ รายวชิ า

2. กลยุทธ์การประเมินการสอน
-ผลการสอบ

3. การปรับปรุงการสอน
-มกี ารปรับเปลยี่ นเนอ้ื หาและให้นักศกึ ษาฝึกปฏบิ ตั ิมากขน้ึ เพื่อใหน้ กั ศึกษามีความรู้และมีทักษะด้าน

การแสดงพ้นื บ้าน
4. การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิข์ องนักศกึ ษาในรายวชิ า

- มีการตัง้ คณะทำงาน ตรวจสอบผลประเมินการเรียนรู้ของนักศกึ ษา โดยตรวจสอบข้อสอบ รายงาน
วิธีการให้คะแนนสอบและการใหค้ ะแนนพฤตกิ รรม
5. การดำเนินการทบทวนและการวางแผนปรบั ปรุงประสิทธิผลของรายวิชา

-ปรับปรุงรายวิชาตามข้อเสนอแนะและผลทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธ์ิตามข้างต้น


Click to View FlipBook Version