1
2
สารบัญ
ผา่ ตดั กระดูกสะโพก สามารถปฏิบตั ิไดห้ รือไม่ 3
มีวธิ ีเปลี่ยนแปลงตวั เอง ไดอ้ ยา่ งไร 4
ทาอยา่ งไรจึงจะขา้ มพน้ อารมณ์กลวั 5
อารมณ์สงบวา่ ง เป็นอารมณ์ในการเจริญมรรค ใช่หรือไม่ 15
จาเป็นไหม ตอ้ งหมนุ แรงทกุ คร้ังเพื่อเขา้ จิตในจิต 21
จิต เขา้ ไปใน จิต คืออะไร 22
3
ผ่าตัดกระดูกสะโพก สามารถปฏิบตั ิได้ หรือไม่
เราตอ้ งฉลาดเลอื กอิริยาบถ ที่มนั เหมาะกบั เรา แลว้ กถ็ า้
นงั่ ขดั สมาธิไม่ได้ ก็นงั่ บนโซฟา นง่ั ในที่สูง นอนก็ทาได้ ยนื
เดิน นง่ั นอน ตอ้ งเลอื กใชท้ ี่มนั เหมาะกบั เรา ตอ้ งเชื่อมนั่ ในจิต
เรา ทา่ ไหนก็ได้ แลว้ รวมใหจ้ ิตเป็นหน่ึง โดยใชเ้ สียงเป็นอุบาย
ใหม้ นั เกิดแรงเหว่ยี งข้นึ เมื่อมนั หมนุ แลว้ จิตเคา้ ดาเนินเอง
คือ จิตเคา้ รู้เองวา่ เวลาน้ีร่างกายเรา ตรงไหนบกพร่อง
ควรจะทาแค่ไหน ท่าไหนท่ีมนั เหมาะ แต่อยา่ ใชส้ มอง สมอง
เรามนั แฝงดว้ ย ความอยาก มนั จะทาอะไรเกินไป สมมติวา่ เรา
ฝึกช่ีกง หรือวา่ ฝึกไทเกก๊ กช็ ่าง กท็ าใหม้ นั เกิดลมปราณ แต่
บางคร้ัง ถา้ เราใชส้ มองฝึกทีละท่า บงั เอิญลมปราณท่ีเราเดิน
เล้ียวขวา แต่มนั ไปชนกบั ลมปราณขา้ งใน มนั กาลงั จะไปซา้ ย
มนั จะชนกนั แต่ถา้ เราปล่อยใหจ้ ิตดาเนินเอง เคา้ จะรู้เองวา่
ตอนน้ีควรจะ ทาแบบไหน ใหเ้ ชื่อมน่ั ในจิตเรา
อนั น้ีคาตอบ คือวา่ ปฏบิ ตั ิได้ อะไรก็ทาได้ ขอใหจ้ ิตเคา้
มีโอกาสเดินทาง
4
ไม่เคยปฏิบตั ิธรรมมาก่อน เป็นคนสมาธิสั้น ทาอะไรไม่นาน
กเ็ บ่ือ อยากจะเปล่ยี นตวั เอง แต่กไ็ ม่แน่ใจว่าจะได้หรือไม่
อยากถามว่า จะมีวิธีเปลี่ยนแปลงตัวเอง ได้อย่างไร
คนจีน เคา้ พูดวา่ “เจียงซานอ้ีก่าย เปิ่ นซ่ึงหนานอวี่”
เป็นภาษาจีนกลางนะ “เจียงซาน” หมายถึง แมน่ ้า หรือ
มหาสมุทร “ซาน” แปลวา่ ภเู ขา คาวา่ “อ้ีก่าย” หมายถึงวา่
เปลี่ยนง่าย เปล่ียนแปลงไมย่ ากนะ เคา้ ระเบิดภูเขาป๊ บุ กเ็ อาไป
ถมแม่น้า มนั กเ็ ปล่ียนทศิ ทางได้ ไมไ่ ดย้ าก
แต่ “เป่ิ นซ่ึงหนานอวี่” ก็คือวา่ ในขบวนการอนุสยั เรา
เคา้ ใช้ คาวา่ เปล่ียนยาก เคา้ ไมไ่ ดบ้ อกวา่ เปลี่ยนไม่ได้ แต่มนั
ยาก ถา้ เราไมม่ งุ่ มน่ั มมุ านะ หรือขยนั มีศรัทธากบั ส่ิงที่เราทา
มนั กไ็ มใ่ ช่เรื่องง่าย แมก้ ระทงั่ ชีวติ ทางโลก เราสนุกสนานกบั
การหาเงิน เรียนเกง่ ๆแลว้ ก็มาหาเงินเยอะๆ เหน่ือยแสน
เหน่ือยเราก็อดทน เพราะเราอยากรวย แลว้ สุดทา้ ยบางทีก็รวย
แลว้ กเ็ ด้ียงดว้ ย เอาเงินท่ีหามา รักษาโรคภยั เราก็ยงั อุตส่าห์ทา
ในสายธรรม มนั ก็ไม่ตา่ งกนั มนั ก็เหมอื นกนั
เรากต็ อ้ ง มีความอดทน มีศรัทธา มีความต้งั มน่ั
โดยเฉพาะส่ิงท่ีเราทามนั ไมใ่ ช่เรื่องชาติเดียว ไม่ใช่หน้ีสิน
5
ชาติเดียว เป็นหน้ีสินหลายๆ แสนกปั หลายๆ ลา้ นชาติ ยง่ิ
ตอ้ งต้งั มนั่ มีความอดทน ชีวิตเราอยากสาเร็จ กต็ อ้ งอดทน
ตอ้ งมีขนั ติ ก็มีความคิดก็ดีแลว้ แต่วา่ ก็ตอ้ ง เปิ ดโอกาสให้
ตวั เอง ลองปฏิบตั ิ ลองฝืนกิเลสตวั เองดู
คาตอบ คือวา่ ทาไดอ้ ยแู่ ลว้ เปล่ียนจากคนโง่ใหฉ้ ลาด
ข้ึน เปล่ียนจากคนทุกขใ์ หพ้ น้ ทกุ ข์ เปล่ียนจากคนใหก้ ลายเป็น
มนุษยผ์ ปู้ ระเสริฐ เปลยี่ นจากมนุษยผ์ ปู้ ระเสริฐ ใหก้ ลายเป็น
พระอริยะบุคคล
ปฏิบตั ิแนวพทุ โธมาตลอดเจด็ ปี สิ่งท่ีได้คือ อารมณ์
เยน็ ลง มสี ติมากขึน้ แต่บางคร้ังตกใจกลวั สติกย็ งั ไม่ทัน
บางครั้งน่งั สมาธิอยู่ กาลังเสพอารมณ์สงบอยู่ เกิดอารมณ์
แปลกๆแทรกเข้ามาอย่างฉับพลนั ตกใจกลัว พอมีสติกม็ าจับ
พทุ โธ กท็ าให้สงบลงได้ แต่กไ็ ม่รู้ว่า ทาอย่างไรจึงจะข้ามพ้น
อารมณ์ กลัวไปได้
ท่ีฝึกพทุ โธนะดีแลว้ ถา้ เราไม่ฝึกพุทโธมา ต้งั แตว่ นั น้นั
ความกลวั กด็ บั ไม่ได้ เรายดึ ที่พุทโธ อารมณ์ท่ีมนั กลวั มนั ก็
6
หายไป แต่ถา้ ยดึ อยอู่ ยา่ งน้นั วนั น้ีไม่วางพทุ โธ กไ็ มม่ ีวนั
ขา้ งหนา้ ท่ีเราจะดบั ความกลวั ได้ พุทโธเหมือนสติ กม็ ี
หลากหลายลทั ธินิกาย หลายศาสนา
ยกตวั อยา่ ง ถา้ เป็นฝรั่งตกใจกลวั เคา้ จะพูดวา่ God!
