The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พ่อครูบัญชา ตั้งวงษ์ไชย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by plarnkhoi11, 2021-05-31 04:28:37

ความรู้ หรือ ปัญญา

พ่อครูบัญชา ตั้งวงษ์ไชย

Keywords: ธรรม,พลาญข่อย,meditation,plarnkhoi,พ่อครูบัญชา ตั้งวงษ์ไชย,ศูนย์พลาญข่อย,ทุกข์,ปัญญา,ebookplarnkhoi

1

สารบญั 2

พน้ ทุกข์ 3
นานาจิตตงั 4
สัญญา กบั อปุ ทาน 4
รู้ กบั รู้สึก 6
ธรรมารมณ์ 10
สุดโต่ง 12
กิเลส 17
อุบายวิธี 19
ความรู้ หรือ ปัญญา 21
โลกียอภิญญา 23
ธรรมเทียม 27
วิธี ที่ไมม่ ีวธิ ี 28

3

พ้นทกุ ข์
ปฏิบตั ิแล้ว ผลที่เราได้รับสูงสุดคืออะไร

พน้ ทุกข์ หรือจะเอามากกวา่ น้นั ทาไมตอ้ งพน้ ทกุ ขด์ ว้ ย
บางคนถามพอ่ ครูวา่ ทาไมศาสนาพทุ ธ ทุกขอ์ ะไรกนั มากมาย
ทุกข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค อะไรคือตวั ทกุ ข์ อะไรคือเหตุแห่ง
ทกุ ข์ อะไรคือความดบั ทกุ ข์ อะไรคือหนทางไปสู่การพน้
ทกุ ข์ เคา้ บอกมีแตพ่ ดู เร่ืองทกุ ข์ ทุกขอ์ ะไรกนั นกั หนา มอง
โลกในแง่ดีไดไ้ หม

จริงๆแลว้ พระพทุ ธเจา้ ไม่ไดม้ องโลกในแงด่ ี ไม่ได้
มองโลกในแง่ร้าย แตพ่ ระองคม์ องโลกในแง่ความเป็นจริง เรา
มีทุกขเ์ ป็นประธาน พระองคก์ พ็ ูดเร่ืองสุข พูดอยอู่ ยา่ งเดียวก็
คือ นิพพานเป็นสุขอยา่ งยงิ่ อนั น้นั เป็นสุขแท้ สุขซ่ึงไม่มีของคู่
ตอนน้ีชีวติ เราสุกๆดิบๆ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวกท็ ุกข์ มนั ไม่ใช่สุขแท้
ถา้ สุขแทแ้ ลว้ ใครเปลยี่ นเรากไ็ มไ่ ด้ คาตอบน้ีก็คือวา่ สูงสุด
คืออะไร คือพน้ ทุกข์

4

นานาจิตตงั
บางคนทาคร้ังแรกกท็ าได้แล้ว บางคนพยายามทากไ็ ม่ได้ เป็น
เพราะอะไร

นานาจิตตงั มนั ไมเ่ หมอื นกนั เกิดมาวนั แรกลกู ฝาแฝด
คนน้ีข้ีแย คนน้ีไม่ข้ีแย ไม่ใช่พระเจา้ ท่ีไหนกาหนด กรรมดี
กรรมชว่ั ท่ีเราสร้างมา เป็นตวั กาหนด อยา่ ไปแข่งกนั แขง่ เรือ
แข่งพายแขง่ ได้ แขง่ บญุ วาสนาไมไ่ ด้ มนั ไมม่ ีสูตรสาเร็จ

สัญญา กบั อุปทาน เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
เราปฏิบตั ิเพ่ือล้างสัญญา หรือเพื่อล้างอุปทาน

พระพุทธเจา้ บอก ดบั ทกุ ข์ ดบั ท่ีเหตแุ ห่งทุกข์ เหตุแห่ง
ทุกข์ คือตวั กิเลส กิเลสเหมือนสัญญา แต่กิเลสไมใ่ ช่เป็นตวั ทา
ใหเ้ ราทกุ ข์ พระพทุ ธเจา้ บอก ดบั ที่เหตุแห่งทุกข์ กค็ ือตวั ตณั หา
ตวั สมทุ ยั คือตวั ตณั หา แตต่ ณั หาที่มาของมนั กค็ ือกิเลส เรากิน
หวานบ่อยๆ เรากต็ ิดหวาน เราก็อยากกินหวาน พออณุ หภมู ิท่ี
เราติดมนั กิเลสเราแรง มนั ก็มีความอยากกินหวาน เมื่อไดก้ ิน

5

หวานแลว้ อปุ ทานกเ็ กิดก็รู้สึกพอใจมีความสุข แต่ถา้ ไมไ่ ดก้ ิน
หรือกาลงั กินอยู่ มีคนมาแยง่ ไป ก็เลยทุกข์

เอาเป็นวา่ สัญญา กบั อปุ ทาน ไม่เหมือนกนั แตอ่ ปุ ทาน
ก็เกิดมาจากสญั ญา ก็เหมือนตณั หา เกิดมาจากกิเลส พอ่ ครูเคย
พดู ใหฟ้ ังวา่ ยส่ี ิบหกปี มาอยทู่ ี่นี่ สมองซีกซา้ ยพอ่ ครูยงั จาไดว้ า่
ตวั เองเคยสูบบุหรี่วนั นึง สาม ส่ี ซอง มีความสุข้ มีความสุข
แตป่ ัจจุบนั น้ี พอ่ ครูไม่ไดล้ ืมนะ สญั ญาตวั น้ีมนั ยงั ไม่ไดล้ ืม
มนั ยงั จาไดห้ มด แต่วา่ มนั จาอารมณ์ ท่ีเราสูบบุหร่ีไมไ่ ด้ คือ
มนั ดบั อุปทานตวั น้นั แลว้ เหมือนเทวา ก็เป็นคนฝร่ัง แกบอก
เหวีย่ งทิ้งๆ แลว้ ผมเหว่ียงทิ้ง ผมจะจาแมไ่ ดไ้ หม เรายงั จาได้
แต่ความรู้สึก ท่ีเรามีกบั แม่ตา่ งไป ไม่ใช่เราเป็นคนไมก่ ตญั ญู
เราจะเป็นคนกตญั ญู แตเ่ ราไมห่ ลงอารมณ์ มนั เปลี่ยนไป
อปุ ทานมนั เปลี่ยน

เอาเป็นวา่ อปุ ทาน กบั สญั ญา มนั คนละเร่ือง อปุ ทาน
คือตวั ตณั หา พระพทุ ธเจา้ บอกใหด้ บั ที่ตณั หา ไม่ไดด้ บั ที่กิเลส
แตจ่ ะดบั ท่ีตณั หา ก็ตอ้ งรู้เทา่ ทนั กิเลส เมื่อเรา รู้เท่าทนั กิเลส
กิเลสก็พฒั นาสู่ตณั หาไมไ่ ด้ อุปทานก็ไมเ่ กิด ทกุ ขก์ ็ไมเ่ กิด ถา้
ตณั หาเป็นเรื่อง ท่ีเราทาจากความอยาก มนั มีเจตนา สมมติ

6

พระอรหนั ตท์ ่านเดินธุดงค์ ทา่ นเหยยี บมดตาย ทา่ นไม่มีเจตนา
แตถ่ า้ ใครเอามดมาตวั นึง มนั กดั เรา เกลียดมนั มาก อนั น้ีบนั ทึก
แลว้ กลายเป็นวิบากกรรม มนั เนื่องดว้ ยเจตนา กรรมช้ีเจตนา

คาว่า รู้ กบั คาว่า รู้สึก เมื่อเราเข้าจิตได้แล้ว เม่ือมกี ารแสดง
อารมณ์ต่าง ๆ ออกมา เช่น โกรธมากจนรู้สึกอยากทุบพืน้
โวยวายออกมา เราควรที่จะแสดงส่ิงนน้ั ออกมาหรือไม่ หรือ
การที่จะแค่รู้อารมณ์ว่า อยากทุบพืน้ โวยวายแค่นั้น แล้วไม่
ต้องแสดงส่ิงใดออกมา

กเ็ ป็น นานาจิตตงั ถา้ ไม่อยากแสดงออก กไ็ มต่ อ้ ง
ปฏิบตั ิ การแสดงออกมา เรียกวา่ inside out เป็นเร่ืองมหาสติ-
ปัฏฐาน แตไ่ ม่ใช่วา่ ตอ้ งแสดงออก หรืออยา่ ใหม้ นั แสดงออก
พูดก็ไม่ไดน้ ะ เราสรุปอยา่ งใด อยา่ งนึง มนั เป็นมิจฉาทิฐิ
เหมือนเราบอกวา่ ตายแลว้ ดบั หรือตายแลว้ เกิด ก็ไมไ่ ด้ มนั มี
คนตาย แลว้ กไ็ ม่ตอ้ งเกิดอีก มีคนตายแลว้ เกิดอีก การ
แสดงออกนี่ คนน้ีแสดงออกแลว้ เคา้ ได้ แตค่ นน้ีแสดงออกแลว้
กเ็ สีย เหมือนบางคนบวชชีแลว้ ได้ บางคนบวชชีแลว้ กเ็ สีย แต่

7

การบวชก็เหมือนกนั อยทู่ ่ีเจตนาในเวลาน้นั เราต้งั มน่ั แคไ่ หน
เราหลอกคนอน่ื ไดเ้ ราหลอกจิตไมไ่ ด้

