1
2
วนั อาสาฬหบูชา เป็นวนั สาคญั วนั หน่ึงของพุทธศาสนา
พุทธศาสนิกชนทว่ั โลก รวมใจกนั เป็นหน่ึง วนั น้ีเรียกวา่ เป็ น
วัน พ ระสงฆ์ ก็ได้ เป็ น วัน พ ระรัตน ตรัยก็ได้ ใน วัน
อาสาฬหบูชา มีส่ิงมหศั จรรยเ์ กิดข้ึน สามอยา่ ง คือ เป็นคร้ัง
แรกท่ีพระพุทธเจา้ ทรงแสดงธรรม คือ ธัมมจักกปั ปวัตตนสูตร
พระอญั ญาโกณฑัญญะไดฟ้ ังแลว้ ก็บรรลุธรรม พระสงฆ์
องคแ์ รกก็เกิดข้ึน ถือไดว้ ่า พระรัตนตรัย ครบองค์ เป็ นวนั
สาคญั ของศาสนาเราอย่างยิ่ง พุทธบริษัทสี่ การท่ีเราวาง
ภาระหน้าท่ี พ่อครูไม่ใช้คาว่า เราเสียสละ เราไม่ไดเ้ สียสละ
อะไร เรามาทาในสิ่งที่ควรทาทุก ๆ คน ประเพณีวฒั นธรรม
ดี ๆ ตอ้ งช่วยกนั จรรโลงไว้
ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร เป็นสูตรแรก ท่ีพระองคท์ รง
แสดง เรียกวา่ ปฐมเทศนา โดยยดึ หลกั ทางสายกลาง อะไร
คือ ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร เราเจริญอนุสติ คือ สติเลก็ มนั
ตอ้ งพฒั นาอนุสติ เขา้ ไปหามหาสติ คือสติใหญ่ ถา้ เราไม่ถึง
ข้นั มหาสติ เราจะระลึกชาติไม่ได้ เราจะยอ้ นกลบั ไปสู่อดีต
ไม่ได้ ไปเอาบารมีเกา่ ท่ีเราฝึกมา หลายภพ หลายชาติ มาตอ่
ยอดไมไ่ ด้
3
สติ คือ ระลึกรู้ อนุสติ คือ รู้ตวั ทว่ั พร้อม เอามาใชก้ บั
ชีวิตปัจจุบนั แต่มหาสติ ทาใหเ้ ราระลึกรู้อดีตได้ ไปเอาอดีต
บารมีท่ีเราสร้างมา เอามาตอ่ ยอด แลว้ กรรม ท่ีเราเผลอไป
สร้างมา กห็ ลายชาติเหมือนกนั กไ็ ปเรียนรู้กบั กรรมน้นั ถา้
เป็นในยคุ น้ี เหมือนเราใชค้ อมพวิ เตอร์ ตอ้ งเขา้ ไปในเวป็ ไซต์
ถา้ ไม่ถึงข้นั มหาสติปัฏฐาน เรากไ็ ม่มีกาลงั พอท่ีจะไประลึกรู้
อดีตได้
ที่เราทาทุกวนั น้ี บางคนเรียกสมาธิเหว่ียง พอ่ ครูไมไ่ ด้
ต้งั ชื่อ มนั ไมม่ ีช่ือเรียก มนั ไม่ใช่สมาธิ มนั ไมใ่ ช่แคส่ มาธิ
ตอนน้ีพอมาปฏิบตั ิธรรม เราก็ถามวา่ ฝึกสมาธิแบบไหน
เจริญสติแบบไหน เป็นแบบน้ีหมด เรามวั แต่ เจริญสมาธิ
เจริญสติ เราไม่พฒั นาไปสู่การเจริญมรรค การปฏิบตั ิธรรม
ไม่ใช่จบอยทู่ ี่ สมาธิ หรือ สติ
การปฏิบตั ิธรรมคือ เจริญมรรค ผล นิพพาน หลวงป่ ดู ุล
พูดบ่อยๆ จิตเห็นจิตคือมรรค ผลของการเห็นจิตอยา่ งแจ่มแจง้
คือนิโรธ แต่ตอนน้ีเราไมเ่ ขา้ ไปเห็นจิต เราเอาจิตมาดูอริยาบท
ของกาย ดูการเคลื่อนไหวของกาย มานง่ั ดูลมหายใจ อนั น้ี
เป็นแค่เจริญอนุสติ ไม่ใช่ผดิ มนั เป็นการฝึกสมาธิ เจริญสติ
ไม่ใช่เจริญมรรค มรรคเราตอ้ งเขา้ ไปในจิตในจิต กายในกาย
4
เวทนาในเวทนา จิตในจิต เขา้ ไปสู่ธรรมในธรรม ธรรมใน
ธรรม คือ ธรรมารมณ์ ท่ีบนั ทึกเป็นสญั ญาอยใู่ นจิตใตส้ านึก
เรา ในรูปของกรรมดีและกรรมชว่ั บารมีฝ่ายลบฝ่ ายบวก มนั
อยขู่ า้ งใน นน่ั คือ กลอ่ งปัญญาอยา่ งยงิ่ สติจึงไม่ใช่เป้าหมาย
สูงสุด เป้าหมายสูงสุดคือ ปัญญา
ศาสนาพุทธ สอนใหค้ นเกิดปัญญา เม่ือเราเกิดปัญญา
แลว้ เราก็จางคลายความยดึ มน่ั ถือมน่ั จางคลายความหลงผดิ
จางคลายอวชิ ชา คือความรู้ผดิ ตา่ งๆ นน่ั แหละคือ การพน้ ทุกข์
ไม่ใช่แค่สติ โจรกม็ ีสติ โจรก็มีสมาธิ ไม่อยา่ งน้นั เขาก็ปลน้
ไม่สาเร็จ แต่เขาไมม่ ีศีล เขาไมม่ ีปัญญา เขาจึงเอาสติ สมาธิ
ไปเบียดเบียน ไปสร้างกรรมใหม่ แตท่ ุกวนั น้ี เน่ืองจากวา่ เรา
ใชอ้ บุ าย ในการฝึกจิต มนั เป็นอุบาย ไมไ่ ดผ้ ดิ แต่ถา้ ไปหลง
อุบายเมื่อไหร่ไปเอาอบุ ายน้นั มาต้งั เป็นชื่อเรียก เป็นลทั ธินิกาย
มนั ไมใ่ ช่ทางพน้ ทุกข์ มนั ไม่ไดผ้ ดิ แต่เราแคฝ่ ึกวชิ า เรียนวชิ า
ฝึกสมาธิ ฝึกสติเฉย ๆ เราไมไ่ ดเ้ จริญมรรค
มรรค คือ อะไร ตอ้ งจิตเห็นจิต ตอ้ งเขา้ ไปในจิต เรา
เจริญกาย เวทนาจิต ธรรม รวมเป็นหน่ึงเดียว ยสี่ ิบปี พ่อครู
หยดุ ชีวติ มาอยใู่ นป่ า ตอ้ งเรียกวา่ ป่ า ไม่มีไฟฟ้าอยสู่ ิบเอด็ ปี
ไม่มีถนน ไม่มีหมบู่ า้ น หมบู่ า้ นอยขู่ า้ งนอก ตอ้ งนง่ั เรือขา้ มมา
5
พอ่ ครูอยนู่ ิ่ง ๆ ยสี่ ิบปี ไม่เคลื่อนไหว เม่ือถึงเวลาแลว้ จิตมนั
บอกใหอ้ อกไปขา้ งนอก พอ่ ครูก็ออกไปหา้ ปี ไปทาหนา้ ท่ี
แลว้ สองปี ท่ีผา่ นมาเขากห็ ยดุ อีก กห็ ยดุ อยใู่ นท่ีต้งั ไปรู้โลก
อยา่ งแจ่มแจง้ วา่ มนั เป็นอยา่ งไร
มีแตท่ ิฐิมานะ มีแตค่ วามขดั แยง้ เพราะวา่ เราถูกสอน
มาต้งั แต่เดก็ ๆ เป้าหมายคือ สร้างอนาคต ตอ้ งแขง่ ขนั การ
แขง่ ขนั คือ จุดเริ่มตน้ ของการแตกแยก ตอนน้ีแตกแยกไปท้งั
โลก กไ็ ปเห็นแลว้ ก็ไปทาหนา้ ท่ีแลว้ กห็ ยดุ หยดุ ไปถึงไหน
ไม่รู้ มนั เคยหยดุ มายสี่ ิบปี แลว้ เหตปุ ัจจยั มนั เป็นอยา่ งน้ี เราก็
หยดุ เม่ือเราเปล่ียนโลกไมไ่ ด้ เราหยดุ กระแสกรรมไม่ได้ แต่
ชีวติ เป็นของเรา ชีวิตเราหยดุ ได้ ยงิ่ ขา้ งนอกเขาพดู เร่ืองสิทธิ
เรากม็ ีสิทธิ ในการบริหารชีวติ เรา เรากม็ ีสิทธิท่ีจะไม่ตามโลก
นน่ั คือสิทธิของเรา
ตอนน้ีโลกมนั เปล่ียน กิเลสขี่จรวด ถา้ เรามวั แตต่ ว้ ม ๆ
เต้ียม ๆ สมมติวา่ มีศึกสงคราม เรากข็ ี่คอชา้ ง ไปถือเง้ียว ไป
ฟันดาบกนั ทุกวนั น้ีทาอยา่ งน้นั ไดห้ รือเปลา่ ไม่ไดแ้ ลว้ เพราะ