My God! ก็คือ เรียกหาพระเจา้ ก่อน เคา้ ยดึ พระเจา้ เป็นหลกั
แลว้ เคา้ กล็ ืม อารมณ์กลวั น้นั เคา้ ก็บอกพระเจา้ ช่วยเคา้ มนั เป็น
อุปาทานนะ เหมือนเรากลวั ป๊ บุ เรากจ็ บั พุทโธ จิตเราจบั พุทโธ
มาตลอด มนั เป็นการดบั ความกลวั ชว่ั คราว นนั่ คือ ตวั สติ
พทุ โธ คือเป็นการเจริญสติ เป็นการฝึกสมถะกรรมฐาน
โดยอาศยั ลมหายใจเขา้ ลมหายใจออก ซ่ึงถา้ ในส่ีสิบกอง
กรรมฐาน ก็คือ อยใู่ นหมวดอานาปานสติ โดยมีลมหายใจเป็น
ฐานที่ต้งั แห่งการเจริญสติ เรียกวา่ อนุสติ “อนุ” เป็นสติเลก็ ๆ
ทีน้ีครูบาอาจารยเ์ รา เผยแพร่กนั มา โดยเฉพาะถา้ เรา
จบั ประวตั ิศาสตร์ได้ กค็ ือร้อยปี ท่ีผา่ นมา หลวงป่ ูมนั่ ครูบา-
อาจารยท์ ่ียง่ิ ใหญ่ ในภาคอีสานของเรา ทา่ นกต็ ้งั ทฤษฎีพุทโธ
ข้ึนมา โดยอาศยั วา่ ลมหายใจเขา้ เรียกวา่ พทุ ลมหายใจออก
เรียกวา่ โธ เพอื่ ใหจ้ ิตเรา มีที่เกาะท่ียดึ พอเรายดึ นานๆ เราก็
รู้สึกวา่ สงบนิ่ง เพราะเราลืมความคิด
7
เวลาน้นั เรามีหนา้ ท่ีอยา่ งเดียวคือจบั พุทโธ เมื่อสงบนิ่ง
เป็นหน่ึงเดียว กบั ลมหายใจแลว้ ความฟุ้งซ่าน กไ็ ม่เกิด เพราะ
เราเลิกคิด อนั น้นั กเ็ ป็นบาทฐานเบ้ืองตน้ เพอื่ รวมพลงั จิตเรา
ใหเ้ ป็นหน่ึงเดียว กบั ลมหายใจ ซ่ึงไมใ่ ช่เร่ืองผดิ มนั เป็นบาท
ฐานเบ้ืองตน้ ในการเจริญกรรมฐาน
กรรมฐาน ก็คือ เคา้ รวมดว้ ยสมถะ และกว็ ปิ ัสสนา
สมถะ ทาใหเ้ ราเกิดความสงบ วปิ ัสสนาทาใหเ้ ราเกิดปัญญา
แต่ถา้ เราจบั พทุ โธ อยอู่ ยา่ งน้นั แลว้ ก็ไมว่ าง เพอื่ กา้ วไป
ขา้ งหนา้ เราก็ไดค้ วามสงบชว่ั ครู่ พอเลิกจบั ป๊ บุ กว็ ีนข้ึนมาอีก
เราตอ้ งเขา้ ใจวา่ ครูบาอาจารย์ ท่านใชอ้ ุบายนะ จริงๆ
แลว้ คาวา่ พทุ โธ คาวา่ ยบุ หนอ พองหนอ กด็ ี ไมม่ ีใน
พระไตรปิ ฎก พระไตรปิ ฎกมีคาวา่ พทุ ธานุสสติ ธมั มานุสสติ
สงั ฆานุสสติ อยใู่ นหมวดของอนุสสติ๑๐ กายคตาสติ อานา-
ปานสติ อนั น้ีคือ เป็นการเจริญอนุสสติ
แต่พุทธานุสสติ ในหมวดสี่สิบกองกรรมฐาน หมายถึง
วา่ เราระลึกถึงครูบาอาจารย์ ผรู้ ู้ ผตู้ ื่น ผเู้ บิกบาน ระลึกถึงคุณ
พระพทุ ธเจา้ เราระลึกถึงบญุ คุณของพระองค์ พระองคย์ ง่ิ ใหญ่
มาก พระองคม์ าช้ีทางใหเ้ รา ธมั มานุสสติ ระลึกถึงคาสอน
8
พระพทุ ธเจา้ สงั ฆานุสสติ ระลึกถึงสาวกพระพุทธเจา้ ท่าน
บรรลุธรรมตามมา คือ พระอริยสงฆต์ า่ งๆ เพ่อื ใหเ้ รามีที่ยดึ
เหน่ียวเป็นสรนะ มนั ไมใ่ ช่ ตามลมหายใจนะ
ส่วนตามลมหายใจน้นั เป็นอานาปานสติ ลมหายใจเขา้
ส้นั ก็รู้ ยาวก็รู้ เป็นอบุ าย เป็นเทคนิค ใหจ้ ิตเรามีที่เกาะ เกาะไป
เกาะมา ก็ลืมความคิด พอเราวางความคิด อารมณ์วา่ งมนั ก็
เกิดข้ึน ความสงบก็เกิดข้ึน นน่ั คือเป้าหมาย ของการเจริญ
สมถะกรรมฐาน อนั น้นั คือ บาทฐานเบ้ืองตน้ เม่ือรวมพลงั แลว้
จิตพร้อม ที่จะเดินทางไกล คือเขา้ ไปในจิตในจิต ไปเจริญ
วิปัสสนา
เอาเป็นวา่ ตอนที่จิตยงั เป็นเด็กๆ ยงั ไมแ่ ขง็ แรง เราก็
ตอ้ งพ่ึงสิ่งเหล่าน้ีอยู่ เกาะโน่นเกาะนี่ กรรมฐาน คือฐานท่ีต้งั
แห่งการดาเนิน ตอนน้ีเราเกาะลมหายใจ ส่วนเราจะต้งั ชื่อวา่
พุทโธ ธมั โม สังโฆ อะไรก็แลว้ แต่ ก็ต้งั ไป มนั เป็นอบุ ายวธิ ี
ซ่ึงมนั เป็นเทคนิค เพ่ือทาจิตมีที่ยดึ แลว้ กร็ วมพลงั จิต
เม่ือมนั มีพลงั แลว้ มนั กก็ า้ วไปสู่เจริญวิปัสสนา สมถะ
กรรมฐานสูงสุด กค็ ือฌาน๔ เรียกวา่ เอกคั คตารมณ์ เร่ิมจากเรา