แนวเราตอ้ งแสดงออก นน่ั คือ กาย เวทนา จิต ธรรม
ขา้ งในมนั สง่ั ร่างกายกเ็ คลื่อนไหว ในขณะเดียวกนั เราเอา
อารมณ์ เอาอิริยาบถน้นั โดยเราไมต่ อ้ งไปกาหนด แต่เราเขา้
ไปในจิตไดแ้ ลว้ จิตเป็นตวั สั่ง เคา้ ก็เอาส่ิงท่ีเคา้ เคยฝึกมา เป็น
ประสบการณ์เดิมน้ีออกมา เราก็เรียนรู้กบั มนั ไม่มีถกู ไมม่ ีผดิ
เพยี งแต่วา่ ถา้ เราไปหลงมนั เม่ือไหร่ อนั น้นั กไ็ ม่ดี แตถ่ า้ เรา
แคร่ ู้ แลว้ เราไม่เฉยๆ ไปตดั มนั ทิ้ง อนั น้นั กไ็ ดแ้ ค่เจริญสติ
คนท่ีเคยเจริญสติ กไ็ ปติดตรงน้นั

ถา้ เราฝึกระดบั เบ้ืองตน้ คือขวาหนอ ซา้ ยหนอ อะไรก็
แลว้ แต่ เราก็เคล่ือนไหว โดยเราสง่ั มนั แตท่ ่ีเราทามนั เจริญ
มรรคจิต ใหอ้ ารมณ์ตา่ งๆ มนั ไหลออกมา เหมือนเรายงิ เป้าบิน
เห็นป๊ บุ ยงิ เห็นป๊ บุ ยงิ พรุ่งน้ีมา เราเป็นนกั ยงิ ปื นเป้าบิน เราจะ
ไมย่ งิ อีกไดไ้ หม ไมไ่ ด้ แลว้ ก็ตอ้ งเจอเป้าทีม่ นั ไม่แตกตา่ งกนั
เม่ือเราเจอแบบไหน เราก็ชานาญแลว้ นนั่ แหละ ตอ่ ไปกระทบ
ไม่กระเทือน

8

คาวา่ รู้ กบั คาวา่ รู้สึก รู้สึกนี่สายเกินไปแลว้ รู้สึก เด๋ียว
มนั จะตดั สิน รู้สึกดี รู้สึกไมด่ ี รู้สึกมีความสุข รู้สึกน่ีเป็นเวทนา
แลว้ แคร่ ู้เฉยๆ เราจะไม่มีเวทนา เรื่องยนิ ดียนิ ร้าย เรากไ็ ม่ตอ้ ง
ไปตดั สิน ขนั ธ์๕ ปรุงไมไ่ ด้ รูปเกิด ก็ดบั จบ ถา้ รูปเกิดป๊ ุบ เคา้
ด่าเราป๊ ุบ เสียงด่า คือ รูปตวั ไดย้ นิ เสียง คือนาม มนั เกิด มนั ก็
ดบั แตถ่ า้ เราไม่ทนั กระทบหูป๊ บุ กระเทือนใจ ตอนน้นั รู้สึก
แลว้ อนั น้ี เป็นเวทนา

แต่ถา้ รู้ว่ามนั รู้สึกป๊ึ บมนั ไม่พอใจ สัญญาก็บนั ทึกไว้ ว่า
มันด่าเรา เราก็บันทึกอัดแน่น สัญญาใหม่ กับสัญญาเก่า
กระทบกนั อุปทานที่เกิดจากสัญญา มนั วีนข้ึนมา มนั คิด
ปรุงแต่ง สังขารเกิด เธอด่าฉนั ฉนั เสียเปรียบไม่ได้

สงั ขาร คือคิดปรุงแต่ง เราจะตดั สินแลว้ วา่ ด่ามนั ไปเลย
วิญญาณนักสู้ มนั เกิดภายในหน่ึงวินาที ขนั ธ์๕ ปรุงเร็วมาก
แต่ถา้ เกิดว่า สติเรารู้ทนั เออช่างมนั เถอะ ก็จบอยู่แค่น้นั จบ
อยแู่ คเ่ วทนา เรากไ็ ม่ไดไ้ ปปรุงอีก แลว้ ก็ไปสร้างกรรมใหม่

ฝึกไปเร่ือย ๆ ไดบ้ า้ ง ไมไ่ ดบ้ า้ ง เหมือนเรายงิ เป้าบิน
ยงิ ถูกบา้ ง ไม่ถกู บา้ ง แตถ่ า้ เราบอกเบื่อท่ีจะยงิ เราก็ไมม่ ีวนั
ชานาญ อนั น้ีคือมรรคจิต เพราะอารมณ์ในจิตใตส้ านึกเรา มนั

9

จะโผลข่ ้ึนมา มนั เหมือนเป้าบิน เคา้ ไมบ่ อกเราลว่ งหนา้ แตถ่ า้
เราฝึกสมถะกรรมฐาน เรารู้วา่ เราจะกา้ วไปไหน เรากาหนดอนั
ไหน อนั น้ีเป็นเร่ืองเบ้อื งตน้ เป็นการเตรียมความพร้อม ของ
จิตเรา เตรียมเคร่ืองมือเดินทาง

แต่เวลาเราเดินทาง เขา้ ไปในจิตน่ี ไม่มีสิทธ์ิ เราเป็ น
นักมวยข้ึนเวทีแล้ว ไม่มีสิทธ์ิฝึ ก คู่ต่อสู้ เค้าไม่ได้บอกเรา
ล่วงหน้าว่า เค้าจะชกขวา ชกซ้าย มนั ชกมาเลย ตอนน้ันเรา
ตอ้ งใช้ศกั ยภาพเราท้งั หมด หลบหลีก คือ เราสู้อารมณ์เรา
ขา้ งใน นน่ั คือ ธรรมในธรรม

กค็ าตอบ อยา่ พยายามหาคาตอบ ใหม้ นั ตายตวั พอ่ ครู
บอกวา่ ตอ้ งแสดงออก ไม่แสดงออก นะ บางคนบอกปล่อย
ออกเลย บางคนบอก มึงหยดุ เราตอ้ งดูเขา้ ไปในจิตเคา้ นะ
เร่ืองน้ีอยา่ พยายามหาคาตอบ แลว้ ก็ไปเขียนสูตรสาเร็จวา่ ตอ้ ง
แสดงออก หรือไม่ตอ้ งแสดงออก

บางคนมีนิสัยยดึ มนั่ ถอื มน่ั มีความสุขอยกู่ บั มนั ราอยู่
ตรงน้นั แหละ สมมตอิ ยา่ งน้ี กต็ อ้ งบอกขา้ มพน้ ใหไ้ ด้ สักแต่
วา่ รู้ แตบ่ างคนบอกวา่ รา รา ไปเลย ตอ้ งแสดงออกไปเลย ถงึ
บอกวา่ ทกุ คนตอ้ งเห็นวาระจิตขา้ งใน ทีน้ีเราเองปฏิบตั ิ เราก็

10

ตอ้ งรู้วา่ เราเหวยี่ งทิง้ มนั ไหม หรือเราไปหลงอารมณ์น้นั แต่
วา่ ถา้ เราไม่แสดงออก เราแคเ่ จริญสติ เราก็ไม่มีโอกาสไดล้ ิ้ม
รสอารมณ์น้นั มนั กไ็ ม่เกิดปัญญา มนั ก็ไดแ้ ค่สติ เอาเป็นวา่ ทา
ไปเถอะ ไม่มีถูกไม่มีผดิ แตจ่ าคาวา่ เหวีย่ งทงิ้ อยา่ ไปติดมนั
เทา่ น้นั เอง

ธรรมารมณ์
ปฏิบตั ิมาได้หน่ึงปี แล้ว แต่ไม่ได้ปฏิบตั ิทุกวนั เกิดความเครียด
จากหน้าท่ีการงาน รู้สึกว่าความเครียดสะสม จนรู้สึกอยาก
อาเจียนทุกครั้งท่ีปฏิบตั ิ แบบนเี้ วลาที่เราปฏิบตั ิ เราควรทาตาม
จิตหรือไม่ คือต้องอาเจียนออกมา หรือจะกดข่มไว้ แค่รู้ว่าต้อง
อาเจียนแต่ไม่ต้องอาเจียน

การแสดงออก ก็คืออารมณ์ อารมณ์อาเจียน อารมณ์
ร่ายรา มาดีใจ เสียใจ น่ันแหละ มันก็เป็ นธรรมารมณ์ ท่ีเรา
ปฏิบตั ิมาหน่ึงปี แลว้ บางทีครูบาอาจารยเ์ คา้ เตือนว่าต้งั ปี นึง
สองปี ยงั อยใู่ นทา่ เก่า เพราะอะไรรู้ไหม เรามาเทน้าออก เราก็
มีฝาปิ ด ฝาน่ีคือ สติ ถา้ เราสติไม่ต้ังมั่น พอออกไป ก็ไปรับ

11

อารมณ์เคา้ ชนป๊ึ งเปิ ดฝา ดึงอารมณ์เขา้ มา แลว้ ก็มาอ๊วก เคา้
เตือนเราในฐานะเคา้ หวงั ดี ไม่ใช่เร่ืองถูก เร่ืองผิด อนั น้ีเคา้
เรียกวา่ ธรรมารมณ์มนั เขา้

และการสารอก กส็ ารอก ตอนน้นั ตอ้ งสารอก แตเ่ ม่ือ
สารอกแลว้ ยงั ไมเ่ ขด็ ไม่หลาบ เราก็ไปเอาของใหมอ่ ีก กม็ า
สารอกอีก อนั น้ีควรจะตาหนิติเตียน มนั พิสูจนแ์ ลว้ วา่ เราไม่
กา้ วหนา้ ไม่ใช่วา่ เอย้ สารอกได้ กไู ปเอาของใหม่ แลว้ กู
สารอกอีก มนั แสดงถึงความ เราไม่เขด็ ไมห่ ลาบ แลว้ อยา่ ไป
ถามวา่ ตอ้ งสารอก หรือไมส่ ารอก

