1
วิ่ง วน เหวีย่ ง วาง วา่ ง
2
เราเขา้ ใจ คาวา่ ปฏิบตั ิธรรม หมายถึง สิ่งท่ีเราคุน้ เคย
แบบน้นั แตจ่ ริงๆแลว้ แบบน้นั เป็นเพียงแค่อบุ ายวิธี เป็น
เทคนิคอยา่ งนึงเทา่ น้นั เอง มนั ไมใ่ ช่ปฏิบตั ิธรรม ปฏิบตั ิธรรม
คือการเจริญมรรค มรรค กม็ ี มรรคภายนอก กบั มรรคภายใน
มรรคภายนอก คือ ทาน ศีล ภาวนา การใหท้ าน คือ การ
ทาดี ศีล คือการละชวั่ ส่วนการเจริญภาวนาคือ การเจริญ
สมถะวปิ ัสสนา คือ การขดั เกลาจิตใหผ้ อ่ งใส ส่วนเราเขา้ ไปใน
จิต เน่ืองจาก สมถะวปิ ัสสนา เป็นมรรคภายใน สองอยา่ งน้ี
ตอ้ งไปคู่กนั
การทาดี ก็มีหลายอบุ ายวิธี บางคนทาดี โดยไป
อปุ ัฏฐากพระภิกษุสงฆ์ ไปใส่บาตร ไปสร้างวดั บางคนทาดี
โดยไปช่วยเหลือ เดก็ ยากจน บางคนทาดี โดยไปดูคนแก่
คนชรา ทาดีก็มีหลายอุบายวธิ ี เอาความเหมาะสม กบั ตวั เอง
ไม่มีสูตรตายตวั วา่ ตอ้ งเป็นแบบไหน
ทีน้ี การละชว่ั พระพุทธเจา้ ช้ีทางใหเ้ รากค็ ือ ถา้ คนเขา้
ไปไม่ถึงจิต เราตอ้ งใชศ้ ีลวนิ ยั เป็นเกราะป้องกนั ภยั แมก้ ระทง่ั
ศีล การถอื ศีลก็ตอ้ งใชอ้ บุ ายวธิ ี ไม่เหมือนกนั บางสานกั ศีล
ของเคา้ คือไม่กินเน้ือสัตว์ ไม่ใส่รองเทา้ ผดิ ม้ยั ? ไมไ่ ดผ้ ิด ก็
เป็นอบุ ายวิธีอยา่ งนึง แต่อยา่ ไปยดึ มน่ั ถอื มนั่ วา่ ตอ้ งเป็นแบบ
3
น้นั เป็นแบบอน่ื คือผดิ ...ไมใ่ ช่ ศีลของอรหนั ตจ์ ้ีกง กินเหลา้
กินเน้ือสตั ว์ เห็นม้ยั ? มนั ไม่ไดต้ ายตวั วา่ ศีล ตอ้ งเป็นแบบน้นั
แบบน้ี
ศีลจริงๆ แลว้ ก็คือ ความปกติของจิต ไมม่ ีตวั หนงั สือ
ดว้ ย คุณหมอท่านนึง ถามพอ่ ครูถือศีลเท่าไหร่? พอ่ ครูเหวี่ยง
ทิ้งหมดแลว้ ...มนั หนกั บางคนตกใจ คนไมม่ ีศีล มาแสดง
ธรรม แต่ยส่ี ิบหา้ ปี ที่ผา่ นมา ไม่ทาชว่ั แน่นอน มนั เป็นศีลแลว้
จิตมนั เป็นปกติแลว้ ท่ีมนั เป็นปกติคืออะไร
มนั ไมม่ ีความอยาก มนั ไม่มีอนาคต ความอยาก ทาให้
เราไมป่ กติ มนั แส่ส่าย ก็ตอ้ งเอาศีลมาบงั คบั เพราะความอยาก
จะทาให้ เราไปสร้างกรรม แต่เมื่อ ไมม่ ีความอยากแลว้ ไม่มี
อนาคตแลว้ คิดมนั ก็ ไมต่ อ้ งคิดเลย แมก้ ระทงั่ คิด มนั กไ็ มค่ ิด
แลว้ จะสร้างมโนกรรมไดอ้ ยา่ งไร เราถึงเขา้ ใจวา่ ศีลคือ ความ
ปกติของจิต ไม่ใช่ถือศีลแคร่ ูปแบบ ส่วนมากทกุ วนั น้ี บาง
