The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระราชกรณียกิจรัชกาลที่5 (2)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Sunittaya Loumtong, 2020-02-20 00:36:00

พระราชกรณียกิจรัชกาลที่5 (2)

พระราชกรณียกิจรัชกาลที่5 (2)

1

พระราชกรณยี กิจด้านการไปรษณยี ์โทรเลข
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัวทรงเห็นการส่ือสารเป็นเร่ืองสาคญั และจาเป็น
อย่างมากตอ่ ไปในอนาคต พระองคโ์ ปรดเกลา้ ฯ ใหก้ ระทรวงกลาโหมดาเนนิ การกอ่ สร้าง
วางสายโทรเลขสาหรับสายโทรเลขสายแรกของประเทศเร่ิมก่อสรา้ งในปี พ.ศ.๒๔๑๘
จากกรุงเทพฯ - สมทุ รปราการ ระยะทาง ๔๕ กโิ ลเมตร และไดว้ างสายใตน้ ้าตอ่ ยาว
ออกไปจนถึงประภาคารทป่ี ากแมน่ ้าเจา้ พระยาสาหรบั บอกขา่ วเรือเขา้ - ออก ตอ่ มาไดว้ าง
สายโทรเลขข้นึ อีกสายหน่ึงจากกรุงเทพฯ - บางปะอนิ และขยายไปทวั่ ถงึ ในเวลาตอ่ มา
สาหรับกิจการไปรษณีย์ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั ต้งั
การไปรษณียข์ ้ึนเป็นคร้งั แรกในวนั ท่ี ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๒๔ มีทีท่ าการเรียกวา่

ไปรษณียย์ าคาร ต้งั อย่รู ิมแม่น้าเจา้ พระยา และเปิ ดดาเนินการอย่างเป็ นทางการคร้งั แรก
ในวนั ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๒๖ หลงั จากน้นั จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้กรมโทรเลข
รวมเขา้ กบั กรมไปรษณียช์ ่ือว่า กรมไปรษณียโ์ ทรเลข

2

พระราชกรณยี กจิ ด้านการโทรศัพท์

พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มีพระวสิ ัยทศั นท์ ่กี า้ วไกล และพระปรีชา
สามารถอยา่ งมากในการพฒั นาประเทศ โดยกระทรวงกลาโหมไดน้ าโทรศพั ทอ์ นั เป็น
วิทยาการในการส่ือสารทที่ นั สมยั เขา้ มาทดลองใชเ้ ป็นคร้งั แรกในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ จาก
กรุงเทพฯ - สมุทรปราการ เพอ่ื แจง้ ขา่ วเรือเขา้ - ออกที่ปากน้าตอ่ มากรมโทรเลขไดม้ ารบั
ช่วงตอ่ ในการวางสายโทรศพั ทภ์ ายในกรุงเทพฯ ซ่ึงใชเ้ วลา ๓ ปี จึงแลว้ เสร็จพรอ้ มเปิ ด
ใหบ้ ริการกบั ประชาชน และพฒั นามาจนกระทงั่ ทกุ วนั น้ี

พระราชกรณยี กิจด้านการพยาบาลและสาธารณสุข

พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หัวมีพระราชดาริท่ีจะสรา้ งโรงพยาบาลเพื่อรกั ษา
ประชาชนดว้ ยวิธีการแพทยแ์ ผนใหม่ เนื่องจากการรกั ษาแบบเดิมน้นั ลา้ สมยั ไม่สามารถ
ช่วยคนไดอ้ ยา่ งทนั ท่วงทีทาใหม้ ผี เู้ สียชีวิตมากมายเม่ือเกดิ โรคระบาด พระองคจ์ ึงทรง
จดั สร้างโรงพยาบาลข้นึ บริเวณริมคลองบางกอกนอ้ ย อนั เป็นท่ตี ้งั ของพระราชวงั บวร
สถานพิมขุ หรือวงั หลงั โดยไดพ้ ระราชทานทรพั ยส์ ินส่วนพระองคจ์ านวน ๑๖,๐๐๐ บาท
เป็นทนุ เริ่มแรกในการสรา้ งโรงพยาบาล ใหใ้ ชช้ ื่อว่า โรงพยาบาลวงั หลงั เปิ ดทาการรกั ษา
แกป่ ระชาชนทวั่ ไปเป็นคร้ังแรกเมื่อวนั ท่ี ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๑ต่อมาพระองคไ์ ด้
พระราชทานนามโรงพยาบาลแห่งน้ีใหม่วา่ โรงพยาบาลศริ ิราช เพือ่ เป็นการระลึกถึง
สมเดจ็ พระนางเจา้ ลูกยาเธอเจา้ ฟ้าศริ ิราชกกธุ ภณั ฑ์ พระราชโอรสทป่ี ระสูติในสมเดจ็ พระ
นางเจา้ เสาวภาผอ่ งศรี พระบรมราชินีนาถ ทสี่ ิ้นพระชนมายุเพียง ๑ ปี ๗ เดอื นท้งั ยงั ได้
พระราชทานพระเมรุ พรอ้ มกบั เคร่ืองใช้ เช่น เตยี ง เกา้ อ้ี ตโู้ ต๊ะ ฯลฯ ในงานพระศพใหก้ บั
โรงพยาบาลเพอ่ื ใชป้ ระโยชน์ รวมท้งั พระราชทานทรพั ยส์ ่วนพระองคข์ องสมเดจ็ พระเจา้
ลกู ยาเธอ เจา้ ฟ้าศิริราชกกธุ ภณั ฑ์ จานวน ๕๖,๐๐๐ บาท ใหก้ บั โรงพยาบาลเป็นทนุ ในการ
ใชจ้ า่ ย

3

พระราชกรณยี กิจด้านการขนส่งและสื่อสาร
ในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้คณะ
เสนาบดีและกรมโยธาธิการสารวจเส้นทาง เพ่ือวางรากฐานการสรา้ งทางรถไฟจาก
กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ มีการวางแผนให้ทางรถไฟสายน้ีตดั เขา้ เมอื งใหญ่ๆ ในบริเวณภาค
กลางของประเทศแลว้ แยกเป็นชมุ สายตดั เขา้ สู่จงั หวดั ใหญท่ างแถบภาค
ตะวนั ออกเฉียงเหนือ เน่ืองจากเป็นหวั ลาโพงเมืองท่เี ป็นศนู ยก์ ลางธุรกจิ การคา้ การสารวจ
เสน้ ทางในการวางเสน้ ทางรถไฟน้ีเสร็จส้ินเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๓๔ และในวนั ท่ี ๙ มีนาคม
พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัวไดเ้ สดจ็ พระราชดาเนนิ ขดุ ดนิ ก่อ
พระฤกษ์ เพื่อสร้างทางรถไฟคร้งั แรกที่เกดิ ข้นึ ในประเทศไทย โดยโปรดเกลา้ ฯ ใหท้ าง
รถไฟสายน้ีเป็ นรถไฟหลวงแห่งแรกของไทย

4

พระราชกรณยี กจิ ด้านการไฟฟ้า

ดว้ ยสายพระเนตรท่ียาวไกล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรงเลง็ เหน็ วา่
ไฟฟ้าเป็นพลงั งานทส่ี าคญั และมีประโยชน์อยา่ งมาก เม่อื มโี อกาสประพาสตา่ งประเทศ
ไดท้ อดพระเนตรกิจการไฟฟ้า และทรงเห็นถึงประโยชนม์ หาศาลที่จะเกดิ จากการมีไฟฟ้า
พระองคจ์ งึ ทรงมอบหมายให้กรมหมื่นไวยวรนารถเป็นผูร้ ิเริ่มในการจา่ ยกระแสไฟฟ้าข้นึ
ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ซ่ึงเป็นการเปิ ดใชไ้ ฟฟ้าคร้งั แรกของไทยและปี เดียวกนั (พ.ศ.
๒๔๓๓) มกี ารก่อต้งั โรงไฟฟ้าทวี่ ดั เลยี บ หรือวดั ราชบรู ณะ จนกระทงั่ ถงึ พ.ศ. ๒๔๓๖
ตอ่ มาเพือ่ ให้กิจการไฟฟ้ากา้ วหนา้ ย่งิ ข้ึน รฐั บาลไดโ้ อนกจิ การให้ผชู้ านาญดา้ นน้ี ไดแ้ ก่
บริษทั อเมริกนั ชื่อ แบงคอ็ ค อเิ ลคตริกซิต้ี ซิดิแคท เขา้ มาดาเนินงานต่อ และในปี พ.ศ.
๒๔๓๗ บริษทั เดนมาร์กไดเ้ ขา้ มาต้งั โรงงานผลิตพลงั งานไฟฟ้าเพ่อื ใชใ้ นการเดินรถรางที่
บริษทั ไดร้ บั สมั ปทานการเดนิ รถในเขตพระนคร ต่อมาบริษทั ตา่ งชาตทิ ้งั ๒ บริษทั ได้
ร่วมกนั รบั ชว่ งงานจากกรมหมน่ื ไวยวรนาถ และกอ่ ต้งั เป็นบริษทั ไฟฟ้าสยาม ข้นึ ในปี
พ.ศ. ๒๔๔๔ นบั เป็นการบกุ เบิกไฟฟ้าคร้ังสาคญั ของประวตั ศิ าสตร์ไทย ในการเริ่มมี
ไฟฟ้าใชเ้ ป็นคร้งั แรก

พระราชกรณียกจิ ด้านการกฎหมาย

กฎหมายในขณะน้นั มคี วามลา้ สมยั อยา่ งมาก เนื่องจากใชม้ าต้งั แตส่ มยั รัชกาลที่ ๑ และยงั
ไม่เคยมกี ารชาระข้ึนใหม่ใหเ้ หมาะสมกบั ยุคสมยั ทาให้ต่างชาติใชเ้ ป็นขอ้ อา้ งในการเอา
เปรียบไทยเร่ืองการทาสนธิสญั ญาเก่ียวกบั การข้นึ ศาลตดั สินคดที ไี่ ม่ใหช้ าวต่างชาตขิ ้นึ
ศาลไทย โดยต้งั ศาลกงสุลพิจารณาคดคี นในบงั คบั ต่างชาตเิ อง แมว้ า่ จะมีคดคี วามกบั ชาว
ไทยก็ตามดงั น้นั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัวจึงทรงโปรดเกลา้ ฯ สร้าง
ประมวลกฎหมายอาญาข้ึนใหม่เพื่อใหท้ นั สมยั ทดั เทยี มกบั อารยประเทศ ในปี พ.ศ.
๒๔๔๐ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัวทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั ต้งั โรงเรียน

5

กฎหมายแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อเป็นสถานทส่ี าคญั ท่ีผลติ นกั กฎหมายทม่ี คี วามรู้
ความสามารถในการพฒั นาประเทศต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๕๑ พระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัวโปรดเกลา้ ฯให้ตรากฎหมายลกั ษณะอาญา ร.ศ.๑๒๗ อนั เป็น
ลกั ษณะกฎหมายอาญาฉบบั แรกทน่ี าข้นึ มาใช้ อีกท้งั ยงั โปรดเกลา้ ฯ ให้มกี ารต้งั กรรมการ
ข้ึนมาชดุ หน่ึง พจิ ารณาทากฎหมายประมวลอาญาแผน่ ดนิ และการพาณิชย์ ประมวล
กฎหมายวา่ ดว้ ยพจิ ารณาความแพง่ และพระธรรมนูญแห่งศาลยตุ ธิ รรมแต่ยงั ไมท่ นั สาเร็จ
ดีก็สิ้นรชั กาลเสียกอ่ น เมื่อสร้างประมวลกฎหมายข้ึนมาใชแ้ ลว้ บทลงโทษแบบจารีต
ด้งั เดิมจงึ ถูกยกเลิกไปโดยสิ้นเชิงในรัชกาลของพระองคเ์ อง เพราะมีกฎหมายใหม่เป็น
บทลงโทษ ท่เี ป็นหลกั การพจิ ารณาท่ดี แี ละทนั สมยั กว่าเดมิ ดว้ ย

พระราชกรณียกิจด้านการเปลย่ี นแปลงระบบเงินตรา

ในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้ทา
ธนบตั รข้นึ เรียกวา่ อฐั เป็นกระดาษมมี ูลคา่ เทา่ กบั เหรียญทองแดง ๑ อฐั แตใ่ ชไ้ ดเ้ พียง ๑
ปี กเ็ ลกิ ไป เพราะประชาชนไมน่ ิยมใช้ ต่อมาทรงต้งั กรมธนบตั รข้นึ มา เพื่อจดั ทาเป็นตว๋ั
สัญญาข้นึ ใชแ้ ทนเงินกรมธนบตั รไดเ้ ร่ิมใชต้ วั๋ สญั ญาเมอ่ื วนั ที่ ๑๙ กนั ยายน พ.ศ.๒๔๔๕
เป็นคร้ังแรก เน่ืองในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้
เจา้ อยู่หวั ในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ ไดม้ กี ารผลิตธนบตั รรุ่นแรกออกมา ๕ ชนิด คือ ๑,๐๐๐ บาท
๑๐๐ บาท ๒๐ บาท ๑๐ บาท ๕ บาท ภายหลงั มีธนบตั รใบละ ๑ บาทออกมาดว้ ย รวมถงึ
พระองคโ์ ปรดเกลา้ ฯ ให้กาหนดหน่วยเงินตรา โดยให้หน่วยทศนิยมเรียกว่า สตางค์
กาหนดให้ ๑๐๐ สตางค์ เทา่ กบั ๑ บาท พรอ้ มกบั ผลติ เหรียญสตางคข์ ้นึ มาใชเ้ ป็นคร้งั แรก
เรียกวา่ เบ้ียสตางค์ มีอยู่ดว้ ยกนั ๔ ชนิด คือ ราคา ๒๐ สตางค์ ๑๐ สตางค์ ๔ สตางค์ ๒
สตางคค์ ร่ึง ใชป้ นกบั เหรียญเส้ียว และอฐั

6
ตอ่ มาในปี พ.ศ.๒๔๕๑ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงออกประกาศ
ยกเลิกใชเ้ งินพดดว้ งและทรงออกพระราชบญั ญตั ิมาตราทองคา ร.ศ.๑๒๗ ประกาศใชเ้ ม่อื
วนั ท่ี ๑๑ พฤศจกิ ายน พ.ศ.๒๔๕๑ ว่าดว้ ยเร่ืองใหใ้ ชแ้ ร่ทองคาเป็นมาตรฐานเงินตราแทน
แร่เงิน เพอ่ื ใหเ้ สถียรภาพเงินตราของไทยสอดคลอ้ งกบั หลกั สากล และในปี ตอ่ มาทรง
ออกประกาศเลิกใชเ้ หรียญเฟ้ื อง และเบ้ียทองแดง

พระราชกรณียกิจด้านการศกึ ษา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงสนพระทยั ในการศกึ ษารูปแบบใหม่โดย
โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ กี ารต้งั โรงเรียนข้นึ เพอื่ ให้ประชาชนไดร้ บั การศกึ ษาทว่ั กนั เพราะ
การศึกษาสมยั น้นั ส่วนใหญย่ งั ศึกษาอยใู่ นวดั เม่ือมีการสร้างโรงเรียนและการศกึ ษา
เจริญกา้ วหนา้ ข้นึ เท่ากบั เป็นการบ่งบอกถงึ ความเจริญทางดา้ นวฒั นธรรมอยา่ งหน่ึง จงึ
โปรดเกลา้ ฯ ให้สรา้ งโรงเรียนหลวงแห่งแรกเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๔๔และ โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ี
การสอบไลส่ ามญั ศกึ ษาข้นึ อีกดว้ ย เพ่อื เป็นการทดสอบความรู้ทไ่ี ดศ้ ึกษาเล่าเรียนมา
นอกจากน้ีพระองคย์ งั ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้จดั สรา้ งโรงเรียนหลวงข้ึนอกี หลายแห่ง กระจดั
กระจายไปตามวดั ตา่ ง ๆ ท้งั ในส่วนกลางและส่วนภมู ภิ าค โรงเรียนหลวงแห่งแรกทสี่ ร้าง

