The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by A-patsara Sattha, 2020-05-08 02:52:39

การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเรื่อง Grammar in Context กับวิธีสอนแบบปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทพศิรินทร์คลองสิบสาม ปทุมธานี

วิจัยในชั้นเรียน
ผู้จัดทำ นางสาวอภัสรา สัตถา
ครูโรงเรียนเทพศิรินทร์คลองสิบสาม ปทมุธานี

Keywords: วิจัยในชั้นเรียน

การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวิชาภาษาองั กฤษท่เี รียนโดยใช้แบบฝึก
ทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเรือ่ ง Grammar in Context
กับวิธีสอนแบบปกติ ของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3
โรงเรียนเทพศริ นิ ทรค์ ลองสิบสาม ปทุมธานี

ผู้วิจัย
นางสาวอภัสรา สตั ถา
ตำแหน่ง ครู คศ. 1

กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
โรงเรียนเทพศิรนิ ทร์คลองสิบสาม ปทุมธานี
สำนกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 4

1

2

คำนำ

รายงานผลการวิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าภาษาองั กฤษทเี่ รียนโดยใช้แบบฝึก
ทักษะไวยากรณภ์ าษาอังกฤษเรื่อง Grammar in Context กับวธิ สี อนแบบปกติ ของนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรียนเทพศิรินทร์คลองสิบสาม ปทุมธานี ได้จัดทำขึน้ เพ่ือเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิท์ างการเรียน เรื่อง lifestyle
ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3

ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การวิจัยครั้งนี้จะเป็น ประโยชน์ต่อผู้ที่ศึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนา
ทางด้านการเรยี นการสอนใหม้ ีประสิทธภิ าพ มากยงิ่ ขน้ึ

งานวจิ ัยครัง้ นสี้ ำเรจ็ ไดด้ ้วยดี ผวู้ จิ ยั ขอขอบคุณผู้อำนวยการโรงเรียน นายพษิ ณุ เดชใด และขอขอบคณุ
ผู้เชี่ยวชาญทกุ ท่าน ทไี่ ด้ให้คำแนะนำชีแ้ นะและใหก้ ารตรวจสอบดว้ ยดเี สมอ

อภัสรา สตั ถา

สารบัญ 3

คำนำ หนา้

บทคัดยอ่ 1
ชอ่ื งานวจิ ยั 1
1
ชอ่ื ผู้วจิ ยั 2
หลกั การและเหตุผล 2
วตั ถุประสงค์ของการวิจัย 2
3
ขอบเขตของการวิจัย 3
นิยามศพั ท์เฉพาะ 3
4
กรอบแนวคิดในการวจิ ัย 4
ทฤษฎีทีใ่ ช้ในการวจิ ัย 13
รปู แบบการจัดการเรยี นการสอน 14
28
ระยะเวลา 28
วธิ ีการดำเนนิ การ 31
32
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
สรุปผล

อภิปรายผล
ขอ้ เสนอแนะการทำวจิ ัยในช้นั เรยี น

บรรณานุกรม
ภาคผนวก

ชอ่ื วิจยั 4

ช่อื ผวู้ จิ ยั การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าภาษาองั กฤษที่เรียนโดยใช้
ปที ่ศี กึ ษา แบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาองั กฤษเรื่อง Grammar in Context กับวิธี
สอนแบบปกติ ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นเทพศิรินทร์คลอง
สบิ สาม ปทุมธานี
นางสาวอภัสรา สัตถา
2562

บทคัดย่อ

การวิจัยครง้ั นม้ี ีวตั ถปุ ระสงคเ์ พือ่ 1) เพ่ือพฒั นาแบบฝกึ ทกั ษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรอ่ื ง Grammar in
Context ให้มปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพอื่ เปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลงั เรยี นของนักเรยี น
ท่เี รยี นโดยใช้แบบฝกึ ทักษะไวยากรณภ์ าษาองั กฤษ เร่ือง Grammar in Context 3) เพ่อื เปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี นของนกั เรียนทีเ่ รียนโดยใช้ แบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรือ่ ง Grammar in Context กบั
นักเรียนทีเ่ รียนโดยวิธีสอนแบบปกติ กลมุ่ ตัวอย่างทเ่ี ปน็ กลุม่ ทดลองคอื นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 3/1 จำนวน
30 คน และกลุ่มควบคมุ คือนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 3/2 จำนวน 30 คน โรงเรยี นเทพศริ ินทร์คลองสบิ สาม
ปทมุ ธานี ไดม้ าโดยวิธกี ารสมุ่ อย่างง่าย ทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2562 ระยะเวลาทีใ่ ช้ในการทดลอง
จำนวน 10 ช่ัวโมง

เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ีใชก้ บั แบบฝึกทักษะ
2) แผนการจัดการเรยี นร้แู บบปกติ 3) แบบฝกึ ทกั ษะไวยากรณ์ เรื่อง เรื่อง Grammar in Context 4)
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ใช้สถติ ิคา่ เฉล่ยี ( ) สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S. D.)
ค่า t-test แบบ Dependent และแบบ Independent

ผลการวิจยั พบว่า
1. ประสิทธิภาพของแบบทกั ษะไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ เร่อื ง Grammar in Context มีประสิทธภิ าพ
เท่ากบั 81.50/80.45 ตามเกณฑ์ประสทิ ธภิ าพท่ีตั้งไว้ 80/80
2. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรยี นท่ีเรียนโดยใช้แบบฝกึ ทักษะไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ เรื่อง
Grammar in Context หลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียนอย่างมนี ยั สำคัญทางสถิติทีร่ ะดบั .05
3. ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของนักเรยี นที่เรียนโดยใช้ แบบฝกึ ทกั ษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรือ่ ง
Grammar in Context สูงกวา่ นกั เรียนท่ีเรียนโดยวิธสี อนแบบปกตอิ ยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05

1

วจิ ัยในช้นั เรยี น
โรงเรยี นเทพศิรินทร์คลองสบิ สาม ปทุมธานี

1. ชอื่ งานวิจยั การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวชิ าภาษาองั กฤษที่เรียนโดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะไวยากรณ์
ภาษาองั กฤษเร่อื ง Grammar in Context กบั วิธีสอนแบบปกติ ของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่
3 โรงเรียนเทพศิรนิ ทร์คลองสิบสาม ปทุมธานี

2. ชือ่ ผวู้ ิจยั นางสาวอภสั รา สัตถา กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ
3.หลกั การและเหตุผล

ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นเทพศิรินทรค์ ลองสิบ
สาม ปทุมธานี ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2562 มผี ลการเรยี นเฉลย่ี ร้อยละ 2.60 (ฝ่ายวิชาการโรงเรยี นเทพศริ ิ
นทรค์ ลองสิบสาม ปทมุ ธานี, 2562) ซ่ึงอยู่ในระดบั พอใช้ ทำให้เหน็ วา่ นกั เรียนยงั มีปญั หาในการใช้ภาษาองั กฤษ
ซ่งึ การจะพฒั นาให้นักเรยี นใชภ้ าษาองั กฤษได้ดีย่ิงข้นึ และเพม่ิ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นนน้ั จำเป็นต้องรู้ไวยากรณ์ซง่ึ
เปน็ พืน้ ฐานสำคญั ที่จะทำใหน้ ักเรยี นฟงั พดู อ่าน และเขยี น ภาษาอังกฤษไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ สามารถใช้ใน
การสอบ การส่ือสาร และการแสวงหาความรู้ตอ่ ไปได้

แบบฝึกทักษะมปี ระโยชน์และมีสว่ นช่วยทงั้ ครแู ละนักเรยี น โดย กรีน และวอลเตอร์ ( Green and
Walter 1971 : 496 ) ไดก้ ล่าวถงึ ประโยชน์ของ แบบฝกึ ไวด้ ังนี้ 1) แบบฝึกเปน็ อุปกรณ์การสอนที่ชว่ ยลดภาระ
ของครูได้มาก 2) ชว่ ยใหน้ กั เรียนได้ฝกึ ฝนทักษะในการใช้ภาษาให้ดขี น้ึ 3) ช่วยในเรื่องความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล
ทำใหป้ ระสบผลสำเร็จในทางจติ ใจมากข้ึน 4) ชว่ ยเสริมทกั ษะทางภาษาให้คงทน โดยมีการฝกึ ซำ้ หลาย ๆ ครง้ั 5)
ช่วยเปน็ เครื่องมือวดั ผลการเรยี นหลังจากเรียนจบเรียนแล้ว 6) ชว่ ยให้นกั เรียนสามารถทบทวนไดด้ ้วยตนเอง 7)
ชว่ ยให้ครมู องเหน็ ปัญหาต่าง ๆ ของนกั เรียนไดช้ ดั เจนขนึ้ 8) ช่วยให้นกั เรยี นฝึกฝนได้เตม็ ท่ีนอกเหนอื จากท่เี รียนใน
หนังสือเรียน 9) ช่วยประหยัดแรงงานและเวลาของครู 10) ช่วยให้ผเู้ รียนเห็นความก้าวหนา้ ของตนเอง ส่วนของ
อารยี ์ วาศนอ์ ำนวย (2545 : 45) กลา่ วว่าแบบฝึกมีประโยชนใ์ นการนำไปใช้เพือ่ ฝึกทบทวนสิง่ ที่นักเรียนเรยี นไป
แล้วเพ่ือให้นกั เรยี นเกิดทกั ษะการเรยี นรูท้ ี่คงทน คล่องแคล่ว แมน่ ยำ ท่ีจะนำไปใช้ได้โดยอตั โนมัติในทักษะท่ี
ตอ้ งการฝกึ มากยง่ิ ขน้ึ จึงสรุปไดว้ า่ แบบฝกึ ทกั ษะ มคี วามสำคญั และจำเป็น เพราะจะชว่ ยให้ผู้เรยี นเข้าใจใน
บทเรียนได้ดยี ่งิ ข้นึ สามารถจดจำเนอ้ื หาบทเรียนไดค้ งทน ทำให้เกดิ ความสนกุ สนานในขณะเรยี น ทราบ
ความก้าวหน้าของตนเอง สามารถนำแบบฝึกมาทบทวนเน้ือหาเดิมได้ดว้ ยตนเอง นำมาวัดผลการเรียนหลังจากท่ี
เรยี นแล้ว ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพร่องของนกั เรียนและนำไปปรับปรงุ แกไ้ ขไดท้ ันท่วงที ซึง่ จะทำให้ครู
ประหยดั เวลา ค่าใชจ้ า่ ย และลดภาระของครูได้มาก ช่วยในเร่อื งความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล นอกจากน้ยี ังทำให้
นกั เรียนสามารถนำภาษาไปใช้ส่อื สารไดอ้ ย่างประสทิ ธภิ าพด้วย

จากปญั หาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนเทพศริ นิ ร์คลองสบิ สาม
ปทุมธานีทำให้ผู้วิจยั ตอ้ งการแก้ปัญหาเพอื่ ใหผ้ ู้เรียนเข้าใจหลักไวยากรณ์ภาษาองั กฤษมากย่ิงขน้ึ นำไปสูก่ ารใช้
ภาษาเพื่อการส่ือสารอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ผวู้ ิจยั จึงสนใจที่จะพฒั นาแบบฝกึ ทักษะไวยากรณ์ เรอ่ื ง Grammar in
Context เพอ่ื เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนและนำไปใชป้ ระโยชน์ในการเพ่ิมผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของ
นักเรียนต่อไป

2

4. วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1. เพอ่ื พัฒนาแบบฝึกทกั ษะไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ เรื่อง Grammar in Context ใหม้ ีประสทิ ธิภาพตาม

เกณฑ์ 80/80
2. เพื่อเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนท่ีเรยี นโดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะไวยากรณ์

ภาษาอังกฤษ เร่ือง Grammar in Context
3. เพ่อื เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรียนทเ่ี รยี นโดยใช้ แบบฝกึ ทักษะไวยากรณ์

ภาษาอังกฤษ เรอื่ ง Grammar in Context กบั นักเรียนทเ่ี รยี นโดยวิธสี อนแบบปกติ

5. ขอบเขตของการวิจยั
5.1 ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวจิ ยั ครง้ั น้เี ป็นนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนเทพศริ นิ ทร์คลองสิบสาม

ปทมุ ธานี ตำบลบงึ คอไห อำเภอลำลกู กา จงั หวดั ปทุมธานี ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 5 ห้องเรยี น
เป็นจำนวนนกั เรียน 142 คน

5.2 กลุ่มตัวอยา่ ง
กลมุ่ ตัวอย่างทใ่ี ช้ในการวจิ ัยครงั้ นเ้ี ป็นนักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นเทพศริ นิ ทร์คลองสบิ สาม
ปทุมธานี ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2562 จำนวน 60 คน ได้มาจากการสมุ่ อย่างง่าย (simple random
sampling) โดยการจับสลาก ให้หอ้ งหนึ่งเป็นกลุ่มทดลองท่ีเรยี นโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะไวยากรณ์ เรื่อง Grammar
in Context และอีกห้องหนึ่งเป็นกลุ่มควบคมุ ท่ีเรียนโดยวธิ ีสอนแบบปกติ ซึ่งเมือ่ ทำการจับสลาก แลว้ ได้หอ้ ง 3/1
เปน็ กลุ่มทดลอง และหอ้ ง 3/2 เปน็ กลมุ่ ควบคุม
5.3 สมมตฐิ านของการวจิ ัย

1) แบบฝึกทกั ษะไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ เร่ือง Grammar in Context มปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์
80/80

2) ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของนกั เรยี นท่เี รียนโดยใช้แบบฝกึ ทักษะไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ เร่อื ง
Grammar in Context หลงั เรียน สงู กว่า กอ่ นเรียน

