The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พ่อครูบัญชา ตั้งวงษ์ไชย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by plarnkhoi11, 2021-07-04 10:52:09

ถามตอบ เล่มที่ ๖

พ่อครูบัญชา ตั้งวงษ์ไชย

Keywords: ธรรม,พลาญข่อย,meditation,plarnkhoi,ศูนย์พลาญข่อย,ทุกข์,พ่อครูบัญชา ตั้งวงษ์ไชย,ebookplarnkhoi

1

2

สารบญั

ความเปลี่ยนแปลง 3
เอาตวั รอด 7
จิตสง่ั หรือ สมองสงั่ 8
ร่างกายหลบั หรือ จิตหลบั 11
ร่างกายเหน่ือย หรือ จิตเหน่ือย 17
มรรคนอก คืออะไร 20
สภาวะออโตเมติค คือ สภาวะโพชฌงค์ ใช่หรือไม่ 23
ท่าไหน เป็นทา่ หลกั 25
ไม่ใช่ มรรคจิต 26

3

ความเปล่ียนแปลง

วนั น้นั ลูกของญาติธรรมทา่ นนึง เด็กอายหุ า้ ขวบ ถาม
พอ่ ครูวา่ มนุษยค์ นแรกคือใคร พอ่ ครูบอกวา่ เกิดมาจากการ
กลายพนั ธุ์ เม่อื เชา้ น้ี กม็ ีมนุษยค์ นหน่ึงกลายพนั ธุ์ เปลี่ยนสี
กลายพนั ธุ์จากคนท่ีวง่ิ ไปตามโลก กลายเป็นแม่ชี ไม่ใช่แค่
มนุษยเ์ รา สรรพส่ิงทุกอยา่ ง ส่ิงน้ีมี ส่ิงน้ีจึงมี เหตุเกิด ผลจึงเกิด
เรากลายพนั ธุ์ตลอด เรากลายพนั ธุจ์ ากเดก็ ทารก เป็นเด็กโต
เป็นคนแก่ แลว้ กเ็ ป็นคนตาย แลว้ ก็กลายไปอยใู่ นร่างเดรัจฉาน
อสูรกาย หรือวา่ เปรต หรือเทวดา หรือ เป็นมนุสสเปโต หรือ
เป็นมนุษยผ์ ปู้ ระเสริฐ ก็แลว้ แต่

ขบวนการทุกอยา่ งมนั ดาเนินไป เพราะมนั กลายพนั ธุ์
ทีน้ีจะกลายพนั ธุไ์ ปในทางบวกหรือลบ กุศลหรืออกศุ ล ก็อยทู่ ี่
โปรแกรมกรรมที่เราใส่เขา้ ไปขา้ งใน ไม่ใช่เร่ืองกายภาพอยา่ ง
เดียว ความกลายพนั ธุข์ องมนั แลว้ แตเ่ หตปุ ัจจยั ที่มนั ปรุงแต่ง
ข้ึน ถา้ ถามวา่ มนุษยค์ นแรกมาจากไหน ก็เกิดมาจากการกลาย
พนั ธุ์ ไม่ใช่มนุษย์ ทกุ สรรพส่ิงเกิดจากการกลายพนั ธุ์

4

วนั น้ีกม็ ีมนุษยก์ ลายพนั ธุ์ เราวง่ิ ไปตามกระแสโลก ไป
อยเู่ มืองนอกเมืองนา ไปแสวงหาความสุขนอกกาย แลว้ อะไร
ท่ีทาใหเ้ ราเปล่ียนความคิด ครอบครัวก็มาส่ง แมก่ ็เป็นห่วง
แฟนเคา้ เป็นคนมีกุศลจิต แตเ่ คา้ ก็ถามตามเหตุผลวา่ อยดู่ ี ๆ
ทาไมตอ้ งมาทุกข์ ทนทรมาน มาอยทู่ ่ีน่ีอะไรก็ไมม่ ี ไม่
สะดวกสบาย มาอยใู่ นป่ านี่ แน่นอนเคา้ เป็นห่วง พอ่ ครูเห็นจิต
พ่อครูกพ็ ดู ใหฟ้ ัง อานิสงส์ของการบวชเป็นยงั ไง พอแม่จะ
กลบั ทา่ นไม่ห่วงแลว้ แสดงวา่ ตดั หางปล่อยวดั แมช่ ีมีโอกาส
แลว้ กเ็ ดินตอ่ ไป

เรากลายพนั ธุท์ กุ วนั จากคนสมยั ก่อน ฅ ในภาษาไทย
เคา้ ใช้ ฅ.ฅน ฅน แปลเป็นอยา่ งอ่ืนไมไ่ ดเ้ ลย แตย่ คุ ไหนไม่รู้
เคา้ เปลี่ยนเป็น ค.ควาย กบั น.หนู กลายเป็นลูกผสม ระหวา่ ง
ควายกบั หนู คนตรงน้ีมีนยั ยะอยา่ งอื่น แปลเป็นอยา่ งอื่นได้
คือ คน คนใหม้ นั เขา้ กนั น้าแกว้ หน่ึงเอาทรายลงไป กไ็ ปอยู่
ขา้ งลา่ ง เอาน้ามนั ลงไปกไ็ ปอยขู่ า้ งบน เอาเกลือลงไปกอ็ ยู่
ตรงกลาง ลทั ธินิกายที่จะรวมโลก ตอ้ งการใหท้ กุ คนเสมอภาค
เท่าเทียมกนั มนั คนใหญ่เลย มนั ใชค้ นท่ีเป็นค.ควาย คน ขนุ่

5

ไปหมดท้งั โลก ข่นุ ไปหมดท้งั ครอบครัว ทกุ องคก์ รที่ไม่ระวงั
คนมนั กเ็ ลยกลายเป็นอยา่ งอื่น นี่คือ มนั เกิดจากการแปรรูป
เกิดจากการกลายพนั ธุ์ แมก้ ระทง่ั ภาษาก็กลายพนั ธุ์

อาทิตยท์ ่ีผา่ นมา มีภาษาฮิตมากในเมืองไทย ภาษาไทย
กลายพนั ธุ์ มีภาษาใหมข่ ้ึนมา คือ ตรรกะวบิ ตั ิ ซ่ึงมนั เกิดมา
นานแลว้ หลายปี แต่ทุกคนไมเ่ ห็นชดั ตรรกะ แปลวา่ เหตุผล
ตอนน้ีมนั สะทอ้ นใหเ้ ห็นวา่ เราเรียนวชิ าเหตุผล จบสูงสุดแลว้
คุยกนั ไมร่ ู้เรื่อง เราเอาเหตผุ ล อา้ งเหตผุ ลตา่ ง ๆ ตามทิฐิมานะ
ของตวั เอง เรียกวา่ ตรรกะวิบตั ิ ธรรมดาตรรกะตอ้ งอยใู่ น
หลกั การ ท่ีเราตกลงกนั ไว้ สมมติวา่ ตรรกะในประชาธิปไตย
หลกั มนั ตอ้ งเป็นแบบน้ี แต่ตอนน้ีเนื่องจากวา่ เราตอ้ งเอาแพ้
เอาชนะ เรากอ็ า้ งเหตุผลขา้ ง ๆ คู ๆ เพือ่ สนองธงของตวั เอง นี่
เรียกวา่ ตรรกะวบิ ตั ิ ภาษามนั ก็กลายพนั ธุ์ ตามเหตปุ ัจจยั ของ
ความเปลี่ยนแปลง

คาวา่ ตรรกะวบิ ตั ิ แปลวา่ มนั กลายไปในทางที่เสื่อม
แต่เรามาเดินทางสายธรรม เราก็กลายพนั ธุ์ เรากลายจากคน
โมโหร้าย มีความโลภ โกรธ หลง กลายเป็นคนมีเมตตา

