1
สารบญั 2
ปฏิบตั ิธรรม การกระทาตามธรรมชาติ 3
ทุกลมหายใจเขา้ ออก คือ การปฏิบตั ิธรรม 9
นานาจิตตงั 10
มีผเู้ พ่ง กบั สิ่งท่ีถูกเห็น 13
ปลอ่ ยใหจ้ ิตดาเนิน 15
สามโลกธาตุ 16
พรหมวิหาร ๔ 24
3
ปฏิบตั ิธรรม การกระทาตามธรรมชาติ
ปฏิบตั ิธรรมคือ การกระทาตามธรรมชาติ ทาอยา่ งเดียว
เวลาเดียว แต่ตอนน้ีเร่ืองภาระหนา้ ที่ ปัญหาชีวิต บางทีเราตอ้ ง
เร่งรีบ ขบั รถดว้ ย ฟังโทรศพั ทด์ ว้ ย คิดดว้ ยพดู ดว้ ย อนั น้นั เรา
ละเลยหนา้ ที่ เราไมป่ ฏบิ ตั ิตามธรรมชาติ เราทาธุรกิจ มีโอกาส
พลาดพล้งั
สมาธิ เป็นเร่ืองสาคญั ไม่ใช่แค่ไปฝึกสมาธิ แคร่ ูปแบบ
นง่ั สมาธิ แตข่ า้ งในคิดนู่น คิดน่ี อนั น้นั มนั ไม่ใช่ของจริง เรา
ตอ้ งใชส้ มาธิท่ีเรามีอยู่ ต้งั มน่ั เป็นหน่ึงเดียวกบั ส่ิงท่ีเราทา นนั่
คือปฏิบตั ิธรรม เวลากินขา้ ว กอ็ ยกู่ บั การกินขา้ ว เวลาทาหนา้ ท่ี
กอ็ ยกู่ บั มนั totally100%
ปฏิบัติธรรม ก็มี ฐานกาย ฐานเวทนา ถ้าเราอยู่
ชีวติ ประจาวนั ก็ กาย กบั เวทนา พอเราเขา้ ไปในวปิ ัสสนา กค็ ือ
ฐานจิต ฐานธรรม ก็อยู่ปัจจุบนั ในเวลาน้ันๆ ไม่ตอ้ งคิดถึง
อนาคต อนาคตอย่าห่วงมนั มากนัก อนาคตมนั มีอยู่แลว้ ไม่
ตอ้ งห่วง ทุกคนมีอนาคต พรุ่งน้ีอนาคต ปี หนา้ อนาคต อยาก
ให้อนาคตมันดี ก็ทาปัจจุบันให้มันดี ผลงานพรุ่งน้ีมันก็ดี
พยายามฝึ ก เพราะจิตเรามนั ไปยดึ ติด มนั มีกิเลส เรื่องชอบคิด
4
ชอบมีอนาคต อยปู่ ัจจุบนั ก็คิดถึงเร่ืองอนาคต นึกถึงอดีต มนั
ก็ส่งออก พลังสมาธิก็ร่ัว สติก็ไม่เกิด โอกาสพลาดพล้งั ก็มี
นน่ั แหละ เราไมป่ ฏิบตั ิธรรม
เรากาลงั เตน้ เราก็อยกู่ บั การเตน้ รากอ็ ยกู่ บั การรา เรา
กาลงั ปฏิบตั ิธรรม กค็ ือการทาหนา้ ท่ี เป็นหน่ึงเดียวกบั สิ่งน้นั
เสียเวลาเท่ากนั แต่ผลออกมามนั ไม่เทา่ กนั อยทู่ ี่วา่ ใครจะทา
หนา้ ท่ีอยา่ งต้งั มนั่ เราทา 50% เรากไ็ ด้ 50% เราทา 100 เราก็
ไดเ้ ตม็ 100 ทากค็ ือ ต้งั มนั่ เป็นหน่ึงเดียวกบั ส่ิงน้นั
เมื่อสมาธิต้ังม่ันแล้ว อารมณ์ภายใน ก็แทรกไม่ได้