7
ขนึ้ ในวดั คอื โรงเรยี นวดั มหรรณพาราม โรงเรยี นหลวงท่ตี ง้ั ขนึ้ มานเี้ พื่อใหบ้ ตุ รหลานของ
ประชาชนท่วั ไปไดม้ ีโอกาสศกึ ษาหาความรูก้ นั การศกึ ษาขยายตวั เจรญิ ขนึ้ ตามลาดบั
ดว้ ยความสนใจของประชาชนทีต่ อ้ งการมคี วามรูม้ ากขนึ้ จงึ โปรดเกลา้ ฯ ใหโ้ อนโรงเรยี น
เหลา่ นอี้ ยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ ของกระทรวงศกึ ษาธิการ มกี ารพิมพต์ าราพระราชทาน เพอ่ื
เป็นตาราในการเรยี นการสอนดว้ ย

วนั ปิ ยมหาราช พระราชกรณียกิจ รัชกาลท่ี 5
วันปิ ยมหาราช ตรงกบั วนั ท่ี 23 ตุลาคม ของทกุ ปี เป็นวนั คลา้ ยวนั สวรรคต
ของ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู วั เนื่องจากพระองคท์ รงเป็นทร่ี กั ใคร่อย่าง
ลน้ เหลือของพสกนิกรท้งั ชาวไทยและชาวต่างประเทศ พระองคจ์ ึงไดร้ ับการถวายพระ
ราชสมญั ญานามวา่ สมเด็จพระปิ ยมหาราช หรือพระพุทธเจา้ หลวง?ซ่ึงมีความหมายว่า

8

พระมหากษตั ริยท์ ท่ี รงเป็นทรี่ ักยงิ่ ของปวงชน? ดว้ ยความสานึกในพระมหากรุณาธคิ ณุ
รฐั บาลจงึ ไดป้ ระกาศให้วนั ท่ี 23 ตลุ าคม เป็น วนั ปิ ยมหาราช

ลาดบั เหตกุ ารณ์ที่สาคญั ในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว

พ.ศ.2411 เสดจ็ ข้นึ ครองราชสมบตั ิ

พ.ศ.2412 ทรงโปรดเกลา้ ให้สรา้ ง วดั ราชบพธิ สถติ มหาสีมาราม

พ.ศ.2413 เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา โปรดฯ ให้ยกเลิกการไวผ้ มทรงมหาดไทย

พ.ศ.2415 ทรงปรบั ปรุงการทหารคร้งั ใหญ่ โปรดใหใ้ ชเ้ ส้ือราชปะแตน โปรดใหส้ ร้าง
โรงเรียนหลวงสอนภาษาองั กฤษแห่งแรกข้นึ ในพระบรมหาราชวงั

พ.ศ.2416 ทรงออกผนวชตามโบราณราชประเพณี โปรดให้เลกิ ประเพณีหมอคลานใน
เวลาเขา้ เฝ้า

พ.ศ.2417 โปรดใหส้ ร้างสภาท่ปี รึกษาราชการแผน่ ดนิ ต้งั โรงเรียนกุลสตรีวงั หลงั และให้
ใชอ้ ฐั กระดาษแทนเหรียญทองแดง

พ.ศ.2424 เร่ิมทดลองใชโ้ ทรศพั ทค์ ร้งั แรก เป็นสายระหว่างกรุงเทพฯ – สมุทรปราการ
สมโภชพระนครครบ 100 ปี มกี ารฉลอง 7 คืน 7 วนั

พ.ศ.2426 โปรดให้ต้งั กรมไปรษณีย์ เริ่มบริการไปรษณียใ์ นพระนครต้งั กรมโทรเลข และ
เกดิ สงครามปราบฮอ่ คร้งั ที่ 2

9

พ.ศ.2427 โปรดฯให้ต้งั โรงเรียนราษฎร์ทวั่ ไปตามวดั โรงเรียนแห่งแรกคอื โรงเรียนวดั ม
หรรณพาราม

พ.ศ.2429 โปรดฯ ให้เลิดตาแหน่งมหาอุปราช ทรงประกาศต้งั ตาแหน่งมกฏุ ราชกมุ ารข้นึ
แทน

พ.ศ.2431 เสียดินแดนแควน้ สิบสองจุไทใหแ้ ก่ฝรงั่ เศส การทดลองปกครองส่วนกลาง
ใหม่ เปิ ดโรงพยาบาลศริ ิราชโปรดฯใหเ้ ลกิ รตั นโกสินทร์ศก โดยใชพ้ ุทธศกั ราชแทน

พ.ศ.2434 ต้งั กระทรวงยตุ ิธรรม ต้งั กรมรถไฟ เร่ิมก่อสรา้ งทางรถไฟสายกรุงเทพ-
นครราชสีมา

พ.ศ.2436 ทรงเปิ ดเดนิ รถไฟสายเอกชน ระหว่างกรุงเทพฯ-ปากน้า กาเนิดสภาอุนาโลม
แดง (สภากาชาดไทย)

พ.ศ.2440 ทรงเสดจ็ ประพาสยุโรปเป็นคร้ังแรก

พ.ศ.2445 เสียดนิ แดนฝ่ังขวาแมน่ ้าโขงใหแ้ ก่ฝร่งั เศส

พ.ศ.2448 ตราพระราชบญั ญตั ยิ กเลิกการมีทาสโดยส้ินเชิง

พ.ศ.2451 เปิ ดพระบรมรูปทรงมา้

พ.ศ.2453 เสดจ็ สวรรคต

10

พระราชกรณียกจิ ท่สี าคัญ
ขา้ ทาสและไพร่ ในสมยั รัชกาลที่ ๕ ซ่ึงหลุดพน้ จากระบบด้งั เดมิ ไดก้ ลายเป็นราษฎรสยาม
และต่างมโี อกาสประกอบ อาชีพหลากหลาย
1. การเลกิ ทาส
พระราชกรณียกิจอนั สาคญั ยิง่ ท่ที าให้พระองคท์ รงไดร้ ับพระสมญั ญาวา่ ?สมเดจ็ พระปิ ย
มหาราช??ก็คอื ?การเลิกทาส?
สมยั ทพี่ ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ ฯ เสดจ็ ข้ึนเสวยราชสมบตั นิ ้นั ประเทศไทยมที าส
เป็นจานวนกว่าหน่ึงในสามของพลเมือง ของประเทศ เพราะเหตุวา่ ลูกทาสในเรือนเบ้ียได้
มีสืบตอ่ กนั เร่ือยมาไม่มีทีส่ ้ินสุด และเป็นทาสกนั ตลอดชีวติ พ่อแม่เป็นทาสแลว้ ลกู ที่เกดิ
จากพอ่ แมท่ ่เี ป็นทาสก็ตกเป็นทาสอกี ต่อ ๆ กนั เร่ือยไป
กฎหมายท่ีใชก้ นั อยู่ในเวลาน้นั ตรี าคาลกู ทาสในเรือนเบ้ยี ชาย 14 ตาลงึ หญิง 12 ตาลึง
แลว้ ไม่มีการลด ตอ้ งเป็นทาสไปจนกระทง่ั ชายอายุ 40 หญงิ อายุ 30 จงึ มีการลดบา้ ง

11

คานวณการลดน้ี อายุทาสถงึ 100 ปี ก็ยงั มีคา่ ตวั อยู่ คอื ชาย 1 ตาลงึ หญิง 3 บาท แปลว่า ผู้
ที่เกิดในเรือนเบ้ีย ถา้ ไมม่ เี งินมาไถ่ตวั เองแลว้ กต็ อ้ งเป็นทาสไปตลอดชีวิต

ในการน้ีพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ ฯ ไดต้ ราพระราชบญั ญตั ิข้นึ เม่อื วนั ที่ 21
สิงหาคม พ.ศ.2417 ให้มีผลยอ้ นหลงั ไปถงึ ปี ท่ี พระองคเ์ สดจ็ ข้ึนเสวยราชสมบตั ิ จึงมี
บญั ญตั วิ า่ ลกู ทาสซ่ึงเกดิ เมอ่ื ปี มะโรง พ.ศ.2411 ให้มสี ิทธิไดล้ ดค่าตวั ทกุ ปี โดยกาหนดวา่
เม่ือแรกเกดิ ชายมคี า่ ตวั 8 ตาลงึ หญงิ มีคา่ ตวั 7 ตาลงึ เมื่อลดคา่ ตวั ไปทุกปี แลว้ พอครบ
อายุ 21 ปี กใ็ หข้ าดจากความเป็นทาสท้งั ชายและหญิง

พอถึงปี 2448 ก็ไดอ้ อกพระราชบญั ญตั เิ ลกิ ทาสท่แี ทจ้ ริงข้นึ เรียกว่า ?พระราชบญั ญตั ทิ าส
ร.ศ.124? (พ.ศ.2448) เลกิ เร่ืองลกู ทาส ในเรือนเบ้ยี อย่างเดด็ ขาด เดก็ ท่ีเกดิ จากทาส ไม่เป็น
ทาสอีกต่อไป การซ้ือขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผูท้ ี่เป็นทาสอย่แู ลว้ ให้นายเงินลด
คา่ ตวั ใหเ้ ดอื นละ 4 บาท จนกวา่ จะหมด

2. การปฏิรูประเบยี บบริหารราชการ

การบริหารแผน่ ดินในตน้ รัตนโกสินทรน์ ้นั คงดาเนินตามแบบที่ไดท้ ามาแตค่ ร้งั กรุงศรี
อยุธยาเป็นราชธานี ผิดแตว่ า่ มกี รมตา่ ง ๆ เพิ่มข้นึ บา้ ง แต่หลกั ของการบริหารน้นั คงมีอคั ร
มหาเสนาบดี 2 ตาแหน่ง คือ สมุหกลาโหม วา่ การฝ่ายทหาร สมุหนายก วา่ การพลเรือน
ซ่ึงแบง่ ออกเป็นกรมเมืองหรือกรมนครบาล กรมวงั กรมคลงั และกรมนา

คร้ันถงึ รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว ซ่ึงทรงบรรลนุ ิติภาวะเสดจ็ ข้นึ
เสวยราชสมบตั ดิ ว้ ยพระองคเ์ องเมื่อ พ.ศ.2416 น้นั เนื่องจากพระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ต่างประเทศ
ดูแบบแผนการปกครองทช่ี าวยโุ รป นามาใชใ้ นสิงคโปร์ ชวา และอนิ เดียแลว้ ทรงพระ
ราชปรารภว่า สมควรจะไดว้ างระเบยี บราชการ บริหารส่วนกลางเสียใหมต่ ามแบบอย่าง
อารยประเทศ โดยจดั จาแนกราชการเป็นกรมกองต่าง ๆ มหี นา้ ทเี่ ป็นหมวดเหลา่ ไมก่ า้ ว
ก่ายกนั ดงั น้นั ใน พ.ศ.2418 พระองคจ์ ึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้แยกกระทรวงพระ

12
คลงั ออกจากกรมท่า หรือตา่ งประเทศ และต้งั หอรษั ฎากรพพิ ฒั นท์ าหนา้ ที่เกบ็ รายไดข้ อง
แผ่นดนิ ทกุ แผนกข้นึ เป็นคร้ังแรก

ตอ่ จากน้นั ก็ไดท้ รงปรับปรุงหนา้ ทข่ี องกรมต่าง ๆ ท่ีมอี ยู่แต่เดิมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
โดยรวมกรมตา่ ง ๆ ทมี่ ีอยมู่ ากมายเวลาน้นั เขา้ เป็นกระทรวง กระทรวงหน่ึง ๆ กม็ ีหนา้ ท่ี
อย่างหน่ึง หรือหลายอยา่ งพอเหมาะสม
กระทรวงซ่ึงมีอย่ใู นตอนแรก ๆ เริ่มแถลงราชสมบตั นิ ้นั เพยี ง 6 กระทรวง คอื
1. กระทรวงมหาดไทย มีหนา้ ท่ปี กครองหวั เมอื งฝ่ายเหนือ
2. กระทรวงกลาโหม มีหนา้ ทป่ี กครองหวั เมืองฝ่ายใต้ และการทหารบก ทหารเรือ
3. กระทรวงนครบาล มหี นา้ ท่ีบงั คบั บญั ชาการรกั ษาพระนคร คือปกครองมณฑลกรุงเทพ

4. กระทรวงวงั มหี นา้ ทบี่ งั คบั บญั ชาการในพระบรมมหาราชวงั
5. กระทรวงการคลงั มีหนา้ ที่จดั การอนั เก่ียวขอ้ งกบั ต่างประเทศ และการพระคลงั

13

6. กระทรวงเกษตราธิการ มีหนา้ ทจี่ ดั การไร่นา

เพื่อให้เหมาะสมกบั สมยั จึงไดเ้ ปลี่ยนแปลงหนา้ ทีข่ องกระทรวงบางกระทรวง และเพ่มิ
อีก 4 กระทรวง รวมเป็น 10 กระทรวง คือ

1. กระทรวงการต่างประเทศ

แบ่งหนา้ ทม่ี าจากกระทรวงการคลงั เก่า มหี นา้ ทต่ี ้งั ราชทตู ไปประจาสานกั ต่างประเทศ
เนื่องจากเวลาน้นั ชาวยุโรปไดต้ ้งั กงสุลเขา้ มาประจาอยใู่ นกรุงเทพ ฯ บา้ งแลว้ สมเดจ็ กรม
พระยาเทววงศว์ โรปการ เป็นเสนาบดกี ระทรวงน้ีเป็นพระองคแ์ รก และใชพ้ ระราชวงั
สราญรมยเ์ ป็นสานกั งาน เริ่มระเบียบร่างเขยี นและเก็บจดหมายราชการ ตลอดจนมี
ขา้ ราชการผใู้ หญ่ผนู้ อ้ ยมาทางานตามเวลา ซ่ึงนบั เป็นแบบแผนให้กระทรวงอื่น ๆ ทาตาม
ต่อมา

2. กระทรวงยตุ ิธรรม

แต่ก่อนการพิจารณาพิพากษาคดไี ม่ไดร้ วมอยใู่ นกรมเดียวกนั และไมไ่ ดร้ บั คาสง่ั จาก
ผบู้ งั คบั บญั ชาคนเดียวกนั เป็นเหตุให้วิธีพิจารณาพิพากษาไม่เหมอื นกนั ตา่ งกระทรวง
ตา่ งตดั สิน จงึ โปรด ฯ ใหร้ วมผพู้ พิ ากษา ต้งั เป็นกระทรวงยตุ ธิ รรมข้ึน

3. กระทรวงโยธาธกิ าร

รวบรวมการโยธาจากกระทรวงตา่ ง ๆ มาไวท้ เี่ ดยี วกนั และให้กรมไปรษณียโ์ ทรเลข และ
กรมรถไฟรวมอยใู่ นกระทรวงน้ดี ว้ ย

4. กระทรวงธรรมการ

14
แยกกรมธรรมการและสังฆการีจากกระทรวงมหาดไทย เอามารวมกบั กรมศกึ ษาธิการ
ต้งั ข้ึนเป็นกระทรวงธรรมการมีหนา้ ที่ต้งั โรงเรียนฝึกหดั อาจารยฝ์ ึกหดั บคุ คลให้เป็นครู
สอนวิชาตามวธิ ีของชาวยโุ รป เรียบเรียงตาราเรียน และต้งั โรงเรียนข้นึ ทว่ั ราชอาณาจกั ร