เราตอ้ งฝึก จนสุดทา้ ยแลว้ ไมม่ ีอะไรท่ีจะสารอก นนั่
แหละ คือ ผล เรากร็ ู้อยแู่ ลว้ เราฝึกมาปี นึง ทาบา้ ง ไม่ทาบา้ ง
มนั ก็เป็นแบบน้ี ล่มุ ๆ ดอนๆ แตอ่ ยา่ งนอ้ ย ๆ เรามีเคร่ืองมือ ที่
ขบั มนั ออก กด็ ีแลว้ อยา่ ใหม้ นั สะสมเป็นมะเร็ง เพยี งแต่วา่ ถา้
มนั ดีกวา่ น้นั อีก คืออยา่ ใหม้ นั เกิดข้ึนอีก อยา่ ไปเอาอารมณ์มา
ตอ้ งสารอก บางทีมนั สายเกินไป พยายามอยา่ หาคาตอบ แลว้
กอ็ ยา่ มีทิฐิมานะ อยา่ มีอคติ ใครเตือนเรากช็ ่าง เรากไ็ ดย้ นิ
อยา่ พ่งึ ด่วนสรุปวา่ มนั ใช่ หรือไมใ่ ช่ ถา้ ใช่เรากแ็ กไ้ ข เราก็

12

เปลี่ยนแปลง ถา้ ไมใ่ ช่เราก็ผา่ น อยา่ เอาความคิด คาพดู น้นั มา
คิดเพิ่มเติม มนั เป็น อคติ

คาว่ าสุ ดโต่ งข้ างใน กับ สุ ดโต่ งข้ างนอก นัยยะพ่ อครู
หมายความว่าอย่างไร

คาน้ี พระพทุ ธเจา้ เคยเตือนสติ บรรพชิตไม่เสพส่วน
สุดโตง่ สองส่วน สองส่วนไม่ใช่เฉพาะขา้ งนอก กบั ขา้ งใน
ระหวา่ งดีกบั ชว่ั ระหวา่ งของคู่ เยน็ กบั ร้อน ทุกอยา่ งมนั เป็น
ของคูห่ มด มนั จะมีข้วั บวกข้วั ลบ กระแสไฟเหมือนกนั
พระพุทธเจา้ ตรัสรู้สิ่งน้ี

ที่เราทุกขท์ ุกวนั น้ี เพราะเราไปติดข้วั ใดข้วั หน่ึง มนั ถึง
ทะเลาะกัน เราชอบจากอคติของเรา มันก็เลยขัดแยง้
พระพุทธเจา้ ถึงบอกเดินสายกลาง ไม่สุดโต่ง เพียงแต่ว่าไม่
สุดโต่งข้างนอก ข้างใน พ่อครูช้ีให้เห็น ถ้าเราฝึ กจิตเราจะ
เขา้ ใจตรงน้ี

เรามีอายตนะภายนอก คือ รูป รส กล่ิน เสียง สัมผสั
อารมณ์หกอยา่ ง สิ่งน้ีดบั ไมไ่ ด้ มนั มีตามธรรมชาติของมนั

13

แลว้ กม็ ีอายตนะภายใน หกอยา่ งเหมือนกนั คือ ตา หู จมูก ลิ้น
กาย ใจ อายตนะภายในกแ็ บ่งเป็นสองส่วน ขา้ งนอกหา้ ขา้ ง
ในหน่ึง ขา้ งนอก คือ ตา หู จมกู ลิ้น กาย เป็นตวั รับผสั สะ

ตาเป็นตวั เห็นรูป หูเป็นตวั ไดย้ นิ จมูกเป็นตวั รับกล่ิน
ลิ้นรับรส ร่างกายกระทบผสั สะ เยน็ ร้อน ออ่ นแขง็ ใจเป็น
ตวั รับอารมณ์ ชอบใจ ไม่ชอบใจ น่ีคือสองส่วน พระพทุ ธเจา้
บอก บรรพชิตไมเ่ สพส่วนสุดโต่งสองส่วน ระหวา่ งขา้ งนอก
ขา้ งใน แตต่ อนน้ีจิตเรามนั เสพตรงไหน มนั ไปหลงท่ีใจ ต้งั แต่
เกิดมามนั ถูกใจดึงไว้ ดึงไว้ ดึงไว้ กลายเป็น จิตใจ ภาษาไทย
เราเลยเขา้ ใจวา่ เป็นเร่ืองเดียวกนั

จริงๆ แลว้ จิตก็จิต ใจก็ใจ มนั คนละส่วน แต่ตอนน้ีจิต
มนั ไปหลงท่ีใจ จนแยกไม่ออก พอเห็นป๊ ุบชอบใจ ไดย้ ินป๊ึ บ
ไม่พอใจ มนั ลงใจหมด ห้าอยา่ งน้ีนี่กระทบป๊ึ บ มนั จะส่งไปท่ี
web site ของเรา ตวั ที่ตดั สินว่าชอบใจไม่ชอบใจ สุขทุกข์มนั
อยทู่ ่ีใจ ใจตวั น้นั อาศยั พลงั งานของจิต คือ มโนวิญญาณ ทาให้
หัวใจรับรู้อารมณ์ และก็ตัวจิตเอง ก็เกาะอยู่ตรงน้ัน มัน
สุดโตง่ ขา้ งใน ทาไมเราไม่ไดย้ นิ

14

เราใชอ้ ุบายไดย้ นิ เสียงท่ีหู วิ่งมาที่หู แลว้ หวั ใจมนั เตน้
มนั ก็ดึงกลบั ไปรู้ที่ใจ เราไมต่ อ้ งวงิ่ ไปหามนั เลยนะ ธรรมชาติ
มนั ดึงกลบั มา มนั หวงจิตเรามาก เราก็เอาเสียง มาเป็นอบุ าย
มนั ดึงกนั ระหวา่ งหู ยกตวั อยา่ งนะ เราน่ีคือจิต เพ่อื นเราสอง
คน ภาษาองั กฤษบอก มิสเตอร์ใจ กบั มิสเตอร์หู มนั ทะเลาะ
กนั แต่เราหลงกบั นายใจมาตลอดชีวติ เป็นอบุ าย ที่เราจะ
ปลดใหจ้ ิตเราหลดุ พน้ จากความเป็นธาตุของใจ เราก็อาศยั
ผสั สะตา่ ง ๆ เอาเสียงกไ็ ด้ รูปก็ได้ รสก็ได้ พทุ โธ คือ กลิ่น

หลวงพ่อคงก็ใช้พุทโธ แต่ไม่ใช่ฝึ กอานาปานสติ คือ
กล่ิน แต่หายใจเขา้ แรงๆ ให้มนั ชนไปถึงใจ ตอ้ งถึงใจ มนั จะ
ดึงกันระหว่างจมูกกับใจ มันจะเกิดแรงเหวี่ยงข้ึน ลิ้น
เหมือนกนั เราอมยา เราก็มาลิ้มรสที่ลิ้น มารู้ท่ีใจ มนั ก็ดึงกนั
มนั จะเกิดแรงหมุนข้ึน แตม่ นั เร่งสติไม่ได้

พ่อครูเลือกเสียง ผูป้ ฏิบัติจะต้อง ไม่ต้องสร้างอะไร
ข้ึนมาท้งั น้ัน แลว้ ก็เสียงมนั เร่งได้ แต่ถา้ เราเอาลมหายใจ มนั
จะเหนื่อย แต่มนั ก็ทาได้ สร้างแรงเหว่ยี งป๊ บุ ทีน้ีก็ปล่อยมนั ไป
ตามธรรมชาติของมนั เลย แต่เสียงนี่พอเราหมุนป๊ ุบ ปล่อยไป

15

มนั ระลึกชาติไปต้งั หลายชาติ เสียงตวั น้ี ยงั เป็ นตวั กาลงั ดัน
ไปดว้ ย

พอ่ ครูก็เลยเลือกเสียงเป็นหลกั แต่ก็ไม่ใช่สูตรสาเร็จวา่
ตอ้ งเป็นเสียงอยา่ งเดียว และกเ็ ป็นสิ่งท่ีสร้างข้ึนไดง้ ่ายๆ ไม่
ตอ้ งไปเพง่ นิมิตอะไร เสียง เป็นอายตนะภายนอก กระทบหู
อายตนะภายใน มนั ส่งมารู้อารมณ์ที่ใจ ก่อนจะเกิดเวทนา ก็วงิ่
ไปที่หูอีก ใจมนั กด็ ึงกลบั มาอีก เธออยกู่ บั ฉนั ตลอดชีวติ เห็น
ไหม สุขใจ๊สุขใจ เราไปหลงใจ พอเราไปติดสุขในใจป๊ บุ พอ
เราผดิ หวงั ป๊ ุบ เราก็ทกุ ขใ์ จ มนั เป็นของคู่ เม่ือเราไปสุดโตง่
ขา้ งใน เราไม่เป็นกลาง

ทีน้ี พอจิตมนั ถกู ดึงไป ดึงมา มนั ก็รักเพอื่ นท้งั สองคน
มนั ไม่เขา้ ขา้ งนายหู นายหูบอก มาอยกู่ บั ฉนั เพลงเพร๊ าะเพราะ
เราไมเ่ ช่ือมนั เราไมไ่ ปหลงหู เตือนวา่ มึงอยา่ ทะเลาะกนั นาย
ใจดึงกลบั มา เธออยกู่ บั ฉนั ตลอดชีวติ สุขใจส๊ ุขใจ ตอนน้ีเรา
ไมเ่ ขา้ ขา้ งนายใจ เราวางตวั เป็นกลาง

น่ีคือ มชั ฌิมาปฏิปทา เรากลายเป็ นกลาง แต่ว่าเพ่ือน
สองคนน้ี มันก็ดึงเราไป ดึงกันมา เราก็เกิดแรงเหว่ียงข้ึน
เหมือนเราหมุนลูกข่าง ตอ้ งใช้สองนิ้ว หมุนป๊ ุบ มนั ก็หมุน