6

ร่างกายเราเหมือนเก่า ถา่ ยรูปเราก็เหมือนคนเก่า ไม่ไดเ้ ปลี่ยน
สายตาใหม่ ไม่ไดเ้ ปลีย่ นหูใหม่ ไม่ไดเ้ ปลี่ยนสมองใหม่ แต่
ทาไมบางคนยงั มีความคิดอยู่ แตท่ าไมความคิดเราเปล่ียน เรา
ก็กาลงั กลายพนั ธุ์

ทีน้ีอะไร ที่ทาใหก้ ลายพนั ธุ์ มนั เกี่ยวกบั นามธรรม
ท้งั น้นั ทฤษฎีตา่ ง ๆ เกิดข้ึนจากความเช่ือ ความเชื่อเป็น
นามธรรม ดีใจเสียใจก็เป็นนามธรรม สุขทุกขก์ ็เป็นนามธรรม
อยทู่ ี่วา่ เราใส่ขอ้ มลู แบบไหนเขา้ ไป มนั กไ็ ปส่งเสริมใหเ้ รา
เปลี่ยน เปลี่ยนแนวทางดารงชีวติ เปลี่ยนความคิด เรากลาย
พนั ธุ์ทกุ วนั อยทู่ ี่วา่ เราจะกลายไปในทางทีก่ ุศล หรืออกุศล
เชา้ น้ีก็ถือวา่ เป็นสิ่งทนี่ ่ายนิ ดีสาหรับพอ่ ครู ส่วนใครจะยงั ไง
กเ็ ป็นก็เป็นเร่ือง นานาจิตตงั

ถา้ ในทางโลก เรียกวา่ เป้าชีวิตไมเ่ หมือนกนั อยา่ ไป
เถียงกนั ถา้ พูดเร่ืองเป้าชีวิต รักชอบยงั ไงก็ใชค้ าวา่ นานาจิตตงั
เป็นเรื่องของสิทธิ ทกุ วนั น้ีเรายงิ่ ชอบสิทธิ เรียกร้องสิทธิจน
ลืมหนา้ ท่ี ของความเป็นมนุษยผ์ ปู้ ระเสริฐ ตอนน้ีเราเกิดมา
เป็นคน ซ่ึงมีตาหูจมูกลิน้ กายใจ มีขนั ธ๕์ มีสมองที่โตกวา่ ชา้ ง

7

เรามีโอกาสพฒั นา ไปสู่ความเป็นมนุษยผ์ ปู้ ระเสริฐ กค็ ือ
พรหมวหิ าร วหิ าร คือ ท่ีอยขู่ องมนุษยผ์ ปู้ ระเสริฐ เรียกวา่
พรหมวหิ าร เพอ่ื กา้ วไปสู่ความเป็นอริยะบุคคล เรากก็ ลาย
พนั ธุ์จากคน เป็นมนุษยผ์ ปู้ ระเสริฐ เป็นพระอริยะก็ได้ เป็น
พระอรหนั ต์ เราก็กลายพนั ธุไ์ ด้ หรือ เราจะกลายพนั ธุไ์ ป
เป็นโจร เป็นขโมย เป็นควายกบั หนูผสมกนั

คนทุกวนั น้ีเอามกั ง่าย มนั กก็ ลายพนั ธุ์ ทกุ ๆ วินาที
กาลงั กลายพนั ธุ์ อยทู่ ี่วา่ ถา้ ใครสารวมระวงั เราจะกลายพนั ธุ์
ไปในทางท่ีเป็นกศุ ล ถา้ เราไม่สารวมระวงั กิเลสมนั จะทาให้
เรากลายพนั ธุ์ เป็นเปรตอสูรกาย ซ่ึงอยใู่ นร่างมนุษย์

เอาตัวรอด
วนั ก่อนมีเด็กเพิง่ สอบเขา้ ปริญญาตรี เคา้ เป็นเด็กน่ารัก

เด็กคนน้ีมงุ่ มนั่ พอ่ ครูก็ถาม ลูกเรียนไปทาไม เคา้ ก็นง่ั คิดวา่
เพ่ือเอาตวั รอด พอ่ ครูบอกวา่ ถา้ อยา่ งน้นั ลกู ไปเรียนกบั
ทาร์ซาน ไปเรียนกบั ลิง วิชาลงิ เอาตวั รอด มนั กเ็ อาตวั รอดแลว้

8

มนั หิวก็กิน ง่วงกน็ อน มนั เตน้ แร้งเตน้ กาได้ มนั ลิงโลด ถา้
เรียนแค่เอาตวั รอดเฉย ๆ ทาไมตอ้ งไปทกุ ขย์ ากลาบาก เสียค่า
เทอมอะไร ไปทอ่ งอยตู่ รงน้นั มนุษยเ์ ราผปู้ ระเสริฐ ไมใ่ ช่เรียน
แคเ่ อาตวั รอด ถา้ เราจะเรียนรู้อะไร เราตอ้ งเรียนจนใหเ้ รามี
ส่วนเกิน เพื่อไมใ่ ช่เอาตวั รอด มีส่วนเกินเพอ่ื เป็นผใู้ ห้ นนั่
แหละถึงเรียกวา่ เป็นมนุษย์ ถา้ แคเ่ อาตวั รอด ไปเป็นลิงดีกวา่
เป็นทาร์ซานดีกวา่ ก็สบายดีแลว้

จิตส่ัง หรือ สมองสั่ง
จิต กับ กาย ทาไมเวลาที่เรานง่ั ปฏิบตั ิ เรามคี วามรู้สึกว่า จะ
เคลื่อนไหวร่างกาย เช่น ขยบั คอ หรือ แขน ร่างกายกจ็ ะ
เคลื่อนไหวตามนน้ั ๆ ไม่ทราบว่า เป็นการส่ังการของจิต
หรื อสมอง

ถา้ สมองสง่ั ก็เป็นการเคล่ือนไหวตามสมอง ถา้ สมอง
ไมส่ ัง่ มนั เป็นเอง ก็คือจิตเป็นคนส่ังใหม้ นั ทา แต่ท่ีน้ีบางทีเรา
แยกไมอ่ อก วา่ ใครสงั่ เอาเป็นวา่ สมอง หรือจิตก็ช่าง ก็เป็น

9

เรานนั่ แหละ มีใครในตวั เราหรือ แยกอยา่ งน้ี ถา้ สมองสัง่ กค็ ือ
เราในระดบั สมถะ เราพิจารณาสมถะ ขวาหนอ ซา้ ยหนอ คือ
สมองสั่ง สมองก็คือสมองเราสง่ั แต่ถา้ วิปัสสนาเขา้ ไปในจิต
แลว้ ดาเนินตามจิตสัง่ อนั น้นั เป็นระดบั วิปัสสนา จิตน้นั คือใคร
คาตอบคือ สมองกบั จิต ก็คือเรานน่ั แหละ

เวลาที่เราเจบ็ เทา้ หรือบาดเจบ็ ท่ีร่างกาย เรารู้สึกไปดว้ ย
กบั อาการที่เกิดข้ึน ทางกาย หรือทางเวทนา เพราะอะไร เราถงึ
รู้สึกเจบ็ กบั อาการน้นั ๆ ท้งั ท่ีเป็นอาการท่ีเกิดข้ึนท่ีร่างกาย ท่ี
เรายงิ่ ใหญเ่ พราะเรามีกาย เทวดาทาไม่ได้ เทวดาจ่ายหน้ีกรรม
ความเจบ็ ปวดไม่ได้ เพราะเทวดาไม่มีกาย เทวดาเสพสุขอยา่ ง
เดียว จิตรู้สึกสุข เพราะมนั ติดกรรมดีตรงน้นั แตว่ า่ มนุษยเ์ รา
มีกาย โดยเฉพาะคาวา่ กาย มนั ประกอบดว้ ย ตา หู จมูก ลิ้น
กาย ใจ แตถ่ า้ กายเฉย ๆ ไมม่ ีวญิ ญาณ ความรู้สึกไมม่ ี อยา่ งคน
น้ีตายใหม่ ๆ หวั ใจไมเ่ ตน้ แลว้ ตากย็ งั อยู่ แตท่ าไมมองไม่เห็น
สมองยงั อยู่ ทาไมคิดไม่เป็น ทาไมตีไมร่ ู้สึกเจบ็ ตวั รู้สึกเป็น
เรื่องวิญญาณ

