วิถแี ห่งเตา๋
TAO TE CHING
โดย เหลาจ่อื
อ.นโิ รธ จิตวสิ ทุ ธิ์ : เรยี บเรียง
วถิ แี หง่ เต๋า
โดย เหลาจอ่ื : อ.นิโรธ จติ วิสทุ ธิ์ : เรียบเรยี ง
พิมพค์ รง้ั ท่ี 2 พ.ศ. 2564
จัดท�ำโดย
ส�ำนักพมิ พ์ กา้ วแรก
ในเครอื บรษิ ัท แอร์โรว์ มลั ตมิ ีเดีย จ�ำกัด
เลขที่ 1 ซอยกำ� แพงเพชร 6 ซ.5 แยก 6 (โกสุมนิเวศน์ ซ.2)
แขวงทงุ่ สองหอ้ ง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210
โทรศัพท์ 02-573-6584, 065-403-7466 โทรสาร 02-573-6585
Email : [email protected] Line ID : @arrow11
www.arrowmultimedia.co.th
© สงวนลขิ สิทธ์โิ ดยบริษทั แอรโ์ รว์ มลั ติมีเดยี จำ�กดั
หา้ มนำ�ส่วนหนง่ึ ส่วนใดของหนงั สอื เลม่ นี้ไปลอกเลียน ทำ�สำ�เนา ถา่ ยเอกสาร หรือน�ำ ไปเผยแพร่ในอินเทอร์เนต็
หรอื สอ่ื ตา่ งๆ ไมว่ า่ ในรปู แบบใด นอกจากได้รับอนญุ าตเป็นลายลักษณ์อกั ษรเทา่ น้ัน
ข้อมูลทางบรรณานกุ รม
อ.นโิ รธ จิตวสิ ทุ ธ์.ิ
วิถีแหง่ เตา๋ -- กรุงเทพฯ : กา้ วแรก, 2564.
432 หน้า.
1. ปรชั ญา I. อ.นโิ รธ จิตวิสุทธ์.ิ , เขียน II. ช่ือเร่ือง.
ISBN 978-616-434-253-8
บรรณาธิการ นคิ ม ชาวเรือ
กองบรรณาธกิ าร วลยั กร เตม็ ขนั ท,์ สภุ าภรณ์ สว่างจันทร์, อรรถพร ทองบรรเทงิ , ปวันรตั น์ เกียรติธรี ชัย
ศิลปกรรม : ชมพูนุช ขอดคำ� พสิ ูจนอ์ กั ษร : อกั ษร สมั พนั ธ์
ผู้จัดการทวั่ ไป เดอื นนภา สุรามติ ร การตลาด ณลณิ พรรณ เผา่ พนั ธ์ขุ าว
จดั จำ� หน่ายท่วั ประเทศโดย
บรษิ ทั อมรินทร์ บคุ๊ เซ็นเตอร์ จ�ำกัด
108 หมทู่ ่ี 2 ถนนบางกรวย-จงถนอม ต.มหาสวสั ดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 11130
โทรศัพท์ 02-423-9999 โทรสาร 02-449-9561-3
www.naiin.com
พมิ พ์ที่ : บรษิ ทั ภาพพมิ พ์ จำ�กัด
45/12-14, 33 หมู่ 4 ต.บางขนนุ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 11130
โทรศพั ท์ 02-879-9154-6 โทรสาร 02-879-9153
ราคา 450 บาท
ค�ำ นำ�สำ�นกั พมิ พ์
คัมภีร์เก่าแก่และเป็นอมตะ ท่ีสำ�คัญและมีคุณค่าที่สุดคัมภีร์หน่ึงของโลก
นามคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” หรือท่เี รียกอีกช่อื หน่งึ ว่า “คัมภีร์เหลาจ่อื ” ซ่งึ เป็น
ค�ำ สอนและปรชั ญาของจอมปราชญผ์ ยู้ งิ่ ใหญข่ องจนี ยคุ โบราณ ทช่ี อ่ื “เหลาจอ่ื ”
หรอื “เลา่ จ๊ือ”
กล่าวสำ�หรับคัมภีร์เต้าเต๋อจิง คือคัมภีร์ท่ีมีลักษณะเป็นหนังสือขนาด
เลก็ บรรจุถ้อยคำ�มากกวา่ 5,000 คำ� มีทง้ั หมด 81 บท อันเปน็ คมั ภีร์เกา่ แกท่ ่ีสดุ
คัมภีร์หน่ึงของโลก ซึ่งเชื่อกันว่าจอมปราชญ์เหลาจ่ือรจนาข้ึน เมื่อประมาณ
ศตวรรษที่ 6 ก่อนครสิ ตกาล
เล่าขานกันว่าคัมภีร์เต้าเต๋อจิงอันอมตะน้ี เริ่มต้นแพร่หลายอยู่ใน
ประเทศจีนยุคโบราณ เมื่อกว่า 2,500 ปีที่ผ่านมา จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้มี
ผสู้ นใจทัว่ โลก ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากเป็นคมั ภรี ท์ ีว่ ิญญูชนและนักวชิ าการ นำ�มาแปล
เปน็ ภาษาตา่ งๆ อกี ทง้ั มกี ารอธบิ าย และเผยแพรใ่ นหลายภมู ภิ าคของโลก
วา่ ไปแลว้ ถอ้ ยคำ�สำ�นวนทใี่ ชใ้ นคมั ภรี เ์ ตา้ เตอ๋ จงิ นนั้ เปน็ ถอ้ ยคำ�สำ�นวน
ลึกซ้ึงยากแก่ผู้คนท่ัวไปจะรู้ หรือเข้าใจอย่างลึกซึ้ง น่ันเป็นเพราะจอมปราชญ์
เหลาจื่อรจนาคัมภีร์นี้ ด้วยวลีหรือประโยคสั้นๆ แต่ให้ความหมายลึกซึ้งวิจิตร
พิสดาร
ทั้งน้ี ผู้อ่านจำ�เป็นท่ีจะต้องใช้ปัญญาญาณในการทำ�ความเข้าใจ และ
ต้องน้อมนำ�คัมภีร์นี้มาประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อให้ตนเองได้ประจักษ์แจ้งด้วย
จติ ตนเอง จงึ สามารถทจ่ี ะเขา้ ใจไดอ้ ยา่ งลกึ ซง้ึ ทเ่ี รยี กกนั วา่ สามารถบรรลถุ งึ เตา๋
เหนอื อน่ื ใดคำ�สอนและปรชั ญาเตา๋ เปรยี บเสมอื นแสงสวา่ งแหง่ ปญั ญา
ท่ีส่องทำ�ลายความมืดแห่งอวิชชาของผู้คน จนจิตบังเกิดความเห็นแจ้งอย่าง
4 : วถิ แี ห่งเต๋า
ถ่องแท้ ตอ่ สัจจะสภาวะธรรมชาติแหง่ สรรพสง่ิ ในจักรวาล (เต๋า) วา่ สรรพสิง่ บน
โลกล้วนแต่เป็นมายาภาพ คล้ายมีอยู่และคล้ายไม่มีอยู่ จึงไม่มีสรรพส่ิงใดควร
ยดึ ม่ันแตป่ ระการใด
คงไมเ่ กนิ เลยความจรงิ หากจะกลา่ ววา่ ปรชั ญาและคำ�สอนของลทั ธเิ ตา๋
นั้น นอกจากนำ�พามนุษย์ไปสู่ปัญญาญาณแห่งความรู้แจ้ง หรือความเข้าใจต่อ
สรรพสง่ิ อยา่ งกวา้ งขวาง และลกึ ซงึ้ ยง่ิ แลว้ ยงั เปน็ ปรชั ญาทส่ี อนใหร้ จู้ กั และเขา้ ใจ
ชีวิตของตนเองอยา่ งลึกซ้งึ อีกดว้ ย
ขอย้ำ�วา่ คณุ ค่าอันสูงสดุ ของปรัชญา และคำ�สอนตามแบบลทั ธเิ ตา๋ คือ
ปรัชญาชีวิตที่ทำ�ให้เข้าใจต่อสัจธรรมแห่งธรรมชาติชีวิต ซึ่งมนุษย์จำ�เป็นต้อง
ประพฤติปฏิบัติตนให้สมดุลสอดคล้องกับธรรมชาติ จึงสามารถนำ�พาชีวิตของ
ตนสคู่ วามสำ�เร็จตามความม่งุ มาดปรารถนา
นั่นหมายความว่าผู้ใดประพฤติตน ตามมรรควิธีแห่งเต๋าของจอม
ปราชญเ์ หลาจ่อื ผูน้ น้ั ยอ่ มมีวถิ ชี วี ติ ทม่ี ีความเจริญรุ่งเรือง ดำ�รงตนอยู่ด้วยความ
สขุ สงบสนั ติ เชน่ เดยี วกบั การประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรม ตามแนวทางพระพทุ ธศาสนา
เถรวาทที่มุ่งสู่การพ้นทุกข์ และไม่ต้องการกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในภพชาติ
ใหม่อีกตอ่ ไป
กระนั้นพึงเข้าใจว่าขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ จอมปราชญ์เหลาจื่อให้ความ
สำ�คัญกบั ความสงบสุขแหง่ ชีวิต คือความสงบสุขแหง่ จติ คอื นิรามษิ สขุ ที่ไมต่ อ้ ง
แสวงหาความสุขจากส่ิงภายนอกกายและจิต ดังนั้น ปรัชญาเต๋าคือปรัชญายุค
โบราณ ท่ีนำ�มนุษยไ์ ปสวู่ ถิ แี หง่ เสรีภาพอันสูงสดุ ของจติ มนุษย์ หมายถงึ สภาวะ
แหง่ จติ ทสี่ ขุ สงบนน้ั มนษุ ยจ์ ะสามารถไปถงึ ไดด้ ว้ ยการสลดั สงิ่ พนั ธนาการจติ ให้
หมดส้ิน
ยิง่ กวา่ น้ันปรชั ญาเตา๋ ยังนำ�มนุษยก์ ลบั มาร้จู ักตนเอง และเป็นปรัชญา
ท่ีช้ีนำ�ให้มนุษย์ใช้ศักยภาพของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพิงอิงอาศัยผู้อ่ืน หรืออิง
อาศัยเทพเจา้ หรือส่ิงศกั ดส์ิ ิทธิใ์ ด สำ�หรบั ผู้ท่ีเขา้ ใจสภาวะธรรมชาตแิ ห่งสรรพสิง่
(เต๋า) อย่างถ่องแท้ หมายถึงผู้นั้นสามารถปฏิบัติตนตามกฎธรรมชาติ อีกทั้ง
ผนู้ ั้นต้องไมถ่ กู กบั ดกั ความคิดของตน ให้หลงใหลอยกู่ บั ถ้อยคำ�และภาษาใดๆ
เหลาจอื่ : 5
แนน่ อนเพราะเนอื้ หาสาระของคมั ภรี เ์ ตา๋ หรอื เตา้ เตอ๋ จงิ เลม่ ทท่ี า่ นกำ�ลงั
อ่านอยู่น้ี สามารถนำ�ไปปรับใช้ได้จรงิ และใช้ได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ ซง่ึ บคุ คล
สำ�คัญประเทศต่างๆ ท้ังยุคอดีตและปัจจุบัน ก็ประยุกต์คำ�สอนและปรัชญาเต๋า
มาใช้ในการบริหารจัดการ รวมท้ังใช้เป็นเข็มทิศนำ�พาชีวิตสู่ความสำ�เร็จ เป็น
จำ�นวนมากในหลายภูมภิ าคของโลก
นนั่ กห็ มายความวา่ คมั ภรี เ์ ตา้ เตอ๋ จงิ เหมาะสำ�หรบั ผทู้ นี่ ำ�ไปประยกุ ตใ์ ช้
ด้วยจุดประสงค์ต่างๆ กัน บ้างก็นำ�ไปใช้ในการปกครองหรือบริหารประเทศ
บา้ งก็นำ�ไปใช้บริหารองค์กร เพ่ือม่งุ หวงั ความสำ�เรจ็ และความรงุ่ โรจน์ บา้ งกน็ ำ�
ไปใช้ในสมรภูมิรบ ตลอดถึงนำ�ไปประยุกต์ใช้ในการดำ�เนินชีวิตอย่างสงบ
ปราศจากความวุน่ วายใดๆ
กล่าวสำ�หรับเน้ือหาสาระของหนังสือปรัชญานิพนธ์จีนโบราณ ที่ชื่อ
“เต้าเต๋อจิง” ของอภิมหาจอมปราชญ์เหลาจ่ือ ซ่ึงท่านกำ�ลังอ่านอยู่ในขณะนี้
นับเป็นผลงานการรวบรวมเรียบเรียงโดย อาจารย์นิโรธ จิตวิสุทธิ์ เป็นการ
รวบรวมเรยี บเรียงท่ลี ะเอยี ดลออ และใช้เวลาในการเขยี นยาวนานกว่างานเขยี น
ใดๆ
สำ�นกั พมิ พข์ อเรยี นย้ำ�วา่ สารตั ถะหรอื เนอื้ หาสาระสำ�คญั ของคมั ภรี เ์ ตา๋
ซ่งึ อาจารย์นิโรธ จิตวิสุทธ์เิ ป็นผ้รู วบรวมเรียบเรียงและอธิบายขยายความ เป็น
เสมือนปรัชญาชีวิต อันเป็นหลักปรัชญาสำ�คัญของชาวจีนยุคโบราณ ซึ่งเป็น
ปรชั ญาทีด่ ำ�รงอยยู่ ่ังยืนยาวนานกวา่ 2,500 ปที ่ีผ่านมา
สำ�นักพิมพ์มุ่งหวังเป็นอย่างย่ิงว่า ท่านผู้อ่านจะสามารถนำ�เอา
คำ�สอนและปรัชญาในหนังสือเล่มน้ี ไปประยุกต์ใช้ท้ังกับชีวิตและการงาน และ
ท่านผู้อ่านสามารถพานพบกับความสำ�เร็จ ตามท่ีท่านมุ่งมาดปรารถนาทุก
ประการ
สำ�นกั พิมพแ์ อรโ์ รว์
6 : วิถีแหง่ เตา๋
คำ�นำ�
ผูเ้ รยี บเรยี งและอธบิ าย
เมอ่ื พจิ ารณาถงึ หลกั ธรรมค�ำ สอนและปรชั ญา ของบรรดาผเู้ ปน็ ศาสดา หรอื
ผเู้ ปน็ จอมปราชญท์ ง้ั หลายในประเทศจนี ยคุ โบราณ กป็ ระจกั ษแ์ จง้ วา่ คมั ภรี ์
“เต้าเต๋อจิง” ของจอมปราชญ์ “เหลาจ่ือ” มีคุณค่าและมีความเก่าแก่
รวมทงั้ ผคู้ นมคี วามศรทั ธาเชอ่ื ถอื มากทส่ี ดุ เหนอื กวา่ ค�ำ สอนและปรชั ญายคุ
เดยี วกัน
ปัจจุบันน้ีปรากฏว่าผู้คนในหลายภูมิภาค หรือในหลายประเทศ
ท่วั โลก ให้ความสนใจคัมภีร์เตา้ เต๋อจิงเปน็ จำ�นวนมาก ส่งผลให้ ณ บัดนี้
คำ�สอนและปรัชญาแห่งคมั ภีรเ์ ตา้ เตอ๋ จิง คอื หน่งึ ในคำ�สอนและปรัชญาที่มี
อิทธิพลต่อมรรควิธีการดำ�เนินชีวิต อีกทั้งมีผู้นำ�ไปปรับใช้เป็นยุทธวิธีแห่ง
การตอ่ สแู้ ขง่ ขนั ทั้งทางธรุ กจิ การค้า และทางการเมืองอย่างแพร่หลาย
ว่าไปแล้วคำ�สอนและปรัชญาแห่งคัมภีร์เต้าเต๋อจิง เหมาะสำ�หรับ
ชาวโลกทง้ั มวล ทจี่ ะนำ�ไปประยกุ ตใ์ ช้ และนำ�ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ าม เฉพาะ
อย่างย่ิงคือคัมภีร์ท่ีเหมาะสำ�หรับแนวทางในการแก้ปัญหาและอุปสรรค
ทั้งปวง ตลอดถึงเป็นปรัชญาชีวิตท่ีนำ�พาสู่การพ้นทุกข์ อีกทั้งผู้ประพฤติ
ปฏบิ ัตยิ อ่ มเจริญรุง่ เรอื งในหน้าท่ีการงานอีกด้วย
กลา่ วสำ�หรบั คมั ภรี ์ “เตา้ เตอ๋ จงิ ” (สำ�เนยี งแมนดารนิ ) หรอื “เตา๋
เต็กเก็ง” (สำ�เนียงแต้จิ๋ว) สรรนิพนธ์ชิ้นสำ�คัญที่สุดของจอมปราชญ์เมธี
ชาวจีนยุคโบราณทชี่ อื่ “เหลาจือ่ ” หรือ “เลา่ จ๊ือ” ดงั ทปี่ รากฏอย่เู ฉพาะ
หน้าท่านผู้อ่านในขณะน้ี คือคัมภีร์คุณธรรมที่มีคุณค่าต่อการดำ�เนินชีวิต
เหลาจอื่ : 7
ของชาวโลกทั้งมวล ตลอดถึงยังเหมาะกับนักบริหาร นักการเมือง และ