ท้งั น้ีไดท้ รงเริ่มจดั การตาแหน่งหนา้ ทรี่ าชการดงั กล่าวต้งั แต่ พ.ศ.2431 จดั ใหม้ ีเสนาบดี
สภา มีสมาชิกเป็นหัวหนา้ กระทรวง 10 นาย และหัวหนา้ กรมยุทธนาธิการ กบั กรมราช
เลขาธิการ ซ่ึงมีฐานะเทา่ กระทรวงกไ็ ดเ้ ขา้ นงั่ ในสภาดว้ ย รวมเป็น 12 นาย พระองคท์ รง
เป็นประธานมา 3 ปี เศษ
แตเ่ ดมิ เสนาบดมี ฐี านะตา่ ง ๆ กนั แบ่งเป็น 3 คอื เสนาบดีมหาดไทยกบั กลาโหมมีฐานะ
เป็นอคั รมหาเสนาบดี เสนาบดนี ครบาล พระคลงั และเกษตราธิการ มีฐานะเป็นจตุสดมภ์
เสนาบดีการตา่ งประเทศ ยุติธรรม ธรรมการและโยธาธิการ เรียกกนั ว่า เสนาบดตี าแหน่ง
ใหม่ คร้ันเมื่อมปี ระกาศ เมอื่ วนั ที่ 1 เมษายน พ.ศ.2435 จงึ เรียกเสนาบดีเหมือนกนั หมด
ไม่เรียกอคั รเสนาบดแี ละจตสุ ดมภอ์ ีกตอ่ ไป

15

3. การศึกษา

ในรชั กาลน้ีไดโ้ ปรดใหข้ ยายการศกึ ษาข้ึนเป็นอนั มากใน พ.ศ.2414 ไดโ้ ปรดใหจ้ ดั ต้งั
โรงเรียนหลวงข้นึ ในพระบรมมหาราชวงั แลว้ มหี มายประกาศชกั ชวนพระบรมวงศานุ
วงศแ์ ละขา้ ราชการให้ส่งบุตรหลานเขา้ เรียน โรงเรียนภาษาไทยน้ี โปรดให้พระยาศรี
สุนทรโวหาร (นอ้ ย อาจาริยางกรู ) เป็นอาจารยใ์ หญ่ ต่อมาต้งั โรงเรียนสอนภาษาองั กฤษ
ข้ึนอกี โรงเรียนหน่ึง ใหน้ ายยอช แปตเตอร์สัน เป็นอาจารยใ์ หญ่ โรงเรียนท้งั สองน้ีข้นึ อยู่
ในกรมทหารมหาดเลก็

ต่อมาโปรดใหต้ ้งั โรงเรียนหลวงสาหรบั ราษฎรข้ึนและจดั ต้งั ข้ึนตามวดั ต่างๆ ตาม
ประเพณีนิยมของราษฎร โรงเรียนหลวงน้ีไดจ้ ดั ต้งั ข้นึ ท่ี ?วดั มหรรณพาราม? เป็นแห่ง
แรก แลว้ จึงแพร่หลายออกไปตามหวั เมอื งทวั่ ๆ ไป โปรดใหต้ ้งั กรมศกึ ษาธิการ ข้นึ ในปี
พ.ศ.2428 และจดั ให้มีการสอบไล่คร้ังแรกใน พ.ศ.2431 ตอ่ มาในปี พ.ศ.2433 ไดม้ ีการ
ปฏิวตั ิแบบเรียน โดยให้เลิกสอนตามแบบเรียน 6 กลุ่ม มมี ลู บทบรรพกจิ เป็นตน้ ของพระ
ยาศรีสุนทรโวหาร มาใชแ้ บบเรียนเร็วของกรมพระยาดารงราชานุภาพแทน ในท่สี ุดได้
โปรดให้จดั ต้งั กระทรวงธรรมการข้นึ จดั การศกึ ษาและการศาสนาข้นึ เมอื่ ปี พ.ศ.2435
การศกึ ษาก็เจริญกา้ วหนา้ สืบมาโดยลาดบั
ศาลาการกระทรวงยตุ ธิ รรม เมอ่ื แรกสรา้ งในสมยั พระบาทสมเด็จจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว
ในการปฎริ ูประบบกฎหมายและการศาล
ซ่ึงโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ้งั กระทรวงยตุ ิธรรมเม่ือ พ.ศ. ๒๔๓๘ เป็นหน่วยงานทรี่ บั ผดิ ชอบ
ดา้ นการยุตธิ รรมอย่างแทจ้ ริง และนบั เป็นการแยกอานาจตลุ าการออกจากฝ่ายบริหารเป็น
คร้งั แรก

4. การศาล

16

แตเ่ ดมิ มากรมต่าง ๆ ต่างมีศาลของตนเองสาหรบั พจิ ารณาคดี ท่ีคนในกรมของตนเกดิ
กรณีพพิ าทกนั ข้ึน แต่ศาลน้กี เ็ ป็นไปอยา่ งยุ่งเหยงิ ไม่เป็นระเบยี บ ใน พ.ศ.2434 จึงไดต้ ้งั
กระทรวงยตุ ิธรรมข้ึน เพ่ือรวบรวมศาลต่าง ๆ ใหม้ าข้ึนอยู่ในกระทรวงเดยี วกนั
นอกจากน้นั ในการพจิ ารณาสอบสวนคดี กใ็ ชว้ ธิ ีจารีตนครบาล คอื ทาทารุณต่อผตู้ อ้ งหา
เพ่ือให้รับสารภาพ เช่น บบี ขมบั ตอกเลบ็ เฆี่ยนหลงั และทรมานแบบอื่น ๆ เป็นธรรมดา
อยูเ่ องที่ผตู้ อ้ งหาทนไมไ่ หว ก็จาตอ้ งสารภาพ จึงไดต้ ราพระราชบญั ญตั ขิ ้นึ ใชว้ ิธีพจิ ารณา
หลกั ฐานจากพยานบุคคลหรือเอกสาร ส่วนการสอบสวนแบบจารีตนครบาลน้นั ใหย้ กเลกิ

ไดจ้ ดั ต้งั ศาลโปริสภาข้ึนเม่ือ พ.ศ.2435 ตอ่ มาไดจ้ ดั ต้งั ศาลมณฑลข้นึ โดยต้งั ทม่ี ณฑล
อยธุ ยาเป็นมณฑลแรก และขยายตอ่ ไปครบทกุ มณฑล
๒๖ มนี าคม ๒๔๓๙ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว พรอ้ มดว้ ยพระนางเจา้
พระบรมราชินีนาถ
เสดจ็ พระราชดาเนินประกอบพระราชพิธีเปิ ดการเดินรถไฟสายแรก ในพระ
ราชอาณาจกั รสยาม (สายนครราชสีมา)

5. การคมนาคม

ไดโ้ ปรดให้สร้างถนนและสะพานข้นึ เป็นอนั มาก ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหข้ ยายถนนบารุง
เมอื ง ถนนทีท่ รงสรา้ งใหม่ คือ ถนนเยาวราช ถนนราชดาเนินกลาง ถนนราชดาเนินนอก
ถนนดินสอ ถนนบูรพา ถนนอณุ ากรรณ เป็นตน้ ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาปี
หน่ึง ๆ ทรงสละพระราชทรัพยส์ ร้างสะพานข้นึ ซ่ึงมคี าวา่ ?เฉลมิ ? นาหนา้ เชน่ สะพาน
เฉลมิ ศรี สะพานเฉลิมสวรรค์ สะพานอืน่ ๆ ทส่ี าคญั ทรงสร้างข้ึน เช่น สะพานมฆั วาน
รงั สรรค์ สะพานเทวกรมรังรกั ษ์ โปรดให้ขดุ คลองต่าง ๆ เพื่อใชเ้ ป็นแนวทางคมนาคม
และส่งเสริมการเพาะปลูก

17
ใน พ.ศ.2433 โปรดให้สร้างทางรถไฟต้งั แต่กรุงเทพ ฯ ถงึ จงั หวดั นครราชสีมา ทรง
เปิ ดทางตอนแรกต้งั แต่กรุงเทพ ฯ ถงึ อยุธยากอ่ น ใน พ.ศ.2439 สายต่อ ๆ ไปท่ีโปรดให้
สร้างข้ึนในภายหลงั คอื สายเพชรบุรี สายฉะเชิงเทรา สายเหนือเปิ ดใชถ้ งึ ชุมทางบา้ นดารา
จงั หวดั อุตรดติ ถ์ ใหส้ ัมปทานเดินรถรางและรถไฟในกรุงเทพ ฯ สมทุ รปราการ กบั รถไฟ
ในแขวงพระพทุ ธบาท ตลอดจนจดั การเดนิ รถไฟระหว่างกรุงเทพ ฯ กบั สมุทรสงคราม
การไปรษณีย์ โปรดใหเ้ ร่ิมจดั ข้ึนในปี พ.ศ.2424 รวมอยใู่ นกรมโทรเลข ซ่ึงไดจ้ ดั ข้นึ ต้งั แต่
พ.ศ.2412 โทรเลขสายแรกทส่ี ุด คอื ระหว่างจงั หวดั พระนครกบั จงั หวดั สมทุ รปราการ
ประตรู ะบายน้าทีสามเสน สาหรบั ระบายน้าไปสู่ท่สี ูบน้าเพอ่ื จดั ทาน้าประปา

6. การสุขาภบิ าล
ในส่วนการบารุงความสุขของพลเมอื งน้นั ไดท้ รงต้งั กรรมการข้นึ คณะหน่ึง เพือ่ ดูแล
จดั ต้งั โรงพยาบาลข้ึนหลายแห่ง เชน่ ศริ ิราชพยาบาล โรงพยาบาลบางรัก โรงพยาบาลโรค
จิต และโรงเล้ยี งเดก็ นอกจากน้ีไดส้ ่งแพทยอ์ อกเท่ยี วปลูกฝีป้องกนั ไขท้ รพษิ และป้องกนั
อหิวาตกโรค โดยไมค่ ิดมลู ค่า ใน พ.ศ.2436 สมเดจ็ พระศรีพชั รินทราบรมราชนิ ี จดั สร้าง
?สภาอุณาโลมแดง? ข้นึ ตอ่ มาไดเ้ ปลีย่ นเป็น ?สภากาชาดไทย? ต่อมาสภาไดจ้ ดั ต้งั

18

โรงพยาบาลข้นึ แตย่ งั ไมท่ นั เสร็จ มาเสร็จในรชั กาลที่ 6 พระราชทานนามว่า ?
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ?์ ใน พ.ศ.2457

ใน พ.ศ.2446 ไดท้ รงจา้ งชา่ งฝร่ังเศสเป็นนายชา่ งสุขาภิบาล จดั หาน้าสะอาดใหช้ าวพระ
นครบริโภค แตก่ ารน้ีมาสาเร็จในรชั กาลที่ 6 พระราชทานนามว่า ?การประปา? อน่ึงในปี
เดียวกนั น้นั โปรดเกลา้ ฯ ให้จดั ต้งั ?โอสถสภา? ข้นึ จดั ทายาตาราหลวงส่งไปจาหน่าย
ตามหวั เมอื งในราคาถกู การฝึกซอ้ มทหารปื นใหญ่ทส่ี นามหลวง เมอื่ ปี พ.ศ.๒๔๔๒-
๒๔๔๕ อนั เป็นการฝึกกาลงั ทหารตามแบบตะวนั ตก

7. การสงครามและการเสียดินแดน

ในรชั กาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว แมจ้ ะไดท้ รงเปล่ยี นแปลงการบริหาร
ราชการประเทศในลกั ษณะที่เรียกกนั วา่ พลกิ แผ่นดนิ หรือปฏวิ ตั ิ ก็ตาม แตใ่ นดา้ นการ
เกย่ี วขอ้ งกบั ชาวตะวนั ตกซ่ึงไดย้ นื่ มือเขา้ มาตอ้ งการดนิ แดนของเรา ต้งั แต่ปลายรชั กาล
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ น้นั ไดท้ าใหเ้ ราตอ้ งเสียดินแดนตา่ ง ๆ ไปในรชั กาลน้ี
อยา่ งมากมายและเป็นการเสียจนคร้ังสุดทา้ ย ซ่ึงการเสียแตล่ ะคร้ังน้นั หากจะนามากลา่ ว
โดยยดื ยาวกเ็ กินความจาเป็น ฉะน้นั จึงจะนามากล่าวเฉพาะดินแดนทเ่ี ราเสียไปเท่าน้นั
ดินแดนท่เี ราเสียไปเพราะถูกข่มเหงรงั แกจากฝรงั่ เศส มหี ลายคราวดว้ ยกนั คอื

1. พ.ศ.2431 เสียแควน้ สิบสองจุไทย และหวั พนั ท้งั หา้ ท้งั หก คิดเป็นเน้ือท่ปี ระมาณ
87,000 ตารางกโิ ลเมตร

2. พ.ศ.2436 (ร.ศ.112) เสียดินแดนฝ่ังซ้ายแมน่ ้าโขง ตลอดจนถงึ เกาะต่าง ๆ ในลาน้าโขง
คดิ เป็นเน้ือทป่ี ระมาณ 143,000 ตารางกโิ ลเมตร ท้งั ยงั ตอ้ งเสียเงินคา่ ปรบั เป็นเงนิ 2 ลา้ นฟ
รังค์ (คดิ ตามอตั ราแลกเปลีย่ นเงนิ ในเวลาน้นั ประมาณ 1 ลา้ นบาท) และตอ้ งถอนทหาร
จากชายแดนท้งั หมดและฝรั่งยดึ จนั ทบุรีไวเ้ ป็นการชาระหน้ี

19

3. ในปี พ.ศ.2447 ไทยตอ้ งเสียดนิ แดนฝ่ังขวาแม่น้าโขง ตรงขา้ มหลวงพระบาง และตรง
ขา้ มปากเซให้แก่ฝรัง่ เศสอีก คิดเป็นเน้ือทีป่ ระมาณ 12,500 ตารางกโิ ลเมตร ท้งั น้ีเนื่องจาก
ฝร่งั เศสไมย่ อมถอนทหารจากจนั ทบุรี เมอื่ เสียดินแดนน้ีแลว้ ฝรั่งเศสกถ็ อนทหารออกจาก
จนั ทบรุ ี แตไ่ ปยดึ เมืองตราดไวอ้ กี โดยหาเหตุผลอนั ใดมิได้

4. เพอื่ ที่จะให้ฝรง่ั เศสไปจากเมอื งตราด ไทยตอ้ งเสียสละ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ
ซ่ึงไทยไดม้ าอยา่ งเด็ดขาดต้งั แต่ พ.ศ.2352 ให้แก่ฝร่ังเศส โดยสญั ญาลงวนั ที่ 23 มีนาคม
พ.ศ.2449 ฝรัง่ เศสยอมคนื เมืองดา่ นซ้าย เมอื งตราด และเกาะท้งั หลาย ซ่ึงอย่ใู ตแ้ หลมสิงห์
ลงไปจนถงึ เกาะกดู ใหแ้ กไ่ ทย รวมดินแดนทเี่ สียไปคร้งั น้ีเป็นเน้ือท่ปี ระมาณ 51,000
ตารางกโิ ลเมตร
แต่การเสียดนิ แดนคราวสุดทา้ ยน้ีไทยกไ็ ดป้ ระโยชนอ์ ยบู่ า้ ง คอื ฝรัง่ เศสยอมยกเลกิ สิทธิ
สภาพนอกอาณาเขต ยอมใหศ้ าลไทยมสี ิทธิทจี่ ะชาระคดีใด ๆ ท่เี กิดข้นึ แกช่ าวฝรั่งเศส
และคนในบงั คบั ฝรง่ั เศสไดห้ าไปข้นึ ศาลกงสุลเช่นแต่กอ่ นไม่

ส่วนทางดา้ นองั กฤษน้นั ปรากฏว่าเขตแดนระหวา่ งมลายู ซ่ึงเป็นขององั กฤษกบั ไทยยงั หา
ปักปันกนั โดยควรไมต่ ลอดมาถงึ ปี พ.ศ.2441 ประเทศไทยไดเ้ ปิ ดการเจรจากบั รฐั บาล
องั กฤษ รวมถงึ เรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตดว้ ย ใน พ.ศ.2454 องั กฤษจึงยอมตกลงให้
ชาวองั กฤษ หรือคนในบงั คบั องั กฤษมาข้นึ ศาลไทย และยอมให้ไทยกเู้ งนิ จากองั กฤษ ทาง
รัฐบาลสหรฐั มลายู เพอื่ นามาใช้สรา้ งทางรถไฟสายใตจ้ ากกรุงเทพฯ ถงึ สิงคโปร์ เพ่ือตอบ
แทนประโยชน์ท่ีองั กฤษเอ้อื เฟ้ื อ ทางฝ่ายไทยยอมยกรฐั กลนั ตนั ตรงั กานูและไทยบรุ ี
ใหแ้ กส่ หรัฐมลายขู ององั กฤษ สวนสาธารณะบวั ร์ เดอบูลอญ กรุงปารีส ประเทศ
ฝร่ังเศส (ฉายเมือ่ ๑๒ กนั ยายน ๒๔๔๐)