16

พอมนั หมุน หมุน มนั ย่ิงหมุน หมุน มนั ย่ิงเร็วข้ึน มนั จะไป
อยู่ในแกนกลางของทอร์นาโด จากน้นั ลูกข่างมนั ก็น่ิง มนั
ไม่ ได้ฝึ ก ส ม าธิ ท าไม มัน น่ิ งได้ แ รงเห ว่ีย งท าล าย
สนามแม่เหล็ก ลูกข่างพอมันนิ่ง มันก็หลุดออกจากวงจร
ไหว นิ่ง หลุด จิตเราก็เหมือนกนั อาศยั แรงเหวีย่ งตวั น้ี

กิเลส ตณั หา อุปทาน มนั อยทู่ ่ีใจ มนั ก็สงั่ การเราตลอด
แตท่ ีน้ี เราก็สร้างแรงเหวีย่ งใหก้ บั จิต เพื่อหลดุ พน้ จากแรง
ดึงดดู ตรงน้นั ใหจ้ ิตอิสระ กเ็ ขา้ ไปในจิตในจิต เขา้ ไปใน web
site ของเรา เขา้ ไปทาไม เขา้ ไปขดั เกลาจิตใหผ้ อ่ งใส น่ีแหละ
คาวา่ ไม่สุดโตง่

ตอนน้ีเราทะเลาะกนั ท้งั บา้ นท้งั เมือง เพราะอะไร เรา
ไปติดดี ดีของเคา้ กบั ดีของเรา ไม่เหมือนกนั เราไปสุดโตง่
เพราะเราไปติดดีท้งั น้นั แต่ถา้ ดีจริงๆ มนั ไม่ตอ้ งทะเลาะกนั
หรอก มนั เป็นส่ิงเลวร้ายอยา่ งยง่ิ เพราะคุณไปติดดีกนั

คนเคา้ ทาชวั่ เคา้ กร็ ู้ เคา้ ขโมย เคา้ ก็ไมต่ อ้ งไปทะเลาะ
กบั ใคร แตค่ นติดดี ไปวา่ เคา้ ไม่ดี อนั น้ีกเ็ ราไปสุดโต่ง ชีวิตเรา
สุดโต่งตลอด ทาดีก็ดีแลว้ ไง ทาแค่พอดี ไปตดิ ดี จนไม่หลบั
ไม่นอน อนั น้นั มนั สุดโต่ง มนั ติดดีติดอะไร คือ หลง หลงติด

17

โลภ โกรธ หลง กค็ ือตวั ทุกข์ เป็นเหตแุ ห่งทุกข์
พระพุทธเจา้ ถึงช้ีทางสายกลาง วา่ ไม่สุดโตง่ พอดี ไม่ปฏิเสธดี
ไมป่ ฏิเสธชวั่ เพื่อนเรามีหลายคน หูมนั ก็มอี นุสยั ชอบฟังเสียง
ชอบเพราะๆ ใจมนั กต็ ิดความสุข มนั ติดไมเ่ หมือนกนั ลิ้นเรา
มนั กช็ อบอร๊อยอร่อย จมูกเรามีนิสยั ชอบหอ้ มหอม ตาเราก็
ชอบส๊วยสวย เรามีเพอ่ื นต้งั หา้ หกคน นิสัยมนั ไมเ่ หมือนกนั
เราตอ้ งวางตวั เป็นกลาง นี่คือ ไม่สุดโต่ง

กิเลส
ปฏิบัติมาหลายปี แล้ว แต่กย็ งั มกี ารร่ายรา หรือยืนหมนุ อยู่
แบบนจี้ ะต้องทาไปถึงเมื่อไหร่ หรือการกลับมาน่งั น่ิง ๆ ดกี ว่า
และการร่ายราหรือยนื หมนุ บ่อย ๆ ถือเป็นกิเลสหรือไม่

กิเลส คือ ความเคยชิน เรากินขา้ วเป็นกิเลส อยา่ งน้ีไป
เถียงกนั วา่ มงึ อยา่ กินขา้ วเลยนะ มนั เป็นกิเลส อาบน้าเป็น
กิเลส แตอ่ ยา่ เน่ืองดว้ ยตณั หา คือจิตเรามนั ฝึกวธิ ีน้ี วิธียนื หมนุ
ร่ายราก็ช่าง มนั ก็เป็นกิเลสเรา ถา้ ทาตามกิเลส อนั ดบั แรกก่อน
วา่ มนั มีอะไรเสียหายไหม ตอนที่เราร่ายราอยู่ เราไปตีหวั ใคร

18

รึเปลา่ ก็ไมม่ ี เราละชวั่ แลว้ มนั ดีอะไร กท็ าใหเ้ ราอยกู่ บั ตวั เอง
กไ็ ดใ้ ชส้ ติดาเนินมนั เอาเป็นวา่ มนั ไม่ไดช้ ว่ั ร้ายอะไร แต่ถา้
เราไปหลงติดมนั วา่ ฉนั ทามีความสุขตรงน้ี ฉนั กส็ นองตณั หา
มนั เม่ือไหร่ มนั ก็ไม่ดี เราตอ้ งรู้เองวา่ เราติดไหม

อยา่ งน้ีเราฝึกพทุ โธ สาม ส่ี สิบ ปี แลว้ พทุ โธตลอดวา่
เอ๊ะเราติดรึเปล่านะ เรากินขา้ วน่ี เราติดไหม มนั เป็นหนา้ ที่ อยู่
ที่วา่ เจตนาคุณกินขา้ ว เพราะมนั อร่อย แตพ่ อไมอ่ ร่อย คุณก็ไม่
กิน ถา้ เรากินเพราะกิน มนั เป็นหนา้ ที่แลว้ มนั ไม่มีถกู ไม่มีผิด
มนั ก็ดีแลว้ ไง ถา้ ไมก่ ินขา้ ว เหมือนรถยนตไ์ ม่เติมน้ามนั มนั จะ
มีพลงั วง่ิ หรือ

ส่วนร่ายรา หรืออะไรนี่ เราต้องดูตัวเองว่า ถ้าเรา
อยากจะรู้ เราลองฝื นมนั ดูว่า ฉันจะไม่รามนั เป็ นยงั ไง ดูซิ ถา้
เราฝื นได้ ไม่ราก็ไม่เป็นไร ก็ดาเนินไป บางคร้ังเราตอ้ งพิสูจน์
ว่า เอ๊ะ เราติดรึเปล่า ไม่ตอ้ งให้คนเคา้ บอกเรา แต่คนเคา้ มอง
เราดว้ ยตาเน้ือ เคา้ ก็เตือนสติเรา กลวั เราจะติด แต่ถา้ เราไม่ติด
เราดาเนินไป โดยมีสติสัมปชญั ญะ ก็ดาเนินไป เหมือนเรากิน
ขา้ ว กินเพราะกิน มนั เป็นหนา้ ที่

19

ยคุ น้ีน่ีความรู้เรา เกิดจากภาษา เราพยายามจะหาคาตอบ
โดยภาษา คนน้ีเคา้ ราเคา้ ได้ คนน้ีราแลว้ กเ็ สีย มนั อยทู่ ่ีเจตนา
เคา้ ในเวลาน้นั เคา้ ราเพราะเคา้ หลงติดไหม หรือเป็นแคเ่ ทคนิค
เป็นกิริยา ท่ีทาใหจ้ ิตเคา้ รวมศูนย์ เพอื่ วางความคิด ไมต่ อ้ งไป
ยงุ่ กบั ใคร อยา่ งนอ้ ยๆ เคา้ ก็ไมไ่ ดไ้ ปตีหวั ใคร ไม่ไปทากรรม
ชวั่ อะไร มีแตว่ า่ บางคร้ังการเตือนสติ ก็เพ่ือใหเ้ รามาทบทวน
ตวั เอง อยา่ ไปถือเป็น ทิฐิมานะ

อบุ ายวิธี
ปฏิบัติจนกระท่ังรู้สึกว่าไม่มกี ายแล้ว ใจเบา จิตเบา แล้วแบบ
นยี้ งั ต้องร่ายราอย่หู รือไม่

กถ็ ามตวั เองซิ วา่ ตวั เองราไปทาไม การท่ีเราร่ายรา ส่วน
หน่ึงเป็ นอุบายวิธี ท่ีจิตมนั ไปจดจ่อ กบั ส่ิงท่ีมนั ทา ท่ีเราจิต
ไม่เบา ใจไม่เบา เพราะเราไปคิด คิดก็หนักใจ ทีน้ีจิตมนั ก็ใช้
อบุ ายใหเ้ รา มีหนา้ ท่ีตรงน้นั แลว้ ก็ปลอ่ ยวางความคิด มนั ก็เบา
สมมติเรานงั่ เฉยๆ ตามลมหายใจเขา้ ออก เพ่งนู่นเพง่ น่ี มนั ก็ยงั
มีการกระทาอยู่ เพื่อเป็ นอุบาย ทาให้จิตเราไม่ไปสร้าง

20

มโนกรรม มนั ก็เกิดความสงบ แต่ถา้ ยงั มีการกระทา โดยท่ีเรา
ส่ังการ มนั ก็เกิดความสงบชว่ั ครู่ มนั เขา้ ถึงกลอ่ งปัญญาไมไ่ ด้