ผปู้ กครองทีห่ วงั ความเจริญก้าวหนา้ ในการบริหารองคก์ รใหร้ ่งุ โรจน์
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์แห่งวรรณกรรมจีน บันทึกไว้ว่า
คมั ภรี ์คณุ ธรรมอนั อมตะนาม “เตา้ เตอ๋ จงิ ” ช่อื เดิมคอื “คัมภีรเ์ หลาจอ่ื ”
นับเป็นคำ�สอนและปรัชญาจีนยุคโบราณ ท่ีมีประวัติความเป็นมายาวนาน
กวา่ 2,500 ปี ซงึ่ เปน็ คำ�สอนและปรชั ญาทไ่ี ดร้ บั การแปล และมกี ารถา่ ยทอด
เปน็ ภาษาตา่ งๆ อย่างแพร่หลายมากท่ีสุดอนั ดบั 2 ของโลก รองจากคัมภรี ์
ไบเบิล
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า มีผู้สนใจแปลคัมภีร์
เตา้ เตอ๋ จิงเปน็ จำ�นวนมากประมาณ 350 สำ�นวน พรอ้ มกับมกี ารชำ�ระหรือ
ตีความ และมีการปรับปรุงเนื้อหาสาระในบางประเด็นที่ไม่ชัดเจนอีกเป็น
จำ�นวนมาก
เฉพาะอย่างย่ิงบางบทบางตอน ปราชญ์เมธีรุ่นหลังอรรถาธิบาย
และวิเคราะห์ด้วยแนวคิดที่แตกต่างกัน เพ่ือให้อนุชนรุ่นหลังมีความเข้าใจ
ต่อคัมภีร์เต๋าอย่างถ่องแท้ กระนั้นก็เป็นท่ีน่าเสียดายว่าบทวิเคราะห์ และ
การชำ�ระข้อความบางตอน รวมทงั้ การปรับปรงุ คมั ภีร์นอ้ี นั ตรธานสญู หาย
ไปบางส่วน ซ่ึงกล่าวกันว่าส่วนที่สูญหายไปก็มีไม่น้อยกว่า 350 สำ�นวน
เช่นกัน
กล่าวจำ�เพาะการแปลเป็นภาษาอังกฤษภาษาเดียว ปรากฏว่า
คมั ภรี เ์ ตา้ เตอ๋ จงิ นน้ี กั วชิ าการชาวตะวนั ตก แปลออกมากถงึ กวา่ 40 สำ�นวน
ส่วนนักวิชาการและนักเขียนของไทย ก็มีการแปลหรือถอดความคัมภีร์นี้
เปน็ ภาษาไทยไม่นอ้ ยกว่า 20 สำ�นวน
เมอื่ พจิ ารณาเปรยี บเทยี บทางดา้ นสารตั ถะ หรอื เนอื้ หาสาระสำ�คญั
แห่งคำ�สอนและปรัชญาเต้าเต๋อจิง กับคัมภีร์หรือพระสูตรของลัทธิและ
ศาสนาอน่ื ในโลก กป็ ระจกั ษแ์ จง้ อยา่ งไมต่ อ้ งสงสยั วา่ คมั ภรี น์ เี้ ปรยี บประดจุ
ดั่งดวงประทีปแห่งปัญญา ที่เรียกว่า “พุทธิปัญญา” ในอันที่จะขจัดเมฆ
8 : วิถีแห่งเต๋า
หมอกแหง่ อวชิ ชาคอื ความไมร่ ขู้ องปถุ ชุ น สจู่ ติ วา่ งสงบของอรยิ บคุ คลอยา่ ง
ไม่ลงั เลสงสัย
เหนืออ่ืนใดจอมปราชญเ์ หลาจ่อื ผูร้ จนาคมั ภีร์เตา้ เตา๋ จิง พยายาม
ซอ่ นความหมายเชงิ รหสั นยั อนั เรน้ ลบั เพอื่ ทจ่ี ะใหเ้ ปน็ คมั ภรี ฝ์ า่ ยโลกตุ รธรรม
ในอนั ทีจ่ ะทำ�ให้ผคู้ นกา้ วพ้นโลกยี วิสยั หรือก้าวขา้ มโลกมายา นั่นกค็ ือพ้น
จากความพวั พนั โลกธรรมทง้ั ปวง ดว้ ยการประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นเปน็ ผมู้ กั นอ้ ย
สันโดษ สมถะ และละทง้ิ ชีวติ ทางโลก ดว้ ยการใชช้ วี ติ อยา่ งเรยี บงา่ ยตาม
แบบสมณะ หรอื นกั บวช นักพรตแหง่ ศาสนาหรือลทั ธิทงั้ หลาย
กระน้ันนกั ปราชญช์ าวจีน รวมทงั้ นกั วชิ าการชาวต่างชาตจิ ำ�นวน
มาก ท้งั ยคุ โบราณและยุคปจั จุบันมกี ารวเิ คราะห์เจาะลกึ เก่ียวกับสารตั ถะ
หรือเนื้อหาสาระหลักของคัมภีร์นี้ ว่ามิใช่เป็นคัมภีร์หรือปรัชญาสำ�หรับ
นกั พรต นกั บวช หรอื สมณะ ทต่ี อ้ งปลกี วเิ วกไปอยคู่ นเดยี วตามลำ�พงั เทา่ นน้ั
นน่ั เปน็ เพราะเมอ่ื พจิ ารณาจากสารตั ถะ หรอื เนอื้ หาสาระของคมั ภรี ์
นอ้ี กี ดา้ นหนง่ึ กป็ ระจกั ษแ์ จง้ วา่ เปน็ คำ�สอนและปรชั ญา ทเี่ หมาะกบั ปราชญ์
เมธหี รอื อริยบคุ คลผไู้ มล่ ะทง้ิ โลก ทว่ายังเก่ียวขอ้ งอยกู่ บั โลกียวสิ ยั เฉกเชน่
ผู้คนทั้งหลาย
เฉพาะอยา่ งยงิ่ บคุ คลผเู้ ปน็ ปถุ ชุ น หรอื ผทู้ เี่ กย่ี วขอ้ งสมั พนั ธอ์ ยกู่ บั
การเมือง และการบริหารราชการแผ่นดิน ซ่ึงยืนยันได้จากครึ่งหนึ่งของ
เนอ้ื หาสาระแหง่ คมั ภรี น์ ้ี วา่ ดว้ ยศลิ ปะการปกครองและศลิ ปะการใชช้ วี ติ ของ
ปราชญน์ กั ปกครอง หรอื วญิ ญูชนผู้มียศถาบรรดาศักดทิ์ างสงั คม
แน่นอนไม่ว่าพิจารณาด้านใดคัมภีร์เต้าเต๋อจิง คือขุมทรัพย์ทาง
ปัญญาท่ีลำ้ �ลึกย่ิง เป็นคำ�สอนและปรัชญาท่ีเปี่ยมไปด้วยสัจธรรมแห่ง
ธรรมชาติ ท่ผี ้คู นบนโลกใบน้ีควรแก่การศกึ ษาค้นควา้ และนำ�มาเปน็ หลกั
ธรรมสำ�คัญในการประพฤติปฏิบัติ เหนืออ่ืนใดคัมภีร์เต้าเต๋อจิงยังสะท้อน
ให้เห็นความจริง ต่อส่ิงท่ีเรียกว่า “สัมพันธภาพ” และ “สัจธรรมแห่ง
ธรรมชาติสรรพสงิ่ ” ในจักรวาลโดยแท้
เหลาจื่อ : 9
ส่ิงที่ควรกล่าวอีกด้านหน่ึงก็คือ คัมภีร์เต้าเต๋อจิงนี้มีความเหมือน
และความต่าง กับคำ�สอนและปรัชญาพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังแตกต่าง
จากลัทธิขงจ๊ืออีกด้วย ซึ่งจากประวัติศาสตร์แห่งคัมภีร์และชีวประวัติของ
จอมปราชญเ์ หลาจอื่ ระบวุ า่ จอมปราชญเ์ หลาจอื่ อยใู่ นยคุ เดยี วกบั จอมปราชญ์
ขงจอ๊ื แมจ้ ะมอี ายมุ ากกวา่ จอมปราชญข์ งจอ๊ื 53 ปี ขณะทนี่ กั ประวตั ศิ าสตร์
บางคนสนั นิษฐานวา่ มอี ายุแก่กว่าจอมปราชญ์ขงจือ๊ ประมาณ 20 ปี
สันนิษฐานกันว่าจอมปราชญ์เหลาจ่ือถือกำ�เนิดเม่ือ 604 ปีก่อน
ครสิ ตศ์ กั ราช ยคุ ราชวงศโ์ จวหรอื จวิ (770-221 กอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช) และเมอ่ื
นับอายุตามที่มีผู้บันทึกไว้ดังกล่าวมานี้ จอมปราชญ์เหลาจ่ือก็มีอายุร่วม
สมัยกับพระพุทธเจ้าแห่งพระพุทธศาสนา คือเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่สมัยก่อน
พุทธศักราชประมาณ 30 ปี
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่า จอมปราชญ์เหลาจ่ือได้รับ
อิทธิพลจากคำ�สอนและปรัชญาพระพุทธศาสนาหรือไม่ก็ตาม แต่สัจธรรม
คำ�สอนและปรชั ญาพระพทุ ธศาสนา กต็ รงกบั สารตั ถะแหง่ คมั ภรี เ์ ตา้ เตอ๋ จงิ
เปน็ อันมาก
ดังท่ีปราชญ์หรือวิญญูชนรุ่นหลังได้วิเคราะห์ไว้ตรงกันว่า
พระพทุ ธเจา้ แหง่ พระพทุ ธศาสนา และจอมปราชญเ์ หลาจอ่ื แหง่ ลทั ธเิ ตา๋ คอื
ศาสดาผู้บรรลุถงึ หรือมปี รีชาญาณหยัง่ รู้ ถึงสภาวธรรมแห่งธรรมชาติ หรอื
บรรลุถึงสัจธรรมแห่งธรรมชาติสรรพสิ่งในจักรวาลว่า ล้วนแต่รวมเป็น
เอกภาพหรอื เปน็ หนงึ่ เดยี ว ซง่ึ สภาวธรรมแหง่ ธรรมชาตสิ รรพสงิ่ รวมเรียก
วา่ “อนัตตา” และ “สุญญตา” คอื ความไมเ่ ป็นอะไรของสรรพส่ิง นัน่ กค็ ือ
สรรพสงิ่ ในจักรวาล ล้วนมีคุณลักษณะแหง่ ความวา่ งหรือสุญญตา
เกี่ยวกับการบรรลุถึงสัจธรรมแห่งธรรมชาติสรรพสิ่ง ท่ีเรียกส้ันๆ
วา่ บรรลุ “ธรรม” ของพระพทุ ธศาสนา หมายถงึ การประพฤตปิ ฏบิ ตั จิ นจติ
สู่ความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานน้ัน จอมปราชญ์เหลาจ่ือก็ได้กล่าวถึงการ
บรรลุถึงสัจธรรมแห่งธรรมชาติสรรพสิ่ง ที่เรียกสั้นๆ ว่าบรรลุหรือเข้าถึง
10 : วถิ แี ห่งเต๋า
สภาวะแหง่ “เตา๋ ” นั้น ก็เปน็ สิ่งเดียวกันกบั การบรรลมุ รรคผล หรือบรรลุ
ธรรมแห่งพระพุทธศาสนาน่นั เอง
นั่นก็หมายความว่าพระพุทธเจ้าและจอมปราชญ์เหลาจ่ือ บังเกิด
ปัญญาญาณหรือหย่ังรู้แจ้งชัดต่อสัจธรรมชาติแห่งธรรมชาติสรรพสิ่งใน
จกั รวาลเชน่ เดียวกัน ตา่ งกนั กต็ รงท่ีพระพุทธเจ้าแห่งพระพทุ ธศาสนาทรง
เผยแผ่สัจธรรมดังกล่าว แก่เวไนยสัตว์หรือมนุษยชาติและสัตว์โลกใน
วงกว้าง
แตจ่ อมปราชญเ์ หลาจอื่ มงุ่ เผยแพรอ่ รยิ สจั ธรรมแหง่ เตา๋ เฉพาะชาว
จีนที่เป็นปราชญ์หรือวิญญูชน และปราชญ์เมธีหรืออริยบุคคล รวมทั้ง
เผยแพรแ่ กบ่ คุ คลทวั่ ไป ทม่ี งุ่ หวงั บรรลสุ จั ธรรมแหง่ ธรรมชาตสิ รรพสง่ิ (เตา๋ )
เทา่ นัน้
ท่ีสำ�คัญยิ่งก็คือเมื่อสาวกของพระพุทธเจ้า หรือพุทธบริษัทของ
พระพุทธศาสนาในยุคต่อมา มีการเผยแผ่สัจธรรมแห่งธรรมชาติสรรพส่ิง
ไปยงั ประชาชนชาวจนี ในสมยั ราชวงศถ์ งั กป็ ระจวบกบั คำ�สอนและปรชั ญา
เตา๋ ของจอมปราชญเ์ หลาจอ่ื ซงึ่ ขณะนัน้ กำ�ลังแพรห่ ลายอยูใ่ นแควน้ ตา่ งๆ
ในประเทศจีน ซ่ึงเป็นยุคท่ีประเทศจีนยังแบ่งการปกครองเป็นก๊กหรือรัฐ
หรือแคว้น จึงทำ�ให้อริยสัจธรรมแห่งคำ�สอน ท้ังของพระพุทธศาสนาและ
ลัทธเิ ตา๋ สามารถประสานกันอย่างผสมกลมกลืนอยา่ งยิ่ง
นอกเหนือจากน้ีสิ่งที่ควรพิจารณาอีกด้านหน่ึงก็คือ หนังสือหรือ
คมั ภรี ์ “เตา้ เตอ๋ จงิ ” หรอื คมั ภรี ์ “เตา๋ ” แมจ้ ะเปน็ หนงั สอื หรอื คมั ภรี ์ ทถี่ กเถยี ง
เกี่ยวกับผู้นิพนธ์หรือรจนา ดังที่ปรากฏนามผู้รจนาว่าคือจอมปราชญ์
เหลาจอ่ื น้ันใชห่ รอื ไม่
เน่อื งเพราะนักวิเคราะหแ์ ละนกั วิชาการยุคตา่ งๆ มกี ารต้ังคำ�ถาม
หรอื ขอ้ สงสยั วา่ นามเหลาจอื่ คอื ผใู้ ด ขณะทบี่ างคนวเิ คราะหว์ า่ คอื มหาบรุ ษุ
ผู้รจนาคมั ภีร์เต้าเตอ๋ จิง ท่คี าดหมายหรือสนั นิษฐานกันว่า คือ “เหลาจือ่ ”
แซ่หรอื นามสกลุ คือ “แซ่ล้ี (หล)ี ” ส่วนช่อื นน้ั มีอีกหลายช่อื เช่น ยอ้ื เย้ยี ม
เออ่ เป็นตน้ อกี ทง้ั ยังใช้สมญานามว่า “ตาน” อีกด้วย
เหลาจ่ือ : 11
กระน้ันก็เป็นที่ยอมรับกันว่า ชีวประวัติของจอมปราชญ์เหลาจ่ือ
นั้นมีอยู่น้อยมาก และข้อมูลส่วนตัวก็มีความคลุมเครือ เฉพาะอย่างย่ิง
ภูมิหลังหรือชีวประวัติไม่แจ่มชัด เก่ียวกับการถือกำ�เนิด คือไม่ปรากฏ
หลกั ฐานว่าทา่ นเกดิ ปีใด
แตก่ ม็ กี ารสันนษิ ฐานว่าท่านเกดิ ก่อนพุทธศักราช 30 ปี เป็นชาว
เมืองฉู่ แคว้นทางภาคใตข้ องจีน อกี ทัง้ ยงั มกี ารถกเถียงกนั ว่าเรื่องราวของ
ทา่ นเปน็ เพยี งตำ�นาน คอื มใิ ชเ่ รอื่ งราวของบคุ คลทม่ี ตี วั ตนอยจู่ รงิ แตป่ ระการ
ใด หรอื ถา้ มตี วั ตนอยู่จรงิ ทา่ นมชี วี ติ อยู่ในชว่ งใด
นั่นเป็นเพราะกาลเวลาท่ีล่วงเลยยาวนานกว่า 2,500 ปี มิอาจ
คน้ ควา้ หาหลกั ฐานอนั เปน็ เรอื่ งราวเคา้ มลู เดมิ ไดอ้ ยา่ งกระจา่ งแจง้ ซงึ่ กเ็ ปน็
ไปตามความมงุ่ มาดปรารถนาของจอมปราชญเ์ หลาจอ่ื ทป่ี ระสงคจ์ ะปกปดิ
นามทแี่ ทจ้ รงิ ของทา่ น จงึ เปน็ เหตใุ หช้ นรนุ่ หลงั บงั เกดิ ขอ้ สงสยั เกย่ี วกบั ชอื่
หรอื นามของท่านว่าคือใครกันแน่
จากตำ�นานชวี ติ ของจอมปราชญเ์ หลาจอ่ื เคยรบั ราชการเปน็ ผดู้ แู ล
ห้องสมุด (ยุคโบราณคือห้องเก็บหนังสือ) เสมือนหอสมุดแห่งชาติยุค
ราชวงศ์โจวหรือจิว ด้วยเหตุน้ีทำ�ให้ท่านเป็นหนอนหนังสือ ผู้มีความเป็น
“พหสู ตู ” ทม่ี คี วามรลู้ กึ ซง้ึ และกวา้ งขวาง กระทงั่ กลายเปน็ จอมปราชญเ์ มธี
ทยี่ ่ิงใหญ่ อีกท้ังยงั ได้รับความเคารพ และเล่อื มใสศรัทธาจากผ้คู นทวั่ โลก