อารมณ์ภายนอกก็แทรกไม่ได้ น่ันคือความสงบ เราจะมี
ความสุขกบั ส่ิงน้นั ความสุขไม่ใช่รอผลงานดีแลว้ ไดร้ างวลั
แลว้ ค่อยสุข ไม่ไช่ สุขทุกๆ เวลา ทุกๆ นาที ที่เราอยกู่ บั งาน
ท่ีเราทา อยกู่ บั หนา้ ท่ี
บางทีคาวา่ ปฏิบตั ิธรรม ไม่ใช่เรื่องคร่าครึ ไม่ใช่เร่ือง
แยกส่วนจากชีวติ เรา ทุกวนั เราปฏิบตั ิธรรม เราเขา้ ใจวา่ มนั
แยกออกจากวิถีเราเลย ตอ้ งไปอยทู่ ี่ศนู ยป์ ฏิบตั ิธรรม ตอ้ งไป
อยทู่ ี่วดั อนั น้นั มนั เป็นคนละเร่ือง ยส่ี ิบส่ีชวั่ โมงของเรา คือ
ปฏิบตั ิธรรม เวลานอนก็ตอ้ งนอน แตต่ อนน้ีไม่ เวลานอนไม่
5
นอน เพราะงานไม่เสร็จ ตอ้ งไปสงั สรรค์ เที่ยวเตร่ อนั น้ี คือ
กิเลส ไมใ่ ช่ปฏิบตั ิธรรม กิเลสไมใ่ ช่ธรรมชาติ กิเลส คือสิ่ง
ที่เราสร้างมนั ข้ึนมา แตธ่ รรมชาติของกิเลส มนั กท็ าใหเ้ ราหลง
กิเลส คือความเคยชินเรา ทกุ คนมีกิเลส เราไมอ่ ยากมีห
ต้งั แตเ่ กิดมา เคา้ ก็ใส่กิเลสใหเ้ รามา ช่ือน่ีกเ็ ป็นกิเลส ถา้ เราไป
หลงช่ือ อยา่ งน้ีมนั กเ็ ป็นกิเลสเรา กม็ ีกิเลส ไมเ่ ป็นไร ถา้ เรา
รู้เท่าทนั กิเลส กิเลสกพ็ ฒั นาไปสู่ตณั หาไมไ่ ด้ อปุ ทานก็ไม่เกิด
ทกุ ขก์ ็ไมเ่ กิด
ปฏิบตั ิธรรม มนั เป็นวิถีชีวิต ถา้ เป็นวิถีจริงๆ ไม่ตอ้ งฝึ ก
เลย แต่ตอนน้ี ทาไมเราต้องฝึ ก เพราะว่าเราถูกกิเลสครอบ
ทาร์ซานเคา้ ปฏิบตั ิธรรม แต่เคา้ ปฏิบตั ิธรรมระดบั สมถะ เคา้
หิวก็กิน ง่วงก็นอน เคา้ ไม่ตอ้ งถือศีลห้าดว้ ย เคา้ มีศีลห้าเต็ม
เปี่ ยม ทาร์ซานไม่ผิดศีล เคา้ ไม่โกหก ภาษามนั ก็พูดไม่เป็ น ท่ี
เราโกหก เพราะเรามีความอยากไดข้ องเคา้ ทาร์ซานปฏิบัติ
ธรรมระดับสมถะ เค้าไม่มีโอกาส ได้ปฏิบัติระดับ
วปิ ัสสนา ถา้ ไม่ถึงข้นั วิปัสสนา มนั จะไม่มีปัญญา ที่จะไปขดั
เกลาจิต มนั ไม่สามารถ ชนะกระแสกรรม ที่เราสะสมมาหลาย
6
ชาติ แต่เคา้ ดารงอยู่ตามธรรมชาติ เคา้ มีทุกขต์ ามอตั ภาพ เคา้
ไม่ทกุ ขเ์ ยอะ เพราะวา่ ความทะยานอยากเคา้ ไม่มี แตพ่ วกเรามี
พระพุทธเจ้าก็ไปเห็นแล้ว พระองค์ถึงไปพบ วิธีที่