ถา้ เราดาเนินไปตามธรรมชาติของมนั ไมม่ ีการกระทา
ไม่มีการสง่ั การแลว้ เด๋ียววิปัสสนามนั จะเกิดข้ึน เราเองรู้ดี
ที่สุดวา่ เราทาในเวลาน้นั มนั เป็นอยา่ งไร ส่วนคนเคา้ ให้
คาแนะนา เคา้ เตือนสติ เคา้ หวงั ดี เคา้ พดู เราก็สักแต่วา่ ไดย้ นิ
และเราก็มาทบทวนตวั เอง วา่ เราติดไหม ถา้ ไม่ติด ก็เป็นเร่ือง
ของเรา ถา้ คนนึงเคา้ ไม่ทะลุปลอ้ ง เคา้ ไม่เห็นวาระจิตคนอ่ืน
เคา้ ก็เอาประสบการณ์เคา้ นนั่ แหละ มาเป็นบรรทดั ฐาน ก็ไป
สงั่ คนอื่น เคา้ หวงั ดี เราฟัง เรากจ็ บ ไมต่ อ้ งเอามาคิดเพม่ิ

21

ความรู้ หรือ ปัญญา
คนท่ีมปี ัญญาเป็นอย่างไร อ่านหนงั สือมาก ๆ เรียนรู้มาก ๆ ถือ
ว่ามีปั ญญาหรื อไม่

ปัญญามีสามระดบั อ่าน ฟัง จา กเ็ ป็น สุตมยปัญญา ใช้
โสตประสาท คือไดย้ นิ แลว้ กอ็ ่าน ก็เป็นแคป่ ัญญาเกิดจากการ
อา่ น การไดย้ นิ คือ เราไดย้ นิ อ๋อ เรากป็ ลดปล่อยความสงสัย
เราได้ มนั กเ็ กิดปัญญาระดบั นึง แตบ่ งั เอิญวา่ มนั หยาบมาก
พระพทุ ธเจา้ ไมไ่ ดส้ ่งเสริมเท่าไหร่ แต่วา่ ไมใ่ ช่มนั ไมด่ ี มนั ก็
เกิดปัญญา บางคนไดย้ นิ ป๊ บุ ปิ๊ ง บรรลุธรรมเลยนะ อนั น้ี
เรียกวา่ สุตมยปัญญา

แตพ่ ระพุทธเจา้ ไม่ไดส้ ่งเสริม เพราะวา่ บางที เราจะ
เขา้ ใจในเน้ือหาสาระ ที่เราไดย้ นิ มนั ผิดดว้ ย และบางทีอนั น้ีก็
ไม่ใช่สูตรสาเร็จ บางคนฟังทีนึง บรรลธุ รรมเลยกม็ ี มนั เป็น
เรื่องบารมีส่วนตวั เคา้ เรียกวา่ เป็นความสามารถเฉพาะตวั มนั
ไมใ่ ช่ทางสายกลาง

ทีน้ีบางคนก็จา บางทีก็เอาความจาน้นั มาคิดพจิ ารณา
เพิม่ อ๋อ ใช่แลว้ อนั น้ีเรียกวา่ จินตมยปัญญา ปัญญาเกิดจาก
การคิด จินตนาการ ใหม้ นั ละเอียดข้ึน แต่กย็ งั ไม่บริสุทธ์ิ บางที

22

เราคิดตามกิเลสเรา พระพุทธเจา้ ส่งเสริม ภาวนามยปัญญา
ปัญญาเกิดจากการเห็นแจง้ ของจิต ไมผ่ า่ นการนึกคิด มนั จะ
เกิดปัญญาเดิมที่เราสะสมมา หลายภพหลายชาติ มนั จะแสดง
ตวั ออกมา ตวั น้นั ไม่ไดเ้ กิดจากกิเลสชาติปัจจุบนั เราอา่ น
เราเช่ือ เราคิดเราเช่ือ มนั เช่ือตามกิเลส มนั ยงั ไมบ่ ริสุทธ์ิ
เท่าไหร่ แตว่ า่ ไม่ใช่มนั ไมด่ ี มนั มี มนั กเ็ ป็นตวั ทาใหเ้ กิดปัญญา
ระดบั นึง แตเ่ ป็นปัญญาค่อนขา้ งยงั ไมบ่ ริสุทธ์ิ

คนมีปัญญาเป็นอยา่ งไร คนมีปัญญาสูงสุด ตอ้ งดูผล
ตอ้ งวางได้ ทาใหต้ วั เองอิสระ ทาใหต้ วั เองพน้ ทุกข์ ไมใ่ ช่
แปลวา่ เป็นคนรู้มาก อนั น้นั เป็นแค่คนรู้มาก ไมใ่ ช่คนมี
ปัญญา คนมีปัญญาตอ้ งรู้วา่ ทาแบบไหน ถา้ คนมีปัญญาสูงสุด
เคา้ ไม่ตอ้ งคิดดว้ ย ถา้ คนยงั คิดอยู่ กป็ ัญญาอีกระดบั

ถา้ ปัญญาสูงสุดแลว้ กค็ ือวา่ เคา้ ไมต่ อ้ งคิด เพราะเคา้ ไม่
กงั วลอะไรเลย เคา้ ไมม่ ีอนาคต เพราะเคา้ รู้วา่ ทุกอยา่ งเป็น
อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา เคา้ วางได้ เคา้ ทาใหต้ วั เองพน้ ทุกขไ์ ด้
นน่ั แหละ คือคนมีปัญญา แตส่ ่วนมากตอนน้ี ไม่คอ่ ยมีปัญญา
เทา่ ไหร่ เป็นแค่คนรู้มาก รู้จากการอา่ น การจา ไปเลียนแบบ
คนอ่ืน พดู เป็นหมดเลย แตว่ า่ ตวั เองยงั ไมพ่ น้ ทกุ ข์ อนั น้นั เป็น

23

คนที่มีแคค่ วามรู้เฉยๆ เป็นแค่คนมีความรู้ สะสมความรู้ ไมใ่ ช่
ปัญญา

โลกียอภิญญา
คนที่มอี ภิญญามากๆ รู้สภาวะของคนอื่น มองเห็นออร่าของ
คนอื่น จะถือว่าเป็นผ้บู รรลธุ รรมหรือไม่

ท่ีเราระลึกชาติได้ มันก็เป็ นอภิญญาอย่างนึง คือ
อภิญญา๘ แต่ ๗ ขอ้ หูทิพย์ ตาทิพย์ รู้วาระจิตคนอื่น อะไร
ก็ช่าง มนั เป็นโลกียอภิญญา มนั มีอภิญญาตวั ท่ี๘ เท่าน้นั เป็น
ทาง ทาให้เราพน้ ทุกข์ ก็คือ อาสวกั ขยญาณ ญาณรู้ว่าดว้ ย
การกาจดั อาสวะกิเลส คือ ตวั น้นั เป็นตวั พน้ ทุกข์

ส่วนอีก ๗ ขอ้ ไม่ตอ้ งฝึ ก จิตเดิมมนั ฝึ กมาต้งั เยอะแลว้
และตวั น้ีมนั เป็ นตวั มาตรวดั วา่ เรามุ่งมนั่ เจริญมรรคจริงไหม
เพราะมนั น่าติดมาก มนั จะเป็นผวู้ ิเศษ รู้วาระจิตเคา้ ทีแรกก็รู้
นะ มนั บริสุทธ์ิ พออยากรู้เอามาทาธุรกิจ หรือแฝงด้วยกิเลส
ต่อไปมนั กเ็ ดาสุ่ม

24

พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริม อิทธิฤทธ์ิปาฏิหาริย์ มีจริง
พระโมคคัลลานะเหาะข้ึนไปยอดไม้ ปรามเศรษฐีให้เห็น
พระพุทธเจา้ บอกอยา่ กระทา เด๋ียวเคา้ จะหลงวา่ การท่ีจะมุ่งสู่
นิพพาน พน้ ทุกข์แลว้ ต้องไปฝึ กวิชาเหาะก่อน พระองค์ไม่
สนบั สนุน อภิญญาที่รู้วาระจิตของคนอื่น

เทศนาปาฏิหาริยม์ ีจริงไหม มีจริง แต่มนั ไม่ใช่ทาง
พน้ ทุกข์ มนั เป็ นอุบายวิธี บางทีเหมือนเราไปหาหมอโรคจิต
เคา้ ก็ใช้จิตวิทยาพูด เพ่ือให้เราผ่อนคลาย ผ่อนหนักเป็ นเบา
อันน้ีก็ไปทายทัก คุณจะเก่งแค่ไหน คุณก็ฝื นกฎแห่งกรรม
ไม่ได้ อันน้ีก็มีจริง แต่พระพุทธเจ้าไม่สนับสนุน เพราะมัน
ไมใ่ ช่ทางพน้ ทกุ ข์ เด๋ียวเผลอไปทาใหห้ ลงกนั อีก

เราเองไม่เคยดูแลตวั เอง ต่ืนเชา้ ข้ึนมา ดูแลลูกหลาน
ดูแลการงาน ไมเ่ คยเห็นตวั เอง ไม่รู้วา่ ตวั เองเป็นใคร หาเงิน
หาเงิน แลว้ กเ็ อาเงินไปให้ กราบใหเ้ คา้ มาช่วยดูฉนั หน่อย วา่
ฉนั เป็นใคร มนั โง่ซ้าซาก ตวั เองยงั ไม่รู้วา่ ตวั เองเป็นใคร ให้
คนอื่นเคา้ มาบอกวา่ ฉนั เป็นใคร ฉนั มีกรรมอะไร เราไมค่ อ่ ย
อยากจะพ่งึ ตนเองเลย