20

8. การเสด็จประพาส
การเสดจ็ ประพาสเป็นพระราชกรณียกิจทสี่ าคญั อนั หน่ึงของ พระบาทสมเดจ็ พระ
จุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ดงั ที่กล่าวมาแลว้ วา่ ระหวา่ งที่ยงั มีผสู้ าเร็จราชการแทนพระองคน์ ้นั
กไ็ ดเ้ สดจ็ ประพาสชวา และอนิ เดยี เพือ่ ดแู บบอย่างการปกครองท่ีชาวยโุ รป นามาใชใ้ น
เมอื งข้นึ เพ่อื นามาแกไ้ ขดดั แปลงใชใ้ นประเทศของเราบา้ ง และการกเ็ ป็นไปสมดงั ท่ี
พระองคไ์ ดท้ รงคาดการณ์ไว้ เพราะไดน้ าเอาวธิ ีการปกครองในดนิ แดนน้นั ๆ มาใช้
ปรบั ปรุงระเบยี บการบริหารอนั เก่าแก่ลา้ สมยั ของเรา ซ่ึงใชก้ นั มาต้งั 400 ปี เศษแลว้
เมือ่ ไดเ้ กดิ กรณีพพิ าทกบั ฝรั่งเศสแลว้ ก็ไดเ้ สด็จประพาสยุโรป 2 คร้งั ในปี พ.ศ.2440 คร้งั
หน่ึง และในปี พ.ศ.2450 อีกคร้ังหน่ึง ท้งั น้ีเพอ่ื เช่ือมสมั พนั ธไมตรีกบั ประเทศต่าง ๆ ใน
ยโุ รป ตลอดจนประเทศฝรั่งเศสดว้ ย
ในการเสด็จประพาสทวีปยโุ รปคร้งั แรก เมอื่ พ.ศ.2440 ไดม้ กี ระแสพระราชปรารภมี
ขอ้ ความตอนหน่ึงว่า พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ไปนอกพระราชอาณาเขตหลายคร้งั คอื เสด็จ
ประพาสอินเดีย พมา่ รามญั ชวาและแหลมมลายู หลายคร้งั ไดท้ รงเลือกสรรเอาแบบแผน
ขนบธรรมเนียมอนั ดีในดินแดนเหลา่ น้นั มาปรบั ปรุงในประเทศใหเ้ จริญข้ึนแลว้ หลาย

21

อยา่ ง แมเ้ มอื งเหล่าน้นั เป็นเพยี งแตเ่ มืองข้นึ ของมหาประเทศในทวีปยโุ รป ถา้ ไดเ้ สด็จถงึ
มหาประเทศเหลา่ น้นั เองประโยชนย์ ่อมจะมขี ้ึนอกี หลายเทา่ ท้งั จะไดท้ รงวิสาสะคนุ้ เคย
กบั พระมหากษตั ริย์ และรัฐบาลของประเทศนอ้ ยใหญใ่ น ยโุ รปดว้ ย เป็นทางส่งเสริมทาง
ไมตรีใหด้ ีข้นึ กวา่ แตก่ อ่ น จึงไดท้ รงกาหนดเสดจ็ พระราชดาเนินในวนั ที่ 7 เมษายน ร.ศ.
116 (พ.ศ.2440) มกี าหนดเวลาประมาณ 9 เดือน

การเสด็จประพาสตา่ งประเทศ ในขณะที่เสวยราชสมบตั ิระยะไกลเป็นเวลาเช่นน้นั
นบั เป็นคร้งั แรกจึงไดท้ รงออกพระราชกาหนด ต้งั ผูส้ าเร็จราชการแผน่ ดนิ รักษาพระนคร
ซ่ึงผสู้ าเร็จราชการแผ่นดนิ คร้ังแรกน้ี ไดแ้ กส่ มเด็จพระนางเจา้ เสาวภาผอ่ งศรี
พระบรมราชินีนาถ (ซ่ึงต่อมาไดร้ บั สถาปนาเป็น สมเดจ็ พระศรีพชั รินทราบรมราชเทว)ี
ซ่ึงคร้ังน้นั ทรงเป็นพระราชชนนีของสมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชสยามมงกฏุ ราชกุมาร
(พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี 6) กบั ทรงต้งั ท่ปี รึกษาลว้ นแต่เป็นสมเดจ็ พระเจา้ นอ้ ง
ยาเธอช้นั ผใู้ หญ่ 4 พระองค์ คือพระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้าจาตุรนตร์ ัศมี กรมพระจกั รพรรดิ
พงศ์ 1 สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้าภาณุ-รงั ษีสวา่ งวงศ์ กรมพระภาณุพนั ธวุ งศว์ รเดช
1 พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศว์ โรปการ 1 พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหม่ืนดารงรา
ชานุภาพ 1 กบั มขี า้ ราชการชาวต่างประเทศ ซ่ึงจา้ งมารับราชการในประเทศไทยคร้งั น้นั
คอื โรลงั ยคั มินส์ ชาวเบลเยย่ี ม ซ่ึงไดบ้ รรดาศกั ด์ิเป็น เจา้ พระยาอภยั ราชา ร่วมดว้ ยอกี 1
ทา่ น

ในการเสด็จประพาสคร้ังแรกน้ี ไดท้ รงมีพระราชหตั ถเลขาถงึ สมเดจ็ พระราชินีนาถ
ผสู้ าเร็จราชการแผน่ ดนิ ตลอดระยะทาง พระราชหตั ถเลขาน้ีต่อมาไดร้ วมเป็นหนงั สือเลม่
ช่ือ พระราชนิพนธเ์ รื่องไกลบา้ น ให้ความรู้เกยี่ วแก่สถานทตี่ า่ ง ๆ ทเี่ สด็จไปอย่าง
มากมาย?ส่วนการเสดจ็ ประพาสยุโรปคร้ังที่ 2 น้นั สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จกลบั
แลว้ จึงทรงเป็นผสู้ าเร็จราชการแทนพระองค์

22
ส่วนภายในประเทศ ก็ทรงถอื ว่าการเสด็จประพาสในทตี่ า่ ง ๆ เป็นเหตุใหร้ ู้สารทุกขส์ ุขดบิ
ของราษฎรเป็นอยา่ งดี พระองคจ์ ึงไดท้ รงปลอมแปลงพระองคไ์ ปกบั เจา้ นายและ
ขา้ ราชการ ไปโดยเรือมาดแจวไปตามแมน่ ้าลาคลองตา่ ง ๆ แวะเยย่ี มเยียนตามบา้ นราษฎร
ซ่ึงเรียกกนั ว่า ?ประพาสตน้ ? ประพาสตน้ น้ีไดเ้ สดจ็ 2 คร้งั คอื ในปี พ.ศ.2447 คร้งั หน่ึง
และในปี พ.ศ.2449 อกี คร้ังหน่ึง?การชาระพระไตรปิ ฎกสมยั พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว พ.ศ. ๒๔๓๑

9. การศาสนา
ในดา้ นศาสนาน้นั พระองคม์ ไิ ดท้ รงละเลย ทรงเป็นองคศ์ าสนูปถมั ภกโดยแทจ้ ริงในดา้ น
พระพุทธศาสนาน้นั นอกจากจะทรงบรรพชาเป็นสามเณรและทรงอปุ สมบทดว้ ยแลว้
ยงั ให้ความอปุ ถมั ภส์ งฆ์ 2 นิกาย ดงั เชน่ สมเดจ็ พระราชบดิ า ในปี พ.ศ.2445 ให้ตรา
พระราชบญั ญตั ปิ กครองคณะสงฆ์ เป็นการวางระเบยี บสงฆม์ ณฑลให้เป็นระเบยี บทวั่
ราชอาณาจกั ร ให้กระทรวงธรรมการมีหนา้ ทีค่ วบคุมการศาสนา ทรงอาราธนาพระราชา
คณะใหส้ ังคายนาพระไตรปิ ฎก แลว้ พิมพเ์ ป็นอกั ษรไทยชดุ ละ 39 เลม่ จานวน 1,000 ชุด
แจกไปตามพระอารามต่าง ๆ ถึงตา่ งประเทศดว้ ย ใน พ.ศ.2442 ทรงปฏสิ ังขรณว์ ดั เบญจม
บพิตร แลว้ จาลองพระพทุ ธชินราชทจี่ งั หวดั พษิ ณุโลกมาประดษิ ฐานไวใ้ นวดั น้ี ทรง

23

ปฏิสังขรณ์วดั หลายวดั สรา้ งพระอารามหลายพระอาราม เช่น วดั ราชบพติ ร วดั เทพศริ ินท
ราวาส วดั นิเวศน์ธรรมประวตั ิ (บางปะอิน) เป็นตน้

ส่วนศาสนาอื่น กท็ รงให้ความอุปถมั ภต์ ามสมควร เช่น สละพระราชทรพั ยส์ รา้ งสุเหร่า
แขก พระราชทานเงินแกค่ ณะมชิ ชนั นารี และพระราชทานทีด่ ินให้สรา้ งโบสถท์ ี่ริมถนน
สาธร
พระราชหตั ถเลขา

10. การวรรณคดี

ในดา้ นวรรณคดีน้นั ในรัชกาลน้กี ็มีการเปลีย่ นแปลงไปจากเดิมราวกบั ปฏวิ ตั ิ คือ
ประชาชนหนั มานิยมการประพนั ธแ์ บบรอ้ ยแกว้ ส่วนคาประพนั ธ์แบบโคลงฉนั ทก์ าพย์
กลอนน้นั เสื่อมความนยิ มลงไป หนงั สือตา่ ง ๆ กไ็ ดร้ บั การเผยแพร่ยิง่ กว่าสมยั ก่อน
เพราะเนื่องจากมีโรงพมิ พห์ นงั สือเล่มหน่ึง ๆ ไดจ้ านวนมาก ไมต่ อ้ งคดั ลอกเหมือน
สมยั กอ่ น ๆ

พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ ฯ ทรงเป็นนกั ประพนั ธ์ ซ่ึงมีความชานาญท้งั ทางร้อย
แกว้ และรอ้ ยกรอง เชน่ ไกลบา้ น ลิลิตนิทราชาคริต เงาะป่ า พระราชพิธีสิบสองเดอื น เป็น
ตน้ พระราชนิพนธ์เล่มหลงั น้ี ไดร้ ับการยกยอ่ งจากวรรณคดสี โมสรว่า เป็นยอดความเรียง
ประเภทคาอธิบาย

24

พระราชกรณยี กจิ

พระราชกรณยี กิจทสี่ าคญั ของรชั กาลที่ 5 ไดแ้ ก่ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้
มกี ารเลิกทาสและไพรใ่ นประเทศไทย การป้องกนั การเป็นอาณานิคมของจกั รวรรดิ
ฝร่งั เศสและจกั รวรรดิองั กฤษ ไดม้ กี ารประกาศออกมาใหม้ กี ารนบั ถือศาสนาโดยอิสระใน
ประเทศ โดยบคุ คลศาสนาคริสตแ์ ละศาสนาอสิ ลามสามารถปฏบิ ตั ศิ าสนกิจไดอ้ ย่าง
อสิ ระ นอกจากนไี้ ดม้ กี ารนาระบบจากทางยโุ รปมาใชใ้ นประเทศไทย ไดแ้ ก่ระบบการใช้
ธนบตั รและเหรียญบาท ใชร้ ะบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล จงั หวดั
และอาเภอ และไดม้ ีการสรา้ งรถไฟ สายแรก คือ กรุงเทพฯ ถึง อยธุ ยา ลงวนั ท่ี 1 มนี าคม
ร.ศ.109 ซ่ึงตรงกบั พทุ ธศกั ราช 2433 นอกจากนไี้ ดม้ งี านพระราชนพิ นธ์ ท่ีสาคญั การ
กอ่ ตงั้ การประปา การไฟฟา้ ไปรษณยี โ์ ทรเลข โทรศพั ท์ การสือ่ สาร การรถไฟ สว่ นการ
คมนาคม ใหม้ กี ารขุดคลองหลายแห่ง เช่น คลองประเวศบรุ รี มย์ คลองสาโรง คลองแสน
แสบ คลองนครเนอ่ื งเขต คลองรงั สิตประยรู ศกั ด์ิ คลองเปรมประชากร และ คลองทวี
วฒั นา ยงั ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหข้ ดุ คลองส่งนา้ ประปา จากเชยี งราก ส่สู ามเสน อาเภอดสุ ิต
จงั หวดั พระนคร ซง่ึ คลองนสี้ ง่ นา้ จากแหลง่ นา้ ดบิ เชยี งราก ผา่ นอาเภอสามโคก อาเภอ
เมืองปทุมธานี อาเภอคลองหลวง อาเภอธญั บรุ แี ละอาเภอลาลกู กา จงั หวดั
ปทุมธานี, อาเภอปากเกร็ด และ อาเภอเมอื งนนทบรุ ี จงั หวดั นนทบุรี และ เขตสายไหม
เขตบางเขน เขตดอนเมอื ง เขตหลกั ส่ี เขตจตจุ กั ร เขตบางซอ่ื เขตดสุ ติ เขตพญาไท และ
เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร พระราชกรณยี กจิ ดา้ นสงั คม ทรงยกเลิกระบบไพร่ โดยให้
ไพรเ่ สยี เงนิ แทนการถกู เกณฑ์ นบั เป็นการเกดิ ระบบทหารอาชพี ในประเทศไทย
นอกจากนี้ พระองคย์ งั ทรงเลกิ ทาสแบบค่อยเป็นคอ่ ยไป เรม่ิ จากออกกฎหมายใหล้ กู ทาส
อายุครบ 20 ปีเป็นอิสระ จนกระท่งั ออกพระราชบญั ญตั เิ ลกิ ทาส ร.ศ. 124
(พ.ศ. 2448) ซึ่งปล่อยทาสทกุ คนใหเ้ ป็นอสิ ระและหา้ มมกี ารซอื้ ขายทาส