ตอ้ งผา่ นอารมณ์วติ ก วจิ ารณ์ ปี ติ แมก้ ระทง่ั ความสุข กต็ อ้ งไม่
9
ติดมนั ตอ้ งผา่ นมนั เขา้ ไปสู่อารมณ์เดียว ก็คือ อเุ บกขา คือ
วา่ นิ่ง เป็นหน่ึงเดียว นน่ั แหละ พร้อมที่จะเจริญวปิ ัสสนา ตอ้ ง
เขา้ ใจตรงน้ี
เรานง่ั วิธีไหนกช็ ่าง เรานง่ั นานๆ พอเกิดพลงั ป๊ บุ จิตมนั
จะหมนุ มนั จะปลดปลอ่ ยตวั เอง ครูบาอาจารย์ ต้งั แตห่ ลวง
ป่ ูมน่ั หลวงพอ่ ชา อาจารยม์ หาบวั ทุกคนเปล่งออกมา
เหมือนกนั พอ่ ครูเขา้ ใจตรงน้นั พอ่ ครูเห็นตรงน้นั มาแลว้ คือ
แรงเหวย่ี ง จะทาลายสนามแมเ่ หลก็
พลงั งานทกุ อยา่ ง มนั ตอ้ งหมนุ โลกหมุนรอบตวั เอง ก็
หมุนรอบดวงอาทิตย์ เพราะวา่ พลงั ของเราไมพ่ อ ตอ้ งถูกแรง
ดึงดูดของจกั รวาล แลว้ กอ็ ยใู่ นวงจรของมนั เหมือนตอนน้ีจิต
ของเรา ยงั อยภู่ ายใตอ้ าณตั ิของอายตนะ เรายงั ไม่อิสระ จาก
อายตนะ
อายตนะ คือ ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ โดยเฉพาะ ไอใ้ จ
ตวั ร้าย ดีใจกล็ งใจ เสียใจก็ลงใจ ตกใจก็ลงใจ มนั ดึงจิตเราไว้
จิตเราไม่อิสระ ตวั รูปมนั ดึงใหเ้ ราไปติดมนั เพลงน้ีเพราะฉนั
ก็ช๊อบชอบ พอกาลงั ชอบอยู่ มีคนมาด่า ความสุขเม่ือก้ีน้ี
หายไป เพราะจิตเรา มนั ไมแ่ ขง็ แรง ยงั อยภู่ ายใตอ้ ายตนะ
10
อบุ ายวธิ ี ในการฝึกสมถะกรรมฐาน หรือวปิ ัสสนากด็ ี
เริ่มจาก ทาใหจ้ ิตสงบน่ิง มีพลงั สงบสูงสุดคือฌาน๔ คือ
เอกคั คตารมณ์ ตอ้ งขา้ มพน้ อารมณ์ วติ ก วจิ ารณ์ แมก้ ระทงั่ ปิ ติ
นะ รู้เท่าทนั มนั แตไ่ มไ่ ปติดมนั ขา้ มไปถึงสุข เมอ่ื ปิ ติมนั ก็
รู้สึกสุข สุขก็ไมเ่ อา สุขมนั ยงั เป็น อารมณ์สุขอยู่ ยงั เป็นตวั
หลงติด
ถา้ เอกคั คตารมณ์ ปราศจากอารมณ์ มนั เป็นความสงบ
เป็นหน่ึงเดียว เป็นอุเบกขา เหมือนน้ามนั นิ่ง เห็นไหม ไม่ตอ้ ง
ทาอะไรนะ น้าไม่ตอ้ งฝึกสมาธินะ อยา่ ไปรบกวนมนั เท่า
น้นั เอง มนั น่ิงตามธรรมชาติ มนั ถูกแรงดึงดูดของโลก ดึง
เอาไวม้ นั ก็นิ่ง ฝ่นุ ละอองเมด็ นิดหน่ึง ร่วงลงมา มนั กส็ ัมผสั ได้
กระเพื่อม เห็นไหม วปิ ัสสนาเกิดแลว้
ใบไมร้ ่วงลงมาป๊ ุบ เราก็สัมผสั ได้ ถา้ จิตเราถึงข้นั
เอกคั คตารมณ์ มนั เป็นแบบน้นั แลว้ อารมณ์ตา่ งๆ ในตวั เรา
เกิดข้ึน อารมณ์ขา้ งนอกมากระทบ อารมณ์ขา้ งในโผล่ข้ึน เรา
เห็นมนั ชดั มาก นน่ั แหละ วิปัสสนา คือ รู้แจง้ เห็นจริง รู้เทา่ ทนั
อารมณ์ที่มนั เกิดข้ึน
11
ถา้ เราไปเล่น กระดานโตค้ ลื่นที่ทะเล กาลงั สนุกสนาน
กบั เล่นมนั อยู่ บางคนสาลกั น้า ก็ยงั สนุกอยู่ เพราะวา่ เราถูก
ความสนุกครอบไว้ เราขาดสติ เพราะเรามีความสนุก เคา้
พยายามฆ่าเรา เคา้ โยนหินลงมาตมู้ ๆๆ อยขู่ า้ งหลงั เราก็
ไม่รู้สึก ถา้ จิตเรา ไม่สงบน่ิง มนั เหมือนทเ่ี รา เลน่ กระดาน
โตค้ ล่ืน สติถกู ครอบงา ดว้ ยอารมณ์ นน่ั คืออุบายวธิ ี ในการฝึก
สมถะกรรมฐาน เพอื่ ใหจ้ ิตเราเขา้ สู่ เอกคั คตารมณ์ มนั ถึงจะ
เกิดวิปัสสนา วปิ ัสสนา ทาใหเ้ ราเกิดปัญญา
กส็ รุปตรงน้ีวา่ เป้าหมายสูงสุด ของพระพทุ ธศาสนา
ไม่ไดส้ อนใหเ้ ราจบอยทู่ ่ีสติ จบอยทู่ ่ีสมาธิ พระองคส์ อนใหเ้ รา
เกิดปัญญา เป็นศาสนาที่ทาใหเ้ ราเกิดปัญญา ไม่ใช่ไปศรัทธา
แบบหลงงมงาย ถา้ เชื่อฉนั ฉนั จะช่วยเธอ ถา้ ไมเ่ ช่ือฉนั ฉนั จะ
ลงโทษเธอ
ถา้ จิตเป็นอริยะจริงๆ เคา้ ลงโทษใครกไ็ มเ่ ป็น แต่
เนื่องจากวา่ เคา้ อาจจะใชอ้ ุบายวิธี พดู กบั เด็กๆ จิตเรายงั เด็กอยู่