3) นกั เรยี นท่ีเรียนโดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรอ่ื ง Grammar in Context มี
ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นสงู กวา่ นักเรียนทีเ่ รียนโดยวิธีสอนแบบปกติ

5.4 ตวั แปร ไดแ้ ก่
1. ตัวแปรอิสระได้แก่
1.1 แบบฝกึ ทักษะไวยากรณภ์ าษาองั กฤษ เรื่อง Grammar in Context
1.2 วธิ ีสอนแบบปกติ
2. ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาภาษาอังกฤษ

6. นิยามศัพทเ์ ฉพาะ
1. ประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 หมายถงึ ประสิทธภิ าพของแบบฝกึ ทกั ษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่

ไดม้ าจากกระบวนการและผลลัพธข์ องการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน มีค่าตามเกณฑท์ ก่ี ำหนด ดังนี้
80 ตัวแรกคือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) ทคี่ ำนวณไดจ้ ากค่าเฉลยี่ ของคะแนนนักเรยี นชน้ั

มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ทเ่ี ก็บได้จากการทำแบบฝกึ หัดแตล่ ะเลม่ ระหว่างเรยี นไดผ้ ลเฉล่ยี 80%

3

80 ตัวหลงั คือ ประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ (E2) ท่ีคำนวณได้จากคา่ เฉลี่ยของคะแนนนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษา
ปที ี่ 3 ทเี่ กบ็ ไดจ้ ากการทำแบบทดสอบหลังเรยี นที่ผู้วิจัยสร้างขน้ึ ไดผ้ ลเฉลี่ย 80%

2. E1/E2 หมายถงึ ประสทิ ธิภาพของกระบวนการ (Efficiency of Process)/ ประสทิ ธิภาพของผลลัพธ์
(Efficiency of Product)

3. แบบฝกึ ทกั ษะไวยากรณภ์ าษาองั กฤษ เร่อื ง Grammar in Context หมายถึง แบบฝกึ ทกั ษะทผี่ ู้วจิ ยั
เป็นผู้จดั ทำข้ึนจำนวน 3 เล่ม คือ เลม่ 1 Present Continuous Tense 1เลม่ 2 รูปแบบของประโยค Present
Continuous เล่ม 3 Relative Clause ซ่ึงแต่ละเล่มประกอบไปดว้ ยเน้ือหาไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แบบฝกึ หดั
และเกมภาษาองั กฤษ โดยเรยี งลำดับความยากงา่ ยจากง่ายไปหายาก

7. กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย

ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม

1. แบบฝกึ ทักษะไวยากรณ์ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น
ภาษาองั กฤษ เรอ่ื ง Grammar in วชิ าภาษาองั กฤษ
Context

2. วธิ สี อนแบบปกติ

8. ทฤษฎีที่ใช้ในการวจิ ยั
การวิจัยเร่ือง การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าภาษาองั กฤษทีเ่ รยี นโดยใช้แบบฝกึ ทักษะ

ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เร่ือง Grammar in Context กบั วธิ สี อนแบบปกติ ของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3
โรงเรยี นเทพศริ ินทร์คลองสิบสาม ปทุมธานผี วู้ ิจยั ไดท้ ำการศึกษาค้นควา้ เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วข้องเพ่ือเป็น
พื้นฐานในการทำวิจยั ดงั ตอ่ ไปน้ี

1. หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560): กลุม่ สาระการ
เรยี นร้ภู าษาต่างประเทศ

2. เอกสารเกี่ยวกับไวยากรณ์
2.1 ความหมายของไวยากรณ์
2.2 ความสำคัญของไวยากรณ์
2.3 การเรยี นรู้ไวยากรณ์
2.4 วธิ ีสอนไวยากรณ์

3. การสอนแบบปกติ
4. เอกสารเกีย่ วกบั แบบฝกึ ทกั ษะ

4.1 การสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ
4.2 การประเมินแบบฝึกทกั ษะ
9. รปู แบบการจดั การเรยี นการสอน

การสอนแบบปกติ

เรยี นโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะไวยากรณ์
ภาษาองั กฤษ เรอ่ื ง Grammar in Context

4

10. ระยะเวลา
ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562 ระหวา่ งวันท่ี 4 พ.ย. 2562 ถึงวันท่ี 25 พ.ย. 2562 จำนวน 10

ช่วั โมง โดยผูว้ จิ ยั ดำเนินการสอนด้วยตนเอง

11.วิธีดำเนนิ การ
การวจิ ัยเรือ่ ง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาภาษาองั กฤษทเี่ รียนโดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ

ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ เร่อื ง Grammar in Context กบั วธิ ีสอนแบบปกติ ของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3

โรงเรยี นเทพศิรนิ ทร์คลองสิบสาม ปทุมธานี มีวัตถุประสงคเ์ พื่อพัฒนาแบบฝกึ ทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรอื่ ง
Grammar in Context ให้มปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์กอ่ นเรียนและหลังเรยี น

ของนกั เรยี นท่เี รียนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ เรอื่ ง Grammar in Context และเพอ่ื
เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียนทีเ่ รยี นโดยใช้ แบบฝึกทักษะไวยากรณภ์ าษาองั กฤษ เรอ่ื ง
Grammar in Context กับนกั เรียนท่ีเรยี นโดยวิธสี อนแบบปกติ โดยมวี ิธีดำเนนิ การวิจยั ตามข้นั ตอนต่อไปนี้

1. เลือกหวั ข้อปัญหาที่จะศกึ ษาวจิ ยั

2. ศกึ ษาค้นคว้ารวบรวมแนวคดิ และทฤษฎี งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้อง

3. กาหนดขอบเขตของปัญหา คาถามและวตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั
4. กาหนดสมมตฐิ านของการวจิ ยั

5. สร้างเครื่องมือเพื่อใช้ในการวจิ ยั

6. เก็บรวบรวมขอ้ มูล

7. วเิ คราะหข์ อ้ มูล

ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง 8. สรุปผลและอภิปรายผล
ประชากร

ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทพศิรินทร์คลองสิบสาม

ปทุมธานี ตำบลบึงคอไห อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ในภาคเรียนที่ 2 ปี

การศกึ ษา 2562 จำนวน 5 หอ้ งเรียน เปน็ จำนวนนกั เรียน 142 คน

กล่มุ ตัวอยา่ ง

1. กลุ่มตวั อยา่ งทใ่ี ช้หาประสทิ ธภิ าพ 3 ขัน้ ตอน ได้แก่ นกั เรยี นชั้น ม.3/3 ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย

โดยการจับสลาก จากนั้นนำเอาคะแนนวิชาภาษาอังกฤษของภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 ของนักเรียนกลุ่ม

ตัวอย่างน้ี มาเรยี งลำดับคะแนนจากมากไปหาน้อย แล้วจำแนกนักเรียนออกเป็น 3 กล่มุ คือ กลุ่มท่ีมีคะแนนมาก

(คะแนน 70-100) กลุ่มที่มีคะแนนปานกลาง (คะแนน 50-69) และกลุ่มที่มีคะแนนนอ้ ย (คะแนน 0-49) แล้ว

ดำเนินการหาประสทิ ธิภาพ 3 ขนั้ ตอน ดงั น้ี

1) รายบุคคล (3 – 5 คน) ซง่ึ ได้มาโดยการสุม่ อยา่ งงา่ ย โดยการจับสลากจากกลุ่มท่มี คี ะแนนปาน
กลาง จำนวน 3 คน และ กล่มุ ท่ีมคี ะแนนน้อย จำนวน 2 คน

2) กลมุ่ ย่อย (9 คน) ซึ่งได้มาโดยการสมุ่ อยา่ งง่ายโดยการจบั สลากจากกลมุ่ ท่ีมีคะแนนสงู จำนวน
3 คน กลุม่ ทมี่ คี ะแนนปานกลาง จำนวน 3 คน และ กลุ่มที่มคี ะแนนนอ้ ย จำนวน 3 คน

5

3) ภาคสนาม (30 คน) ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่ายโดยการจับสลากจากกลุ่มที่มีคะแนนสูง
จำนวน 10 คน กลมุ่ ทีม่ ีคะแนนปานกลาง จำนวน 10 คน และ กลุ่มท่ีมีคะแนนน้อย จำนวน 10 คน ดงั แผนภาพ

รายบคุ คล กล่มุ ยอ่ ย ภาคสนาม
คะแนนปานกลาง 3 คน คะแนนสูง 3 คน
คะแนนปานกลาง 3 คน คะแนนสูง 10 คน
คะแนนนอ้ ย 2 คน คะแนนนอ้ ย 3 คน คะแนนปานกลาง 10 คน

คน

คะแนนนอ้ ย 10 คน

สุ่มมา 3 คน ใช้ 9 คน ใช้ 30 คน

2. กลุ่มตวั อยา่ งทใ่ี ช้เป็นกลมุ่ ทดลอง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นกลุ่มทดลอง ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่ายโดยการจับสลาก คือ นักเรียนชั้น ม.3/1
จำนวน 30 คน เพอื่ ใชเ้ ปน็ กลุ่มทดลองท่ีเรียนด้วยวิธกี ารสอนทใ่ี ชแ้ บบฝกึ ทกั ษะ
3. กลุ่มตัวอยา่ งทใ่ี ชเ้ ป็นกลุม่ ควบคมุ

กลมุ่ ตวั อย่างทใี่ ช้เปน็ กลุ่มควบคมุ ไดม้ าโดยการสุ่มอย่างง่ายโดยการจบั สลาก คอื นักเรยี นช้ัน ม.
3/2 จำนวน 30 คน เพื่อใช้เปน็ กล่มุ ควบคุมทเ่ี รยี นดว้ ยวิธกี ารสอนแบบปกติ

ซึ่งผวู้ ิจยั ได้นำคะแนนพืน้ ฐานของนักเรยี นกลุ่มทดลองชั้น ม.3/1 และกลุ่มควบคมุ ช้นั ม.3/2 มา
เปรียบเทียบกันโดยการทดสอบหาค่า t-test แบบ independent samples ผลปรากฏว่า คะแนนพื้นฐานของ
นกั เรยี นทงั้ สองกลมุ่ ไมแ่ ตกตา่ งกันอย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติที่ระดับ .05

4. ประชากรและกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้หาคณุ ภาพของแบบทดสอบ
ประชากร

นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 5 หอ้ งเรียน คอื ม.4/1 ม.4/2 ม.4/3 ม.4/4 และ ม.4/5
กลุ่มตวั อยา่ ง

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้หาค่าความยากง่าย และค่าอำนาจจำแนกได้มาโดยสุ่มอย่างง่ายโดยการจับ
สลาก คือ นกั เรยี นช้นั ม.4/1 จำนวน 30 คน

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้หาค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับ ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่ายโดยการจับ
สลาก คอื นักเรียนชนั้ ม.4/2 จำนวน 30 คน

6

11.1 เครอ่ื งมือท่ใี ช้ในการวจิ ัย
ในการวิจยั ครงั้ นี้มีเคร่อื งมือทใี่ ช้ในการดำเนนิ การวิจัย ไดแ้ ก่
1. แผนการจดั การเรียนรูท้ ใี่ ชก้ ับแบบฝกึ ทักษะ
2. แผนการจดั การเรียนรู้แบบปกติ
3. แบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เรื่อง Grammar in Context
4. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน

11.2 วิธกี ารสรา้ งและหาคุณภาพของเครอ่ื งมือวิจยั

1. การสร้างแผนการจดั การเรยี นรู้ท่ใี ชก้ บั แบบฝกึ ทกั ษะ ผวู้ ิจัยดำเนนิ การตามขน้ั ตอน ดังนี้
1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) โดย

ศกึ ษาขอบขา่ ยเนอื้ หารายวชิ า มาตรฐานและตัวชวี้ ดั ของกล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ)
1.2 ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี การสอนไวยากรณ์ จากตำรา เอกสาร และงานวจิ ัย
1.3 ศึกษาและเลือกเน้อื หาวชิ าภาษาอังกฤษให้ตรงกับมาตรฐานและตวั ช้วี ัด ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3
1.4 ดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนร้วู ิชาภาษาอังกฤษท่ีใช้กับแบบฝึกทักษะ จำนวน 5 แผน 10

ชัว่ โมง
การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้วิชาที่ใช้กับแบบฝึกทักษะ ผู้วิจัยเขียนขึ้นเองตามเนื้อหาวิชา

ภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เร่ือง Lifestyles จำนวน 5 แผน 10 ชั่วโมง เวลาเรียน
10 คาบ

1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา จากนั้นนำกลับมาปรับปรุงแก้ไข
ตามคำแนะนำ

1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับแก้ตามคำแนะนำของอาจารยท์ ีป่ รึกษา ไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน
ตรวจสอบความถูกตอ้ งครบถ้วน และเหมาะสมขององคป์ ระกอบภายในแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยใช้แบบประเมิน
ความถกู ต้องครบถ้วน และเหมาะสมขององค์ประกอบภายในแผนการจัดการเรยี นรู้ (ดูภาคผนวก ก) ท่ีมีลักษณะ
เป็นแบบมาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดับ (Rating Scale) ตามวธิ ีของ ลเิ คริ ์ท โดยมเี กณฑ์ดงั นี้

เกณฑ์การประเมนิ ระดบั 5 หมายถงึ เหมาะสมมากท่สี ดุ

เกณฑ์การประเมิน ระดับ 4 หมายถึง เหมาะสมมาก

เกณฑ์การประเมนิ ระดับ 3 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง

เกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั 2 หมายถงึ เหมาะสมนอ้ ย

เกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั 1 หมายถึง เหมาะสมน้อยทสี่ ดุ