โลกมนั เปล่ียน เราก็ตอ้ งมีอาวธุ มีสิ่งท่ีเหนือกวา่ จิตเราก็
เหมือนกนั อินทรียพ์ ละของจิต กต็ อ้ งพฒั นาใหร้ ู้เทา่ ทนั กิเลส
เพราะกิเลสเขาพฒั นาไปเร่ือย ๆ ไมไ่ ดอ้ ยกู่ บั ที่ พระพุทธเจา้
6
ถึงบอกเราวา่ ใหเ้ ป็นไปตามเหตปุ ัจจยั ตอ้ งรู้เทา่ ทนั เหตุปัจจยั
ที่มนั เปล่ียนแปลง ไม่ใช่ไปอนุรักษข์ องเก่า
พระพทุ ธเจา้ บอกวา่ อยา่ เพง่ิ เชื่อ ท่ีทาตามตามกนั มา
พระองคไ์ ม่ไดบ้ อกวา่ มนั ไม่ดี แตม่ นั ไม่ทนั ยคุ ทนั สมยั มนั ไม่
ทนั เหตุปัจจยั ท่ีมนั เปล่ียน พอเราตายไปแลว้ คนรุ่นใหม่เขา
ไม่เอา มนั ก็สูญพนั ธุ์ มนั ก็อนุรักษไ์ มไ่ ดเ้ หมอื นเก่า เราตอ้ ง
ยอมเปลี่ยนอบุ ายวธิ ีบางอยา่ ง เพือ่ ใหค้ นยคุ ใหม่ เขาพอยอมรับ
ได้ ส่ิงน้ีแหละ ศาสนาถึงดาเนินไปได้
แต่หลกั การ หมายถึงวา่ พอ่ ครูไม่อยากพดู หลกั การและ
ปรัชญา มีพระอาจารยส์ ัญชยั เป็นครูบาอาจารย์ ของ พระโมค-
คลั ลา พระสารีบตุ ร ลกู ศิษยข์ องทา่ น มาบวชกบั พระพทุ ธเจา้
ท้งั หมด ทา่ นกต็ ามมา ทา่ นถามพระพทุ ธเจา้ วา่ หลกั การท่ี
ทา่ นสอนคืออะไร พระพทุ ธองคต์ อบวา่ หนทางแห่งพุทธะ
ของเรา ไมม่ ีหลกั การ ไมใ่ ช่ปรัชญา แต่เป็นประสบการณ์จริง
ที่เกิดข้ึน เอามาถา่ ยทอด ถา้ เรามีหลกั การ มีปรัชญาที่ตายตวั
เราจะบงั คบั ทุกคน ใหเ้ ป็นหุ่นยนต์ ทาเหมือนเราหมด อนั น้นั
เราไมเ่ ขา้ ใจเรื่อง นานาจิตตงั
ลูกฝาแฝดคูน่ ึง เกิดมาคกู่ นั DNA เหมือนกนั คนนึง
ไอคิวสูง อีกคนนึงไอคิวต่า คนนึงข้ีแย คนนึงไม่ข้ีแย ถามวา่
7
ทาไม ต้งั แตเ่ กิดมา มนั กไ็ ม่เหมือนกนั ไม่เทา่ กนั แลว้ เราจะ
บงั คบั ใหเ้ ขา เป็นหุ่นยนตเ์ หมือนกนั หมด มนั เป็นแค่องคว์ ิชา
ทุกวนั น้ีเราแยกส่วน สอนเป็นแบบองคว์ ิชา วชิ าน้ี วชิ าน้ี
แลว้ กลายเป็น ลทั ธินิกายข้ึนมา อาจจะถูกจริตกบั บางคน ก็
อาจไมถ่ ูกกบั บางคนก็ได้ บางคนมาท่ีน่ี มาเห็น เอ๊ะ...ลทั ธิ
อะไร ไม่ถกู จริตเลย เราชอบเงียบ ๆ นง่ั น่ิง ๆ จริงแลว้ เรา
เขา้ ใจผิด อนั น้ีไมใ่ ช่จริตเรา มนั คือกิเลสเรา กิเลสความเคยชิน
ซ่ึงชาตนิ ้ีเราเคยฝึก เราคุน้ เคยกบั มนั เรากค็ ดิ วา่ เป็นจริตเรา
จริตเราจริง ๆ เราตอ้ งเขา้ ไปใน จิตในจิต จิตเดิมเรา เขาพฒั นา
ไปยงั ไง เขาจะมาตอ่ ยอดของเขาเอง
แต่ทุกวนั น้ี เราเรียนรู้ เป็นแบบแยกส่วน เป็นทีละข้นั
ทีละข้นั เหมือนเราเรียนในทางโลก มาใหมก่ ไ็ ปเรียนอนุบาล
ไปเรียน ก ข เรื่องจิตวิญญาณไม่ใช่อยา่ งน้นั พอ่ ครูยนื ยนั
ไม่ใช่อยา่ งน้นั เดด็ ขาด หลายปี มีโอกาส แลกเปลี่ยนกบั ผรู้ ู้ท่ี
เดินทางมาท่ีน่ี เราแลกเปลี่ยนกนั ทา่ นเหลา่ น้นั ก็เคยเตือน
แนวทางพ่อครูกา้ วกระโดด ข้ึนบนั ไดกต็ กลงมา พอ่ ครูบอก
ถูกแลว้ ตอ้ งทีละข้นั นนั่ เหรอ แต่อยา่ ไปถามวา่ ปฏิบตั ิมากี่ปี
ไดฌ้ านเทา่ ไหร่ ตอ้ งถามวา่ ปฏิบตั ิมาก่ีชาติ มนั ไมใ่ ช่เร่ืองชาติ
เดียวที่จะมาทาได้ ทกุ คนทาไดห้ มด แตถ่ า้ ไมเ่ อาอดีตบารมีมา
8
ต่อยอด พอ่ ครูใช้ คาวา่ ตายก่อน กระแสกรรมเราก็ทามา
หลายชาติ เขากไ็ ลบ่ ้ีเราอยู่
พระพทุ ธเจา้ ถึงช้ีทาง ใหเ้ ราเขา้ ไปในจิต กายในกาย
เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ถา้ เราไม่สามารถ
เขา้ ไปในจิตในจิต เราไมส่ ามารถเสพธรรมในธรรม ธรรมใน
ธรรมน้ี คือ ธรรมารมณ์ ซ่ึงบนั ทึกอยใู่ นจิตใตส้ านึกเรา เป็น
สญั ญาต่าง ๆ ท้งั ในแงบ่ วก แง่ลบ เราเขา้ ไปตรงน้นั แลว้ เอามา
ตอ่ ยอด แลว้ ก็เรียนรู้ตรงน้นั
ท่ีเราพลาดมาแลว้ หลายชาติ กรรมไม่ดีตา่ ง ๆ เป็น
ปัญญาอยา่ งยงิ่ พูดจากประสบการณ์ของพอ่ ครู ยส่ี ิบปี มาที่น่ี
ไม่ไดอ้ ่านหนงั สือ เพราะไมม่ ีความจาเป็นตอ้ งอ่าน เพราะไม่
มีขอ้ สงสยั แตห่ ลายปี มาน้ีเนื่องจากความเมตตา ความรู้ยคุ น้ี
ซ่ึงเกิดจากวิชาการ ผา่ นตวั หนงั สือ ทุกคนกม็ ีอตั ตาตวั ตน มี
วติ กจริตตวั เอง โดยเฉพาะเรามาเรียนรู้เร่ืองวทิ ยาศาสตร์ ตอ้ งมี
เหตมุ ีผล บางอยา่ งมนั ตอบแบบ เหตุผลตรรกะไม่ได้
สองสามวนั ก่อน มีสหธรรมิกพ่อครูคนหน่ึง อายหุ า้
ขวบ เขารุ่นเดียวกบั พอ่ ครู รุ่นหลงั สงครามโลกคร้ังท่ีสอง
เหมือนกนั วนั แรก เขาก็ถามพ่อครูวา่ มนุษยค์ นแรกน้ีคือใคร
พอ่ ครูไม่เคยไดย้ นิ สหธรรมิกมาถามพอ่ ครู พอ่ ครูก็คุยกบั เขา
9
ในโลก ในจกั รวาลน้ี ไมม่ ีอะไรท่ีมนั เกิดข้ึนมาลอย ลอย เลย
ไม่มี มนุษยเ์ ราน้ี ก็เกิดจากกลายพนั ธุ์ เขาก็วจิ ยั ไมร่ ู้จริง
หรือไม่จริง กาลงั คน้ หาอยู่ คน้ หากระดูก มาวจิ ยั อยู่ สรุปคือ
เราพฒั นามาจากลงิ ทนี ้ีลิงมนั มาจากไหน ถา้ สหธรรมิกเรา
หา้ ขวบ เขาจะถามไปเร่ือย ๆ ถามวา่ พระอาทิตยม์ าจากไหน
อยา่ งน้นั ทนี ้ีบางอยา่ งมนั เป็น อจินไตย พระพทุ ธเจา้ บอกวา่
มนั เป็นเช่นน้นั เอง ถา้ เรารู้แลว้ มนั ไม่เกี่ยวกบั การพน้ ทกุ ข์
มวั แตไ่ ปหาคาตอบพวกน้ี เรากต็ ายก่อน
พระองคส์ อนอยา่ งเดียวเทา่ น้นั คือ อริยสจั ๔ อะไรคือ
ตวั ทุกข์ อะไรคือเหตแุ ห่งทุกข์ อะไรคือการดบั ทกุ ข์ อะไร