เคา้ ตอ้ งเอาทง่ี ่ายกวา่ ถา้ เช่ือฉนั ฉนั บอกเธอทาดี เธอกท็ าดี ก็มี
ประโยชนร์ ะดบั หน่ึง เป็นอุบาย แตส่ ุดทา้ ยมาถึงจุดหน่ึง มนั
ตนั ไปไม่ได้ เพราะมนั ไมม่ ีปัญญา
12
พุทโธ เป็นบาทฐานเบ้อื งตน้ สมถะกรรมฐาน เป็นบาท
ฐานเบ้ืองตน้ เพอื่ กา้ วไปสู่วิปัสสนา สุดทา้ ย เมื่อเกิดวิปัสสนา
แลว้ จิตเขา้ ไปสู่จิตในจิต เหมือนเราเขา้ ไปโกดงั เรา ไปเขา้ ไป
ในเวบ็ ไซตเ์ รา เขา้ ไปในโกดงั เก็บอารมณ์เรา โกดงั ที่มนั
บนั ทึกสัญญา เร่ืองกรรมดีกรรมชวั่ เรากเ็ ขา้ ไปขดั เกลามนั
ออกมา เราก็เรียนรู้กบั ประสบการณ์ ตรงน้นั นนั่ แหละ คือ
เกิดปัญญา
จิตปัจจุบนั มีโอกาสไปเสพ ไปเรียนรู้ กบั อดีตที่บนั ทึก
ไวใ้ นจิตใตส้ านึกเรา เม่ือมนั เกิดปัญญาแลว้ มนั กร็ ู้วา่ ตน้ เหตุ
มนั คืออะไร จริงๆแลว้ ไมใ่ ช่กิเลส ตณั หา อุปาทานนะ คือ
พระพุทธเจา้ ตรัสเรื่อง อริยสจั ๔ วา่ ทกุ ข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค
อะไรคือตวั ทกุ ข์ ส่ิงปรุงแต่งท้งั หลาย ท้งั ปวง ท่ีไมใ่ ช่
ธรรมชาติคือ ตวั ทกุ ขห์ มด ถา้ ไปหลงมนั
สมุทยั คือ เหตแุ ห่งทกุ ข์ ตวั ตณั หาเป็นท่ีมา ของทุกข์
แตถ่ า้ เราเจริญสติ เรารู้เทา่ ทนั อารมณ์ของกิเลส กิเลสเกิด เรา
รู้เทา่ ทนั ก็ดบั มนั พฒั นาสู่ตณั หาไมไ่ ด้ อุปาทานกไ็ ม่เกิด ทกุ ข์
กไ็ มเ่ กิด ถา้ เราทาไดแ้ ค่น้นั เวลาน้นั เราไมท่ ุกข์ แตย่ งั ไม่ใช่
เป็นคนพน้ ทุกข์ เพราะไอเ้ ช้ือ ที่ทาใหเ้ ราทกุ ข์ มนั ยงั มีอยู่
13
กระแสกรรมยงั มีอยู่ อตั ตาเรายงั มีอยู่ แตท่ าไปเร่ือยๆ เม่ือจิต
มนั เกิดปัญญาแลว้
ตน้ เหตุ คือ มีอตั ตา จิตมนั มีอตั ตา เป็นตวั เกาะยดึ ของ
กิเลส กิเลส คือท่ีมาของตณั หานนั่ แหละ ตณั หา คือท่ีมาของ
อุปาทาน อปุ าทาน คือท่ีมาของทุกข์ อยากไดพ้ อไดม้ า
อุปาทานเกิด มีความสุขมากเลย พอเคา้ แยง่ ไป กเ็ กิดทกุ ข์ นี่คือ
ขบวนการของมนั
พระพุทธเจา้ บอก ดบั ทุกข์ ดบั ท่ีตณั หา ไมใ่ ช่ดบั กิเลส
กิเลสดบั ไม่ได้ มนั เป็นความเคยชินของเราแลว้ เพียงแต่วา่ เรา
มีสติรู้เทา่ ทนั มนั มนั กพ็ ฒั นาสู่ตณั หาไมไ่ ด้ ถา้ เราทาไดอ้ ยา่ งน้ี
บ่อย บอ่ ย เรากไ็ มท่ ุกขใ์ นเวลาน้นั แต่ยงั เวยี นวา่ ย ตายเกิดอยู่
ไอก้ ล่องบนั ทึกสญั ญา กล่องบนั ทึก หน้ีกรรมเรายงั อยู่
เม่ือจิตมนั ทาไปเร่ือยๆ มนั เห็นวา่ ไอต้ น้ เหตุคอื ไอต้ วั น้ี
มนั ก็จะระเบิด ที่วา่ หมนุ ติ้วๆระเบิดเลย มนั ทาลายอตั ตาตวั น้นั
เขา้ ไปสู่สุญตา ตอนน้นั ปลอดภยั กิเลสยงั อยู่ พระอรหนั ตจ์ ้ีกง
กินเหลา้ เน่ียกิเลส แตไ่ มเ่ นื่องดว้ ยตณั หา เรากินขา้ วนี่กิเลสเรา
ฝร่ังกินขนมปังนี่กิเลสเคา้ แต่ถา้ กินขา้ วเพราะกินขา้ ว ไม่เนื่อง
ดว้ ยตณั หานะ อุปาทานกไ็ มเ่ กิด ทกุ ขก์ ็ไมเ่ กิด แกท้ ี่ตน้ เหตุ
14
ตอนน้ีฟังพอ่ ครูเขา้ ใจ มนั ไมเ่ ขา้ จิต สมองรู้ แต่จิตไมร่ ู้
มนั กย็ งั ทาไมไ่ ดห้ รอก อยา่ บงั อาจ ไปทาลายอตั ตาตวั เองนะ
ไปคิดเอาเองวา่ ฉนั ระเบิดๆ อนั น้นั วิปัสสนึก มนั นึกเอา มนั
คาดคะเน จินตนาการเอา ปฏิบตั ิไปเรื่อยๆ ไมต่ อ้ งไปสงั่ จิต
หรอก เคา้ เกิดมาเพ่อื สิ่งน้ีอยแู่ ลว้ เคา้ รู้วา่ เคา้ จะทาอะไร แต่
ตอนน้ีกาลงั เคา้ ยงั ไมถ่ ึง เราก็สะสมแตม้ ไปเรื่อยๆ
มนุษยเ์ ราอยา่ บงั อาจ ทาใหส้ ่ิงน้นั มนั เกิดข้ึน เราไมไ่ ดม้ ี
ความสามารถขนาดน้นั ส่ิงน้นั จะเกิดข้ึน เม่ือเคา้ จะเกิดข้ึน แต่
