1
สารบัญ 2
พทุ ธคุณมีจริงไหม 3
รักววั ใหผ้ กู รักลูกใหต้ ี 3
ใครบรรลธุ รรม 5
อารมณ์มีไวใ้ หเ้ ห็น ไม่ไดม้ ีไวใ้ หเ้ ป็น 7
ตายในกรรมฐาน 7
รับกรรมทางจิต 9
ทาลาย โดยไม่ทาลาย 10
ทางโลก ทางธรรม 12
คิดอกุศล 14
อวดรู้ กบั หลงรู้ 15
พูดโกหก 17
เราหลอกคนอื่นได้ เราหลอกจิตเราไม่ได้ 18
อโหสิกรรม 19
อะไรคือวาง อะไรคือวา่ ง 20
ตณั หา 24
เราทุกข์ เพราะเรามี 26
3
พุทธคณุ มีจริงไหม
ความรู้ในรูปของภาษา เราก็เอาภาษามาต้งั โจทย์ แลว้ ก็
มาถกกนั ว่ามีจริง หรือไม่มีจริง เรื่องของจิตวิญญาณ เร่ือง
ความศรัทธา เรื่องความเชื่อ บางทีพูดดว้ ยเหตุผลไม่ได้ แตถ่ า้
ถามพ่อครู ถา้ พุทธคุณในแง่เร่ืองไสยศาสตร์ เรื่องไปท่องบ่น
แลว้ ก็ขอนู่น ขอน่ี แบบน้ันพ่อครูจะไม่วิจารณ์ แต่สาหรับ
พ่อครูเอง โดยประสบการณ์ตัวเอง ตอบว่ามีจริงแน่นอน
โดยเฉพาะ พระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาคุณ ของ
พระพทุ ธองค์ ไม่อยา่ งน้นั พอ่ ครูไม่ไดม้ านงั่ อยทู่ ่ีน่ี
พุทธคุณ ถา้ แปลตรงตวั คือ คุณของพระพุทธเจา้ มี
แน่นอน และกท็ าใหพ้ ่อครูเปลี่ยนชีวติ ทาใหพ้ ่อครูเลิกนบั ถือ
พระพุทธเจา้ ทนั ที เพราะคาว่านับถือนี่หยาบไป บูชาถวาย
ชีวติ พระองค์
รักววั ให้ผกู รักลูกให้ตี
เลยี้ งลกู อย่างไรให้ถกู วิธี คาวา่ วธิ ี แต่ละชนเผา่ แต่ละ
เผา่ พนั ธุ์ แตล่ ะชนชาติ ก็มีอบุ ายวธิ ีต่างกนั มีวฒั นธรรม
ประเพณีไมเ่ หมือนกนั แตห่ ลกั ใหญ่ ๆ คนโบราณของไทย
4
บอกวา่ รักววั ใหผ้ กู รักลูกใหต้ ี คนโบราณเล้ยี งววั เคา้ กจ็ ูงววั
ไป แลว้ ก็ผกู ไวใ้ นจุดทีป่ ลอดภยั ท่ีมีหญา้ สมบูรณ์ เม่ือหญา้
หมด ก็ยา้ ยที่ใหม่ เคา้ ผกู ไว้ ไม่ใหว้ วั เดินไปตกหลม่ ตกเหว
ตกบ่อ ไมใ่ หบ้ กุ รุกทคี่ นอ่ืน เคา้ รักววั ของเคา้ แต่ปัจจุบนั น้ี
ปล่อยเลย เคา้ ไมร่ ักววั เล้ียงเพ่ือจะฆา่ เพ่อื จะขายเท่าน้นั เอง
ทีน้ีคาวา่ รักลูกใหต้ ี เราก็ไปเขา้ ใจวา่ เอาไมต้ ี ไป
ลงโทษเคา้ ไมใ่ ช่ไปตี ไปลงโทษแบบน้นั คาวา่ ตี คือ ตีกรอบ
ใหเ้ คา้ อยใู่ นทานองครองธรรม ท่ีปลอดภยั แตป่ ัจจุบนั น้ี เรา
รักลูก เราตอ้ งการใหล้ ูกเก่ง แลว้ ก็ตามใจลกู เพอ่ื ใหม้ นั เก่ง
เอาอะไรใหห้ มด นน่ั คือรักลูกไม่ถูกทาง เพราะยคุ น้ี พอ่ แม่ก็
ตอ้ งการเก่ง อยากชนะ ก็สอนใหล้ กู ตอ้ งเกง่ นน่ั แหละ รักลกู
ไม่ถกู ทาง ไมต่ ีกรอบใหเ้ คา้ ตามใจทุกเร่ือง เพียงแคต่ อ้ งการ
ใหเ้ คา้ เก่ง แลว้ ตอ้ งการเก่ง ก็ส่งไปเรียนไหนไมร่ ู้ แม่ก็คิดถึง
ลกู ลกู ก็คิดถงึ แม่ ต่างคนต่างทกุ ข์ เพอ่ื ความเก่งของลูก
ยุคน้ี เราอ้างสิทธิเสรี คาน้ีกิเลสชอบมาก ถ้าสิทธิ
เสรีภาพ มนั จะไดท้ าตามใจตวั เอง เขา้ ทางกิเลส คนที่เคา้ ใช้
ไอเดียความคิดน้ี เคา้ ไม่ไดห้ ่วงเรา วา่ เราจะดี เราจะร้ายยงั ไง
เคา้ ใช้อุบายวิธี ทาให้เราทาลายวฒั นธรรมของเรา ทาลาย
กรอบ โดยทกุ คนอา้ งสิทธิเสรีภาพ ตอนน้ีเด็ก ๆ กข็ ยนั เขา้ ใจ
5
เรี ยกร้องสิ ทธิ แต่ลืมหน้าที่ของความเป็ นคนดี ของ
พุทธศาสนิกชนท่ีดี เป็นมนุษยโ์ ลกท่ีดี ลืมหน้าที่ มีทิฐิมานะ
อวดเก่ง สร้างกรรมตลอด ถา้ ในทางจิตวิญญาณ เราหลอก
คนอ่ืนได้ เราหลอกจิตเราไมไ่ ด้ มนั อนั ตราย
ใครบรรลธุ รรม
ถ้าไม่บวช จะสามารถบรรลธุ รรมได้ไหม
หนา้ ที่นกั บวช คือ บาเพญ็ เพยี ร เพ่ือบรรลุธรรม เราก็
ไดเ้ ปรียบอาชีพอื่น แตถ่ า้ เราไม่บวช เราไม่ทางาน ไมท่ าอะไร
คนเคา้ ก็ด่าเราอีก แต่ถา้ บวช เคา้ กร็ ู้วา่ หนา้ ท่ีนกั บวช คือ ศึกษา
ธรรม ประพฤติธรรม โอกาสที่บาเพญ็ เพียร หรือปฏิบตั ิธรรม
ก็ง่ายกวา่ คาวา่ บรรลธุ รรม ถา้ ไมบ่ วชจะสามารถบรรลุธรรม
ไดไ้ หม ใครบรรลธุ รรม อะไรเป็นตวั บรรลุ เป็นเร่ืองของจิต
มนั ไม่เก่ียวกบั เครื่องแตง่ กาย หรือทรงผม หรืออาชีพ
จิตหลุดพน้ ดวงตาเห็นธรรม จิตเป็นตวั บรรลุธรรม แต่
บังเอิญว่า อาชีพนักบวช โดยเฉพาะในพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าต้ังพุทธบริษัท๔ ข้ึนมา เพ่ือทาหน้าท่ีต่างกัน
นักบวช ไม่ว่าภิกษุ ภิกษุณี สามเณร หรือว่าแม่ชี มีหน้าท่ี
6
ศึกษาธรรม ไม่ตอ้ งกงั วล เร่ืองทามาหากิน ส่วนพวกเรา
ผูค้ รองเรือน อุบาสก อุบาสิกา ต้องทามาหากินเล้ียงชีพ
