The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงสร้างของพืช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Sirinart Moomthong, 2020-11-11 09:52:53

โครงสร้างของพืช

โครงสร้างของพืช

structure

1

สารบัญ

โครงสรา้ งของพืช 3 ดอก 10
ราก 4 ผล 12

ลาตน้ 6 เมลด็ 13
ใบ 8
ผจู้ ดั ทา 14

2

พืชประกอบด้วยอวยั วะทสี่ ำคญั ต่อกำรดำรงชวี ิต
ไดแ้ ก่ รำก ลำตน้ ใบ ดอก ผล และเมล็ด ซง่ึ อวยั วะแตล่ ะส่วน
ของพชื นน้ั มีหน้ำท่แี ละสว่ นประกอบแตกตำ่ งกัน แต่ทำงำน
เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กนั หำกขำดอวยั วะส่วนใดสว่ นหนงึ่ ไป
อำจทำให้พชื น้นั ผดิ ปกตหิ รอื ตำยได้ และยงั มีปจั จัยบำง
ประกำรที่จำเปน็ ตอ่ กำรเจรญิ เตบิ โตของพืช

3

ราก

รำก คอื อวัยวะท่ีเปน็ ส่วนประกอบของพชื ที่ไมม่ ีคลอโรฟิลล์ ไมม่ ีขอ้ ปล้อง ตำและ ใบ รำกเจรญิ เติบโตตำมแรงดงึ ดดู
ของโลกลงสดู่ ิน มขี นำดและควำมยำวแตกตำ่ งกนั รำกของพชื มหี ลำยชนดิ ได้แก่
1. รากแก้ว เป็นรำกทีง่ อกออกมำจำกเมลด็ โคนของรำกแก้วจะมขี นำดใหญ่แลว้ คอ่ ยๆ เรียวไปจนถงึ ปลำยรำก
2. รากแขนง เปน็ รำกที่แตกออกมำจำกรำกแก้ว จะเจริญเติบโตขนำนไปกับพน้ื ดนิ และสำมำรถแตกแขนงไปได้เรอื่ ยๆ
3. รากฝอย เปน็ รำกทม่ี ีลักษณะและขนำดโตสม่ำเสมอกัน จะงอกออกมำเป็นกระจกุ
4. รากขนอ่อนหรือขนราก เปน็ ขนเสน้ เลก็ ๆ จำนวนมำกมำยท่อี ยู่รอบๆ ปลำยรำก ทำหนำ้ ทีด่ ดู น้ำและแรธ่ ำตุ

4

รากของพชื สามารถจาแนกได้ 2 ระบบ

1. ระบบรำกแกว้ หมำยถงึ ระบบรำกทม่ี ีรำกแก้วเป็นรำกหลกั เจริญเติบโตไดเ้ รว็ ขนำดใหญแ่ ละยำวกว่ำรำกอน่ื ๆ และมีรำกแขนงแตก
ออกมำจำกรำกแก้ว ที่ปลำยรำกแขนงจะมีรำกขนอ่อนงอกออกมำ เชน่ รำกผักบงุ้ รำกมะมว่ ง เปน็ ตน้
2. ระบบรำกฝอย หมำยถงึ ระบบรำกท่มี รี ำกฝอยเปน็ จำนวนมำก ไม่มรี ำกใดเป็นรำกหลกั มลี กั ษณะเปน็ เส้นเลก็ ๆ แผ่กระจำยออกไป
โดยรอบๆ โคนต้น ท่ปี ลำยรำกฝอยจะมรี ำกขนอ่อนงอกออกมำ เชน่ รำกขำ้ วโพด รำกหญำ้ รำกมะพร้ำว เป็นต้น

หน้าท่ีของราก

1. ยดึ ลำตน้ ให้ตดิ กบั พน้ื ดนิ
2. ดูดน้ำและธำตุอำหำรท่ลี ะลำยน้ำจำกดนิ แล้วลำเลียง
ข้นึ ไปยงั ส่วนตำ่ งๆ ของพชื โดยผำ่ นทำงลำต้นหรือก่ิง