25

การปฏริ ูปการปกครอง

พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงตระหนกั ถึงการคกุ คามจาก
จกั รวรรดินยิ มตะวนั ตกทม่ี ีตอ่ ประเทศในแถบเอเชยี โดยมกั อา้ งความชอบธรรมในการ
เขา้ ยดึ ครองดนิ แดนแถบนวี้ า่ เป็นการทาใหบ้ า้ นเมืองเจรญิ กา้ วหนา้ อนั เป็น "ภาระของคน
ขาว" ทาใหต้ อ้ งทรงปฏริ ูปบา้ นเมืองใหท้ นั สมยั โดยพระราชกรณยี กจิ ดงั กล่าวเรม่ิ ขนึ้
ตง้ั แต่ พ.ศ. 2416 ประการแรก ทรงตงั้ สภาที่ปรกึ ษาขนึ้ มาสองสภา ไดแ้ ก่ สภาทีป่ รกึ ษา
ราชการแผ่นดนิ (เคานซ์ ลิ ออฟสเตต) และสภาท่ีปรกึ ษาในพระองค์ (ปรีวีเคานซ์ ลิ ) ในปี
พ.ศ. 2417 และทรงตง้ั ขนุ นางระดบั พระยา 12 นายเป็น "เคานซ์ ลิ ลอร"์ ใหม้ อี านาจ
ขดั ขวางหรือคดั คา้ นพระราชดาริได้ และทรงตง้ั พระราชวงศานวุ งศ์ 13 พระองค์ และขนุ
นางอกี 36 นาย ชว่ ยถวายความคดิ เห็นหรือเป็นกรรมการดาเนนิ การตา่ ง ๆ แตส่ มเดจ็
เจา้ พระยาบรมมหาศรีสรุ ิยวงศ์ (ชว่ ง บนุ นาค) ขนุ นางสกลุ บนุ นาค และกรมพระราชวงั
บวรวิไชยชาญ เหน็ ว่าสภาที่ปรกึ ษาเป็นความพยายามดึงพระราชอานาจของ
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทาใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ ทเี่ รยี กวา่ วิกฤตการณ์
วงั หนา้ วิกฤตการณด์ งั กล่าวทาใหก้ ารปฏิรูปการปกครองชะงกั ลงกระท่งั
พ.ศ. 2428 พ.ศ. 2427 ทรงปรกึ ษากบั พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ปฤษฎางค์ อคั รราชทตู
ไทยประจาองั กฤษ ซง่ึ พระองคเ์ จา้ ปฤษฎางค์ พรอ้ มเจา้ นายและขา้ ราชการ 11 นาย ได้
กราบทูลเสนอใหเ้ ปลยี่ นแปลงการปกครองเป็นแบบราชาธปิ ไตยภายใตร้ ฐั ธรรมนญู แต่
พระองคท์ รงเห็นว่ายงั ไม่พรอ้ ม แต่กโ็ ปรดใหท้ รงศึกษารูปแบบการปกครองแบบประเทศ
ตะวนั ตก และ พ.ศ. 2431 ทรงเริม่ ทดลองแบ่งงานการปกครองออกเป็น 12 กรม
(เทยี บเท่ากระทรวง) พ.ศ. 2431 ทรงตงั้ "เสนาบดสี ภา" หรอื "ลกู ขุน ณ ศาลา" ขนึ้ เป็น
ฝ่ายบรหิ าร ต่อมา ใน พ.ศ. 2435 ไดต้ งั้ องคมนตรสี ภา เดมิ เรยี กสภาที่ปรกึ ษาใน
พระองค์ เพอื่ วนิ ิจฉยั และทางานใหส้ าเร็จ และรฐั มนตรีสภา หรือ "ลกู ขุน ณ ศาลาหลวง"
ขนึ้ เพอื้ ปรกึ ษาราชการแผ่นดนิ ทเ่ี กยี่ วกบั กฎหมาย นอกจากนยี้ งั ทรงจดั ใหม้ ี "การชมุ นมุ
เสนาบด"ี อนั เป็นการประชมุ ปรกึ ษาราชการทม่ี ขุ กระสนั พระท่นี ่งั ดสุ ติ มหาปราสาทดว้ ย

26

ความพอพระทยั ในผลการดาเนินงานของกรมทงั้ สบิ สองทไี่ ดท้ รงตงั้ ไวเ้ มื่อ
พ.ศ. 2431 แลว้ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จึงทรงประกาศตงั้ กระทรวง
ขนึ้ อยา่ งเป็นทางการจานวน 12 กระทรวง เม่อื วนั ท่ี 1 เมษายน พ.ศ. 2435 อนั
ประกอบดว้ ย

กระทรวงมหาดไทย รบั ผดิ ชอบงานทเี่ ดมิ เป็นของสมหุ นายก ดแู ลกิจการพลเรือนทงั้ หมด
และบงั คบั บญั ชาหวั เมอื งฝ่ายเหนือและชายทะเลตะวนั ออก

กระทรวงนครบาล รบั ผิดชอบกิจการในพระนคร

กระทรวงโยธาธกิ าร รบั ผดิ ชอบการกอ่ สรา้ ง

กระทรวงธรรมการ ดแู ลการศาสนาและการศึกษา

กระทรวงเกษตรพานชิ การ รบั ผดิ ชอบงานท่ใี นปัจจุบนั เป็นของกระทรวงเกษตรและ
สหกรณแ์ ละกระทรวงพาณชิ ย์

กระทรวงยตุ ิธรรม ดแู ลเรื่องตลุ าการ

กระทรวงมรุธาธร ดแู ลเครื่องราชูปโภคของพระมหากษตั รยิ ์

กระทรวงยทุ ธนาธิการ รบั ผิดชอบปฏิบตั กิ ารการทหารสมยั ใหม่ตามแบบยโุ รป

กระทรวงพระคลงั สมบตั ิ รบั ผิดชอบงานทใี่ นปัจจุบนั เป็นของกระทรวงการคลงั

กระทรวงการต่างประเทศ (กรมท่า) รบั ผดิ ชอบการต่างประเทศ

กระทรวงกลาโหม รบั ผิดชอบกจิ การทหาร และบงั คบั บญั ชาหวั เมอื งฝ่ายใต้

27

กระทรวงวงั รบั ผดิ ชอบกิจการพระมหากษัตรยิ ์

หลงั จากวกิ ฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรงใหก้ ระทรวงมหาดไทยรบั ผดิ ชอบ
กจิ การพลเรือนเพยี งอย่างเดยี ว และใหก้ ระทรวงกลาโหมรบั ผดิ ชอบกจิ การทหารเพยี ง
อย่างเดยี ว ยบุ กรม 2 กรม ไดแ้ ก่ กรมยทุ ธนาธกิ าร โดยรวมเขา้ กบั กระทรวงกลาโหม
และกรมมรุธาธร โดยรวมเขา้ กบั กระทรวงวงั และเปลี่ยนชอื่ กระทรวงเกษตรพานชิ การ
เป็น กระทรวงเกษตราธิการ ดา้ นการปกครองสว่ นภูมภิ าค มีการรวมอานาจเขา้ สู่
ศนู ยก์ ลาง ทาใหไ้ ทยกลายมาเป็นรฐั ชาตสิ มยั ใหม่ โดยการลดอานาจเจา้ เมือง และนา
ขา้ ราชการสว่ นกลางไปประจาแทน ทรงทาใหน้ ครเชยี งใหม่ (พ.ศ. 2317–2442) รวมเขา้
เป็นส่วนหนงึ่ ของสยาม ตลอดจนทรงแตง่ ตงั้ ใหพ้ ระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหมนื่ ประจกั ษ์
ศิลปาคม ไปประจาที่อดุ รธานี เป็นจดุ เร่ิมตน้ ของการปกครองแบบเทศาภิบาล
พ.ศ. 2437 ทรงกาหนดใหเ้ ทศาภิบาลขนึ้ กบั กระทรวงมหาดไทย ยกเลกิ ระบบกนิ เมอื ง
และระบบหวั เมอื งแบบเกา่ (ไดแ้ ก่ หวั เมอื งชนั้ ใน ชนั้ นอก และเมอื งประเทศราช) จดั เป็น
มณฑล เมือง อาเภอ หม่บู า้ น ระบบเทศาภิบาลดงั กล่าวทาใหส้ ยามกลายเป็นรฐั ชาตทิ ี่
ม่นั คง มีเขตแดนทชี่ ดั เจนแนน่ อน นบั เป็นการรกั ษาเอกราชของประเทศ และทาให้
ราษฎรมคี ณุ ภาพชวี ติ ดขี นึ้ พระองคย์ งั ไดส้ ่งเจา้ นายหลายพระองคไ์ ปศกึ ษาในทวีปยุโรป
เพื่อมาดารงตาแหน่งสาคญั ในการปกครองทไี่ ดร้ บั การปฏิรูปใหมน่ ี้ และทรงจา้ งชาว
ต่างประเทศมารบั ราชการในตาแหน่งที่คนไทยยงั ไม่เช่ียวชาญ ทรงตง้ั สขุ าภิบาลแหง่ แรก
ของประเทศที่ท่าฉลอม พ.ศ. 2448

พระราชกรณียกจิ ทส่ี าคญั ของรชั กาลที่ 5 ไดแ้ ก่ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ี
การเลิกทาสและไพร่ในประเทศไทย การป้องกนั การเป็นอาณานิคมของจกั รวรรดิ
ฝรงั่ เศสและจกั รวรรดอิ งั กฤษ ไดม้ ีการประกาศออกมาให้มีการนบั ถอื ศาสนาโดยอิสระ
ในประเทศ โดยบุคคลศาสนาคริสตแ์ ละศาสนาอสิ ลามสามารถปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ไดอ้ ย่าง
อิสระ นอกจากน้ีไดม้ กี ารนาระบบจากทางยโุ รปมาใชใ้ นประเทศไทย ไดแ้ ก่ระบบการใช้

28

ธนบตั รและเหรียญบาท ใชร้ ะบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑล
เทศาภิบาล จงั หวดั และอาเภอ และไดม้ ีการสร้างรถไฟ สายแรก คือ กรุงเทพฯ ถงึ อยุธยา
ลงวนั ท่ี 1 มีนาคม ร.ศ.109 ซ่ึงตรงกบั พุทธศกั ราช 2433 นอกจากน้ีไดม้ งี านพระราช
นิพนธ์ ท่ีสาคญั การกอ่ ต้งั การประปา การไฟฟ้า ไปรษณียโ์ ทรเลข โทรศพั ท์ การสื่อสาร
การรถไฟ ส่วนการคมนาคม ให้มีการขุดคลองหลายแห่ง เช่น คลองประเวศบุรีรมย์ คลอง
สาโรง คลองแสนแสบ คลองนครเนื่องเขต คลองรังสิตประยรู ศกั ด์ิ คลองเปรม
ประชากร และ คลองทววี ฒั นา ยงั ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้ขุดคลองส่งน้าประปา จากเชียงราก
สู่สามเสน อาเภอดุสิต จงั หวดั พระนคร ซ่ึงคลองน้ีส่งน้าจากแหล่งน้าดบิ เชียงราก ผ่าน
อาเภอสามโคก อาเภอเมืองปทมุ ธานี อาเภอคลองหลวง อาเภอธญั บุรีและอาเภอลาลกู
กา จงั หวดั ปทมุ ธานี, อาเภอปากเกร็ด และ อาเภอเมืองนนทบุรี จงั หวดั นนทบรุ ี และ เขต
สายไหม เขตบางเขน เขตดอนเมือง เขตหลกั ส่ีเขตจตุจกั ร เขตบางซื่อ เขตดุสิต เขตพญา
ไท และ เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร

พระราชกรณียกิจดา้ นสงั คม ทรงยกเลิกระบบไพร่ โดยใหไ้ พร่เสียเงินแทนการถูก
เกณฑ์ นบั เป็นการเกดิ ระบบทหารอาชีพในประเทศไทย นอกจากน้ี พระองคย์ งั ทรงเลกิ
ทาสแบบค่อยเป็นค่อยไป เร่ิมจากออกกฎหมายใหล้ ูกทาสอายคุ รบ 20 ปี เป็นอสิ ระ
จนกระทงั่ ออกพระราชบญั ญตั เิ ลกิ ทาส ร.ศ. 124 (พ.ศ. 2448) ซ่ึงปล่อยทาสทกุ คนใหเ้ ป็น
อิสระและหา้ มมกี ารซ้ือขายทาส

การปกครอง

เพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเป็นไปของโลก และดว้ ยทรงตระหนกั ถึงภยนั ตรายของลทั ธิ
แสวงหาอาณานิคมของมหาอานาจตะวนั ตกทก่ี าลงั แผเ่ ขา้ มาในเวลาน้นั จงึ ทรงพยายาม
ปรับปรุงระบบการปกครองใหเ้ ป็นไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ เกิดการปฏิรูประเบยี บวิธีการ
ปกครองใหท้ นั สมยั ข้นึ หลายอย่าง โดยทรงเปลีย่ นแปลงรูปแบบการปกครองท้งั
ส่วนกลางและส่วนภมู ภิ าคใหเ้ หมาะสมกบั ยคุ สมยั หลายประการ อาทิเชน่

29

• ทรงต้งั สภาท่ปี รึกษาราชการแผ่นดนิ และสภาองคมนตรีเป็นทป่ี รึกษาราชการ
แผ่นดนิ ในปี พ.ศ. 2417

• ทรงประกาศต้งั กระทรวง 12 กระทรวง ในปี พ.ศ. 2435
• ทรงยกเลิกการจดั เมอื งเป็นช้นั เอก โท ตรี จตั วา เป็นการปกครองแบบเทศาภบิ าล

คอื รวมหวั เมืองเขา้ เป็นมณฑล
• มีการตราพระราชบญั ญตั ิปกครองทอ้ งที่ทีละมณฑลภายใตก้ ารกากบั ดูแลของ

ขา้ หลวงเทศาภบิ าลท่ีส่งไปจากส่วนกลาง โดยเร่ิมต้งั แต่ พ.ศ. 2437
• โปรดเกลา้ ฯ ใหย้ กเลกิ ระบบไพร่ ระบบทาส เพอ่ื ปลดปลอ่ ยประชาชนพลเมืองให้

พน้ จากพนั ธะอนั รดั ตวั ตา่ ง ๆ ทาใหป้ ระชาชนท้งั ชาตมิ สี ิทธิเสรีภาพเทา่ เทยี มกนั

การศาล

ทรงปฏริ ูประบบกฎหมายและการศาลให้ทนั สมยั และขจดั สิทธิสภาพนอกอาณา
เขตท่ไี ทยตอ้ งเสียเปรียบแก่ชาวตา่ งชาติ โดยปรบั ปรุงระเบยี บการศาลให้เป็น
อนั หน่ึงอนั เดยี วกนั ทว่ั ราชอาณาจกั ร มกี ระทรวงยุติธรรมรบั ผิดชอบอย่างแทจ้ ริง
โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ้งั กรรมการตรวจชาระและร่างกฎหมาย ไดท้ รงประกาศใช้
กฎหมายลกั ษณะอาญาซ่ึงถือเป็นประมวลกฎหมายฉบบั แรกของไทย และทรง
จดั ต้งั โรงเรียนกฎหมายเพื่อผลติ นกั กฎหมายให้พอแกค่ วามตอ้ งการ ทาให้การ
พจิ ารณาคดแี ละการลงโทษแบบเกา่ หมดไป

30

การทหารและตารวจ

โปรดเกลา้ ฯ ให้จดั การทหารตามแบบยุโรป และวางกาหนดการเกณฑค์ นเขา้ เป็นทหาร
แทนการใชแ้ รงงานบงั คบั ไพร่ตามประเพณีเดมิ โดยประกาศพระราชบญั ญตั เิ กณฑท์ หาร
ร.ศ. 124 เป็นคร้งั แรก อกี ท้งั ทรงจดั ต้งั โรงเรียนการทหาร คือ โรงเรียนนายร้อยพระ
จุลจอมเกลา้ กบั จดั ต้งั ตารวจภูธร ตารวจนครบาลเพื่อใหด้ ูแลบา้ นเมืองและปราบปราม
โจรผูร้ า้ ยโดยทว่ั ถงึ

การเลกิ ทาส

พระราชกรณียกิจที่สาคญั ย่ิง คือ การเลกิ ทาส ซ่ึงทรงดาเนนิ การดว้ ยความสุขมุ คมั ภีรภาพ
นบั แตป่ ี พ.ศ. 2417 จนถงึ พ.ศ. 2448 รวมเวลายาวนานกว่า 30 ปี จงึ สาเร็จเสร็จส้ินโดยไม่
มคี วามขดั แยง้ รุนแรงถึงลงมอื รบพุ่งดงั ทเี่ กิดข้นึ ในบางประเทศ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้
ฯ ให้ประกาศ "พระราชบญั ญตั ิพกิ ดั เกษยี ณลูกทาสลูกไทย" เมื่อวนั ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.
2417 แกพ้ กิ ดั คา่ ตวั ทาสใหม่ ใหล้ ดค่าตวั ทาสลงต้งั แต่อายุ 8 ขวบ จนกระทง่ั หมดคา่ ตวั
เมื่ออายุ 20 ปี คร้นั อายุได้ 21 ปี ทาสผนู้ ้นั ก็จะเป็นอสิ ระ พระราชบญั ญตั นิ ้ีมีผลกบั ทาสที่
เกิดต้งั แตป่ ี พ.ศ. 2411 เป็นตน้ ไป ท้งั ห้ามมใิ ห้มกี ารซ้ือขายบคุ คลทมี่ ีอายมุ ากกวา่ 20 ปี
เป็นทาสอีก และโปรดเกลา้ ฯ ใหอ้ อก "พระราชบญั ญตั ิเลกิ ทาส ร.ศ. 124" ใหล้ กู ทาสทุก
คนเป็นไท เมอ่ื วนั ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448 ส่วนทาสประเภทอืน่ ที่มิใช่ทาสในเรือนเบ้ยี