คือหนทางไปสู่การพน้ ทกุ ข์ พูดแตเ่ รื่องทกุ ข์ ส่วนอยา่ งอ่ืนๆ
พระองคก์ ็แนะนา การเป็นผคู้ รองเรือนตอ้ งทายงั ไง น้นั เป็น
เบสิก แตว่ า่ หลกั ใหญ่ ใจความของศาสนา ไม่ไดส้ อนใหเ้ รา
เป็นคนดี ไมไ่ ดส้ อนใหเ้ ราเป็นคนชวั่ ศาสนาพุทธ สอนใหเ้ รา
พน้ ทุกขส์ ถานเดียว ไมไ่ ดส้ อนใหเ้ รา เป็นอะไรเลย ถา้ เรายดึ
หลกั อริยสัจ๔ พดู แตเ่ ร่ืองทกุ ข์ เหตแุ ห่งทกุ ข์ ความดบั ทุกข์
หนทางไปสู่การพน้ ทุกข์
เม่ือก้ีก็เกร่ินวา่ วทิ ยาศาสตร์เรียนรู้แต่เรื่องกายภาพ เป็น
อตั ตานิยม คือตอ้ งรูปธรรมเท่าน้นั อะไรท่ีพสิ ูจนด์ ว้ ยรูปธรรม
10
ไมไ่ ด้ วทิ ยาศาสตร์เราปฏิเสธ เพราะเขาไมม่ ีเวลาไปศึกษาต่อ
เขากเ็ ลยกลายเป็น รู้ความจริงแคค่ ร่ึงเดียว ความจริงมนั มีรูป มี
นาม แต่วิทยาศาสตร์ ไม่สนใจนามธรรม เรารู้สึกสุข รู้สึก
ทกุ ข์ ดีใจ เสียใจ เป็นนามธรรมหมด แตเ่ ราเอาความสามารถ
ทางวิทยาศาสตร์ ไปวจิ ยั แตเ่ ร่ืองวตั ถุ เรื่องพลงั งาน
มีญาติธรรม เอาหนงั สือมาให้ วิทยาศาสตร์ควอนตมั
พอ่ ครูกเ็ ปิ ดดู เป็นวทิ ยาศาสตร์แขนงใหม่ แตย่ งั ไมม่ ีบทสรุป
แตอ่ ยา่ งนอ้ ย เขามาศึกษา เร่ืองนามธรรมแลว้ เขาพดู ถึงเร่ือง
รูป รส กล่ิน เสียง สมั ผสั เราเห็นรูป ตวั เห็นรูป ก็เป็น
นามธรรมเหมือนกนั รูปเป็น รูปธรรมกจ็ ริงอยู่ แต่ตวั ที่เห็น
มนั กเ็ ป็น นามธรรมหมด แลว้ เขาไปเจอสิ่งหน่ึง โดยเฉพาะ
วิทยาศาสตร์ท่ีผา่ นมา เขาไปยดึ มน่ั ถือมน่ั วา่ ทกุ อยา่ งไม่
เปลี่ยนแปลง ถา้ คน้ ควา้ วจิ ยั ได้ มนั คงที่ตลอด ท่ีเราเรียกวา่
อตั ตานิยม แตค่ วอนตมั น้ี เขาไปเจอแลว้ วา่ มนั ไมแ่ น่นอน
อยา่ งนอ้ ยเขามาเจอ ก็ดีแลว้ พ่อครูกอ็ า่ นคร่าว ๆ เขากพ็ ดู ถึง
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผสั มนั มากระทบ ตา หู จมกู ลิ้น กาย
หนงั สือเลม่ แรก ท่ีเขียนเรื่องน้ี คือ อายตนะวิปัสสนา
กรรมฐาน พระพทุ ธเจา้ พูดเรื่องน้ี ต้งั แตส่ องพนั ปี ก่อน ทีน้ี
เขาก็พดู แคเ่ ร่ืองหา้ อยา่ ง รูปกระทบตา มนั กเ็ กิดผสั สะข้ึน เขา
11
กแ็ สวงหาพลงั งานน้นั เขายงั มีโจทยอ์ ยู่ ยงั มีเป้าประสงคอ์ ยู่
แลว้ เขาก็ ผลิตเครื่องมอื ตวั นึง เรียกวา่ ประสาทเทียม เป็น
เคร่ืองมือมาตรวจ พลงั ท่ีมากระทบผสั สะ เขากต็ รวจเจอพลงั
อยา่ งนึง ไปตรวจเจอความไม่เท่ียง ความไม่แน่นอน
แต่เขายงั เขา้ ไม่ถึง ตวั อารมณ์ของใจ ถา้ จะเขา้ ถงึ
อารมณ์ของใจ และเขา้ ถึงระบบ เวียนวา่ ยตายเกิด บาป บญุ
คุณโทษ กฎแห่งกรรมทกุ อยา่ ง ตอ้ งเลิกใชเ้ คร่ืองมือทกุ อยา่ ง
เพราะเคร่ืองมือ มนั หยาบเกินไป และตอ้ งหยดุ คิดที่วา่ จะ
คน้ ควา้ เพือ่ อะไร เนื่องจากเรามีโจทยต์ รงน้ี โจทยต์ รงน้ีแหละ
ที่มนั บลอ็ กเราไว้
ไอน์สไตน์ คน้ พบทฤษฎีสมั พนั ธภาพ ความเช่ือมโยง
เก่ียวเน่ืองของสรรพสิ่งของพลงั งาน ถา้ ในวงการวิทยาศาสตร์
เขาก็เชิดชูไอน์สไตนว์ า่ เป็นครูบาอาจารยท์ ี่ยงิ่ ใหญ่ แต่สุดทา้ ย
ไอนส์ ไตน์วิกลจริต ก่อนจะเสียชีวิต เพราะไอนส์ ไตน์ คน้ พบ
ทฤษฎีสัมพนั ธภาพ ดว้ ยความคิดท่ีเฉียบแหลม แลว้ สุดทา้ ยก็
ไปติดบว่ งความคิดน้นั เพราะมนั มีสิ่งที่ละเอียดกวา่ น้นั อีก
อยา่ งตอนน้นั เราคน้ พบอะตอม เขาไปคน้ พบวา่ มีส่ิงท่ีเลก็
กวา่ อะตอม ซ่อนอยใู่ นอะตอม เรียกวา่ อนุภาคใตอ้ ะตอม แต่
12
เขาไมร่ ู้วา่ มนั คืออะไร เขาไม่มีเคร่ืองมือท่ีจะไปวิจยั กไ็ ม่มี
คาตอบ ไอนส์ ไตน์พบ เนื่องจากมีความคิดท่ีเฉียบแหลม
แตพ่ ระพทุ ธเจา้ เห็น ปฏิจจสมุปบาท หรือ อิทปั ปัจจยตา
เน่ืองจากพระองค์เลิกคิด พระองค์เลยไปเห็นสิ่งน้ัน แล้ว
พระองคไ์ ม่ไดใ้ ช้ เทคโนโลยีอะไรเลย ถา้ จะศึกษาควอนตมั
ท่ีเขาเขียน ก็พ่อครูว่ามาถูกทางแลว้ แต่อย่าหยุดแค่น้นั ตอ้ ง
เลิกใช้เคร่ื องมือ มาใช้เคร่ื องมือพระพุทธเจ้า ไม่ต้องมี
เทคโนโลยี ไม่ใช่เครื่องมือแบบมนุษยส์ ร้างข้ึน พระพุทธเจา้
ช้ีทางใหเ้ ราเห็น พระองคบ์ อกวา่
สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรม เป็นส่ิงที่
สันทิฏฐิโก พระพุทธเจา้ ไดต้ รัสไว้ ดีแลว้
อกาลิโก เป็นส่ิงที่ผศู้ ึกษา ผปู้ ฏิบตั ิ
เอหิปัสสิโก พงึ เห็นไดด้ ว้ ยตนเอง
เป็นส่ิงที่ปฏบิ ตั ิได้ และ
ใหผ้ ลได้ ไมจ่ ากดั กาล
เป็นสิ่งที่ควรกลา่ วแก่ผอู้ ่ืนวา่
ทา่ นจงมาดูเถิด
13
พสิ ูจนไ์ ด้ ทา้ ทายใหม้ าดู ทา่ นจงมาดูเถิด ปฏิบตั ิเถิด
ผใู้ ดเห็นธรรม ผนู้ ้นั เห็นเรา ตถาคต ไมใ่ ช่เรื่องพสิ ูจนไ์ ม่ได้
พระองคบ์ อกวา่ เป็นส่ิงที่ควรกล่าวกบั ผอู้ ื่นวา่ ท่านจงมาดูเถิด
โอปนยิโก เป็นส่ิงที่ควรนอ้ มเขา้ มาใส่ตวั วิทยาศาสตร์
สอนใหเ้ รา ไปสนใจแตส่ ิ่งขา้ งนอก ไปวจิ ยั แตส่ ิ่งขา้ งนอก
ไปสร้างแต่สิ่งขา้ งนอก
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เป็ นส่ิงที่ผู้รู้ ก็รู้ได้
เฉพาะตน พิสูจน์ได้ แต่ตอ้ งพิสูจน์ดว้ ยตวั เราเอง เราก็ตอ้ ง
ไปเห็นเอง แลว้ เราก็เขา้ ใจสิ่งน้นั เอง เราไม่สามารถถ่ายทอด
สิ่งน้นั ได้ ในรูปภาษา ส่ิงท่ีพระพุทธเจา้ ตรัสรู้ คือ ความจริง