ทีถือๆหลดุ ๆ มือถือสาก ปากถือศีล ถือแคร่ ูปแบบ มนั ไร้สาระ
คือ ปฏิบตั ิใหม้ นั เป็นศลี
พ่อครู เคยเจอขา้ ราชการเกษียณอายุ ท่ีเชียงใหม่ มาคุย
วา่ สวดมนตม์ ายส่ี ิบกวา่ ปี เชา้ เยน็ พอเจอลูกสาว กส็ วดลกู สาว
ตอ่ อีก ลกู สาววา่ อยา่ มายงุ่ ชีวติ ฉนั ไดม้ ้ยั ราคาญเลย อยา่ งน้ี
4
สวดไปทาไม? แต่ไมใ่ ช่วา่ สวดมนตไ์ ม่ดี การสวดมนตเ์ ป็น
อบุ ายวธิ ี เพ่ือฝึกสมถะกรรมฐานเบ้ืองตน้ ใหเ้ ราจดจ่อ อยตู่ รง
น้นั ใหเ้ ราวางความคิด มนั กเ็ กิดความสงบ ส่วนจะใชอ้ บุ ายวา่
สวดบทน้นั สวดบทน้ี จะข้ึนสวรรค์ สวดบทน้ีจะไดอ้ านิสงส์
อะไรกช็ ่าง ก็เป็นแคอ่ บุ ายวธิ ี ทาใหเ้ รายอมสวดมนต์ แลว้ ไป
จริงจงั วา่ สวด สวดเพอื่ จะมีอนาคตท่ีดีข้ึน เพอื่ จะมงั่ คง่ั ร่ารวย
อนั น้นั มนั ก็หลอกกนั
สวดมนตก์ ็เป็นอุบายวธิ ี ทาใหเ้ รา มีสมาธิต้งั มน่ั จดจ่อ
กบั สิ่งที่เราดาเนินอยู่ มนั เกิดประโยชนใ์ นขณะน้นั แต่มนั เป็น
ระดบั สมถะกรรมฐาน ปัญญามนั ไม่เกิด มนั เกิดสติ มนั เกิด
สมาธิ มีสติ เป็นเบ้ืองตน้ ทาใหเ้ ราจดจ่อกบั การสวด ไม่ง้นั เรา
ก็สวดถกู สวดผิด มนั เป็นเทคนิค เป็นอบุ ายอยา่ งนึง แตถ่ า้ ไม่
พฒั นาไปสู่วปิ ัสสนาแลว้ มนั จะไม่เกิดปัญญา
วิปัสสนา คือ การเห็นแจง้ ของจิต ไมใ่ ช่เกิดจาก การ
นึกคิด หรือพจิ ารณา จิตตอ้ งเขา้ ไป สัมผสั อารมณ์น้นั ๆ สัมผสั
ความจริง ในจิตใตส้ านึกเรา นนั่ แหละ คือมนั จะทาใหเ้ ราเกิด
ปัญญา แต่ไม่ใช่สมถะมนั ไม่ดี สมถะ คือ บาทฐานเบือ้ งต้น
ของวิปัสสนา และสุดทา้ ยสองอยา่ งน้ีตอ้ งไปดว้ ยกนั
5
สมถะ วิปัสสนา แยกไมอ่ อก มนั ตอ้ งเป็น Holistic ตอ้ ง
บรู ณาการ เอาเป็นวา่ แนวท่ีเคา้ เริ่มฝึกทีละข้นั เคา้ ก็เริ่มจาก
สมถะก่อน ฌาน๑ ฌาน๒ ฌาน ๓ ฌาน๔ แลว้ แต่ละฌาน ก็
แยกเป็น ๔– ๔ – ๔ – ๔ เป็น ๑๖ ฌาน เป็นทีละข้นั
เมื่อถึงขนั้ สูงสุด คือ เอกัคคตารมณ์ กค็ ือว่า มพี ลังเป็น
อารมณ์สงบ ข้ามพ้นวิตก วิจารณ์ ปี ติ สุข แม้กระท่ังสุข กข็ ้าม
พ้น เกิดความสงบ ตวั น้นั เค้าพฒั นา เป็นบาทฐานเบือ้ งต้น ใน
การเจริ ญวิปั สสนา
แต่ส่ิงท่ีเราทาตรงน้ี เราไมไ่ ดท้ าแบบน้นั เราไปดว้ ยกนั
เลย ต้งั แต่แรกดาเนินไปดว้ ยกนั เมื่อเขา้ ไปสู่จิตในจิตแลว้ จิต