เล้ียงครอบครัว แลว้ ก็เอาเวลาว่าง ไปเล้ียงพระเล้ียงนักบวช
เพือ่ ตวั เองจะได้ ปฏิบตั ิธรรมเหมือนกนั
ปฏิบตั ิ คือ การใหท้ าน ปฏิบตั ิธรรมไมใ่ ช่ไปนง่ั สมาธิ
เจริญสติ หลบั หูหลบั ตาอยา่ งเดียว อนั น้นั ไมเ่ รียกวา่ ปฏิบตั ิ
ธรรม เรียกวา่ ไปฝึกสมาธิ ฝึกสติ ปฏิบตั ิธรรม คือ ทาน ศลี
ภาวนา การใหท้ าน เป็นการปฏิบตั ิธรรม ผคู้ รองเรือนเรา
พระพุทธเจา้ ก็ใหถ้ ือศลี ๕ ส่วนนกั บวช เป็นอาชีพที่ไมต่ อ้ ง
ทามาหากิน ตอ้ งมีศีลมากข้ึนหน่อยนึง พระภกิ ษศุ ีล๒๒๗ ขอ้
บงั เอิญสงั คมไทยยงั ไม่ยอมรับภิกษุณี แตส่ าหรับพอ่ ครู
แลว้ พอ่ ครูไมไ่ ดใ้ หค้ วามสาคญั เร่ืองน้ี อนั น้นั เป็นแค่ช่ือ
สมมติ ขอใหเ้ รารู้วา่ เราเป็นนกั บวช ตอ้ งทาอะไร พิเศษกวา่
ผคู้ รองเรือน ตอ้ งโกนผม โกนคิ้วดว้ ย แตง่ ชุดเส้ือผา้ ง่าย ๆ
ไมก่ ินอาหารม้อื เยน็ ถา้ เราไม่มีอะไรพเิ ศษ เคา้ จะมาเล้ียงมา
ทาบญุ กบั เราทาไม อนั น้ีเป็นอุบายวิธีที่แยบยล ศาสนาดาเนิน
มาไดท้ ุกวนั น้ี เพราะพทุ ธบริษทั ๔ ทกุ คนทาหนา้ ที่ ที่ตา่ งกนั
คาถาม ถา้ ไมบ่ วชจะสามารถบรรลธุ รรมไดไ้ หม ตอบวา่ ได้
7
อารมณ์มไี ว้ให้เห็น ไม่มไี ว้ให้เป็น
เรื่องการชดใช้กรรมในกรรมฐาน ถ้าในช่วงเวลาปฏิบตั ิ จิตสั่ง
ให้เอาหัวโขกเสา หรือต้องตลี งั กาเอาหัวปักพืน้ ซึ่งมโี อกาส
คอหักได้ เราควรทาหรือยบั ยง้ั ไม่ทา
โดยสัญชาตญาณ เดก็ ๆ มนั กไ็ มท่ า คนขาดสติเท่าน้นั
ถึงจะทา ท่ีวา่ ตามจิต ไมต่ ามใจ ตามจิต รู้เทา่ ทนั จิต แตไ่ ม่ใช่
เชื่อจิตทกุ เร่ือง ถา้ อารมณ์มนั อยากชนเสา เราไปเป็นมนั เราก็
ไปชนเสา กค็ อหกั อารมณ์มีไวใ้ หเ้ ห็น ไม่ไดม้ ีไวใ้ หเ้ ป็น
ยอมตายในกรรมฐาน คืออะไร
มนั เป็นอารมณ์วา่ มนั จะตายแลว้ เราก็เห็นวา่ มนั ตาย
ไม่ไดไ้ ปหยดุ ย้งั มนั ไม่ตอ้ งไปหยดุ ย้งั มนั อารมณ์ตายมีไวใ้ ห้
เห็น ไม่มีไวใ้ หเ้ ป็น เราก็ดู เรากร็ ู้วา่ อารมณ์ตายมนั เป็นยงั ไง
เห็นอารมณน์ ้นั ชดั เจน แตถ่ า้ เกิดวา่ เราไปเป็นมนั เราก็กลวั ตาย
จริง ๆ พอเราหยดุ มนั ก็จะหลุดจากกรรมฐาน คาวา่ ตอ้ งตาย
ในกรรมฐาน คือวา่ มนั อยากตาย ก็ตายสิ มนั เอาความตายมา
หลอกเรา วา่ เรายอมไหม ถา้ เรากลวั ตาย เราก็โดนหลอก
8
เราเห็นนิมิตตา่ ง ๆ เห็นอะไรต่าง ๆ เราเห็นจริง แต่ส่ิงท่ี
เราเห็นมนั ไมจ่ ริง เป็นอุปทานของจิต เคา้ สร้างอารมณ์ สร้าง
นิมิตน้นั มาสอบเราวา่ เราทนั ไหม ถา้ เราจาคาวา่ เหวีย่ งทงิ้
หรือวา่ สกั แตว่ า่ รู้ สกั แต่วา่ เห็น อะไรกห็ ลอกเราไม่ได้ แต่
บงั เอิญวา่ จิตปัจจุบนั เรามีกิเลส ความอยากรู้ อยากเห็น เห็นก็
อะไรนะ กไ็ ปเป็นมนั ไปวจิ ยั มนั ก็ถกู มนั ดึงเขา้ ไป
ต้องทาทุกอย่างท่ีจิตส่ัง แม้จะตายกต็ ้องยอม หรือเปล่า
มนั ไมใ่ ช่ตาย มนั เป็นอารมณ์ ที่มนั กาลงั จะตาย เป็นแค่
อารมณ์เฉย ๆ ไมใ่ ช่มนั บอกวา่ เราโดดหนา้ ผาตายเลย อยา่ งน้ี
เราก็ตอ้ งตายตามมนั เดก็ มนั กไ็ มท่ า มีคนโง่เทา่ น้นั จะทา
เพราะเคา้ คงไม่เอาถึงตาย แตอ่ าจบาดเจบ็ สาหสั เนื่องจาก
กรรมท่ีตอ้ งมาชดใช้ เราเขา้ ใจผิด ไม่ตอ้ งแบบน้นั รับกรรม
ทางจิต รับกรรมจากความรู้สึกเฉย ๆ ไมใ่ ช่มนั บอก ตีฝาชกฝา
แลว้ เรากไ็ ปชกตามมนั คนโงถ่ ึงจะทา แตเ่ รารู้สึกวา่ มนั ทุกข์
มนั เจบ็ ปวด มนั โกรธ อารมณ์โกรธ ก็เป็นการสะทอ้ นออก ถงึ
การกาลงั จ่ายหน้ีกรรมอยู่ เรามีหนา้ ที่รู้เท่าทนั มนั เทา่ น้นั เอง
9
รับกรรมทางจิต
ถ้าไม่ยอมทา หรือไม่ชดใช้กรรมในเวลาปฏิบัติแล้ว เมื่อออก
จากกรรมฐาน จะต้องถูกชดใช้ กรรมท่ีหนักกว่า ในเวลาท่ี
ปฏิบัติอย่ใู นกรรมฐาน จริงหรือไม่
เวลาไม่อยู่กรรมฐาน เราจ่ายดอกเบ้ีย แต่อยู่ใน
กรรมฐานจ่ายเงินตน้ ดว้ ย รับกรรมทางจิต คือรับดว้ ยอารมณ์
รู้สึกทุกข์ เราเสพอารมณ์น้นั รู้สึกทุกข์ แต่ไม่ใช่วา่ มาทาร้าย
ร่างกายเรา ให้มนั เกิดความทุกขจ์ ริง ๆ กายในกาย เวทนาใน
เวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อารมณ์มีอยสู่ องส่วน
ส่วนอยขู่ า้ งนอก เรียกว่า เวทนาในเวทนา ส่วนที่อยใู่ น
จิตใต้สานึก เรียกว่า ธรรมในธรรม คือ ธรรมารมณ์ เป็ น
อารมณ์ในอดีต อารมณ์มีสองอยา่ ง คือ ขา้ งนอก กบั ขา้ งใน จะ