แต่สิ่งท่ีพระองค์ ทรงสอน ทรงเปลง่ ออกมา คือ ภาษา
ภาษามนั หยาบเกินไป ท่ีจะอธิบายส่ิงน้นั พระพทุ ธเจา้ ทรง
เตือนเราวา่ อยา่ เพง่ิ เชื่อส่ิงน้นั อยา่ เพง่ิ เชื่อตารา อยา่ เพงิ่ เชื่อ
แลว้ พสิ ูจน์ และพระองคร์ ู้ไดอ้ ยา่ งไร ยคุ น้ีสองพนั กวา่ ปี
ทกุ วนั น้ีจะเกิดเหตุ ดอกเตอร์ทางศาสนาสองคน คน
หน่ึงบอกเล้ียวซา้ ย อีกคนบอกเล้ียวขวา ทาไม พระพทุ ธเจา้ รู้
อยา่ เพงิ่ เช่ือตารา อยา่ เพ่ิงเช่ือคนทพ่ี ดู เป็นครูบาอาจารย์ เพราะ
ท่านสอนเราในรูปภาษา ใหฟ้ ังหูไวห้ ู ท่านพดู ออกมาไม่ไดผ้ ดิ
แต่ปัญญาเราเขา้ ไม่ถึง ก็เขา้ ใจผดิ เราก็ปฏิบตั ิผดิ อยา่ เพงิ่ เช่ือ
14
ท่ีทาตาม ๆ กนั มา ลทั ธิน้นั ลทั ธิน้ี วิธีน้นั วิธีน้ี พระองคไ์ มไ่ ด้
บอกวา่ ผดิ แตม่ นั ไม่ทนั ตอ่ เหตุปัจจยั ท่ีมนั เปล่ียนแปลง แลว้
พสิ ูจน์ไดอ้ ยา่ งนึง วทิ ยาศาสตร์ครองโลก มาหลายสิบปี เริ่ม
เปล่ียน วทิ ยาศาสตร์แนวใหม่ คือ ควอนตมั เดี๋ยวมนั จะลบลา้ ง
ทฤษฎีเก่า ที่วา่ มนั เท่ียงแทแ้ น่นอน ตอนน้ีเขาก็เริ่มเห็นแลว้ วา่
มนั ไม่แน่นอน เขากาลงั ทาอยู่ ถา้ จะต่อยอดจริงๆแลว้ เขาตอ้ ง
ฟังพระพทุ ธเจา้ บา้ ง
พระพุทธเจา้ ช้ีวา่ ธรรมะที่พระองคท์ รงแสดง มนั คือ
อะไร และพระองคก์ ็ช้ีวา่ เรามีเคร่ืองมืออยแู่ ลว้ เตม็ เป่ี ยม ไม่
ตอ้ งสร้างเคร่ืองมืออะไร ข้ึนมา วทิ ยาศาสตร์ควอนตมั เขาใช้
เคร่ืองมือเรียกวา่ ประสาทเทียม เพอื่ มาตรวจวดั พลงั ท่ีมาผสั สะ
พลงั งานตวั น้นั เรามีประสาทอยแู่ ลว้ ทาไม ตอ้ งใชป้ ระสาท
เทียม เรามีวิญญาณตวั รู้ อยแู่ ลว้ พระองคจ์ ึงบอกวา่ เรามี
เคร่ืองมืออยแู่ ลว้ เตม็ เปี่ ยมคือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
มีอยแู่ ลว้ ไมต่ อ้ งสร้างข้ึนมา ใชม้ นั เริ่มจาก
สติปัฏฐาน๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม เทวดาไม่มี
กายทาไม่ได้ มนุษย์เรามีกาย มีเวทนา มีจิต มีธรรม นี่
เครื่องมืออนั ดบั ตน้ ในส่ีอยา่ งน้ี มีแค่อยา่ งเดียวคือ กายเป็ น
รูปธรรม นอกน้ันอีกสามสิบหกขอ้ เป็ นนามธรรม ถา้ เรา
15
ตอ้ งศึกษาเรื่องนามธรรม เราใชเ้ คร่ืองมือรูปธรรม รูปธรรม
เรามีอยู่แล้ว คือ กาย อย่างเดียวก็พอ ต้องเลิกคิดแบบ
วิทยาศาสตร์ หาเครื่องช่วย พระพทุ ธเจา้ เป็นนกั วิทยาศาสตร์
ท่ียิ่งใหญ่ท่ีสุดในจกั รวาลน้ี พระองค์สอนแบบวิทยาศาสตร์
อย่าเพ่ิงเช่ือ ฟังหู ไวห้ ู อย่าเพ่ิงปฏิเสธ เด๋ียวเราจะพลาด
โอกาส อนั แรก คือ สติปัฏฐาน๔
อทิ ธิบาท๔ มี ฉนั ทะ วิริยะ จิตตะ วมิ งั สา พอ่ ครูจะไม่
อธิบายรายละเอียด อนั น้ีกไ็ ม่มีอะไร ท่ีเป็นรูปธรรม ไมม่ ี
เครื่ องมือที่เป็ นเทคโนโลยี
สัมมัปปธาน๔ สารวมระวงั ไม่ใหอ้ กุศลใหมม่ นั เกิดข้ึน
เพียร ความเพียรทกุ คนมีอยแู่ ลว้ ใชม้ นั เพยี รละอกุศลท่ีมนั มี
อยแู่ ลว้ ใหห้ มดไป เพยี รสร้างกุศลใหม่ ใหม้ นั เกิดข้ึน ความ
เพียรเรามีอยแู่ ลว้ ไมต่ อ้ งสร้างข้ึนมา ไมต่ อ้ งไปขอใคร อยู่
ท่ีวา่ เราจะใชม้ ้ยั เมื่อกศุ ลมนั เกิดข้ึนแลว้ ก็สารวมระวงั อยา่
ใหก้ ศุ ลน้ีมนั หมดไป
อินทรีย์๕ พละ๕ ศรทั ธา วริ ิยะ สติ สมาธิ ปัญญา มี
อยแู่ ลว้ สาคญั ที่วา่ เราจะใชม้ นั ม้ยั เราจะเอาม้ยั ไม่ใช่ไปฝึก
สติ ฝึกสมาธิ ฝึกมาหลายชาติแลว้ มีอยแู่ ลว้ อินทรีย๕์
พละกาลงั ก็มี เพยี งแตว่ า่ แต่ละคนมีกาลงั ไมเ่ ทา่ กนั แต่มอี ยู่
16
แลว้ ใชม้ นั ถา้ เราเขา้ ไปใน จิตในจิตไดแ้ ลว้ ทีน้ีจะเขา้ ไปใน
จิตไดอ้ ยา่ งไร
มีสูตรนึง โดยเฉพาะสมถกรรมฐาน กรรมฐานสี่สิบ
กอง พอ่ ครูชอบสูตรนึง บงั เอิญวา่ มาตรงกบั ที่เราทา แลว้
เมืองไทยกใ็ ชก้ นั อยู่ เกือบคร่ึงประเทศ หลวงพอ่ ชาเราก็ใช้
คือ อานาปานสติ อาจารยพ์ ุทธทาส กอ็ านาปานสติ ส่วนจะ
ไปต้งั วา่ ชื่ออะไร กเ็ ป็นช่ือสมมติเฉย ๆ ในพระไตรปิ ฎกไมม่ ี
แต่ไมไ่ ดผ้ ดิ มนั เป็นอบุ ายวธิ ีอยา่ งนึง คือ ใหเ้ ราจาแม่น ใน
พระไตรปิ ฎก อนุสติสิบ พทุ ธานุสติ ไมไ่ ดต้ ามลมหายใจ
คือ ระลึกถงึ คุณพระพทุ ธเจา้ ธมั มานุสติ คือ ระลึกถึงคาสอน
คุณพระธรรม ส่วน อานาปานสติ คือ ตามลมหายใจเขา้
อานาปานสติสูตร พระพทุ ธเจา้ ตรัสชดั เจน ดูก่อน
ภิกษทุ ้งั หลาย อานาปานสติ อนั บคุ คลเจริญธรรมใหม้ ากแลว้
ยอ่ มทาสติปัฏฐานท้งั สี่บริบูรณ์ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม
ตอ้ งเป็นหน่ึงเดียว ตอนน้ีเราฝึกสติ ฝึกสมาธิมนั บริบรู ณ์ม้ยั
ยงั อยใู่ นฐานกายอยู่ อยา่ งมาก ก็พิจารณาเวทนา เราแยกส่วน
แลว้ ไปนงั่ ดูจิต ยงั มีผดู้ ู กบั ส่ิงท่ีถูกเห็น มนั ก็เป็นแคฝ่ ึกสติ
สมมติบา้ นหลงั น้ีชื่อจิต เรากไ็ ปนง่ั ดูมนั เราก็เห็นเงาของบา้ น
ไปส่องหนา้ ตา่ ง กเ็ ห็นมนั เป้ื อน มนั กย็ งั เป้ื อนเหมือนเก่า
17
ไม่ใช่ไปเห็นจิตแบบน้นั ตอ้ งเปิ ดประตบู า้ นเขา้ ไปใน จิตใน
จิต เราถึงสามารถ เสพอารมณ์ในบา้ นน้นั ได้ มนั เป้ื อนยงั ไง
เรากไ็ ปเห็น เรากไ็ ปขดั เกลาจิตใหผ้ อ่ งใส ทกุ วนั น้ีเราไปนง่ั ดู