กำหนดเกณฑ์คา่ เฉลย่ี ของน้ำหนกั ความเหมาะสม มเี กณฑ์ระดบั คณุ ภาพ ดงั นี้

4.50 – 5.00 หมายถงึ เหมาะสมมากท่ีสุด
3.50 – 4.49 หมายถงึ เหมาะสมมาก
2.50 – 3.49 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง
1.50 – 2.49 หมายถงึ เหมาะสมน้อย
1.00 – 1.49 หมายถงึ เหมาะสมน้อยท่ีสุด
ใชค้ ะแนนเฉล่ียรายขอ้ ตง้ั แต่ 2.50 ข้นึ ไป หรอื ระดบั คุณภาพต้งั แต่ เหมาะสมปานกลาง

ถึงเหมาะสมมากท่สี ดุ ถอื ว่าใช้ได้ (Likert.1961 อา้ งถึงใน บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545: 103)

7

1.6 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้กับแบบฝึกทักษะ ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ แล้ว

จัดพมิ พ์ใหเ้ รียบรอ้ ย

1.7 นำแผนการจัดการเรียนรทู้ ีใ่ ชก้ ับแบบฝึกทักษะ ไปทดลองใชก้ บั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3/1
ซ่ึงเปน็ กลุ่มทดลอง

2. การสร้างแผนการจัดการเรยี นรแู้ บบปกติ ผ้วู จิ ัยดำเนินการตามขน้ั ตอน ดังน้ี
2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) โดย

ศกึ ษาขอบข่ายเนื้อหารายวชิ า มาตรฐานและตวั ชวี้ ดั ของกล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)
2.2 ศกึ ษาทฤษฎแี ละแนวคดิ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนโดยวธิ ปี กติ
2.3 ศกึ ษาและเลอื กเน้ือหาวิชาภาษาอังกฤษใหต้ รงกับมาตรฐานและตวั ช้วี ดั ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3
2.4 ดำเนนิ การสรา้ งแผนการจัดการเรียนรูว้ ิชาภาษาอังกฤษแบบปกติ จำนวน 5 แผน 10 ชว่ั โมง
การเขยี นแผนการจัดการเรยี นรู้แบบปกติ ผู้วิจยั เขียนขึ้นเองตาม เน้อื หาวชิ าภาษาองั กฤษ ชั้น

มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 เร่ือง Lifestyle จำนวน 5 แผน 10 ชว่ั โมง เวลาเรียน 10 คาบ
2.5 นำแผนการจัดการเรียนร้ทู ี่สร้างขึน้ เสนอตอ่ อาจารย์ท่ีปรกึ ษา จากนน้ั นำกลับมาปรับปรงุ แกไ้ ข

ตามคำแนะนำ
2.6 นำแผนการจดั การเรียนรไู้ ปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ทา่ น ตรวจสอบ ความถกู ต้องของโครงสร้างประโยค

ระดับความยากง่ายของคำศัพท์ ความเหมาะสม และความสอดคล้องเนื้อหา โดยใช้แบบประเมินความถูกต้อง
ครบถ้วน และเหมาะสมขององค์ประกอบภายในแผนการจัดการเรียนรู้ (ดูภาคผนวก ก) ที่มีลักษณะเป็นแบบ
มาตราสว่ นประมาณค่า 5 ระดบั (Rating Scale) ตามวิธขี อง ลิเคริ ท์ โดยมีเกณฑด์ ังนี้

เกณฑ์การประเมิน ระดบั 5 หมายถงึ เหมาะสมมากที่สดุ

เกณฑก์ ารประเมนิ ระดับ 4 หมายถงึ เหมาะสมมาก

เกณฑก์ ารประเมิน ระดบั 3 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง

เกณฑ์การประเมนิ ระดบั 2 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ย

เกณฑก์ ารประเมิน ระดบั 1 หมายถงึ เหมาะสมนอ้ ยท่ีสดุ

กำหนดเกณฑ์คา่ เฉลย่ี ของน้ำหนกั ความเหมาะสม มีเกณฑ์ระดบั คุณภาพ ดังน้ี
4.50 – 5.00 หมายถึง เหมาะสมมากทีส่ ุด

3.50 – 4.49 หมายถึง เหมาะสมมาก

2.50 – 3.49 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง

1.50 – 2.49 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ย

1.00 – 1.49 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด

ใช้คะแนนเฉลยี่ รายขอ้ ต้งั แต่ 2.50 ขึ้นไป หรอื ระดบั คณุ ภาพตง้ั แต่ เหมาะสมปานกลาง

ถงึ เหมาะสมมากทีส่ ดุ ถือว่าใช้ได้ (Likert.1961 อา้ งถงึ ใน บุญชม ศรีสะอาด. 2545: 103)

2.7 ปรบั ปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ ตามคำแนะนำของผ้เู ช่ียวชาญ แลว้ จดั พิมพใ์ ห้
เรยี บร้อย

2.8 นำแผนการจดั การเรยี นรู้แบบปกติ ไปทดลองใช้กับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3/2 ซง่ึ เปน็ กลุ่ม
ควบคมุ

8

3. การสรา้ งแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เร่ือง Grammar in Context
3.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) โดย

ศกึ ษาขอบข่ายเนื้อหารายวิชา มาตรฐานและตัวชีว้ ัด ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาอังกฤษ)
3.2 ศึกษาเอกสาร งานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวกบั การสร้างแบบฝกึ ทกั ษะ
3.3 วิเคราะห์คำอธิบายรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และกำหนดจุดประสงค์

ของแบบฝึกทักษะ
3.4 ศึกษาหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ Access 3 โดย Virgina Evans, Jenny Dooley ปี 2558

กรุงเทพมหานคร: สำนักพมิ พอ์ กั ษรเจริญทัศน์ โดยเลือกเนอ้ื หาหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรอื่ ง Lifestyles ซึ่งมีเนื้อหา
ไวยากรณภ์ าษาองั กฤษท่นี ักเรียนตอ้ งเรยี นรูค้ ือ Present continuous tense และ Relative Clauses

3.5 สร้างแบบฝกึ ทกั ษะไวยากรณ์ เรื่อง Grammar in Context จำนวน 3 เล่ม ดังนี้
1) แบบฝกึ ทักษะไวยากรณ์ เรื่อง Grammar in Context เล่ม 1 Present Continuous Tense
2) แบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เร่ือง Grammar in Context เล่ม 2 Present Continuous Tense
3) แบบฝึกทกั ษะไวยากรณ์ เรอื่ ง Grammar in Context เลม่ 4 Relative Clause
โดยมีเนื้อหาดงั น้ี
1) โครงสรา้ งและหลกั การใช้ Present Continuous Tense
2) Verb to be กับ Present Continuous Tense
3) การเตมิ ing ทา้ ยคำกริยา
4) รปู แบบของประโยค Present Continuous
- ประโยคบอกเล่า
- ประโยคบอกปฏเิ สธ (negative forms)
- ประโยคคำถาม Yes / No Question
- ประโยคคำถาม Wh- Question
5) Relative Clause

3.6 นำแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เรื่อง Grammar in Context ฉบับร่างที่สร้างขึ้นเสนออาจารย์ท่ี
ปรกึ ษา และปรับปรงุ แก้ไขตามคำแนะนำ

3.7 นำแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เรื่อง Grammar in Context ที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำจาก
อาจารย์ที่ปรึกษา ให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ประเมินคุณภาพ โดยใช้แบบประเมินคุณภาพแบบฝึกทักษะไวยากรณ์
ภาษาอังกฤษ เรื่อง Grammar in Context (ดูภาคผนวก) ที่มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดบั
(Rating Scale) ตามวธิ ขี อง ลเิ คิรท์ โดยมีเกณฑด์ งั นี้

เกณฑ์การประเมิน ระดับ 5 หมายถึง เหมาะสมมากท่สี ดุ

เกณฑก์ ารประเมนิ ระดับ 4 หมายถึง เหมาะสมมาก

เกณฑ์การประเมนิ ระดับ 3 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง

เกณฑ์การประเมนิ ระดับ 2 หมายถงึ เหมาะสมน้อย

เกณฑ์การประเมิน ระดับ 1 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ยทสี่ ุด

กำหนดเกณฑ์คา่ เฉลยี่ ของนำ้ หนกั ความเหมาะสม มีเกณฑร์ ะดบั คณุ ภาพ ดงั นี้

4.50 – 5.00 หมายถงึ เหมาะสมมากท่ีสุด

3.50 – 4.49 หมายถึง เหมาะสมมาก

2.50 – 3.49 หมายถงึ เหมาะสมปานกลาง

9

1.50 – 2.49 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ย

1.00 – 1.49 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ยท่ีสดุ

ใชค้ ะแนนเฉลี่ยรายขอ้ ต้ังแต่ 2.50 ข้ึนไป หรือระดับคุณภาพตง้ั แต่ เหมาะสมปานกลาง

ถงึ เหมาะสมมากท่สี ดุ ถอื วา่ ใช้ได้ (Likert.1961 อ้างถงึ ใน บุญชม ศรสี ะอาด. 2545: 103)

3.8 นำแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เรื่อง Grammar in Context ที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของ
อาจารย์ปรกึ ษาและผ้เู ชีย่ วชาญไปหาประสิทธภิ าพ 3 ขั้นตอน

4. การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าภาษาองั กฤษ โดยมขี ั้นตอนดังนี้
4.1 ศึกษาเอกสาร การวัดผลประเมินผลการเรียน รายจุดประสงค์การเรียนรู้ วิชาภาษาอังกฤษ

ระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐานพทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง 2560)
4.2 ศกึ ษาเนือ้ หาในการสรา้ งแบบทดสอบ หลักและวธิ ีการสร้างแบบทดสอบ จากหนังสือ และเอกสาร

ต่าง ๆ ท่เี กยี่ วข้อง
4.3 ดำเนนิ การสร้างตารางวิเคราะห์เนือ้ หา จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ กำหนดตารางวิเคราะห์ตามเน้ือหา

และจดุ ประสงค์ตา่ ง ๆ โดยสร้างแบบทดสอบแบบเลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จำนวน 60 ข้อ
4.4 นำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษทส่ี ร้างขึ้น เสนอต่ออาจารย์ท่ีปรึกษา

จากน้นั นำมาปรับปรุงแกไ้ ขตามคำแนะนำ
4.5 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่สร้างไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน

ตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้องของเนื้อหาในข้อ
คำถามกับจุดประสงค์ โดยใช้สูตรการหาค่าดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC) โดยพจิ ารณาค่าดัชนีความสอดคล้อง ดังน้ี
(สรุ ศักด์ิ อมรรตั นศกั ด์แิ ละคณะ.2555: หนา้ 328-321)

+ 1 หมายถึงสอดคลอ้ ง

0 หมายถึงไม่แนใ่ จ

-1 หมายถึงไม่สอดคลอ้ ง

IOC ≥ 0.5 แสดงว่าขอ้ คำถามนั้น ใช้ได้ สอดคลอ้ ง

IOC < 0.5 แสดงว่าข้อคำถามนั้นไม่สอดคลอ้ งควรปรับปรุงหรอื ตดั ท้งิ

4.6 นำข้อสอบข้อที่มคี ่าดชั นีความสอดคลอ้ งมากกว่า 0.5 ซึ่งได้ข้อสอบจำนวน 50 ข้อ มาจัดพิมพ์ให้
สมบูรณ์

4.7 นำแบบทดสอบไปทดสอบ (Try out) กับนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรยี นเทพศิรินทร์คลอง
สิบสามปทุมธานี ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2562 ทเี่ คยเรยี นวชิ าภาษาองั กฤษเรอ่ื ง Lifestyle ซึง่ ได้มาโดยการส่มุ
อย่างง่าย (simple random sampling) โดยการจับสลาก ซึง่ ไดน้ กั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 4/1 เปน็ กลมุ่ ตัวอย่าง
ที่ใช้หาค่าความยาดง่าย และค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบ และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/6 เป็นกลุ่ม
ตัวอย่างที่ใชใ้ นการหาคา่ ความเช่ือมัน่ ของแบบทดสอบทั้งฉบับ จากนั้นนำแบบทดสอบมาตรวจให้คะแนน โดยตอบ
ผดิ ให้ 0 คะแนน ตอบถกู ให้ 1 คะแนน แลว้ นำผลการสอบมาวเิ คราะหร์ ายขอ้ เพอ่ื หาคา่ ความยากงา่ ย (p) และค่า
อำนาจจำแนก (r) โดยใช้เทคนิค 27 % ของจงุ เตห์ ฟาน (สมบูรณ์ สรุ ิ-ยวงศแ์ ละคณะ,2552, 263-264)

4.8 เลอื กแบบทดสอบเฉพาะข้อทีม่ ีค่าความยากง่าย (p) ระหวา่ ง .20 - .80 และ ค่าอำนาจจำแนก (r)
ตั้งแต่ .20 ขึ้นไป (สุคนธ์ ภูริเวทย์และคณะ, 2552, 252-254) จำนวน 40 ข้อ โดยให้ครอบคลุมจุดประสงค์การ
เรียนรูแ้ ละเนอ้ื หาตามตารางวิเคราะหข์ ้อสอบ

10

4.9 นำแบบทดสอบไป หาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับจากสูตร คูเดอร์ ริชาร์ดสัน KR-20 ซึ่งมีค่าความ
เชอ่ื ม่ัน 0.82

4.10 นำแบบทดสอบผลสัมฤทธิท์ ี่ไดไ้ ปทำการทดสอบกบั นักเรียนท่ีเปน็ กล่มุ ตวั อย่าง

5. การหาประสทิ ธิภาพแบบฝกึ

นำแบบฝึกทกั ษะไวยากรณ์ เรอ่ื ง Grammar in Context ท่ีปรบั ปรงุ แกไ้ ขตามคำแนะนำของอาจารย์
ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญไปหาประสิทธิภาพ 3 ขั้นตอน โดยการทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3
โรงเรยี นเทพศิรนิ ทร์คลองสิบสามปทุมธานี ซงึ่ มขี น้ั ตอนการดำเนนิ การดังนี้