สรุปและขอย้ำ�อีกครั้งว่า มรรควิธีในการบรรลุถึงเต๋า หรือความ
เขา้ ใจตอ่ สัจธรรมแห่งธรรมชาติสรรพสิ่งในจกั รวาล (เตา๋ ) ท้ังชาวลัทธิเต๋า
และชาวพทุ ธเซน มคี วามละมา้ ยคลา้ ยคลงึ กนั ในแงท่ วี่ า่ ในการบรรลถุ งึ หรอื
ความเข้าใจ ต่อสัจธรรมแห่งธรรมชาติสรรพสิง่ ในจักรวาล (เตา๋ ) หมายถงึ
ไม่ต้องใช้อัตตา หรือตัวตนเป็นผู้บรรลุ และไม่ต้องใช้ตัวตนเข้าใจ และไม่
ต้องใชต้ ัวตนประพฤตปิ ฏิบตั ิธรรมแบบใด
เหนืออื่นใดทั้งจอมปราชญ์เหลาจื่อและชาวพุทธเซน พยายามใช้
ถ้อยคำ�หรืออาศัยส่ือภาษาเพียงน้อยนิด แตจ่ ะกระทำ�หรือประพฤติปฏบิ ตั ิ
12 : วิถีแหง่ เต๋า
ใหส้ านศุ ษิ ย์ หรอื บคุ คลทวั่ ไปดเู ปน็ แบบอยา่ ง เนอื่ งเพราะในการบรรลุ หรอื
เขา้ ถงึ สจั ธรรมแบบเตา๋ และแบบเซนนนั้ ไมใ่ ชบ่ รรลถุ งึ หรอื เขา้ ถงึ ดว้ ยภาษา
หรือด้วยถ้อยคำ� หรืออักขระหรือพยัญชนะแต่อย่างใด เพราะมันเป็นสิ่งท่ี
อยเู่ หนือคำ�พูด และอย่เู หนอื ภาษาใดๆ
น่ันกห็ มายความว่าไมจ่ ำ�เป็นตอ้ งเรยี นรู้ หรอื ไมต่ ้องจดจำ�คำ�สอน
และปรัชญาเต๋าจากตำ�ราหรือคัมภีร์ใดๆ ด้วยเหตุที่ว่าท้ังผู้สอน และ
สานศุ ิษย์ล้วนไร้ตัวตน จึงไมม่ ีผสู้ อนหรือครบู าอาจารย์ และไม่มสี านุศิษย์
ผเู้ ล่าเรยี น หากแต่เป็นเพียงยืมภาษา หรอื สมมตภิ าษามากลา่ วขานตอ่ กัน
เทา่ น้นั
ที่สำ�คัญเหนืออ่ืนใดความรอบรู้และความเข้าใจ ต่อสัจธรรมแห่ง
ธรรมชาตสิ รรพสงิ่ หรือสจั ธรรมแห่งเตา๋ นนั้ มิอาจใชค้ ำ�พดู หรอื ภาษาสอน
กันได้ เพียงแต่ผเู้ ปน็ อาจารย์ใช้วธิ ีปฏบิ ตั ิให้ดูเป็นตวั อยา่ ง และใชค้ วามนง่ิ
สงบเป็นมรรควิธีที่สำ�คัญ ท่ีสานุศิษย์ต้องเข้าใจ และต้องประพฤติปฏิบัติ
โดยไม่มตี ัวตนเปน็ ผู้ประพฤตปิ ฏิบตั แิ ต่อย่างใด
หากสรุปสารัตถะแห่งคำ�สอน และปรัชญาของจอมปราชญ์
เหลาจ่ือ อย่างลัดส้ันท่ีสุดก็คือถ้อยคำ�ที่ว่า “เต๋าที่บอกเล่าได้มิอาจเป็น
เต๋าที่แท้” หรือ “สัจธรรมที่แท้มิอาจจะอธิบายให้เข้าใจกันได้ ด้วย
ถ้อยคำ�และภาษาใดๆ” หมายความว่าเต๋าท่ีแท้มิอาจนำ�มาอธิบายให้
เข้าใจกันได้ หรือสัจธรรมที่แท้ (เต๋า) มิอาจใช้คำ�พูด หรือมิอาจใช้ภาษา
อธิบายใหเ้ ขา้ ใจอย่างถอ่ งแทไ้ ดแ้ ตอ่ ยา่ งใด
ขอย้ำ�วา่ การบรรลถุ งึ สจั ธรรมแบบเตา๋ นน้ั หมายถงึ ไมม่ ผี บู้ รรลุ หรอื
ผไู้ มบ่ รรลกุ ไ็ มม่ ี นนั่ กห็ มายความวา่ ไรต้ วั ตนผกู้ ระทำ� และไมก่ ระทำ�กจิ ใดๆ
ทง้ั ส้นิ เพยี งแต่ใช้ภาษามาบอกกล่าววา่ มีผ้กู ระทำ�หรอื ไม่กระทำ� เพื่อสือ่
ความหมายตอ่ กนั ชว่ั ขณะ
ท้ายสุดนี้ผู้เขียนขออนุโมทนาและขอขอบพระคุณ ในกุศลเจตนา
ของผมู้ จี ิตศรัทธาบริจาคทรัพย์ เพื่อเป็นกองทนุ เผยแพร่หนังสือ เกี่ยวกับ
เหลาจ่ือ : 13
คำ�สอนและปรัชญาโลกุตรธรรม ซ่ึงเป็นคำ�สอนของศาสดาและนักปราชญ์
หรือนักปรัชญาผูม้ ชี ่อื ระบือไกลทงั้ หลายในโลก
ท้ังน้ี ทุกท่านทีส่ นใจคำ�สอนและปรัชญาชวี ติ ในหนังสือธรรมะทกุ
เล่มของผู้เขียน ล้วนแต่มีเจตนารมณ์ร่วมกัน ในอันที่จะเผยแพร่หนังสือ
ธรรมะดังกลา่ ว เพือ่ ทจ่ี ะให้แพร่หลายทัง้ ในประเทศไทยและนานาประเทศ
สำ�หรบั ในการรวบรวมเรยี บเรยี ง และจดั พมิ พเ์ ผยแผค่ มั ภรี ์ “เตา้ -
เต๋อจิง” เล่มท่ีท่านกำ�ลังอ่านอยู่น้ี และหนังสือธรรมะทุกเล่มของผู้เขียน
ทมี่ กี ารตพี มิ พเ์ ผยแพรต่ อ่ สาธารณชนนนั้ ผเู้ ขยี นไดร้ บั การสนบั สนนุ ทางการ
เงินจาก คุณนพมาลย์ ประคองธรรม และ ทันตแพทย์หญิงกรุณา
พุธวัฒนะ ผู้เปน็ บิดามารดาของ นายบญุ วัฒน์ พุธวฒั นะ (นอ้ งวิน)
ผู้เขียนขอตั้งจิตอธิษฐานให้คุณงามความดี ในการบริจาคทรัพย์
เพ่ือเผยแพร่ธรรมะเป็นธรรมทาน ของกัลยาณมิตรผู้เป็นกัลยาณธรรม
ทั้งสองท่านนี้ จงบังเกิดพลานิสงส์แก่ดวงวิญญาณของ นายบุญวัฒน์
พุธวฒั นะ (น้องวิน) ผู้เปน็ บตุ รชาย ซง่ึ บัดน้ีได้เสียชีวติ แล้ว นัน่ กค็ อื ขอ
ใหด้ วงวิญญาณของ นายบญุ วฒั น์ พุธวฒั นะ (นอ้ งวนิ ) บังเกิดสนั ติสุข
ในสัมปรายภพ ตามคติวิสัยของโลกสมมติแห่งชาวโลก
เหนอื อน่ื ใดผเู้ ขยี นขอขอบพระคณุ กลั ยาณมติ ร ซง่ึ เปน็ สหายธรรม
ทง้ั หลาย ทโี่ ทรศพั ทม์ าสนทนาธรรมกบั ผเู้ ขยี นเปน็ จำ�นวนมาก ผเู้ ขยี นหวงั
ว่ารสแห่งคำ�สอนและปรัชญาเต้าเต๋อจิงเล่มน้ี และหนังสือธรรมโลกุตร
รวมท้ังหนังสือพุทธศาสนาแนวเซนทุกเล่มของผู้เขียน จะก่อให้เกิด
ผลานิสงส์และปัญญาบารมีแก่ทุกท่าน จนบังเกิดปัญญาญาณเห็นแจ้ง
และบรรลุถึง ซ่ึงสัจธรรมแห่งธรรมชาติสรรพสิ่งในจักรวาล (เต๋า) ตาม
เจตจำ�นงของจอมปราชญเ์ หลาจอื่ ผรู้ จนาคมั ภรี เ์ ตา้ เตอ๋ จงิ ทมี่ งุ่ หมายใหผ้ คู้ น
บรรลุหรือเข้าถงึ สจั ธรรมแหง่ เตา๋ ในช่วงชีวิตปัจจุบัน
14 : วถิ แี หง่ เต๋า
อนง่ึ สำ�หรบั ทา่ นผอู้ า่ นทา่ นใด มคี วามสงสยั หรอื ไมเ่ ขา้ ใจใน
เน้ือสาระของหนังสือธรรมะ ท่ีเขียนโดยอาจารย์นิโรธทุกเล่ม หรือ
ต้องการแสดงความคิดความเห็น หรือต้องการสนทนากับผู้เขียน
เก่ียวกับปรัชญา หรือเร่ืองราวอ่ืนใดของพระพุทธศาสนานิกายเซน
และลัทธเิ ตา๋
กรณุ าโทร.ไปสนทนา หรือสอบถาม หรือแสดงความคิดเหน็
กบั อาจารยน์ โิ รธ จติ วสิ ทุ ธ์ิ ไดท้ โ่ี ทรศพั ท์ 08-9126-0689, 02-513-
3279, 02-939-7466
อาจารย์นโิ รธ จิตวิสทุ ธ์ิ
เหลาจอื่ : 15
สารบัญ
ค�ำ น�ำ ส�ำ นกั พมิ พ.์ .................................................................................4
คำ�น�ำ : ผู้เรียบเรยี งและอธบิ าย...........................................................7
วเิ คราะหเ์ จาะลกึ : ตวั ตนจอมปราชญ์ “เหลาจอ่ื ”............................21
1. เต๋าอนั อมตะ
“เตา๋ ” คือสัจธรรมแหง่ ธรรมชาติสรรพสิ่งในจกั รวาล
สงิ่ นคี้ อื สง่ิ สงู สดุ ทสี่ มบรู ณ์ อมตะ และเปน็ เอกภาพ.....................47
2. รู้แจ้งสรรพสงิ่
พงึ รู้วา่ สรรพสิง่ ในจักรวาลลว้ นสมมติบญั ญัติ
สรรพสง่ิ ไรส้ ภาวะไรค้ วามเหมอื นไรค้ วามตา่ ง...............................65
3. วิถแี หง่ ธรรมชาติ
สรรพสงิ่ ลว้ นดำ�เนนิ ไปตามกฎธรรมชาติ
สรรพสง่ิ มไิ ดด้ �ำ รงอยภู่ ายใตอ้ �ำ นาจผใู้ ด.......................................83
4. เรยี บง่ายและวา่ งสงบ
พึงดำ�รงจติ ให้ว่างสงบสูส่ ภาวะจิตเดิมแท้
พงึ เปน็ ผเู้ รยี บงา่ ย มกั นอ้ ย สนั โดษ สมถะ.................................101
5. เรียนรู้ธรรมชาติ
พงึ เรียนรู้กฎธรรมชาตสิ รรพส่ิงในจักรวาล
พงึ เรยี นรคู้ วามเปน็ หนงึ่ เดยี วของสรรพสงิ่ .................................118
6. ความวา่ ง
ความวา่ งก่อให้เกดิ สรรพสง่ิ ในจักรวาล
พงึ ด�ำ รงชวี ติ ประดจุ ดง่ั สงิ่ ท่ี “วา่ งเปลา่ ”................................... 136
7. กระทำ�โดยไมก่ ระทำ�
ทง้ั กระทำ�และไมก่ ระทำ�กไ็ ร้ตัวตนผกู้ ระทำ�
แมไ้ มก่ ระท�ำ สงิ่ ใดแตก่ บ็ งั เกดิ ผลส�ำ เรจ็ ได.้ ................................. 153
8. ไร้ภาวะแหง่ ตัวตน
ผ้ใู ดไร้ภาวะแห่งตวั ตน ผูน้ นั้ ไม่เห็นแกต่ วั
ผนู้ น้ั ไดช้ อ่ื วา่ ส�ำ เรจ็ กจิ โดยไมต่ อ้ งกระท�ำ กจิ ............................... 171
9. ออ่ นนอ้ มถ่อมตน
พึงวางตนให้ต�ำ่ ต้อยทสี่ ดุ เพอื่ ก้าวสจู่ ดุ สงู สดุ
ความแขง็ แกรง่ ยอ่ มพา่ ยแพต้ อ่ ความออ่ นนมุ่ ........................... 188
10. วิถีแห่งปราชญ์
วถิ แี ห่งปราชญ์นกั ปกครองทย่ี อดเยี่ยม
ศาสตรแ์ ละศลิ ปก์ ารบรหิ ารแบบ “เตา๋ ”.................................... 205
11. ว่าด้วยคณุ ธรรม
ผทู้ ่ีรู้จกั พอไม่ละโมบและมกั น้อย สนั โดษ
คอื ผมู้ คี ณุ งามความดหี รอื มคี ณุ ธรรมล�้ำ เลศิ ............................. 223
12. เมตตากรุณา
พึงมคี วามรกั และมเี มตตากรุณาต่อผอู้ น่ื
ชวี ติ เรยี บงา่ ยและไมช่ ว่ งชงิ ความเปน็ หนง่ึ ................................ 241
13. รจู้ กั ตนเอง
ผรู้ จู้ ักตนเองคอื ผรู้ แู้ จ้งธรรมชาติกายและจิต
ผรู้ จู้ กั ผอู้ น่ื คอื ผรู้ อบรธู้ รรมชาตแิ หง่ สรรพสงิ่ ............................. 260
14. จติ สงบน่งิ
ผู้ร้แู จง้ สัจธรรมแห่งเต๋าย่อมด�ำ รงตนสงบน่ิง
จติ ทส่ี งบยอ่ มเหน็ ตวั ตนเปน็ หนง่ึ เดยี วกบั เตา๋ ............................ 279
15. ปรชั ญาการปกครอง
ภมู ปิ ัญญาและวสิ ัยทศั นก์ ารปกครองอนั คมเฉียบ
ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ การใชอ้ �ำ นาจทเี่ ปน็ ธรรมชาต.ิ .................... 297
16. พงึ ชนะด้วยคณุ ธรรม
ชนะตอ่ ข้าศึกโดยไม่ต้องสรู้ บคอื ชัยชนะสูงสดุ
ชนะดว้ ย “คณุ ธรรม” คอื ชยั ชนะทปี่ ระเสรฐิ ยงิ่ ......................... 315
17. ผปู้ กครองท่ีดีแบบเตา๋
ผ้ปู กครองที่ดีท่ปี ระชาชนต้องการเป็นเชน่ ไร
มรรควธิ บี รหิ ารประเทศทด่ี ที สี่ ดุ เปน็ อยา่ งไร.............................. 332
18. กฎธรรมชาตสิ รรพสิง่
สรรพชวี ิตย่อมเปน็ ไปตามกฎธรรมชาติสรรพสิ่ง
ผปู้ ระจกั ษแ์ จง้ ตอ่ กฎธรรมชาตสิ รรพสงิ่ คอื ผรู้ แู้ จง้ ..................... 350
19. ปกครองดว้ ยคณุ ธรรม
สงั คมสงบสขุ ด้วยวิถคี ุณธรรมน�ำ การเมือง
ประเทศใหญแ่ ละเลก็ ตอ้ งออ่ นนอ้ มตอ่ กนั ................................. 368
20. พึ่งพาและเช่อื มัน่ เตา๋
พงึ พึง่ พาและเชอื่ มั่นต่อสจั ธรรมแหง่ เตา๋
อรยิ บคุ คลซอ่ นอรยิ ทรพั ยล์ �ำ้ คา่ ในออ้ มอก................................ 386
21. โลกุตรปัญญาแบบเตา๋
ผู้ที่มีปญั ญาญาณหยง่ั รู้ปรัชญา “เต้าเต๋อจงิ ”
คอื ผรู้ แู้ จง้ ตอ่ สจั ธรรมแหง่ ธรรมชาตสิ รรพสง่ิ ............................ 405
ประวตั ผิ เู้ รยี บเรยี งและอธบิ าย.............................................................. 426
ตวัวเิ ตคนราจะอหมเ์ จปาระาลชึกญ์
“เหลาจือ่ ”
คัมภีร์เต้าเต๋อจิงของจอมปราชญ์เหลาจ่ือ เริ่มต้นหรือก่อกำ�เนิดและแพร่
หลายในประเทศจีน เม่ือประมาณ 2500 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคัมภีร์เต้าเต๋อจิง