เดิมเรา ฝึกสมถะมาต้งั นาน บางที เขาก็ดึงอารมณ์สมถะ ใน
อดีต มาใหจ้ ิตปัจจุบนั ลิม้ รส บางทีเราก็นง่ั สงบน่ิง โดยท่ีไม่
ตอ้ งไปกดมนั ไว้ เราก็ลิ้มรสสมถะ ท่ีเคยฝึกมาแลว้ มนั ก็
สมั ผสั ความสงบตรงน้นั
โดยเฉพาะท่ีเราปฏิบตั นิ ี่ ทุกคน ก็ทาความเขา้ ใจวา่
ทาไมตอ้ งเตน้ ? ทาไมตอ้ งร้อง? ทาไมตอ้ งรา? เพราะเรา
คุน้ เคยวา่ ทาอะไรตอ้ งมีคาตอบ เราติดนิสยั เรียกวา่ เป็น
นกั การเรียนรู้ ตอ้ งการรู้ทุกเร่ือง เราไม่สามารถ รู้ทกุ เรื่องได้
เราตายก่อน ร้อยปี ของเรา มนั ส้นั เกินไป ที่จะรู้ทุกเรื่อง
6
พระพุทธเจา้ ทรงตรัสไวว้ า่ “สิ่งใดท่ีไม่เกยี่ ว กบั การพ้นทุกข์
อย่าไปเสียเวลากับมัน”
คนรู้จริงตอ้ งรู้แตเ่ ร่ือง ที่ทาใหเ้ ราพน้ ทุกข์ ไม่ไดแ้ ปลวา่
รู้มาก พดู อะไรรู้หมดๆ น้าคร่ึงถงั พูดอะไร กน็ ้าทว่ มท่งุ ไมม่ ี
สาระอะไรเลย ไม่มีประโยชน์
ปัญญาไมไ่ ด้ แปลวา่ รู้มาก ปัญญา คือ รู้แจง้ เห็นจริง
รู้แลว้ วางได้ ถา้ มนั ไมว่ าง มนั ก็ไม่วา่ ง ถา้ มนั ไม่วาง มนั กไ็ ม่
หลุดพน้ จิตหลุดพน้ ดวงตาเห็นธรรม ถา้ มนั ยงั ติดอะไรอยมู่ นั
จะหลดุ พน้ ไม่ได้ ติดรูปแบบ ติดวิธีการ ติดพิธีกรรม ติด
วฒั นธรรม ตดิ ประเพณี ตดิ อะไรกค็ ือ ติด คือหลงติด
ติด ก็คือหลง โลภ โกรธ หลง คือ ที่มาของทกุ ข์ ทีน้ีเรา
จะทายงั ไง เราติดมาตลอดชีวิตแลว้ ? พระพุทธเจา้ ก็ช้ีทางให้
เรา พวกเราน่ีบุญเยอะมาก ไมต่ อ้ งไปแสวงหาใหม่ ไมต่ อ้ งไป
คน้ ควา้ วิจยั ใหม่ เกิดมา กเ็ จอคาสอนที่ดีดีแบบน้ี อยทู่ ี่วา่ ใคร
จะเอาม้ยั ไมเ่ อา เพราะกิเลสมนั ไม่ชอบ เพราะมนั ขายไม่ได้
ไปเรียนวชิ าหาเงินดีกวา่ ต้งั แตอ่ นุบาลเรียนงอ็ กๆ จนกวา่ จะ
จบปริญญาตรี โท เอก คร่ึงค่อนชีวิต ทุกขแ์ คไ่ หน กเ็ รียน
เพราะวา่ มนั มอี นาคต
7
เรียนวชิ าพระพทุ ธเจา้ มีแตใ่ หล้ ด ใหล้ ะ ใหเ้ ลิก ใหว้ าง
ไมไ่ ดอ้ ะไรเลย ไมเ่ อาไม่สนุก เราชอบสนุก เราชอบความสุข
แบบโลกียสุข
ในโลกนี้ ไม่มีความสุขนะ ไม่มีขาย ก่ีแสน กลี่ ้านก็
ซือ้ ไม่ได้ ในโลกนี้ มแี ค่ความสะดวกสบาย สนกุ สนาน
เพลิดเพลิน แค่นน้ั เอง ไม่ใช่ความสุข พระพุทธเจ้า พดู
ความสุขมีอยู่ ที่จุดเดยี วเท่านัน้ คือ “นิพพานเป็นสุขอย่างย่ิง”