นง่ั เพง่ มนั เป็นแค่เจริญสติ ยงั ไม่ใช่การเจริญมรรค
เมื่อเราเขา้ ไปใน จิตในจิตแลว้ โพชฌงค์ทงั้ เจด็ กจ็ ะ
แสดงตวั ไม่วา่ จะเป็นสติสัมโพชฌงค์ ธมั มวจิ ิยสัมโพชฌงค์
ซ่ึงเป็นบารมีเกา่ คาวา่ โพชฌงค์ เป็นตามธรรมชาติ เป็นกาลงั
ของจิตเรามีอยแู่ ลว้ เราตอ้ งเขา้ ไปในเวป็ ไซต์ ไปเอาพลงั ตวั น้ี
มาตอ่ ยอด พระพทุ ธเจา้ กต็ รัสตอ่ ไปวา่ สติปัฎฐานท้งั ส่ี อนั
บคุ คลเจริญธรรม ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มทาให้ โพชฌงคท์ ้งั เจด็ ให้
บริบูรณ์ โพชฌงคท์ ้งั เจด็ อนั บุคคลเจริญธรรมใหม้ ากแลว้
ยอ่ มทาใหว้ ิชชา วิชชาตวั น้ี กค็ ือตวั ฌาน ตวั ปัญญา มนั ก็
แสดงตวั วชิ ชา และวมิ ตุ ติ มนั ก็ส่งผลตรงน้นั
อานาปานสติ เป็นสมถกรรมฐาน เป็นอนุสติ แต่เรา
เริ่มตน้ ตรงน้ี เราสามารถพฒั นา ไปสู่วิปัสสนากรรมฐานได้
แต่ตอนน้ีเราฝึกอานาปานสติ สามสี่สิบปี เรากอ็ ยตู่ รงน้นั เรา
ก็ไดเ้ จริญสติ เจริญอนุสติ ตอ้ งใชส้ ูตรธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร
ท่ีพระพทุ ธเจา้ แสดง เร่งสติหมุนกงลอ้ ของธรรมจกั ร เหมือน
รถยนตเ์ ขน็ มนั ติด เรากเ็ ปิ ดแอร์ เปิ ดวทิ ยไุ ด้ เราใส่เกียร์ มนั
18
ดบั เพราะกาลงั มนั ไมพ่ อ เราตอ้ งเร่งเคร่ือง เร่งเคร่ืองใส่เกียร์
ไปเลย อนั น้ีแหละคือ ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร
ส่วนสัญลกั ษณ์ธรรมจกั ร ขา้ งนอกก็เป็ นสัญลกั ษณ์
เหมือนพระพุทธรูป เป็นสัญลกั ษณ์ ไม่ใช่ตวั พระพุทธเจา้ เรา
กราบไหวพ้ ระพุทธรูป เพ่ือระลึกถึงคุณพระพุทธเจา้ ผรู้ ู้ ผตู้ ื่น
ผเู้ บิกบาน ผูห้ ่างไกลจากกิเลส เราไม่ไดก้ ราบไหว้ ในฐานะ
ท่ีพระองค์ เป็ นส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ แลว้ ก็ขอโน่น ขอน่ี พระองค์
ไม่ไดส้ อนแบบน้นั
พระองค์สอนให้เราพ่ึงตนเอง อัตตาหิ อัตโน นาโถ
พระองค์เป็ นแค่ผูช้ ้ีทาง พระองค์ยงั ไม่สามารถปลดปล่อย
เทวทัต ไม่สามารถปลดปล่อยอชาติศัตรู ขนาดพระองค์
ยงิ่ ใหญ่แค่ไหน พระองคก์ ็ฝื น กฎแห่งกรรมไมไ่ ด้ พระองคม์ ี
หนา้ ท่ีช้ีทางใหเ้ รา เราตอ้ งเดินเอง ตอ้ งพ่งึ ตนเอง
พระพุทธเจา้ ไม่ใช่ส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ ส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิทาให้ เรา
พน้ ทุกขไ์ ม่ได้ ยงิ่ ทาใหเ้ ราเพม่ิ ทกุ ขอ์ ีก พระพุทธเจา้ จึงไม่ใช่
ส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ พระองค์ยิ่งกว่าสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ คาสอนของ
พระองค์ ทาให้เราพน้ ทุกขไ์ ด้ ถา้ เราทาจริง ๆ พ่อครูจึงเลิก
นับถือพระพุทธเจ้าทันที เพราะคาว่านับถือ มันหยาบไป
บูชาถวายชีวติ พระองค์
19
พระองคไ์ ปเห็นไดอ้ ยา่ งไร ไปรู้ไดอ้ ยา่ งไร ยงั รู้จกั วธิ ี
แกด้ ว้ ย พอ่ ครูไมส่ งสัย กเ็ รารู้ไดเ้ ฉพาะตน เราสมั ผสั ดว้ ยตวั
เราเอง พดู วา่ เช่ือไม่เช่ือ มนั หยาบไป มนั ไม่ใช่เร่ืองที่เช่ือ
หรือไมเ่ ชื่อ มนั เป็นความจริง พระพทุ ธองคจ์ ึงบอกวา่ หนทาง
แห่งพทุ ธะ ไม่มีหลกั การ ไม่ใช่ปรัชญา แตเ่ ป็นประสบการณ์
จริง ๆ ที่เกิดข้ึนกบั พระองค์ ถา้ คนเขา้ ถงึ ประสบการณ์จริง ๆ
เราจะไมใ่ ชว้ ิชาความรู้ ซ่ึงเรายดึ มนั่ ถือมน่ั ไปบงั คบั ใหค้ นอ่ืน
ทาเหมือนเรา จะไม่ทาอยา่ งน้นั เด็ดขาด มนั ไมใ่ ช่องคค์ วามรู้
มนั คือความจริง ก็งา่ ยมาก ศาสตร์พระองคง์ า่ ยท่ีสุด
พ่อครูถึงบอกวา่ นกั วทิ ยาศาสตร์ตอ้ งมาช่วย ไม่เช่นน้นั
มนุษยเ์ รามนั แกป้ ัญหาชีวิตไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์ถึงศึกษา
เรื่องรูปธรรม ไมเ่ อานามธรรม กเ็ หมือนคนขาขาด คร่ึงเดียว
ทีน้ีคนเอาเรื่องจิตวิญญาณ เร่ืองเดียว แลว้ ไปนบั ถือศาสนา
แบบหลง งมงาย ก็สุดโต่งเหมือนคนตาบอด สุดโต่ง
พระองค์เคยตรัสว่า บรรพชิต ไม่เสพส่วนสุดโต่งสองส่วน
ระหวา่ งของคู่
วนั น้ีเป็ นวนั ท่ียิ่งใหญ่มาก ที่พระองคแ์ สดงปฐมเทศนา
ธัมมจกั กปั ปวตั ตนสูตร โดยยึดหลกั สายกลาง ไม่เสพส่วน
สุดโต่งสองส่วน ถา้ เป็ นเรื่องจิตวิญญาณแลว้ ที่เราฝึ กจิต
20
ระหว่างขา้ งนอกกบั ขา้ งใน ขา้ งนอกคืออะไร เรามีอายตนะ
ภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายในหก
อายตนะภายนอก มนั มีแลว้ หกอยา่ งตามธรรมชาติ คือ รูป
รส กลิ่น เสียง สัมผสั อารมณ์ ควอนตมั กาลงั ศึกษาเร่ืองแรง
ผสั สะ ตรงน้ีเหมือนอะไร เหมือนเราเอาฟุตบอล เขว้ียงเขา้
ไปขา้ งฝา มนั สะทอ้ นกลบั มนั อิมแพค น่ีคือ พลงั ผสั สะ ทีน้ี
เขว้ียงเบา ก็สะทอ้ นมาเบา เขว้ียงแรง ก็สะทอ้ นมาแรง มนั
ไม่แน่นอนว่าเขว้ียงแลว้ มนั จะเหมือนกนั ก็อยทู่ ี่พลงั เขว้ียง
อีก พลงั ดนั กบั พลงั ตีกลบั
ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร เกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร ทาไมพอ่ ครู
ใชเ้ สียง ยส่ี ิบหกปี พ่อครูลองใชท้ ้งั หมด สามชวั่ โมงท่ีพ่อครู
เที่ยงคืนถึงตีสาม มนั เกิดการเปล่ียนแปลงของชีวิต เขาทาให้