10

สิ่งมีชีวิตตอ้ งประกอบดว้ ยวิญญาณ ถา้ ไมม่ ีวิญญาณ มี
ชีวติ ไมไ่ ด้ โดยเฉพาะส่ิงที่เราทา พอ่ ครูเคยเรียกวา่ มนั ไม่ใช่
ชื่อเรียก เราปฏิบตั ิกาหนดอะไร บางคนพุทโธ ลมหายใจเขา้
ออก กาหนดอิริยาบถยบุ พองอะไรก็ได้ อนั น้ีอิริยาบถบรรพ
แตไ่ ม่มีอะไรแมแ้ ต่หน่ึงอยา่ ง ไม่เก่ียวกบั อายตนะ พอ่ ครูพดู
เร่ืองอายตนะวปิ ัสสนากรรมฐาน ทีน้ีมนั มีการแยง้ วา่ อายตนะ
คือ ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ มนั เป็นเรื่องของกาย มนั ไม่
เกี่ยวกบั จิต แน่นอนมนั เก่ียวกบั อายตนะ ก่อนท่ีจะเขา้ ไปในจิต
จิตมนั ตอ้ งอาศยั อายตนะเหลา่ น้ี รับรู้ผสั สะ ซ่ึงเทวดาไม่มี
อายตนะตรงน้ีแลว้ กร็ ับกระทบไมไ่ ด้ ไมเ่ กิดผสั สะ ขา้ งนอก
คืออายตนะ เรามี รูป รส กล่ิน เสียง สมั ผสั อนั น้ีมีอยแู่ ลว้
ตามธรรมชาติ ดบั มนั ไม่ได้ ส่ิงน้ีมอี ยแู่ ลว้ พอเคา้ ด่าเรา
ประสาทหูมีหนา้ ท่ีเหมือนเป็นเรดาร์ ดูดเสียงเขา้ มา แตม่ นั
ไม่ไดย้ นิ ตวั ไดย้ นิ คือวญิ ญาณหู เรียกวา่ โสตะ

11

เวลาเรานอนหลับอยู่ ทาไมเด็กร้ องไห้ บางทีเราไม่ได้ยิน
ไม่ได้ทาลายประสาทหูทิ้งเลย ทาไมเราไม่ได้ยิน ถามว่า
ร่างกายหลบั หรือจิตหลับ

ร่างกายมนั หลบั ไมเ่ ป็น มนั ตื่นกไ็ มเ่ ป็น เหมือนรถยนต์
คนั หน่ึง ถา้ ไมม่ ีคนขบั ไม่สตาร์ทเครื่อง มนั ก็จอดอยตู่ รงน้นั
หูเราก็เหมือนกนั มนั เป็นกายภาพอยา่ งหน่ึง มนั ไม่รู้สึก แต่
ไมใ่ ช่มนั ไม่มีประโยชน์ มนั มีประสาท มนั มีวญิ ญาณอยนู่ นั่
เพยี งแตว่ า่ เวลาน้นั วญิ ญาณไม่ทางาน เราไมไ่ ดย้ นิ แตเ่ วลาน้นั
ถา้ เราตื่นอยู่ ถึงเราจะนอนเรากไ็ ดย้ นิ เสียง แตเ่ ราไมร่ ู้วา่ เสียง
อะไร มนั ตอ้ งส่งกระแสใหม้ โนวิญญาณ เขา้ ไปในเวบ็ ไซต์
ตอนน้นั ถา้ จิตเรามนั ไมร่ ับกระแส เรากส็ ักแตว่ า่ ไดย้ นิ เสียง

เหมือนเดก็ ๆ อายสุ องขวบ ยงั ไม่เคยไปโรงเรียน เคา้
ไมร่ ู้วา่ มีรถเก๋งคนั หน่ึงสีแดงวง่ิ มา เคา้ ไมร่ ู้วา่ สิ่งน้นั คืออะไร
สีอะไรกไ็ ม่รู้ เคา้ รู้แตว่ า่ ส่ิงหน่ึงวิง่ มา ถา้ ตอนน้นั เราก่ึงหลบั
ก่ึงต่ืน วิญญาณหูมนั รับรู้ มนั ไดย้ นิ เสียง แตม่ นั ไม่รู้วา่ เสียง
อะไร มนั ตอ้ งส่งไปในมโนวญิ ญาณ เขา้ ไปในเวบ็ ไซต์ ถา้
ตอนน้นั มโนวิญญาณเรามนั ตื่น มนั รู้เลยวา่ เสียงนายแดงร้อง

12

เพราะเราบนั ทึกเป็นภาษาไทยวา่ นายแดง เราจาเสียงนายแดง
ได้ แตถ่ า้ เราเป็นฝรัง่ เคา้ บนั ทึกสญั ญาเป็นภาษาองั กฤษ บอก
เสียง Mr. Red ตวั รู้วา่ เสียงอะไร ตอ้ งอยขู่ า้ งใน นี่คือขบวนการ
ทางาน ของวญิ ญาณ๖ มนั อยทู่ ่ี ตา หู จมกู ลนิ้ กาย บงั เอิญวา่
ถา้ วญิ ญาณมนั ไม่มีกาย มนั กร็ ับผสั สะไมไ่ ด้

คาวา่ ผสั สะ คือ การกระทบ เหมือนเราเขว้ยี งลกู เทนนิส
เขา้ ไปขา้ งฝา มนั กระทบขา้ งฝา มนั ก็เดง้ ออกมา อนั น้ีเรียกวา่
ผสั สะ ขบวนการของร่างกาย เรามีอายตนะภายในคือ ตา หู
จมกู ลิน้ กาย ใจ มีหกอยา่ ง หกช่องประตู หา้ ช่องขา้ งนอก คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นตวั รับผสั สะขา้ งนอก ใจเป็นตวั รับ
อารมณ์ เป็นโกดงั เก็บอารมณ์ กิเลสมนั เกาะอยตู่ รงน้ี เราทา
ตามใจเราตลอด

เรารู้สึกเจบ็ วญิ ญาณทีก่ ายรับผสั สะ มนั รู้ แตม่ นั รู้เฉย ๆ
ถา้ เป็นทาร์ซาน มนั ไมร่ ู้วา่ มนั เจบ็ เพราะมนั ไมร่ ู้ภาษาวา่ นี่คือ
เรียกวา่ เจบ็ แต่มนั รู้สึกวา่ มีอะไรกระทบมนั ยกตวั อยา่ งเพื่อน
สนิทเรา สนิทกนั มาก เคา้ ตีเราแรงมากแลว้ เราตกใจ เราหนั ไป
เป็นเพอ่ื นเราเอง เรากไ็ ม่รู้สึกเจบ็ เราดีใจดว้ ยเพอ่ื นเลน่ กบั เรา

13

แต่ถา้ เป็นคูอ่ ริ เห็นหนา้ มนั กว็ นี แลว้ แค่พดู เฉียดหูเราเฉย ๆ
ไม่ไดต้ ีเราดว้ ย กระทบหูเฉย ๆ เจบ็ มากเลย เจบ็