5.1 แบบรายบุคคล (Individual Tryout) นำแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เรื่อง Grammar in Context
ท้งั 3 เลม่ ใช้กบั นกั เรียนจำนวน 3 คนท่ไี ดม้ าโดยการสุม่ อย่างง่าย โดยการจบั สลาก และมรี ะดับความรู้แตกต่างกัน
คือปานกลาง 2 คนและอ่อน 1 คน เพื่อดูความเหมาะสมของเนื้อหาความยากง่ายของภาษาและแบบฝักหดั เพอ่ื
นำไปปรับปรุง

5.2 แบบกลุ่มย่อย (Group Tryout) นำแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เรื่อง Grammar in Context ทั้ง 3
เลม่ ใช้กบั นกั เรยี นจำนวน 9 คนท่ไี ด้มาโดยการส่มุ อยา่ งงา่ ย โดยการจับสลาก และมรี ะดบั ความรู้ตา่ งกนั คือเก่ง 3
คน ปานกลาง 3 คน และอ่อน 3 คน เพื่อดูความเหมาะสมของเนื้อหาความยากง่ายของภาษา จากนัน้ ดำเนินการ
แกไ้ ขปรบั ปรุงให้ดีขนึ้ ก่อนนำไปทดลองใช้กบั ภาคสนาม

5.3 แบบภาคสนาม (Field Tryout) นำแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เรื่อง Grammar in Context ที่
ปรับปรุงแลว้ ไปทดลองกับนักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3/3 ทมี่ ีระดบั ความร้แู ตกต่างกัน จำนวน 30 คน คอื เก่ง 10
คน ปานกลาง 10 คน และอ่อน 10 คน ซ่ึงไดม้ าโดยการสุ่มอย่างง่าย โดยการจับสลาก เพอื่ นำไปหาประสิทธิภาพ
E1/E2 ให้ได้ตามเกณฑ์ 80/80

5.4 นำผลท่ีไดจ้ ากการหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เร่อื ง Grammar in Context มา
ปรับปรงุ แก้ไขเพ่อื ตรวจสอบความถกู ตอ้ งสมบูรณ์ทสี่ ดุ ก่อนนำแบบฝกึ ไปทดลองใช้จรงิ

11.3 การวเิ คราะหข์ อ้ มูลและสถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู
การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for Window

(Statistical Package Social Sciences for window) สถติ ิท่ีใชป้ ระกอบด้วย
1. การหาประสทิ ธิภาพของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นใชส้ ตติ ดิ งั นี้

1.1 การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใช้วิธีการของคู
เดอร์ รชิ ารด์ สนั (Kuder -Richardson) จากสูตร KR- 20 คำนวณจากสูตร (กาญจนา วัฒายุ 2550:192) ดังนี้

r= n n 1 −  Pq 
tt −1  S2 

t

เมอ่ื rtt แทน คา่ ความเชอื่ มนั่ ของแบบทดสอบ

P แทน สดั ส่วนของผทู้ ตี่ อบถกู ในแตล่ ะข้อ

q แทน สัดส่วนของผทู้ ำผิดในขอ้ = 1-p

11

n แทน จำนวนขอ้ สอบแบบทดสอบ

S2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบับ
t

1.2 การหาค่าความยากง่ายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของคำถามแต่ละข้อ คำนวณ
จากสูตร

P =R

N

เม่อื P แทน คา่ ความยากของข้อคำถามแตล่ ะขอ้
R แทน จำนวนผ้ตู อบถูกในแตล่ ะขอ้
N แทน จำนวนผ้เู ข้าสอบท้ังหมด

1.3 การหาการคา่ จำแนกของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ของคำถามแต่ละขอ้ คำนวณจาก
สูตร

r = Ru- Re

N
2

เม่ือ r แทน ค่าอำนาจจำแนกเป็นรายขอ้

Ru แทน จำนวนผู้ตอบถูกในข้อนน้ั ในกลมุ่ เกง่
Re แทน จำนวนผตู้ อบถูกขอ้ นั้นในกลุ่มออ่ น
N แทน จำนวนคนในกลมุ่ ตวั อยา่ งทง้ั หมด

1.4 การหาค่าความเท่ียงตรงของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนโดยใชค้ ่าดัชนีความสอดคล้อง
ใชส้ ตู ร IOC

IOC = ∑

N

เมอื่ IOC หมายถึง ความสอดคลอ้ งระหว่างขอ้ คำถามกบั ลักษณะพฤติกรรม

∑ หมายถงึ ผลรวมของคะแนนความคดิ เหน็ ของผ้เู ช่ียวชาญ

N หมายถึง จำนวนผู้เช่ยี วชาญ

2. เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลงั เรียนภายในกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคุมโดยใช้
การทดสอบ t -test แบบ Dependent โดยคำนวณจากสตู ร (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545)

12

สตู รการหาค่า t- test แบบ Dependent

t = D
N  D2 − ( D)2

N −1

เม่ือ t แทน คา่ สถิติท่ใี ช้ในการพจิ ารณาใน t – distribution
D แทน ความแตกตา่ งของคะแนนแต่ละคู่
N แทน จำนวนคขู่ องคะแนนหรือจำนวนนกั เรียน

 D แทน ผลรวมทั้งหมดของผลตา่ งของคะแนนก่อนและหลัง

การทดลอง

 D2 แทน ผลรวมของกำลงั สองของผลต่างของคะแนนกอ่ นและ

หลงั การทดลอง

3. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมโดย
การทดสอบ t- test แบบ Independent โดยคำนวณจากสตู ร (บุญชม ศรสี ะอาด, 2545)

สตู รการหาค่า t- test แบบ Independent

t = X1 − X2
(n1 − 1)S12 (n2 1)S
 + − 2   n1 − n2 
n1 + 2 n1n2

n2 − 2

เมื่อ t แทน ค่าสถติ ิใช้ในการเปรียบเทยี บค่าวิกฤตในการแจกแจงแบบ t
เพือ่ ทราบความมีนยั สำคัญ

X ,X แทน คะแนนเฉล่ียของกลมุ่ เป้าหมาย 1 และกลุ่มเป้าหมาย 2
12

ตามลำดับ
n ,n แทน ขนาดของกลมุ่ เป้าหมาย 1 และกลมุ่ เปา้ หมาย 2 ตามลำดับ

12

S ,S แทน ความแปรปรวนของกลมุ่ เป้าหมาย 1 และกลมุ่ 2 ตามลำดับ
12

4. การคำนวณหาประสิทธภิ าพของกระบวนการ (E1) (ชัยยงค์ พรหมวงศแ์ ละคณะ 2540: 101-102)

 X1

E1 = N 100
A

เม่ือ E1 แทน ประสิทธภิ าพของกระบวนการ

 X1 แทน คะแนนรวมจากการทำแบบฝึกหัดหรือกจิ กรรมในระหว่างเรียนของผู้เรียน

ทกุ คน

13

N แทน จำนวนผเู้ รยี น

A แทน คะแนนเต็มของแบบฝกึ หัดหรือกจิ กรรมในระหว่าง
เรียน

5. การคำนวณหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2)

 X2

E2 = N 100
B

เมอ่ื E2 แทน ประสิทธภิ าพของผลลัพธ์

 X2 แทน คะแนนรวมจากการทำแบบทดสอบหลงั เรียนของผเู้ รียนทกุ คน

N แทน จำนวนผเู้ รยี น

B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรยี น

12. การเก็บรวบรวมข้อมลู

ในการวิจัยเรื่องการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ
ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Grammar in Context กับวิธีสอนแบบปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรยี นเทพศิรนิ ทรค์ ลองสบิ สาม ปทุมธานีครงั้ นี้ ผูว้ จิ ัยไดด้ ำเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูลดังนี้

1. ขอความอนุเคราะห์ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เพื่อขอให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจ
เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั

2. ดำเนินการปฐมนิเทศกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง เพื่อชี้แจงจุดประสงค์ในการทำวิจัย แนวทาง
ดำเนินการวิจัย และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ พร้อมทั้งแจกเล่มแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง
Grammar in Context

3. ให้กลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ก่อนเรียน (Pretest)
จำนวน 40 ขอ้ ภายในเวลา 50 นาที

4. ทำการตรวจคะแนนแบบทดสอบก่อนเรยี น เพ่อื นำข้อมูลไปวิเคราะหท์ างสถิตติ ่อไป

5. ดำเนนิ การสอนกบั กลุ่มตัวอย่างตามแผนการสอน โดยกล่มุ ทเ่ี ป็นกลมุ่ ทดลองใชแ้ ผนการจดั การเรียนรู้ท่ี
ใช้กับแบบฝึกทักษะ ส่วนกลุ่มควบคุมดำเนินการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรูแ้ บบปกติ โดยเรียนตามตาราง
เรยี นวชิ าภาษาองั กฤษพื้นฐานสัปดาห์ละ 3 คาบ คาบละ 50 นาที เป็นเวลา 3 สัปดาห์ และเรยี นในสัปดาห์ถัดมา
อีก 1 คาบ รวมทั้งสิ้น 10 คาบ ซึ่งนกั เรียนกลุม่ ทดลองจะต้องทำแบบฝึกหัดท้ายเล่ม ในท้ายแบบฝึกทักษะแต่ละ

14

เล่ม เพื่อนำคะแนนไปวิเคราะห์ทางสถิติในการหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง
Grammar in Context (E1)

6. ดำเนินการให้กลุ่มตัวอย่างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ หลังเรียน
(Pretest) จำนวน 40 ข้อ ภายในเวลา 50 นาที

7. ทำการตรวจคะแนนแบบทดสอบหลงั เรยี น เพ่ือนำข้อมลู ไปวเิ คราะหท์ างสถิติ

13. ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
การวจิ ยั เร่ือง การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาองั กฤษที่เรยี นโดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ

ไวยากรณภ์ าษาองั กฤษ เร่อื ง Grammar in Context กับวธิ ีสอนแบบปกติ ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3
โรงเรียนเทพศริ ินทรค์ ลองสิบสาม ปทมุ ธานี ผู้วิจัยขอนำเสนอเปน็ 4 ตอนดงั น้ี

ตอนท่ี 1 ผลการวิเคราะห์คะแนนพื้นฐานกลุ่มทดลองและกล่มุ ควบคมุ
ตอนท่ี 2 ผลการตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื
ตอนท่ี 3 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู เพอื่ หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เร่ือง
Grammar in Context
ตอนท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูลเพื่อเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น

ตอนที่ 1 ผลการวเิ คราะหค์ ะแนนพ้ืนฐานกลมุ่ ทดลองและกล่มุ ควบคุม

ผู้วิจัยได้นำคะแนนพื้นฐานของนักเรียนชั้น ม.3/1 ที่เป็นกลุ่มทดลอง และ ม.3/2 ที่เป็นกลุ่มควบคุม มา
วเิ คราะห์โดยใชโ้ ปรแกรมสำเร็จรปู SPSS ผลการวิเคราะหแ์ สดงในตารางท่ี 1 ดงั น้ี

ตารางที่ 1 แสดงผลการวเิ คราะหค์ ะแนนพืน้ ฐานของกล่มุ ทดลองและกล่มุ ควบคมุ

กลมุ่ จำนวน คะแนน X S.D. t- test Sig.
นกั เรียน เตม็

ทดลอง 35 100 66.38 8.77 1.775 0.08

ควบคมุ 35 100 63.34 7.61

จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนพื้นฐานของกลุ่มทดลอง ( X = 66.38, S.D. = 8.77) กับกลุ่มควบคุม
( X = 63.34, S.D. = 7.61) แตกต่างกนั อยา่ งไม่มีนัยสำคัญทางสถติ ิท่ี .05 แสดงว่านักเรียนท่เี ปน็ กลุม่ ทดลอง และ
กลมุ่ ควบคมุ มคี วามรพู้ ืน้ ฐานวชิ าภาษาอังกฤษ ไม่แตกตา่ งกัน

15

ตอนท่ี 2 ผลการตรวจสอบคุณภาพเครอ่ื งมอื
1. ผลการตรวจสอบคณุ ภาพแผนการจัดการเรียนรทู้ ใ่ี ชก้ บั แบบฝึกทกั ษะ
ผลการตรวจสอบคณุ ภาพแผนการจดั การเรยี นรู้ท่ีใช้กบั แบบฝึกทกั ษะ มรี ายละเอียดดังตอ่ ไปนี้

ตารางท่ี 2 แสดงผลการตรวจสอบความถกู ต้องครบถว้ น และเหมาะสมขององคป์ ระกอบภายในแผนการจดั การ
เรยี นรู้ท่ใี ชก้ บั แบบฝกึ ทกั ษะ