ท่ีนิพพาน เป็นสุขอยา่ งยง่ิ เพราะอะไร เพราะมนั ไม่
เหลืออะไรเลย ทุกวนั น้ี ท่ีเราทกุ ขเ์ พราะเรามี เร่ิมจากเรามี
กรรม มนั กส็ ่งให้ เรามาเกิดอยใู่ นร่างน้ี เพอื่ ใชห้ น้ีกรรม แถม
ขนั ธ๕์ มาดว้ ย เร่ิมจากมีกรรมแลว้ ทีน้ีเริ่มมีขนั ธ์๕ แลว้ ก็
ไม่พอ มาเพ่ิม กิเลส ตณั หา อปุ าทานใหม้ นั อกี
มาเพ่ิมความ มี ทุกวนั น้ี ที่เราทกุ ขเ์ พราะเรามี ไม่ใช่
เพราะเราไมม่ ี เรากย็ งั ไม่พอใจ เรายงั จะหา ทม่ี นั มีมากข้ึน ให้
มนั ทกุ ขม์ ากข้ึน ท้งั หมดกค็ ือ คาวา่ เรามี อวชิ ชา ไม่ใช่เราไม่มี
ความรู้ อวิชชาไ ม่ไดแ้ ปลวา่ ความไมร่ ู้
อวิชชา คือ มคี วามรู้ผิด เรามีความรู้เยอะมาก แต่ความรู้
น้นั มนั ผดิ ความรู้ใด ทมี่ นั แฝงดว้ ย โลภ โกรธ หลง ที่มนั ทาให้
เราทุกข์ ถือวา่ เป็น อวชิ ชาท้งั สิ้น ทาร์ซานมนั ไม่มีอวชิ ชา แต่
8
มนั ก็ไม่รู้วชิ ชาดว้ ย มนั ไม่รู้วิชชาพน้ ทุกข์ แตม่ นั ก็ไม่มี
อวชิ ชา มนั ไมม่ ีเหตุตอ้ งไปสร้างกรรม ทุกวนั น้ี เราสร้างกรรม
เพราะวา่ เรามีอวชิ ชา มีความรู้ผิด เรากเ็ พม่ิ มีความรู้ผดิ เรา
อยากไดโ้ น่น อยากไดน้ ่ี อยากเป็นโน่น อยากเป็นน่ี
ยส่ี ิบหา้ ปี อยทู่ ี่นี่ พอ่ ครู ไม่บงั อาจใชส้ มองโง่ๆ อายุ 65
ปี นี่ ไปสอนคน สอนจิตนะ ไม่บงั อาจ จิตแต่ละดวง เคา้ อายุ
หลายลา้ นชาติ อยา่ บงั อาจไปสอนเคา้ เล้ียวซา้ ย เล้ียวขวา เป็น
หุ่นยนตก์ นั หมดเลย มนั ถึงไมไ่ ปไหน ไปสอนวชิ าโน่นวิ ชาน่ี
ไม่เคยสอน ใหเ้ คา้ ปฏบิ ตั ิธรรม ไมเ่ คยสอน ใหเ้ คา้ เจริญมรรค
ไปเพิม่ วิชาความรู้ ไปเพิ่มเทคนิค
แมก้ ระทงั่ ฤาษดี ดั ตน ลทั ธิฤาษีอะไรๆ น่ี เคา้ เอาเป็นเอา
ตายนะ เคา้ ถวายชีวิต แต่บงั เอิญ เคา้ ไปติดท่ีกายภาพ รักษาตน
อยตู่ รงน้นั รักษามนั อยนู่ นั่ รักษา มนั ก็ไดส้ มถะกรรมฐาน ได้
สมาธิเบ้ืองตน้ มนั ไม่เกิดวิปัสสนา พระพทุ ธเจา้ ยคุ พระพุทธ
องคเ์ จา้ ชายสิทธตั ถะ พระองค์ หลงั จากไปเห็นแลว้ วา่ มนั ติด
บว่ ง พระองค์ เป็นจิตดวงแรก ที่ในยคุ น้นั ท่ีเขา้ ไปสู่วปิ ัสสนา
กเ็ ห็นวา่ ออ้ !! เราไปติดบ่วง
ธรรมะ คือ สจั ธรรม สัจธรรม คือความจริง การที่เอา
ความจริง มาสนทนากนั คือการแสดงธรรมอยา่ งนึง ธรรมะ
9
ไมใ่ ช่ภาษาบาลี ธรรมะไมใ่ ช่อยทู่ ี่อินเดีย หรือภูเขาหิมาลยั