ดังกล่าวนี้ เร่ิมต้นมิได้เป็นลัทธิหรือศาสนา ทว่าเป็นเพียงปรัชญาในการ
ดำ�เนินชีวิตอย่างมีคุณค่า อีกท้ังมีความมุ่งหมายให้ผู้คนดำ�รงตนอย่าง
กลมกลืนกับธรรมชาติ
เฉพาะอย่างย่ิงมุ่งหมายให้ผู้คนสลัดทิ้งส่ิงพันธนาการออกจากจิต
ตลอดถงึ ม่งุ ให้ผคู้ นดำ�รงตนอย่างเรยี บง่าย มกั น้อย สันโดษ และสมถะ ไม่
ประพฤติปฏิบัติตนขดั แยง้ กับธรรมชาติ สำ�หรับผูเ้ ปน็ ปราชญเ์ มธอี าจปลกี
วเิ วกใช้ชวี ติ อยา่ งเรยี บง่าย ท่ามกลางความสงบของป่าเขาลำ�เนาไพร
แต่เม่ือเวลาผา่ นพน้ ไปคำ�สอนและปรัชญาเต้าเต๋อจงิ ถกู ดัดแปลง
ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเชอ่ื ดงั้ เดมิ ของชาวจนี ซงึ่ บชู าเทพเจา้ ประจำ�ชาติ ผสม
ผสานกับความเช่ือในทางไสยศาสตร์อื่นๆ จึงเกิดเป็น “ลัทธิเต๋า” หรือ
“ศาสนาเต๋า” ในกาลตอ่ มา
คงไม่เกินเลยความจริงหากจะกล่าวว่า จอมปราชญ์เมธีจีนนาม
“เหลาจ่ือ” ผู้ปลุกจิตกระชากใจชาวจีนให้จิตลุกโพลง และตื่นจากความ
หลบั ใหล จนบงั เกดิ ปญั ญาญาณเหน็ แจง้ ตอ่ สจั ธรรมแหง่ ธรรมชาตสิ รรพสง่ิ
ในจกั รวาล
ทางด้านประวัติชีวิตของจอมปราชญ์เหลาจื่อ ผู้รู้แจ้งต่อสัจธรรม
แหง่ ธรรมชาตสิ รรพส่ิง (เต๋า) นัน้ ยังไม่แจม่ ชดั ว่าวถิ ีชวี ติ ของทา่ นมคี วาม
เป็นมาเช่นไร มีเพียงข้อสันนิษฐาน และข้อถกเถียงเกี่ยวกับเร่ืองราว
เหลาจอื่ : 21
ส่วนตัวของท่านมากมาย ดังจะได้ประมวลข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเรื่องราว
สว่ นตัวของจอมปราชญ์เหลาจื่อ มาเสนอท่านผูอ้ ่าน ดงั ตอ่ ไปนี้
ก่อนอ่ืนขอย้อนรอยกล่าวถึง คำ�ถามท่ียังมิอาจหาข้อสรุปได้ก็คือ
คมั ภรี ์ “เตา้ เตอ๋ จงิ ” หรอื “เตา๋ เตก็ เกง็ ” หรอื ชอ่ื เดมิ คอื “คมั ภรี เ์ หลาจอื่ ”
นั้น ผู้รจนาคือจอมปราชญ์เหลาจ่ือ หรือนักปราชญ์เมธีท่านใด ตลอดถึง
คำ�ถามหรอื ขอ้ สงสัยกันวา่ “เหลาจ่อื คอื ใคร” หรือ “ใครคอื เหลาจ่ือ”
เป็นความจริงที่ว่าข้อมูลที่เกี่ยวกับเร่ืองราวชีวิตของจอมปราชญ์
เหลาจอ่ื หรอื เลา่ จอ๊ื มกี ารบนั ทกึ เปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรไวน้ อ้ ยมาก และขอ้ มลู
ประวัติชีวิตที่มีอยู่ ก็ปรากฏว่านักประวัติศาสตร์บางคนไม่แน่ใจในข้อ
เท็จจรงิ หมายความว่าเป็นเพียงคำ�บอกเลา่ หรอื เป็นเพยี งตำ�นานท่ีเลา่ ลือ
กนั ต่อๆ กนั มา
เฉพาะอยา่ งยง่ิ ขอ้ มลู เกยี่ วกบั ชว่ งเวลาการถอื กำ�เนดิ ของทา่ น ตาม
ทน่ี กั ประวตั ศิ าสตรร์ ะบไุ วน้ น้ั กม็ คี วามผดิ แผกแตกตา่ งหรอื ไมต่ รงกนั เนอ่ื ง
เพราะเปน็ ความประสงคข์ องจอมปราชญเ์ หลาจอ่ื ทพ่ี ยายามหลกี เลย่ี งกลา่ ว
ถึงชวี ิตสว่ นตัวของทา่ น
กลา่ วขานกนั วา่ จอมปราชญเ์ หลาจอ่ื ไมย่ อมบอกเลา่ วา่ ทา่ นชอื่ และ
แซ่ (นามสกลุ ) วา่ อยา่ งไร หรอื ทา่ นเปน็ ใคร ชวี ประวตั ขิ องทา่ นจงึ คลมุ เครอื
ทง้ั นี้ ผรู้ ใู้ นประเทศไทยและนกั ประวตั ศิ าสตรห์ ลายประเทศกม็ คี วามคดิ เหน็
เก่ียวกับชีวประวัติของจอมปราชญ์เหลาจื่อมากมายหลากหลายความเห็น
บางทา่ นเพยี งยนื ยนั ในแงข่ อ้ มลู เบอื้ งตน้ ทางประวตั ศิ าสตรว์ า่ จอมปราชญ์
เหลาจอ่ื นั้นมีตวั ตนอยจู่ รงิ เชน่ มีการระบุรปู ลกั ษณ์ของท่านว่า รปู ร่างสูง
หยู าว ตากลมโต หนา้ ผากกว้าง และริมฝปี ากหนา เป็นตน้
ข้อสันนิษฐานทีเ่ ก่ียวกบั คมั ภีร์เต้าเตอ๋ จิงนน้ั มคี วามเหน็ แตกตา่ ง
กัน เช่น บางท่านเห็นว่านาม “เหลาจื่อ” ผู้รจนาคัมภีร์เต๋าน้ัน มีเพียง
“เหลาจื่อ” เพียงท่านเดียวเท่าน้ัน ขณะท่ีนักวิเคราะห์บางคนบอกว่า มี
ปราชญห์ ลายท่านเป็นคณะรว่ มกนั รจนาหรือนพิ นธ์คมั ภรี น์ ้ี เปน็ ตน้
22 : วถิ ีแหง่ เต๋า
นอกจากนี้ยังมขี อ้ สันนษิ ฐานชอื่ “เหลาจือ่ ” อกี ว่า เหลาจอื่ ไมใ่ ช่
ชื่อบุคคล แต่เป็นคำ�เรียกขานท่านผู้มีอายุสูง หรือเรียกขานผู้อาวุโสว่า
“ปราชญ์เมธอี าวุโส” ภาษาจีนเรยี กวา่ “เหลาจอ่ื ” ดงั น้นั จึงมีการสรปุ
ว่าคัมภีร์ “เต๋า” หรือ “เต้าเต๋อจิง” น้ัน มีความเป็นไปได้ว่ารวบรวม
เรียบเรียง หรือนิพนธ์โดย “ปราชญ์เมธีอาวุโส” หลายท่านหลายคน
หลายคณะ มใิ ชใ่ ครคนใดคนหน่ึงเพียงคนเดยี ว
นั่นก็หมายความว่าชาวจีนโบราณ ที่มีวัยวุฒิและภูมิปัญญา
อัจฉริยะร่วมมือกัน หรือช่วยกันรจนาหรือนิพนธ์ปรัชญาชีวิต และบันทึก
หลกั การปกครองของนกั ปราชญห์ รอื ผนู้ ำ�ทดี่ ี ด้วยการรจนาคมั ภีร์ “เต้า-
เต๋อจิง” ขึน้
ท้งั น้ี ตลอดระยะเวลาอันยาวนานกวา่ 2,500 ปี ปรากฏวา่ มกี าร
แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ เนอ้ื หาสาระบางประการ จนกลายเปน็ คมั ภรี ห์ รอื หลกั ปรชั ญา
ท่ีสมบูรณ์ครบถ้วนทุกประเด็นสำ�คัญ และเป็นคัมภีร์หรือปรัชญาชีวิต
เก่าแกท่ ส่ี ดุ คมั ภรี ์หนงึ่ ของโลก
ในกาลต่อมามีผู้ใหค้ วามสนใจศกึ ษาค้นควา้ รวมท้งั มีการวพิ ากษ์
วิจารณ์ ตลอดถงึ มีการเจาะลึกถงึ เน้ือหาสาระของคมั ภรี เ์ ตา้ เตอ๋ จิงดงั กล่าว
มากยง่ิ กวา่ บรรดาคมั ภรี ์ หรอื ตำ�ราหรอื คำ�สอนและปรชั ญาใดๆ เฉพาะอยา่ ง
ยิ่งคัมภีร์เต้าเต๋อจิงนี้ มีการถ่ายทอดเป็นภาษาต่างๆ แพร่หลายมากเป็น
อันดับ 2 รองจากคมั ภรี ์ “ไบเบิล”
อาจารยเ์ สถียร โพธนิ ันทะ นักปราชญ์คนหนง่ึ ของไทยกลา่ วไว้
วา่ คมั ภรี ์ “ภควทั คตี า” มคี วามสำ�คญั ตอ่ ชาวอนิ เดยี ในฐานะทเ่ี ปน็ ปรชั ญา
ของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดอู ยา่ งไร คัมภีร์ “เต้าเต๋อจงิ ” กม็ ีความสำ�คัญ
ในฐานะที่เป็นปรัชญาสำ�คัญ ของลัทธิเต๋าแห่งประเทศจีนยุคโบราณเช่น
เดียวกัน
บทสรุปของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ก็คือ “ชาวอินเดีย” มี
คมั ภรี ์ “ภควทั คตี า” เปน็ เพชรเมด็ งามแหง่ ภมู ธิ รรมฮนิ ดฉู นั ใด “ชาวจนี ”
เหลาจือ่ : 23
ก็มีคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” หรือ “เต๋าเต็กเก็ง” หรือยุคโบราณใช้ช่ือว่า
“คมั ภีร์เหลาจอ่ื ” ฉันนน้ั
ขอเริ่มต้นกล่าวถึงปฐมบทชีวิตเหลาจ่ือ ตามทัศนะหรือข้อ
สันนิษฐานของนักวิชาการอาวุโสบางท่านระบุว่า จอมปราชญ์เหลาจ่ือถือ
กำ�เนดิ ในปลายแผน่ ดนิ พระเจา้ จวิ เลง่ อว๊ ง ประมาณ 604 ปกี อ่ นครสิ ตศ์ กั ราช
แตน่ กั วชิ าการบางทา่ นระบวุ า่ 560 ปกี อ่ นครสิ ตศ์ กั ราช นนั่ กค็ อื ตามบนั ทกึ
ในประวตั ิศาสตร์ของ “ซอื หมา่ เชียน” ระบวุ า่ จอมปราชญ์เหลาจ่ือเกดิ ใน
ปี 604 ก่อนครสิ ต์ศักราช สมยั ราชวงศโ์ จว ท่ีเมอื งฉู่ มณฑลเหอหนานใน
ปจั จบุ นั
ดงั นนั้ หากนบั ปเี กดิ ของจอมปราชญเ์ หลาจอ่ื แบบแรก ทา่ นกม็ อี ายุ
นอ้ ยกว่าพระพทุ ธเจ้าประมาณ 19 ปี ถ้านับแบบหลังท่านกม็ อี ายุน้อยกว่า
พระพุทธเจ้าประมาณ 43 ปี ส่วนนักวิเคราะหแ์ ละนักประวัตศิ าสตรจ์ นี บาง
คน บันทึกไว้ในพงศาวดารว่า จอมปราชญ์เมธีผู้อาวุโสนาม “เหลาจื่อ”
เกิดท่ีหมู่บ้านเหยินลี อำ�เภอขู่เส้ียน แคว้นฉู่ เม่ือวันที่ 15 เดือนยี่ ก่อน
คริสต์ศักราชประมาณ 576 ปี ส่วนนักประวัติศาสตร์บางคนระบุว่า จอม
ปราชญเ์ หลาจ่อื เกิดในช่วงศตวรรษท่ี 6 ก่อนครสิ ตกาล
นอกจากนี้ศาสตราจารย์โอ้วเส็ก (หูซื่อ) แห่งสาธารณรัฐ
ประชาชนจีน สันนิษฐานว่าจอมปราชญ์เหลาจ่ือ เกิดในสมัยพระเจ้า
จิวเล่งอ๊วง ในสมัยชุนชวิ -จน้ั กว๋อ หรือปี 770-221 ก่อนครสิ ต์ศกั ราช ส่วน
วญิ ญูชนบางคนระบุวา่ จอมปราชญ์เหลาจ่ือเป็นชาวจีนแห่งรฐั ฉู่ ประมาณ
27 ปีก่อนพุทธกาล หรือประมาณ 570 ปีก่อนค.ศ. นักค้นคว้าทาง
ประวัติศาสตร์จีนบางคน ระบุว่าจอมปราชญ์เหลาจ่ือมีแซ่หรือนามสกุลว่า
“ลิ” เกดิ ในหมู่บา้ นเล็กๆ ในมณฑล “โฮนาน”
อาจารยส์ มคั ร บรุ าวาศ ปราชญท์ างดา้ นปรชั ญาคนหนงึ่ ของไทย
กลา่ วถงึ การกอ่ กำ�เนดิ ของจอมปราชญ์ 2 ทา่ น คอื “เหลาจอื่ ” และ “ขงจอ๊ื ”
ไวน้ ่าสนใจย่งิ ดังปรากฏอยใู่ นหนงั สือ “ปรีชาญาณของสิทธตั ถะ” ความ
ตอนหนง่ึ ว่า
24 : วถิ แี หง่ เต๋า
“คนจีนไม่เชื่อว่าเหลาจ่ือเขียนเร่ืองท้ังเร่ืองไว้ คงเชื่อเพียงว่าเขา
กล่าวไว้เป็นสุภาษิตอย่างกระท่อนกระแท่น ไม่ติดต่อกันเท่าน้ัน ภาษาใน
เต้าเต๋อจิงเป็นคำ�พังเพยโดยมาก แต่ก็เป็นหลักในกำ�เนิดของภาษาว่า
คำ�ทเ่ี กดิ ใหมน่ น้ั เดมิ เปน็ คำ�พงั เพย ทก่ี ลา่ วเทยี บเคยี งหรอื ทเ่ี รยี กวา่ “อปุ มา
อปุ ไมย” ทง้ั สิน้
“คำ�เหล่าน้ีปรากฏเป็นภาษาสำ�นวน ประกอบด้วยถ้อยคำ�ส้ันๆ
ซ่ึงมีความหมายลึกซึ้งกว้างขวางมาก นี่เป็นลักษณะของคำ�พูดแต่โบราณ
ซึ่งแตล่ ะคำ�ล้วนมคี วามหมายท้งั สนิ้ เพราะคำ�หน่งึ ๆ กแ็ ทนความจริง หรอื
จินตนาการอย่างหนึ่งๆ ไม่ได้มีไว้อย่างเล่ือนลอย เหมือนภาษาที่สังคม
มนุษยชาตเิ จริญแล้ว ซง่ึ เหนิ ห่างจากความจริง
“ในปี 600 ก่อนคริสต์ศักราช และในกาลต่อมาประเทศจีนเกิด
กลียคุ เหมือนในประเทศอนิ เดยี ซึง่ ยามนนั้ ตรงกบั ยคุ พทุ ธกาล หลงั จาก
ประเทศจนี เกดิ โกลาหลอลหมา่ น ประชาชนจนี ยอ่ มเหน็ วา่ เทพเจา้ ชว่ ยอะไร
ชาวจีนไม่ได้เลย จึงเกิดความคิดที่จะสอนทางด้านจริยธรรมขึ้น ซ่ึงความ
คดิ ดงั กลา่ วมเิ คยมมี าแตก่ อ่ น ดงั นน้ั มนษุ ยจ์ งึ ไมถ่ กู เขา้ ใจวา่ ตกอยใู่ ตอ้ ำ�นาจ
ของเทพเจ้าอกี ต่อไป
“เม่ือมีการเข้าใจว่าประชาชนทุกคน ตกอยู่ใต้อำ�นาจความ
ประพฤติของมนุษย์ด้วยกัน จึงมีปราชญ์จีน 2 คนคิดจริยธรรมข้ึนแก้ไข
สภาวการณ์ เขาคอื “เหลาจอ่ื ” และ “ขงจอื๊ ” ขงจอ๊ื เกดิ ทหี ลงั เหลาจอื่ และ
ขงจอ๊ื นน้ั เปน็ นกั การเมอื ง และนกั จรยิ ธรรมไปในตวั ซง่ึ มใิ ชผ่ สู้ ละโลกใชช้ วี ติ
ในปา่ เขาแต่อยา่ งใด
“คำ�สอนของขงจื๊อเป็นเพียงจริยธรรมล้วนๆ ไม่ได้มีข้อคิดไปใน
ทางปรัชญาอย่างกว้างขวาง เขาจึงหาได้เป็นเจ้าศาสนา และสมาชิกหรือ
สาวกของขงจอ๊ื ก็มิใชผ่ ูท้ ่สี ละโลก หรอื ไม่ใชผ่ ้ทู ่บี วชในศาสนาหรอื บวชใน
ลทั ธิของเขาแตอ่ ย่างใดไม่
“แตป่ ราชญจ์ นี กอ่ นเขาคอื เหลาจอื่ เปน็ ผไู้ ดใ้ หป้ รชั ญาไวจ้ รงิ ๆ และ
ภายหลังยุคของเหลาจื่อ ปรากฏว่ามีนักบวชสละโลก ด้วยการยึดคำ�สอน
เหลาจ่อื : 25