25

พระพทุ ธเจา้ ส่งเสริมอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริยน์ ่ี
เราสามารถพูด หรือช้ีทางใหเ้ คา้ เกิดปัญญา เป็นทางเดียวท่ีเคา้
จะพน้ ทุกข์ ทีพ่ อ่ ครูพูดบอกวา่ บางทีเราไปนง่ั ฟังเทศน์ ฟัง
ธรรม เหมือนเราไปนง่ั หมอดูหมอราธรรมะ ธรรมะอะไรนะ
ธรรมมะฟังแลว้ ร่ืนหู มีความสุขมาก ไดอ้ ะไร ไดก้ ิเลสกลบั
บา้ น ไม่ไดป้ ัญญาอะไรเลย ซาบซ้ึง ไดก้ ิเลสกลบั บา้ น แตถ่ า้
เราไปฟังธรรม แลว้ เราเกิดปัญญาข้ึนมา อ๋อ ใช่ ตวั น้นั แหละ
จะทาใหเ้ ราพน้ ทกุ ขไ์ ด้ มนั ตอ้ งใหม้ นั เกิดปัญญา

เหมือนพอ่ ครูเคยเล่าใหฟ้ ัง พระอาจารยโ์ พธิธรรม หรือ
คนจีนเคา้ เรียกอาจารยต์ กั๊ มอ้ ทา่ นไม่อ่านพระไตรปิ ฎก ท่าน
เป็นเจา้ ชายองคท์ ่ีสาม ของแควน้ นึงในอนิ เดีย อาจารยท์ า่ น
เป็นภิกษุณี กส็ งั่ ใหเ้ ดินทางมาแถวตะวนั ออก ก็เดินไปทาง
เมืองจีน

ตอนน้นั วดั ก็เชิญให้ท่านไปบรรยาย ท่านก็เดินข้ึนไป
นงั่ ธรรมาสน์ ท่านก็นง่ั หลบั ตา สิบนาทีผ่านไป พระภิกษุ เอ๊ะ
ไม่พูดซักทีนึง ยี่สิบนาทีผ่านไป จากเอ๊ะ เร่ิ มหงุดหงิด
สามสิบนาทีผ่านไป ก็เริ่มไม่พอใจ ช่วั โมงนึงผ่านไป โกรธ
มากเลย พอครบชว่ั โมง พระอาจารยต์ ก๊ั มอ้ ก็ลุกข้ึนมา แลว้ ก็

26

เดินไป ทา่ นทาใหเ้ ราเห็นกิเลสตวั เอง แสดง โดยไมต่ อ้ งแสดง
ตอนน้ีไม่ใช่ไปฟัง ซาบซ้ึง กิเลสชอบมาก แบกกิเลสกลับ
บา้ น มนั ไมไ่ ดม้ ีประโยชน์

น่ีคือกัลยาณมิตร เป็ นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ เราอยู่
ร่วมกนั ก็มีประโยชน์ การปลีกวิเวกอย่ใู นป่ าคนเดียว อนั น้ัน
ง่าย เพราะมนั ไม่มีส่ิงกระทบ สบ๊ายสบาย พอออกมาเจอคน
เยอะๆน่ีวีนเลย เราอยกู่ นั แบบหมคู่ ณะ จะตอ้ งระวงั ทุกคนเป็น
กระจกส่องซ่ึงกนั และกนั ถา้ ใครทา ทาใหเ้ ราเห็นกิเลสตวั เอง
ไม่ตอ้ งไปโทษเคา้ อยา่ งเดียวนะ ตอ้ งเอาธูปเทียนดอกไม้ กราบ
เคา้ เลย ขอบคุณมากท่ีเคา้ ทาให้เรามีปัญญา เห็นกิเลสตวั เอง

อนั น้ีนิดเดียวก็ไม่ได้ เราสนองกิเลสเราตลอด แลว้
เมื่อไหร่เราจะเกิดปัญญา น่ีคือ อนุสาสนีปาฏหิ าริย์ ทาใหเ้ รา
เกิดปัญญา ไปเห็นออร่าอะไรน่ี เห็นแลว้ ยงั ไง ถา้ มาหาพอ่ ครู
เห็นกเ็ หว่ยี งทิง้ ไมเ่ หนื่อยเหรอ ยงั อยากจะเห็นอะไร ตอ้ ง
เสียเวลาเหวี่ยงทิ้ง อยากเห็น อยากรู้ อยากอะไรหมด น่ีคือ
กิเลส เราสนองมนั ตลอด เอาอาหารใหม้ นั กินตลอด มนั ก็อยาก
เพ่มิ ข้ึน เพราะมนั อยากรู้ บอกวา่ ถา้ ไม่รู้ มนั นอนไมห่ ลบั รู้

27

แลว้ สบ๊ายสบาย เดี๋ยวพรุ่งน้ีมนั กถ็ ามอีก เพราะไอต้ วั อยากรู้
มนั กอ็ ว้ นข้ึนมาอีก

เราตอ้ งแกต้ รงที่ ข้ีลงั เลสงสัย ตวั อยากรู้น้นั ซะ เหวี่ยง
มนั ทิ้ง แลว้ จะไดไ้ มต่ อ้ งเสียเวลาถาม เอาเวลาที่ถาม มาขดั เกลา
จิตตัวเอง ไม่ดีกว่าหรือ เราสนองกิเลสตัวเองตลอดเวลา
แสดงฤทธ์ิ เห็นนู่น เห็นน่ี เคา้ เรียกว่า อวดอุตริมนุษยธรรม
มนั ไมม่ ีประโยชน์อะไร ดีไม่ดี ทาใหห้ ลงดว้ ย

ธรรมเทียม
เม่ือเกิดข้อธรรมขึน้ แต่ยงั คิดว่าข้อธรรมนัน้ ไม่ชัดเจน จึงไป
ศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมมากขึน้ แบบนคี้ วรทาหรือไม่

ถา้ เป็นขอ้ ธรรมจริงๆ มนั ไม่มีความลงั เลสงสยั หรอก
อนั น้นั เป็นแคข่ อ้ คิดมากกวา่ ถา้ มนั เกิดขอ้ ธรรมะจริง มนั ตอบ
โจทยใ์ นตวั มนั เองอยแู่ ลว้ อนั น้นั เป็นแค่เห็นนิมิต เห็นอารมณ์
ต่างๆ พ่อครูบอก บางทีเราเห็นนิมติ เราเห็นจริงๆ แตส่ ่ิงท่ีเรา
เห็นมนั ไม่จริงท้งั น้นั มนั เกิดอุปทาน ยงั วงิ่ ไปหาขอ้ มูล เพอ่ื จะ
มาสนบั สนุนขอ้ ธรรมทเ่ี ราเห็นอีก อนั น้นั มนั ธรรมเทียม ถา้

28

ธรรมจริงๆ แลว้ กส็ ักแต่วา่ รู้ สกั แตว่ า่ เห็น ไมม่ ีความอยากจะรู้
เพิ่มเติม

วิธี ท่ีไม่มวี ิธี
สมาธิเหวี่ยง ไม่มีในพระไตรปิ ฎก พ่อครูคิดเรื่องนวี้ ่าอย่างไร

ตอบคือ ไม่คิดว่าอย่างไร ไม่ได้คิดเลย มันเป็ นเร่ือง
นานาจิตตงั มนั เป็ นปกติ ของการคิดเห็นต่างกนั ความเช่ือ
ความศรัทธาไม่เหมือนกัน จริตไม่เหมือนกัน ซ่ึงเป็ นความ
สวยงามในสังคมท่ีเค้าเรียกว่า ประชาธิปไตย เพียงแต่น่า
เสี ยดาย ไม่ค่อยชอบวิจัยกัน ชอบวิจารณ์กัน จึงไม่ใช่
บรรยากาศ ติเพ่อื ก่อ

ยคุ น้ี เราคุน้ เคยกบั การปฏิบตั ิธรรม คือ การฝึกสมาธิ
เจริญสติ เรากเ็ รียกวา่ สมาธิอะไร กาหนดอะไร เอาจิตไปไว้
ที่ไหน เราคุน้ เคย แลว้ พอ่ ครูไมเ่ คยต้งั ช่ือวา่ สมาธิเหวยี่ งนะ
แต่คาวา่ เหวย่ี งทิง้ นี่ เป็นกิริยา เป็นการเตือนสติวา่ อยา่ ไปติด
มนั แต่เคา้ กไ็ ปต้งั ชื่อวา่ สมาธิเหวี่ยง

29

ปฏิบตั ิธรรมไปจบอยทู่ ี่สมาธิ สมาธิ สติ ไม่ใช่พระเอก
ไม่ใช่เป้าหมาย ปฏิบัติธรรมไม่ใช่เจริญสมาธิ เจริญสติ
ปฏิบัติธรรมคือ เจริญมรรค ผล นิพพาน ส่วนท่ีเค้าเรียก
สมาธิเหว่ียง มนั เป็นเส้ียวนึง

การปฏิบตั ิธรรม คือ การเจริญ มรรค ผล นิพพาน
มรรคขอ้ แรกคือ สัมมาทิฐิ คือเห็นชอบ ขอ้ ที่สอง ดาริชอบ
ท้งั สองขอ้ น้ี อยใู่ นหมวดของปัญญา

วาจาชอบ อาชีพชอบ การกระทาชอบ สามขอ้ น้ีอยใู่ น
หมวดของศีล ถา้ จะไปนิพพานทาแค่สามขอ้ ส่วนศีล๕ ศีล๘
ศีล๑๐ ศีลปาฏิโมกข์ อนั น้ีเกิดข้ึนหลงั พทุ ธกาล หลงั จากสร้าง
ศาสนาข้ึนมา พระองคก์ แ็ บ่งหนา้ ที่ของพทุ ธบริษทั ๔ เป็นศีล
วินยั เหมือนกฎหมายบา้ นเมือง ระเบียบในการอยรู่ ่วม เพ่อื
ไมใ่ หเ้ รากระทบกระทงั่ กนั

แต่ศีลในการปฏิบตั ิเพื่อพน้ ทุกข์ ไม่แบ่งช้นั วรรณะ จะ
เป็ นอาชีพอะไรก็ช่าง ชนชาติไหนก็ช่าง ถ้ามุ่งหน้าไปสู่
นิพพานแล้ว ทาสามข้อน้ีเท่าเทียมกัน วาจาชอบคืออะไร
เปล่งออกมา มีแต่เร่ืองเป็ นประโยชน์ เป็ นกุศล ประโยชน์ตน