ภาษาไทยเขา้ ใจไปในรูปวา่ เป็นเรื่องไมด่ ี แต่ทาร์ซาน
มนั ไมร่ ู้วา่ อยา่ งน้ีเรียกวา่ เจบ็ แต่ไม่ใช่มนั ไมร่ ู้สึกวา่ มีอะไร
ชนมนั มนั รู้ แต่มนั ไมเ่ รียกวา่ เจบ็ แต่ภาษาเคา้ บอกวา่ อยา่ งน้ี
เรียกวา่ เจบ็ และฉนั ไม่ชอบ เจบ็ กายเฉย ๆ ไมพ่ อ เจบ็ ใจดว้ ย
เจบ็ กายนี่10% มาเจบ็ ใจอีก90 รวม100% เจบ็ น้ีเจบ็ มาก ๆ เจบ็
จนฆ่าคนกไ็ ด้ เคา้ ไม่ไดต้ ีเราเลย กายเราไมไ่ ดส้ ัมผสั มนั ด่าเรา
นี่วนี เลย เอาปื นยงิ มนั ฆ่ามนั อนั น้ีเรียกวา่ เจบ็ ใจ มนั กระทบ
ท่ีใจ บงั เอิญเรารู้ภาษาวา่ คาวา่ เจบ็ นี่ไม่ดี แตพ่ วกซาดิสมท์ ี่เคา้
เป็นโรคจิตอยา่ งหน่ึง ยง่ิ ตียงิ่ เฆ่ียนเคา้ สนุกมาก เคา้ ไม่เรียกวา่
เจบ็ เคา้ เรียกวา่ ชอบมาก มีความสุข มนั อยทู่ ีเ่ ราบนั ทึกสัญญา
ไวอ้ ยา่ งไร มนั ก็เกิดอปุ าทานอยา่ งน้นั

เราโดนผ้ึงตอ่ ยตรงน้ี มนั เจบ็ วงิ่ ไปจะไปทายาหมอ่ ง
เหยยี บตะปูทะลขุ า มนั มาเจบ็ ตรงขา เจบ็ ตรงที่แรกหายไป
ไหน กาลงั เจบ็ ๆ อยทู่ ่ีขา เห็นลกู ตกบนั ไดบา้ น หวั แตก
ตรงที่ขาก็หาย แลว้ ไปเจบ็ ท่ีหวั ลูก แลว้ มาเจบ็ ที่ใจตวั เอง ความ

14

เจบ็ ปวดอยทู่ ี่เราใหน้ ยั ยะมนั แลว้ ถา้ ใหน้ ยั ยะ ในทางที่ตดิ ลบ
ฝ่ ายไม่ดี เราก็รู้สึกเจบ็ แลว้ ก็ปวดดว้ ย แลว้ กท็ ุกขท์ รมานกบั
สิ่งน้นั แตถ่ า้ คนที่เคา้ เป็นโรคจิต เคา้ ฝึกวา่ เคา้ ตอ้ งการ ท่ีเรา
เรียกวา่ เจบ็ ปวด เคา้ รู้สึกสะใจ เคา้ รู้สึกมีความสุข เจบ็ น้นั ทาให้
เคา้ มีความสุขได้ อยทู่ ี่วา่ เราจะบนั ทึกสัญญาความรู้วา่ อยา่ งไร

เช่นเดียวกบั บางขณะ ที่จิตมีอารมณ์ตา่ ง ๆ เกิดข้ึน เช่น
เศร้าใจ เสียใจ ทอ้ แท้ ผิดหวงั หรือดีใจ ตื่นเตน้ หรืออาการ
กลวั กายภาพก็จะรับผลจากความรู้สึก ตามท่ีเกิดไปดว้ ย เช่น
ทอ้ แท้ ผดิ หวงั กจ็ ะทาใหร้ ่างกายทรุดโทรมลง กลวั มาก ๆ จน
ตวั สั่น หวั โกร๋น โกรธโมโหมาก ๆ จนมือสน่ั ใจส่ัน นี่คือคา
วา่ นามธรรมเรา ความรู้สึกของจิตส่งผลถึงกายภาพ ท่ีเราสั่น
เห็นร่างกายเราส่นั จริง ๆ เลย อาการสน่ั มนั เกิดจากความรู้สึก
ของจิต ทาใหร้ ่างกายมนั ส่ัน ที่จิตเรารู้สึก มนั เป็นเร่ืองของ
วญิ ญาณรู้สึก อยา่ งคนตายใหม่ ๆ ไมร่ ู้สึก ร่างกายก็ยงั อยู่
กายยงั อยู่ ยงั ไมเ่ น่าเลย แลว้ ทาไมไมร่ ู้สึก พ่อครูถึงบอกวา่
ทุกอยา่ งจบอยทู่ ่ีจิต

15

ถา้ จิตเราวางสงั ขารแลว้ ถึงแมเ้ ราตดั แขน ไม่ใช่ไมร่ ู้สึก
เจบ็ กายวิญญาณมนั เจบ็ มนั อยทู่ ี่กาย มนั รู้สึกเจบ็ คาวา่ เจบ็
มนั รู้สึกเจบ็ แต่ถา้ จิตไมไ่ ปเจบ็ กบั มนั กเ็ จบ็ แค่10% เราไมไ่ ป
ทกุ ขก์ บั มนั แตต่ อนน้ีจิตเรา ไปยดึ มนั่ ถือมน่ั กบั กายภาพ ไป
หลงขนั ธ๕์ ท่ีเราฝึกจิต จิตหลุดพน้ ดวงตาเห็นธรรม มนั หลดุ
พน้ ไปไหน มนั หนีไปไหน มนั ไมไ่ ดห้ นีไปไหน มนั หลดุ พน้
ออกจากความเป็นทาส ของขนั ธ๕์ โดยเฉพาะไอใ้ จ มนั อิสระ
จากใจ

เจบ็ ใจก็อยทู่ ี่ใจ ทกุ ขใ์ จก็อยทู่ ี่ใจ ตกใจกอ็ ยทู่ ี่ใจ กลวั
ใครกลวั กใ็ จมนั กลวั ใจท่ีมนั รู้สึกกลวั มนั มีมโนวญิ ญาณอยู่
ที่ใจ ลาพงั กอ้ นเน้ือซ่ึงเรียกวา่ หวั ใจตรงน้ี ถา้ เกิดไม่มีวิญญาณ
มนั กไ็ มเ่ ตน้ ดว้ ย มนั ไมป่ ั๊มเลือด หลอ่ เล้ียงร่างกายดว้ ย ตวั รู้สึก
มนั เป็นตวั มโนวิญญาณ เกาะอยทู่ ่ีใจ มนั อาศยั ใจเป็นตวั รับรู้
อารมณ์ มนั อาศยั หูรับรู้เสียง มนั อาศยั ตารับรู้รูป มนั อาศยั จมูก
รับรู้กลิ่น มนั อาศยั ลิน้ รับรู้รส มนั อาศยั กายภาพ ทุกเซลลท์ ุก
อณูมีวญิ ญาณอยู่

16

วญิ ญาณเหล่าน้ี มนั เป็นพลงั งานของจิต เป็นเครื่องมือ
ของจิต ท่ีมารับรู้ผสั สะ แตถ่ า้ จิตถูกกิเลสครอบงาแลว้ มนั จะ
ตดั สินใจตามความรู้ที่บนั ทึกไว้ มนั บนั ทึกไวว้ า่ ไมช่ อบถูกด่า
พอมนั ถูกด่ามนั จะรู้สึกโกรธ เคา้ เรียกวา่ อวิชชา เราใส่ความรู้
ผดิ เขา้ ไป กลายเป็นอวิชชาท้งั น้นั ตวั น้ีคือทาใหเ้ ราเกิดทุกข์
เกิดมีความอยากได้ อยากดี อยากเด่น อยากดงั อยากชนะ
ความอยากเราน่ี เกิดจากเราเรียนรู้ บงั เอิญยง่ิ เรียนกย็ ง่ิ ไมร่ ู้
ยง่ิ เรียนก็ยง่ิ คุยกนั ไมร่ ู้เร่ือง ยงิ่ เรียนกย็ ง่ิ ทกุ ข์ เพราะแสดงวา่
สิ่งที่เราเรียนรู้น้นั มนั เป็นความรู้ผดิ มนั ทาใหเ้ ราทุกข์ ทาให้
เราโง่ ทาใหเ้ ราเจบ็