รายการประเมนิ S.D. แปลผล
1. สาระสำคญั
1.1 สาระสำคญั สอดคล้องกบั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 5.00 0.00 เหมาะสมมากท่ีสุด
1.2 สาระสำคญั สอดคลอ้ งกับเนือ้ หาทใ่ี ช้ 5.00 0.00 เหมาะสมมากที่สดุ
1.3 มีความชัดเจน เข้าใจงา่ ย 4.67 0.58 เหมาะสมมากท่ีสุด
4.89 0.19 เหมาะสมมากที่สดุ
เฉลยี่
2. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 5.00 0.00 เหมาะสมมากที่สดุ
2.1 จดุ ประสงค์การเรียนรสู้ อดคลอ้ งกบั เน้ือหา 4.00 0.00 เหมาะสมมาก
2.2 ครอบคลมุ คุณลกั ษณะผูเ้ รยี นทงั้ 3 ด้าน (K P A)
2.3 จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้สอดคล้องกับกจิ กรรมการเรยี นการสอน เหมาะสมมากท่ีสุด
5.00 0.00
เฉลย่ี 4.67 0.00 เหมาะสมมากท่สี ดุ
3. เนื้อหา
3.1 ถูกตอ้ ง ครบถ้วน ครอบคลมุ องคค์ วามรู้ 5.00 0.00 เหมาะสมมากท่ีสุด
3.2 เหมาะสมกับระดับของผเู้ รียน 5.00 0.00 เหมาะสมมากท่ีสดุ
3.3 เหมาะสมกับเวลา 4.00 0.00 เหมาะสมมาก
3.4 กจิ กรรมส่งเสรมิ ให้เกดิ การเรยี นรู้ 5.00 0.00 เหมาะสมมากที่สดุ
4.75 0.00 เหมาะสมมากทสี่ ุด
เฉลีย่
4. สอื่ และแหล่งการเรยี นรู้ เหมาะสมมากที่สุด
4.1 ส่ือและแหลง่ การเรยี นรู้มีความเหมาะสมกับเนอื้ หาวชิ า 5.00 0.00

4.2 สอื่ และแหลง่ การเรยี นรูม้ คี วามเหมาะสมกบั การจัดกิจกรรมการ เหมาะสมมากท่ีสุด
เรยี นรู้ 4.67 0.58
เฉล่ีย 4.83 0.29 เหมาะสมมากท่ีสดุ

รายการประเมิน 16
5. การวดั ประเมินผล
5.1 สอดคลอ้ งกับจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ S.D. แปลผล
5.2 วธิ กี ารวัดผล เครื่องมือในการวดั และเกณฑ์การประเมินชัดเจน
5.00 0.00 เหมาะสมมากที่สุด
เฉล่ีย เหมาะสมมากท่ีสดุ
เฉลี่ยรวม
4.67 0.58
4.83 0.29 เหมาะสมมากที่สดุ
4.79 0.15 เทห่ีสมุดาะสมมากทส่ี ดุ

จากตารางท่ี 2 พบวา่ ผู้เชี่ยวชาญมคี วามคดิ เห็นต่อความถูกตอ้ งครบถ้วนและเหมาะสมขององค์ประกอบ

ของแผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ีใชก้ ับแบบฝกึ ทักษะ โดยภาพรวมอยใู่ นระดับเหมาะสมมากท่ีสุด ( ̅ = 4.79) เม่อื
พจิ ารณารายดา้ น ท้งั ดา้ นสาระสำคัญ จุดประสงค์การเรยี นรู้ เนอ้ื หา สอ่ื และแหลง่ การเรยี นรู้ และการวดั
ประเมินผล พบวา่ ทกุ ด้านอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด

2. ผลการตรวจสอบคณุ ภาพแผนการจดั การเรียนรู้แบบปกติ

ตารางท่ี 3 แสดงผลการตรวจสอบความถกู ต้องครบถ้วน และเหมาะสมขององคป์ ระกอบภายในแผนการจดั การ

เรียนรู้แบบปกติ

รายการประเมนิ S.D. แปลผล

1. สาระสำคญั

1.1 สาระสำคัญสอดคล้องกับจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 5.00 0.00 เหมาะสมมากท่ีสุด

1.2 สาระสำคญั สอดคล้องกับเนือ้ หาทใ่ี ช้ 5.00 0.00 เหมาะสมมากท่ีสุด

1.3 มคี วามชัดเจน เข้าใจง่าย 4.00 0.00 เหมาะสมมาก

เฉลีย่ 4.67 0.00 เหมาะสมมากท่ีสุด

2. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

2.1 จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรสู้ อดคลอ้ งกับเนอื้ หา 5.00 0.00 เหมาะสมมากที่สุด
2.2 ครอบคลุมคณุ ลักษณะผ้เู รยี นท้ัง 3 ดา้ น (K P A) 4.00 0.00 เหมาะสมมาก
2.3 จดุ ประสงคก์ ารเรียนรูส้ อดคล้องกับกิจกรรมการเรยี นการสอน
เหมาะสมมากที่สดุ

เฉล่ีย 5.00 0.00
4.67 0.00 เหมาะสมมากทีส่ ดุ

3. เนือ้ หา

3.1 ถกู ต้อง ครบถว้ น ครอบคลุมองคค์ วามรู้ 5.00 0.00 เหมาะสมมากท่ีสุด
3.2 เหมาะสมกับระดบั ของผเู้ รียน 5.00 0.00 เหมาะสมมากที่สุด
3.3 เหมาะสมกับเวลา 4.33 0.58 เหมาะสมมาก

3.4 กจิ กรรมสง่ เสริมใหเ้ กิดการเรยี นรู้ 17
เฉล่ีย
5.00 0.00 เหมาะสมมากที่สุด
4. ส่ือและแหลง่ การเรยี นรู้ 4.83 0.00 เหมาะสมมากทส่ี ดุ
4.1 ส่ือและแหลง่ การเรียนร้มู ีความเหมาะสมกบั เนอ้ื หาวชิ า
เหมาะสมมากที่สุด
4.2 สื่อและแหล่งการเรียนรู้มคี วามเหมาะสมกบั การจัดกิจกรรมการ 5.00 0.00
เรียนรู้
เฉลย่ี เหมาะสมมากท่ีสดุ
5.00 0.00
5. การวัดประเมนิ ผล 5.00 0.00 เหมาะสมมากทส่ี ุด
5.1 สอดคล้องกบั จุดประสงค์การเรยี นรู้
5.2 วิธีการวดั ผล เครือ่ งมือในการวัด และเกณฑก์ ารประเมินชัดเจน 5.00 0.00 เหมาะสมมากท่ีสุด
เหมาะสมมาก
เฉลยี่
เฉล่ยี รวม 4.00 0.00
4.50 0.00 เหมาะสมมากท่ีสุด
4.73 0.00 ทเห่สี มดุ าะสมมากทสี่ ดุ

จากตารางที่ 3 พบว่าผู้เชย่ี วชาญมีความคิดเห็นต่อความถูกต้องครบถว้ นและเหมาะสมขององค์ประกอบ

ของแผนการจดั การเรยี นรูท้ ่เี ป็นแผนปกติ โดยภาพรวมอยู่ในระดบั เหมาะสมมากทส่ี ดุ ( ̅ = 4.73) เมือ่ พจิ ารณา
รายด้านพบว่าทกุ ด้านอยใู่ นระดบั เหมาะสมมากท่ีสดุ

3. ผลการตรวจสอบคณุ ภาพแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เรื่อง เรอ่ื ง Grammar in Context

ผลการตรวจสอบคุณภาพแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เรื่อง เรื่อง Grammar in Context ทั้ง 3 เล่มมี
รายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปน้ี

ตารางท่ี 4 แสดงผลการตรวจสอบคณุ ภาพแบบฝึกทกั ษะไวยากรณ์ เรอ่ื ง เรื่อง Grammar in Context เล่ม 1

ที่ รายกาประเมนิ ความคิดเห็นจาก แปลผล
ผ้เู ช่ียวชาญคนที่ เฉล่ีย
1 ลักษณะโดยรวมของรปู เลม่
1.1 ปกมีความสวยงาม ดงึ ดูดความสนใจ 12 3
1.2 ขนาดตัวหนังสอื เหมาะสมกับผูอ้ า่ น
1.3 ภาพประกอบมคี วามสวยงาม เหมาะสม 5 4 5 4.67 ดมี าก
1.4 แบบฝึกทักษะมอี งคป์ ระกอบสำคัญครบถ้วน 4 5 4 4.33 ดี
เฉลีย่ ดา้ นลักษณะโดยรวม 444 4 ดี
4 5 4 4.33 ดี
ดี
4.33

18

ตารางที่ 4 (ต่อ)

ความคิดเห็นจาก

ท่ี รายกาประเมนิ ผเู้ ช่ยี วชาญคนท่ี เฉลีย่ แปลผล

12 3

2 เนอื้ หา

2.1 เน้ือหาสอดคล้องกบั จุดประสงค์การเรียนรู้ 5 5 5 5 ดีมาก

2.2 เน้อื หามีความยากงา่ ยเหมาะสมกบั วัยของผเู้ รียน 5 5 5 5 ดมี าก

2.3 แบบฝกึ หัดมีความยากง่ายเหมาะสมกับวยั ของ 4 5 4 4.33 ดี
ผู้เรียน

2.4 เนอ้ื หาเป็นไปตามลำดบั ขัน้ ตอนการเรียนร้จู ากง่าย 5 4 5 4.67 ดีมาก
ไปยาก

2.5 การใช้ภาษาถกู ต้อง ชัดเจน และเข้าใจงา่ ย 4 5 4 4.33 ดี

2.6 เนือ้ หาและแบบฝกึ หดั ถูกต้องตามหลกั ไวยากรณ์ 5 4 5 4.67 ดีมาก
ภาษาอังกฤษ

เฉล่ียดา้ นเนื้อหา 4.67 ดมี าก

เฉล่ียคณุ ภาพแบบฝึกทักษะ 4.50 ดมี าก

จากตารางที่ 4 พบว่าคุณภาพแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เรื่อง เรื่อง Grammar in Context เล่ม 1

Present Continuous Tense อยู่ในระดบั ดมี าก คา่ เฉลยี่ เท่ากับ 4.50 เม่ือพจิ ารณารายด้านลักษณะโดยรวมของ

รปู เล่มอย่ใู นระดับดี คา่ เฉล่ีย 4.33 และเนอ้ื หา อยู่ในระดับดีมาก คา่ เฉลี่ย 4.67

ตารางท่ี 5 แสดงผลการตรวจสอบคุณภาพแบบฝกึ ทกั ษะไวยากรณ์ เรอ่ื ง เรอ่ื ง Grammar in Context เล่ม 2

ที่ รายกาประเมนิ ความคดิ เห็นจาก แปลผล
1 ลกั ษณะโดยรวมของรปู เลม่ ผเู้ ช่ยี วชาญคนท่ี เฉลย่ี

12 3

1.1 ปกมีความสวยงาม ดึงดูดความสนใจ 5 4 5 4.67 ดมี าก
1.2 ขนาดตัวหนงั สอื เหมาะสมกบั ผู้อา่ น 4 5 4 4.33 ดี
1.3 ภาพประกอบมคี วามสวยงาม เหมาะสม 444 4 ดี

1.4 แบบฝึกทักษะมีองคป์ ระกอบสำคญั ครบถ้วน 4 5 4 4.33 ดี

เฉล่ยี ด้านลักษณะโดยรวม 4.33 ดี

2 เน้ือหา

2.1 เน้อื หาสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 5 5 5 5 ดมี าก

2.2 เน้อื หามีความยากง่ายเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน 5 5 5 5 ดีมาก

2.3 แบบฝกึ หัดมีความยากง่ายเหมาะสมกับวยั ของผูเ้ รียน 4 5 5 4.67 ดี

2.4 เน้อื หาเปน็ ไปตามลำดับขน้ั ตอนการเรยี นร้จู ากงา่ ยไป 5 4 5 4.67 19
ยาก 4 5 4 4.33
2.5 การใช้ภาษาถกู ต้อง ชดั เจน และเข้าใจงา่ ย ดมี าก
5 4 5 4.67 ดี
2.6 เนือ้ หาและแบบฝึกหัดถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
ภาษาองั กฤษ 4.72 ดีมาก
4.61
เฉล่ียด้านเนื้อหา ดมี าก
ดมี าก
เฉล่ยี คณุ ภาพแบบฝึกทักษะ

จากตารางท่ี 5 พบว่าคุณภาพแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เรื่อง เรื่อง Grammar in Context เล่ม 2 อยู่ใน
ระดับดีมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.61 เมื่อพิจารณารายด้านลักษณะโดยรวมของรูปเล่มอยู่ในระดับดี ค่าเฉลี่ย 4.33
และเน้ือหา อยู่ในระดบั ดีมาก ค่าเฉล่ีย 4.72

ตารางท่ี 6 แสดงผลการตรวจสอบคุณภาพแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เรื่อง เร่ือง Grammar in Context เลม่ 3

ที่ รายกาประเมิน ความคิดเห็นจาก แปลผล
1 ลกั ษณะโดยรวมของรูปเล่ม ผูเ้ ชย่ี วชาญคนท่ี เฉล่ยี

12 3

1.1 ปกมีความสวยงาม ดงึ ดูดความสนใจ 5 4 5 4.67 ดีมาก

1.2 ขนาดตวั หนังสอื เหมาะสมกับผูอ้ า่ น 4 5 4 4.33 ดี

1.3 ภาพประกอบมคี วามสวยงาม เหมาะสม 444 4 ดี

1.4 แบบฝกึ ทักษะมอี งค์ประกอบสำคัญครบถ้วน 4 5 4 4.33 ดี

เฉลีย่ ดา้ นลกั ษณะโดยรวม 4.33 ดี
2 เนื้อหา 5 5 5 5 ดีมาก

2.1 เนอื้ หาสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้

2.2 เนื้อหามีความยากงา่ ยเหมาะสมกบั วัยของผเู้ รียน 5 5 5 5 ดมี าก
ดมี าก
2.3 แบบฝกึ หัดมคี วามยากง่ายเหมาะสมกบั วัยของ 4 5 5 4.67 ดมี าก
ผู้เรียน

2.4 เน้ือหาเป็นไปตามลำดับขัน้ ตอนการเรยี นร้จู ากงา่ ย 5 4 5 4.67
ไปยาก

ตารางที่ 16 (ต่อ) ความคิดเหน็ จาก เฉล่ีย 20
ผเู้ ช่ียวชาญคนท่ี 4.33
ท่ี รายกาประเมิน 12 3 แปลผล
ดี
2.5 การใช้ภาษาถกู ตอ้ ง ชดั เจน และเข้าใจง่าย 454
2.6 เน้ือหาและแบบฝกึ หัดถกู ตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ ดมี าก
ภาษาอังกฤษ 5 4 5 4.67 ดีมาก
เฉลีย่ ด้านเนื้อหา ดีมาก
เฉลยี่ คุณภาพแบบฝกึ ทักษะ 4.72
4.61