พ่อครูเห็นขบวนการทางาน ของร่างกาย ของวิญญาณ ตอน
น้นั ไม่รู้เลย อะไรคือวิญญาณ ตอนน้นั เห็นการทางานของเขา
พ่อครูไม่รู้ว่าเรียกชื่อว่าอะไร อะไรคืออายตนะ ภายใน
ภายนอก ไม่รู้ บุญเยอะ ที่ไม่รู้เร่ืองเหลา่ น้ี รู้มาก ทกุ ขม์ าก
รู้แลว้ เป็นขยะ กไ็ ปนงั่ เถียงกนั ของฉนั ถกู ของเธอผดิ
ถา้ พ่อครูรู้เรื่องพวกน้ี อาการตอนสามชว่ั โมงน้นั พ่อครู
ก็คิดตามอาการ เอ๊ะ..มันใช่หรือเปล่า จิตมันก็ถูกดึงไว้
21
เนื่องจากเราไม่รู้อะไรเลย อาการพ่อครูเห็นมนั หมดเลย มนั
เกิดอะไรบา้ ง เรานงั่ หลบั ตาลง เสียงแอร์มนั ดงั เราก็เป็ น
นักคิดผูย้ ิ่งใหญ่ ก็คิดอีก เพิ่งเปล่ียนใหม่ แพงก็แพง ทาไม
มนั ดงั ขนาดน้ี มนั ก็ไดย้ ินท่ีหู มนั ก็มารู้ท่ีใจ มนั วิ่ง มนั ดึง
ไปมาระหวา่ งหูกบั ใจ พอ่ ครูก็เห็นอาการ ดึงไปดึงมา มนั เตน้
เหมือนคนเขา้ ทรงเลย มนั ดึงข้ึนดึงลง ท่ีเชคกิ้งมนั มาจากตรง
น้ี ที่เราส่ันสะเทือน ประมาณคร่ึงชวั่ โมง มนั ก็หมุนมาขา้ งๆ
เหมือนเคร่ืองซักผา้ หมุน หมุน ท่ีเขาเรียกว่า สมาธิเหวี่ยง
พ่อครูไม่ไดต้ ้งั ชื่อ
คาว่าเหวี่ยง มนั คือกิริยา คือสลดั ออก อยา่ ไปยึดมนั่ ถือ
มน่ั เหว่ยี งความยดึ มน่ั ถือมนั่ ทิ้ง เหวยี่ ง ท่ีเราจะไปหลงมนั ทิ้ง
คือเตือนว่า เราอยา่ ไปติดมนั มนั ไม่มีช่ือเรียก ถา้ ต้งั ช่ือแลว้
กลายเป็ นลทั ธิ เป็ นอีกค่ายนึง พ่อครูไม่เคยต้งั ลทั ธิ พ่อครู
จะตอ้ งไม่เป็ นส่วนหน่ึง ของความขดั แยง้ ท่ีช้ีให้ดู เห็นม้ัย
ถา้ เราใช้ รส เราตอ้ งมีเคร่ืองช่วย เอาอะไร เอายามาอม มาลิ้ม
รสลิ้น มารู้ที่ใจ มันก็ดึงกันได้ แต่มันเร่งสติไม่ได้ ส่วน
หลวงพ่อคงใชล้ มหายใจ พุทโธ หรือ อานาปานสติ ก็คือกล่ิน
ไมม่ ีแมแ้ ต่หน่ึงอยา่ ง ไมเ่ กี่ยวกบั อายตนะ กล่ิน ลมหายใจ กลิ่น
22
มนั ตามลมหายใจ มากระทบผสั สะที่จมูก ลมหายใจส้ันก็รู้
ยาวก็รู้ ถา้ เราทาแค่น้นั เราก็ไดเ้ จริญอนุสติ
แตห่ ลวงพ่อคง ทา่ นดึงใหม้ นั มารู้ท่ีใจ มนั ดึงระหวา่ งใจ
กบั จมกู มนั ก็เกิดแรงเหว่ยี งข้ึน คนท่ีติดพุทโธ มานาน เหวย่ี ง
ไมไ่ ด้ พอเหวี่ยง มนั กจ็ ะไปตามลมหายใจ พอ่ ครูก็ใหพ้ ิจารณา
ไม่ใช่พจิ ารณา เอาลมหายใจ ดึงใหม้ นั ไปถงึ ใจ แตว่ า่ มนั
เหนื่อย ผเู้ ฒา่ ผแู้ ก่ก็ทาไม่ได้ พอ่ ครูจึงไมเ่ ลือก พอ่ ครูลองมา
หมดแลว้ หรือเราจะลองอยา่ งน้ีก็ได้ ตีขาตวั เอง ป๊ าบ ป๊ าป น่ี
คือ ผสั สะ รูป รส กล่ิน เสียง สมั ผสั แลว้ กต็ อ้ งมารู้ท่ีใจ มนั
กห็ มุนได้ แตเ่ ราก็เสียเวลาตี ตีไปนานๆ เรากเ็ จบ็ มนั ก็เม่ือย
สุดทา้ ยพอ่ ครูก็เลือก เสียง แลว้ สามชว่ั โมงน้นั มนั
เกิดอาการน้ี เน่ืองจากพอ่ ครู ไดย้ นิ เสียงแอร์ มนั ไมไ่ ดห้ ลุด
จากคาสอนพระพุทธเจา้ เราเจริญวิปัสสนา โดยใชอ้ ายตนะ
พ่อครูเลยเลือกเสียง ท่ผี ปู้ ฏิบตั ิไม่ตอ้ งทาอะไรเลย เสียงเรา
สร้างข้ึนมาได้ เราสร้างจากเทคโนโลยสี มยั ใหม่
พอ่ ครู กลบั มาจากอเมริกาใหมๆ่ เกือบเจด็ แปดปี ใช้
ระฆงั เพราะวา่ ที่นี่ไมม่ ีไฟฟ้า ระฆงั แตกไมร่ ู้ก่ีใบ แต่ถา้ พ่อ
ครูตีไม่มีวนั แตก แต่ผชู้ ่วยตีแตกทกุ คน เพราะเอาใจตี เสียง
เสียงอะไรก็ได้ ธรรมชาติมนั รู้เสียง มนั จะส่งมารู้ที่ใจ อยา่ ง
23
เขาด่าเรา เสียงด่าคือรูป ตวั ไดย้ นิ เสียงคือนาม ปกติมนั เกิด
มนั กด็ บั แตส่ ติเราไมท่ นั รูปเกิด กระทบหู มากระเทอื นใจ
เวทนาเกิดแลว้ สัญญาที่บนั ทึกไวว้ า่ ไมช่ อบถกู ด่า มนั ไม่
พอใจ มนั วนี ข้ึนมา แลว้ สัญญาใหม่กบ็ นั ทึกข้ึนวา่ มนั ดา่ เรา
สญั ญาใหม่ สัญญาเกา่ กระทบกนั กระทบอารมณ์ที่ใจ ก็เกิด
เวทนาข้ึน เกิดเวทนา เกิดสัญญา สงั ขารปรุงแต่งแลว้ วา่ เธอด่า
ฉนั ฉนั เสียเปรียบ ไมไ่ ด้ ฉนั ตอ้ งด่าเธอคืน ความเร็วของมนั
รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ เท่ากบั หน่ึงวนิ าทีของโลก
เราสร้างกรรมแลว้ กรรมมนั ก็ส่งผล
วิชาที่สอง ที่พระพทุ ธเจา้ ตรัสรู้คือ จุตูปปาตญาณ ญาณ
รู้วา่ ดว้ ย การเกิดเพราะกรรม ตายเพราะกรรม เราคิดก็
มโนกรรม พดู กว็ จีกรรม ทากก็ ายกรรม คนอนื่ ไม่รู้ จิตบนั ทึก
ไวเ้ รียบร้อย เราหลอกคนอ่ืนได้ เราหลอกจิตเราไมไ่ ด้ เรา
บนั ทึกสญั ญาไว้ แลว้ สญั ญาน้ี บนั ทึกมาหลายภพหลายชาติ
แลว้ ทาไมระลึกชาตไิ ด้ ไม่ใช่เร่ืองเหลวไหล ไมใ่ ช่เรื่อง
อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นอภิญญาอยา่ งนึง แตอ่ ภิญญามีแปด
อภิญญาเจด็ ขอ้ หูทิพย์ ตาทิพย์ อะไรกช็ ่าง เป็นโลกียอภิญญา
มนั มีประโยชน์ แตถ่ า้ ไปหลงมนั เมอื่ ไหร่ เป็นโทษอยา่ งยงิ่
24
ทาใหเ้ ราไปเสียเวลา เป็นประโยชนท์ ี่พระพทุ ธเจา้ ตรัสรู้ เรื่อง
เวยี นวา่ ยตายเกิด บาปบญุ คุณโทษ กฏแห่งกรรม
ไม่ใช่พระองคน์ ง่ั เทียน นงั่ คิดเอาเอง ไมใ่ ช่ พระองคร์ ู้
สิ่งน้ี เพราะพระองคไ์ ประลึกชาติ เป็นวิชาแรก ทพี่ ระองค์
ตรัสรู้ คือ บพุ เพนิวาสานุสติญาณ ญาณรู้วา่ ดว้ ยการระลึกชาติ
สมยั เป็นพระเวสสันดร เป็นอะไรๆ ประสบการณ์ตรงน้นั