ของเขาเปน็ สรณะ เหมอื นสมณะตา่ งๆ ในอนิ เดยี พวกนคี้ อื พวกถอื ลทั ธเิ ตา๋
ที่ถกู ขนานนามว่า “เตา้ หยิน” หรอื “เตา้ สอื ” นั่นเอง คำ�ว่า “เต้า” นี้ มา
จากคำ�ว่า “เต๋า” ซึ่งก็คือความจริงแท้อันติมะ (หรือความจริงอันสูงสุด)
ตามความหมายของเหลาจอื่
“เหลาจื่อเกิดก่อนขงจื๊อ 50 ปี เขาเกิดในเวลาใกล้เคียงกับ
พระพทุ ธเจา้ มาก คอื เกดิ ใน 604 B.C. (คอื เกดิ ในปี 604 กอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช)
แตต่ ายเมอื่ ไรไม่ทราบ ซง่ึ 604 B.C. นี้คอื ก่อน พ.ศ. 61 ปี หรืออกี นยั หนึง่
พระพุทธเจ้าประสูตกิ อ่ นเหลาจอ่ื 19 ปี
“ประวตั เิ หลาจอื่ นนั้ มเี รอื่ งเทพนยิ ายมาปะปนมาก ทงั้ น้ี เพราะภาย
หลังทเี่ หลาจือ่ ตายแล้ว พวกศษิ ย์กลบั หันเขา้ หาไสยศาสตร์ตา่ งๆ คือพวก
เตา้ หยนิ และเตา้ สอื ลว้ นมชี อ่ื เปน็ ผวู้ เิ ศษทางเวทมนตรค์ าถา และไสยศาสตร์
เกอื บทงั้ สน้ิ แมซ้ อื หมา่ เชยี นจะบนั ทกึ เรอื่ งเขาไวบ้ า้ ง กย็ ากทจ่ี ะเชอื่ ได้ เชน่
เรอื่ งทไี่ ปพบและประฝปี ากกบั ขงจอื๊ นน้ั ดจู ะเปน็ การประดษิ ฐห์ รอื แตง่ เรอื่ ง
ขน้ึ เพ่ือใหเ้ รอ่ื งของคนทง้ั สองนา่ ต่ืนเต้นยิง่ ขึ้นมากกวา่
“นามว่าเหลาจอื่ นี้ แปลได้ต่างๆ กัน เช่น แปลว่า ‘เดก็ เฒา่ ’ หรอื
‘ครูเฒ่า’ เพราะเขาเกิดมามีหนวดเคราหงอกขาวติดมาด้วย แต่ข้อน้ีดูจะ
เปน็ การคดิ เรอ่ื งให้สมกับนามมากกว่า บางทกี ็แปลว่า ‘ลกู ชายของเหลา’
น่เี ป็นนามของมารดาผเู้ ปน็ พรหมจารี ซ่ึงมีท้องเนอ่ื งดว้ ยเห็นดาวตก หรอื
แปลวา่ ‘นักปราชญเ์ ฒ่า’ เพราะเขาเขียน ‘อมตะปรชั ญา’ ของเขาไว้เมอ่ื
อายมุ ากแลว้ คือ เต้าเตอ๋ จงิ
“เราไมร่ ้ปู ระวตั ขิ องเหลาจื่อมากไปกว่าทีว่ า่ เขามชี อ่ื เดมิ วา่ ‘หลี’
ต่อมาเขาเกิดความเบ่ือหน่ายสังคม จึงได้ทำ�การศึกษาและหาทางแก้ไข
หนทางน้ันคือลัทธิ ‘ปล่อยให้เป็นไปเอง’ เหลาจ่ือได้กระทำ�ตามคำ�สอน
ของเขาเอง คือเขา้ ปา่ หาความสงบทางใจ ประวัติของเขาจงึ มีเท่านีเ้ ทา่ นั้น
“ฉะน้ัน เหลาจ่ือก็เท่ากับปฏิบัติตนเหมือนฤาษีของอินเดียน่ันเอง
สาวกของเขาคอื เตา้ หยนิ กบั เตา้ สอื กถ็ อื เสนาสนะปา่ เปน็ ทพ่ี ง่ึ ในชวี ติ ตอ่ มา
ฤาษมี ฤี ทธิอ์ ยา่ งไร พวกเตา้ หยินกถ็ ูกประชาชนเข้าใจว่ามีฤทธ์ิอยา่ งน้ัน
26 : วิถีแหง่ เต๋า
“การเมืองดูจะเก่ียวข้องแยกไม่ออกจากจริยธรรมของประชาชน
ในการสอนจรยิ ธรรม นกั ปราชญโ์ บราณเหน็ ไดอ้ ยา่ งชดั ๆ วา่ ชนชน้ั ปกครอง
มสี ว่ นในการทำ�ลายจริยธรรม ท้ังนีโ้ ดยปกครองไมด่ ี นักจรยิ ศาสตร์ทกุ คน
ท่เี ขียนปรชั ญา จึงมักสอนปรชั ญาการเมอื งดว้ ย
“ด้วยเหตุนี้เองนักปรัชญา จึงไม่ถูกกับชนชั้นปกครองทุกยุคทุก
สมยั ขงจื๊อเองในวาระสดุ ท้าย กพ็ า่ ยแพต้ ่อเลห่ ์กระเทห่ ข์ องการเมือง และ
หนหี ายเขา้ ปา่ ไป เหลาจ่ือกห็ นหี ายเขา้ ปา่ เหมอื นกัน”
เกย่ี วกบั เสน้ ทางชวี ติ ของจอมปราชญเ์ หลาจอื่ นนั้ “ล.เสถยี รสตุ ”
ผมู้ ชี อ่ื ระบอื ไกลทางดา้ นการคน้ ควา้ พงศาวดารจนี กลา่ วถงึ ประวตั ขิ องจอม
ปราชญเ์ หลาจือ่ ไวใ้ น หนังสอื “ส่องตะเกียง” ภาคปรชั ญาเต๋า ความตอน
หน่ึงวา่
“เหลาจ่ือ แซล่ ี้ (หลี) มชี ือ่ อกี ช่ือหนงึ่ คือ “ยอ้ื ” หรอื “เยยี้ ม” คำ�
ว่า “จ่อื ” เปน็ คำ�ยกยอ่ งทำ�นองทา่ นปราชญ์ คำ�วา่ “เหลา” แปลวา่ แก่ แต่
ดร.ฮเู ซ ผซู้ งึ่ เปน็ ปราชญท์ างดา้ นปรชั ญา และโบราณคดยี คุ ปจั จบุ นั (2517)
ถงึ แกก่ รรมเมอื่ ปี 2516 สนั นษิ ฐานวา่ เปน็ ชอ่ื ของเหลาจอ่ื เชน่ กนั ชาวจนี มกั
มหี ลายชอ่ื
“ชวี ประวตั ขิ องทา่ นเหลาจอื่ ทมี่ หี ลกั ฐานเชอื่ ถอื ได้ คอื ขงจอ๊ื เคยไป
ศกึ ษาจริยธรรมจากท่านเหลาจือ่ ดังที่ ดร.ฮเู ซ สนั นษิ ฐานวา่ ท่านเหลาจอื่
คงแก่กว่าขงจื๊อประมาณ 20 ปี เป็นบุคคลในสมัยก่อน พ.ศ. 30 เป็น
ชาวนครฉู่ (แคว้นภาคใต้แม่นำ้ �แยงซี ซงึ่ ขณะนั้นบางแหง่ ไมไ่ ดข้ น้ึ กบั จนี )
“ท่านเหลาจ่ือเคยรับราชการเป็นผู้อำ�นวยการหอสมุดแห่งชาติ
ราชวงศจ์ วิ ต่อมาทา่ นได้ลาออก เพราะเห็นวา่ ราชวงศ์คงอยไู่ ปได้ไมน่ าน
และกเ็ ปน็ ความจรงิ หลกั ฐานชนิ้ สดุ ทา้ ยของทา่ นเหลาจอ่ื คอื เดนิ ทางไปยงั
ภาคตะวันตกของจนี ซงึ่ เป็นทางท่จี ะไปประเทศต่างๆ รวมทั้งอนิ เดีย นาย
ดา่ นไดข้ อใหท้ า่ นเขยี นอะไรไวส้ กั เลม่ หนงึ่ ทา่ นกเ็ ลยเขยี นหนงั สอื หรอื คมั ภรี ์
เตา๋ นี้ไว้ เปน็ อกั ษรจนี กวา่ 5,000 คำ�
เหลาจ่ือ : 27
“ในสมัยปลายราชวงศ์ฮ่ัน (พ.ศ. 700) มีผู้ต้ังศาสนาเต๋าขึ้น ยก
ท่านเหลาจื่อขึ้นเป็นประมุข และยึดถือหนังสือเร่ืองนี้เป็นคัมภีร์ ท่ีเรียกว่า
“ศาสนาเตา๋ ” นั้น ก็เพราะปรชั ญาของท่านยดึ ถอื เตา๋ (สจั ธรรม) เปน็ หลกั
ธรรมสงู สดุ ซึ่งระบวุ ่าทกุ คนพึงบรรลุต่อหลักธรรมน้ี
“ในสมยั สามกก๊ (ซง่ึ ตอ่ จากปลายราชวงศฮ์ นั่ ) เตยี มเหลง็ ไดต้ งั้ ตวั
เป็นปฐมาจารย์แหง่ ลทั ธิเต๋า และกส็ ืบเนอื่ งกนั มากระทัง่ ปัจจบุ ัน (ปี 2526)
เปน็ องคท์ ่ี 62 ก็นับวา่ เปน็ เรื่องแปลกทค่ี นแซล่ ีเ้ ปน็ ประมขุ ของลทั ธเิ ตา๋ แต่
คนแซ่เตียวได้ทำ�การเหมาความเป็นอาจารย์สืบทอดเต๋าติดต่อกันมา
ยาวนาน 2,000 กวา่ ปี
“หนงั สอื หรอื คมั ภรี เ์ ตา้ เตอ๋ จงิ เดมิ ไมไ่ ดแ้ บง่ เปน็ บทตอน ตอ่ มาจงึ
มนี ักคน้ คว้าจดั แบ่งให้ ซง่ึ มคี วามแตกตา่ งกนั หลายอย่าง แต่ตา่ งถอื ว่าแบ่ง
ออกเป็น 81 บทเป็นการถกู ต้องที่สดุ ในราชวงศ์ถงั (พ.ศ. 1161) เน่ืองดว้ ย
เปน็ ราชวงศแ์ ซล่ ้ี เหลาจอ่ื จงึ ถกู ยกยอ่ งมาก และเตา๋ กเ็ ลยถกู ยกเปน็ ศาสนา
(ลัทธ)ิ ประจำ�ชาติ
“กษัตริยเ์ ฮียนจง (พ.ศ. 1256) ไดร้ บั สั่งใหร้ วบรวมขอ้ ความที่พดู
ถงึ เตา๋ (สจั ธรรม) เปน็ เลม่ ตน้ และพดู ถงึ เตก็ (คณุ ธรรม) เปน็ เลม่ ปลาย และ
ใหช้ อื่ ใหมว่ า่ ‘เตา๋ เตก็ เกง็ ’ ซง่ึ แปลวา่ ‘สจั ธรรมแหง่ คณุ ธรรมสตู ร’ (บาง
คนแปลวา่ ‘สตู รวา่ ดว้ ยคุณสมบตั ขิ องเตา๋ ’)
“ทั้งน้ี เพื่อให้มีฐานะเท่าเทียมกับพระพุทธศาสนา ซึ่งมีความ
รงุ่ เรอื งมากในยคุ น้ี ความจรงิ ในขณะทพ่ี ระพทุ ธศาสนาเขา้ สจู่ นี ในระยะแรก
เรม่ิ การแปลพระสตู รไดอ้ าศยั ลลี าของคมั ภรี เ์ ตา๋ นไี้ มน่ อ้ ย เพอ่ื เปน็ การจงู ใจ
ผูอ้ ่าน
“แต่ต่อมาปรากฏว่าเต๋าได้นำ�เอาหลักธรรมของพระพุทธศาสนา
ไปใชเ้ กอื บทงั้ หมด เพราะลำ�พงั หลกั ธรรมของเตา๋ เอง ไมพ่ อทจ่ี ะเปน็ ศาสนา
ได้ ตกมาถงึ ราชวงศ์เหม็ง (พ.ศ. 1911) พระภกิ ษุสงฆแ์ ห่งพระพุทธศาสนา
กบั นกั บวชเตา๋ เกอื บจะแยกกนั ไมอ่ อก ทงั้ ทางหลกั ธรรมและพธิ ี ผดิ แตน่ กั บวช
28 : วถิ แี ห่งเตา๋
เตา๋ ไวผ้ มยาวเทา่ นนั้ คมั ภรี เ์ หลาจอ่ื (เตา้ เตอ๋ จงิ ) นอกจากมกี ารแบง่ บทกนั
หลายๆ แบบแล้ว การตีความก็แตกต่างกันเป็นหลายคณะ ซ่ึงแปลไม่ได้
ง่ายนกั
“เหลาจอ่ื มักจะกลา่ วถงึ ประมขุ เจ้านคร จรยิ ธรรม การเกบ็ ภาษี
เหลา่ น้ี กเ็ นอื่ งดว้ ยในสมยั นน้ั ปกครองดว้ ยระบบเจา้ นคร ราชวงศจ์ วิ ซงึ่ เปน็
สว่ นกลาง ไมม่ อี ำ�นาจอะไรมากนกั ตกมาปลายราชวงศ์ เกอื บจะหมดอำ�นาจ
เลย นครตา่ งๆ ต่างทำ�ตัวเป็นประเทศเอกราช รบราฆา่ ฟนั มาตลอดเวลา
ตา่ งเก็บภาษีหนกั เพือ่ ไปทำ�สงคราม
“ส่วนจริยธรรมที่เหลาจื่อไม่พอใจเป็นอันมากน้ัน ก็เน่ืองจาก
ราชวงศ์จิวมพี ิธีตา่ งๆ มากมายอยแู่ ลว้ เจา้ นครยงั ต่างทำ�พิธกี ันอกี และทำ�
ในฐานะเทา่ เทยี มกบั กษตั รยิ ์ (ฮอ่ งเต)้ สว่ นกลาง เพอื่ โออ้ วดความเปน็ ใหญ่
เท่านน้ั ”
สรปุ อกี ครงั้ วา่ ชวี ประวตั ขิ องจอมปราชญ์ “เหลาจอ่ื ” (เลา่ จอ๊ื ) นนั้
แมจ้ ะเป็นบคุ คลสำ�คญั ทางประวัตศิ าสตร์ และเป็นอภมิ หาจอมปราชญข์ อง
จีนเช่นเดียวกับ “ขงจ๊ือ” แตป่ ระวตั ิของจอมปราชญเ์ หลาจื่อคลุมเครือเปน็
อย่างยิ่ง ซ่ึงนักประวัติศาสตร์ผู้โด่งดังของจีนยุคโบราณคนหนึ่ง คือ
“ซอื หมา่ เชยี น” บนั ทกึ ถงึ ประวตั จิ อมปราชญเ์ หลาจอ่ื ไวใ้ หค้ นรนุ่ หลงั ศกึ ษา
เพยี งเลก็ นอ้ ย
กระนน้ั จากบนั ทกึ ประวตั ศิ าสตรข์ องซอื หมา่ เชยี น ทชี่ อื่ “ฉจี ”ี้ หรอื
“สื่อจี้” นี้ ก็ทำ�ให้นำ�ไปเทียบเคียง หรือเปรียบเทียบกับบันทึกของนัก
ประวตั ศิ าสตรค์ นอนื่ บนั ทกึ ฉบบั นไี้ ดบ้ นั ทกึ ไวป้ ระมาณปี พ.ศ. 543 วา่ จอม
ปราชญ์เหลาจอ่ื เกดิ ที่เชียงชงิ หมู่บ้านหล่ีหรือชวีเหยิน หมบู่ ้านในแควน้ ขู่
ในนครหรอื รฐั ฉู่ (ปัจจบุ ันคือมณฑลเหอหนาน)
นอกจากน้มี กี ารบนั ทกึ ไว้อีกว่า ทันทที ี่จอมปราชญเ์ หลาจ่อื ลืมตา
ดโู ลก ในช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนครสิ ตกาล ณ รฐั ฌอ้ อำ�เภอหูน้นั เล่าขาน
กันว่าทันทีที่ท่านเกิด ก็เป็นเด็กทารกท่ีมีผมหงอกสีขาว ด้วยเหตุน้ีช่ือ
เหลาจื่อ : 29
“เหลาจื่อ” จงึ หมายถงึ “เดก็ แก”่ หรือ “ครเู ฒ่า” นามสกุลคือ “หล”ี่
หรือ “ล”ี ช่ือจริงคอื “เออ๋ ร์” มีสมัญญาศักดห์ิ รอื มอี กี ช่ือหนึ่งวา่ “ตาน”
หรอื “ตนั ” รับราชการเป็นนกั ประวัตศิ าสตร์ ในหนว่ ยงานประวัติศาสตร์
หรอื หอจดหมายเหตุของราชวงศ์ “โจว” ณ เมอื งหลวงลวั่ หยาง
อาจารย์เสถียร โพธินันทะ กล่าวถึงประวัติของจอมปราชญ์
เหลาจื่อไว้อย่างละเอียด และน่าสนใจยิ่ง ดังปรากฏอยู่ในหนังสือ “เมธี
ตะวันออก” ความตอนหน่ึงวา่
“หนงั สอื ทเี่ ปน็ หลกั ฐานเกยี่ วกบั ประวตั เิ หลาจอื่ คอื หนงั สอื ‘ซอ่ื ก’่ี
ซึ่งเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ บันทึกรวบรวมโดย ‘ซีเบ๊เชียง’ นัก
ประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ฮั่น กล่าวถึงประวัติเหลาจ่ือด้วยวลีเพียง 461
คำ�เท่าน้นั มหิ นำ�ซำ้ �ซเี บเ๊ ชยี งยงั บนั ทกึ เอาไว้อยา่ งไมส่ จู้ ะแนใ่ จอกี ด้วย ว่า
มนั ควรจะเปน็ อยา่ งไร
“เขาบันทึกเล่าว่าเหลาจื่อเป็นชาวรัฐฌ้อ อำ�เภอหู ตำ�บลหลี
หมูบ่ า้ นเค้กยนิ ล้ี ‘เหลาจื่อ แซ่ลี’้ ชื่อว่า ‘ยอื้ ’ ฉายาวา่ ‘แปะเอย้ี ง’ ไดร้ บั
สมัญญาศักดิ์ว่า ‘ตัม’ รับราชการในราชสำ�นักจิว โดยดำ�รงตำ�แหน่งเป็น
บรรณารกั ษใ์ หญแ่ ห่งหอพระสมุด...