จากตารางที่ 6 พบว่าคุณภาพแบบฝกึ ทักษะไวยากรณ์ เรื่อง เรื่อง Grammar in Context เล่ม 3 อยู่ใน

ระดับดีมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.61 เมื่อพิจารณารายด้านลักษณะโดยรวมของรูปเล่มอยู่ในระดับดี ค่าเฉลี่ย 4.33
และเน้อื หา อยู่ในระดับดมี าก คา่ เฉล่ยี 4.72

ตารางที่ 7 แสดงผลการตรวจสอบคุณภาพแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ เรือ่ ง เรือ่ ง Grammar in Context ทั้ง 3 เล่ม

แบบฝกึ ทกั ษะไวยากรณ์ เร่อื ง เรื่อง Grammar in Context ค่าเฉล่ยี แปลผล

เลม่ 1 Present Continuous Tense 1 4.50 ดมี าก

เลม่ 2 Present Continuous Tense 2 4.61 ดมี าก

เล่ม 3 Relative Clause 4.61 ดีมาก

เฉลย่ี รวม 4.57 ดีมาก

จากตารางท่ี 7 แสดงให้เห็นว่าแบบฝึกทกั ษะทักษะไวยากรณ์เรอื่ ง Grammar in Context ทงั้ 3 เล่ม ใน

ภาพรวมอยใู่ นระดับดีมาก คา่ เฉลี่ยรวมอยูท่ ่ี 4.57 โดย เลม่ 2 Present Continuous Tense 2 และเล่ม 3

Relative Clause มคี า่ เฉลย่ี อยู่ท่ี 4.61 สว่ นเล่ม 1 Present Continuous Tense 1 มีค่าเฉล่ียเท่ากบั 4.50

4. ผลการตรวจสอบคุณภาพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น

ผวู้ ิจัยได้สรา้ งแบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 เรอ่ื ง Lifestyles ซ่ึงเป็นข้อสอบแบบ
ปรนยั 4 ตวั เลือก จำนวน 60 ขอ้ ผลการวิเคราะหแ์ บบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน มรี ายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปน้ี

21

ตารางท่ี 8 แสดงผลการวิเคราะห์ความสอดคล้องของข้อสอบกบั จุดประสงค์การเรียนรู้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี น

ข้อที่ คะแนนจากผูเ้ ชีย่ วชาญ IOC แปลผล

คนที่ 1 คนที่ 2 คนท่ี 3

1 111 1 ใชไ้ ด้
ใชไ้ ด้
2 111 1 ใชไ้ ด้
ใชไ้ ด้
3 111 1 ใชไ้ ด้
ใช้ได้
4 111 1 ใช้ได้
ใช้ได้
5 111 1 ใชไ้ ด้
ใชไ้ ด้
6 111 1 ใชไ้ ด้
ใชไ้ ด้
7 111 1 ใชไ้ ด้
ใช้ได้
8 111 1 ใชไ้ ด้
ใช้ได้
9 111 1 ใช้ได้
ใชไ้ ด้
10 1 1 1 1 ใชไ้ ด้
ใชไ้ ด้
11 1 1 1 1 ใช้ได้
ใช้ได้
12 1 1 1 1 ใช้ได้
ใช้ได้
13 1 1 1 1 ใช้ได้
ใชไ้ ด้
14 1 1 1 1 ใชไ้ ด้
ใชไ้ ด้
15 1 1 1 1 ใชไ้ ด้
ใชไ้ ด้
16 1 1 1 1 ใชไ้ ด้
ใชไ้ ด้
17 1 1 1 1

18 1 1 1 1

19 1 1 1 1

20 011 0.67

21 1 1 1 1

22 1 1 1 1

23 1 1 1 1

24 1 1 1 1

25 1 1 1 1

26 1 1 1 1

27 1 1 1 1

28 1 1 1 1

29 1 1 1 1

30 011 0. 67

31 1 1 1 1

32 1 1 1 1

22

33 1 1 1 1 ใชไ้ ด้

34 1 1 1 1 ใช้ได้

35 1 1 1 1 ใชไ้ ด้

36 1 1 1 1 ใช้ได้

37 1 1 1 1 ใช้ได้

38 1 1 1 1 ใช้ได้

39 1 1 1 1 ใชไ้ ด้

40 010 0.33 ตัดทงิ้

41 1 1 1 1 ใช้ได้

42 1 1 1 1 ใช้ได้

43 1 1 1 1 ใช้ได้

44 1 1 1 1 ใช้ได้

45 1 1 1 1 ใชไ้ ด้

46 1 1 1 1 ใช้ได้

47 1 1 1 1 ใชไ้ ด้

48 1 1 1 1 ใช้ได้

49 1 1 1 1 ใช้ได้

50 1 1 1 1 ใช้ได้

51 1 1 1 1 ใชไ้ ด้

52 110 0.67 ใช้ได้

53 1 1 1 1 ใช้ได้

54 1 1 1 1 ใชไ้ ด้

55 1 1 1 1 ใชไ้ ด้

56 1 1 1 1 ใช้ได้

57 1 1 1 1 ใชไ้ ด้

58 1 1 1 1 ใชไ้ ด้

59 1 1 1 1 ใช้ได้

60 1 1 1 1 ใช้ได้

จากตารางที่ 8 แสดงผลการวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบกับจุดประสงค์

การเรียนรู้ พบว่าจากข้อสอบทั้งหมดจำนวน 60 ข้อ มีข้อที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องสูงกว่า 0.5 จำนวน 59 ข้อ

เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ข้อ 40 ไม่ผ่านเกณฑ์ อย่างไรก็ตามผู้วิจัยได้เลือกเอาข้อสอบจำนวน 50 ข้อไป

ดำเนนิ การในข้ันตอ่ ไป

23

ตารางที่ 9 แสดงผลวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี น

ขอ้ ค่า p ค่า r ผลการพจิ ารณา

1 0.57 0.47 ใช้ได้

2 0.63 0.33 ใช้ได้

3 0.50 0.60 ใช้ได้

4 0.50 0.47 ใช้ได้

5 0.53 0.27 ใช้ได้

6 0.60 0.27 ใช้ได้

7 0.53 0.13 ตัดท้งิ

8 0.57 0.33 ใชไ้ ด้

9 0.50 0.60 ใชไ้ ด้

10 0.50 0.33 ใชไ้ ด้

11 0.57 0.20 ใช้ได้

12 0.50 0.47 ใชไ้ ด้

13 0.50 0.20 ใชไ้ ด้

14 0.47 0.27 ใชไ้ ด้

15 0.57 0.33 ใชไ้ ด้

16 0.67 0.27 ใช้ได้

17 0.60 0.27 ใช้ได้

18 0.37 0.47 ใช้ได้

19 0.57 0.33 ใช้ได้

20 0.50 0.20 ใชไ้ ด้

21 0.43 0.33 ใชไ้ ด้

22 0.57 0.20 ใช้ได้

23 0.43 0.20 ใช้ได้

24 0.50 0.33 ใช้ได้

25 0.50 0.33 ใชไ้ ด้

26 0.53 0.27 ใชไ้ ด้

27 0.60 0.40 ใชไ้ ด้

28 0.27 0.40 ใช้ได้

29 0.60 0.27 ใช้ได้

30 0.50 0.33 ใช้ได้

31 0.50 0.20 24
32 0.63 0.20
33 0.60 0.13 ใชไ้ ด้
34 0.53 0.00 ใช้ได้
35 0.50 0.47 ตดั ทิ้ง
36 0.43 0.33 ตัดทง้ิ
37 0.37 0.07 ใชไ้ ด้
38 0.33 0.40 ใช้ได้
39 0.37 0.20 ตดั ทิ้ง
40 0.47 0.13 ใชไ้ ด้
41 0.40 0.40 ใชไ้ ด้
42 0.47 0.27 ตัดทิ้ง
43 0.47 0.40 ใช้ได้
44 0.63 0.20 ใช้ได้
45 0.70 0.20 ใช้ได้
46 0.63 0.20 ใชไ้ ด้
47 0.60 0.00 ใช้ได้
48 0.57 0.20 ใชไ้ ด้
49 0.40 0.27 ตัดท้ิง
50 0.37 0.33 ใช้ได้
ใชไ้ ด้
ใชไ้ ด้

จากตาราง 9 พบว่า การวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของข้อสอบจำนวน
ทั้งหมดจำนวน 50 ข้อ ซึ่งผ่านเกณฑจ์ ำนวน 44 ข้อ และไม่ผ่านเกณฑ์จำนวน 6 ข้อ คือข้อ 7 33 34 37 40 และ
47 ผู้วิจัยจึงคัดเลือกข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 40 ข้อ มาหาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับของแบบทดสอบ โดยใช้
วิธีการของ คูเดอร์ รีชาร์ดสัน (Kuder Richardson Method) โดยใช้สูตร KR-20 พบว่า ค่าความเชื่อมั่นของ
แบบทดสอบมคี า่ เทา่ กับ 0.85 จงึ แปลผลได้ว่าแบบทดสอบมคี วามเช่อื ม่นั สูง

ตอนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง
Grammar in Context

วิเคราะห์ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Grammar in Context ตาม
เกณฑ์ 80/80 โดยหาค่ารอ้ ยละของคะแนน จากการทำแบบฝกึ หัดทา้ ยบทในแบบฝกึ ทกั ษะทัง้ 3 เลม่ และค่าร้อย
ละของคะแนนจากการทำแบบทดสอบหลงั เรยี น มีรายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้

25

ตารางท่ี 10 แสดงผลการวิเคราะห์การหาประสทิ ธภิ าพของแบบฝกึ ทักษะไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ เร่อื ง Grammar
in Context ในรปู แบบขนั้ ทดสอบภาคสนาม

คนท่ี คะแนนแบบฝึกหัด คะแนนรวม คะแนนทดสอบหลงั
(E1) เรียน (E2)

เล่ม 1 เลม่ 2 เลม่ 3 30 คะแนน 40 คะแนน

19 8 7 24 30
26 32
29 8 9 29 31
25 35
3 10 10 9 25 33
21 33
48 9 8 26 33
21 30
58 8 9 23 30
30 36
67 7 7 23 30
23 30
78 9 9 30 36
24 30
87 7 7 26 30
26 32
97 8 8 23 30
27 35
10 10 10 10 27 37
23 35
11 7 8 8 21 30
21 30
12 7 8 8 24 34
25 33
13 10 10 10 30 37
28 35
14 7 8 9

15 8 9 9

16 8 9 9

17 7 8 8

18 9 9 9

19 9 9 9

20 7 8 8

21 7 7 7

22 7 7 7

23 8 8 8

24 9 8 8

25 10 10 10

26 10 9 9

26

27 9 9 9 27 32

28 8 8 8 24 33

29 9 8 8 25 32

30 10 10 9 10 37

คะแนนรวม 737 981

คา่ เฉลีย่ 24.57 32.70

ร้อยละ 81.89 81.75

จากตารางที่ 10 แสดงให้เห็นว่านักเรียนสามารถทำคะแนนจากแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

เรื่อง Grammar in Context ทั้ง 3 เล่ม โดยภาพรวมได้คะแนนรวม 737 คะแนน จากคะแนนเต็ม 900 คะแนน

คิดเป็นร้อยละ 81.89 และทำคะแนนแบบทดสอบหลงั เรียนไดค้ ะแนนรวม 981 คะแนน จากคะแนนเต็ม 1, 200

คะแนน คิดเป็นร้อยละ 81.75 ดังนั้นประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ เรื่อง Grammar in

Context ข้ันทดลองภาคสนาม E1/E2 มคี ่าเท่ากบั 81.89/81.75 ซง่ึ สูงกวา่ เกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80

ตอนท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เพ่อื เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน

ผู้วจิ ัยได้ใหก้ ลมุ่ ตวั อย่างทำแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนกอ่ นและหลงั เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ
ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Grammar in Context ซึ่งเป็นแบบทดสอบฉบับเดียวกันคะแนนเต็ม 40 คะแนน
จากนั้นจึงหาผลต่างของคะแนน (D) จากการทดสอบก่อนและหลงั เรียนของกลุ่มทดลอง และนำคะแนนที่ได้จาก

การทดสอบท้งั 2 คร้ังมาเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น จากน้ัน ไดเ้ ปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลัง
เรียนของกลุ่มทดลองที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Grammar in Context กับกลุ่ม

ควบคมุ ที่เรยี นโดยวิธสี อนแบบปกติ ผลการวเิ คราะห์ในตารางท่ี 21 22 และ 23 ตามลำดับ

ตารางที่ 11 แสดงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มทดลอง ก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะไวยากรณ์
ภาษาอังกฤษ เรือ่ ง Grammar in Context

คะแนนเตม็ 40

ลำดบั ท่ี กอ่ นเรยี น (Pre-test) หลังเรยี น (Post –test) ผลต่าง (D)

1 17 30 13

2 24 32 8

3 13 31 18

4 10 30 20

5 14 33 19

6 16 33 17

7 12 33 21

8 16 30 14

99 30 21

10 28 36 8

11 14 30 16

27

12 11 30 19

13 34 36 2

14 16 30 14

15 18 30 12

16 25 32 7

17 14 30 16

18 22 35 13

19 31 37 6

20 12 35 23

21 13 30 17

22 13 30 17

23 18 34 16

24 24 33 9

25 29 37 8

26 21 35 14

27 12 32 20

28 11 33 22

29 16 32 16

30 23 37 14

เฉล่ีย 17.87 32.53 14.67

ค่าเฉลี่ยจากตารางที่ 11 แสดงให้เห็นวา่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มทดลองทุกคนสงู ขึ้นหลังจากได้รับการ
สอนโดยใช้แบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Grammar in Context ทั้ง 3 เล่ม ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ค่า