มนุษยเ์ รา มีหนา้ ที่เตรียมความพร้อม ใหส้ ิ่งน้นั เกิดข้ึน ก็ทาไป
เรื่อยๆ ศรัทธาในสิ่งท่ีเราทา
เมื่อเราต้งั มนั่ ศรัทธา เราก็มีวิริยะ จิตมนั ก็ต้งั มน่ั ไม่
วอกแวก เมื่อมนั ต้งั มนั่ จดจ่อ เด๋ียววิมงั สา มนั กเ็ กิดข้ึน ตวั
ปัญญาก็ไหลมาเทมา ไม่ใช่เราไปคิด ใหม้ นั เกิดข้ึน ไปสร้าง
มนั มีอยแู่ ลว้ เตม็ เปี่ ยม เพียงแต่เราขดั เกลา เอาความรู้ผดิ เอา
อวชิ ชาต่างๆออกมา เหมือนเปิ ดฝาใหม้ นั เปิ ดม่านใหม้ นั มนั ก็
จะแสดงตวั ตอ้ งศรัทธาในสิ่งท่ีเราทา
15
เวลาอย่ใู นจิตรู้สึกว่าง พอออกไปใช้ชีวิตทางาน อารมณ์สงบ
ว่างกย็ งั อย่ตู ลอดเวลา อารมณ์แบบนี้ เป็นการเจริญมรรค ใช่
หรื อไม่
การเจริญมรรค แบง่ เป็นสองข้นั ตอน การเจริญโดยที่
กาลงั ฝึกอยู่ เรากาลงั เจริญมรรคอยู่ ถา้ ยงั ไมส่ มบูรณ์ เรากเ็ จริญ
มรรค คือ มรรคภายนอกดว้ ย กค็ ือ ทาน ศีล ภาวนา
การใหท้ าน เป็นการขดั เกลาความโลภ ความตระหนี่
ศีล เป็นการป้องกนั ไม่ใหม้ นั เป้ื อนอีก การเจริญภาวนา คือ
การขดั เกลาจิตใหม้ นั ผอ่ งใส เรากด็ าเนินไปเรื่อยๆ อนั น้นั คือ
การเจริญมรรค
ส่วนพระพุทธเจา้ เอง เจา้ ชายสิทธตั ถะ วนั ท่พี ระองค์
ตรัสรู้ธรรม เป็นพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ในวนั วสิ าขบูชา
อนั น้นั เรียกวา่ พระอรหนั ต์ เรียกวา่ สภาวะนิพพาน เรียกวา่
จิตพระองค์ เป็นเจา้ แห่งพทุ ธะ ใครอยา่ บงั อาจ ไปเปรียบเทียบ
พระองคส์ ะสมมาเยอะมาก พระอรหนั ตท์ กุ รูป เหมือนกนั
หมดอยา่ งเดียวเทา่ น้นั ก็คือพน้ ทุกข์ แตป่ ัญญาตา่ งกนั
16
ก็คือ หลงั จากวนั วิสาขบูชาน้นั มาแลว้ พระองคไ์ มต่ อ้ ง
เจริญมรรค แตจ่ ิตพระองค์ เป็นมรรคตลอด วิถีที่เหลือ เป็น
มรรค โดยไม่ตอ้ งเจริญ มนั เป็นอตั โนมตั ิ
ส่วนช่วงที่เราฝึกๆ เราเจริญมรรค พออารมณ์น้ี มนั
เกิดข้ึน ถา้ มนั มีพลงั แรงกลา้ เราออกไปใชช้ ีวติ ปกติ มนั กย็ งั อยู่
กบั เรานน่ั แหละ มนั กย็ งั อยู่ ในมรรคในทางอยู่ อนั น้นั เป็น
เรื่องปกติ แตถ่ า้ เราหลดุ จากมรรค เราไปทาอะไร ท่ีสนอง
ความอยากเม่ือไหร่ อารมณ์ท่ีมนั อยกู่ บั เรา มนั ก็หายไป แต่ถา้
เราสารวมระวงั อยา่ หลดุ จากมรรคจากทาง อารมณ์น้นั จะอยู่
กบั เรายาวข้ึนๆ เรากแ็ ขง็ แกร่งข้ึน
ยกตวั อยา่ ง เรารู้สึกนิ่งๆ แตถ่ า้ บงั เอิญ ไปเจอลูกโตๆ
กระแสกรรมมนั โผล่ข้ึนมา บงั เอิญถา้ แรงมนั มากกวา่ ไอต้ วั
น้นั กห็ ายไปเหมือนกนั มนั ยงั ไม่ปลอดภยั อยา่ ประมาท
พระพุทธองค์ ตรัสรู้เป็นสมั มาสมั พุทธเจา้ อยเู่ หนือบุญ
บาปแลว้ ไม่ตอ้ งสร้างบารมีอีกแลว้ เวลาท่ีเหลือของพระองค์
สร้างศาสนาข้ึนมาก เผยแผโ่ ปรดสตั ว์ อีกส่ีสิบหา้ พรรษา ส่ิง
น้นั เรียกวา่ ทาเพราะธรรม ธรรมะคือหนา้ ที่ หนา้ ท่ีคือธรรมะ
ไม่ใช่ภาระหนา้ ท่ี
17
แบบพวกเราภาระหนา้ ที่ไปแบก ไปหามนนั่ อนั น้ีมนั
เป็นหนา้ ทตี่ ามธรรมชาติ ถา้ เป็นสัญชาตญาณของจิต ซ่ึง
บริสุทธ์ิแลว้ เคา้ ไม่ปล่อยใหเ้ วลามนั ผา่ นไป โดยใช่เหตุ เคา้ ก็
ใชส้ งั ขารร่างกายทาหนา้ ที่ จนวินาทีที่เราละสังขาร เรียกวา่
ปรินิพพาน ตอนน้นั กไ็ มม่ ีกิจ ท่ีตอ้ งมาเวยี นวา่ ยตายเกิด ใน
สามโลกธาตนุ ้ี
อนั น้ีอีกขอ้ นึง ปฏิบตั ิจนเขา้ ไปในจิตไดแ้ ลว้ แต่ทาไม
ออกไปใชช้ ีวิต ยงั แกป้ ัญหาเองไม่ได้ ขอ้ น้ีกบั ขอ้ เม่ือก้ีน้ีสวน