อาการท่ีมนั กระทบเฉย ๆ เรียกวา่ ผสั สะ มนั ไมไ่ ด้
เรียกวา่ เจบ็ เจบ็ ไมเ่ จบ็ มนั อยทู่ ี่ใจเรา มนั ไม่ชอบ มนั ก็บอกวา่
เจบ็ ใจ มนั ไม่ไดแ้ ปลวา่ เจบ็ มนั แปลวา่ ผสั สะ ทาร์ซานไม่รู้จกั
คาวา่ เจบ็ มนั ไม่ไดเ้ รียนภาษา แตไ่ มใ่ ช่ไม่รับรู้ผสั สะ มนั รับรู้
ผสั สะ แต่มนั ไมต่ อ้ งตดั สินวา่ เจบ็ เพราะมนั ไมร่ ู้วา่ เจบ็ คือ
อะไร แต่ตอนน้ีเรารู้วา่ เจบ็ ไมด่ ี แตบ่ างคร้ังเรากก็ ลวั ตาย เคา้
จบั เราไปฉีดวคั ซีน กเ็ อาเขม็ แทงเลย กลวั เจบ็ กก็ ลวั แต่กลวั

17

ตายมากกวา่ ก็เลยยอมใหม้ นั เจบ็ เรารู้วา่ เรารักอยดู่ ี ๆ พอ
อกหกั มนั เจบ็ แต่ฉนั กย็ งั รักอยู่ รู้วา่ ถา้ อกหกั ใช่ไหม เจบ็ ไหม
เจบ็ แต่แกลง้ ลืมมนั ก่อน เอารักก่อน เพราะตวั อยากรักมนั
มากกวา่ บางทีรู้ท้งั รู้ สมองรู้แตจ่ ิตไมร่ ู้ จิตมนั ถูกกิเลสครอบงา
แลว้ มนั อยากจะรัก ช่างมนั ไปตายเอาดาบ น่ีคือความรู้ผิด

เวลาที่เราทางานหนัก ๆ ร่างกายเหนื่อยเพลยี มาก กายอ่อนล้า
เราหลบั ไป ทาไมเราถึงไม่รู้สึก ไม่ได้ยินสิ่งต่าง ๆ ภายนอก
อยากทราบว่าร่างกายหลับ หรือจิตหลับ หรือเป็นเพราะว่า
ร่างกายเหนื่อย หรือจิตเหน่ือย

บอกแลว้ วา่ ร่างกายมนั ไมม่ ีความรู้สึก ความรู้สึกมนั เกิด
จากจิต ท่ีวา่ เหนื่อยท่ีใจ คาวา่ ใจ ไม่ใช่หวั ใจอยา่ งเดียว ตวั รู้สึก
ที่มนั เหน่ือย คือตวั วญิ ญาณท่ีใจ มโนวิญญาณ ความรู้สึก
ท้งั หมดมนั เป็นเร่ืองของจิตวิญญาณ จิตไม่เกิดไมด่ บั แต่ทีน้ี
พลงั งานของเคา้ เคร่ืองมือของเคา้ คือมี วญิ ญาณ๖ วิญญาณ
ตรงน้ีมาอยทู่ ี่ตา เรียกวา่ จกั ษุวิญญาณ อาศยั ตาเป็นตวั มองเห็น

18

รูป วิญญาณอยทู่ ่ีหูเรียกวา่ โสตะวิญญาณ อาศยั ประสาทหูใบหู
เป็นตวั รับรู้เสียง รู้กส็ ่งไปใหม้ โนวิญญาณ เขา้ ไปในกลอ่ ง
บนั ทึกสัญญาเรา นี่คือ ขบวนการทางานของร่างกายมนุษย์
พ่อครูถึงบอกจบอยทู่ ่ีจิต

เม่ือวานพอ่ ครูพาเดก็ ๆ มธั ยมไปหลายแห่ง ไปปี นเขา
พอ่ ครูห่วงเด็ก ก็ไตล่ งไปกบั เคา้ เวลาลงไปไมเ่ ป็นไร เวลา
ข้ึนมา เรารู้วา่ ตอ้ งใชก้ าลงั หน่อยนึง ตอนน้ีเข่าพอ่ ครูไม่ดี
เหมือนพอ่ ครูเดินขาเดียว แลว้ มนั ไมส่ มดุล ร่างกายมนั แสดง
อาการ แต่ความรู้สึกเหน่ือยพอ่ ครูไมม่ ี แต่ร่างกายเราใชม้ นั
มนั ตอ้ งมีปฏิกิริยา ความรู้สึกเราไม่มีอยแู่ ลว้ ถา้ เราใชใ้ จเดิน
มนั จะเหน่ือย มนั เหนื่อยท่ีใจ แต่ใจไมไ่ ดห้ มายถึงกอ้ นเน้ือตรง
น้นั มนั มีมโนวญิ ญาณดว้ ย เป็นตวั รับรู้อารมณ์ ถา้ เราแยกจิต
แยกใจไดแ้ ลว้ จิตมนั ทางาน แตย่ งั ไงกช็ ่าง ร่างกายเหมือน
รถยนต์ มนั แก่แลว้ เราก็ตอ้ งใชม้ นั อยา่ งระวงั เหมือนกนั เร่ือง
เหนื่อยมนั ไมม่ ี เร่ืองกลวั มนั จะมีไดอ้ ยา่ งไร มนั กไ็ ม่มี เอาเป็น
วา่ ทกุ อยา่ งจบอยทู่ ี่จิต ในขณะที่เรามีชีวติ อยนู่ ้ี กายและจิตของ
เราจะมีอาการและอารมณ์ ท่ีส่งผลสัมพนั ธถ์ ึงกนั ตลอดเวลา

19

แต่ถา้ ตอ้ งถึงเวลา ท่ีหมดเวลาของกายน้ี ทาไมจิตไม่
สามารถสั่งการกบั ร่างกายไดอ้ ีกต่อไป ตวั เช่ือมตอ่ จิตกบั กาย
มนั วางแลว้ วญิ ญาณมนั กลบั สู่จิตหมด มนั ไมม่ ีตวั เช่ือมแลว้
แตบ่ างคนตายแลว้ เจด็ วนั ทาไมฟ้ื น ท่ีวา่ ช่วงท่ีจิตเคา้ ออกจาก
ร่างแลว้ ไม่ตอ้ งตายหรอก บางทีเราถอดกายทิพยเ์ ป็น บางที
หวั ใจไม่เตน้ เลย หายใจทางผวิ หนงั วญิ ญาณมนั ยงั อยู่