5

ลาตน้

ลำต้น คอื อวยั วะของพืชทโี่ ดยท่ัวไปเจริญอย่เู หนอื พนื้ ดนิ ตอ่ จำกรำก มีขนำด รปู รำ่ ง และลกั ษณะแตกตำ่ งกันไป ลำต้นมที ้ังลำตน้ อยู่
เหนือดิน เช่น มะละกอ มะมว่ ง มะนำว ชมพู่ เปน็ ตน้ และลำต้นอย่ใู ตด้ ิน เชน่ ขิง ขำ่ ขมิน้ กล้วย หญำ้ แพรก พทุ ธรักษำ เป็นตน้

ลาตน้ ประกอบดว้ ยส่วนสาคญั 3 ส่วน
1) ขอ้ เปน็ ส่วนของลำต้นบรเิ วณท่มี ีก่งิ ใบหรอื ตำงอกออกมำ ลำต้นบำงชนดิ อำจมดี อกงอกออกมำแทนกง่ิ หรือมีหนำมงอกออกมำแทนกง่ิ
หรือใบ
2) ปล้อง เป็นส่วนของลำต้นทีอ่ ย่รู ะหวำ่ งขอ้ แต่ละขอ้
3) ตำ เป็นสว่ นประกอบทีส่ ำคัญของลำต้น ทำให้เกดิ กง่ิ ใบ
และดอก ตำมรี ูปรำ่ งโคง้ นนู หรือรูปกรวย ประกอบดว้ ยตำ
ยอดและตำขำ้ ง

6

หนา้ ที่ของลาต้น มีดงั น้ี

1. เปน็ แกนช่วยพยุงอวยั วะตำ่ งๆ ได้แก่ ก่งิ ใบ ดอก ผล
และเมลด็ ชว่ ยใหใ้ บกำงออก รับแสงแดดเพ่ือประโยชนใ์ น
กำรสรำ้ งอำหำร โดยวิธีกำรสังเครำะหด์ ว้ ยแสง
2. เป็นทำงลำเลยี งนำ้ และแร่ธำตุที่รำกดดู ขน้ึ มำสง่ ต่อไปยงั
ใบและส่วนตำ่ งๆ ของพืช
3. เปน็ ทำงลำเลยี งอำหำรที่ใบสร้ำงขน้ึ สง่ ผำ่ นลำตน้ ไปยัง
รำกและสว่ นอน่ื ๆ

7

ใบ

ใบ คือ อวัยวะของพชื ทเี่ จรญิ ออกมำจำกข้อของลำตน้ และกง่ิ ใบส่วนใหญ่จะมสี ำรสเี ขียวเรียกวำ่ คลอโรฟลิ ล์ ใบมี
รปู ร่ำงและขนำดแตกต่ำงกันไปตำมชนดิ ของพืช ใบประกอบด้วย ก้ำนใบ แผ่นใบ เส้นกลำง และเส้นใบ
นอกจำกนี้ใบของพชื ยงั มีลกั ษณะอ่นื ๆ ท่แี ตกตำ่ งกันอกี ไดแ้ ก่
1. ขอบใบ พืชบำงชนิดมขี อบใบเรียบ บำงชนิดมีขอบใยหยกั
2. ผิวใบ พืชบำงชนิดมีผวิ ใบเรยี บเป็นมัน บำงชนดิ มผี ิวใบด้ำนหรอื ขรขุ ระ
3. สขี องใบ พชื สว่ นใหญจ่ ะมีใบสเี ขยี ว แต่บำงชนดิ มีใบสีอ่ืน
4. เสน้ ใบ เส้นใบของพืชมีกำรเรยี งตวั ใน 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่