“ตอนตอ่ ไปกเ็ ล่าเรอื่ ง ขงจอ๊ื พบกบั เหลาจ่ือ ซึง่ ซเี บ๊เชยี งบันทึกต่อ
มาวา่ ...อนั เหลาจอ่ื นน้ั เป็นผู้บำ�เพ็ญเตา๋ วทิ ยาการของเขาสว่ นเฉพาะเรื่อง
การยังตนใหห้ ลีกเร้น มใิ หม้ ายุ่งเก่ียวกับโลก เขารบั ราชการอยู่ในราชธานี
จวิ เป็นเวลาช้านานทีเดียว”
ตามตำ�นานชีวิตจอมปราชญเ์ หลาจ่ือกล่าวว่า ทา่ นไมช่ อบใชช้ วี ิต
โอ่อา่ หรูหราฟมุ่ เฟอื ย จึงขดั แยง้ กบั พวกขนุ นาง และอำ�มาตย์ในยุคน้นั ที่
ทุกคนต่างมุ่งม่ันแสวงหาเงินทอง และแสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศ รวมทั้ง
มุ่งม่ันแสวงหาอำ�นาจ ตลอดถึงมีการฉ้อฉลโกงกินอย่างมากมายทั่วทั้งรัฐ
หรือแคว้น
ดว้ ยเหตนุ จี้ อมปราชญเ์ หลาจอื่ จงึ มอิ าจทนตอ่ สภาพความเหลวแหลก
ของผู้ปกครองสูงสุดคือฮ่องเต้ และบรรดาขุนนางและอำ�มาตย์ได้ ดังที่
30 : วถิ แี หง่ เต๋า
อาจารย์เสถียร โพธนิ นั ทะ กล่าวไว้วา่
“ต่อมาเม่ือพิจารณาถึงความเสื่อมโทรมของราชวงศ์จิว เหลาจ่ือ
จงึ ลาออกจากราชการ จารกิ ไปถงึ ด่านๆ หนงึ่ ช่ือด่านหนั กู่ ‘นายด่านช่อื
ฮ’้ี (หรอื นายด่านหยินซี) จงึ กล่าวกับทา่ นว่า ไหนๆ ทา่ นก็จักหลกี เรน้ ไป
จากสังคมแล้ว โปรดรจนาคัมภีร์ไว้ให้ข้าพเจ้าเป็นอนุสรณ์สักเล่มหนึ่งเถิด
เหลาจือ่ จึงไดแ้ ต่งคมั ภรี ข์ ้ึนเล่มหนง่ึ
“คัมภีร์เต้าเต๋อจิงรวม 81 บทนี้ แบ่งเป็นภาคต้นและภาคปลาย
รวม 2 ภาค วา่ ดว้ ยคณุ ธรรมประการตา่ งๆ รวมทง้ั หมดเปน็ ตวั อกั ษร 5,000
กว่าตัว เมื่อรจนาคัมภีร์เต้าเต๋อจิงเสร็จแล้วก็ลาจากไป (แบบหายตัวเข้า
กลีบเมฆ) โดยที่ไมม่ ผี ้หู นงึ่ ผู้ใดทราบว่าเขาหายไปแห่งหนตำ�บลใด ฯลฯ
“ถ้าประวตั เิ หลาจ่อื มีเพยี งเทา่ นี้ ก็ไมน่ ่าจะเกดิ เปน็ ปญั หาขึ้น แต่
ขอ้ ความตอนตอ่ มาในหนงั สอื ‘ซอ่ื ก’่ี ยงั มกี ารระบอุ กี วา่ ...มบี างคนเขากลา่ ว
ว่า ‘เหลาไล่จ้ือ’ ผู้เป็นชาวรัฐฌ้อคือผู้เขียนคัมภีร์ไว้มี 15 บท ว่าด้วย
คณุ สมบัติในลัทธิเตา๋ (แตบ่ างตำ�นานระบวุ ่าช่อื “เหลาจว้ งจอ่ื ” เป็นชาว
มณฑลฉเู่ ชน่ เดยี วกนั ซงึ่ บคุ คลผนู้ เี้ ขยี นตำ�รา 15 บท เพอื่ ใชเ้ ปน็ ตำ�ราสำ�หรบั
สำ�นกั เตา๋ และอยใู่ นยุคสมัยเดยี วกบั ขงจอื๊ )
“เหลาจอื่ (เล่าจอ๊ื ) มีชีวิตรว่ มสมยั กับขงจื๊อ เหลาจอ่ื น้นั มอี ายยุ ืน
160 ปเี ศษ บ้างก็วา่ มอี ายุ 200 ปเี ศษ ท้ังน้ี เพราะเหลาจื่อไดบ้ ำ�เพญ็ เต๋า
ทำ�ให้สามารถมีอายยุ ่งั ยืนยาวนานได้อยา่ งน้ัน
“เมอ่ื ขงจอ๊ื มรณภาพไปแลว้ 129 ปี มขี นุ นางผบู้ นั ทกึ ประวตั ศิ าสตร์
ของราชสำ�นกั จวิ คนหนง่ึ ชอ่ื ‘ตมั ’ ฯลฯ บางคนกว็ า่ ผนู้ แี้ หละคอื เหลาจอ่ื แต่
บา้ งกว็ า่ ไม่ใช่ ไม่มผี ู้ใดที่รขู้ อ้ เท็จจรงิ วา่ ใชห่ รือไม่ใช่ เหลาจอ่ื เปน็ บณั ฑติ ผู้
ซึง่ ไม่เปิดเผยตวั เอง บุตรชายของเขาชื่อ ‘จง’ ไดเ้ ป็นแม่ทพั ของรฐั ง่ยุ ฯลฯ
“แล้วก็เล่าการสืบสกุลของเหลาจื่อ ลงมาถึงสมัยราชวงศ์ฮ่ัน
หนังสือ ‘ซ่อื ก่’ี อันเป็นหนังสอื ประวัตศิ าสตร์ ทม่ี หี ลกั ฐานยังเป็นไดอ้ ยา่ งนี้
หนังสืออ่นื ๆ ซ่ึงเขียนประวัติของเหลาจ่ือในสมยั ราชวงศห์ ลงั ตอ่ มา กเ็ ป็น
เรอื่ งหนกั ไปในทางเทพนิยายมากกว่าจะเปน็ ประวตั ศิ าสตร์
เหลาจ่อื : 31
“ดังนั้น จึงได้มีคนสงสัยขบคิดปัญหาประวัติเหลาจ่ือ ต้ังแต่คร้ัง
สมยั ราชวงศซ์ อ้ ง ซงึ่ ถา้ พจิ ารณาตามบนั ทกึ ของซเี บเ๊ ชยี ง มบี คุ คลอยู่ 3 คน
ทวี่ า่ เปน็ ตัวเหลาจ่อื 1. บุคคลแรกท่เี รยี กว่า ‘เหลาจอื่ ’ มชี อื่ แซ่ ภูมลิ ำ�เนา
แน่ชดั 2. บคุ คลท่ี 2 เรียกวา่ ‘เหลาไลจ่ ้อื ’ 3. บคุ คลที่ 3 เรยี กวา่ ‘ตัม’
“ทัง้ 3 คนนี้ ซีเบเ๊ ชยี งเอง ก็ไม่รจู้ ะตัดสินลงไปเด็ดขาดได้ว่า คน
ใดเปน็ เหลาจอ่ื ผเู้ ปน็ เจา้ ลทั ธปิ รชั ญาเมธี (ผรู้ จนาคมั ภรี เ์ ตา๋ ) ยงั มอี กี ขอ้ หนงึ่
ในหนังสือซื่อกร่ี ะบุไว้วา่ เหลาจอ่ื หายสาบสูญไปไม่ทราบรอ่ งรอย
“ต่อมาเมอ่ื มคี นในลทั ธเิ ต๋า แตง่ เรือ่ งเหลาจอื่ เป็นเทพนิยายขน้ึ ว่า
เหลาจื่อขี่กระบือหายไปทางภาคตะวันตกของจีน บ้างก็ว่าเขาข้ามทะเล
ทรายในมณฑลซินเกียง แล้วสาบสูญไป บ้างก็ว่าเขาสำ�เร็จเป็นเซียน
(เทพยดา) ไป
“แต่ในหนังสือของจวงจื๊อเมธีจีนในสมัยหลังเหลาจื่อ ราว 1
ศตวรรษเศษ (หรอื กว่า 100 ปี) กลับบนั ทกึ ไว้อย่างมหี ลกั ฐานวา่ เหลาจอ่ื
ไม่ได้หายสาบสูญไปเลย แต่เขามรณภาพในประเทศจีนนั่นเอง ซ่ึงเป็น
บนั ทกึ ท่นี า่ เชอื่ มากกวา่
“เพราะจวงจื๊อก็เป็นผู้เลื่อมใสเหลาจื่อมากคนหน่ึง การตายของ
เหลาจื่อ เราจะว่าสำ�เร็จเป็นเซียนก็ได้ไม่ขัดข้องอะไร เนื่องจากชีวประวัติ
ของเหลาจ่ือ เกิดเป็นปัญหาคลุมเครือข้ึนดังน้ี จึงเป็นอาหารสมองของ
บรรดานกั ปราชญจ์ นี ขบคดิ แลว้ แสดงมตอิ อกมาโตแ้ ยง้ หกั ลา้ งกนั โดยตา่ ง
คนตา่ งพยายามอา้ งองิ หลกั ฐานตา่ งๆ
“สำ�หรบั มตขิ องผเู้ ขยี น (เสถยี ร โพธนิ นั ทะ) ผเู้ ขยี นเหน็ ตามความ
เห็นของศาสตราจารย์โอ้วเส็ก ในข้อท่ีว่าเหลาจื่อคือเหลาตัมนั่นเอง และ
เปน็ ผู้ทมี่ อี าวุโสกวา่ ขงจอ๊ื แนน่ อน กับทัง้ เปน็ ผู้เขียนหนังสือ หรอื ผูป้ ระกาศ
ลัทธิเต๋าด้วย สำ�หรับเหตุผลของผู้เขียนที่ทำ�ให้เชื่ออย่างนั้น ก็เพราะใน
หนงั สอื ของจวงจอื๊ เมธสี มยั หลงั เหลาจอื่ มหี ลายแหง่ ทก่ี ลา่ วถงึ เหลาจอื่ โดย
ออกนามวา่ เหลาตมั และยกยอ่ งว่าเป็นปราชญ์โบราณ
32 : วถิ ีแหง่ เตา๋
“ทฤษฎีเหตุผลของฝ่ายที่ไม่เชื่อว่าหนังสือ “เต๋าเต็กเก็ง” (เต้า
เตอ๋ จงิ ) ซง่ึ กลา่ วกนั วา่ เหลาจอ่ื แตง่ จะมขี นึ้ กอ่ นสมยั ขงจอ๊ื เลยพาใหไ้ มเ่ ชอ่ื
ว่าเหลาจ่ืออยู่รวมยุคกับขงจื๊อ โดยอ้างว่าถ้าหนังสือเล่มน้ีมีในสมัยน้ันจริง
ทำ�ไมขงจ๊ือจึงไม่พดู ถึงบา้ ง หรอื เมง่ จ๊อื เมธีในสมยั 1 ศตวรรษหรอื 100 ปี
ต่อมา ทำ�ไมไม่กลา่ วถึงบา้ ง
“ผู้เขียนเห็นว่าหนังสือบันทึกคำ�สอนของขงจ๊ือ และเม่งจื๊อก็เป็น
หนงั สอื ไมม่ ากมายอะไร ทจี่ ะไปพดู ถงึ เรอื่ งงานของเจา้ ลทั ธอิ น่ื ละเอยี ดลออ
ได้ประการหนึ่ง อีกประการหน่ึงขงจื๊อเอง ก็มีความเคารพนับถือเหลาจื่อ
มากอยู่ แม้ทัศนะทางปรัชญาจะขัดกนั กไ็ มย่ อมวิพากษ์วจิ ารณอ์ ะไร
“ฉะนั้นจึงไม่ปรากฏว่าขงจื๊อพูดถึงคัมภีร์เต๋าเต็กเก็ง ฝ่ายเม่งจื๊อ
น้ันวิจารณ์ถึงลัทธิธรรมเหลาจ่ือเหมือนกัน แต่ไม่ได้ออกชื่อเหลาจื่อตรงๆ
หากไปออกชอื่ ของเมธอี กี ผู้หนึ่ง ซง่ึ เปน็ ผปู้ ฏิบตั ติ ามลทั ธขิ องเหลาจอ่ื
“สว่ นทแี่ ยง้ วา่ ขอ้ ความทศั นะบางตอน ในคมั ภรี เ์ ตา๋ เตก็ เกง็ (เตา้ -
เต๋อจิง) มีอะไรใหม่ๆ ที่บอกว่าเกิดในสมัยเจ้ียนก๊ก อันท่ีจริงก็ไม่แปลก
เพราะหนังสือโบราณอย่างเต๋าเต็กเก็ง เป็นไปได้ท่ีมีผู้แต่งเติมขยายความ
พสิ ดารออกไปบา้ งในชนั้ หลงั หรอื มตี กหลน่ พลดั หายไปบา้ ง แตส่ าระสำ�คญั
ก็คงเปน็ ของเหลาจือ่ ซึ่งผู้อืน่ จะมาแปลกปลอมไปท้งั หมดไม่ได้
“สรปุ แลว้ กค็ อื ลทั ธปิ รชั ญาในคมั ภรี ์ ‘เตา๋ เตก็ เกง็ ’ (เตา้ เตอ๋ -
จิง) เปน็ ของเหลาจอ่ื ซึง่ เป็นเมธอี าวโุ สกวา่ ขงจ๊ือแนน่ อน
“ส่วนสาเหตุที่ทำ�ให้นกั ประวัติศาสตรโ์ บราณขนาดซีเบเ๊ ชยี ง ซึ่งมี
ชีวิตห่างจากสมัยเหลาจ่ือเพียงไม่ก่ีร้อยปี จับต้นชนปลายประวัติเหลาจื่อ
ไม่ใคร่เรียบร้อย ก็เน่ืองมาจากตัวเหลาจื่อเอง ซึ่งเป็นคนไม่ปรารถนา
เปดิ เผยตนเองในสงั คม
“ดว้ ยเหตนุ จี้ งึ ทำ�ใหไ้ มม่ ผี ใู้ ดทราบรายละเอยี ดชวี ติ ประวตั ขิ องเขา
ถูกต้อง จะไปตำ�หนิซเี บ๊เชยี งก็ออกเกินไปหน่อย อนั ที่จรงิ ควรจะขอบใจที่
เขายังอุตสา่ หร์ วบรวมเร่ือง ทเ่ี ขาสดบั ฟังมารวบรวมไวค้ รบถว้ นเปน็ ระบบ
ระเบยี บ
เหลาจอื่ : 33
“ชาตภิ มู ขิ องเหลาจอ่ื คอื รฐั ฌอ้ (ปจั จบุ นั ไดแ้ กม่ ณฑลฮอ่ นำ้ �) ในยคุ
ชนุ ชวิ -เจยี้ นกก๊ ยงั ถอื กนั วา่ เปน็ รฐั ภาคใต้ ประชาชนในนครฌอ้ มใิ ชช่ าวจนี
แท้ทุกคน มีชาวพื้นเมืองหรือบุตรหลานของชาวพ้ืนเมือง ซึ่งถูกจีนกลืน
กลายเปน็ จีนอยมู่ าก
“ความคิดอ่านของชาวฌ้อจึงเป็นความคิดเสรี ไม่สู้จะผูกมัดกับ
นติ ธิ รรมเนยี มประเพณี อยา่ งชาวจนี ทางเหนอื นกั เหลาจอื่ กม็ คี วามคดิ แบบ
เสรนี ยิ ม ซงึ่ เราจะเหน็ จากลทั ธปิ รชั ญาของเขาตอ่ ไป ความคดิ ของเขาเปรยี บ
เสมือนคนพ้นจาก ‘โลกียวสิ ัย’ ซ่งึ สมมติเรยี กว่าสู่ ‘โลกตุ รวิสัย’ ”
ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของจอมปราชญ์จีนนาม “เหลาจ่ือ” หรือ
“เล่าจ๊ือ” ซึ่งมีการบันทึกไว้ในช่วง 100 ปีก่อนคริสตกาล คือบันทึกของ
สมุ าเจ๋ยี น ดังปรากฏในหนังสือ “วิถแี หง่ เตา๋ ” หรอื “คัมภรี ์เต้าเต๋อจงิ ”
ของจอมปราชญ์เหลาจ่ือ แปลและเรียบเรียงโดย “พจนา จันทรสันติ”
ความตอนหนงึ่ ว่า
“สุมาเจ๋ียน ซงึ่ มีชีวิตอยใู่ นชว่ งประมาณ 100 ปีก่อนครสิ ตกาล ได้
เป็นผู้บันทึกขึ้น ซ่ึงจากบันทึกของสุมาเจี๋ยนน้ีเอง ทำ�ให้เราได้รู้เร่ืองราว
เกีย่ วกบั ประวตั ิของจีนโบราณเป็นอนั มาก รวมทั้งประวัติของท่านเหลาจ่ือ
ซงึ่ มบี นั ทึกรวมอยู่ด้วย
“สุมาเจี๋ยนได้ให้ข้อสันนิษฐานว่า เม่ือประมาณ 604 ปีก่อน
ครสิ ตกาล เหลาจอื่ ไดถ้ อื กำ�เนดิ ขนึ้ มาในหมบู่ า้ นจเู ยน ตำ�บลไหล่ แขวงเมอื ง
ฮู่ แคว้นฉู ในตระกูลทีส่ บื ‘แซ่หลี’ มชี ่ือเล่นว่า ‘เออ้ ’ ช่ือจริงวา่ ‘ตนั ’
“ดังนั้นจงึ เรียกกนั ว่า ‘หลีเออ้ ’ บา้ ง หรือ ‘หลีตัน’ บ้าง ตอ่ เมือ่
ท่านแก่ตัวลง จนหนวดเคราขาวโพลนแล้ว จึงมาเรียกกันภายหลังว่า
‘เหลาจื่อ’ อันมคี วามหมายวา่ “ปราชญ์ผชู้ รา” และในบางครง้ั ยังมีเรียก
กนั อกี วา่ ‘เหลาตัน’
“เหลาจ่ือได้เข้ารับราชการในวังหลวงท่ีนครโลยัง รับตำ�แหน่ง
เลขานุการพระราชวงั และต่อมาได้เปน็ บรรณารักษห์ อสมุดแห่งชาติ ของ
กษัตรยิ แ์ ห่งราชวงศโ์ จว
34 : วถิ แี ห่งเตา๋
“มเี หตกุ ารณส์ ำ�คญั อกี อยา่ งหนง่ึ ทเี่ กดิ ขน้ึ ในชว่ งน้ี คอื ขงจอื๊ ซงึ่ เปน็
ปราชญ์คนสำ�คัญในสมยั เดียวกัน (แตข่ งจือ๊ มีอายนุ อ้ ยกวา่ เหลาจอ่ื 53 ป)ี
ได้ไปเยยี่ มเยยี น เพอ่ื ขอคำ�แนะนำ�จากเหลาจือ่ เมื่อขงจ๊อื กลบั มาแลว้ ได้
มาเลา่ ถึงเหลาจ่ือให้เพอ่ื นๆ และศษิ ย์ฟงั ว่า
“ขา้ พเจา้ รอู้ ยวู่ า่ เหตใุ ดวหิ ค จงึ อาจบนิ ไปในฟากฟา้ ปลาอาจแหวก
ว่ายในสายธาร และสตั ว์ส่เี ทา้ จงึ อาจว่ิงไปบนแผ่นดิน สตั วซ์ ่งึ วิง่ ไดอ้ าจถูก
จับด้วยแรว้ ที่วา่ ยนำ้ �ไดอ้ าจถูกจบั ด้วยแหและเบ็ด ทบี่ นิ ไดอ้ าจถูกยงิ ดว้ ย
เกาทัณฑ์
“ครั้นมาพิจารณาดูถึงมังกร ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า เหตุใดมังกรจึง
อาจเหนิ บนิ อยใู่ นหว้ งหาว พลวิ้ ไปกบั สายลม ลอยละลอ่ งไปกบั เมฆได้ มงั กร
นั้นไม่มีใครจะจับอยู่ บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นมีเพียงท่านเหลาจ่ือเท่านั้น จึงอาจ
เปรียบไดก้ ับมงั กรแห่งฟากฟา้