ขา้ งนอกขา้ งในกช็ ่าง รู้เทา่ ทนั มนั รู้เฉย ๆ ที่เรารู้นี่ เหมือนเรา
ยอมรับมนั แต่ไม่จานน ไม่ไปใหน้ ยั ยะ ไม่ไปใหค้ วามสาคญั
รู้เฉย ๆ
10
ทาลาย โดยไม่ทาลาย
การที่เราเข้าไปเห็นว่า ตวั นแี้ หละท่ีทาให้เราสุข และเราทุกข์
เราจะทาลายตวั ไหน ผ้เู ห็น หรือผ้ถู กู เห็น และเราจะทาลายเค้า
ได้โดยวิธีใด แบบไหน
ทาลาย โดยไมท่ าลาย โดยไม่ตอ้ งทาอะไรเลย รู้เฉย ๆ
เราติดนิสัยวา่ มีอะไรท่ีเราไม่ชอบ ฉนั จะจดั การมนั อะไรที่
ชอบ ฉนั จะกอดมนั ไว้ นี่คือกิเลสเรา มนั สุขเพราะอยา่ งน้ี
เพราะมนั สมหวงั มนั ทกุ ข์ เพราะมนั ผดิ หวงั ผิดหวงั กช็ ่าง
สมหวงั ก็ช่าง รู้เฉย ๆ วธิ ีทาลาย คือ รู้เฉย ๆ อยา่ ใหอ้ ารมณ์น้นั
มนั ครอบงาเราได้ อารมณ์มีไวใ้ หเ้ ห็น ไม่มีไวใ้ หเ้ ป็น ไมต่ อ้ ง
ทาอะไรเลย เราคุน้ เคยกบั วา่ ตอ้ งมีการกระทา แมก้ ระทงั่ คาวา่
เหว่ียงทิ้ง เราก็เขา้ ใจวา่ เหวี่ยงมนั ทงิ้ อารมณ์ไมด่ ี กเู หว่ยี งมนั
ทิ้ง ไม่ใช่ เหว่ยี งอารมณ์น้นั ทิ้ง
เหวย่ี งทิง้ มนั เตือนเราวา่ เหวย่ี งความยดึ มน่ั ถือมนั่ ท่ีเรา
จะไปหลงมนั ทิง้ คือเตอื นสติเรา อยา่ ไปติดมนั รู้เฉย ๆ นนั่ คือ
ตวั ปัญญา แต่ทีน้ีเราไมร่ ู้เฉยๆ เพราะกิเลสมนั อยากรู้ มีกนั ทุก
คน เห็นกเ็ อามาคิด เอะ๊ ..ทาไมเป็นอยา่ งน้นั ทาไมเป็นอยา่ งน้ี
เราไม่เฉย เรามีการสร้างมโนกรรม ปรุงแตง่ ข้ึนมา แลว้ เราจะ
ไดค้ าตอบท่ีไม่แทจ้ ริง คาตอบเกิดจากจิต ซ่ึงมีกิเลสปรุงแตง่
11
แคร่ ู้เฉย ๆ รู้บอ่ ย ๆ มนั กเ็ ห็นความเกิดดบั อารมณ์สุข
มนั กเ็ กิด แลว้ ก็ดบั อารมณ์ทุกข์ มนั ก็เกิดมนั ก็ดบั นนั่ แหละ
ปัญญาเกิดแลว้ ปัญญาเห็นเกิดดบั ปัญญาเห็นวา่ สุขก็ไมใ่ ช่
สุขก็เป็นอนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา สุขก็ไม่เที่ยง ทกุ ขก์ ็ไมเ่ ที่ยง
เราเขา้ ไปสมั ผสั บ่อย ๆ
ถา้ เราใชค้ าวา่ เห็น เราก็คุน้ เคย จะไปนงั่ เพ่งดูมนั มีการ
เพ่งดูเกิดข้ึนแลว้ มีการกระทาโดยการเพ่งดู เพราะอยากเห็น
วิปัสสนาจะไม่เกิด รู้เฉย ๆ รู้โดยการเห็นเป็นนิมิต รู้โดยการ
สัมผสั ก็ช่าง รู้เฉย ๆ คือ สิ่งท่ีเราตอ้ งทาอย่างเดียวเท่าน้ัน ทา
โดยรู้เฉย ๆ ไมม่ ีการกระทาเกิดข้ึน จิตมนั เป็นตวั รู้อยแู่ ลว้ ไม่
ต้องมีการกระทา ว่าต้องต้ังใจไปรู้ ถ้าต้ังใจไปรู้ ก็มีการ
กระทาเกิดข้ึน วิปัสสนาจะไม่เกิด มนั จะกลายเป็ นวิปัสสนึก
มนั นึกเอา
12
ทางโลก ทางธรรม
จะดาเนินชีวิตอย่างไร ให้อย่ใู นทางสายกลาง ระหว่างทางโลก
และทางธรรม คือจะใช้ชีวิตทางโลกแบบไม่หลดุ จากมรรคจิต
ไม่ตอ้ งไปแยกโลก แยกธรรม เรากอ็ ยบู่ นโลก ตอนน้ี
เราก็นงั่ อยบู่ นผิวโลก เราหนีไปป่ าไหน กอ็ ยบู่ นโลก กิเลสมนั
พยายามจะแยกวา่ นี่คือ ทางโลก ทางธรรม ทางโลกตอ้ งมีลาภ
ยศสรรเสริญ กิเลสมนั บอกอยา่ มายงุ่ เธอทางธรรมเธอก็เดิน
ของฉนั อยทู่ างโลก มนั เป็นคาพดู เป็นความเขา้ ใจของกิเลส
มนั หลอกเรา ถามวา่ ทางโลกท่ีเราหมายถึง ตอ้ งตายไหม ตาย
ตายคือ ธรรมะอยา่ งยงิ่
โลกยคุ น้ี ตอ้ งกด ๆ ๆ เดินไปไหนก็พูดอยคู่ นเดียว พดู
โทรศพั ท์ ทางโลกตอนน้ี เป็นอยา่ งน้ีแลว้ เม่ือหา้ สิบปี ก่อน
ทาไมไมเ่ ป็นแบบน้ี คนหา้ สิบปี ก่อน เคา้ กอ็ ยกู่ บั โลก ตอนน้ี
เป็นโลกปรุงแตง่ โลกสมมติ มนั ไมใ่ ช่ความจริง
ทางโลก ทางธรรม ก็ทางเดียวกนั คือตายเหมือนกนั ไม่
ตอ้ งแยก แตว่ า่ เรามีอาชีพที่ต่างกนั เราก็ ถา้ อยใู่ นมรรคจิต
ขบั รถ กอ็ ยกู่ บั การขบั รถ กินขา้ ว ก็อยกู่ บั การกินขา้ ว อาบน้าก็
อยกู่ บั การอาบน้า อยปู่ ัจจุบนั ตลอด นน่ั คือมรรค ไม่ใช่มาอยู่
แค่ศาลาน้ี ไม่ใช่ นนั่ แหละ เราอยใู่ นมรรคในทาง คืออยู่
13
ปัจจุบนั ไมห่ ลดุ จากมรรค ไม่ใช่วา่ ขบั รถดว้ ย ฟังโทรศพั ท์
ดว้ ย คิดดว้ ย พดู ดว้ ย อนั น้นั ไมใ่ ช่มรรค อนั น้นั คือ มกั มาก
ทีเดียวอยากทาหลายเร่ือง เพราะความอยาก
มรรค คือ ทางเดินมงุ่ สู่การพน้ ทุกข์ ก็คืออยา่ งเดียว
อยา่ งเดียวเท่าน้นั คือมรรค แตถ่ า้ ในขณะเดียวกนั ทาหลายอยา่ ง
อนั น้นั ไมใ่ ช่มรรค ตอ้ งเขา้ ใจ มรรค อยา่ ไปคิดวา่ ตอ้ งปลีกตวั
ออกมา ปฏิบตั ิธรรมตอ้ งไปนง่ั เฉย ๆ อยใู่ นป่ าคนเดียว อนั น้นั