กายทิพย์ คือจิตเราออกจากร่าง แลว้ เราจะรู้วา่ เราเป็น
ใคร เราไมใ่ ช่ร่างกายน้ี บางคนบอกวา่ จิตมนั ออกจากใจได้
ยงั ไง พอ่ ครูบอกวา่ จิตหลดุ พน้ ดวงตาเห็นธรรม จิตมนั หลดุ
ออกมาจากใจ หลุดออกมาไดย้ งั ไง มนั กต็ ายสิ เคา้ ไม่รู้วา่
จิตกค็ ือจิต วิญญาณก็คือวิญญาณ คนละส่วนกนั เราเรียกวา่
จิตวิญญาณ อยา่ วา่ แตจ่ ิตวญิ ญาณเลย จิต วิญญาณ กาย แยก
ไมอ่ อกเลย อยา่ งคาวา่ หู มีใบหู ประสาทหู ติ่งหูเทา่ น้นั เอง
ความไดย้ นิ ไมเ่ กิดข้ึน มนั ตอ้ งมีวญิ ญาณหูแทรกอยใู่ นน้นั อยู่
ดว้ ยกนั เลย แยกไมอ่ อก เราเรียกวา่ หู มนั ตอ้ งรวมวญิ ญาณดว้ ย

ชีวติ เราท้งั ร่างกายท้งั หมด คาวา่ เราตาย เราสิ้น หวั ใจ
มนั ไมเ่ ตน้ แลว้ แน่นอนขบวนการทางาน ของกายภาพเร่ือง

20

เลือดลม เลือดมนั กไ็ ม่วิ่ง ไม่เล้ียงร่างกาย แลว้ กว็ ญิ ญาณมนั
วางกายภาพหมด ตวั เชื่อมต่อระหวา่ งจิตกบั กาย มนั ตดั กระแส
หมด คาตอบคือวา่ มนั สั่งไม่ได้

ท่ีว่าเจริญมรรคนอกมรรคใน มรรคนอกคือ ทาน ศลี ภาวนา
มรรคใน คือ มรรคจิต ทพี่ วกเรากาลังดาเนินอยู่ คาถามคือ
ภาวนาในมรรคนอกนคี้ ืออะไร ใช่อิริยาบถยืน เดิน นัง่ นอน ที่
สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น ใช่หรือไม่

มรรคใน มรรคนอก บวกกบั มกั มาก มกั รู้มาก เราจะ
ชอบเอาภาษามาต้งั โจทย์ แลว้ คุยกนั วา่ อะไรคือ มรรคนอก
มรรคใน เหมือนที่เคา้ บอกวา่ นิพพานคืออตั ตา อนตั ตา นี่คือ
นกั วชิ าการ อยากรู้ น่ีคือมกั มากดว้ ย ที่พอ่ ครูบอกวา่ มรรค
ภายนอก ทาน ศีล ภาวนา ก็คือวา่ มนั ตอ้ งมีการกระทาเกิดข้ึน
เราเป็นคนข้ีเหนียว เราใหท้ านไม่ไดใ้ ช่ไหม เราตอ้ งให้ เคา้
เรียกวา่ outside in พฤติกรรมขา้ งนอกเราเพอื่ เปล่ียนขา้ งใน คือ

21

เรามีแตจ่ ะเอา เอาแลว้ กด็ ีใจ ใหไ้ มไ่ ด้ แลว้ ก็อุม้ ความโลภ
ความตระหนี่เราอยตู่ รงน้นั จิตมนั ก็เป้ื อน

มรรคภายนอกก็คือวา่ ตอ้ งฝืนกิเลสเรา มนั ไมใ่ ห้ ฉนั ให้
ฉนั โกรธมนั ฉนั ใหอ้ ภยั เรากท็ าลายตวั อตั ตาตวั ตนเรา ตวั ทิฐิ
มานะ ตวั พยาบาท น่ีคอื มรรคภายนอก แลว้ ศลี ภายนอก ศีล๕
ศีล๘ ศีล๑๐ ศีลปาติโมกข์ ศีลวินยั ที่เคา้ ต้งั กติกาข้ึนมา เพ่ือ
เตือนสติเรา เราอยากโกหกเคา้ เราก็เอาศีลมาบงั คบั วา่ ไม่โกหก
คือฝืนตวั เอง พฤติกรรมขา้ งนอกเราก็เปลี่ยนขา้ งใน เราฝืนมนั
บ่อย ๆ เรากเ็ ปล่ียนอปุ นิสยั เราได้ แตถ่ า้ เราไม่ฝืน เราทาตาม
กิเลสเรา อยากไดก้ โ็ กหก อยากไดก้ ็ขโมย ทาตามตลอด อนั น้ี
เราไมเ่ จริญมรรคขา้ งนอก ขา้ งนอก กค็ ือ พฤติกรรมขา้ งนอก
ตอบกวา้ ง ๆ ก็แลว้ กนั พฤติกรรมขา้ งนอก

ส่วนเจริญภาวนาขา้ งนอก พอ่ ครูแยกเป็นระดบั สมถะก็
แลว้ กนั คือวา่ เราอยกู่ บั ปัจจุบนั ตลอด มีสติดาเนิน ทาอะไรกร็ ู้
แมก้ ระทงั่ ยนื เดิน นงั่ นอน ก็รู้ วิ่งกร็ ู้ เตน้ กร็ ู้ ขบั รถกร็ ู้ อะไร
พวกน้ี แมก้ ระทง่ั การสวดมนตไ์ หวพ้ ระ กเ็ รียกวา่ เจริญภาวนา
อยา่ งหน่ึง แต่เป็นระดบั สมถะกรรมฐาน คือใหจ้ ิตเราจดจ่อ

22

เป็นหน่ึงเดียว กบั ส่ิงท่ีเราดาเนิน คือ outside in ทกุ ขบวนการ
ที่เราเจริญมรรคขา้ งนอก คือพยายามฝืนกิเลสเรา เพอ่ื เปล่ียน
ขา้ งใน ไม่ใช่สนองกิเลส

ส่วนถา้ เราเขา้ ไปมรรคจิต เราเขา้ ไปในจิตแลว้ เรียกวา่
มรรคจิต มรรคภายในเป็นเร่ืองจิตลว้ น ๆ ศลี ท่ีอยใู่ นจิตน้นั
เป็นศีลปกติ ถา้ เราเร่ิมตน้ จากสมาธิ สมาธิสงบนิ่งเป็นปกติ
แลว้ อารมณ์ศีลก็เกิดข้นึ พร้อมที่จะเจริญปัญญา คือระดบั
ข้นั วปิ ัสสนา แตข่ ้นั ตอนน้ี เครื่องมือท่ีจะเขา้ ไปตรงน้นั ได้
พระพทุ ธเจา้ กช็ ้ีทางใหเ้ รา ก็คือใชเ้ ครื่องมือ มหาสติปัฏฐาน
ส่วนระดบั สมถะกรรมฐาน ใชส้ ติ เรายนื เดิน นง่ั นอน
เราทางาน ตอ้ งมีสติ เรียกวา่ อนุสติ แตอ่ นุสติน้ีมีสองข้นั ตอน
ข้นั ตอนหน่ึงคือใชส้ ติตรงน้ี ดาเนินชีวติ เป็นมรรคภายนอก
แตว่ า่ เวลาเราเจริญสติ มนั เป็นการเจริญสมถะกรรมฐาน เป็น
การฝึกสติอยู่ เป็นข้นั ตอนฝึก แตข่ ้นั ตอนเดินทางจริง ๆ
มรรคภายนอก ก็คือใชม้ นั เป็นสติสมั ปชญั ญะ คือ รู้ตวั ทว่ั
พร้อม ใชส้ ติท่ีเรามอี ยดู่ าเนินตลอดยสี่ ิบส่ีชวั่ โมง

23

สภาวะออโตเมติกคือสภาวะโพชฌงค์ใช่หรือไม่ เราเข้าไปใน
จิตได้แล้ว เท่ากับเราอย่ใู นมรรคในทางแล้ว หมายความว่าเรา
อย่ขู นั้ ตา่ สุดในกระแสมรรค ระดบั โสดาปัตติมรรคใช่หรือไม่
เท่ากบั ทุกคนท่ีเข้าจิตได้ จะเหลืออีกเจด็ ชาติ เป็นอย่างมากใช่
หรื อไม่