ทาใหพ้ ระองคเ์ ห็น เร่ืองเวียนวา่ ยตายเกิด และพระองคไ์ ป
สมั ผสั เร่ืองกรรมดว้ ย ชาติน้ีสร้างกรรมดี เกิดมาก็รับกรรมดี
ส่วนที่เป็นกรรมชวั่ กร็ ับกรรมชว่ั เกิดจากประสบการณ์จริง
ของพระองค์ วชิ าที่สองคือ จุตปู ปาตญาณ ญาณรู้วา่ ดว้ ยการ
เกิดเพราะกรรม ตายเพราะกรรม
พระองคไ์ ปรู้วา่ เราเผลอสร้างกรรม มาต้งั หลายชาติ
เราจะมาจ่ายหน้ีกรรม หมดในชาติเดียวไดอ้ ยา่ งไร วชิ าท่ีสาม
เป็นวิชาที่ยง่ิ ใหญ่ พอ่ ครูถึงบอกวา่ พอ่ ครูถวายชีวติ พระองค์
ไปรู้วธิ ีแก้ ท่ีเราบอกแกก้ รรม ไมใ่ ช่แค่ไปปลอ่ ยนก ปลอ่ ย
ปลา ไปทาพธิ ี อนั น้นั แคห่ ลอกใหเ้ ราสบายใจเฉย ๆ ถา้ มนั
ง่ายขนาดน้นั กด็ ีสิ ตอ้ งแกก้ รรมในจิต ไปรับวิบากกรรม
ในจิต วชิ าที่สาม คือ อาสวกั ขยญาณ พระองคต์ รัสรู้วา่ ที่เรา
สร้างกรรม เพราะเรามีกิเลส เรามีกิเลส เราถึงสร้างกรรม
25
พระองคไ์ ปเจอวชิ าวา่ ดว้ ยการกาจดั กิเลส คือ มรรคมีองคแ์ ปด
ก็มาวนั น้ีที่พระองคท์ รงแสดง ยอ้ นหลงั ไปสองพนั กวา่ ปี ก่อน
คือ อริยสัจ๔ อริยสัจสามขอ้ แรก เป็นสิ่งท่ีพระองคบ์ อกใหเ้ รา
รู้เฉย ๆ
แตส่ ่ิงท่ีเราตอ้ งปฏิบตั ิ ก็คือ มรรค การปฏิบตั ิธรรมจึง
จบอยทู่ ่ี การเจริญ มรรค ผล นิพพาน ไมใ่ ช่ไปฝึก วิชาโน่น
วิชานี่ หลงป่ า ตอ้ งหาทางเดินออกจากป่ า ใหเ้ ร็วท่ีสุด ไม่ใช่
ไปฝึกวชิ าเดินป่ า ไปสร้างกาลงั เดินป่ า เสือมามนั กก็ ินเรา ไฟ
ไหมป้ ่ าเราก็ตาย เราตายในป่ าวฏั สงสาร ไม่รู้ก่ีรอบแลว้ ไมม่ ี
เวลาแลว้ เราเกิดมา เพอ่ื เดินทางตอ่ สถานเดียว พระพุทธเจา้ ก็
ช้ีทางงา่ ย ๆ ให้ ไม่ไดซ้ บั ซอ้ น ไมว่ นุ่ วาย
วชิ าพระพุทธเจา้ งา่ ย ๆ ทาแค่สามขอ้ คือ ทาดี ละชวั่
ขดั เกลาจิตใหผ้ อ่ งใส วิธีทาดีก็บอกดว้ ย ทาน วธิ ีละชว่ั กบ็ อก
ดว้ ย ศีล ขดั เกลาจิตใหผ้ อ่ งใส ก็บอกดว้ ยคือ เจริญภาวนา ไม่
ซบั ซอ้ น มนั ยากตรงไหน ง่ายที่สุด อยทู่ ่ีเราจะเอาม้ยั
วนั น้ีเน่ืองจาก เป็นวนั อาสาฬหบชู า แลว้ พรุ่งน้ีก็
เขา้ พรรษา มีพระภิกษบุ วชใหม่ เขาตอ้ งการรู้วา่ เราจาพรรษา
ทาไม แน่นอนคาบอกกล่าววา่ เป็นฤดูที่เขาเกบ็ เก่ียว หรือวา่
เขาปลูกอะไรน่ี คือใหห้ ยดุ สร้างกรรม เผลอ ๆ ไปเหยยี บขา้ ว
26
เขามาเป็นส่วนหน่ึง อีกส่วนหน่ึง เม่ือเราเสียเวลาเขา้ มาสาม
เดือนน้ี ส่ิงท่ีเราตอ้ งทาคืออะไร เขาเรียกวา่ ปหานสูตร วา่ ดว้ ย
การอยู่ ประพฤติพรหมจรรย์ เพ่อื ละ เพ่อื ตดั สังโยชน์ ๗
ประการ สงั โยชนท์ ี่เตม็ สูตร คือสงั โยชน์๑๐ แตเ่ จด็ ประการ
คือ ปฏิฆะสงั โยชน์ ทิฐิสังโยชน์ วิจิกิจฉาสังโยชน์ มานะ
สังโยชน์ ราคะสงั โยชน์ ภวราคะสงั โยชน์ อวิชชาสงั โยชน์
รายละเอียดไปเปิ ดหนงั สืออา่ น ไม่ใช่แคว่ า่ รู้เฉย ๆ วา่
สังโยชน์เจด็ มีอะไร ตอ้ งปฏิบตั ิใหเ้ กิดผล มนั จะไดไ้ มเ่ สียเวลา
สามเดือนของเรา ไม่ใช่เฉพาะ พระคุณเจา้ แมช่ ี สามเณร หรือ
ญาติโยม ที่ปาวารณาตวั เขา้ พรรษา เรากต็ อ้ ง อยา่ ใหเ้ สียเวลา
เปลา่ ๆ อนั น้ี เป็นธรรมะท่ี ละ
เมื่อภิกษทุ ้งั หลาย ละ สังโยชน์ท้งั เจด็ ประการ ไดแ้ ลว้
อยา่ งเด็ดขาด ตดั รากถอนโคน เหมือนตาลยอดดว้ น ที่ถูกตดั
รากถอนโคนไปแลว้ เหลือแตพ่ ้ืนที่ ทาใหไ้ มม่ ี เกิดข้ึนตอ่ ไป
ไมไ่ ด้ เมือ่ น้นั เราจึงเรียก ภิกษนุ ้ีวา่ ตดั ตณั หาไดแ้ ลว้ ถอน
สงั โยชน์ไดแ้ ลว้ ทาที่สุดไดแ้ ลว้ ส่วนจะทาไดแ้ ค่ไหน ก็ทา
เพราะมนั เป็นหนา้ ท่ี ที่เราตอ้ งทา อนั น้ีคือ สิ่งที่เราตอ้ งลด ละ
เลิก ใหม้ นั นอ้ ยท่ีสุด หรือวา่ บญุ เรามาก ก็ตดั มนั ใหห้ มดเลย
เรามาเดินทางน้ีแลว้ ไมท่ าหนา้ ท่ี กไ็ มร่ ู้จะมาเดินทาไม
27
มีอีกสูตรหน่ึง ตวั น้ีเป็นตวั ทาใหม้ นั เกิดข้ึน พ่อครูก็ไป
เห็น เขาเรียกวา่ อุคคสูตร วา่ ดว้ ยมหาอามาตยช์ ่ือ อุคคะ ไดเ้ ขา้
ไปเฝ้าพระพทุ ธเจา้ กล่าวทลู พระผมู้ ีพระภาคเจา้ วา่ ขา้ ฯแต่
พระองคผ์ เู้ จริญ หนา้ อศั จรรยจ์ ริงๆ มิเคยปรากฏ ที่มิคารเศรษฐี
ผเู้ ป็นหลานของ โรหณเศรษฐีน้ี เป็นผมู้ ง่ั คงั่ มีทรัพยม์ ากถึง
เพียงน้ี พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ตรัสถามวา่ อคุ คะ มิคารเศรษฐี
ผเู้ ป็นหลาน โรหณเศรษฐี เป็นผมู้ ง่ั คงั่ เพยี งไร มีทรัพยม์ าก
เท่าไหร่ มีโภคทรัพยม์ ากเทา่ ไหร่ อุคคะมหาอามาตยก์ ราบทลู
วา่ ขา้ ฯแตพ่ ระองคผ์ เู้ จริญ เขามีทองแสนนึง ไม่ตอ้ งพดู ถึง
เรื่องเงิน
พระผมู้ ีพระภาค ตรัสวา่ อคุ คะ ทรัพยน์ ้นั มีอยจู่ ริง เรา
มิไดก้ ล่าวว่า ทรัพยน์ ้นั ไม่มี แต่ว่าทรัพยน์ ้นั เป็นของทวั่ ไปแก่
ไฟ น้า พระราชา โจร ทายาทที่ไม่เป็นที่รัก อุคคะ ทรัพยเ์ จ็ด
ประการน้ีแล เป็ นของไม่ทั่วไปแก่ ไฟ น้ า พระราชา โจร
ทายาทที่ไม่เป็นท่ีรัก ทรัพยเ์ จ็ดประการ ท่ีพระพุทธเจา้ แสดง
ซ่ึ งเป็ นอริ ยทรัพย์ คือ สั ทธาธนะ สี ลธนะ หิ ริ ธนะ
โอตตัปปธนะ สุตธนะ จาคธนะ ปัญญาธนะ อนั น้ีเรียกว่า
อริยทรัพย์ เราตอ้ งทาใหม้ นั เกิดข้ึน พอเรา ลด ละ เลิก ตรงน้ี
28
แล้ว บารมีเก่าก็แสดงตัว มันเกิดข้ึน เพราะเราลดตรงน้ัน