ทางกนั ก็คาตอบคือวา่ กาลงั ยงั ไมถ่ ึง ไม่ใช่วา่ เขา้ ไปในจิต
แลว้ บอกบรรลุธรรมแลว้ ไม่ใช่นะ คาวา่ จิตหลดุ พน้ ดวงตา
เห็นธรรม ไมใ่ ช่บรรลธุ รรมนะ จิตหลดุ พน้ ออกมา จากการ
ปรุงแตง่ ของใจตรงน้นั เพราะกาลงั มนั มากกวา่ ใจ มนั กเ็ ขา้ ไป
จิตในจิตได้ อนั น้ีบอกเขา้ ไปในกระแส
ดวงตาเห็นธรรม คือ เห็นจิต จิตเห็นจิตคือมรรค อนั น้ี
เป็นแคเ่ ขา้ ไปในกระแสมรรค เราเจอทางเดินแลว้ ไม่ใช่เขา้ ไป
แลว้ เห็นจิตแลว้ ทาไมออกมา กเ็ ราเห็นธรรม แต่ยงั ไมบ่ รรลุ
ธรรม ทีน้ีอยา่ งนอ้ ย บรรลมุ นั มีหลายข้นั บรรลขุ ้นั ต่าสุดกค็ ือ
โสดาปัตติมรรค อยา่ งนอ้ ยๆ เราเขา้ ไปกระแสมรรคแลว้ เคา้
18
เรียกวา่ โสดาปัตติมรรค ถา้ ถึงข้นั น้ีไมม่ ีนรกอีกแลว้ สมมติวา่
เราข้ีเกียจปฏิบตั ิมากๆเลย สูงสุดอีกแค่เจด็ ชาติ
ยกตวั อยา่ ง ไมใ่ ช่เรื่องจริง แตเ่ พือ่ วา่ เราจะไดม้ อง
ภาพชดั ถา้ ถึงข้นั โสดาปัตติมรรค เหมือนเรากาลงั เป็นนิสิต
ปริญญาตรี กาลงั เรียนปริญญาตรีอยู่ ปี หน่ึง ปี สอง ปี สาม พอ
ปี ส่ี แลว้ สอบผา่ นป๊ บุ เราก็ไดโ้ สดาปัตติผล ได้
ประกาศนียบตั ร อนั น้ีอีกข้นั หน่ึง คูแ่ รกนะ โสดาปัตติมรรค
โสดาปัตติผล
ถา้ เรายงั ขยนั เราเรียนปริญญาโทตอ่ ตอนน้นั เราเป็น
นิสิตปริญญาโท กาลงั เรียนปริญญาโท เรียก สกิทาคามีมรรค
ทางเดินของพระสกิทาคามี หมายถึง เป็นสภาวธรรมของจิต
ดวงน้นั กาลงั เรียนอยู่ สมมติวา่ เราจบปริญญาโทแลว้ เราก็เป็น
พระสกิทาคามีผล อนั น้ีคูท่ ี่สอง
เราไมพ่ อใจ เราเรียนปริญญาเอกตอ่ ช่วงท่ีกาลงั เรียนอยู่
เราเป็นนิสิตปริญญาเอก ก็เรียกวา่ อนาคามีมรรค ทางเดินของ
พระอนาคามี เม่ือเราจบปริญญาเอก เราไดป้ ริญญาแลว้
เปรียบเสมือนวา่ เราก็เป็นดอกเตอร์ เรากเ็ กิดเป็น อนาคามีผล
เราเป็นพระอนาคามีแลว้ อนั น้ีคู่ท่ีสาม
19
ทุกวนั น้ีไม่พอ ปริญญาเอกไมพ่ อ เธอตอ้ งเรียนตอ้ ง
คน้ ควา้ วจิ ยั เป็นรองศาสตราจารย์ เป็นศาสตราจารย์ ตอนท่ีเรา
กาลงั วิจยั ทาศาสตราจารยอ์ ยู่ เคา้ เรียกวา่ อรหตั มรรค เป็น
ทางเดินของพระอรหนั ต์ เมื่อเรา ทาสาเร็จแลว้ เป็น
ศาสตราจารยแ์ ลว้ เรียกวา่ อรหตั ผล คู่ที่สี่ ส่ีคู่ แปดบุรุษ
เป็นสงฆ์ ควรแก่สักการะและบชู า หมายถึงสภาวะของจิตน้นั
ไมเ่ ก่ียวกบั เครื่องแต่งกาย หรืออาชีพ อนั น้นั กใ็ หเ้ ขา้ ใจ
ไม่ใช่วา่ เขา้ ไปในจิตแลว้ ทกุ คนบรรลุธรรมหมดเลย
อยา่ หนีหน้ีนะ อยา่ คา้ กาไรเกินควร แตเ่ ขา้ ถึงขนาดน้ีไดแ้ ลว้
ถือวา่ บญุ เกา่ เราไม่ใช่ธรรมดา ไม่ใช่เขา้ ไปแลว้ เราข้ีเกียจเดิน
เราอาบน้าเสร็จมนั สะอาด ไปทาใหม้ นั เป้ื อน มนั กเ็ ป้ื อนไดน้ ะ
ดึงกนั ชกั เยอ่ อยอู่ ยา่ งน้ีนะ
อยขู่ า้ งนอก เรากต็ อ้ งเจริญมรรค ตอ้ งฝื นกิเลสตวั เอง
บอกโอย้ ทาไมแกป้ ัญหาไม่ได้ ถา้ ไม่มีปัญหา มนั จะสนุกเหรอ
การทางานคือ การแกป้ ัญหา แตม่ นั ไม่ใช่ปัญหา เราคิดวา่ มนั
เป็นปัญหา เรากไ็ ปทุกขก์ บั มนั มนั ไมใ่ ช่ปัญหา หิวก็กิน ง่วงก็
นอน มนั ไมใ่ ช่ปัญหา มนั เป็นหนา้ ที่
20
แต่เนื่องจาก เราไมช่ อบ อะไรท่ีเราไม่ชอบ กบ็ อกฉนั มี
ปัญหา เราคิดเอาเอง มนั เป็นมโน มนั เป็นอุปาทาน การทา
หนา้ ท่ี การทางานคือ การแกป้ ัญหา ถา้ ไมม่ ีปัญหา เรากไ็ ม่มี
งานทา แต่ไม่ใช่มนั ทาใหเ้ ราเกิดปัญหา มนั เกิดปัญหา เพราะ
เราไปคิด คิดไม่ชอบใจ คิดอยาก พอไมไ่ ดส้ มอยาก ก็บอกเรา
แกป้ ัญหาไมไ่ ด้