เท่าน้นั เอง ธรรมะคือ ธรรมชาติ คือธรรมดา๊ ..ธรรมดา เรายก
เราก็หนกั เราวางเราก็เบา แนวที่เราทา มนั ไมม่ ีแนว ไม่มีแนว
ตายตวั วา่ ตอ้ ง 1-2-3-4-5
วิธีท่ีเราปฏิบตั ิ มนั ไม่มีวิธี คนเป็นร้อยคน เพลง
เหมือนกนั พ่อครูไปยนื ดู ไมเ่ หมือนกนั สกั คน นี่คือความจริง
น่ีคือธรรมะ นี่คือสัจธรรม นี่คือ ความจริงของจิต นานาจิตตงั
จิตแตล่ ะดวง ไมเ่ หมือนกนั จะใหม้ นั เป็นหุ่นยนต์
เหมือนกนั ไดอ้ ยา่ งไร ใหจ้ ิตแต่ละดวง เคา้ แสดงศกั ยภาพของ
เคา้ เอง แตล่ ะคนเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วย ดิน น้า ลม ไฟ ร่างกายมนั ไม่
เหมือนกนั จะไปฝึกทา่ เดียวกนั เอาแบบเดียวกนั มนั ก็เหมาะ
กบั นาย ก. อาจจะไมเ่ หมาะ กบั นาย ข.
แตถ่ า้ เราปลอ่ ยให้ จิตดาเนินเอง จิตของแต่ละคน เคา้ จะ
รู้เอง ร่างกายเรา เวลาไหนบกพร่อง บางทีเจบ็ ขาอยู่ มนั เหวย่ี ง
ท่ีมือ แต่ขาหายเจบ็ จิตมนั รู้วา่ ตน้ เหตุมนั คืออยตู่ รงน้ี แต่ถา้
เราไปสอนเคา้ ฝึกโยคะ ฝึกไทเก๊ก ฝึกอะไร ทลี ะทา่ ๆ มนั กม็ ี
ประโยชน์ระดบั นึง แต่บงั เอิญวา่ ไอท้ า่ ที่เราฝึกลมปราณ มนั
เล้ียวซา้ ย แต่ไอล้ มปราณขา้ งในเรา มนั กาลงั เล้ียวขวา มนั จะ
ชนกนั ..ระบมไปหมด แต่ถา้ เราทาใหจ้ ิต มนั ทาเองแลว้ มนั กร็ ู้
10
แลว้ วา่ ลมปราณมนั เล้ยี วซา้ ย มนั ก็ส่งเสริมใหเ้ ล้ียวซา้ ยแรงข้ึน
นี่คือตวั ปัญญา ไม่ใช่ตวั ความรู้
ความรู้มนั มีขอ้ จากดั ของมนั มนั มาจากเรากอ๊ ปป้ี เรา
จาเคา้ มา แต่ปัญญามนั เกิดข้ึนเอง ในเวลาน้นั ๆโดยที่ไม่ตอ้ งใช้
สมองโง่ๆเราไปส่ังเคา้ ตอ้ งเขา้ ใจนะ ฝึกอะไรก็ช่าง ปฏิบตั ิ
อะไรก็ช่าง ทาจิตใหเ้ ป็นกลาง ไม่ตอ้ งมีธง ไมต่ อ้ งเอากิเลส
ความเคยชินเรา เป็นตวั กาหนด
เปิ ดโอกาสให้ จิตเราอสิ ระ แลว้ เคา้ จะจดั การเอง ถา้ จิต
มนั ตอ้ งการ ทาร้ายร่างกายน้ี กใ็ หม้ นั ทาร้ายเถอะ เพราะบา้ น
หลงั น้ี ร่างกายน้ี คือบา้ นของเคา้ จิตเคา้ ตอ้ งอาศยั กายภาพน้ี
เป็นเคร่ืองมือ ในการเจริญมรรค เคา้ ไม่มีเหตุผล จะทาร้าย
ร่างกายน้ีแน่นอน
แต่ใจเราตา่ งหาก มนั หลอกเรามา ตลอดชีวติ ดีใจก็ลง
ใจ เสียใจก็ลงใจ พอใจกอ็ ยทู่ ี่ใจ ไมพ่ อใจอยทู่ ่ีไม่พอใจ พอ