ปฏิบตั ิข้นั สูงข้ึนไป เพ่ือท่ีจะกาจดั อะไรๆที่เรามี เรามีความ
ทะยานอยาก มีความรู้ผิด ก็ทาให้ศีลห้าที่มีอยู่แล้วตาม
ธรรมชาติ ถูกกลบเกลื่อน ความอยากมี อยากได้ เราก็ไปผิดศีล
พอผดิ ศีล กเ็ ป็นกรรมใหมท่ ี่เราสร้าง
สัตว์โลกย่อมเป็ นไปตามกรรม เราก็ไม่สามารถสู้
กระแสตรงน้ีได้ ของเก่าก็มีอยแู่ ลว้ ทาให้เรามาเกิดใหม่ เราก็
บวกของใหม่เขา้ ไปอีก แลว้ จะไปไหน มนั ก็ทุกข์ กรรมเก่า
บวกกรรมใหม่ ก็ไล่ตามเราอีก จริงๆแลว้ ไม่ใช่เร่ืองซับซ้อน
มันเป็ นธรรมด๊าธรรมดา เป็ นอะไรท่ีเรียบง่าย ธรรมะคือ
ธรรมดา ศีลคือความปกติ ตอนน้ีความปกติมนั หายไป ก็ตอ้ ง
เอาศีล ซ่ึงเป็นวนิ ยั มาบงั คบั ตวั เอง ก็กลายเป็น มือถือสาก ปาก
ถือศีล ถือๆ หลดุ ๆ
แต่ถา้ เราปฏิบตั ิไปเร่ือย ๆ คือ ไปขดั เกลา กิเลส ตณั หา
อุปาทาน ที่มนั ครอบงาเรา เราเขา้ ไปสู่สภาวะเดิมของจิต ศีล
บริสุทธ์ิที่มีอยแู่ ลว้ มนั กแ็ สดงตวั ไมต่ อ้ งถือศีลใหม้ นั ลาบาก
7
เมื่อศีลมนั เกิดข้ึนแลว้ มนั มีปัญญาแลว้ ถามวา่ มนั จะไปสร้าง
กรรมใหมไ่ หม มนั ไม่มีเหตตุ อ้ งสร้าง เพราะมนั ไมม่ ีความ
ทะยานอยาก
หนา้ ที่คือธรรมะ การทาหนา้ ท่ีนนั่ คือการปฏบิ ตั ิธรรม
ทกุ คนตอ้ งมีสัมมาอาชีวะ ตอ้ งมีอาชีพ ตอ้ งเล้ียงชีพตวั เอง เป็น
หน่ึงในมรรคมีองคแ์ ปด กินขา้ วกป็ ฏิบตั ิธรรม ไม่ใช่วา่ ไม่
อร่อย ฉนั ไม่กิน นน่ั แหละกิเลส ถึงเวลากินเรากก็ ิน เราปฏิบตั ิ
ธรรม เราตอ้ งเติมพลงั งานให้ แตพ่ ออร่อยก็กินมาก เกินไป
อีก อนั น้ีไมป่ ฏิบตั ิธรรม กินตามกิเลส ไมใ่ ช่วา่ อยาก..ถึงทา
ไม่อยาก..ทา..ทาไม ทาเพราะทา ไม่เก่ียวกบั ความอยาก มนั
เป็นหนา้ ที่
ปฏิบตั ิธรรม ทาตามธรรมชาติปกติ ท่ีวถิ ีชีวติ มนุษยท์ กุ
คนตอ้ งดาเนิน แต่ตอนน้ีวถิ ีธรรมชาติ มนั ถกู ครอบงาดว้ ย
อวชิ ชา คือความรู้ผดิ ความรู้ใดซ่ึงแฝงดว้ ย โลภ โกรธ หลง
ทาใหเ้ กิดตณั หาแลว้ ถอื วา่ เป็นความรู้ผดิ ท้งั สิ้น เพราะตณั หา
คือ ท่ีมาของทกุ ข์ ทนี ้ีเรามีแลว้ เรารู้แลว้ เราจะทาอยา่ งไร กม็ า