31
ทรงให้ลดค่าตวั ลงเดอื นละ 4 บาท นบั ต้งั แต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2448 นอกจากน้ียงั มี
บทบญั ญตั ปิ ้องกนั มใิ หค้ นท่เี ป็นไทแลว้ กลบั ไปเป็นทาสอีก และเมื่อทาสจะเปล่ยี นเจา้ เงิน
ใหม่ ห้ามมิให้ข้นึ ค่าตวั ท้งั ยงั เตรียมการใหผ้ ทู้ ่ีพน้ จากความเป็นทาสไดม้ คี วามรู้ และมี
เครื่องมือทามาหากนิ เล้ยี งตวั เองไดอ้ กี ดว้ ย

การศึกษา
ดว้ ยทรงตระหนกั ดีว่าการศกึ ษาเป็นปัจจยั สาคญั ในการสรา้ งคนและประเทศ จงึ ทรงขยาย
การศึกษาออกไปสู่ราษฎรทกุ ระดบั ไดพ้ ระราชทานพระตาหนกั สวนกุหลาบให้เป็น
โรงเรียน และมีการต้งั โรงเรียนสาหรบั ราษฎรแห่งแรกทีว่ ดั มหรรณพาราม โปรดเกลา้ ฯ
ใหจ้ ดั ต้งั กรมศกึ ษาธกิ ารซ่ึงต่อมาเขา้ สงั กดั กระทรวงธรรมการเพอ่ื บงั คบั บญั ชาเก่ยี วกบั
การศึกษาให้เป็นระเบยี บ นอกจากน้นั ยงั ส่งพระราชโอรสไปทรงศึกษาในยุโรปดว้ ยทรง
มีพระราชดาริว่า ผจู้ ะปกครองบา้ นเมอื งตอ้ งรูจ้ กั โลกกวา้ งขวางจงึ จะแกไ้ ขปัญหาไดท้ นั
การณ์ ท้งั ยงั เป็นส่ือเจริญพระราชไมตรีไดเ้ ป็นอย่างดี สาหรับนกั เรียนทว่ั ไป โปรดเกลา้ ฯ
ให้มีการสอบชิงทนุ เล่าเรียนหลวง “คงิ สกอลาชิป” ต้งั แต่ พ.ศ. 2440 เพอ่ื ส่งนกั เรียนที่
เรียนดีไปศกึ ษายงั ตา่ งประเทศหลายรุ่น

32

พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู ัวกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั
หลงั จากทรงปฏริ ูประบบบริหารราชการแผน่ ดนิ เมื่อ พ.ศ. 2435 แลว้ ไดท้ รงพระกรุณา
โปรดเกลา้ ฯ ให้ปรับปรุงงานของกรมมหาดเลก็ ดว้ ยทรงพระราชดาริว่า เม่ือราชการ
บา้ นเมืองเปล่ยี นแปลงไป ย่อมตอ้ งการผมู้ คี วามรูค้ วามสามารถท่ีจะปฏิบตั ริ าชการให้
เหมาะสมกบั กาลสมยั จึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหป้ รับปรุงงานของกรมมหาดเลก็
และไดเ้ ริ่มจดั ต้งั “สานกั ฝึกหดั วิชาขา้ ราชการฝ่ายพลเรือน” ข้ึนเมอ่ื พ.ศ. 2442 ต่อมาทรง
พระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ้งั เป็น “โรงเรียนมหาดเล็ก” เมอ่ื วนั ที่ 1 เมษายน พ.ศ.2445
หลงั จากพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคตแลว้ พระบาทสมเด็จพระ
มงกฎุ เกลา้ เจา้ อยูห่ วั ไดม้ พี ระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ถาปนาโรงเรียน
มหาดเล็กข้นึ เป็น “โรงเรียนขา้ ราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้
เจา้ อยูห่ วั ” และพระราชทานเงนิ คงเหลอื จากการทีร่ าษฎรเรี่ยไรกนั สร้างพระบรมรูปปิ ยรา
ชานุสาวรีย์ จานวน 982,672.47 บาท เพ่อื ใชเ้ ป็นทนุ ขยายกจิ การ โรงเรียนในช้นั แรก ซ่ึง
กิจการของโรงเรียนไดเ้ จริญกา้ วหนา้ เป็นปึกแผน่ เร่ือยมา และท่ีสุดไดม้ ีประกาศพระบรม
ราชโองการประดษิ ฐานโรงเรียนขา้ ราชการพลเรือนของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้
เจา้ อยู่หัวข้ึนเป็น “จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ” เมื่อวนั ท่ี 26 มนี าคม พ.ศ. 2459 ดงั น้นั
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั จึงเป็นเสมอื นพระบรมราชานุสาวรียข์ องพระบาทสมเดจ็ พระ

33
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ท่พี สกนกิ รทกุ หมู่เหล่าไดบ้ ริจาคเงินเพ่ือใชใ้ นการพฒั นาและ
ประดิษฐานเป็นสถาบนั อุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย

เศรษฐกจิ
เมอื่ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั เสดจ็ ข้นึ ครองราชย์ ทรงเร่ิมปฏริ ูปการคลงั
โดยทรงวางเศรษฐกจิ รูปแบบใหม่ ปรับปรุงการภาษีอากรและระเบยี บการเกบ็ ภาษอี ากร

34

• โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั ต้งั หอรัษฎากรพพิ ฒั น์ ข้ึนใน พ.ศ. 2416 และยกฐานะข้นึ เป็น
กระทรวงการคลงั เมอ่ื พ.ศ. 2435 เพอื่ ทาหนา้ ทเ่ี ก็บภาษอี ากรของแผน่ ดินมารวม
ไวแ้ ห่งเดียว และเพ่ือใหก้ ารรับจา่ ยเงนิ ของแผน่ ดินเป็นไปอย่างรดั กุม

• โปรดเกลา้ ฯ ให้มีการจดั ทางบประมาณแผน่ ดนิ ข้นึ เป็นคร้ังแรก เม่ือพ.ศ. 2439
เป็นการกาหนดรายจา่ ยมิให้เกินกาลงั ของเงินรายได้ เพ่อื รักษาดลุ ยภาพและความ
มน่ั คงของฐานะการคลงั ในการจดั ทางบประมาณคร้งั น้ี ยงั โปรดเกลา้ ฯ ให้แยก
การเงนิ ส่วนแผน่ ดินและส่วนพระองคอ์ อกจากกนั อยา่ งเด็ดขาด นบั เป็น
พระมหากษตั ริยใ์ นระบบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชพระองคเ์ ดยี วในโลกท่อี อก
กฎหมายจากดั อานาจการใชเ้ งนิ ของพระองคเ์ อง และเนื่องจากการคา้ ขายในพระ
ราชอาณาจกั รเริ่มเจริญข้ึน จงึ ไดท้ รงจดั ระบบเงินตราใหม่ โดยยกเลกิ ระบบเงิน
พดดว้ งและหน่วยเงนิ แบบเดิมมาใชห้ น่วยเงนิ เป็นบาท สลึง สตางค์ และโปรด
เกลา้ ฯ ใหจ้ ดั พมิ พธ์ นบตั รข้นึ ใชแ้ ทน ธนบตั รแบบแรกอยา่ งเป็นทางการของไทย
ไดป้ ระกาศใชเ้ ม่ือวนั ท่ี 7 กนั ยายน พ.ศ. 2445

• ทรงมพี ระบรมราชานญุ าตให้ต้งั “บคุ คลภั ย”์ (BookClub) ซ่ึงเป็นสถาบนั การเงนิ
แห่งแรกของชาวสยามข้นึ เป็นธนาคารในนาม “บริษทั แบงกส์ ยาม กมั มาจล ทุน
จากดั ” เม่ือ พ.ศ. 2449 ประกอบธุรกจิ ธนาคารพาณิชยอ์ ยา่ งเป็นทางการ นบั เป็น
ธนาคารแห่งแรกทต่ี ้งั ข้ึนดว้ ยเงินทนุ ของคนไทย ซ่ึงตอ่ มาไดเ้ ปลย่ี นชื่อเป็น
“ธนาคารไทยพาณิชย”์ และยงั โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ีการออกพนั ธบตั รเพ่ือนาเงินมา
ปรบั ปรุงสาธารณูปโภคพ้ืนฐานและพฒั นาประเทศใหท้ นั สมยั

• การที่ไทยประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลกั และมขี า้ วเป็นสินคา้ ออกสาคญั
การขยายพ้นื ท่ที านา และน้าย่อมเป็นปัจจยั สาคญั พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ ต้งั พระทยั ท่จี ะพฒั นาการเกษตร มกี ารขดุ คลองเพอ่ื ขยาย
พ้นื ทน่ี า ต้งั โรงเรียนการคลอง โรงเรียนวิชาการเพาะปลูก และกระทรวงเกษ
ตราธิการ นอกจากน้นั ยงั มกี ารจดั ต้งั กรมคลอง เพ่ือดแู ลเรื่องการชลประทาน มี
การออกหนงั สือรบั รองกรรมสิทธ์ิที่ดินหรือโฉนดทีด่ นิ ซ่ึงตอ่ มาไดม้ ีการเดิน

35
• สวนเดนิ นาออกโฉนดทด่ี ินไปทว่ั ประเทศ ท้งั ยงั โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ กี ารสารวจป่ า

ไมแ้ ละจดั ต้งั กรมป่ าไม้ กรมโลหะกิจและภมู วิ ิทยา และกรมชา่ งไหมข้ึนอีกดว้ ย
ศิลปะ วรรณกรรม และการศาสนา
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงรอบรูแ้ ละเอาพระทยั ใส่ในศิลปะวทิ ยาการ
ตา่ ง ๆ และทรงฝากฝีพระหัตถไ์ วห้ ลายดา้ น ทเี่ ดน่ ชดั คือการถ่ายภาพและวรรณกรรม
ในดา้ นการถา่ ยภาพน้นั ไมว่ า่ เสดจ็ ประพาสทีใ่ ดจะทรงตดิ กลอ้ งถา่ ยรูปไปดว้ ยเสมอ
ดงั น้นั ภาพถา่ ยฝีพระหัตถจ์ งึ กลายเป็นหลกั ฐานสาคญั ทางประวตั ศิ าสตร์ ดว้ ยแสดงให้
เหน็ สภาพบา้ นเมืองและผูค้ นในรชั สมยั ไดอ้ ยา่ งดียง่ิ

ส่วนในดา้ นวรรณกรรมน้นั ทรงเป็นท้งั กวแี ละนกั แต่งหนงั สือท่ีมีความรูล้ ึกซ้ึง ทรง
สามารถแเตง่ โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน บทละคร ตลอดจนรอ้ ยแกว้ ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างดียง่ิ
ทรงพระราชนิพนธ์หนงั สือไวม้ ากมายหลายประเภทท้งั ทางดา้ นประวตั ศิ าสตร์ ประเพณี
วรรณคดีและอน่ื ๆ ซ่ึงลว้ นแตม่ คี ณุ ค่าเป็นท่ยี อมรับและไดร้ ับการยกย่องในวงวิชาการ
วรรณกรรมไทยท้งั สิ้น นอกจากน้นั ยงั ทรงจดั ต้งั หอพระสมุดสาหรับพระนครข้ึน และให้
มคี ณะกรรมการออกหนงั สือของหอพระสมุดติดต่อกนั หลายเล่มในช่ือ วชิรญาณ และวชิ
รญาณวิเศษ ท้งั ยงั มกี ารตราพระราชบญั ญตั ิลขิ สิทธ์ิข้นึ เป็นคร้งั แรกอกี ดว้ ย

36

ในทางศาสนา ทรงเป็นเอกอคั รศาสนูปถมั ภกทุกศาสนา ทรงสร้างวดั หลายแห่ง ไดแ้ ก่ วดั
ราชบพติ ร ซ่ึงเป็นวดั ประจารัชกาล วดั เทพศิรินทราวาส วดั นิเวศธรรมประวตั ิ และวดั
เบญจมบพติ ร ในปี พ.ศ. 2431 ทรงอาราธนาพระเถรานุเถระมาประชุมชาระพระไตรปิ ฏก
และตีพมิ พเ์ ป็นภาษาไทยพระราชทานไปยงั พระอารามต่าง ๆ รวมท้งั ส้ิน 1,000 ชุด
เรียกว่าพระไตรปิ ฏกฉบบั สยามรัฐ และในปี พ.ศ. 2445 โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ รา
พระราชบญั ญตั ิลกั ษณะปกครองคณะสงฆเ์ พ่ือจดั ระเบยี บการปกครองคณะสงฆใ์ หด้ ี
ยง่ิ ข้ึน กาหนดใหส้ มเดจ็ พระสงั ฆราชเป็นประมขุ และผูบ้ งั คบั บญั ชาสูงสุดฝ่ายสงฆ์
กาหนดให้มีมหาเถรสมาคม เป็นองคก์ ารปกครองสูงสุดของสงฆ์ นบั เป็นพระราชบญั ญตั ิ
ปกครองคณะสงฆฉ์ บบั แรกของไทย

การคมนาคมและการสาธารณูปโภค

ในรชั สมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั น้นั ยวดยานพาหนะสมยั ใหม่
ค่อย ๆ เพมิ่ ข้ึนเป็นลาดบั จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้ตดั ถนนใหม่หลายสาย สายทีส่ าคญั ยง่ิ คอื
ถนนราชดาเนิน ซ่ึงทอดยาวต้งั แต่ลานพระบรมรูปทรงมา้ จนถงึ พระบรมมหาราชวงั และ
ยงั มีถนนสายอน่ื ๆ เช่น ถนนพาหุรัด ถนนเยาวราช เป็นตน้ ท้งั ยงั โปรดเกลา้ ฯ ใหข้ ดุ
คลองสายต่างๆ ข้ึนอกี เชน่ คลองเปรมประชากร คลองประเวศบุรีรมย์ และนบั จาก พ.ศ.
2437 เป็นตน้ มา ทรงบริจาคเงนิ สร้างสะพานใหมใ่ นการเฉลิมพระชนมพรรษาทกุ ปี โดย
ช่ือของสะพานท้งั หมดเหลา่ น้ีจะข้ึนตน้ ดว้ ยคาว่า “เฉลมิ ” นอกจากน้นั ยงั โปรดเกลา้ ฯ ให้
บริษทั รถรางไทยจดั การเดนิ รถรางข้ึนในพระนครเมือ่ พ.ศ. 2430
ส่วนการคมนาคมกบั ต่างจงั หวดั โปรดเกลา้ ฯ ให้สรา้ งทางรถไฟระหวา่ งกรุงเทพฯ กบั
นครราชสีมาเป็นสายแรก เมือ่ พ.ศ. 2433 หลงั จากน้นั จึงมกี ารสร้างทางรถไฟไปยงั ภาค
ตา่ ง ๆ อย่างตอ่ เน่ือง

37
ในดา้ นการส่ือสาร ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ดิ ต้งั เคร่ืองโทรเลข โทรศพั ท์ ตามดว้ ยการรบั ส่ง
จดหมายอยา่ งเป็นระบบ และสามารถต้งั กรมไปรษณียโ์ ทรเลขไดใ้ นพ.ศ.2426 นอกจาก
การน้นั สาธารณูปโภคพ้ืนฐานอนั ไดแ้ ก่ ไฟฟ้า และน้าประปา กเ็ กดิ ข้นึ รชั สมยั ของ
พระองคท์ ่านดว้ ยเชน่ เดยี วกนั