เคา้ ด่าเรา มนั บอกเจบ็ ใจ..เจบ็ ใจมากๆ จนนอนไม่หลบั ไอจ้ ิต
มึงสง่ั ปากด่าออกไป คืนเลย ฉนั เสียเปรียบ เรากลวั มนั เจบ็ ใจ
เราเป็นคนมกั ง่าย เรากท็ าตามใจ..ด่าออกไปเลย พอด่าออกไป
ไอใ้ จมนั บอก..สะใจ มนั สะใจมากๆ เลย มนั ออกลกู มนั
ออกลูก เพราะเราเอาอาหาร ใหม้ นั กิน พอเคา้ ด่ามาคืน มนั
11
บอกวา่ เฮย้ ! แคด่ ่าไมพ่ อ ลูกมนั ไม่พอกิน มนั บอก..ตบมนั ไป
เลยๆ ไอจ้ ิตมึงบอกมอื ..ตบออกไปเลย เรากลวั มนั เจบ็ ใจไง
เรากลวั มนั เจบ็ ใจ..เรากท็ าตามใจ เรากต็ บออกไปเลย มนั บอก
มนั สะใจ ลูกมนั กส็ ะใจ ลกู มนั มีกาลงั มนั ก็ออกหลานออกมา
อีก พอเคา้ ตบออกมาคืน มนั บอกวา่ ตบไมพ่ อแลว้ หลานมนั
ไมพ่ อกิน
เรากก็ ลวั วา่ มนั เจบ็ ใจ เราเป็นคนมกั งา่ ย เราทาตามใจ
ตวั เอง เรากลวั มนั เจบ็ ใจ เราไม่มีขนั ติ เราไม่มีความอดทน
มนั บอกวา่ ตบไม่พอแลว้ ..ยงิ มนั เลย เอาปื นมายงิ มนั เลย..ติด
คุกเลย เราถกู ใจเรา มนั หลอกมาตลอดชีวิต ที่เรามาฝึกนี่
เพื่อใหจ้ ิตเรา มนั มีกาลงั กวา่ ใจ พอใจมนั ส่งั อะไร มนั จะไม่เชื่อ
มนั ไมท่ าตามใจอีกต่อไป มนั จะทาตามเหตุ และปัจจยั มนั จะ
ไม่โง่ ที่จะสร้างกรรมอีก
แลว้ เมือ่ ไหร่บรรลุ? เมื่อไหร่จะสาเร็จ? บางคนถาม
พ่อครู เมอื่ ไหร่ก็เมื่อน้นั อยา่ ถามหาเวลา อยา่ คา้ กาไรเกินควร
ทาอะไรก็ช่าง..ลงทุนก่ีวนั กี่ชว่ั โมง จะไดโ้ น่นไดน้ ่ี
พดู อยา่ งกบั นิพพานชง่ั กิโลขายได้ เอาเป็นวา่ ทาเพราะ
ทา ปฏิบตั ิ เพราะปฏิบตั ิ บางคนเร็ว บางคนชา้ อยา่ ไป
เปรียบเทียบกนั ไม่ใช่เร็วแลว้ ก็เก่ง ไมใ่ ช่ชา้ แลว้ ก็ไม่เก่ง..ไม่
12
เก่ียว ถา้ เร็วกด็ ี ชา้ ไม่ดีนี่ พระพุทธเจา้ น่ี สูเ้ ณรบณั ฑิตไม่ได้
ชาติสุดทา้ ย พระองคย์ งั ตอ้ งปฏิบตั ิ ทรมานสงั ขาร ทดลอง
ทดสอบ อยหู่ กพรรษา
เณรบณั ฑิตเจด็ ขวบ บวชแค่แปดวนั เป็นอรหนั ตแ์ ลว้
แซงหนา้ พระพุทธเจา้ ก็เก่งกวา่ พระพุทธเจา้ น่ะสิ..ไม่เกี่ยว
พาหิยะน่ี ฟังธรรมทีเดียวไมถ่ ึงสามนาที บรรลธุ รรมแลว้ กเ็ ก่ง
กวา่ พระพุทธเจา้ น่ะสิ..กไ็ มเ่ ก่ียวอีก คือ เราสร้างบารมีมา ไม่
เท่า ไมใ่ ช่บารมีนอ้ ยกวา่ คนพวกเหลา่ น้นั ไม่ใช่ นอ้ ยกวา่
นางวิสาขา ไม่ใช่นอ้ ยกวา่ เณรบณั ฑิต ไม่ใช่นอ้ ยกวา่ พาหิยะ