แลว้ ก็ตอ้ งสร้างเพม่ิ
ขอ้ แรกคือ สัทธาธนะ เป็ นอยา่ งไร อริยสาวกในธรรม
วินัยน้ี เป็ นผูม้ ีศรัทธา คือเช่ือปัญญา เครื่องตรัสรู้ของพระ
ตถาคตว่า แมเ้ พราะเหตุน้ี พระผูม้ ีพระภาคพระองคน์ ้นั เป็ น
พระอรหนั ต์ ตรัสรู้ดว้ ยพระองคเ์ อง โดยชอบเป็นพระพุทธเจา้
เป็ นพระมุนี เป็ นพระพุทธเจ้า น้ีเรียกว่าศรัทธา ถ้าเราไม่
ศรัทธาพระองค์ เราไม่เช่ือว่า พระองค์ตรัสรู้ธรรมไดจ้ ริง ๆ
เราก็ไม่ยอมปฏิบตั ิ ไม่ยอมมงุ่ มน่ั ศรัทธาน้ีสาคญั มาก แตไ่ มใ่ ช่
เชื่อแบบหลงงมงาย เขาวา่ ดี กไ็ ปดีกบั เขา แต่แรก ๆ เราตอ้ ง
เช่ือก่อนว่า พระพุทธเจา้ มีจริง พระองค์ตรัสรู้ธรรม ไดจ้ ริง
ไม่อย่างน้ัน เราก็ไม่เกิดศรัทธา ศรัทธาน้ีเป็ นตวั ท่ีสาคญั
เร่ิมแรก
ขอ้ สอง สีลธนะ เป็ นอย่างไร คือ อริยสาวกในธรรม
วินัยน้ี เป็ นผูเ้ วน้ ขาดจากการฆ่าสัตว์ เป็ นผูเ้ วน้ ขาด จากการ
เสพของมึนเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็ นเหตุแห่งความ
ประมาท น้ีเรียกวา่ ศีล อนั น้ีเราอ่านหนงั สือ เราก็รู้แลว้ แต่
บางคนไม่เคยรู้เลย ถึงรู้แล้ว ก็ไม่จบแค่รู้ ต้องทาให้มัน
เกิดข้ึนไดจ้ ริง ๆ ไม่ใช่ไปเรียนรู้วา่ ฉันไปเห็นแลว้ วิธีน้ี ฉนั รู้
29
แลว้ ฉันจบดอกเตอร์แลว้ ฉันอ่านจบแลว้ ฉนั สอบผา่ นแลว้
ศาสนาพุทธ ไม่ได้สอนอย่างน้ัน ไม่ได้สอนให้รู้แบบน้ัน
สอนใหป้ ฏิบตั ิ เพอื่ ใหม้ นั พน้ ทุกขไ์ ดจ้ ริงๆ
ขอ้ ที่สาม หิริธนะ เป็ นอยา่ งไร คือ อริยสาวกในธรรม
วินัยน้ี เป็ นผูม้ ีหิริ คือ ละอายต่อ กายทุจริต วจีทุจริต มโน
ทุจริต ละอายต่อ การประกอบบาป อกุศลธรรมท้งั หลายน้ี
เรียกวา่ หิริ
ขอ้ ที่ส่ี โอตตปั ปธนะ เป็นอยา่ งไร คือ อริยสาวกใน
ธรรมวนิ ยั น้ี เป็นผมู้ ีโอตตปั ปะ คือ สะดุง้ กลวั ต่อกายทจุ ริต
วจีทจุ ริต มโนทจุ ริต สะดุง้ กลวั ตอ่ การ ประกอบบาป อกศุ ล
ธรรมท้งั หลาย น้ีเรียกวา่ โอตตปั ปะ
ขอ้ ที่หา้ สุตธนะ เป็นอยา่ งไร คือ อริยสาวกในธรรม
วนิ ยั น้ี เป็นพหูสูต ส่งั สมสุตะ เป็นผไู้ ดฟ้ ังมาก ซ่ึงธรรม
ท้งั หลาย ท่ีมีผมู้ ีความงามในเบ้ืองตน้ มีความงามในเบ้ืองกลาง
มีความงามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมท้งั อรรถะ
และพยญั ชะบริสุทธ์ิ บริบูรณ์ครบถว้ น ทรงจาไวไ้ ด้ ทอ่ ง
ปราชญข์ ้ึนใจ แทงตลอด ดีดว้ ยทิฐิน้ี เรียกวา่ สุตธนะ
ขอ้ ที่หก จาคธนะ เป็นอยา่ งไร คือ อริยสาวกในธรรม
วนิ ยั น้ี เป็นผมู้ ีใจปราศจาคความตระหน่ี อนั เป็นมลทิน มีจาคะ
30
อนั สละแลว้ มีฝ่ ามอื ชุ่ม ยนิ ดีในการสละ ควรแก่การขอ ยนิ ดี
ในการแจกทาน อยคู่ รองเรือน น้ีเรียกวา่ จาคธนะ
ขอ้ ท่ีเจด็ อนั น้ีสาคญั ที่สุด เป็นเป้าหมายสูงสุดคือ
ปัญญาธนะ เป็นอยา่ งไร คือ อริยสาวกในธรรมวินยั น้ี เป็นผมู้ ี
ปัญญา คือ ประกอบดว้ ยปัญญาใหถ้ งึ ซ่ึงความสิ้นทุกขโ์ ดย
ชอบ น้ีเรียกวา่ ปัญญาธนะ
ภิกษุท้งั หลาย ทรัพยเ์ จด็ ประการน้ีแล ผใู้ ดจะเป็นสตรี
หรือบุรุษกต็ าม มีทรัพยเ์ จด็ ประการน้ี บณั ฑิตท้งั หลาย เรียกผู้
มีทรัพยเ์ จด็ ประการน้ีวา่ เป็นคนไม่ขดั สน ชีวติ ของเขากไ็ ม่
สูญเปล่า เพราะฉะน้นั ผมู้ ีปัญญา เมื่อระลึกถึงคาสอนของ
พระพุทธเจา้ ท้งั หลาย ควรหมน่ั ประกอบศรัทธา ศีล ความ
เลื่อมใส และการเห็นธรรม
เอามาอ่านใหฟ้ ัง มาฟ้ืนฟวู า่ เราเขา้ พรรษา เรามีหนา้ ที่
อะไร ไมใ่ ช่ปลอ่ ยเวลา ผา่ นไปเฉยๆ มนั จะสูญเสียเวลาใน
ชีวติ เรา ช่วงน้ีเรามีภาพยนตร์พระพุทธเจา้ มหาศาสดาโลก ดี
มาก มีคากลา่ วพระพทุ ธเจา้ ทา่ นกล่าววา่ “หนทางของเรา
มีจุดบกพร่อง สองประการเท่านน้ั คือ หน่ึงไม่ยอมเริ่มดาเนิน
สองดาเนินไปไม่ถึงที่สุด” สองอยา่ งน้ี ไม่ใช่สิ่งท่ีพระพทุ ธเจา้
บกพร่อง คือผปู้ ฏิบตั ิเอง หน่ึงไม่ยอมปฏิบตั ิ สองปฏิบตั ิไมถ่ ึง
31
ท่ีสุด มนั คือ ตวั เราเองบกพร่อง หนทางพระพทุ ธเจา้ ไม่มี
บกพร่อง แมแ้ ต่หน่ึงอยา่ ง ขอใหท้ าจริง
พอ่ ครูเองยนื ยนั ดว้ ยชีวติ พ่อครู พระพทุ ธเจา้ มีจริง ดวง
จิตน้นั มีจริง คาสอนพระองค์ ทาใหเ้ ราพน้ ทกุ ขไ์ ดจ้ ริง ๆ ถา้
พวกเราเอาจริง ไม่ตอ้ งรอใหเ้ ราสาเร็จในชีวติ แลว้ ค่อยมา
ปฏิบตั ิ สาเร็จแปลวา่ เสร็จแลว้ คนท่ีเขารวยท่ีสุดในโลก เขา
ยงั ไม่เสร็จ ไมม่ ีใครเสร็จสักคนนึง ตอ้ งเดินไปคู่กนั ทกุ คน
ตอ้ งทางาน ทุกคนตอ้ งมีอาชีพ ไม่ใช่ไปสร้างอาชีพ จนมง่ั คง่ั
แลว้ มาปฏิบตั ิ พอ่ ครูบอก ตายก่อน
อาชีพน้นั ก็ เป็นการปฏิบตั ิธรรม เป็นหน่ึงในมรรคมี
องคแ์ ปด เพียงแต่วา่ ตอ้ งทาอาชีพอยา่ งมีความสุข อยา่ อดทน
ทางาน เพอ่ื ความสุข จงทาตนใหม้ ีสุข เมื่อไดท้ างาน แต่ถา้ เรา
ไมร่ ักอาชีพน้นั เรากจ็ ะทุกขก์ บั มนั เราตอ้ งมีฉนั ทะ มีความรัก
ความพงึ พอใจกบั มนั ทาอาชีพ นน่ั คือปฏิบตั ธิ รรม แต่อาชีพ
อยา่ งเดียวไม่พอ เป็นแค่หน่ึงในแปด ตอ้ งทาใหค้ รบสมบูรณ์
ท้งั แปดขอ้ มรรคมีองคแ์ ปด
32
ท่ีมา : เรื่อง บรรยายธรรมในวนั อาสาฬหบูชา
บรรยาย โดย พ่อครูบัญชา ต้งั วงษ์ไชย
ศูนย์พลาญข่อย 30 กรกฏาคม 2558