การสาธารณสุข
ในดา้ นการสาธารณสุข โปรดเกลา้ ฯ ให้จดั ต้งั สภาอณุ าโลมแดงอนั เป็นตน้ กาเนิดของ
สภากาชาดไทยในปัจจุบนั เม่ือ พ.ศ.2436 และโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างโรงพยาบาลวงั หลงั
ซ่ึง ต่อมาไดพ้ ระราชทานนามใหมว่ ่า “โรงพยาบาลศิริราช” สาหรบั รกั ษาผปู้ ่วยอย่างเป็น
ทางการ นบั เป็นโรงพยาบาลหลวงแห่งแรกของเมอื งไทย

38

การต่างประเทศ

ในดา้ นการตา่ งประเทศน้นั ทรงเป็นพระมหากษตั ริยไ์ ทยพระองคแ์ รกทเี่ สดจ็ ประพาส
นอกพระราชอาณาจกั ร และทรงเป็นพระมหากษตั ริยจ์ ากบรู พาทิศพระองคแ์ รกที่เสด็จ
ยโุ รป โดยทรงเริ่มจากการเสด็จเยือนประเทศใกลเ้ คียงก่อน เชน่ มลายู ชวา อนิ เดีย ฯลฯ
จนเม่ือ พ.ศ. 2440 จึงเสด็จถึงยโุ รปเป็นคร้ังแรก คร้งั น้นั ไดเ้ สด็จเยอื นประเทศตา่ ง ๆ ใน
ยโุ รปรวม 15 ประเทศ ดว้ ยทรงมพี ระราชประสงคใ์ ห้ไทยเป็นที่รูจ้ กั ในสงั คมยุโรป เพือ่
กระชบั ไมตรีอนั จะยงั ประโยชน์แก่บา้ นเมอื ง เพื่อทอดพระเนตรการบริหารประเทศใน
ดา้ นตา่ ง ๆ รวมท้งั เพอื่ ผ่อนคลายความตงึ เครียดทางการเมือง หลงั จากน้นั ไดเ้ สด็จไปเยอื น
อกี คร้งั หน่ึงในปี พ.ศ. 2450 การเสด็จไปยโุ รปท้งั สองคราวน้ี พระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัวทรงเขา้ กบั ราชสานกั ยุโรปไดอ้ ยา่ งสงา่ งามยง่ิ และกอ่ ให้เกดิ ผลดีสม
พระราชประสงคท์ ้งั ทางการทูตและการเมอื ง

39

ประเพณีและวฒั นธรรม

• ดา้ นการแต่งกาย ทรงปรับปรุงการแตง่ กายและทรงผมต้งั แต่ชว่ งตน้ รชั กาล โดย
ฝ่ายชาย เปล่ยี นจากผมทรงมหาดไทยเป็นตดั แบบฝร่ัง ขา้ ราชสานกั นุ่งผา้ ม่วงโจง
กระเบนแทนผา้ สมปักเก่า สวมเส้ือแพรตามสีกระทรวงแทนเส้ือกระบอกแบบ
เกา่ ทรงออกแบบเส้ือราชปะแตน โปรดเกลา้ ฯ ใหท้ หารนุ่งกางเกง พฒั นา
เคร่ืองแบบใหร้ ัดกมุ ส่วนฝ่ายหญิง โปรดเกลา้ ฯให้เจา้ คุณพระประยูรวงศ์ (แพ
บุนนาค) พระสนมเอกไวผ้ มยาวแทนผมปีกแบบเกา่

• ทรงยกเลิกประเพณีหมอบคลาน เมื่อ พ.ศ. 2416 ในวนั พระราชพธิ ีราชาภิเษก
โดยใหย้ ืนเขา้ เฝ้าและถวายคานบั แบบตะวนั ตก เม่อื โปรดเกลา้ ฯ ให้นงั่ ก็มเี กา้ อ้ีให้
นง่ั เฝ้า แต่หากเป็นการเขา้ เฝา้ แบบไทยในหมคู่ นไทยดว้ ยกนั เอง คงใชป้ ระเพณี
คลานและหมอบเฝา้ ดงั เคยปฏิบตั กิ นั มา

40

ปริญญากติ ติมศกั ด์ิ หรือ Honorary Degree หมายถงึ ปริญญาที่สถาบนั ระดบั อดุ มศึกษา
มอบให้แกบ่ ุคคลทไ่ี ม่ไดเ้ ป็นนกั ศกึ ษาปัจจุบนั ของสถาบนั ตามขอ้ กาหนดของ
มหาวทิ ยาลยั เพ่ือยกย่องวา่ บคุ คลน้นั มคี วามรู้ ความสามารถ มคี วามเช่ียวชาญ หรือ
ประสบความสาเร็จในวชิ าชีพน้นั ปริญญากติ ติมศกั ด์ิมี 3 ระดบั คอื ปริญญาตรี ปริญญา
โท และปริญญาเอก ปริญญากิตตมิ ศกั ด์ิทมี่ อบให้อาจเป็นปริญญาท่ีมกี ารเรียนการสอน
ในสถาบนั หรือปริญญาทก่ี าหนดเป็นปริญญากติ ตมิ ศกั ด์ิโดยเฉพาะ

ปัจจบุ นั มคี นไทยจานวนมากทมี่ คี วามรูค้ วามสามารถ มคี วามเช่ียวชาญ และประสบ
ความสาเร็จในวชิ าชีพ จนไดร้ ับปริญญากิตติมศกั ด์ริ ะดบั ตา่ ง ๆ ดงั กลา่ ว ท้งั จาก
สถาบนั อุดมศึกษาในประเทศและตา่ งประเทศ แตพ่ ระมหากษตั ริยพ์ ระองคแ์ รกและอาจ
ทรงเป็นคนไทยคนแรกดว้ ย ท่ที รงไดร้ บั การทูลเกลา้ ทูลกระหมอ่ มถวายปริญญาดษุ ฎี
บณั ฑติ กติ ติมศกั ด์ิถึง 2 ปริญญา จากมหาวทิ ยาลยั ออกซฟอร์ดและมหาวทิ ยาลยั เคม
บริดจ์ แห่งองั กฤษ คอื พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี 5 แห่งพระ
บรมราชวงศจ์ กั รี

และพระมหากษตั ริยพ์ ระองคน์ ้ีเองที่องคก์ ารการศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ และวฒั นธรรมแห่ง
สหประชาชาติ หรือยูเนสโก ไดป้ ระกาศเชิดชพู ระเกยี รตคิ ณุ ให้เป็นบุคคลสาคญั ของ
โลก และเอกสารการบริหารราชการแผน่ ดนิ ในรัชสมยั ตลอดจนบทพระราชนิพนธ์เรื่อง

41

ต่าง ๆ คณะกรรมการมรดกความทรงจาแห่งโลกกไ็ ดข้ ้ึนทะเบียนใหเ้ ป็นมรดกความทรง
จาแห่งโลกอีกดว้ ย

คาสดุดพี ระเกยี รตคิ ณุ ในการทูลเกลา้ ทลู กระหม่อมถวายปริญญาดษุ ฎีบณั ฑิตกติ ตมิ ศกั ด์ิ
แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัวท้งั 2 คร้ัง แมผ้ เู้ รียบเรียงสอบพบรายละเอยี ด
เฉพาะของมหาวทิ ยาลยั เคมบริดจ์ แตห่ ากใชม้ มุ มองของคณะกรรมการ
นานาชาติ คือ คณะกรรมการยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกความทรงจาแห่งโลก แม้
จะเป็นมุมมองในอกี ร้อยปี ต่อมา และเมือ่ เทยี บเคยี งกบั หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์
ไทย ลว้ นสอดคลอ้ งตอ้ งกนั วา่ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัวมพี ระปรีชา
สามารถอนั ล้าเลิศทดั เทียมกบั บรรดาพระมหากษตั ริยใ์ นนานาประเทศ ท้งั ในยุโรปและ
เอเชียทร่ี ่วมสมยั กบั พระองค์ และตอ้ งทรงรบั พระราชภารกจิ ท่ีเหนื่อยยากกวา่ ในการ
พฒั นาประเทศไปพร้อม ๆ กบั การรกั ษาเอกราชของชาตใิ หร้ อดพน้ จากเง้ือมมอื ของ
ประเทศท่เี ป็นมหาอานาจทางการทหาร เศรษฐกิจ และการเมอื งในเวลาเดียวกนั
ถงึ 2 ประเทศ

ในรชั สมยั ของพระองค์ นอกจากการเสด็จพระราชดาเนินเยือนประเทศตา่ ง ๆ ในยโุ รป
และเอเชีย เพือ่ ศกึ ษาแนวทางการพฒั นาประเทศ ดว้ ยพระบคุ ลกิ ลกั ษณะ พระราช
อธั ยาศยั และพระปรีชาสามารถเฉพาะพระองคไ์ ดก้ ่อใหเ้ กดิ ความประทบั ใจในหมู่พระ
ประมขุ ประมขุ และราชสานกั ยโุ รป ตลอดจนหน่วยงานทเี่ กย่ี วขอ้ ง เป็นการกระชบั
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศและระหวา่ งพระราชวงศท์ ่ไี ดผ้ ลอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะ
ประเทศมหาอานาจท้งั สองที่กลา่ วถงึ ขา้ งตน้ คือ องั กฤษและฝรง่ั เศส

42

ที่สาคญั คอื การทูลเกลา้ ทลู กระหม่อมถวายปริญญาดุษฎบี ณั ฑติ กติ ติมศกั ด์ิแด่
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว จากมหาวทิ ยาลยั ช้นั นาของโลกในองั กฤษ
ถงึ 2 มหาวทิ ยาลยั คอื มหาวิทยาลยั ออกซฟอร์ดและมหาวิทยาลยั เคมบริดจ์

การทูลเกล้าทลู กระหม่อมถวาย
ปริญญากิตติมศักด์ขิ องมหาวิทยาลยั ออกฟอร์ด
เม่ือพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั เสดจ็ พระราชดาเนินเยอื นองั กฤษคร้งั แรก
ในพทุ ธศกั ราช 2440 ไดท้ รงพบกบั สมเดจ็ พระนางเจา้ วกิ ตอเรีย และทรงเย่ยี มชมสถานท่ี
สาคญั ๆ รวมท้งั ไดเ้ สด็จพระราชดาเนนิ ไปเยือนมหาวทิ ยาลยั ออกฟอร์ด เม่ือ
วนั ที่ 28 กนั ยายน พุทธศกั ราช 2440 ทม่ี หาวิทยาลยั น้ี ไดท้ อดพระเนตรวทิ ยาลยั ศาสน
ศาสตร์ (Divinity School) ห้องสมุดบอดเลียน (Bodleian Library) ซ่ึงมหี นงั สือไทยอยู่
มาก ท้งั พระราชสาสมยั กรุงศรีอยธุ ยา หนงั สือขอมใบลาน พระไตรปิ ฎก แลว้ ดร. แมก
ราท (Doctor Magrath) รองอธิการบดีถวายพระกระยาหารกลางวนั ท่ีวทิ ยาลยั เบล
เลียล (Balliol College) พรอ้ มท้งั กลา่ วสุนทรพจน์วา่ ไดเ้ คยมีการเล้ยี งท่ีสาคญั ๆ ท่ี
วิทยาลยั น้ีมาแลว้ เป็นอนั มาก แตไ่ ม่เคยมกี ารเล้ยี งเป็นเกียรตยิ ศใหญ่ย่ิงเหมือนคร้ังน้ี “ด้วย
เป็นส่ิงสาคญั ซ่ึงเช่ือมวิทยาลยั ฝ่ายตะวนั ตกให้ติดกบั พระนครฝ่ายตะวนั ออก”

43

อีก 2 เดอื นตอ่ มา หลงั จากเสด็จพระราชดาเนินกลบั ถึงประเทศไทยแลว้ มหาวิทยาลยั ออก
ฟอร์ดไดท้ ลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวาย “ดกี รีอย่างสูง” โดยส่งผ่านสถานเอกอคั รราชทตู
ไทยประจากรุงลอนดอน ดงั ความตอนหน่ึงในหนงั สือของพระยาวิสุทธิสุริยะ
ศกั ด์ิ (หมอ่ มราชวงศเ์ ปี ย มาลากุล) เอกอคั รราชทูตไทย ลงวนั ท่ี 3 ธนั วาคม รัตนโกสินทร์
ศก 116 พุทธศกั ราช 2440 กราบทูลพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงเทววงษว์ โรว์
ปการ (พระยศขณะน้นั ) เสนาบดกี ระทรวงการตา่ งประเทศ ซ่ึงน่าจะเป็นการประมวล
สรุปจากคาสดดุ พี ระเกยี รตคิ ณุ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว ของ
มหาวทิ ยาลยั ออกฟอร์ดว่า

การทลู เกล้าทูลกระหม่อมถวาย
ริญญานติ ศิ าสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ กติ ติมศักด์ิ
ของมหาวทิ ยาลยั เคมบริดจ์

ในการเสดจ็ พระราชดาเนินประพาสยโุ รปคร้งั ท่ี 2 ในพทุ ธศกั ราช 2450 พระบาทสมเดจ็
พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดเ้ สดจ็ ไปประเทศองั กฤษอกี คร้งั หน่ึง ไดท้ รงพบกบั พระเจา้
เอ็ดเวิร์ดท่ี 7 และทอดพระเนตรสถานท่สี าคญั รวมท้งั เสดจ็ พระราชดาเนินเยือน
มหาวิทยาลยั เคมบริดจ์ เม่อื วนั ที่ 25 มิถนุ ายน พุทธศกั ราช 2450 มหาวทิ ยาลยั ไดจ้ ดั พธิ ี
ทลู เกลา้ ทูลกระหมอ่ มถวายปริญญานิติศาสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ กิตติมศกั ด์ิ (LL.D.) อย่าง
ใหญ่โต พธิ ีจดั ข้ึนในหอ้ งบอลรูมทเี่ ดวอนไชร์เฮา้ ส์ ซ่ึงเป็นทพี่ านกั ของดยคุ แห่งเดวอน
ไชร์ที่ 8 อธิการบดมี หาวิทยาลยั เคมบริดจ์

44

พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ทรงเล่าถงึ การทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวาย
ปริญญานิตศิ าสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ กติ ติมศกั ด์คิ ร้งั น้นั พระราชทานสมเดจ็ พระเจา้ ลูกเธอ เจา้
ฟ้านิภานภดล เป็นพระราชหัตถเลขา ฉบบั ที่ 24 ลงวนั ท่ี 25 มถิ นุ ายน รตั นโกสินทร์
ศก 126 พทุ ธศกั ราช 2450 ในพระราชนิพนธเ์ ร่ือง ไกลบา้ น วา่

“…ไปเดวอนไชรเฮาสส์ าหรับรับดกี รี ถงึ เขา้ ยงั ไมม่ ใี คร ออกจะโตง ๆ เตง ๆ อยา่ งพธิ ี
ฝรัง่ สักครู่หน่ึงเจา้ พนกั งานจงึ มาแต่งตวั ให้ สวมกาวนแ์ ลหมวก ดกุ๊ ออฟเดเวนไชรชาน
เซลเลอเจ็บ ไวสชานเซลเลอเปนผทู้ ่จี ะทาพธิ ีแทน จึงเขา้ มานดั หมาย แลว้ ไปต้งั กระบวน
แห่แต่ห้องช้นั ลา่ งข้นึ ไปหอ้ งช้นั บน สักครู่หน่ึงจ่ึงมีพนกั งานท่ีถอื ไมเ้ งนิ สองคน สวม
กาวนด์ าแลหมวกสี่เหลีย่ มมานาข้นึ กระไดไปช้นั บนเปนหอ้ งใหญท่ ี่ประชมุ ในห้องน้นั
ต้งั เกา้ อ้ีสองแถวอย่างเชน่ ในวดั มพี วกเส้ือดาหมวกเหลย่ี มนงั่ อยขู่ า้ งน่า พวกเราแลคนอ่ืน
นงั่ อยู่ขา้ งหลงั ท้งั สองขา้ ง ไวสชานเซลเลอห่มผา้ สีแดงขลบิ ขนคลมุ ยาวลงมาตลอด
เทา้ สวมหมวกดาสี่เหลยี่ ม มีผชู้ ่วยสวมกาวนด์ ายืนอยู่ขา้ งหลงั สองคน ปับลิกออเรเตอ
สวมกาวนแ์ ดง ยนื อยูข่ า้ งซา้ ย พอ่ ยืนอยตู่ รงหนา้ แลว้ อ่านหนงั สือเปนภาษาลตนิ จบแลว้
ไวสชานเซลเลอยื่นมอื มาจบั มือพ่อ ว่าภาษาลตนิ อกิ ยาว แลว้ เชิญให้ข้นึ นง่ั บนเกา้ อ้ขี า้ ง
ขวา ผทู้ อี่ ยขู่ า้ งลา่ งตบมือ แลว้ เปนเสร็จพิธีกนั เท่าน้นั