ผลต่างของคะแนนจากการทดสอบก่อนและหลังเรียนสูงสุดมีค่าเทา่ กับ 23 และต่ำสุดมีค่าเท่ากับ 2 จากคะแนน

เต็ม 40 คะแนน

ตารางท่ี 12 เปรยี บเทยี บคะแนนเฉล่ีย ( X ) ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D) และคา่ ทดสอบ (t) ของกลุ่มทดลอง

การทดสอบ จำนวน คะแนน X S.D. t- test Sig.
นกั เรยี น เต็ม

กอ่ นเรยี น 30 40 17.85 6.71 15.232* 0.00
หลงั เรยี น 30 40 32.53 2.49

จากตารางที่ 12 แสดงให้เห็นว่าคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มทดลองหลังเรียนโดยใช้

แบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Grammar in Context เท่ากับ 32. 53 คะแนน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน ที่มีค่าเท่ากับ 17. 85 คะแนน ดังนั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่
เรียนโดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เร่อื ง Grammar in Context หลังเรยี น สงู กวา่ กอ่ นเรียนอย่าง
มนี ัยสำคญั ท่รี ะดบั 0.05 ดงั สมมุตฐิ านข้อที่ 2

28

ตารางที่ 13 ผลการเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั เรียน ระหวา่ งกลุ่มทดลองที่เรยี นโดยใช้แบบฝกึ ทักษะ
ไวยากรณภ์ าษาองั กฤษ เร่อื ง Grammar in Context กับกล่มุ ควบคุมทีเ่ รียนโดยวธิ ีสอนแบบปกติ

กลมุ่ วิธีสอน จำนวน คะแนน X S.D. t- test Sig.
นักเรยี น เตม็ (2-tailed)

ทดลอง ใช้แบบ 30 40 32.53 2.49
ฝึกทักษะ 30 7.237 0.000

ควบคมุ ปกติ 40 26.20 4.10

จากตารางที่ 13 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ระหว่างกลุ่มที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ
ไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ เรอ่ื ง Grammar in Context ( X = 32.53, S.D. = 2.49) กบั กลุม่ ควบคมุ ที่เรียนโดยวิธี
สอนแบบปกติ ( X = 26.20, S.D. = 4.10) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 จึงสรุปได้ว่านักเรียนท่ี
เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ เรื่อง Grammar in Context มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่า
นกั เรียนทเี่ รยี นโดยวธิ ีสอนแบบปกติ ดงั สมมตุ ิฐานขอ้ ที่ 3

14. สรุปผล
จากการศึกษาและวเิ คราะห์ขอ้ มลู การวจิ ยั สามารถสรปุ ไดด้ ังนี้
1. ประสิทธภิ าพของแบบทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เร่อื ง Grammar in Context มปี ระสทิ ธภิ าพ

เท่ากบั 81.50/80.45 ตามเกณฑ์ประสิทธภิ าพที่ตั้งไว้ 80/80
2. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรียนที่เรยี นโดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะไวยากรณภ์ าษาองั กฤษ เร่ือง

Grammar in Context หลังเรยี นสงู กว่ากอ่ นเรยี นอย่างมนี ยั สำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดับ .05 โดยคะแนนเฉลีย่
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของกลุ่มทดลองหลงั เรยี นโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ เรือ่ ง Grammar in
Context เท่ากับ 32. 53 คะแนน ซง่ึ สงู กว่าค่าเฉล่ียผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นกอ่ นเรียน ท่ีมคี ่าเท่ากับ 17. 85
คะแนน

3. ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนหลงั เรียน ระหวา่ งกลมุ่ ที่เรยี นโดยใช้แบบฝึกทักษะไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ
เรือ่ ง Grammar in Context ( = 32.53, S.D. = 2.49) กบั กลุ่มควบคุมทเ่ี รียนโดยวธิ สี อนแบบปกติ ( = 26.20,
S.D. = 4.10) แตกตา่ งกันอยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติท่ี 0.05 จงึ สรปุ ได้ว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรยี นทีเ่ รยี น
โดยใช้ แบบฝึกทกั ษะไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ เร่ือง Grammar in Context สงู กวา่ นักเรยี นทเ่ี รียนโดยวิธีสอน
แบบปกติอย่างมนี ยั สำคัญทางสถิติทรี่ ะดบั .05

15. อภิปรายผล
จากการวเิ คราะห์ขอ้ มลู สามารถอภิปลายผลได้ดังนี้

1. จากผลการวิจัยขอ้ ท่ี 1 ประสิทธิภาพของแบบทักษะไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ เรื่อง Grammar in
Context มปี ระสทิ ธภิ าพเท่ากับ 81.50/80.45 ตามเกณฑ์ประสทิ ธภิ าพที่ตั้งไว้ 80/80 ทั้งน้เี น่อื งจากเหตผุ ล
ตอ่ ไปนี้

1.1 แบบทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Grammar in Context เป็นนวัตกรรมที่ใช้กับ
นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทพศิรนิ ทร์คลองสิบสาม ปทุมธานี ที่ผู้วิจัยสร้างข้ึนจากการศึกษาแนวคิด

29

ของนักการศึกษาหลายท่าน จากเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ มาตรฐานและ
ตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และสร้างโดยประยกุ ต์หลักการสร้าง
แบบฝกึ ทกั ษะของนักการศึกษาหลายท่านโดยแบบฝึกทักษะที่สร้างขน้ึ นั้นประกอบไปดว้ ย คำช้ีแจงสำหรับครู คำ
ชี้แจงสำหรับนักเรียน จุดประสงค์การเรียนรู้ สอดคล้องกับ สมเดช สีแสง และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2543 :
94) ได้กล่าวถึงส่วนประกอบของแบบฝึกหรือแบบฝึกหัด ที่ต้องประกอบไปด้วย ชื่อชุดฝึกในแต่ละชุดย่อย
จุดประสงค์ คำสั่ง ตัวอย่าง ชุดฝึก และภาพประกอบ โดยผู้วิจยั ได้สร้างแบบฝึกทกั ษะที่มีภาพประกอบท่สี วยงาม
ดึงดูดความสนใจของผู้เรียน สอดคล้องกับ อารีย์ บัวคุ้มภัย (2540: 21-22) ที่ได้กล่าวถึงการสร้างแบบฝึกไว้ว่า
ตอ้ งมรี ูปภาพประกอบเพอื่ เพื่อดงึ ดูดความสนใจของผู้เรียน ต้องมีความยากงา่ ยเหมาะสมกับวยั และระดับช้ันของ
ผู้เรียน และเรียงลำดับง่ายไปยาก ต้องมีรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดการเรียนรู้กว้างขวาง ส่งเสริมความคดิ
สรา้ งสรรค์ และไมท่ ำให้เกดิ ความเบอ่ื หน่าย ผู้วิจยั จึงสรา้ งแบบฝึกหัดที่มรี ูปแบบหลากหลาย โดยมีทั้งแบบเติมคำ
แบบถูกผดิ และอักษรไขว้ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั สนุ ันทา สนุ ทรประเสรฐิ , 2544: 12-14 ที่กลา่ วถึงรปู แบบของการสร้าง
แบบฝกึ วา่ มที ้ัง แบบถกู ผิด แบบจับคู่ แบบเติมคำหรอื เตมิ ข้อความ แบบหลายตวั เลือก และแบบอัตนยั ทำให้แบบ
ฝึกทกั ษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เร่ือง Grammar in Context มคี วามเหมาะสมต่อผเู้ รียน และทำให้ผู้เรียนสนใจ
กระตอื รอื รน้ ในการศึกษาและทำแบบฝึกหัด

1.2 ประสิทธิภาพของแบบทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Grammar in Context มี
ประสทิ ธภิ าพเทา่ กบั 81.50/80.45 ซึ่งประสทิ ธภิ าพของของผลลพั ธ์ (E2) น้อยกว่าประสทิ ธิภาพกระบวนการ (E1)
นัน้ อาจเป็นผลมาจากในแผนการจัดการเรยี นรู้ที่ใช้คกู่ ับแบบฝกึ ทักษะท่ีผู้วิจัยได้จัดทำข้ึนนั้น มีข้ันตอนการเฉลย
แบบฝึกหัด เป็นการให้นักเรียนทราบข้อมูลยอ้ นกลับ (feedback) โดยเมื่อนักเรียนทำแบบฝกึ แต่ละเรือ่ งเสร็จสน้ิ
ครูจะเฉลยคำตอบของแตล่ ะกจิ กรรม และตรวจให้คะแนนทันที ทำให้นกั เรียนทราบความก้าวหนา้ ในการเรียนของ
ตน สอดคล้องกับ อารีย์ บัวคุ้มภัย (2540: 21-22) ที่ได้กล่าวถึงการสร้างแบบฝึกไว้ว่า ต้องให้ผู้เรียนทราบ
ความก้าวหน้าในการทำแบบฝึกทักษะของตนเพื่อเป็นการจูงใจให้เกิดการเรียนรู้ในโอกาสต่อไป ซึ่งจะทำให้
นักเรียนเกิดแรงจูงใจและกระตือรือร้นในการพัฒนาการเรียนรู้ของตน ส่งผลให้นักเรียนทำคะแนนแบบทดสอบ
ท้ายบทเรียน ได้สูงกว่าคะแนนจากแบบทดสอบหลังเรียน ซึ่งสอดคลอ้ งกับความคดิ ของโคลและชาน (Cloe and
Chan 1994: 380, 322, อ้างถงึ ใน ถะพอ หลา้ เจ๋ 2554: 102) ท่ีกล่าวว่าการให้การเสริมแรงทนั ทเี มือ่ นักเรียนทำ
ภาระงานเสรจ็ เปน็ ส่ิงสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะในระยะเริ่มตน้ ของการเรียนและขอ้ มูลยอ้ นกลับของครูที่เหมาะสม
ช่วยให้นักเรียนทราบว่าเขาได้เรียนรูส้ ิ่งใดไปบ้างแล้วและยังมีสิ่งใดอีกทีเ่ ขายังต้องรู้เพื่อจะทำภาระงานได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ

2. จากผลการวิจัยข้อที่ 2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะไวยากรณ์
ภาษาอังกฤษ เรื่อง Grammar in Context หลังเรียน สูงกว่า ก่อนเรียน แสดงว่าการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ
ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Grammar in Context ช่วยให้นักเรยี นมีผลสัมฤทธิท์ างการเรียนสูงขึ้น สอดคล้อง
กับงานวิจัยหลายเรื่อง ที่ศึกษาเกี่ยวการสอนโดยใชแ้ บบฝึกทักษะ ดังเช่น ศศิวิมล กังลี่ (2551: บทคัดย่อ) ได้ทำ
วจิ ยั เกย่ี วกับการพฒั นาแบบฝกึ ทักษะการอ่านเพ่อื การสอ่ื สารจากหนงั สือพิมพ์และนิตยสารภาษาอังกฤษ สำหรับ
นักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 เพอื่ เปรยี บเทยี บความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อการสอื่ สารก่อนและหลัง
ใชแ้ บบฝึกทกั ษะการอา่ น ผลการวิจยั พบว่า ความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษของนกั เรยี นหลังการทำแบบฝึก
ทักษะสูงกว่าก่อนการฝึกอ่านอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สอดคล้องกับ ปภัสรา กัลยาสนธิ์
(2553:บทคดั ย่อ) ได้ทำวิจัย เร่ืองการพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำศพั ท์ภาษาอังกฤษดว้ ยเกมสำหรับ
ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการวจิ ัยพบว่านกั เรียนมผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นคำศพั ท์ภาษาองั กฤษหลงั เรยี นด้วยแบบ
ฝึกทักษะด้วยเกมสูงกว่าก่อนเรียน อย่างนี้นัยยะสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสอดคล้องกับ ธนิษฐา พรมกอง
(2553: บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยการพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้น

30

มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 พบว่าผลสัมฤทธ์ิ หลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรยี นอย่างมนี ยั สำคัญทางสถิติทร่ี ะดบั .01 สอดคล้องกับ
วารุณี สุขชูเจริญกิจ (2556: บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเก่ียวกบั การใช้แบบฝึกทักษะการเขียนภาษาองั กฤษโดยใช้
แผนผังความคิดสำหรับนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ผลสัมฤทธ์ิทางด้านการเขยี นโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเขียน
ภาษาอังกฤษ โดยใช้แผนผังความคิด มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซ่ึง
สอดคลอ้ ง กนษิ ฐา สมานชาติ (2557:บทคัดยอ่ ) ไดท้ ำการวิจยั การพฒั นาแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือ
ความเขา้ ใจโดยใช้แผนท่ีความคิด สำหรบั นกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 พบว่าผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของนักเรียน
หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสอดคล้องกับ ณรงค์ฤทธิ์ วิชา
(2559:บทคัดย่อ) ได้ทำการศกึ ษาการใช้แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาการเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรยี น
ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5 ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรยี นหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรยี น คิดเปน็ รอ้ ยละ 83.33