อยากรู้เป็นข้นั เป็นตอน พูดแตเ่ ร่ืองมกั มาก กไ็ ม่เป็นไร
คาวา่ โพชฌงค์ เราจะแปลวา่ เป็นออโตเมติก ถา้ เราเขา้ ใจ
ออโตเมติกวา่ อยเู่ ฉย ๆ ก็เกิดข้ึนเอง มนั กไ็ มใ่ ช่โพชฌงค์ เรา
ตอ้ งเขา้ ไปในจิตในจิต แลว้ มนั ดาเนินเอง ตามท่ีจิตมนั ดาเนิน
แต่เราเรียกแบบน้นั วา่ ออโตเมติกกไ็ ม่ผิด แตถ่ า้ เหมารวมวา่
โพชฌงคค์ ือออโตเมติก อยา่ งน้ีเครื่องออโตเมติก อตั โนมตั ิ
ตา่ ง ๆ กเ็ ป็นโพชฌงค์ ภาษาเราตอ้ งระวงั ถา้ เราบอกใช่ เคา้ ก็
เอาคาตอบตรงน้ีไปนงั่ ถกกนั อีก เพื่อนเคา้ กว็ า่ ครูบาอาจารยก์ ็
วา่ อยา่ งน้ี เด๋ียวจะอา้ งครูบาอาจารยเ์ หมือนกนั ท่ีช่ือวา่ พ่อครู
บญั ชาวา่ อยา่ งน้ี พ่อครูไม่ติดบ่วง ไม่ติดกบั ดกั

ถา้ เราตอบวา่ ใช่ โพชฌงคน์ ้นั เป็นออโตเมติก ก็เอาคาน้ี
ไปพูดกนั มนั เป็นมิจฉาทิฐิ คือ ถา้ เราเขา้ ไปในจิตในจิตไดแ้ ลว้

24

ทีน้ีจิตเคา้ ดาเนินเอง ตามธรรมชาติของเคา้ นน่ั แหละเรียกวา่
เรามีสติสัมโพชฌงค์ อยา่ งเราเตน้ เราหมนุ แรง ๆ หมนุ เร็ว ๆ
ถา้ เราไมม่ ีสติ เรากล็ ม้ แลว้ เราก็ไปชนคนน้นั คนน้ี จิตเคา้ กาลงั
ดาเนินโพชฌงคอ์ ยู่ ทกุ อยา่ งดาเนินไป ตามธรรมชาติของจิต
ถา้ เขา้ ไปในจิตในจิตไมไ่ ด้ เราเรียกโพชฌงคไ์ ม่ได้ ออโตเมติก
ขา้ งนอกยงั ไมใ่ ช่โพชฌงค์ ออโตเมติก ตามความเคยชินเรา นี่
กไ็ ม่ใช่

คาวา่ โพชฌงค์ ตอ้ งเป็นเรื่องของจิตในจิต เป็นเร่ืองของ
อารมณ์ลว้ น ๆ ทีน้ีคาถามเคา้ โยงกนั อยู่ ตอ้ งหาคาตอบทีละ
อยา่ ง เพราะวา่ เป็นนกั ถกปัญหา เป็นนกั หาคาตอบ ดว้ ยเหตุผล
แบบตรรกะ เรากพ็ ดู ไปตามท่ีตาราเคา้ บอกนนั่ แหละ ถา้ ข้นั
ต่าสุดคือ โสดาปัตติมรรค แลว้ ก็อีกเจด็ ชาติ อนั น้ีเคา้ กว็ า่ กนั
ตามทฤษฎี ตามวชิ าการ ทีน้ีต้งั แต่เริ่มตน้ เราบอกวา่ เราเขา้ ไป
ในจิตแลว้ เราโสดาปัตติมรรค เคา้ บอกวา่ ไม่ใช่ ครูบาอาจารย์
เคา้ บอกวา่ ไมใ่ ช่ กเ็ ถียงกนั อีก เจด็ ชาติจริงหรือเปลา่ เป็นเร่ือง
ของอนาคต แมก้ ระทงั่ เราบอกวา่ เราตายแลว้ เกิด ตายแลว้ ดบั
พระพุทธเจา้ บอกวา่ เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่มีสูตรตายตวั วา่ ตายแลว้

25

เกิด หรือตายแลว้ ดบั บางคนเกิด บางคนดบั มนั เป็นไปตาม
เหตแุ ละปัจจยั

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ท่าไหนเป็นท่าหลักท่ีเราใช้ในการต่อยอด
หรื อ เป็ นท่ าที่เราติด แล้วทาให้ เราแป๊ ก หรื อ ท่ าหลัก
กับ ท่าแป๊ ก คือท่าเดียวกัน

อะไรกไ็ ม่รู้ คนน้ีไม่ไดเ้ จริญมรรค คนน้ีมกั มากจริง ๆ
ต้งั ท่าแป๊ ก ทา่ หลกั ทา่ อะไร ปฏิบตั ิไปเถอะ ไม่ตอ้ งเร่ืองมาก
ไดไ้ หม ไมต่ อ้ งไปต้งั ชื่อมนั ทา่ ไหน สาคญั วา่ เราพยายามมีสติ
วา่ เราไม่ไปติดมนั พวกเราชอบไปทายทกั กนั บางคนบอกวา่
ฉนั เสียเวลามาต้งั สามปี กบั การราอยตู่ รงน้นั เลยบอกคนอ่ืน
อยา่ เสียเวลา เหว่ยี งมนั ทิง้ พอ่ ครูบอกเหวย่ี งทงิ้ คาวา่ เหวีย่ งทงิ้
ไมใ่ ช่เหว่ยี งทา่ น้นั ทิง้ เหว่ยี งความยดึ มนั่ ถอื มน่ั ท่ีเราจะไปหลง
มนั ทิง้ แตถ่ า้ เราไมห่ ลงมนั มนั กด็ าเนินของมนั

เราเจริญพุทโธ ครูบาอาจารยย์ คุ ร้อยปี ที่ผา่ นมา สายวดั
ป่ า ทา่ นตามลมหายใจเฉย ๆ ทา่ นกต็ ิดสิ เป็นแป๊ กสิ เราทาทา่

26

เก่า ๆ น้นั แตเ่ ราไม่ไปติดไดไ้ หม ก็ได้ ตารวจไมจ่ บั แตค่ น
ที่ติด จะเปล่ียนทา่ ใหม่ ๆ นนั่ แหละคุณติด คุณติดอยากเปล่ียน
ท่าใหม่ เอาเป็นวา่ ท่าเก่าท่าใหม่ อยา่ ไปติดมนั กโ็ อเค ทาจน
มนั ชานาญ สาหรับเวลาน้นั เราไมไ่ ดค้ ิด เราไม่ไดป้ รุงแตง่ เรา
ไมไ่ ดต้ ีหวั ใคร เราไมไ่ ดไ้ ปทาชวั่ ท่ีไหน เราไม่ไดไ้ ปหลงมนั
มนั ไม่ไดเ้ กี่ยวกบั ท่าไหน ทาไปเถอะ ไมต่ อ้ งไปต้งั ชื่อ อนั น้ีท่า
แป๊ ก อนั น้ีท่าไมต่ ิด ทา่ อะไรก็ไม่รู้

แลกเปล่ียนกบั ผ้รู ู้ปริยตั ิ อธิบายว่า วิธีดาเนินที่เราทาอย่นู เี้ ป็น
มรรคจิต เค้าท้วงติงว่าไม่น่าใช่ เพราะเท่าท่ีครูบาอาจารย์บอก
ในสังสารวฏั ของดวงจิตดวงหน่ึง ๆ จะเกิดมรรคเพียงส่ีคร้ัง
คือ เมื่อจิตจะเล่ือนขนั้ จากปุถชุ น ไปถึงโสดาบนั ไปถึง
สกิทาคามี ไปถึงอนาคามี อรหันต์ ถึงจะเรียกว่าเป็นมรรคจิต
อยากให้พ่อครูอธิบายให้ด้วย จะได้ไปแลกเปลยี่ นให้เข้าใจ