ถา้ เรา สนองความอยากนะ ชาติน้ีกี่ชาติ เรากแ็ กป้ ัญหา
ไม่ได้ ปัญหาใหมม่ นั กเ็ กิดข้ึนตลอดเวลา ดวงตาเห็นธรรม คือ
เราเห็นจิตแลว้ เราเขา้ สู่กระแสมรรคแลว้ เรากต็ อ้ งขยนั เจริญ
มรรค กเ็ ดินตอ่ ไป ส่วนใครจะข้นั ไหนๆ มนั ไมส่ าคญั หรอก
เราไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิ เพือ่ เราจะเป็นอะไร “เป็น” นี่เป็นอตั ตานะ ยงั
เป็นอยมู่ นั พน้ ทกุ ขไ์ มไ่ ด้
21
จาเป็นไหม โยกตัวและเหวี่ยง หมนุ แรงทุกครั้ง ท่ีจะเข้าไปจิต
ในจิต ถ้าเราหมนุ หรือเหวย่ี งไม่แรง เราจะไม่มโี อกาสท่ีจะเข้า
ไปจิตในจิตได้เลย หรืออย่างไร
อยา่ อยากเขา้ ไปมากมาย บางคนไม่ตอ้ งเขา้ หรอก ฟัง
พระพทุ ธเจา้ คาหน่ึง กบ็ รรลธุ รรมแลว้ นี่คือ เป็นอารมณ์ท่ีเรา
อยาก เพราะเราเป็นนิสยั วา่ ถา้ ทางโลกตอ่ สู้ กอ็ ยากใหส้ าเร็จ
พอมาปฏิบตั ิธรรมกอ็ ยาก อยาก อยาก อยากใหเ้ หมือนคนอ่นื
น่ีคืออยาก ปฏิบตั ิเพราะปฏิบตั ิ มนั เขา้ ก็เขา้ มนั ไม่เขา้ ก็
ไม่เขา้ หลายคนเมื่อไหร่จะเขา้ พอมนั เขา้ ไปแลว้ เมื่อไหร่จะ
ออก มนั ไมย่ อมหยดุ ร้อนนกั กม็ กั อา้ งวา่ เยน็ นกั ก็มนั อา้ งวา่
คนอยาก ก็อยากอยนู่ ้นั แหละ พอมนั เขา้ ไปแลว้ ก็เอาใหเ้ ขด็
เลย อยากกต็ ณั หา ไมอ่ ยากกว็ ิภวตณั หา กค็ ือที่มาของทกุ ข์
หมด อยา่ อยาก กท็ าไปเรื่อยๆ ศรัทธาในส่ิงท่ีเราทา
22
จิตเข้าไปในจิตแล้วคืออะไร แล้วตวั เองจะรู้ได้อย่างไร มนั จะ
มีอาการหรือสภาวะอย่างไร
เราพยายาม จะหาเหตุผลแบบตรรกะ ทุกคนเป็น
หุ่นยนตเ์ หมือนกนั หมดนะ แตล่ ะคน คงไมเ่ หมือนกนั นี่ก็
ตอบเองแลว้ แตอ่ ยากทราบ เราจะทราบไดอ้ ยา่ งไรวา่ จิตเขา้
ไปในจิตแลว้ ก็ถามเคา้ สิ ถามจิต เฮย้ เขา้ ไปหรือยงั วะ่ คือ
รู้หมดแลว้ นะ รู้วา่ แตล่ ะคนไมเ่ หมือนกนั แลว้ จะถามวา่ มนั เขา้
แลว้ มนั เป็นทา่ ทางยงั ไงๆเหรอ อะไรกนั นกั หนา
อนั น้ีคือ ความอยากอีกเหมือนเก่า อยากรู้อะไรล่วงหนา้
อนั น้ีสะทอ้ นใหเ้ ห็น ความอยาก ถา้ ทางโลก เป็นคนต้งั มนั่ มาก
เคา้ ทาอะไรเคา้ ทาจริงๆ ไม่ใช่เป็นเร่ืองเสียหายนะ แตจ่ ริงแค่
พอดี ถา้ จริงมากเกินไป มนั ไม่ใช่ทางสายกลาง ตวั อยากเรามนั
ดึงไว้ เราหลอกคนอื่นได้ เราหลอกจิตเราไม่ไดน้ ะ ถา้ ไปนง่ั
แอบดูมนั คลา้ ยๆ เราดึงมนั ไว้ แลว้ มนั จะเขา้ ไปไดย้ งั ไง ให้
โดดลงไปเลย ลยุ ไปเลย นี่เพราะเรา ตดิ ความคิด
การหลดุ พน้ ในการเหวยี่ งแบบน้ี เป็นอยา่ งไร เราจะรู้
ไดอ้ ยา่ งไร มนั เป็นอตั ตาหิ อตั โน นาโถ คือ รู้ไดเ้ ฉพาะตน
มนั เป็น สันทิฏฐิโก มนั เป็นส่ิงท่ีรู้ไดเ้ ฉพาะตน เราอยากรู้วา่
23
น้าน้ีรสชาติเป็นยงั ไง เราก็ด่ืมดู ถา้ ไมด่ ื่ม ไปนงั่ คิดเอาเอง มนั ก็
ไม่รู้ แต่ทีน้ี เน่ืองจากความอยาก เราอยากเขา้ ไปเร็วๆ จริงๆ
แลว้ บางคนจิตทางานแลว้ แต่กต็ ิดบว่ งจิตปัจจุบนั มนั วิจยั เอ๊ะ
เขา้ ไปไดห้ รือยงั พอ่ ครูถามวา่ แลว้ เม่ือก้ีราอยู่ ใครรา เคา้ บอก
ก็ไม่รู้เหมือนกนั กถ็ ามมนั สิ ทาไมส่งั ใหฉ้ นั ราอยา่ งน้ี สมอง
เราไม่ไดร้ าอยแู่ ลว้ ใช่ไหม
นนั่ แหละ กท็ าไปเรื่อยๆ อยา่ ไปหาคาตอบ ดว้ ยเหตุผล
แบบตรรกะนะ มนั ไมใ่ ช่สูตรสาเร็จ และมนั ไมม่ ีอะไร ตอ้ งรู้
เพราะวา่ ทกุ อยา่ ง มนั เป็นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา มนั ไม่ใช่สกั
อยา่ งหน่ึง ไม่มีแมแ้ ต่หน่ึงอยา่ ง ไมใ่ ช่อปุ าทาน ที่เราเขา้ ไปเห็น