1) เรียงตวั แบบร่ำงแห เชน่ ใบมะม่วง ตำลงึ อญั ชนั
ชมพู่ เปน็ ต้น

2) เรยี งตวั แบบขนำน เช่น ใบกลว้ ย หญำ้ ออ้ ย มะพร้ำว
ขำ้ ว เป็นต้น

8

หน้าท่ขี องใบ มดี ังนี้

1. สร้ำงอำหำร ใบของพชื จะดูกแก๊สคำรบ์ อนไดออกไซดเ์ พอื่
นำไปสรำ้ งอำหำร เรียกกระบวนกำรสร้ำงอำหำรของพชื ว่ำ กำร
สังเครำะหด์ ้วยแสง

2. หำยใจ ใบของพชื จะดดู แกส๊ ออกซิเจนและคำยแก๊ส
คำร์บอนไดออกไซด์

3. คำยนำ้ พชื คำยนำ้ ทำงปำกใบ

9

ดอก

ดอก คือ อวัยวะสบื พนั ธข์ุ องพืช ทำหนำ้ ทีส่ บื พนั ธ์ุแบบอำศยั เพศท่ีเกดิ มำจำกตำชนดิ ตำดอกทอี่ ยู่ตรงบรเิ วณปลำยยอด ปลำยกิ่ง
บริเวณลำตน้ ตำมแตช่ นดิ ของพชื ดอกประกอบด้วยสว่ นต่ำงๆ ดังน้ี

1. กลีบเลยี้ ง เปน็ สว่ นของดอกท่ีอย่ชู ้ันนอกสดุ เรียงกันเป็นวง เรยี กว่ำ
วงกลบี เลี้ยง ส่วนมำกมสี ีเขียว เจรญิ เปลีย่ นแปลงมำจำกใบ
2. กลบี ดอก เปน็ สว่ นของดอกท่อี ยถู่ ดั จำกกลีบเลี้ยงเข้ำมำขำ้ งใน มสี ีสันตำ่ งๆ สวยงำม เชน่ สีแดง เหลอื ง ชมพู ขำว มักมขี นำดใหญ่กว่ำ
กลบี เล้ยี ง
3. เกสรเพศผู้ เปน็ สว่ นของดอกทอี่ ยู่ถดั จำกกลีบดอกเข้ำมำข้ำงใน ประกอบดว้ ยก้ำนชูอับเรณู อับเรณู ซ่ึงภำยในบรรจลุ ะอองเรณูมีลกั ษณะ
เป็นผงสีเหลอื ง อบั เรณทู ำหน้ำท่ีสร้ำงละอองเรณู ภำยในละอองเรณมู เี ซลลส์ บื พันธเ์ุ พศผู้
4. เกสรเพศเมยี เป็นสว่ นของดอกทีอ่ ย่ชู ัน้ ในสดุ ประกอบดว้ ยยอดเกสรเพศเมีย
กำ้ นยอดเกสรเพศเมยี รังไข่ ออวลุ และเซลล์ไข่

10

ชนิดของดอก มีดงั น้ี หนา้ ท่ขี องดอก มดี ังนี้

1. ดอกสมบรู ณ์ คอื ดอกท่ีมสี ่วนประกอบครบ 4 สว่ น 1. ช่วยล่อแมลงให้มำผสมเกสร
ได้แก่ กลีบเลยี้ ง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย 2. ทำหนำ้ ทผี่ สมพันธุ์
เช่น ดอกชบำ ดอกกุหลำบ ดอกอญั ชัน เป็นต้น

2. ดอกไม่สมบูรณ์ คือ ดอกท่มี ีสว่ นประกอบไม่ครบ 4 ส่วน
เชน่ ดอกหน้ำววั ดอกตำลึง ดอกฟักทอง ดอกมะละกอ เปน็ ตน้