ไม่ใช่ปฏิบตั ิธรรม อนั น้นั ก็เป็นอริยบท ถา้ เราไปนง่ั ในป่ า
เฉย ๆ เรากอ็ ยกู่ บั ที่เรานงั่ ไม่ตอ้ งคิด พอไปนง่ั ในป่ าหลบั ตา
คิดถึงนาย ก คิดถึงนาย ข ไปกรุงเทพ ไปลอนดอน ไปอะไร
อนั น้นั ไม่ไดอ้ ยคู่ นเดียว อยกู่ บั หลายร้อยคนเลย เราหลอกคน
อื่นได้ เราหลอกจิตเราไม่ได้ นน่ั เป็นแค่รูปแบบ มนั อยทู่ ่ี
ความรู้สึกของจิต
14
ถ้ารู้ตัวว่าชอบ คิดอกศุ ลอย่บู ่อย ๆ ควรแก้ไขอย่างไร ในเม่ือ
มนั คิดไปแล้ว
กร็ ู้แลว้ วา่ คิดอกศุ ล กอ็ ยา่ คิดสิ งา่ ย ๆ กค็ ืออยา่ คิด จบ
บางคนถามวา่ พ่อครูอยากจะเลิกเหลา้ ทายงั ไง อยากเลิกเหลา้ ก็
หุบปาก อยากเลิกบหุ ร่ีทายงั ไง กอ็ า้ ปาก มนั ง่าย ๆ คิดอกศุ ลก็
รู้อยแู่ ลว้ กอ็ ยา่ ไปคิด ไม่มีใครบงั คบั ใหเ้ ราคิด แตเ่ ราสู้กิเลส
ไมไ่ ด้ ปัญหาคือวา่ กิเลส ความเคยชินเรามนั ชอบ คิดแต่เร่ือง
ไมด่ ี นง่ั อยเู่ ฉย ๆ ก็หาเรื่องคิด เกลียดมนั อิจฉามนั แลว้ ตวั เอง
กท็ ุกขอ์ ยู่ บางคนคิดยงั ไม่รู้วา่ เป็นเรื่องอกุศล มนั คิดตามกิเลส
มนั ไมร่ ู้เลย เม่ือเรารู้แลว้ เรากอ็ ยา่ คิดเทา่ น้นั เอง กแ็ คน่ ้นั
แมก้ ระทงั่ เวลา เราเตน้ เรารา เราหมุนเร็ว ๆ มนั กย็ งั
ไม่เลิกคิด ก็อยา่ ไปคิดตามมนั ไมใ่ ช่หนา้ ท่ีเรา หนา้ ท่ีเราหมนุ ก็
หมนุ หนา้ ท่ีเราเตน้ ก็เตน้ หนา้ ท่ีเราราก็รา มนั คิด มนั กค็ ิดไป
กิเลสมนั คิดไปเลย บอกมึงอยา่ หยดุ นะ เด๋ียวมนั กเ็ ม่ือย ถา้ มนั
หลอกเรา คิดตามมนั ไม่ได้ มนั ก็หยดุ เอง แต่บงั เอิญวา่ จิต
ปัจจุบนั เรา ชอบคิดอยแู่ ลว้ กิเลสเจอกิเลส อะไรมนั จะเกิดข้ึน
มนั ก็สนุก รู้แลว้ วา่ เราคิดอกศุ ล กไ็ ม่ตอ้ งคิด มนั เผลอคิดอีก
รู้เท่าทนั กอ็ ยา่ ไปคิด อยา่ ไปเชื่อมตอ่ ความคดิ น้นั สกั แตว่ า่ รู้
สกั แตว่ า่ เห็น คาวา่ สกั แตว่ า่ ใชไ้ ดต้ ลอด
15
อวดรู้ กบั หลงในความรู้ แตกต่างกันอย่างไร
ก็ไมต่ อ้ งอวด อวดรู้เป็นคาพูดท่ีวา่ ไม่รู้จริง แลว้ กจ็ าอวด
พูดในส่ิงท่ี เราไม่รู้จริง เรียกวา่ อวดรู้ แต่การหลงรู้ เราเขา้ ใจวา่
เรารู้แลว้ เราก็หลงในความรู้เรา ยกตวั อย่างว่า ตอนน้ีความรู้
สูงสุดเราเรียกว่า จบปริญญาเอก เคา้ ก็ให้ข้ึนช่ือนาหน้า ว่า
เป็ นด็อกเตอร์ เราเรียนเกือบตาย เพื่อต้องการช่ือตรงน้ี
ตาแหน่งหน้าที่ในหน่วยราชการ ก็เหมือนกนั เราจะตอ้ งมี
ข้นั น้นั ข้นั น้ี เราทาทุกอยา่ ง เพ่ือเราจะไดม้ ีช่ือพิเศษกว่าคนอื่น
เพราะมนั เป็ นมาตรวดั ว่า เรามีความรู้มากกว่าคนอื่น อนั น้ัน
เรียกวา่ หลงรู้
แลว้ เราจะแยกไดอ้ ยา่ งไรวา่ มนั หลงรู้ หรือมนั รู้จริง ๆ
ถา้ ความรู้ใด ท่ีทาใหเ้ ราสร้างกรรม ความรู้ใด ท่ีทาใหเ้ ราทกุ ข์
มนั คือความรู้ผดิ ท้งั สิ้น จบดอ็ กเตอร์คุยกนั ไม่รู้เรื่อง พิสูจน์
เลยวา่ ความรู้ที่เคา้ รู้ท้งั หมด ไมใ่ ช่ของจริง เป็นความรู้ผดิ เคา้
หลงวา่ เคา้ รู้ บงั เอิญสิ่งท่ีเคา้ รู้นนั่ มนั รู้ผดิ มนั ถึงไดท้ ะเลาะกนั
ถา้ เป็นความรู้ที่ถกู ตอ้ ง มนั จะไปทะเลาะกนั ทาไม
ชาวนารู้นิสัยควาย เคา้ เล้ียงมาต้งั แต่เดก็ เคา้ กจ็ ูงมนั มา
ควายกร็ ู้นิสยั ชาวนา มนั กร็ ู้ โดยไมต่ อ้ งไปบอก ฉนั รักเธอ ไม่
ตอ้ งบอก ตน่ื เชา้ มา มนั กเ็ ห็นเราจูง พามนั ไปกินหญา้ มนั ก็ดีใจ
16
มนั รู้แบบน้นั ก็เลยไมต่ อ้ งคุยกนั มาก พอชาวนา พามนั ไถนา
ก็ไถเลย เพราะมนั รักเรา เห็นไหม อนั น้นั คือ ตวั ปัญญา เป็น
ความรู้ท่ีถูกตอ้ ง ไมต่ อ้ งผา่ นภาษา ตอนน้ีภาษา บง่ บอกนิสัย
จบภาษาเจด็ แปดภาษา คุยจอ้ ไปทว่ั โลกได้ แตค่ ุยกบั ลกู เมีย
ไมร่ ู้เรื่อง คุยไม่รู้ภาษา ภาษาองั กฤษบอก something wrong
ความรู้น้นั มีอะไรผดิ ปกติแน่ ๆ ถา้ เป็นความรู้จริง ก็คุณเก่ง
ภาษา แลว้ ทาไมคุยกนั ไมร่ ู้ภาษา ส่วนมากเป็นความรู้ผิด
เรียกวา่ อวชิ ชา
ควรปฏิบตั ิตวั อย่างไร ไม่ให้เข้าข่ายอวดรู้ หรือ หลงใน
ความรู้ ฝืนกิเลส คนอวดรู้กเ็ ป็นกิเลส เคา้ ชอบอวดรู้ ไม่รู้
อะไร ขอใหข้ ้ีคุยไวก้ ่อน นี่คือกิเลส ถา้ เราฝึกจิตแลว้ เรามีสติ
เราก็รู้เท่าทนั กิเลส กอ็ ยา่ ไปทาตามมนั ความคิด กเ็ ป็นกิเลส
มนั คิดตามกิเลส ไม่ตอ้ งทาอะไรเลย รู้เฉย ๆ วา่ มนั กาลงั คิด