โน่นเห็นน่ี เราเห็นจริงๆ แต่สิ่งท่ีเราเห็น มนั ไม่จริง เป็น
อปุ าทานของจิต เคา้ สร้างนิมติ อะไรข้ึนมา สร้างอารมณ์ตา่ งๆ
เพอื่ สอบจิตปัจจุบนั ถา้ ยงั มีความอยากรู้ เหมือนเป่ าลกู โป่ ง
เป่ าดีๆ กาลงั สร้างพลงั อยู่ เฮย้ อะไรนะ แฟบ เป่ าใหม่ นน่ั
แหละ คือ มนั ประเมนิ เราไง วา่ เธอทนั ไหม ไมท่ นั หรอก
ถา้ คนอยากรู้ อยากเห็น สงสยั อยเู่ รื่อย ไปวิจยั อยเู่ ร่ือย
เราไปสร้างความลงั เลสงสยั น่ีคือนิวรณ์ นิวรณ์ คือ ส่ิงขวาง
ก้นั ทางเดิน พ่อครูตอ้ งเนน้ บอ่ ยๆ สกั แต่วา่ รู้ สกั แต่วา่ เห็น สัก
24
แตว่ า่ ไดย้ นิ เหวย่ี งทิง้ รู้แลว้ ก็เหวย่ี งทงิ้ ไมต่ อ้ งพิจารณา ไม่
ตอ้ งตดั สิน เตือนบอ่ ยๆ ก็รู้อยแู่ ลว้ ทกุ อยา่ งเป็นอนิจจงั ทุกขงั
อนตั ตา แลว้ จะไปรู้อะไรเหรอ ก็วางสิ รู้แลว้ กว็ างไง
ใหข้ อ้ คิดอยา่ งหน่ึง อยา่ ต้งั ใจ ใจคือ กิเลส มนั จะหลอก
เรา มนั จะต้งั คาถามอยเู่ ร่ือย เพอ่ื ดึงไมใ่ หเ้ ราเดินต่อ อยา่ ต้งั ใจ
ใหต้ ้งั มน่ั ต้งั มน่ั เป็นเรื่องของจิต ต้งั มนั่ กบั ส่ิงที่เราทา ต้งั ใจ
เป็นเร่ืองของกิเลส ใจน่ีมนั สง่ั ลกู นอ้ งมนั ตวั สาคญั เลย คือ
ความคิด คิดสร้างอารมณ์ มาหลอกเราตลอด
ต้งั มน่ั ใหจ้ ิตต้งั มนั่ ทาไปเลย ใจมนั กท็ าหนา้ ที่มนั ไป
อยา่ ไปคิดตามมนั มนั คิด กป็ ลอ่ ยมนั คิดไป มนั เป็นอนุสยั เรา
มนั เป็นกิเลสเรา อยา่ ไปรังเกียจมนั ดว้ ย อยา่ ไปผลกั ไส ไล่ส่ง
มนั คาวา่ เหว่ียงทงิ้ ไม่ใช่เหว่ยี งมนั ทิง้ นะ เหวีย่ งความยดึ มนั่
เตือนเราวา่ อยา่ ไปคิดมนั อยา่ ไปติดมนั คือ เตอื นใหเ้ รารู้
เท่าทนั มนั
ถา้ ไมเ่ หว่ียงทิ้ง เราอยากรู้นะ ท่ีบอกวา่ เคา้ ยงิ เป้าบิน
ข้ึนมา เราไมเ่ หว่ียงทิง้ เรากไ็ ปพิจารณามนั เฮย้ มงึ สีอะไร
มนั ไมท่ นั รูปนาม มนั เกิดดบั เร็วมาก
25
คาวา่ ปัญญารู้แจง้ รู้แจง้ วา่ ทกุ อยา่ ง มนั เกิด มนั ดบั
มนั เป็น อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา ไม่ใช่ท้งั น้นั ไมต่ อ้ งพจิ ารณา
ไม่ตอ้ งตดั สิน รู้เทา่ ทนั มนั เฉยๆ
คาวา่ เหวี่ยงทงิ้ คือ เตอื นเราวา่ ผา่ น ผา่ น เหวย่ี งความ
ยดึ มน่ั ถือมนั่ ท่ีเราจะไปหลงมนั ทงิ้ เป็นการเตือนตวั เอง ไม่ใช่
เหวย่ี งส่ิงน้นั ทงิ้ ไมใ่ ช่รังเกียจมนั นะ ถา้ ไม่มีอารมณ์เหลา่ น้นั
ธรรมในธรรมไมเ่ กิดข้ึน ธรรมในธรรมคือ กายในกาย เวทนา
ในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ธรรมในธรรมคือธรรม
อารมณ์ ซ่ึงมนั อยใู่ นจิตใตส้ านึกเรา
ไม่ตอ้ งไปนง่ั ทรมานตวั เอง เป็นสิบยส่ี ิบชวั่ โมง เพ่ือให้
มนั เกิดเวทนา คนท่ีเคา้ ยงั เขา้ ไปไมถ่ ึง เคา้ จะเร่ิมจาก กายใน
กาย แลว้ มาสร้างเวทนา ใหเ้ ราเกิดสงั เวชนะ ใหเ้ ราจางคลาย
ความยดึ มน่ั กบั กายภาพน้ี เป็นเทคนิคอบุ าย เพราะวา่ เคา้ ยงั เขา้
ไปไมไ่ ด้
เมื่อเราเขา้ ไปได้ ในจิตในจิตแลว้ เวทนา ซ่ึงเป็นเวทนา
ในอดีตหลายๆ ชาติ บนั ทึกเป็นสญั ญา อยใู่ นน้นั เรียบร้อยแลว้
มนั เป็นธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์ตา่ งๆ ที่เกิดข้ึน มนั เป็นฐาน
26
ท่ีต้งั แห่งการดาเนินมรรคจิตของเรา ถา้ ไม่เขา้ ถึง จิตในจิต
เรากไ็ ม่สามารถ เสพธรรมในธรรมได้ มรรคจิตกไ็ มเ่ กิดข้ึน
นี่คือ มรรคภายใน
27
ที่มา : ตอบปัญหาสภาวธรรม
บรรยาย โดย พ่อครูบัญชา ต้งั วงษ์ไชย
ศูนย์พลาญข่อย 24 มกราคม 2558