45

ต้งั กระบวนแห่กลบั ลงมาขา้ งลา่ ง พอ่ เดนิ ขา้ งขวาไวสชานเซลเลอ ลงมาถึงหอ้ งที่
แตง่ ตวั แลว้ มอบสาเนาคาสปี ชภาษาลติน 6 ฉบบั แปลเปนภาษาองั กฤษ 6 ฉบบั ให้ กบั คตั
ตาลอค เอตโนโลยกิ ลั คอเล็กชน่ั แหลมมลายู คอเลก็ ชนั่ ของมสิ เตอสกตี ให้ เสร็จแลว้ ก็
กลบั ไดไ้ ปถ่ายรูปแตง่ เคร่ืองหมอกฎหมายตามดกี รีท่ีเขาให้ ท่ีกรมดารงขอให้ถ่าย อากาศ
มนั ช่างมดื มวั ถา่ ยชา้ เหลอื เกนิ ต้งั ห้าหกเซกนั ด์ กลบั มาถงึ ลเิ คชนั่ เวลาบ่าย 4 โมง ฝนตก
ต้งั แตเ่ ชา้ มาไมไ่ ดห้ ยุดเลยจนหนาวเยอื กเยน็ …” (สะกดการนั ตต์ ามตน้ ฉบบั )

ฉลองพระองคก์ าวนท์ ท่ี รงในพิธีทลู เกลา้ ทูลกระหม่อมถวายปริญญานิตศิ าสตรดษุ ฎี
บณั ฑติ กติ ติมศกั ด์นิ ้นั ตดั ดว้ ยผา้ สกั หลาดสีเลอื ดหมู ดา้ นหนา้ มแี ถบผา้ ไหมสีแดง
ออ่ น ทรงพระมาลาแบบบอนเนตกามะหย่ีสีดา ปีกกวา้ ง สายรัดพระมาลาและพ่สู ีทอง
2 พระบรมฉายาลกั ษณใ์ นฉลองพระองคก์ าวน์ปริญญาองคน์ ้ี พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงอดั ถวายเจา้ นายในราชสานกั ยุโรปเป็นทร่ี ะลึกดว้ ย

คาสดดุ พี ระเกยี รตคิ ุณในพธิ ีทูลเกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวายปริญญานิตศิ าสตรดษุ ฎบี ณั ฑิต
กิตติมศกั ด์ขิ องมหาวทิ ยาลยั เคมบริดจ์ ยกย่องว่าพระองคท์ รงเป็นกษตั ริยท์ ่ีไมเ่ หมือนกบั
กษตั ริยพ์ ระองคก์ อ่ น ๆ ของสยาม ทรงเป็นผทู้ าการปฏริ ูประบบภาษอี ากร เลิกทาส ทรง
ปกป้องคมุ้ ครองสิทธิเสรีภาพและการศกึ ษาของประชาชนของพระองค์ และโปรดให้
พระบรมวงศานุวงศเ์ สดจ็ ไปทรงศกึ ษาหาความรู้ทโ่ี รงเรียนในองั กฤษ เชน่ โรงเรียนฮาร์
โรว์ ตลอดจนโรงเรียนและมหาวทิ ยาลยั เกา่ แกท่ ี่มชี ่ือเสียง คาสดุดพี ระเกียรตคิ ุณ
น้นั กราบบงั คมทลู เป็นภาษาละตนิ ซ่ึงมีคาแปลเป็นภาษาองั กฤษดว้ ย ดงั ความบางตอนว่า

“ในบรรดาพระมหากษตั ริยแ์ ห่งสยามประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว
เป็นพระมหากษตั ริยพ์ ระองคแ์ รกท่ตี ้งั พระราชปณิธานในการดารงพระชนมชีพวา่ จะ
บาเพญ็ พระราชกรณียกิจท้งั ปวงเพือ่ ประโยชน์สุขของพสกนิกรของพระองค์ มิใชเ่ พือ่

46
พระองคเ์ อง… มีพระมหากรุณาธิคุณทานุบารุงราษฎร ปกปักรักษา ตลอดจน
พระราชทานเสรีภาพและการศกึ ษาแก่อาณาประชาราษฎร์
ส่ิงสาคญั ประการแรกในรชั สมยั ของพระองคค์ ือ จะตอ้ งไมม่ ีผใู้ ดเกิดเป็นทาส หรือถกู
บงั คบั ใหเ้ ป็นทาสในภายหลงั ประการที่สอง มนุษยท์ ุกคนท่มี สี ติรูต้ วั เป็นปกติตาม
ธรรมชาติ จกั ตอ้ งไดร้ ับการปกป้องคมุ้ ครองจากการใชเ้ ลห่ เ์ พทบุ ายนานา โดย
ชาวตา่ งชาตทิ ่ขี าดสตลิ มื ตวั ประการทสี่ าม การเรียกเกบ็ ภาษที กุ ชนิดจกั ไดร้ บั การลดทอน
ลงถึงระดบั ท่ีเหมาะสมท่สี ุด
และประการสุดทา้ ย พระราชโอรสของพระองคซ์ ่ึงทรงพระเกษมสาราญใตร้ ่มบารมขี อง
พระบรมราชจกั รีวงศม์ ายาวนาน กย็ งั ถกู ส่งไปศึกษาต่อ ณ โรงเรียนฮาร์โรว์ รวมท้งั
โรงเรียนอ่นื ๆ ท่ีมีช่ือเสียง ตลอดจนมหาวทิ ยาลยั เกา่ แก่ของเราอกี หลายแห่งอยู่เนือง ๆ

รอ้ ยปี ตอ่ มา พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงไดร้ บั การประกาศพระเกียรติ
คณุ ในระดบั นานาชาตอิ กี คร้ังหน่ึง เม่ือองคก์ ารยเู นสโกถวายพระเกยี รตยิ ศให้เป็นบุคคล
สาคญั ของโลก กบั เมื่อคณะกรรมการมรดกความทรงจาแห่งโลกยกยอ่ งเอกสารสาคญั
ของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ใหข้ ้ึนทะเบียนเป็นมรดกความทรงจาแห่ง

47

โลก แมจ้ ะเป็นคนละชว่ งเวลา แตค่ าสดดุ พี ระเกยี รตคิ ุณท้งั 4 คราวน้นั ลว้ นสนบั สนนุ ซ่ึง
กนั และกนั ในการเชิดชพู ระเกยี รตยิ ศอยา่ งใหญ่หลวงท้งั ส้ิน

ท้งั น้ี องคก์ ารยูเนสโกไดป้ ระกาศถวายพระเกียรตยิ ศใหท้ รงเป็นบุคคลสาคญั ของ
โลก ทางดา้ นการศกึ ษา วฒั นธรรม สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และการพฒั นาสงั คม เม่อื
พทุ ธศกั ราช 2546 สาระแห่งคาประกาศพระเกียรตคิ ุณน้นั มวี า่ ในรชั สมยั ของ
พระองค์ ประเทศชาตไิ ดพ้ ฒั นาในทกุ ดา้ น ทรงปฏิรูปการเมอื งการปกครอง ทรงปรบั ปรุง
กฎหมายและการศาล การแพทยแ์ ละการสาธารณสุข การคมนาคม เศรษฐกจิ การ
คลงั การศกึ ษา การศาสนา ทรงปฏิรูปสังคม เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ

ตลอดจนการสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั ตา่ งประเทศ เพื่อให้ชาติตะวนั ตกยอมรับ โดยเฉพาะ
ทรงเลิกทาสใหท้ กุ คนเป็นไท ประชาชนชาวไทยจงึ มสี ิทธิเสรีภาพเท่าเทยี มกนั ทรงนาพา
ประเทศไทยให้รอดพน้ จากการตกเป็นอาณานิคมของชาตติ ะวนั ตก ทรงยอมเสียดินแดน
บางส่วนเพื่อแลกกบั อธิปไตยของชาติ จนทรงไดร้ ับการถวายพระราชสมญั ญา “พระปิ ย
มหาราช”

พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงเป็นคนไทยลาดบั ท่ี 13 ทีท่ รงไดร้ ับการยก
ยอ่ งให้เป็นบุคคลสาคญั ของโลก ในโอกาสฉลองวนั คลา้ ยวนั พระบรมราชสมภพ
ครบ 150 ปี เมื่อวนั ที่ 20 กนั ยายน พทุ ธศกั ราช 2546 และเมอื่
พทุ ธศกั ราช 2552 คณะกรรมการมรดกความทรงจาแห่งโลก (Memory of the
World) ขององคก์ ารยูเนสโก ก็ไดถ้ วายพระเกยี รติยศอกี คร้งั หน่ึงดว้ ยมติเป็นเอกฉนั ทใ์ ห้
เอกสารสาคญั ของพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ไดข้ ้นึ ทะเบยี นเป็นมรดก
ความทรงจาแห่งโลก ดว้ ยเป็นเอกสารท่แี สดงการปฏริ ูประบบราชการแผ่นดนิ คร้ังสาคญั

48
ของประเทศไทย ระหว่างพทุ ธศกั ราช 2411 ถึงพุทธศกั ราช 2453 ซ่ึงเป็นชว่ งเวลาในรัช
สมยั ของพระองค์

เอกสารสาคญั ดงั กล่าวเป็นเอกสารจดหมายเหตุทจ่ี ดั เกบ็ รกั ษาอย่ทู สี่ านกั หอจดหมายเหตุ
แห่งชาตแิ ละสานกั หอสมดุ แห่งชาติ กรมศลิ ปากร กระทรวงวฒั นธรรม เป็นเอกสารการ
บริหารราชการแผ่นดินและเอกสารสมุดไทยดา มีเน้ือหาเกย่ี วกบั การเลกิ ทาส การ
จดั ระบบการศึกษาแบบใหม่ ระบบการสาธารณสุข ระบบการสาธารณูปโภค การ
ประปา ไฟฟ้า ระบบการคมนาคม การปฏิรูประบบการบริหารราชการเปลยี่ นจากระบบ
จตสุ ดมภ์ เวียง วงั คลงั นา เป็นกระทรวง 12 กระทรวง การปฏิรูประบบเศรษฐกจิ และ
ระบบการจดั เกบ็ ภาษี การปฏริ ูประบบกองทพั ไทย การปฏริ ูประบบศาลสถติ
ยตุ ิธรรม และพระอจั ฉริยภาพดา้ นวรรณกรรมในพระราชนพิ นธ์เร่ืองตา่ ง ๆ
เอกสารเหลา่ น้ีมีลกั ษณะเป็นหนงั สือโตต้ อบราชการของกระทรวง ทบวง กรมต่าง
ๆ รายงานขอ้ ราชการจากหัวเมือง รายงานการตรวจราชการ รายงานการประชมุ เสนาบดี
สภา และพระบรมราชวินจิ ฉัยในราชการเหล่าน้นั ซ่ึงนบั ว่าเป็นหลกั ฐานแห่งการพฒั นา
ระบบการบริหารราชการอนั นาไปสู่การพฒั นาประเทศในทกุ ๆ ดา้ น และแสดงการรับ

49

อิทธิพลดา้ นแนวคิดและอารยธ์ รรมจากตะวนั ตก อนั เป็นผลจากการเสดจ็ พระราชดาเนิน
ประพาสประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปและเอเชียเพอื่ ศกึ ษาความเจริญของประเทศ
เหลา่ น้นั และการส่งนกั เรียนไทยท้งั เจา้ นายและบุตรหลานขา้ ราชการไปศกึ ษาต่อใน
ต่างประเทศเพื่อกลบั มาเป็นกาลงั สาคญั ในการพฒั นาประเทศของพระองค์

การที่พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั เป็นพระมหากษตั ริยไ์ ทยพระองคแ์ รกที่
ทรงไดร้ บั การทูลเกลา้ ทูลกระหม่อมถวายปริญญาดุษฎีบณั ฑิตกิตติมศกั ด์จิ าก
มหาวทิ ยาลยั ออกซฟอร์ดและมหาวิทยาลยั เคมบริดจ์ ซ่ึงเป็นมหาวิทยาลยั ช้นั นาของโลก
ท้งั 2 คร้ัง จึงเป็นเครื่องยนื ยนั ถงึ พระเกียรตคิ ุณอนั เป็นที่ประจกั ษใ์ นนานาประเทศ
ขณะน้นั และสอดคลอ้ งตอ้ งกนั กบั การถวายพระเกยี รตยิ ศขององคก์ ารยูเนสโกและ
คณะกรรมการมรดกความทรงจาแห่งโลก ในอกี ร้อยปี ต่อมาไดเ้ ป็นอย่างดี

50

ยอ้ นกลบั ไปเมือ่ 107 ปี กอ่ น นบั เป็นวนั แห่งความโศกาอาดรู คร้งั ใหญ่หลวงของปวงชน
ชาวสยาม เมื่อพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว รชั กาลที่ 5 ซ่ึงทวยราษฎร์พรอ้ ม
ใจกนั ถวายพระนาม "พระปิ ยมหาราช" เสด็จสวรรคต ในวนั ท่ี 23 ตลุ าคม 2453 ถือเป็น
ชว่ งเวลาการผลดั แผน่ ดนิ ที่ไดร้ บั การจากรึกไวใ้ นประวตั ิศาสตร์ ขณะทว่ี นั ท่ี 23 ตลุ าคม
ของทกุ ปี กไ็ ดก้ ลายมาเป็นวนั สาคญั ของชาติ คือ วนั ปิ ยมหาราช

ดา้ นแฟนเพจ คลงั ประวตั ศิ าสตร์ไทยกไ็ ดเ้ ผยแพร่ขอ้ มูลจากหนงั สือประวตั ิตน้
รัชกาลที่ 6 ประกอบกบั บทสมั ภาษณ์ หม่อมเจา้ หญงิ จงจติ รถนอม ดิศกุล และ หมอ่ มศรี
พรหมา กฤดากร ณ อยุธยา ยอ้ นความกลบั ไปเม่ือคร้งั ทีพ่ ระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้
เจา้ อยู่หัว เสด็จสวรรคต โดยมเี น้ือความดงั น้ี

ในค่าวนั เสาร์ท่ี 22 ตุลาคม 2453 ณ พระที่นง่ั อมั พรสถาน พระราชวงั ดสุ ิต ตาม
ระเบียงบนพระท่ีนงั่ และบนั ไดทางเดนิ เตม็ ไปดว้ ยเหล่าพระราชโอรส พระราชธิดา
รวมถึงพระมเหสีนางใน ทม่ี าคอยฟังพระอาการประชวร ของพระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ที่ทรงมพี ระอาการไมส่ ูด้ นี กั ขณะน้นั พระองคป์ ระทบั อยู่บนแท่น
พระบรรทม บางเวลาก็ทรงหายพระทยั เขา้ -ออกคร้งั ละยาว ๆ โดยหายพระทยั ทางพระ
โอษฐ์แรง ๆ พระเนตรของพระองคท์ รงเหมอ่ ลอยไม่จบั ใครเสียแลว้


Click to View FlipBook Version