อยา่ ไปคิดตามมนั ถา้ ไม่คิดตาม ความคิดมนั กด็ บั เหมือนกนั
ท่ีเราเหวย่ี งทิง้ ๆ ทุกวนั น้ี ท่ีเรารู้ สกั แต่วา่ รู้ สกั แต่วา่ เห็น
เอาไปใชไ้ ดท้ ้งั หมดเลย ใชเ้ พอ่ื รู้เทา่ ทนั กิเลสเรา
17
คนที่พูดโกหกจนเป็นนิสัย จะได้รับผลกรรมอย่างไร
ต้งั แตเ่ ดก็ ๆ เรากเ็ รียนแลว้ เร่ืองเดก็ เล้ียงแกะ เราโกหก
บ่อย ๆ ตอ่ ไปเราพูดความจริง คนอืน่ เคา้ กไ็ ม่เชื่อเรา ผลกค็ ือ
อยา่ งน้นั คุณทาอยา่ งไร คุณก็เป็นอยา่ งน้นั คุณหลอกเคา้ ได้
คร้ังสองคร้ัง พอคุณหลอกต่อ เคา้ ก็ไม่เชื่อคุณแลว้ ท้งั ท่ีคุณพดู
ความจริง ตอนน้นั ก็ไม่มีใครเช่ือ น่ีคือผลกรรม ผลของการ
สร้างวจีกรรม โดยการโกหก กรณีท่ีมีเจตนาไมด่ ี เพอ่ื หวงั
ผลประโยชน์ หรือเอาความดีใส่ตวั และในกรณีที่พดู เลน่ ๆ
ใหต้ ลกไปวนั ๆ พดู เสียดสี พดู ส่อเสียด ทางพุทธศาสนาให้
หลีกเลี่ยง พูดจริง ทาจริง ถา้ ทาไมไ่ ดอ้ ยา่ พดู พูดแตน่ อ้ ย เอา
คาพดู กลายเป็นเรื่องเล่น ๆ เพอื่ ความสนุกสนาน เป็นการ
สร้างวจีกรรม
18
เราหลอกคนอื่นได้ เราหลอกจิตเราไม่ได้
คนท่ีเข้ามาแทรกแซง ในสถานท่ีปฏิบัติธรรม เพ่ือหวัง
ผลประโยชน์อย่างอื่น นอกเหนือจากการปฏิบัติธรรม จะเป็ น
บาปไหม แล้วเค้าเหล่านนั้ จะได้รับผลกรรมอย่างไร
ตอนน้ี เรามีหลายอาชีพ ตารวจก็เป็นอาชีพนึง เป็น
ผรู้ ักษากฎหมาย มีท้งั ปื น มีท้งั กฎหมาย มีท้งั อานาจทุกอยา่ ง
เรากเ็ ป็นคนที่รู้กฎหมายที่สุด แตเ่ ราไปทาผดิ เอง กถ็ กู ลงโทษ
หลายตอ่ เช่นเดียวกนั เราข้ึนช่ือวา่ เราเป็นผปู้ ฏิบตั ิธรรม แต่
ไม่ใช่ปฏิบตั ิแคห่ นา้ ฉาก หลอกกนั เฉย ๆ แลว้ ลบั หลงั ไปทาใน
ส่ิงที่มนั ไมค่ วรทา เราหลอกคนอื่นได้ เราหลอกจิตเราไมไ่ ด้
อยา่ พงึ กระทา อยา่ วา่ แต่สถานธรรมเลย ไปสถานท่ีแห่งอื่น ๆ
ถา้ เรามีเจตนาไมด่ ี มีแตจ่ ะไปโกหกเคา้ ไปขโมยของเคา้ อะไร
พวกน้ี มนั ก็กรรม มนั ผดิ ศีล ศีลคือความปกติ แตถ่ า้ เราทา
พฤติกรรมเรา ไมป่ กติ ความไมป่ กติคือ ชอบเอาเปรียบเคา้
ชอบขโมยของเคา้ มนั ไม่ใช่ความปกติ ความปกติ คือ หิวกก็ ิน
ง่วงก็นอน น่ีคือความปกติ แต่ตอนน้ีชีวติ เราไมป่ กติ เพราะ
เรามีความอยาก เรากเ็ ลยทาอะไรท่ีผิดศีล อนั น้ี กเ็ ป็นกรรม
คนอื่นไม่รู้ จิตบนั ทึกไวเ้ รียบร้อยแลว้
19
อโหสิกรรม
ทาไมทุกครั้ง ท่ีเราเจอหน้าคนที่เราไม่ชอบมาก ๆ แล้วรู้สึกไม่
ชอบทกุ ครั้งเลย
ก็ใช่ คุณไม่ชอบ มนั กไ็ มช่ อบสิ เปลี่ยนอารมณ์ใหม้ นั
ชอบไดไ้ หม อนั น้ีคาถาม มีคาตอบอยใู่ นตวั แลว้ ก็เราหาเรื่อง
ไมช่ อบเคา้ เจอหนา้ กนั มนั จะชอบไดอ้ ยา่ งไร มนั ก็ไมช่ อบสิ
พ่อครูเคยบอก เราเกิดมาไมร่ ู้จกั นาย ก เจอหนา้ ถกู ชะตามาก
เจอนาย ข หมนั่ ไสม้ ากเลย มนั เป็นจิตบนั ทึก เป็นความ
พยาบาทตอ้ งแกโ้ ดยอโหสิกรรม พระพทุ ธเจา้ ลอ็ คไวห้ มดแลว้
ไมใ่ ช่พดู เล่ือนลอยเฉย ๆ มีทางแกห้ มด อภยั ทาน อโหสิกรรม
เปล่ียนจากกรรม กลายเป็นอโหสิกรรม ไม่อยา่ งน้นั เราก็จะ
แบกภเู ขาอยใู่ นอกไปตลอดเวลา
20
อะไรคือวาง อะไรคือว่าง
วาง คือ วอแหวน สระอา งองู
วา่ ง คือ วอแหวน สระอา งองู ไมเ้ อก
ตวั นึงมีไมเ้ อก ตวั นึงไม่มี ก็เห็นอยแู่ ลว้ วา่ มนั ต่างกนั
เรายก เราก็หนกั เราวาง เรากเ็ บา แตต่ วั น้ีมนั เป็นเร่ืองของวตั ถุ
เป็นความรู้สึกตอ่ น้าหนกั ของวตั ถนุ ้นั สุข ทกุ ข์ มนั เกิดท่ี
ความรู้สึกของอารมณ์ มนั ไม่ใช่ยกดู วา่ มนั หนกั หรือมนั เบา
บางคนหนกั เคา้ ชอบ ยกตวั อยา่ ง เคา้ ใหท้ องคากอ้ นนึง หนกั
ชอบไหม หนกั ไมก่ ลวั มีอีกไหม อนั น้นั หนกั เป็นน้าหนกั ของ
วตั ถุ พอเราวาง มนั ก็เป็นความเบา จากวตั ถนุ ้นั บงั เอิญเคา้ ไม่
พอใจ ถูกบงั คบั ใหว้ างทองคา มนั กลบั ทุกข์
แต่คาวา่ วาง ในท่ีน้ี เป็ นเร่ืองของจิตวิญญาณ เรื่องของ
อารมณ์ความรู้สึก วาง บางคนบอกว่า ยงั วางไม่ลง ลูกยงั เล็ก
ยงั เป็นหน้ีเป็นสิน วางไดอ้ ยา่ งไร วาง ไมไ่ ดแ้ ปลว่า ทิง้ ไมไ่ ด้
ทิ้ง ถา้ วางแปลว่าทิ้ง เราเป็ นหน้ีธนาคารร้อยลา้ น พนั ลา้ น
บอกธนาคาร ฉันวางแลว้ อยา่ มาทวง เงินทองก็สมมติ หน้ีสิน
ก็สมมติ ฉันวางแลว้ ถามว่าเคา้ ยอมม้ยั เป็ นหน้ีก็เป็ นหน้ี ที่