ปฏิบตั ิ ปฏิบตั ิท่ีมนั มีพลงั มากตามธรรมชาติ ถา้ ไม่มาก เราก็
8
ไปขดั เกลา ที่เราสร้างข้ึนมาไม่ได้ กาลงั เราไมพ่ อ ที่จะขดั
เกลามนั ออก
พระพทุ ธเจา้ สอนใหเ้ รา นอกจากทาดี ละชว่ั แลว้ ไมพ่ อ
ตอ้ งขดั เกลาจิตใหผ้ อ่ งใสดว้ ย ปฏิบตั ิธรรม มีหลายข้นั ตอน
ข้นั พ้นื ฐานทวั่ ไป นกเอย หนูเอย แมวเอย มนั ก็ปฏิบตั ิธรรม
มนั ตอ้ งทามาหากินของมนั มนั ปฏิบตั ิธรรมแต่ระดบั เดรัจฉาน
วชิ า ไก่ออกไข่ มนั ไมท่ ิ้ง มนั กฟ็ ัก มนั ปฏิบตั ธิ รรม พอลกู เป็น
ตวั มนั กพ็ าลูกมนั ทามาหากิน มนั ปฏิบตั ิธรรม มนั ไมเ่ คย
วางแผน แลว้ ทาไมคนเราทาได้ คนเราคลอดลกู แลว้ ก็เอา
ไปทิง้ ไมป่ ฏิบตั ิธรรม อนั น้ีคือกิเลส สร้างกรรมใหม่ ฆา่ ลูก
ตวั เองดว้ ย ทาไมสตั วม์ นั ไม่ทา เพราะมนั ปฏิบตั ิธรรม แต่
มนุษยเ์ รา ทาไปทามา ไม่ปฏิบตั ิธรรม ปฏิบตั ิตามกิเลส
กลายเป็นกรรม ท่ีน้ีกรรมน้ี มนั ก็สะสมในจิตใตส้ านึก มนั ก็
ส่งผลอีก กรรมเก่าบวก กรรมใหม่ ก็ส่งผลไปเร่ือย เร่ือย
9
ทกุ ลมหายใจเข้าออก คือ การปฏิบตั ิธรรม
ถ้าเราปฏิบตั ิท่ีบ้านทุกวนั จาเป็นต้องมาศนู ย์พลาญข่อยหรือไม่
ตอบวา่ ไม่จาเป็นนนั่ คือปฏิบตั ิธรรม ถา้ เราปฏิบตั ิที่บา้ น
ทุกวนั ทุกวนั ก็ยงั ไมพ่ อ ตอ้ งทุกลมหายใจเขา้ ออก ถา้ ทาได้
กไ็ มต่ อ้ งมาศนู ย์ วนั นึงมี่ยสี่ ิบส่ีชว่ั โมง ปฏิบตั ิธรรมกี่ชว่ั โมง
ปฏิบตั ิตามกิเลสกี่ชว่ั โมง ถา้ ทุกเวลาเราปฏิบตั ิธรรม เราทาตาม
หนา้ ท่ี ก็ไม่ตอ้ งมาศนู ย์ คนเราเผลอป๊ บุ ก็คิด เผลอป๊ บุ ก็สนอง
กิเลส กไ็ มป่ ฏิบตั ิธรรมเหมือนกนั
ไม่ไดข้ ้ึนวา่ อยทู่ ่ีไหน มนั อยทู่ ่ีวา่ เราอยกู่ บั ตวั เองทกุ
เวลาหรือเปลา่ วถิ ีชีวติ เรา บางทีอยขู่ า้ งนอก ส่ิงเร้าใจมนั เผลอ
ไดง้ ่าย เราไม่ไดป้ ฏิบตั ิธรรมทุกวนั ทกุ นาที มาศนู ยน์ ้ีจาเป็น
ไหม จาเป็นแลว้ เหมือนรถยนตใ์ ชบ้ อ่ ยๆ มนั กต็ อ้ งเขา้ อู่ อนั น้ี
กต็ อ้ งอยทู่ ่ีวา่ ถา้ เราปฏิบตั ิประจา จนเป็นวถิ ีเราแลว้ กไ็ ม่
จาเป็นตอ้ งมาศนู ย์
เราทางาน ทุกวนั น้ี ทางานเหน๊ือยเหน่ือย เรากจ็ ะให้