11

ผล

ผล (fruit) คือรงั ไข่ที่เจริญเตบิ โตเตม็ ทแี่ ลว้ (mature ovary) รงั ไข่ดังกลำ่ วอำจเจรญิ เปล่ยี นแปลงมำภำยหลังกำรปฏสิ นธิ
ซึง่ จะมเี มล็ดอยภู่ ำยในหรือเจรญิ มำโดยไมไ่ ด้รบั กำรปฏิสนธิหรือ พำรท์ โี นคำร์ปี ( parthenocarpy) ผลประเภทหลงั นโ้ี ดยทวั่ ไป
จะไม่มีเมลด็ เรียกวำ่ ผลพำรท์ ีโนคำรป์ ิก (parthenocarpic fruit) เมลด็ เปน็ แหลง่ สะสมสำรพนั ธกุ รรมของพืชชนดิ น้นั ๆ และ
สำมำรถขยำยพันธต์ุ ่อไปได้ ผลของพืชบำงชนดิ อำจมีสว่ นอ่ืน ๆ ของดอกเจริญควบค่มู ำกับรงั ไขแ่ ละกลำยเปน็ ส่วนหนง่ึ ของผล
ดว้ ย เชน่ มังคัด แอปเปิล ฝร่งั ทับทมิ มีกลีบเล้ียงรวมอยู่ ชมพู่ แอปเปิ้ล และมะเดอื่ มสี ว่ น
ของฐำนดอกรวมอยู่ เปน็ ต้น

12

เมลด็ (Seed)

เมลด็ ประกอบดว้ ยส่วนสำคญั คอื เปลือกหุม้ เมล็ด ต้นอ่อน และอำหำรสำหรบั เลย้ี งต้นอ่อน สว่ นท่คี ลำ้ ยต้นและใบเลก็ ๆ
อยู่ภำยในเมลด็ คอื ต้นอ่อนและ ส่วนท่มี ีสขี ำวหนำ แยกออกได้เป็น 2 ซีก คือ อำหำรสำหรบั เล้ยี งตน้ ออ่ น
1. Seed coat (เปลอื กหุ้มเมล็ด) เกิดมำจำกเย่อื ทีห่ มุ้ ไข่ ทำหน้ำทปี่ อ้ งกนั อนั ตรำยให้กบั เอมบรโิ อ ปอ้ งกันกำรสูญเสียน้ำ เปลอื ก
หุ้มเมลด็ มี 2 ชนั้ เปลือกชน้ั นอกหนำ เหนียว และแขง็ เรยี กว่ำ เทสตำ (testa) ส่วนเปลอื กช้ันในมกั เปน็ เยือ่ บำง ๆ เรยี กวำ่ เท
กเมน (tegmen
2. Endosperm (เอมโดสเปริ ์ม) ทำหน้ำทส่ี ะสมอำหำรพวกแปง้ ไขมัน โปรตีน และน้ำตำล ให้แก่ เอมบรโิ อ(ต้นออ่ น)
3. Embryo เจริญจำกไซโกต มสี ่วนประกอบทส่ี ำคัญ คือ
- Cotyledon (ใบเลย้ี ง) มีหน้ำที่เก็บสะสมอำหำรใหแ้ ก่เอมบรโิ อ และป้องกันกำรบบุ สลำยของเอมบริโอขณะที่มีกำรงอก
- Caulicle (ลำต้นออ่ น) ประกอบ 2 ส่วนคือ ลำตน้ อ่อนเหนอื ใบเลี้ยง เรยี กว่ำ เอปิคอตลิ (epicotyl) มสี ่วนปลำยสดุ เรียกวำ่
ยอดอ่อน ซึ่งเจริญเป็นลำต้น กิ่ง กำ้ น ใบ และดอก ส่วนลำต้นออ่ นใต้ใบเล้ียง เรียกวำ่ ไฮโปคอตอล (hypocotyl) มีส่วน
ปลำยสุดเรียกวำ่ รำกออ่ น จะเจริญเป็นรำกแกว้

13

โครงสร้ำงของพืช

จดั ทำโดย
นำงสำวศริ ินำถ มมุ ทอง 60031050172
Section. 02 สำขำวทิ ยำศำสตรท์ ่ัวไป

เสนอ
อำจำรยด์ ร. ชลำยทุ ธ์ ครฑุ เมือง
คณะครศุ ำสตร์ ปกี ำรศกึ ษำ 2563
มหำวทิ ยำลยั รำชภัฎอตุ รดติ ถ์

14

15


Click to View FlipBook Version