เราสร้างข้ึนมา เราจะไปทุกขก์ บั มนั วางความยึดมนั่ ถือมน่ั
วางความทุกข์
21
ถา้ เราไม่วาง เราก็ทกุ ข์ ทุกขจ์ นนอนไมห่ ลบั กบั สิ่งที่
เราไปสร้างมา เราไปสร้างหน้ีเอง กลบั กนั เราไม่มีหน้ี แต่เรามี
ลูกหน้ีเตม็ เลย เราเป็นเศรษฐีปล่อยกู้ พอเคา้ ไม่จ่าย ก็ทุกขอ์ ีก
เธอทาไมไมจ่ ่ายฉนั เธอโกงเงินฉนั ถา้ เราไมว่ าง เสียเงินไมพ่ อ
เสียใจดว้ ย นอนไมห่ ลบั ดว้ ย สุขภาพเสียดว้ ย เรียกวา่ โง่ซ้าซาก
ที่เราไม่วาง เพราะกิเลสไมย่ อมวาง มนั ยดึ มน่ั ถือมนั่
ถา้ เราวางได้ มนั ก็วา่ ง จิตมนั ก็วา่ ง วา่ งจากความกงั วล
ความห่วงใย ความทุกข์ วา่ ง คือผลของการวาง วางแลว้ กว็ า่ ง
พ่อครูก็พดู บ่อย ๆ ธรรมะคือหนา้ ท่ี หนา้ ท่ีคือธรรมะ การทา
หนา้ ที่ คือหนทางมงุ่ สู่การหลดุ พน้ หลุดพน้ จากบว่ งของ
กระแสกรรม ซ่ึงเป็นตน้ เหตุ ของความทุกขท์ ้งั ปวง วาง
ความยดึ มนั่ ถือมน่ั แลว้ เราจะวา่ ง จากสิ่งเหลา่ น้ี
วา่ ง คาวา่ วา่ งจากกระแสกรรม ไม่ใช่กรรมมนั หมด
เจา้ ชายสิทธตั ถะ ตรัสรู้ธรรม เป็นสัมมาสมั พทุ ธเจา้ พระองค์
บรรลุแลว้ จบแลว้ แตก่ รรมหมดไหม เทวทตั ยงั เล่นงาน
พระองคเ์ ลย พระองคไ์ ปเปล่ียนกรรมคนอื่นไมไ่ ด้ มนั บนั ทึก
อยใู่ นจิตเคา้ ก็ยงั มพี ยาบาท กระทบ แตไ่ ม่กระเทือน จิตเรา
ไมโ่ ง่ ที่จะไปทุกขก์ บั มนั เราแกต้ วั เองได้ เราแกค้ นอื่นไม่ได้
22
สัตวโ์ ลกยอ่ มเป็นไปตามกรรม ไมม่ ีใครช่วยใครได้ กรรมใคร
กรรมมนั บญุ ใครบญุ มนั
วาง จึงไม่แปลวา่ ทิง้ หนา้ ท่ี แต่วางความยดึ มน่ั ถือมนั่
ธรรมะคือหนา้ ท่ี หนา้ ท่ีคือธรรมะ การทาหนา้ ที่ คือการปฏิบตั ิ
ธรรม แตถ่ า้ เราไปหลงหนา้ ท่ีน้นั มนั จะพฒั นา จากหนา้ ท่ี
กลายเป็น ภาระหนา้ ที่ ตอนน้ีแบก
วาง คือวางภาระตรงน้นั สกั แตว่ า่ ทาหนา้ ท่ี ทาเพราะทา
มนั เป็นหนา้ ท่ี แตต่ อนน้ีทุกอาชีพ ทกุ หนา้ ท่ีที่เราทา ถูก
กระตนุ้ ใหก้ ลายเป็นภาระท้งั หมด เพราะเราตอ้ งแขง่ ขนั ดว้ ย
แค่พออยพู่ อกิน ไม่พอ ตอ้ งเกง่ กวา่ ตอ้ งชนะ ตอ้ งเจริญเติบโต
เราเขา้ ใจวา่ เจริญเติบโต แลว้ ค่อยมน่ั คง
เจริญ แปลวา่ มีมากข้ึน เติบโตแปลวา่ ยงิ่ ใหญข่ ้ึน ไม่ได้
แปลวา่ มน่ั คง เราเขา้ ใจภาษาผิด วา่ งไม่ไดแ้ ปลวา่ ไมม่ ี เราก็มี
ลูก มีบา้ น มีอะไรเหมือนเก่า แตว่ า่ งจาก ท่ีเราไปยดึ ติดเป็น
ของเรา มนั กม็ ีเหมือนเก่า แตไ่ ม่ไปหลงมนั คาวา่ อยกู่ บั ความ
วา่ ง ๆ คือไมม่ ีอะไรเลย ไม่ใช่นะ
พอ่ ครูยกตวั อยา่ ง วงกลมนึง เราแบง่ คร่ึง คร่ึงนึงมีทุก
อยา่ งเลย อีกคร่ึงนึง วา่ ง ไม่มีอะไรเลย เรายนื อยใู่ นส่วนท่ีมี
ทุกอยา่ ง แลว้ กม็ องไปฝั่งตรงขา้ ม เรารู้สึกวา่ เราไมม่ ีอะไรเลย
23
เราวา่ งเปล่า แตถ่ า้ เรายนื อยตู่ รงส่วน ที่มนั ไมม่ ีอะไรเลย เรา
มองไปอีกทางนึง ทุกอยา่ งเยอะแยะ มากมาย มนั เป็นแค่
อปุ ทาน แลว้ สุดทา้ ย เราจะรู้สึกยงั ไงก็ช่าง รู้สึกวา่ เรามี หรือไม่
มีกช็ ่าง พอเราตายแลว้ อะไรก็เอาไปไมไ่ ด้ มนั เป็นแค่
อุปทานของจิต
วา่ งจากความมี มีแตไ่ มต่ ิด วา่ งจากความอยาก วา่ งจาก
ความกลวั วา่ งจากสิ่งปรุงแตง่ วา่ งจากสมมติ วา่ งจากความ
เศร้า วา่ งจากความรู้สึกไม่อิสระ วา่ งจากความทกุ ข์ นี่คือ
ความวา่ ง ความสุขท่ีแทจ้ ริงคือความไม่มีทุกข์ ความไม่มีทุกข์
ที่แทจ้ ริง คือความอิสระ
อิสระคือความวา่ ง แตไ่ ม่วา่ งที่เราคิดเอาเอง มนั เป็นแค่
อปุ ทาน แต่ถา้ วา่ งจริง ๆ ใครเปล่ียนเรากไ็ ม่ได้ ใครเปล่ียนให้
มนั ไมว่ า่ ง กไ็ มไ่ ด้ ทกุ วนั น้ีเป็นวา่ ง วา่ งจากงาน ไม่ตอ้ งไป
ทางาน เราบอกเราวา่ ง อนั น้นั วา่ งจากงานเฉย ๆ แตจ่ ิตเรา
ไม่ไดว้ า่ ง ยงั หาวิธีวา่ วา่ ง จะไปทาอะไรอีก มนั ยงั ไม่วา่ งจริง
มนั ยงั หาเร่ือง
วาง กบั วา่ ง ก็จบอยทู่ ี่ตรงน้ี อิสรภาพดาเนินไป
พร้อมๆ กบั ความไม่แน่นอน ความเปล่ียนแปลง ความไม่
มนั่ คง ถา้ เราคิดวา่ เราจะใหช้ ีวติ เรามนั่ คง เราจะไม่มีวนั ไดร้ ับ
24
อิสรภาพ เราจะไปรักษามนั ไว้ ไม่ใหม้ นั เปลี่ยนแปลง เราไป
ฝืนความเป็นจริง ของธรรมชาติ เราจะไม่มวี นั มนั่ คงจริง ๆ
เราจะไม่มีวนั มีความรู้สึกอิสรภาพจริง ๆ อิสรภาพตอ้ งดาเนิน