รางวลั ชีวติ ก็ไปทวั ร์ ไปเที่ยว อนั น้นั ไมใ่ ช่ปฏิบตั ิธรรม ไมใ่ ช่
กาไรชีวิต กาไรกิเลส แตถ่ า้ เราทางาน เราเหนื่อย เรามาที่ศนู ย์
10
เรากต็ อ้ งพกั กาย พกั ใจ พกั จิตดว้ ย ก็ยงั ดีกวา่ ไปเพิ่มกิเลส ถา้
ไปเพ่มิ กิเลส เรากต็ อ้ งมาปฏิบตั ิ ขดั เกลามนั อีก
นานาจิตตัง
ถ้าปฏิบัติไปเร่ือย ๆ จนหมดโปรแกรม ไม่มที ่าทางแล้ว จะน่ัง
นิ่งๆ ทถี่ กู ต้องเป็นแบบนีไ้ ช่หรือไม่
ไม่ตอ้ งปฏิบตั ิไปเรื่อย ๆ คนไมต่ อ้ งปฏิบตั ิ กน็ ง่ั อยนู่ ่ิงๆ
ได้ มีแตฟ่ ังคนน้นั บอก คนน้ีบอก เราไม่เคยเชื่อมนั่ ในตวั เอง
เวลาเราไดย้ นิ ก็สกั แต่วา่ ไดย้ นิ สกั แตว่ า่ เห็น สักแต่วา่ รู้ อนั น้ี
ไมส่ กั แต่วา่ พอไม่ไดย้ นิ ก็ไปถาม ใหเ้ คา้ พูดใหเ้ ราฟัง ไดย้ นิ
ของใหมอ่ ีก แลว้ ก็เอามาคิดอีก มนั กเ็ กิดคาถามแบบน้ี มนั ไมม่ ี
อะไรตายตวั วา่ มนั ตอ้ งเป็นแบบไหน เป็นตามท่ีจิตมนั จะเป็น
แต่เราแคร่ ู้เฉยๆ ทีน้ีเราก็พยายามจะหาคาตอบ แบบตรรกะ
พอคนน้ีหวงั ดีกไ็ ปเตือน เอามาตรฐานของตวั เอง ไปบอกคน
อื่น ตวั เองก็ยงั ไมท่ ะลปุ ลอ้ ง ยงั ไมเ่ ขา้ ถึงนานาจิตตงั เอาตวั เอง
ไปบอกวา่ ตอ้ งทาเหมือนฉนั
11
ถา้ นง่ั นิ่งๆ แลว้ ถามอีก วา่ มนั ตดิ ไหม กไ็ ปหลงน่ิง ๆ
มนั ราบอ่ ย ๆ กต็ ิดรึป่ าวอีกนนั่ แหละ มนั ไมจ่ บหรอก เอาเป็น
วา่ เรากร็ ู้วา่ มนั ติดไม่ดี เรากอ็ ยา่ ไปติด อยา่ ติด กค็ าวา่ เหว่ยี งทิง้
กใ็ หม้ นั ดาเนินไป เรากเ็ หว่ยี งทิง้ ไปเรื่อย ๆ เอาเป็นวา่ มนั ไม่
เหมือนกนั อยา่ เลียนแบบใครท้งั น้นั เอาแบบเรานน่ั แหละ แต่
ตอ้ งไม่ใช่เกิดจาก สมองเราไปสง่ั การ แลว้ กใ็ จเราไปชอบ
หรือไม่ชอบ ตอ้ งไม่เน่ืองดว้ ยใจ ถา้ จิตมนั ทาเอง กป็ ลอ่ ยมนั ทา
จิตปัจจุบนั รู้เฉย ๆ
ถา้ ไปนงั่ ตามลมหายใจ สาม สี่ สิบปี แลว้ ก็ถามวา่ ติดรึ
ป่ าวอีก กไ็ ปนง่ั งง อีก ทาแตเ่ รื่องเกา่ ๆ กอ็ ยา่ ไปติดมนั สิ
ทาแต่ไมต่ ิด แต่ถา้ เราใชส้ มอง ใชใ้ จ นนั่ แหละมีคาวา่ ติด ไม่
ติดถา้ จิตมนั ดาเนิน จิตปัจจุบนั ก็อยา่ ไปติด กร็ ู้เฉย เฉย จิตเดิม