3. จากผลการวิจัยข้อที่ 3 นักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Grammar
in Context มผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสงู กวา่ นกั เรียนท่ีเรียนโดยวธิ สี อนแบบปกติ แสดงให้เหน็ ว่า การเรียนโดยใช้
แบบฝกึ ทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรอื่ ง Grammar in Context ทำใหน้ ักเรยี นมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีกว่า
การเรียนโดยวิธสี อนแบบปกติ เนือ่ งจากการใชแ้ บบฝึกทักษะทำใหน้ ักเรยี นได้ทำแบบฝึกหัดซำ้ ๆ ได้ฝึกไวยากรณ์
ซ้ำ ๆ มากกวา่ การสอนแบบปกติ จึงทำให้นกั เรียนเข้าใจไวยากรณ์และจำไดด้ มี ากยิง่ ข้ึน สอดคลอ้ งกับ สคริเวเนอร์
(Scrivener 2003 อ้างถงึ ในปาณิตา กิตตภิ รณ์กุล 2551, 27 ) ได้แนะนำขนั้ ตอนในการเรียนรไู้ วยากรณ์ไวว้ ่า การ
ทีน่ ักเรียนจะรู้และเข้าใจไวยากรณ์ในทันทที ่ีได้เหน็ เป็นครงั้ แรก เป็นไปไดย้ ากจำเปน็ ต้องได้พบเห็นการใชไ้ วยากรณ์
เรื่องนั้นจำนวนบ่อยครั้ง ถึงจะเข้าใจได้ ซึ่งสอดคล้องกับ บุญเลิศ วงศ์พรม (อ้างถึงใน จีรสุดา เลิศปัญญานุช,
2553) กล่าววา่ จำเป็นต้องมกี ารฝึกฝนไวยากรณ์ ซึ่งกค็ อื การทำซ้ำ ๆ ครัง้ แล้วคร้ังเลา่ ตดิ ตอ่ กันจนกระทั่งสามารถ
ใช้ภาษาได้อย่างถกู ต้องตามหลักเกณฑ์ทางภาษา นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับงานวิจัยท่ีได้เปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะกับการเรียนโดยวิธีสอนแบบปกติของกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ และ
พบว่าการเรยี นโดยใช้แบบฝึกทักษะทำให้นกั เรียนมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสูงกวา่ การเรียนโดยวธิ ีสอนแบบปกติ
ดังเช่น จรุงจิต วงค์คำ (2550: บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการ
เรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องสมการเชิงเสน้ ตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 1 ผลวิจัยพบวา่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะสูงกว่าผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนักเรียนที่เรยี นโดยวิธีสอนแบบปกติ
สอดคลอ้ งกบั วัฒนา สาลรี มั ย์ (2550:บทคัดยอ่ ) ไดท้ ำวจิ ัยเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ดา้ นการอ่านในใจวิชาภาษาไทย
ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ท่สี อนโดยใช้แบบฝกึ กบั การสอนแบบปกติ ผลการวจิ ยั พบว่า ผลสมั ฤทธิ์ด้านการอ่านในใจ
ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกการอ่านในใจสูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยการสอนปกติ อย่างมีนัยยะสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ . 05 และสอดคล้องกับ จริยา วิไธสง (2555: บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่องการเปรียบเทียบ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความคงทนในการเรียนรู้ เรื่องการแจงแจงลูกและสะกดคำของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะและการเรียนแบบปกติ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้
แบบฝกึ ทกั ษะมผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสงู กว่านกั เรียนที่เรยี นแบบปกติอย่างมีนยั สำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ
นกั เรียนทีเ่ รียนโดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะมีความคงทนในการเรยี นรสู้ ูงกวา่ นกั เรียนทีเ่ รียนแบบปกตอิ ย่างมีนัยสำคัญทาง
สถติ ทิ ่ีระดบั .01

31

16. ขอ้ เสนอแนะการทำวิจยั ในชั้นเรียน
16.1 ขอ้ เสนอแนะทว่ั ไป

1.1 การวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาแบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เป็นงานวิจัยที่ต้องศึกษา
ทฤษฎี ข้อมูลหลายด้าน ประกอบกับการวางแผนการดำเนินงานทีด่ ี เพื่อให้ไดเ้ นือ้ หาและรปู แบบของแบบฝึกท่มี ี
คณุ ภาพ เหมาะสมกบั นักเรยี น และดำเนินการวจิ ยั อยา่ งราบรืน่

1.2 ด้านประสิทธิภาพของฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Grammar in Context ที่
ผู้วจิ ยั ได้พัฒนาข้นึ แสดงให้เห็นถึงผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนักเรยี นท่ีสูงขน้ั สามารถนำ ไปใชป้ ระกอบการเรียน
การสอนได้ จึงเหมาะกับการนำไปใช้ประกอบการสอนปกตหิ รือใชใ้ นการสอนซอ่ มเสริม

1.3 ในระหว่างการเรียนการสอนด้วยแบบฝึกทักษะ ครูผู้สอนควรสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย
ไม่กดดันนักเรียนในการทำแบบฝึกหัด การจัดบรรยากาศในห้องเรยี นทีด่ ี จะช่วยลดความตรึงเครียดแก่นักเรียน
และส่งเสริมการเรียนรู้

16.2 ขอ้ เสนอแนะสำหรับการวจิ ัยครั้งตอ่ ไป

2. 1 ควรทำวิจัยเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ระหว่างกลุ่ม
ควบคุมที่เรียนโดยวิธีสอนแบบปกตแิ ละกลุ่มทดลองที่เรยี นด้วยวิธีการอื่น ๆ เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
การสอนไวยากรณเ์ พือ่ การส่ือสาร เปน็ ต้น

2. 2 ควรทำการวิจัยเพื่อเปรียบเทียบความคงทน (retention) ทางการเรียนรู้ระหว่างทางการ
เรียนวิชาภาษาอังกฤษที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ กับวิธีสอนแบบปกติของนักเรียน ว่า
วิธีการใดสามารถทำใหน้ กั เรียนมีความคงทนทางการเรยี นรมู้ ากกว่ากัน

32

บรรณานุกรม

กนิษฐา สมานชาต.ิ (2557). การพัฒนาแบบฝึกทกั ษะการอา่ นภาษาอังกฤษเพอื่ ความเขา้ ใจโดยใชแ้ ผนท่ี

ความคดิ สำหรับนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4. วทิ ยานพิ นธค์ รุ ศุ าสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลยั
ราชภฎั บรุ ีรัมย์.
กรมวชิ าการ. (2544). ค่มู ือจดั การเรียนรูก้ ลมุ่ สาระภาษาต่างประเทศ, กรุงเทพฯ: โรงพิมพอ์ งค์การรับสง่ สินคา้

และพัสดุ.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานพุทธศักราช 2551,

กรงุ เทพฯ: ครุ ุสภาลาดพรา้ ว.
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2552). เอกสารประกอบหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐานพุทธศกั ราช 2551

แนวปฏบิ ตั ิการวัดและประเมินผลการเรียนรู้, กรงุ เทพฯชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจำกดั .

กาญจนา คุณารกั ษ์. (2540) พน้ื ฐานการพฒั นาหลักสูตรเลม่ ท่ี 1-3. นครปฐม: คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลยั
ศลิ ปากร.

จรยิ า วไิ ธสง (2555). การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นและความคงทนในการเรยี นรเู้ รือ่ งการแจกลกู
และสะกดคำของนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 1 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะและการเรยี นแบบปกติ.
วิทยานพิ นธ์ครศุ าสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภฏั บุรรี มั ย์.

จรุงจิต วงศ์คำ. (2550). การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นสาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตรเ์ ร่ืองสมการเชงิ
เส้นตวั แปรเดยี วชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 โดยใช้แบบฝึกทักษะกบั วิธีการสอนแบบปกติ. วิทยานพิ นธค์ รุศา

สตรมหาบัณฑติ , มหาวิทยาลยั ราชภฏั บรุ ีรมั ย์.
จักรพรรดิ คงนะ (2550). การพัฒนาแบบฝกึ การอ่านภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกบั ปญั หาของวัยร่นุ ตอนต้นสำหรบั

นกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรยี นหลวงพ่อแชม่ วัดตากอ้ งอนุสรณจ์ งั หวัดนครปฐม. วิทยานิพนธ์

ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิตมหาวิทยาลยั ศิลปากร.
จีรสุดา เลิศปญั ญานชุ . (2553). การพฒั นาความรดู้ ้านไวยากรณ์และความสามารถทางดา้ นการเขียน

ภาษาอังกฤษของผู้เรยี นโดยใชก้ ระบวนการเขียนตามรปู แบบของ Brookes และ Withrow.
วทิ ยานพิ นธศ์ ษ. ม. (การสอนภาษาองั กฤษ), เชียงใหม:่ บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2556). การทดสอบประสทิ ธิภาพส่อื หรอื ชุดการสอน Developmental Testing of

Media and Instructional Package, 4 (1) 9-10.
คนยั ไชยโยธา. (2534). หลกั การเรยี นการสอนในสถาบนั การศึกษา, กรงุ เทพฯ: โอเอสพร้นิ ติ้งเฮา้ ส์.

ธนิษฐาพรมกอง. (2553). การอา่ นจับใจความภาษาอังกฤษสำหรบั นักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1. วทิ ยานพิ นธ์
การศกึ ษามหาบัณฑิต,มหาวิทยาลยั ราชภัฏอบุ ลราชธานี.

บุญชม ศรสี ะอาด. (2545). การวิจยั เบื้องต้น, พมิ พค์ ร้ังที่ 7. กรงุ เทพฯ: สวุ ิรยิ าสาสน์ บุญธรรมกจิ ปรีดาบรสิ ทุ ธิ์,

2543. รวมบทความการวิจัยการวัดผลและประเมนิ ผล, พิมพค์ ร้ังที่ 2 กรงุ เทพฯ: ศรอี นันต์, พงษพ์ ชั ริ
นทร์พุธวฒั นะ, 2545.

ปณิตา กติ ตภิ รณ์กลุ . (2551). การพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนไวยากรณภ์ าษาองั กฤษเพ่ือการ
สอ่ื สารเรอื่ ง "Reported Speech" สำหรบั นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศ
ราชบุรี. วิทยานพิ นธศ์ กึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ , มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.

ปภัสรา กัลยาสนธ์ิ. (2553). การพฒั นาแบบฝึกทกั ษะการอ่านและเขยี นคำศพั ทภ์ าษาอังกฤษด้วยเกมสำหรบั
ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 6. วทิ ยานิพนธ์การศึกษามหาบณั ฑิต, มหาวิทยาลัยราชภฏั มหาสารคาม.

33

บรรณานุกรม (ต่อ)

รงุ่ ทิวา สงิ ห์เทยี น (2558). การพัฒนาแบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะการเขยี นสารคดีโดยใชข้ ้อมลู ทอ้ งถ่นิ อำเภอเขายอ้ ย

สำหรบั นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5. วิทยานพิ นธศ์ กึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วฒั นา สาลรี ัมย์. การศกึ ษาเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิด์ ้านการอ่านในใจวชิ าภาษาไทยชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ท่ี

สอนโดยใชแ้ บบฝึกกับการสอนแบบปกติ. วิทยานิพนธค์ รุศาสตรมหาบณั ฑติ , มหาวทิ ยาลัยราชภฏั

บุรรี ัมย์.
วารณุ ี สุขชเู จริญกิจ. (2556). ผลการใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเขยี นภาษาอังกฤษโดยใชแ้ ผนผังความคดิ สำหรบั

นักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4. วิทยานิพนธค์ รุ ศุ าสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลยั ราชภัฏบรุ ีรมั ย์.
สมบูรณ์ สรุ ยิ วงศแ์ ละคณะ. ระเบยี บวิธวี จิ ัยทางการศึกษา. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรงุ เทพฯ: ศนู ย์ส่งเสริมวชิ าการ.
ศศวิ ิมล กังลี่. (2551). การพฒั นาแบบฝกึ ทักษะการอา่ นเพอื่ การสือ่ สารจากหนังสอื พิมพแ์ ละนติ ยสาร

ภาษาองั กฤษสำหรับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5. วิทยานพิ นธศ์ กึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ , มหาวิทยาลยั
ศลิ ปากร.

สถาบนั ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (2561). รายงานผลการทดสอบทางการศึกษา
ระดับชาติขนั้ พืน้ ฐาน (O-NET) ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3. เข้าถึงไดจ้ าก http://www.niets.or.th.

สมเดช สีแสงและสุนันทา สนุ ทรประเสริฐ 2543. คู่มือการจดั ทำรายงานวิชาการสำหรับครู, กรงุ เทพฯ: ซีมกิ ซ์

การพิมพ์.
สรุจ มารสนิ ธุ์. (2556). การสร้างแบบฝึกทักษะการใช้ Verb to do สำหรบั นกั เรยี น

ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นคลองทรงกระเทยี มสำนักงานเขตลาดพร้าวกรุงเทพมหานคร.
วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย.

34

ข้อเสนอแนะเพิม่ เติม
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื .................................................ผ้วู ิจยั
(นางสาวอภัสรา สัตถา)

ความคดิ เห็น หวั หน้ากลมุ่ สาระ..........................................
..............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................

ลงช่ือ..................................................
( นางสาวโชตริ ัตน์ พิมพเ์ รือง )

หวั หนา้ กลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาต่างประเทศ

ตรวจสอบและกลน่ั กรอง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

ลงชื่อ.............................................
( .............................................. )

หวั หน้าวจิ ัยและพัฒนาการเรยี นการสอน

เรียนเสนอเพ่อื พจิ ารณา
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

ลงชื่อ......................................................
(นายพษิ ณุ เดชใด)

ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นเทพศิรินทรค์ ลองสิบสามปทมุ ธานี
รักษาการณ์ในตำแหนง่ รองผู้อำนวยการกลุม่ บริหารงานวชิ าการ
ความเห็นของผู้อำนวยการโรงเรียน
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื .....................................................
(นายพษิ ณุ เดชใด)

ผู้อำนวยการโรงเรยี นเทพศริ ินทร์คลองสบิ สามปทมุ ธานี
…………../……………/…………

35


Click to View FlipBook Version