ไปพร้อม ๆ กบั ความไม่แน่นอน ความเปล่ียนแปลง ความไม่
มน่ั คง ขอใหเ้ รารู้ ยอมรับมนั รู้เท่าทนั มนั นน่ั แหละ เราจะวา่ ง
จากความยดึ มน่ั ถือมน่ั
ตณั หา
พ่อครูยกตวั อยา่ งใหฟ้ ัง มีเด็กชายแดง เด็กชายดอน วง่ิ
ร้อยเมตรแขง่ กนั พอไปถึงหา้ สิบเมตร เดก็ ชายแดงหกลม้
ร้องไห้ แมก่ ว็ ่ิงมา รักลกู มาก ไม่ฟังอิโหน่อิเหน่ รู้แต่วา่ ลูก
ทุกข์ เพราะมนั ร้องไห้ แม่จะดบั ทกุ ขใ์ หล้ กู ลูกหยดุ ร้องไห้
เดี๋ยวน้ี แม่จะขาดใจตาย จะซ้ือขนมให้ ซ้ือจกั รยานให้ ให้
อามิสลกู เพราะวา่ แมท่ กุ ขก์ วา่ ลกู แมร่ ู้วา่ ลูกทกุ ข์ ถา้ ลูกหยดุ
ร้องไหแ้ ลว้ ลกู ก็ไม่ทกุ ข์
มีเด็กคนนึงวงิ่ มา คุณแม่ ตน้ เหตุท่ีเจา้ แดงมนั ร้องไห้
เพราะวา่ มนั ลม้ หวั เข่ามนั แตก อีกคนวง่ิ มา เธอไมเ่ ห็น ฉนั
เห็นชดั กวา่ เธอ ที่เจา้ แดงมนั ลม้ เพราะมนั ขดั ขาตวั เอง ไม่มี
25
ใครผลกั มนั เลย อีกคนนึงวิ่งมา น่ีฉนั เห็นมากกวา่ เธออีก ที่เจา้
แดงมนั ขดั ขาตวั เอง เพราะมนั ว่งิ ไวเกินไป คนสุดทา้ ยเป็น
เพื่อนสนิทเจา้ แดง พวกเธอเงียบ ๆ พวกเธอไมร่ ู้จริง ฉนั รู้จริง
ท่ีเจา้ แดงมนั วิ่งไว เพราะมนั อยากชนะ มนั จบท่ี ความอยาก
อา้ วมนั หายร้องไห้
พรุ่งน้ีมาโรงเรียน เพอ่ื นบอกมาวงิ่ ๆ กนั ใหมไ่ หม ไม่ กู
สู้มึงไมไ่ ด้ มาชกมวยดีกวา่ ชกไปชกมา เจา้ แดงก็โชคร้ายอีก
บงั เอิญโดนเคา้ นอ็ ค กร็ ้องไหอ้ ีก ที่มนั ทกุ ข์ เพราะมนั อยาก
ชนะ เพราะมนั มีความอยาก
เหตุ สาเหตุ ตน้ เหตุ พระพุทธเจา้ ก็ตรัสไวแ้ ลว้ วา่ ทกุ ข์
สมทุ ยั นิโรธ มรรค อะไรคือตวั ทกุ ข์ อะไรคือเหตแุ ห่งทกุ ข์
สมุทยั คือ ตวั เหตแุ ห่งทุกข์ คือตวั ตณั หา คือตวั อยาก ตวั อยาก
ท้งั น้นั
26
เราทกุ ข์ เพราะเรามี
มีนิทานธรรม เรื่องน้ีเกิดข้ึนสองพนั ห้าร้อยกวา่ ปี ก่อน
ในยคุ น้นั ท่านเล่าจื๊อ เป็นผทู้ ่ีมีช่ือเสียงมาก ท่านเป็นปราชญท์ ่ี
ฉลาดที่สุดในประเทศจีน จกั รพรรดิไดข้ อร้องท่าน ใหช้ ่วยรับ
หนา้ ท่ี เป็นหวั หนา้ ผพู้ ิพากษาศาลฎีกา เพราะเห็นวา่ ไมม่ ีใคร
จะสามารถนากฎหมาย มาบริหารประเทศ ได้ดีกว่าท่าน
ท่านเล่าจื๊อ พยายามอย่างยิ่ง ที่จะบอกกับองค์จักรพรรดิว่า
หม่อมฉัน ไม่ใช่ผูท้ ี่เหมาะสม แต่องคจ์ กั รพรรดิก็ยงั คงรบเร้า
แถมบงั คบั
จนในท่ีสุดทา่ นเล่าจื๊อ ตอ้ งพดู ข้ึนวา่ ถา้ พระองคไ์ ม่ยอม
เช่ือหม่อมฉนั ขอเวลาเพียงวนั เดียวเทา่ น้นั พระองคก์ จ็ ะเห็นวา่
หม่อมฉันน้ัน ไม่เหมาะสมที่จะทาหน้าที่น้ี ที่หม่อมฉันพูด
เช่นน้ี ก็เพราะว่าสิ่งท่ีผิด ก็คือ ตัวระบบ แต่เพ่ือเห็นแก่
พระองค์ หม่อมฉันจะไม่ขอขยายความในตอนน้ี พูดไดแ้ ต่
เพียงว่า หลกั การของหม่อมฉันน้ัน ตรงกนั ขา้ มกบั หลกั ของ
กฏหมาย กฎระเบียบ และระบบทางสงั คม โดยสิ้นเชิง
ในวนั แรก ของการรับหน้าที่ มีการนาโจรที่ไดข้ โมย
ทรัพยส์ มบตั ิจานวนมาก จากเศรษฐีผูท้ ี่ร่ารวยที่สุด ในเมือง
หลวง มาข้ึนศาล หลังจากท่านเล่าจ๊ือได้ฟังความ ก็ได้
27
พิพากษา ให้นาโจร และเศรษฐี ผูท้ ี่ถูกขโมยทรัพยส์ มบัติน้ี
ไปจาคุกไว้ คนละหกเดือน เศรษฐีโวยวายข้ึนมาว่า ท่านทา
อะไรของท่าน ฉันเป็ นผูถ้ ูกขโมย ถูกโจรขโมยทรัพยส์ มบตั ิ
ถูกปลน้ แต่ฉันกลบั ถูกส่งเขา้ คุก เป็ นเวลาเท่ากับโจร น่ีมัน
เป็นการตดั สินแบบไหนกนั
ท่านเลา่ จื๊อ พดู วา่ จริง ๆ แลว้ ขา้ วา่ มนั ไม่ยตุ ิธรรมกบั
โจรเลย ทา่ นสมควรจะถกู จาคุก มากกวา่ โจรเสียอีก เพราะวา่
ท่านไดส้ ะสมเงินทองไวเ้ ป็นจานวนมาก เพ่ือตวั ท่านเอง ทา่ น
ไดล้ ิดรอนสิทธ์ิคนมากมาย ท่ีจะไดม้ ีเงิน ความโลภของทา่ น
ไดส้ ร้างโจรพวกน้ี ข้ึนมามากมาย มนั เป็นความรับผิดชอบ
ของทา่ น ทา่ นคือสาเหตุ ของอาชญากรรมคร้ังน้ี
วิธีคิด ของท่านเล่าจ๊ือน้นั ชดั เจนอยา่ งท่ีสุด เพราะถา้
หากมีคนจนมากมาย ในขณะท่ี มีคนรวยเพยี งนอ้ ยนิด ไมม่ ี
ทางใด ท่ีเราจะหยดุ การขโมยได้ หนทางเดียวเท่าน้นั ท่ีจะหยดุ
ส่ิงน้ีได้ ก็คือ ตอ้ งทาใหค้ นในสังคม เลิกสะสม เลิกสนอง
ความโลภของตน ทกุ คนมีได้ แต่เพอ่ื ใหเ้ พยี งพอ ต่อความ
ตอ้ งการพ้ืนฐานเทา่ น้นั
เศรษฐีพูดข้ึนว่า ก่อนที่ท่าน จะส่งฉันไปเขา้ คุก ฉัน
ตอ้ งการจะพบกบั องคจ์ กั รพรรดิ เพราะส่ิงที่ท่านทาน้ี ไม่ได้