“อยา่ งไรกต็ าม สมุ าเจยี๋ นเองกไ็ ดก้ ลา่ วเสรมิ ไวอ้ ยา่ งจรงิ ใจวา่ ขอ้ มลู
ทต่ี นไดร้ วบรวมเอาไวเ้ กย่ี วกบั ตวั ของเหลาจอ่ื นน้ั ออกจะกวา้ งขวาง สบั สน
และขัดแย้งกันจนไม่อาจหาข้อสรุปได้ จนแม้สุมาเจ๋ียนเองก็ได้ให้ฉายาแก่
เหลาจือ่ ว่า “ปราชญ์ผซู้ ่อนตน”
โอโช ปราชญ์อินเดียยุคโลกาภิวัตน์ กล่าวถึงจอมปราชญ์ท่ีช่ือ
“เหลาจื่อ” ไว้น่าสนใจยิ่ง ดงั ปรากฏในหนังสือ “คุรวุ ิพากษค์ ุรุ OSHO”
ความตอนหนึ่งว่า
“เหลาจื่อมีอายุอยู่ 90 ปี ท่ีจริงเขาไม่ได้ทำ�อะไรเลยนอกจากมี
ชีวิตอยู่ เขามีชีวิตอยู่โดยองค์รวม หลายครั้งศิษย์ของเขาขอให้เขาเขียน
อะไรบา้ ง แตเ่ ขาก็กล่าวเสมอวา่ ‘เตา๋ ทบ่ี อกเล่าได้ ไมอ่ าจเปน็ เต๋าท่ีแท้
ความจรงิ ทบ่ี อกเลา่ ได้ กเ็ ป็นความไมจ่ ริงไปในทนั ที’
“ดงั นน้ั เขาจงึ ไมพ่ ดู อะไรเลย เขาจงึ ไมเ่ ขยี นอะไรเลย อยา่ งนนั้ แลว้
อะไรคอื สงิ่ ทเ่ี หลา่ ศษิ ยท์ ำ�กบั เหลาจอ่ื เลา่ พวกเขากเ็ พยี งแตอ่ ยกู่ บั เขา อาศยั
อยู่ด้วย ย้ายไปด้วยกัน พวกเขาเพียงแต่ดูดกลืนการดำ�รงอยู่ของเขา
เหลาจอ่ื : 35
อย่ใู กล้เขา และพยายามเปิดตาดเู ขา เมือ่ อยู่ใกล้เขา และพยายามไมค่ ิดถึง
ส่งิ ใดอีก
“เมอ่ื อยใู่ กลเ้ ขา พวกเขากเ็ รม่ิ นง่ิ เงยี บขนึ้ เรอ่ื ยๆ ในความเงยี บนนั้
เขากเ็ ขา้ ถึงศษิ ย์ เขาจะมาหาศิษย์ แลว้ เขาก็จะเคาะประตู นาน 90 ปี ที่
เหลาจอื่ ปฏิเสธจะเขยี นส่ิงใดหรอื พูดส่งิ ใด นี่คอื ทัศนคตพิ ื้นฐานของเขา ท่ี
ว่าความจริงมิอาจสอนได้น้ัน หมายความว่าชั่วขณะที่คุณกล่าวบางอย่าง
เกย่ี วกับความจริง มันก็ไมจ่ ริงอกี ต่อไป
“การพดู ออกมานนั้ ทำ�ใหม้ นั เปน็ เทจ็ คณุ ไมอ่ าจสอนได้ อยา่ งมาก
ที่สุด คุณก็ทำ�ได้เพียงชี้ทาง และการชี้นั้น ก็ควรช้ีด้วยตัวตนของคุณเอง
ด้วยชีวิตทั้งหมดของคุณ ไม่สามารถช้ีได้ด้วยถ้อยคำ� เขาต่อต้านถ้อยคำ�
และตอ่ ต้านการใช้ภาษา”
เล่าขานกนั อีกว่าจอมปราชญ์เหลาจือ่ คือเอกบุรษุ ผซู้ อ่ นตนอยูใ่ น
ความเงยี บสงบ ทา่ นหลกี เลย่ี งการพดู ถงึ ความจรงิ ทที่ า่ นไดบ้ รรลุ และทา่ น
ปฏิเสธเมื่อบรรดาสานุศิษย์ขอร้องให้เขียนคำ�สอนและปรัชญาเต้าเต๋อจิง
เพ่อื เกบ็ ไวเ้ ป็นคัมภรี แ์ ก่อนชุ นร่นุ หลัง
จอมปราชญ์เหลาจือ่ กล่าวแกผ่ คู้ น ด้วยถอ้ ยคำ�อันเป็นปรศิ นาวา่
“เต้าท่ีอธิบายได้มิใช่เต๋าอันอมตะ” หรือ “เต๋าที่บอกเล่าได้ไม่ใช่
เต๋าท่แี ท้ สัจธรรมนนั้ มอิ าจใชถ้ อ้ ยคำ� หรอื ภาษาให้ผู้อ่ืนเขา้ ใจได้ เฉกเช่น
ความจรงิ ทแ่ี ท้ หากบอกกลา่ วได้ ก็มิใช่ความจรงิ ทีแ่ ท้อีกต่อไป”
กระนั้นวาระสุดท้ายแห่งชีวิตในวัย 90 ปี ก่อนที่จอมปราชญ์
เหลาจ่ือจะละทิ้งกายสังขารไป โอโชได้บันทึกชีวประวัติตอนน้ีของ
จอมปราชญ์เหลาจ่อื ไว้ว่า
“เมอื่ อายไุ ด้ 90 ปี เขากจ็ ากพวกศษิ ยไ์ ป เหลาจอ่ื กลา่ วลาพวกเขา
และบอกว่า ‘บัดน้ีข้าจะย้ายไปบนภูเขา ไปอยู่บนภูเขาหิมาลัย ข้าจะไป
เตรยี มตัวตายทนี่ ่นั เปน็ เรื่องดีทไี่ ด้พ�ำ นักกับผู้คน เป็นเร่ืองดีท่ีได้อยู่ในโลก
ขณะท่ีเรามีชีวิตอยู่ แตเ่ มอ่ื คนเราเข้าใกล้ความตายมากข้ึน กด็ กี วา่ หากจะ
36 : วิถแี หง่ เตา๋
เคล่ือนสู่ความสันโดษ ทำ�ดังนั้นแล้วจะได้กลับสู่แหล่งเดิมแท้ ในความ
โดดเด่ียวและพสิ ุทธสิ์ งู สดุ ไมม่ ีโลกมาแปดเปอ้ื น’
“เหล่าศิษย์รู้สึกโศกเศร้าอย่างมาก แต่พวกเขาจะทำ�อย่างไรได้
พวกเขาตามอาจารย์ไปสองสามไมล์ แต่เหลาจื่อก็บอกให้ศิษย์กลับไป
ทลี ะคน แลว้ เขากข็ า้ มพรมแดนไปตามลำ�พงั ยามเฝา้ พรมแดน (หรอื นายดา่ น)
กกั ตัวเขาไว้ ผู้เปน็ ยามนน้ั ก็เปน็ ศิษย์ของเขาดว้ ย
“ยามเฝ้าพรมแดน (หรือนายด่าน) กล่าวว่า ‘หากท่านไม่เขียน
หนงั สอื สกั เลม่ ขา้ กจ็ ะไมอ่ นญุ าตใหท้ า่ นผา่ นพรมแดนนไ้ี ป ทา่ นควรท�ำ เพอื่
มนษุ ยชาติให้มากกวา่ นี้ เขียนหนังสอื สักเลม่ นัน่ คอื หนท้ี ่ที า่ นต้องจา่ ย ไม่
อย่างน้ันข้าก็ไม่อนุญาตให้ท่านผ่านไป’ ดังน้ัน เหลาจ่ือจึงถูกกักตัวอยู่
สามวนั โดยศษิ ยข์ องตัวเอง
“ชา่ งสวยงาม ชา่ งนา่ รกั เขาถกู บงั คบั และนน่ั กค็ อื วธิ ที เ่ี กดิ หนงั สอื
เลม่ เลก็ ๆ หนงั สอื ของเหลาจอื่ ‘เตา้ เตอ๋ จงิ ’ ขนึ้ เขาตอ้ งเขยี นขนึ้ จำ�นวน 81
บท เพราะศษิ ยไ์ มอ่ นญุ าตใหเ้ ขาผา่ นไป และศษิ ยน์ น้ั เปน็ ยาม มสี ทิ ธอิ ำ�นาจ
เขาสรา้ งปญั หาใหเ้ หลาจอื่ จงึ ไดเ้ ขยี นหนงั สอื หรอื คมั ภรี ช์ วี ติ เขาใชเ้ วลาเขยี น
สามวันจงึ สำ�เร็จเสร็จสน้ิ บรบิ รู ณ”์
ก่อนจบประวัติจอมปราชญ์เหลาจื่อ ขอนำ�ข้อสังเกตบางประการ
เกี่ยวกับพัฒนาการของ “ลัทธิเหลาจ่ือ” หรือ “ลัทธิเต๋า” ซ่ึงอาจารย์
เสถยี ร โพธนิ ันทะ ใหข้ ้อคิดและขอ้ มูลไว้ในหนังสือ “เมธตี ะวันออก” ดงั
ตอ่ ไปนี้
“เมือ่ กลา่ วถงึ ประวัตเิ หลาจ่อื ก็จำ�ต้องพดู ถึง ‘ศาสนาเต๋า’ ดว้ ย
มีผู้เข้าใจว่า ‘เหลาจ่ือ’ เป็นผู้ต้ังศาสนาเต๋า อันที่จริงศาสนาเต๋าเกิดภาย
หลงั เหลาจอื่ หลายรอ้ ยปี กลา่ วคอื ศาสนานเ้ี กดิ จากความเชอ่ื ถอื บชู าพระเจา้
ประจำ�ธรรมชาตติ า่ งๆ ซงึ่ เปน็ ความเชอ่ื ดง้ั เดมิ ของชาวจนี ผสมกบั ความเชอ่ื
ในวิชาเล่นแรแ่ ปรธาตุ ผลติ ยาอายุวฒั นะสำ�หรับกนิ ใหเ้ ปน็ ทิพย์
“ในสมัยกลางราชวงศ์ตงั ฮ่นั (ตน้ พุทธศตวรรษท่ี 7) มนี กั พรตคน
หนึ่งชื่อ เตียเต๋าเล้ง ประกาศว่าได้สำ�เร็จทิพยภาวะติดต่อกับเทพเจ้าได้
เหลาจื่อ : 37
ตั้งศาสนาเต๋าข้ึน ณ สำ�นักภูเขาเหาะเม่งซัว มณฑลเสฉวน สาธารณรัฐ
ประชาชนจนี
“ทงั้ น้ี มกี ารยกเหลาจอ่ื ขน้ึ เปน็ ศาสดา เอาคมั ภรี เ์ ตา๋ เตก็ เกง็ (เตา้ -
เต๋อจิง) เป็นสูตรของศาสนา แล้วตนเองก็แต่งคัมภีร์ส่ังสอนลัทธิอีกหลาย
เล่ม ล้วนหนักไปทางอภินิหารฤทธิ์เดชเวทมนตร์ และพิธีกรรมขลังต่างๆ
รวมท้ังวิธีบำ�เพ็ญฌาณถอดดวงวิญญาณไปรวมกับเต๋า (อย่างเดียวกับ
อาตมนั เลก็ ในตวั คน ไปรว่ มกบั ปรมาตมนั ใหญข่ องพราหมณ)์ หรอื วธิ สี รา้ ง
ยาอายวุ ัฒนะ เปน็ ตน้
“ทงั้ นี้ มลี ักษณะละม้ายการบำ�เพ็ญโยคะของโยคีอนิ เดีย ผสมกบั
ลัทธิอาถรรพเวทของพราหมณ์อย่างละคร่ึง เรียกนักพรตในศาสนานี้ว่า
เต๋ายิ้น สำ�หรับช่ือเต๋าย้ิน แปลว่า ‘ผู้บำ�เพ็ญเต๋า’ ซ่ึงจะแปลอย่างความ
เข้าใจไทยๆ กเ็ ป็นฤาษีน่นั เอง
“ตอ่ มาไมช่ า้ ศาสนาเตา๋ กไ็ ปเลน่ กบั การเมอื งเขา้ คอื ในสมยั สามกก๊
หลานของเตยี เตา๋ เลง้ ซง่ึ มชี อ่ื วา่ เตยี ลู้ สบื ตำ�แหนง่ เปน็ เจา้ ลทั ธซิ อ่ งสมุ สาวก
เปน็ กบฏตง้ั ตวั เปน็ กษตั รยิ แ์ ตถ่ กู โจโฉปราบได้ บตุ รชายเตยี ลชู้ อื่ เตยี เสง็ ตง้ั
สำ�นกั ใหมท่ ภี่ เู ขาเล่งโฮ้วซวั มณฑลกังไสส่ังสอนลทั ธิธรรม
“ท้งั นี้ มเี จา้ ลัทธิสืบสกุล ‘แซเ่ ตีย’ ตอ่ เนอื่ งกันลงมาถึงราชวงศ์ถงั
เน่ืองจากปฐมวงศ์ของราชวงศ์ถัง ‘แซ่ลี้’ กษัตริย์ในราชวงศ์ถัง จึงเช่ือว่า
ราชวงศข์ องพระองคเ์ ปน็ สงั ฆญาตกิ บั เหลาจอ่ื จงึ มโี องการสถาปนาเหลาจอื่
ขึ้นเป็น ไท้เสียงเฮี่ยงง้วนฮ่วงต่ี แปลว่า พระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงเป็น
ประธานแหง่ ความศักดสิ์ ทิ ธ์ิ อันมหึมาลึกซึ้งวิเศษสดุ
“ครน้ั ถงึ สมยั ราชวงศห์ งวน (พทุ ธศตวรรษท่ี 18) พระเจา้ หงวน-
ซ่นุ ตี่ มีโองการต้งั เจา้ ลัทธเิ ต๋าชื่อ ‘เตยี วจงอง๊ิ ’ ข้ึนเปน็ ‘เทยี นซอื ’ แปลวา่
เทพาจารย์ นับจำ�เดิมแต่น้ันมาเจ้าลัทธิทุกคน ก็ใช้ชื่อเทพาจารย์เป็น
สมณศกั ดข์ิ องตนถงึ ปัจจบุ ันนี้
“เจ้าลัทธิคนปจั จุบนั (ในปี 2508) ชื่อ “เตยี วอึงโพว”่ ซง่ึ กล่าวว่า
เป็นผสู้ บื ตำ�แหนง่ นับมาแต่เจ้าลัทธคิ นแรก เป็นอนั ดบั ท่ี 63 เขาไดต้ ดิ ตาม
38 : วถิ ีแห่งเตา๋
รัฐบาลจนี คณะชาติมาอย่ทู เ่ี กาะไต้หวนั เวลานี้ (2508) โดยตำ�แหนง่ เปน็
ประธานกรรมการสมาคม “เต๋าแห่งประชาชนจนี ”
“ส่วนคัมภีร์ในศาสนาเต๋า นอกจากเต๋าเต็กเก็งแล้วก็มีคัมภีร์ ซึ่ง
พวกเจา้ ลัทธิเตา๋ ภายหลังเปน็ ผูแ้ ตง่ เพมิ่ เตมิ และมีการขยายออกมาเร่อื ยๆ
จนถงึ สมยั ปรายราชวงศเ์ หมง็ (พทุ ธศตวรรษที่ 21) เจ้าลทั ธิชอ่ื “เตียกก๊ -
เซี้ยง” ได้ชำ�ระรวบรวมขึ้นเปน็ หนังสือ 5,485 เลม่ คดิ เป็นปกรณไ์ ด้ 512
ปกรณ์
“ศาสนาเตา๋ มลี กั ษณะเหมอื นศาสนาพราหมณ์ คอื มที งั้ หลกั คำ�สอน
ทเี่ ปน็ ปรชั ญา และหลกั คำ�สอนทเ่ี ปน็ ไปในทางเวทมนตรข์ ลงั ในพธิ ยี ญั กรรม
บวงสรวงต่างๆ ตลอดไปจนถงึ สาธยายเวทตา่ งๆ อีกดว้ ย”
เพ่ือความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีชีวิตของจอมปราชญ์เหลาจ่ือ ผู้รจนา
หรอื นพิ นธค์ มั ภีร์อมตะ “เตา้ เต๋อจงิ ” หรือ “เตา๋ เต็กเกง็ ” อยา่ งกระจ่าง
แจ้ง ผู้เขียนขอให้ท่านผู้อ่านศึกษา จากคมวาทะของจอมปราชญ์เหลาจื่อ
ซ่ึงขอคัดตัดตอนเฉพาะถ้อยคำ� ท่ีเก่ียวกับชีวประวัติของจอมปราชญ์
เหลาจอื่
กล่าวกันว่าจอมปราชญ์เหลาจ่ือกล่าวรำ�พึงรำ�พันถึงวิถีชีวิตของ
ทา่ นเอง อนั เปน็ การสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความเปน็ ตวั ตนของทา่ น วา่ เปน็ ชวี ติ
ท่ีงดงามย่ิง เป็นชวี ติ ท่ีธรรมดาสามญั ยิ่งกว่าธรรมดาสามัญ และน่คี อื ความ
ย่ิงใหญ่ของจอมปราชญ์เหลาจ่ือผู้กระทำ�ตนอย่างผู้ตำ่ �ต้อย ดังปรากฏใน
คมั ภรี ์ “เต้าเตอ๋ จิง” ซ่งึ ทา่ นกำ�ลงั อ่านในขณะน้ี นนั่ เอง
ทงั้ นี้ สารตั ถะแหง่ เนอื้ หาสาระสำ�คญั อนั สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ตวั ตนท่ี
ไร้ตวั ตนของจอมปราชญเ์ หลาจอ่ื น่นั ก็คอื ตวั ตนตามสมมติวา่ คอื ตัวตน ซ่ึง
จอมปราชญ์เหลาจอ่ื เร่ิมต้นกลา่ วถึง สจั ธรรมแหง่ ธรรมชาตสิ รรพส่งิ ตามที่
มนษุ ยใ์ หค้ า่ ใหค้ วามหมาย ดว้ ยการกลา่ วถงึ ถอ้ ยคำ� หรอื การใชภ้ าษาวา่ คอื
ไม่มีท้ังความเหมือน และความตา่ งใดๆ ท้งั สนิ้
น่นั ก็หมายความวา่ สรรพสิ่งบนโลกนัน้ ไมเ่ หมอื นและไมแ่ ตกต่าง
กนั ดงั นนั้ ท้งั คนช้นั สงู และคนช้นั ตำ่ � ทง้ั คนดหี รอื คนเลว ก็ไม่เหมือนและ
เหลาจื่อ : 39
ไม่แตกต่าง ท้ังใช่หรือไม่ใช่ กไ็ มเ่ หมือนและไม่แตกต่าง ทง้ั ดีหรอื ชวั่ ก็ไม่
เหมือนและไม่แตกต่าง ทัง้ บญุ หรือบาป กไ็ ม่เหมือนและไมแ่ ตกต่าง ทงั้ มี
อย่หู รือไม่มอี ยู่ ก็ไม่เหมอื นและไม่แตกต่าง
กระน้ันก็ต้องประพฤติปฏิบัติตามสมมติของชาวโลก ดังคำ�กล่าว
ของจอมปราชญเ์ หลาจอ่ื ในคัมภีรเ์ ตา้ เตอ๋ จงิ ความตอนหนง่ึ ว่า
“สงิ่ ใดทที่ กุ คนกลา่ ววา่ หวาดกลวั ไมก่ ลา้ กระท�ำ ขา้ พเจา้ กห็ วาดกลวั
ไม่กล้ากระทำ�สิ่งนั้น ชีวิตนี้ช่างยุ่งเหยิงเสียจริงๆ บั้นปลายเป็นเช่นไร
กม็ อิ าจทราบได้ ผคู้ นในโลกพากนั ยม้ิ แยม้ เรงิ รา่ ดง่ั เกษมส�ำ ราญในงานเลยี้ ง
ฉลอง ดัง่ เพลนิ ชมวสนั ตกาลบนหอสูง มีแต่ขา้ ฯ เพยี งผเู้ ดียวทส่ี งบเสง่ียม
คลา้ ยกบั ผู้ตดั ขาดความยนิ ดียินรา้ ยทั้งปวง คล้ายกับทารกแรกเกิดท่ยี งั ไม่
ยม้ิ หวั ลอยละลอ่ งไมม่ ถี น่ิ ทอี่ ยู่ ไม่ผกู พันอยู่กับสงิ่ ใดๆ ประดุจดัง่ ผ้พู เนจร