30

ประโยชน์ผูอ้ ื่น ไม่ใช่ไปด่าเคา้ มนั ไม่สร้างสรรค์ มนั ไม่ได้
ประโยชน์อะไร อนั น้ีคือหมวดของศีล วาจาชอบ

อาชีพท่ีเราทา คาวา่ ชอบ กค็ ือวา่ ตอ้ งไมม่ ีผใู้ ดเดือดร้อน
ต้องไม่เบี ยดเบี ยน ตัวเอง และผู้อื่น ไม่ใช่ ว่า ถามพู ด
ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ ของดีก็บอกว่าแพง ของไม่ดีก็บอกว่า
ถูก ไม่ใช่ อยากรวย จนขายของไม่หลบั ไม่นอน ไม่พกั ผ่อน
อนั น้ีไม่ใช่สมั มาอาชีวะ ไม่ใช่อาชีพชอบ คุณเบียดเบียนตวั เอง
อนั น้ีคือ อาชีพชอบ

การกระทาชอบ จริงๆ แลว้ ศีลมีแค่ขอ้ เดียวก็จบแลว้ นะ
การกระทาชอบ คือทาทุกอย่าง ไม่มีผู้ใดเดือดร้อน ไม่
เบียดเบียนตวั เอง และผอู้ ่ืน

พระพทุ ธเจา้ กช็ ้ีให้ มีสามขอ้ น้ี ที่เราสมควรระวงั ตอ้ ง
ปฏิบตั ิ ไม่ใช่นงั่ อยเู่ ฉยๆ ศีล๕ พวกเราไมฆ่ า่ สัตว์ ไม่พดู ปด
นง่ั อยเู่ ฉยๆ เราก็ทาได้ เทา่ กบั เกา้ อ้ตี วั น้ี กอ้ นหินมนั กท็ าไดน้ ะ
ทาซานมนั ทาไดอ้ ยแู่ ลว้ แต่อนั น้นั เป็นตวั กากบั เตือนสติวา่
อยา่ ใหเ้ รา ไปทาส่ิงที่มนั ไมค่ วรทา มนั เป็นแคศ่ ีลวนิ ยั

ส่วนความเพียรชอบ สติชอบ สมาธิชอบ อนั น้ีสามตวั
สุดทา้ ยในมรรค เห็นไหม ทาไมตอ้ งว่าความเพียรชอบ ตอ้ ง

31

ขยนั เยอะๆ อยากฝึ กจิต ทรมานสังขาร พระพุทธเจ้าลอง
มาแลว้ ทุกรกิริยา ไม่ใช่ความเพียรชอบ มนั สุดโต่ง ไม่สาเร็จ
เพียร ก็ตอ้ งพอดี ตอ้ งอยใู่ นกรอบของพอดี ทีน้ีพอดีของแต่ละ
คนก็ไม่เท่ากัน ช้างข้ี ไม่ต้องไปข้ีตามช้าง คนน้ีกินข้าว
ชามนึงอิ่มพอดี คนน้ีสองชามอ่ิมพอดี คนน้ีสามชามอิ่มพอดี
ทกุ คนตอ้ งรู้วา่ ความพอดีของตนเองอยทู่ ี่ไหน

แต่ความคิดกลวั ไดเ้ ปรียบ เสียเปรียบ ทุกวนั น้ี ทกุ คน
ตอ้ งเทา่ เทียมกนั มีขา้ วหกชาม ตอ้ งหารสาม เอาไปใหน้ าย ก
มนั กินชามนึงอ่ิมพอดี เดก็ ๆถูกฝึกขา้ วทกุ จาน อาหารทุกอยา่ ง
อยา่ กินทิ้งขวา้ ง เป็นของมีค่า ชาวนาเหนื่อยยาก ลาบาก
นกั หนา สงสารชาวนา อดั เขา้ ไปสองชามอยา่ ทิ้ง มนั สุขไหม
มนั ทุกขม์ าก คนท่ีสองมนั ไดส้ องชาม มีความสุขคนเดียว พอดี๊
พอดีกบั มนั ไอค้ นท่ีสาม มนั ตวั ใหญ่ ใหม้ นั สองชาม มนั กิน
สามชาม มนั ไมอ่ ่ิม มนั ก็หิว

ความพอดีของแตล่ ะคน ไมเ่ หมือนกนั ความเพยี ร
เหมือนกนั พอ่ ครูมาจากอเมริกาเม่ือยส่ี ิบหกปี ก่อน มีลทั ธินึง
บอกวา่ กินนอ้ ย ใชน้ อ้ ย ทางานมาก สุดโต่ง กินนอ้ ยใชน้ อ้ ย
ข้ีเหนียว ทางานมากข้ีโรค ภาษานี่กต็ อ้ งระวงั คุณกินนอ้ ย คุณ

32

จะเอาพลงั ท่ีไหน มาทางานมาก กินพอดี ใชพ้ อดี ถา้ มนั
จาเป็นตอ้ งคิด ก็คิดแคพ่ อดี น่ีคือความชอบ ความเพยี รชอบ

สติชอบคืออะไร ไม่ใช่ ใชส้ ติไปทางาน เพ่ือความมง่ั คง่ั
เพ่ืออนาคต ไม่หลบั ไม่นอน ทรมานตวั เอง น้ีคือสติมนั ไม่ชอบ
มนั เป็นมิจฉาสติ การใชส้ ติตอ้ งชอบ ตอนน้ีเราชะลา่ ใจวา่ มี
สตินะมีสติ ฝึกสตินะฝึกสติ เราไปชะลา่ ใจ ระวงั นะ ไมไ่ ดจ้ บ
ท่ีสติ

เราปฏิบตั ิศาสนา เป้าหมายสูงสุด คือใหค้ นเกิดปัญญา
ศาสนาพุทธ ไม่ไดส้ อนใหค้ นหลงงมงาย พระองคพ์ ดู ไวห้ มด
เลย อยา่ พ่งึ เชื่อคนท่ีพดู เป็นครูบาอาจารยเ์ รา อยา่ พ่งึ เช่ือตารา
อนั น้ีอา้ งตารา อา้ งพระพุทธเจา้ วา่ อยา่ งน้นั อยา่ งน้ี ทกุ คนตอ้ ง
ทอ่ งจา ไม่เคยทาตามพระพทุ ธเจา้ เลย มแี ตไ่ ปจาคาพดู ท่ี
พระพทุ ธเจา้ พดู เฉยๆ แลว้ กไ็ ปตีความ คาพดู พระพุทธเจา้
คลาดเคล่ือน

อนั สุดทา้ ยคือ สมาธิชอบ ตวั ปัญญา คือเป้าหมายสูงสุด
ตอ้ งเริ่มจากสมาธิทกุ อยา่ ง สติจึงเป็นแค่ส่วนนึง ของสมาธิเทา่
น้นั เอง เป็นกาลงั ของสมาธิ ความเพียรเหมือนกนั ถา้ เราต้งั มนั่

33

กบั สิ่งที่เราทา เรากข็ ยนั เรากม็ ีความยนิ ดี พงึ พอใจกบั มนั สติ
มนั ก็เกิดข้ึน

การเจริญมรรค ตอ้ งเริ่มจากสมาธิ ตึกแปดช้นั เป้าหมาย
คือ ช้นั แปด ถา้ ถึงช้นั แปด จิตมีปัญญาแลว้ จบ มนั จะไม่โง่ทา
ใหต้ วั เองทกุ ขอ์ ีกตอ่ ไป แต่มนั ตอ้ งข้ึนลฟิ ทช์ ้นั หน่ึง พอ่ ครู
ไม่ไดเ้ ร่ิมจากศีลดว้ ย พอ่ ครูไม่มีศีล องคุลีมาลก็ไมม่ ีศีล ฆา่ คน
ทาไมบรรลุธรรมได้

อนั น้ีบงั เอิญไตรสิกขา เคา้ เขียนวา่ ศีล สมาธิ ปัญญา
มรรคมีองค๘์ กข็ ยายมาจากไตรสิกขา๓ กลายเป็น๘ ขนั ธ์๕
พฒั นาไปสู่ปฏิจจสมปุ บาท เป็น๑๒ เราก็ตอ้ งรู้วา่ เคา้ เขียนมา
อยา่ งน้ี คือศีลในไตรสิกขา ตวั ศีลตวั น้ี เป็นศีลวนิ ยั เรามาศนู ย์
ใช่ไหม เรามาตกลงไหมจะถือศีล๕ หรือ ศีล๘ ดี แต่การ
ปฏิบตั ิเร่ิมตน้ จิตตอ้ งเร่ิมจากสมาธิ เม่อื สมาธิสงบน่ิง เป็น
ปกติแลว้ ศีลก็แสดงตวั ศีลคือความปกติของจิต เหมือน
น้ามนั น่ิง เมอ่ื มนั น่ิงแลว้ ฝ่ นุ ละอองเมด็ นึง ล่วงลงมา มนั ก็
สัมผสั ได้ ใบไมก้ ็สัมผสั ได้

น่ีแหละ เม่ือมีสมาธิต้งั มน่ั สงบนิ่ง แลว้ สติกต็ ่ืนรู้
อารมณ์ศีลแสดงตวั ธรรมในธรรม ธรรมารมณ์ เวทนาใน