28
เป็ นไปตามหลักรัฐธรรมนูญ ท่านไม่ได้ทาตามกฏหมาย
ประเทศ ท่านเล่าจ๊ือพูดว่า น้ันเป็ นความผิดพลาดของ
รัฐธรรมนูญ เป็นความผิดพลาดของกฎหมาย ขา้ ไม่สามารถ
ทาอะไรในเร่ืองน้ีได้ ถา้ เช่นน้ัน เราไปเฝ้าองค์จกั รพรรดิ
ดว้ ยกนั
เศรษฐี ทูลองคจ์ กั รพรรดิวา่ ขอพระองคฟ์ ังหมอ่ มฉัน
ชายคนน้ี ควรจะถูกปลดออก จากตาแหน่งในทนั ที เคา้ เป็ น
บุคคลที่อนั ตรายย่ิง วนั น้ีหม่อมฉัน กาลงั จะถูกนาไปคุมขงั
พรุ่งน้ีพระองค์ อาจจะถูกขังด้วยเช่นกัน หากพระองค์ไม่
อยากจะตกอยใู่ นอนั ตราย พระองคต์ อ้ ง โยนชายคนน้ีออกไป
เคา้ เป็ นคนท่ีอนั ตรายจริง ๆ เคา้ สามารถใชเ้ หตุผล จนทาให้
เราจนมุมได้ หม่อมฉันเห็นดว้ ย กบั สิ่งท่ีเคา้ พูดทุกอยา่ ง แต่
เคา้ กาลงั จะทาลาย พวกเราทกุ คน
องคจ์ กั รพรรดิเขา้ ใจเรื่องราวต่าง ๆ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ทรง
ราพงึ กบั ตวั เองวา่ ถา้ หากสิ่งท่ีเศรษฐีทาน้ี ถือวา่ เป็นความผิด
เราเองคงจะเป็น คนทที่ าความผดิ ร้ายแรงที่สุด ในประเทศน้ี
เล่าจ๊ือคงจะไมป่ ราณีเราแน่ ๆ และแลว้ ในท่ีสุด ท่านเล่าจ๊ือก็
ถกู ปลดออกจากตาแหน่ง
29
ท่านเลา่ จื๊อ กล่าวกบั องคจ์ กั รพรรดิ วา่ หมอ่ มฉนั บอก
พระองคแ์ ลว้ อยา่ มาเสียเวลากบั หม่อมฉนั หมอ่ มฉนั ไมใ่ ช่คน
ที่เหมาะสม ปัญหาท่ีแทจ้ ริง อยทู่ ี่สงั คมของพระองค์ กฏหมาย
ของพระองค์ และรัฐธรรมนูญของพระองค์ ส่ิงเหลา่ น้ีตา่ งหาก
ที่มนั ไม่ถกู ตอ้ ง คนที่พระองคต์ อ้ งการ กค็ ือคน ท่ีมีวธิ ีคิดแบบ
ผดิ ๆ เพอื่ จะไดม้ าจดั การกบั ระบบท่ีผิด ๆ เหลา่ น้ีได้
มนั สะทอ้ นใหเ้ ห็นอะไร พ่อครูบอกตลอดเวลา พอ่ ครู
ไมไ่ ดย้ ดึ หลกั กฎหมาย เป็นท่ีต้งั พอ่ ครูยดึ กฎแห่งกรรม เป็น
ที่ต้งั อนั น้ีกเ็ ป็นแคอ่ ุทาหรณ์ ถึงเราจะรู้ก็ช่าง บางคร้ังเราก็ทา
อะไรไม่ได้ เรามีหนา้ ท่ีรู้เทา่ ทนั มนั กฎหมายเป็นแค่ขอ้ ตกลง
ในการอยรู่ ่วมกนั ถา้ ไม่จาเป็นกอ็ ยา่ ผดิ กฎหมาย ผิดกฎหมาย
คือ ทาลายสมมติ เคา้ ไม่ฟังเราหรอก เคา้ อา้ งวา่ เราผิดกฎหมาย
เธอกต็ อ้ งถูกลงโทษ แต่สาหรับพอ่ ครูแลว้ กฎหมายไม่จาเป็น
ไมล่ ะเลย แตว่ า่ ถา้ เกิดวา่ มนั มีส่ิงจาเป็น เก่ียวกบั เรื่องชีวติ เรา
ตอ้ งเอาชีวติ ไวก้ ่อน กฎหมายมนั ดีจริง กฎหมายไมใ่ ช่ความ
จริง มนั เป็นแคส่ มมติ
เราทกุ ขเ์ พราะเรามี เร่ิมจาก เรามีกรรม เราถงึ ไดม้ าเกิด
พอเกิด ธรรมชาติเคา้ กแ็ ถมมา ขนั ธ์๕ อายตนะ๖ เด๋ียวก็เจบ็
นู่น เดี๋ยวกเ็ จบ็ น่ี ที่เราทกุ ขเ์ พราะเรามี เริ่มจากมีกรรม แลว้ ก็
30
มีขนั ธ์๕ แลว้ ก็มีเคร่ืองมือ มีอายตนะท้งั ๖ เราไมร่ ู้เทา่ ทนั มนั
เราก็ไปหลงมนั วา่ นี่ตวั กูของกู เม่ือตวั กแู ลว้ กม็ ีของของกู พอ
ถกู ขโมย กูก็เลยทุกข์ อยา่ ไปโทษขโมย
เราตอ้ งรู้วา่ เหตุ สาเหตุ ตน้ เหตุ มนั อยตู่ รงไหน ถา้ แก้
ปลายเหตุ ปวดหวั ไปหาหมอ กินยาพารา หายปวด พอฤทธ์ิยา
มนั หมด ปวดอีก ถา้ ไม่เลิกคิด ตอนน้ีชีวติ เรา แกป้ ัญหาท่ี
ปลายเหตุหมด แมก้ ระทงั่ กินอะไร พอ่ ครูกินเจไหม บอกไม่
กินมงั สวิรัติไหม กบ็ อกไม่ กินเน้ือสัตวไ์ หม กไ็ ม่ แลว้ พอ่ ครู
กินอะไร กินอาหาร อยา่ มากเร่ืองไดไ้ หม ไปไหนก็หิ้วเจไป
ดว้ ย มนั ไม่ไดว้ าง มนั หิ้ว
ถา้ เราเขา้ ถึงตรงน้ี เราเขา้ ใจสัจธรรม ความจริงแลว้ เรา
รู้เหตุ สาเหตุ ตน้ เหตขุ องมนั เราแกท้ ี่ตน้ เหตุ จากน้ีไป อะไรก็
ทาใหเ้ ราทกุ ขไ์ ม่ได้ ไม่ใช่ทกุ ขเ์ พราะเราไมม่ ี ทุกขเ์ พราะเรามี
เน่ืองจากเรามีกรรมก่อน เราถึงไดม้ าเกิด วนั แรกกแ็ หกปาก
ร้องแลว้ จา่ ยหน้ีกรรมต้งั แตว่ นั แรก มีกรรมไมพ่ อ มาสร้าง
กรรมใหม่อีก มาสร้างสะสมสมบตั ิตา่ ง ๆ แลว้ ก็ใหข้ โมย มา
ขโมย กโ็ กรธอีก กไ็ ปฟ้องศาล แลว้ ตวั เองถกู ตดั สิน ใหต้ ดิ คุก
เราแกท้ ่ีตน้ เหตุ ถึงเราจะมี กอ็ ยา่ ไปยดึ มนั่ ถือมนั่ มนั มีก็เหมือน
31
ไม่มี สกั แตว่ า่ มี สักแตว่ า่ รู้ สกั แตว่ า่ เห็น มีเรากใ็ ช้ ไม่มี เราก็
ไม่ตอ้ งใช้ ตารวจไม่จบั ไม่ตอ้ งขอวซี ่า ไมต่ อ้ งขออนุญาติใคร
32
ท่ีมา : เร่ือง วาง จึง วาง
บรรยาย โดย พ่อครูบัญชา ต้ังวงษ์ไชย
ศูนย์พลาญข่อย 26 กรกฏาคม 2558