จา้ งก็ไม่มีวนั เขา้ ใจ แตไ่ มเ่ ป็นไร ถามมาก็ตอบไป ทุก
คนกอ็ า้ งครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารยก์ อ็ า้ งตาราอยตู่ รงน้นั มนั

27

ไมจ่ บหรอก อา้ งตามทฐิ ิมานะของเรา ทาไมไม่ลองมาปฏิบตั ิดู
พอเราพดู ภาษา เคา้ บอกวา่ การเกิดมรรคจิต เกิดแคส่ ่ีคร้ัง อนั น้ี
คุณเจริญมรรคอยเู่ ป็นปี ๆ เลย มนั ไมใ่ ช่มรรคจิตอยา่ งเคา้ เลย
เคา้ เขา้ ใจคอ่ นขา้ งคลาดเคล่ือน มีคาวา่ มรรค๔ ผล๔ นิพพาน๑

มรรค๔ คืออะไร ไม่ใช่เจริญมรรคแค่สี่คร้ัง คร้ังแรกก็
โสดาบนั พอเจริญมรรคคร้ังท่ีสอง ก็สกิทาคามี จากปถุ ชุ น
โสดาบนั สกิทาคามี อนาคามี อรหนั ต์ นี่คือผลของมรรค
ไม่ใช่มรรค ส่วนมรรคเป็นช่วงกาลงั เดินทาง พอ่ ครูอธิบาย
เร่ืองน้ีหลายคร้ังแลว้ ยกตวั อยา่ งมนั ไม่ใช่เรื่องจริงๆ สมมติวา่
เด็กคนน้ีเพงิ่ เขา้ มหาวิทยาลยั ได้ ช่วงที่กาลงั เรียนปริญญาตรี
เรียกวา่ เจริญมรรคข้นั โสดาปัตติมรรค เคา้ กาลงั เรียนอยู่ ช่วงท่ี
เคา้ กาลงั เดินทาง เรียกวา่ กาลงั อยใู่ นข้นั โสดาปัตติมรรค เมื่อ
เคา้ จบปริญญาตรีแลว้ เคา้ ไดร้ ับปริญญาบตั ร เกิดผลแลว้ เคา้ ก็
เป็นนกั ศึกษาจบปริญญาตรี คือ โสดาปัตติผล โสดาปัตติมรรค
โสดาปัตติผลคูแ่ รก

เคา้ ไม่พอใจ เคา้ เรียนเก่ง เคา้ ก็เรียนปริญญาโทตอ่ ช่วง
ท่ีเรียนปริญญาโทเรียกวา่ สกิทาคามีมรรค ช่วงที่กาลงั เดินทาง

28

พฒั นาใหต้ วั เองกา้ วไปสู่พระสกิทาคามี เม่ือเคา้ จบปริญญาโท
แลว้ เคา้ กก็ ลายเป็นพระสกิทาคามี คือผล เคา้ เป็นนกั ศึกษา
ปริญญาโทแลว้ เคา้ ไมพ่ อใจ เคา้ อยากเป็นดอกเตอร์ เคา้ กไ็ ป
เรียนปริญญาเอก ช่วงท่เี คา้ กาลงั เรียนอยู่ เรียกวา่ อนาคามีมรรค
เป็นทางเดินของพระอนาคามี เคา้ เป็นนกั ศึกษาปริญญาเอก
เป็นแคน่ กั ศึกษา เมื่อเคา้ จบแลว้ เคา้ กไ็ ดป้ ริญญาบตั รปริญญา
เอก เคา้ เป็นดอกเตอร์เรียกวา่ เป็นพระอนาคามผี ล อนั น้ีคือผล

ส่วนมรรค เป็นการเดินทาง ทีน้ีเม่ือเคา้ จบปริญญาเอก
แลว้ เคา้ เป็นดอกเตอร์ แลว้ เคา้ ไม่พอใจ เคา้ อยากเรียนต่อเป็น
ศาสตราจารย์ เคา้ กไ็ ปศึกษาคน้ ควา้ วิจยั ตอ่ ช่วงเคา้ ศึกษา
คน้ ควา้ วิจยั เรียกวา่ อรหตั มรรค ทางเดินของพระอรหนั ต์ อนั น้ี
คือมรรค เมื่อเคา้ สอบไดป้ ระเมินได้ เคา้ เป็นศาสตราจารยแ์ ลว้
คือ อรหตั ผล นี่คือมรรค๔ ผล๔ เคา้ ก็เอาคาน้ีบอกวา่ มรรคมี
แคส่ ี่คร้ัง จริง ๆ แลว้ บางทีตมู้ เดียว ดวงตาเห็นธรรม กลายเป็น
อรหตั ผล

วิชาการกแ็ ยกเป็นข้นั เป็นตอน แต่มนั ไม่ใช่สูตรสาเร็จ
วา่ ทุกคนตอ้ งไปเดิน ทีน้ีเจริญมรรคแค่ส่ีคร้ังก็ได้ ถา้ อยา่ งน้นั

29

คุณจะตอ้ งเจริญมรรคตลอดชีวิต หลายชีวติ ดว้ ย อนั น้ีกไ็ ปติด
บว่ งเรื่องวชิ าความรู้ เร่ืองมรรค๔ ผล๔ ใครๆ กร็ ู้ ส่ีคูแ่ ปดบรุ ุษ
เป็นสงฆค์ วรแก่สกั การะและบชู าข้นั ต่าสุดคือโสดาปัตติมรรค
เรียกวา่ พระอริยะบคุ คลข้นั ตน้ ไมม่ ีนรกอีกแลว้ เรากพ็ ิสูจน์
จะอา่ นพระไตรปิ ฎก กอ็ ่านใหม้ นั หมด เณรบณั ฑิตเจด็ ขวบ
บวชแค่แปดวนั ตมู้ เดียวเป็นอรหนั ตแ์ ลว้ ทาไมไม่เจริญมรรค
ส่ีคร้ัง มนั ไมเ่ ก่ียว แต่เคา้ แยกระดบั ช้นั ใหเ้ ราดู แต่เรารู้ได้
อยา่ งไรวา่ จิตเดิมเราปริญญาโทแลว้ มนั กต็ ูม้ เดียวก็ปริญญา
เอกเห็นไหม

บางคนไมเ่ คยเจริญมรรค ไม่รู้ศาสนาดว้ ย ไดฟ้ ังธรรม
พระพุทธเจา้ คาเดียว บรรลอุ รหนั ตแ์ ลว้ ถา้ เราไปเอาหลกั
วชิ าการเป็นหลกั ตายตวั แลว้ มาพูดกนั มาเถียงกนั กไ็ มม่ ีวนั
จบสิ้น สุดทา้ ยน้ีใหข้ อ้ คิดวา่ ไม่ตอ้ งไปแลกเปล่ียนไดไ้ หม
สักแต่วา่ รู้ สกั แตว่ า่ ไดย้ นิ ไดไ้ หม แลว้ ก็ปฏิบตั ิไปเร่ือย ๆ มนั
เป็นปัจจตั ตงั รู้ไดเ้ ฉพาะตน

30

ท่ีมา : เร่ือง ตอบปัญหาสภาวะธรรม
บรรยายโดย พ่อครูบญั ชา ต้ังวงษ์ไชย
ศูนย์พลาญข่อย 16 สิงหาคม 2558


Click to View FlipBook Version