หรอื “อนาคาริก” ท่ไี ร้บา้ นเรือน
“ผู้คนในโลกแม้ว่ามีทรัพย์มากพอแล้ว ก็ยังแสวงหาและสะสม
ทรัพยเ์ พ่มิ เตมิ อกี ผู้อนื่ มที รพั ย์สนิ มากกวา่ ทตี่ อ้ งการ แต่ขา้ พเจ้าผู้เดยี วที่
ไม่มีอะไรเลย มีแต่ข้าพเจ้าเท่าน้ันที่สละละโดยส้ินเชิง จิตใจของข้าพเจ้า
คล้ายกับคนโง่เขลาท่ีไร้ปัญญา ผู้คนต่างแจ่มกระจ่าง แต่ตัวข้าพเจ้าเพียง
ผู้เดียวกลบั คลมุ เครอื มดื มวั และสบั สน
“ผู้อ่นื ล้วนประสบความสำ�เรจ็ แต่ตัวข้าพเจา้ เหมือนลม้ เหลวด้อย
ปญั ญา ผคู้ นในโลกลว้ นมจี ดุ มงุ่ หมาย ตวั ขา้ พเจา้ เพยี งผเู้ ดยี วทตี่ �่ำ ตอ้ ยและ
ดอื้ ดงึ ตวั ขา้ พเจา้ ผเู้ ดยี วทแ่ี ตกตา่ งจากคนอนื่ ตวั ขา้ พเจา้ ผเู้ ดยี วทไ่ี มเ่ หมอื น
ใคร ตัวข้าพเจ้าผ้เู ดยี วทไ่ี มม่ ีใครเหมอื น ข้าพเจ้าเพียงผเู้ ดียวเสมือนผ้ทู ี่ละ
จากโลกยี วสิ ยั อยา่ งส้นิ เชิง”
คำ�สอนและปรชั ญาเต๋าอกี บทหนงึ่ ซงึ่ สะทอ้ นถึงคำ�สอนอันอมตะ
ของจอมปราชญ์เหลาจื่อ คือการบอกกล่าวถึงถ้อยคำ�ของท่านท่ีนำ�มา
สอนสั่งน้นั ง่ายท่ีจะเข้าใจและง่ายทจ่ี ะปฏิบตั ิ ทว่าผู้คนบนโลกหล้ากลับไม่
เขา้ ใจ อีกท้ังไมส่ ามารถนำ�ไปปฏิบตั ใิ ห้เกดิ มรรคผลได้
40 : วถิ แี ห่งเต๋า
ดงั ถ้อยคำ�จากสรรนิพนธ์ “เตา้ เต๋อจงิ ” บทที่ 70 ซงึ่ จอมปราชญ์
เหลาจอื่ รำ�พึงรำ�พันดงั นี้
“คำ�พูดของข้าพเจ้ามีทั้งหลักการและอุดมการณ์ ถ้อยคำ�ของ
ข้าพเจ้าถือกำ�เนิดมายาวนาน การกระทำ�ของข้าพเจ้าก็อิงแอบหลักการ
(เตา๋ ) ค�ำ สอนของขา้ พเจา้ มบี อ่ เกดิ (ธรรมชาต)ิ และขา้ พเจา้ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
ตามวธิ ที างแหง่ ฟ้า (เต๋า) แต่เพราะผคู้ นไม่สนใจ และผคู้ นไมเ่ ขา้ ใจคำ�สอน
น้ี พวกเขาจงึ ไมเ่ ข้าใจในตัวข้าพเจา้ จงึ มีคนรจู้ กั ขา้ พเจ้าเพียงนอ้ ยนิด
“ผทู้ ี่ท�ำ ตามหลักการของขา้ พเจา้ ย่ิงหาได้ยากยง่ิ เพราะผูค้ นร้จู ัก
ขา้ พเจา้ น้อยนก่ี ระมัง ขา้ พเจ้าจึงมคี ณุ คา่ และมีเกยี รตอิ นั สงู ส่ง อรยิ บคุ คล
สวมเสอื้ ผา้ เกา่ คร�่ำ ครา่ รงุ่ รงิ่ ทวา่ ซอ่ นอรยิ ทรพั ยอ์ นั ทรงคณุ คา่ ไวใ้ นออ้ มอก”
กล่าวถึงที่สุดแล้วคัมภีร์เต้าเต๋อจิงแบ่งเป็นภาคต้น 37 บท และ
ภาคปลาย 44 บท รวม 81 บท ซงึ่ จอมปราชญ์เหลาจ่อื สรุปรวบยอดถงึ ส่ิง
ที่สมมตเิ รยี กขานว่า “เตา๋ ” นัน้ วา่ เต๋าน้นั มองไม่เหน็ เต๋าน้นั ฟังไม่ไดย้ ิน
เต๋านั้นสัมผัสไม่ได้ 3 ประการนี้ มิอาจอรรถาธิบาย ทั้งหมดนี้รวมเป็น
หนงึ่ เดยี ว และรบั รไู้ ดด้ ว้ ยใจเท่านนั้
เต๋าไม่สว่าง ไม่มืด เต๋านั้นคล้ายมีอยู่คล้ายไม่มีอยู่ และเต๋าน้ันมิ
อาจบรรยายลักษณะได้ เตา๋ มรี ปู ท่ไี รร้ ูป มสี ัณฐานทไ่ี รส้ ณั ฐาน เต๋าเหมอื น
มตี วั ตนแตไ่ รต้ ัวตน เมื่ออยู่ตอ่ หน้าก็มองไม่เหน็ เมอื่ ตามหลังก็มองไมเ่ ห็น
หากผู้ใดยึดกุมธรรมวิถีแห่งเต๋าได้ จิตผู้น้ันย่อมเป็นอิสระ ปราศจากสิ่ง
พันธนาการ คือจิตอยู่เหนือสรรพส่ิง อีกท้ังผู้ใดเข้าใจต่อสัจธรรมแห่ง
ธรรมชาติ ย่อมเข้าถงึ กฎเกณฑ์แหง่ เตา๋
เมื่อกล่าวอย่างรวบรัดแล้ว วิถีชีวิต ความคิด หรือปรัชญาของ
จอมปราชญ์เหลาจอื่ หรือเล่าจื๊อ เหนอื กวา่ นกั ปราชญค์ นใด และเหนือกวา่
นักปราชญ์ยุคใดสมัยใดบนโลกใบน้ี เฉพาะอย่างยิ่งท่านคือคนธรรมดาท่ี
ยิ่งใหญ่ และเป็นคนสามัญคล้ายไม่ธรรมดาสามัญ หมายถึงท่านเป็น
คนธรรมดาที่พเิ ศษท่ีสดุ ในรอบกวา่ 2,500 ปที ผ่ี ่านมา
เหลาจื่อ : 41
การท่ีผู้เขียนพรรณนาชีวประวัติของจอมปราชญ์เหลาจ่ือมาอย่าง
ยดื ยาว กด็ ว้ ยเปา้ หมายทจ่ี ะไขปรศิ นาทวี่ า่ “เหลาจอ่ื ” คอื ชอ่ื ของจอมปราชญ์
จีนท่ีมีชีวิตอยู่จริงในยุคใด และชื่อจริงของท่านคือเหลาจ่ือ หรือเป็นเพียง
นามแฝงกนั แน่
สรุปว่าสุดยอดคำ�สอนหรือปรัชญาชีวิต ท่ีท่านนำ�มาสั่งสอนแก่
สานุศิษย์และผู้คนทั่วไป ก็คือจงประพฤติ หรือปฏิบัติตนเป็นคนธรรมดา
แล้วเราก็จะไม่ธรรมดา จงเป็นผู้ต่ำ�ต้อย แล้วเราจะเป็นผู้มีเกียรติอันสูงส่ง
จงอย่าอ้างคุณความดีความชอบ แล้วเราจะเปน็ ผู้มีคณุ ความดีท่ีเย่ียมยอด
จงดำ�รงตนอย่างผู้ไม่มีตัวตนดำ�รงอยู่ และพึงดำ�รงอยู่อย่างไม่ใช่คนสำ�คัญ
แลว้ เราจะเป็นที่จดจำ�ของผู้คนบนโลกยั่งยนื ยาวนาน
ประการสำ�คัญท่ีสุดหากเรามองสรรพสิ่งในจักรวาล ด้วยสายตา
ของเตา๋ กจ็ ะไม่มีอะไรดีท่สี ดุ และเลวที่สุด แต่ละชีวิตแตล่ ะสิง่ ย่อมดำ�รงอยู่
ตามสภาพของตัวเอง โดยวิถีทางของตนเอง และเห็นว่าท้ังส่ิงเล็กและ
สิง่ ใหญม่ ีความสำ�คญั เท่ากัน
ขอสรุปอย่างกระชับและรัดสั้นโดยสังเขปว่า ปรัชญาเต๋าของ
เหลาจ่ือ ท้ังปรัชญาการดำ�เนินชีวิต และปรัชญาการเมืองการปกครอง
เฉพาะอย่างย่ิงเป็นปรัชญา ที่มุ่งให้ผู้คนก้าวข้ามพ้นจากโลกียธรรมสู่
โลกุตรธรรม และเหนืออ่ืนใดหากมุ่งหวังให้ชีวิตปราศจากปัญหาและ
อุปสรรค ก็ต้องข้ามให้พ้นไปจากความคิดปรุงแต่งของตน สู่ความมีจิตท่ี
เป็นอสิ ระ อีกท้ังดำ�เนินชีวติ ใหส้ อดคลอ้ งสมดุล และกลมกลนื กับธรรมชาติ
รวมทัง้ ไมย่ ึดถอื ตนวา่ ตนสำ�คัญกว่าผู้อืน่
ประการสำ�คญั ทพี่ งึ ตระหนกั กค็ อื จอมปราชญเ์ หลาจอ่ื กลา่ ววา่ ชาว
ลทั ธิเตา๋ ทกุ คนต้องประพฤติปฏิบตั ิตนตามคณุ ธรรม (เต๋า) 4 ประการ คือ
การไม่บงั คับแทรกแซงส่งิ ใด สรรพสงิ่ เป็นไปตามวถิ ีธรรม อนั เป็นธรรมดา
ของมัน ธรรมชาติสรรพส่ิง (เต๋า) ให้กำ�เนิดฟูมฟักหล่อเล้ียง และเป็น
พ้ืนฐานให้ทุกส่ิงเจริญงอกงาม โดยไม่เข้าไปครอบครองหรือยึดม่ันถือม่ัน
หรอื ยึดเปน็ เจ้าของส่ิงใดในโลกใบน้ี
42 : วิถแี หง่ เต๋า
เฉกเช่นในการประกอบกิจ ก็ไม่หวังผลประโยชน์ หรือไม่หวัง
ช่ือเสียงเกียรติยศใดๆ แม้จะเป็นผู้นำ� ก็ไม่กระทำ�ตัวเป็นเจ้าขุนมูลนาย
ต่อผู้ใด ซึ่งผู้ใดประพฤติปฏิบัติตามคุณธรรมดังกล่าว ผู้น้ันก็จะกลายเป็น
ผมู้ ีเต๋าอยใู่ นจติ อยา่ งฉบั พลนั โดยไมต่ อ้ งแสวงหาเต๋าจากท่ีใดอกี ตอ่ ไป
สง่ิ ทไี่ มอ่ าจปฏเิ สธไดอ้ กี ดา้ นหนง่ึ กค็ อื หากผใู้ ดอา่ นคมั ภรี เ์ ตา้ เตอ๋ จงิ
แล้ว บังเกิดความเข้าใจเต๋าอย่างกระจ่างแจ้ง ผู้น้ันต้องข้ามให้พ้นไปจาก
ถ้อยคำ�หรือภาษา ด้วยการมองให้เห็นว่าภาษาและถ้อยคำ� เป็นเพียง
อปุ กรณ์สำ�หรับสื่อสาร เพอื่ ความเขา้ ใจต่อกันเท่าน้ัน
ตวั อยา่ งคำ�สอนและปรชั ญาทสี่ ำ�คญั ดงั ปรากฏอยใู่ นคมั ภรี เ์ ตา๋ นน้ั
เสมอื นเปน็ คำ�สอนทอี่ อกมาขดั แยง้ กนั เชน่ คำ�กลา่ วทว่ี า่ “เรามอิ าจหาความ
สขุ ไดถ้ ้าไมห่ ยดุ หา” และ “เมอื่ หยุดหาความสุขเรากจ็ ะพบความสขุ อย่าง
ฉบั พลัน” มิเพียงความสุขเท่าน้ันที่เราต้องหยดุ แสวงหา จึงจะพบความสุข
แม้แต่ความรอบรู้ทั้งหลาย จอมปราชญ์เหลาจื่อก็บอกให้เราหยุดแสวงหา
ความรอบรู้ จึงจะบงั เกิดความรอบรู้อยา่ งแทจ้ ริง
กระนน้ั จอมปราชญเ์ หลาจอ่ื กม็ ไิ ดส้ อนใหเ้ ราหนไี ปจากชวี ติ ทเี่ ตม็
ไปดว้ ยกจิ กรรมมากมายในแตล่ ะวนั อนั เปน็ ประสบการณข์ องมนษุ ย์ อกี ทง้ั
มิได้สอนให้เราต้องหลีกเร้นไปอยู่อย่างเงียบๆ โดยลำ�พังอย่างเดียวดาย
เฉกเชน่ ปราชญเ์ มธบี างทา่ น
ทว่าจอมปราชญเ์ หลาจอื่ เพยี งแต่บอกว่า เราสามารถหาความสุข
ไดก้ ต็ อ่ เมอื่ ไมแ่ สวงหา หรอื ความสขุ จะบงั เกดิ เมอ่ื เราหยดุ แสวงหาความสขุ
เชน่ เดยี วกบั กระทำ�โดยไมใ่ ชอ้ ตั ตาเปน็ ผกู้ ระทำ� ทเ่ี รยี กวา่ “กระทำ�โดยไม่
กระทำ�”
กลา่ วสำ�หรบั สารตั ถะแหง่ คำ�สอน และปรชั ญาแหง่ คมั ภรี เ์ ตา้ เตอ๋ จงิ
กค็ อื การกระทำ�โดยไรผ้ กู้ ระทำ� จงึ เปน็ การกระทำ�ทส่ี มบรู ณ์ นน่ั กห็ มายความ
วา่ เปน็ การกระทำ�ท่ีสอดคล้องกบั ธรรมชาติ ไม่กระทำ�ชดั แย้งกบั ธรรมชาติ
เป็นการกระทำ�ที่ไม่ประสงค์ต่อผลแห่งการกระทำ� จึงเป็นการกระทำ�ที่
แท้จรงิ และเป็นการกระทำ�ทีย่ ่งิ ใหญแ่ ละถกู ตอ้ ง
เหลาจ่ือ : 43
สรุปคัมภีร์เต้าเต๋อจิงเป็นคัมภีร์ที่มีความลึกซ้ึง แม้จะเขียนด้วย
ประโยคสั้นๆ แต่ก็มีความหมายพิสดาร ดังนั้น จึงต้องมีการอธิบายกัน
ยดื ยาว อกี ทง้ั เปน็ คมั ภรี ท์ ถ่ี กู ตคี วาม และอธบิ ายมากทส่ี ดุ เลม่ หนง่ึ ของโลก
นับตัง้ แต่ยุคสามกก๊ เป็นตน้ มาจนถึงปัจจบุ ัน
คงไมเ่ กนิ เลยความจรงิ หากสรปุ วา่ จอมปราชญเ์ หลาจอื่ คอื ปราชญ์
เมธีคนแรกของจีน ที่สอนส่ิงสมบูรณ์แห่งจักรภพ ที่ไม่ใช่พระเจ้ามีตัวตน
อยา่ งศาสนาเทวนิยมทง้ั หลาย สิ่งท่สี มบรู ณอ์ ันเปน็ เอกภาพของจักรวาลน้ี
จอมปราชญเ์ หลาจอื่ เรยี กวา่ “เตา๋ ” เตา๋ จงึ มคี วามหมายไดห้ ลายอยา่ ง เชน่
หนทาง คุณสมบตั ิ วิธีการ กฎเกณฑจ์ ารีต ธรรมชาติ เปน็ ต้น
เหนอื อ่ืนใดเตา๋ เปน็ รากฐานของสรรพสง่ิ เต๋าคอื อมตะภาวะทไ่ี ม่มี
เบ้ืองต้น ทา่ มกลางและทส่ี ดุ และสรรพส่งิ เกิดขนึ้ และดบั ในเต๋าน้ี อกี ท้งั เตา๋
เป็นอมตะภาวะ และอภาวะตามธรรมชาติ มันเปน็ สิ่งท่ีไมอ่ าจจะอธิบายได้
ด้วยภาษาของมนุษย์ เพือ่ ใหเ้ ข้าใจอยา่ งสมบูรณค์ รบถว้ น
สุดท้ายน้ีผู้เขียนใคร่ขอเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า ปราชญ์ชาวจีนยุค
โบราณอย่างจอมปราชญ์เหลาจ่ือ มีความมุ่งมาดปรารถนาที่จะสอนให้
มนุษย์มีความเข้าใจ ต่อสัจธรรมแห่งธรรมชาติสรรพส่ิง (เต๋า) โดยใช้
โลกุตรปัญญามากกว่าการใช้จิตที่ชอบคิดปรุงแต่ง คิดนึกในทางที่จะให้
บังเกดิ ความมีความเปน็ เช่นน้นั หรือไมเ่ ปน็ เชน่ น้ัน
เฉพาะอย่างยิ่งพึงเข้าใจอีกด้านหน่ึงว่า ผู้ที่จะเข้าใจคำ�สอนเช่นนี้
ได้ ก็คงมีแต่ผู้มีปัญญาญาณแบบปราชญ์หรือวิญญูชนเท่านั้น ทว่าผู้คน
ทั่วไปที่ยังคงนับถือวิญญาณและเทพเจ้า รวมท้ังสิ่งศักด์ิสิทธิ์อยู่เช่นเดิม
คงเขา้ ใจและยอมรบั คำ�สอนและปรชั ญาเตา๋ ยากลำ�บากยง่ิ
ดว้ ยเหตนุ เี้ มอ่ื วนั เวลาผา่ นพน้ ไป คำ�สอนของจอมปราชญเ์ หลาจอ่ื
คงเหลือไว้ให้ปัญญาชนศึกษา และขบคิดต่อไป ส่วนปุถุชนคนท่ัวไปที่ยัง
หลงยึดส่ิงมายาวา่ เป็นความจริงแท้ ก็ยังคงยึดถือในความเชื่อเทพเจ้า และ
เทพเจ้าทีผ่ ้คู นยดึ ถือก็ยงั คงได้รบั การยกย่องบูชาให้เป็นท่พี ่งึ ตอ่ ไป
44 : วิถีแห่งเตา๋
แนน่ อนคำ�สอนและปรชั ญาของจอมปราชญเ์ หลาจอ่ื กต็ กอยู่
ภายใตก้ ฎไตรลักษณ์ คอื มีทง้ั ความเจรญิ กา้ วหน้า และความถดถอย
เส่อื มทรุด ตามสมมตขิ องชาวโลกเชน่ เดียวกบั พระพุทธศาสนา
น่ันก็คือคำ�สอนของท่าน แม้ว่ามุ่งหมายให้บุคคลเข้าใจใน
ธรรมชาติอย่างผู้มีปัญญาญาณ และมุ่งหมายให้ผู้คนดำ�เนินวิถีชีวิต
แบบเรียบง่าย มกั นอ้ ย สันโดษ และสมถะ
แต่เม่ือกาลเวลาผ่านพ้นไปนับพันปี หลักคำ�สอนและคัมภีร์
เต้าเต๋อจิง ก็ได้ถูกเสริมเติมแต่งหรือเปล่ียนแปลงไปจากเดิมเป็น
อย่างมาก
เฉพาะอยา่ งยงิ่ เนน้ หนกั ในทางอภนิ หิ ารและเวทมนตร์ ทำ�ให้
ปรัชญาเต๋าได้เปลี่ยนรูปมาอยู่ในลักษณะของลัทธิหรือศาสนา ท่ีมี
การปฏริ ปู และเปลยี่ นแปลง ดงั ปรากฏใหค้ นรนุ่ หลงั เหน็ แจง้ อยใู่ นยคุ
ปจั จบุ นั
เหลาจ่ือ : 45