34

เวทนา อารมณ์ขา้ งนอก เรียกวา่ เวทนา อารมณ์ในจิตเรียกวา่
ธรรมในธรรม ธรรมารมณ์มนั แสดงตวั เรากเ็ ห็นมนั ชดั
เพราะวา่ จิตเรามนั เป็นศีลแลว้ เราตอ้ งเขา้ ใจวา่ ศีลในมรรค
คืออะไร ถา้ ลาพงั ศีล๕ ทาร์ซานก็ทาไดแ้ ลว้ มนั ไมโ่ กหกดว้ ย
ภาษามนั กพ็ ดู ไม่เป็น ท่ีเราโกหก เพราะเรามีความอยากได้
เรามีความรู้ผิด ทาใหเ้ ราผิดศีล

ศีล คือ เมื่อจิตมนั เขา้ สู่สภาวะเดิม มนั เป็ นศีลอยู่แล้ว
เมื่อมนั เป็ นศีลอยู่แลว้ มนั ไม่มีความอยาก มนั ไม่มีอนาคต
ทาไมมันต้องคิด คิดมันก็ไม่ต้องคิดเลย ไม่ต้องสร้าง
มโนกรรมเลย ท่ีเราคิดเพราะเรามีอนาคต เราถึงคิดวางแผน แต่
เมื่อมนั ไม่มีอนาคตแลว้ มนั ไม่มีความอยากแลว้ มนั ก็ไม่ตอ้ ง
สร้างมโนกรรม ภาษาท่ีมนั เปล่งออกมา มนั เป็นแค่ธรรมทาน
มนั ไมโ่ ง่ ที่จะไปสร้างวจีกรรมอีกต่อไป

พ่อครูเรียงลาดบั ใหฟ้ ังวา่ เราทาอะไรอยู่ ไม่ใช่แค่ฝึก
สมาธิเหวย่ี ง สมาธิเป็นแคเ่ ส้ียวนึง แตไ่ ม่ไดต้ ้งั ช่ือดว้ ย ไมใ่ ช่
สมาธิสาคญั เป็น หน่ึง ใน แปด เป็นตวั เร่ิมตน้ ดว้ ย แตช่ ่ือมนั
ไม่สาคญั หรอก อยา่ ไปต้งั ช่ือ แตว่ ิชาการถา้ ไม่ต้งั ชื่อ เหมือน
เราไปโรงพยาบาล ถา้ ไม่ต้งั ช่ือโรค กร็ ักษาไมเ่ ป็น นกั วชิ าการ

35

เป็นแบบน้ี ตอนน้ีปฏิบตั ิธรรมกต็ อ้ งต้งั ตอ้ งเรียกวา่ สมาธิ
อะไร กาหนดตรงไหน เคา้ ไปเขา้ ใจวา่ ปฏิบตั ิธรรมคือสมาธิ
ปฏิบตั ิธรรมคือการเจริญ มรรค ผล นิพพาน ตอ้ งใชเ้ คร่ืองมือ
โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ

เราต้องรู้ว่า เราทาอะไรอยู่ มันนอกกรอบคาสอน
พระพุทธเจา้ จริงไหม ใครมาอยูศ่ ูนย์ อย่ามาอย่แู ค่ศาลา ตอ้ ง
เห็นกิจกรรมท่ีศูนยเ์ ราทาหมด คืออะไร เด็กนกั เรียนเจ็ด แปด
ร้อย คน นี่มาจากไหน เค้าคือฐานท่ีต้ัง แห่งการสร้างทาน
บารมีของเรา ศีลไม่ตอ้ งถือดว้ ย เราไม่ทาชวั่ แน่นอน เราทาดี
โดยให้ทาน เราละชั่วแน่นอน เช้าสายบ่ายเย็น วนั นึงหก
ชว่ั โมง เราขดั เกลาจิตให้ผ่องใสทุกวนั ถามว่ามีอะไรไม่ใช่
มรรค การเจริญมรรค ก็ตอ้ งใชเ้ ครื่องประกอบท่ีพระพุทธเจา้
บอกวา่ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ

ที่เราปฏิบตั ินี่ มนั คืออะไร เวลาเราอยใู่ นศาลา มนั หมุน
มนั เตน้ มนั ไปกาหนดตรงไหน มนั เอากาย เวทนา จิต ธรรม
ฐานท้งั ๔ ท้งั หมด น่ีคือ สติปัฏฐาน๔ แลว้ มนั ก็ใชอ้ ิทธิบาท๔
มีฉนั ทะ มีวิริยะ จิตตะ วมิ งั สา กบั ส่ิงที่เราทา ถา้ ไมม่ ีวริ ิยะ
หมนุ สามรอบ กไู ม่เอาแลว้ เวยี นหวั อิทธิบาท๔ กอ็ ยใู่ นน้ี

36

สมั มปั ปธาน๔ พวกเราดารงชีวติ อยตู่ รงน้ี ไมต่ อ้ งอาศยั ศีล ศีล
ขา้ งนอกเราไม่ละเลย แตถ่ า้ เราเขา้ ไปสู่จิตแลว้ ศีลขา้ งใน มนั
ไม่ทาชว่ั แน่นอน

สัมมปั ปธาน๔ คือ มีตวั เตือนสติเราส่ีขอ้ สารวมระวงั
ไม่ให้อกุศลใหม่มนั เกิดข้ึน เม่ือเราละชวั่ เราไม่เบียดเบียนใคร
แลว้ มนั ก็ไม่ได้ไปสร้างกรรม อกุศลใหม่ไม่เกิดข้ึนแน่นอน
แลว้ ก็เพียรละอกุศล ท่ีมนั มีอยแู่ ลว้ ให้มนั ออกไป เราก็สารอก
ทุกวนั เราก็ทาทานทุกวนั เพื่อลา้ งความโลภ ความตระหนี่
แลว้ ก็เพียรสร้างกุศลใหมใ่ หม้ นั เกิดข้ึน

ที่น่ีเราก็สร้างกุศลทุกวนั ไม่มีวนั หยุด เราก็ให้ทาน
ทุกวนั มนั ไม่มีอะไรหลุดกรอบ ทาดีละชวั่ แลว้ เราก็ปฏิบตั ิ
ฝึ กจิตทุกวนั ไม่มีวนั หยุดเช่นเดียวกัน ไม่ใช่วิธีพุทธ ไม่ใช่
พธิ ีกรรม มนั เป็น วิถีพุทธ

เด็กๆไมใ่ ช่มาเรียนทีน่ ่ีนะ เด็กๆ มาใชช้ ีวติ ท่ีนี่ ญาติ
ธรรมท่ียา้ ยมาอยทู่ ี่น่ี กไ็ มใ่ ช่มาทางาน การท่ีเป็นนกั บวช เป็น
แมช่ ีเป็นอะไร กเ็ ป็นรูปแบบของอาชีพท่ีต่างกนั แต่เรากม็ าใช้
ชีวติ ร่วมกนั ชีวิตเราคือ วิถีพทุ ธ ไม่ใช่ไปรักษา แค่พิธีรีตอง
ชีวติ เราเป็นอยา่ งน้ีทุกวนั เราตอ้ งเขา้ ใจก่อนวา่ เราทาอะไร

37

การปฏิบตั ิธรรม คือ การเจริญมรรค ตอ้ งดูองคร์ วม
ท้งั หมด ไมใ่ ช่จบอยแู่ ค่สมาธิ ศนู ยเ์ ราไม่เคยต้งั ช่ือ บอกวิธี
พอ่ ครู พ่อครูถาม วิธีพอ่ ครูเป็นแบบไหน มนั ไม่มีวิธี มนั เป็น
นานาจิตตงั ทกุ ดวงจิตใชจ้ ริตตวั เอง เหมือนเราเดินป่ า ตื่นมา
เราก็มีหนา้ ท่ีเดินป่ า เป้าหมายเหมือนกนั คือเดินออกจากป่ าให้
มนั เร็วท่ีสุด ไปรอเรียนวชิ าน้นั วิชาน้ี ใหเ้ สือมนั กิน ใหไ้ ฟ
ไหมป้ ่ า เราตายในป่ าวฏั สงสาร มาหลายรอบ เราเกิดมาเพอ่ื
เดินทางต่อ ส่วนใครจะเดินซา้ ยเดินขวา ถนดั แบบไหนกเ็ อา
มนั เป็นจริตต่างกนั

คาวา่ ศูนย์ ศนู ยค์ ือ zero ไมใ่ ช่ หน่ึง สอง สาม ส่ี หา้ มนั
วา่ งอยแู่ ลว้ ถา้ ต้งั ช่ือ มนั จะไม่วา่ งทนั ทีเลย พ่อครูไม่โง่ที่จะทา
อย่างน้ัน มนั ว่างอยู่แลว้ ส่วนศีลมนั เป็ นความปกติของจิต
และทุกดวงจิตมีอยู่แลว้ เต็มเป่ี ยม เพียงแต่ว่า อยากก้าวหน้า
ตอ้ งถอยหลงั ถอยเขา้ ไปขา้ งใน ทางโลกอยากกา้ วหน้า ตอ้ ง
เปิ ดตากวา้ งๆ มองไปนูน้ กวา้ งไกล ก็เลยมองขา้ มธรรมะ ทาง
ธรรมอยากกา้ วหนา้ ตอ้ งถอยหลงั ถอยเขา้ ไปในจิตเดิมเรา ไป
เรียนรู้ กบั ครูบาอาจารยท์ ี่แทจ้ ริงของเรา

38

พระพุทธเจา้ ถึงเตือนว่า อย่าพ่ึงเช่ือคนท่ีพูด เป็ นครูบา
อาจารยเ์ รา แต่อยา่ พ่ึงปฏิเสธ อยา่ พ่ึงเชื่อง่ายๆ ตอ้ งทาตวั เป็ น
นกั วทิ ยาศาสตร์ ทดลอง ทดสอบ ดว้ ยตวั เราเอง

39

ท่ีมา : ความรู้ หรือ ปัญญา
บรรยาย โดย พ่อครูบัญชา ต้ังวงษ์ไชย
ศูนย์พลาญข่อย 10 พฤษภาคม 2558


Click to View FlipBook Version