แต่พระองคต์ อ้ งเป็นเจา้ แห่งพทุ ธะ พระองคต์ อ้ งสะสาง
คดีความท้งั หมด และตอ้ งหยงั่ รู้ท้งั หมด พระอรหนั ตเจา้
ท้งั หลาย ส่ิงท่ีเหมือนกนั มีอยอู่ ยา่ งเดียวเทา่ น้นั ก็คือ พ้นทุกข์
ส่วนกิริยาบถ หรือหนา้ ที่ จริตของท่านบางที บางรูปก็เดินชา้
บางรูปก็เดินไว บางรูปก็ไม่สอนใคร บางรูปกพ็ ดู แรง พดู เบา
อนั น้นั เป็นเรื่องของอุปนิสยั แต่ส่ิงที่ทา่ น มีเหมือนกนั อยา่ ง
เดียวเทา่ น้นั คือ ทา่ นเหลา่ น้นั ..ไมท่ ุกข์ คือ พน้ ทุกขแ์ ลว้
เท่าน้นั เอง
อาจารยพ์ ทุ ธทาสบอกวา่ ...การศึกษาหมาหางดว้ น มนั
ไม่ครบองค์ มนั มีแตค่ วามรู้ ท่ีเรา ส่วนมากความรู้ ท่ีเราไป
13
เรียนกบั เคา้ เป็น นกั เลียนแบบ ไม่ใช่นกั เรียนรู้ ไปท่องจา
หมด แมก้ ระทงั่ ปริญญาเอก ทาวิทยานิพนธ์ ยงั ตอ้ งมีการ
อา้ งอิงขอ้ มลู ของคนอ่ืน ถา้ เอาขอ้ มูลตวั เอง ไปเขียนลงไปน่ี..
สอบตก เพราะมนั ไมม่ ีขอ้ อา้ งอิง มนั เป็นความรู้ของคนอืน่
ไม่ใช่ความรู้ เกิดจากเราเอง เราเป็นแคน่ กั เลียนแบบ ไมใ่ ช่นกั
เรียนรู้
อยา่ งมากท่ีสุด เราขยนั อา่ นหนงั สือ อา่ นเลม่ นึงไม่ตก
เลย สูงสุดกเ็ ก่ง เทา่ กบั เจา้ ของตารา สูงสุด ก็เป็นเทา่ แค่
ไอน์สไตน์ มนั ไม่มีการพฒั นา การศึกษาเรียนรู้ เราตอ้ งรู้ เรา
ตอ้ งพฒั นา เกง่ กวา่ ไอนส์ ไตน์ เก่งกวา่ สตีฟ จ๊อบ มนั ถงึ เป็น
การศึกษาเรียนรู้ แตต่ อนน้ี มนั เป็นแคก่ ารศึกษา เลียนแบบ ไป
ก๊อปป้ี ความรู้เคา้ เท่าน้นั เอง เราไมไ่ ดเ้ กง่ อะไร แตถ่ า้ เกิดเรา
ไม่ปฏิบตั ิธรรม เราไมม่ ีปัญญา เราจะไมก่ ลา้ คิดนอกกรอบ ที่
เคา้ บลอ็ กเราไว.้ ..นะ กล็ องพจิ ารณาดู
มีดดาบนี่มาจากไหนรู้ม้ยั ? โดยเฉพาะมีดดาบท่ีบางๆ
แต่ฟันเหลก็ ขาด มนั มาจากเหลก็ ที่เคา้ ทงิ้ ๆขวา้ งๆ แลว้ ก็ผา่ น
การหล่อหลอม โหดร้ายมาก เหมือนตอ้ งหลอม จากเหลก็ แขง็
ใหม้ นั เป็นเหลก็ เหลว เหมือนพวกเรา ถา้ ไมท่ นถูกหล่อหลอม
นงั่ นิดนึงเจบ็ ขา..กไู ปดีกวา่ เราจะไมม่ ีวนั กลายเป็นเหลก็ กลา้
14
จิตวญิ ญาณกเ็ หมือนกนั เราตอ้ งผา่ น การทดลอง
ทดสอบ พระพุทธเจา้ ถงึ ใหเ้ ครื่องมอื เรามา ตอ้ งขนั ติ ตอ้ ง
อดทน ตอ้ งมีวริ ิยะ ตอ้ งมีศรัทธา กบั ส่ิงที่เราทา อนั น้ีไมใ่ ช่...
ร้อนนกั ก็มกั อา้ งวา่ เยน็ นกั ก็มกั อา้ งวา่ แลว้ มนั จะไปไหน
เศษเหลก็ ที่มนั เกิด แปรรูปกลายเป็นมีด เป็นดาบ ที่มีประโยชน์
มนั ตอ้ ง ผา่ นความโหดร้าย ความร้อนจดั ๆ จนแปรรูป มนั
เปล่ียนรูปมนั จากของแขง็ จนกลายเป็นของเหลว
จิตวญิ ญาณเรากเ็ หมือนกนั ที่เราเรียกวา่ มโนธาตุ..ใจ
เรามนั เหมือนอะไรล่ะ... มโนธาตุมนั เหมอื นน้า เราเอาไปแช่
เยน็ มนั ก็เยน็ แต่จะพอเยน็ แลว้ เอามาเทใส่แกว้ มนั กก็ ลายเป็น
แกว้ เอาไปเทใส่กะละมงั ก็กลายเป็นกะละมงั มนั ยงั ไม่อยตู่ วั
มนั ยงั ไมต่ ้งั มน่ั แต่ถา้ เราเอาไปแช่แขง็ เห็นม้ยั ..จากของเหลว
กลายเป็นของแขง็ แลว้ ใส่ขนั มนั ก็ยงั เป็นกอ้ นสี่เหล่ียม
เหมือนเก่า ใส่แกว้ กเ็ หมือนเก่า ต้งั มนั่ ดงั่ ขนุ เขา
แตถ่ า้ เราเอาน้าแขง็ น้ี มาตม้ ตม้ จนมนั เดือด เดือดจน
กลายเป็นอากาศธาตุ เห็นม้ยั ..น่ีคือเหลก็ ไหล มนั สามารถหาย
ตวั ได้ แปรรูปได้ ใจมนุษยก์ ็เหมือนกนั ฝึกใหม้ นั เยน็ ก็เยน็ ใจ
ฝึกใหม้ นั ร้อน กร็ ้อนใจ แตเ่ ยน็ ใจ ร้อนใจ กย็ งั ไมม่ นั่ คง..นะ
ตอ้ งฝึกให้ มนั ต้งั มนั่ ดง่ั ขนุ เขา ใครกเ็ ปล่ียนเราไม่ได้ ต้งั มน่ั ดงั่
15
ขนุ เขาจริงๆก็คือ ไม่มีตวั ตนแลว้ ทกุ ดวงจิตทาได้ อยทู่ ่ีวา่ เรา
เอาจริงหรือเปล่า?
ทาไมเรียนหนงั สือ? ทาไมขยนั หาเงิน? ทาไมทุ่มเท?
เครียดแคไ่ หนฉนั กเ็ อา อดหลบั อดนอน แคไ่ หนฉนั กส็ ู้ เพ่ือ
จะได้ มีฐานะมากข้ึน แต่พอมาปฏิบตั ิ เพอื่ พน้ ทกุ ขแ์ ลว้ ทาไม
เราไม่สู?้ นงั่ เจบ็ หน่อยนึง..ไปดีกวา่ ร้อนนิดนึง..เผน่ ดีกวา่
เหลก็ มนั เจอไฟหน่อยนึง..ไมเ่ อาแลว้ แลว้ มนั จะเปลี่ยนเป็น
มีดเป็นดาบไดย้ งั ไง?
16
ทมี่ า : เร่ือง นานาจติ ตงั
บรรยาย โดย พ่อครูบัญชา ต้ังวงษ์ไชย
ศูนย์พลาญข่อย 12 เมษายน 2557