เราเคา้ ก็จะดาเนินไปเร่ือย ๆ เคา้ รู้วา่ เวลาน้ีควรจะทาอะไร บาง
โปรแกรมมนั ยงั ไมห่ มด เคา้ ก็ทา เวลาเราเขา้ ไป จิตในจิต ถาม
วา่ จาเป็นตอ้ งเขา้ ไหม ตอบวา่ เขา้ ก็ได้ ไม่เขา้ กไ็ ด้ บางคนไม่
ทาอะไร พระพทุ ธเจา้ เทศนค์ าเดียว บรรลุธรรมแลว้ บางคน
นงั่ สมาธิสิบหา้ นาที กบ็ รรลุธรรมแลว้ แตม่ นั ไมใ่ ช่ทางสาย
12
กลาง มนั ไม่ใช่มาตรฐาน ท่ีทุกคนทาได้ ถา้ ทางโลกวา่ มนั เป็น
ความสามารถเฉพาะตวั
แตท่ างสายกลาง ที่พระพทุ ธเจา้ ช้ีใหเ้ รา กค็ ือ ศีล
สมาธิ ปัญญา หรือ ทาน ศีล ภาวนา ทาไปเรื่อย เร่ือย ส่วน
มนั จะถึงฝั่งเมื่อไหร่ ช่างมนั มนั ถึงไว กไ็ มม่ ีของเล่น โอ๊ย
โปรแกรมน้ีเมื่อไหร่จะหมด หมดแลว้ โปรแกรมอื่นกม็ าอีก
กด็ าเนินไปเรื่อย ๆ
แตเ่ นื่องจากเรามีความอยาก เรามีเง่ือนไขเวลา เราทา
อะไรอยากหมด มนั ก็ไปติดบว่ ง กส็ ร้างขอ้ กงั ขา เม่ือไหร่ฉนั
จะถึง ฉนั ติดรึป่ าว กอ็ ยา่ ไปติดซิ ก็ใหเ้ คร่ืองมือแลว้ คือ
เหวีย่ งทิ้ง มนั จะไปติดไดย้ งั ไง แตน่ ่ีเราไม่เหวี่ยงทิง้ พอมนั
เกิดแลว้ เอะ๊ ฉนั ติดรึป่ าว ไปนง่ั คิดอีก นน่ั แหละเธอติด
ความคิด ติดแลว้ ก็รู้เฉยๆ
เวลาเราปฏิบตั ิ มนั ชดใชก้ รรมดี มนั จะแสดงอาการ
เกี่ยวกบั เร่ืองอารมณ์ อารมณ์ดี พอกรรมชวั่ ทกุ ขท์ รมาน เศร้า
โศกเสียใจ เป็นช่วงท่ีมนั กาลงั เรียนรู้ กบั เร่ืองกรรมดีกรรมชว่ั
ส่วนบางคร้ังมนั ร่ายรามนั หมนุ วน มนั ทาอะไรที่มนั นิ่งกบั
การเคล่ือนไหว มนั เป็นการเจริญสติในอดีต เป็นการสะสม
13
พลงั จิตมนั รู้เอง เวลาน้ีจะพจิ ารณาธรรม เวลาน้ีจะพจิ ารณา
กรรม จิตมนั ทา แตม่ นั จะทาอะไรกช็ ่าง จิตปัจจุบนั รู้เฉย เฉย
มผี ้เู พ่ง กับ สิ่งท่ีถกู เห็น
ถ้าเราเห็นตวั หมนุ ข้างใน เราน่งั น่ิงๆ ดแู ต่ว่าตัวหมนุ ได้หรือไม่
ตอบวา่ ได้ ตารวจไมจ่ บั อะไรท่ีมนั ไมผ่ ิดกฎหมาย ได้
หมด ส่วนมนั จะไดม้ ากแค่ไหน ก็แลว้ แต่ ถา้ เกิดเรามีการ
กาหนดแลว้ วา่ ฉนั จะนงั่ อยนู่ ่ิง นิ่ง มีการกระทาเกิดข้ึน มนั ก็
ไดก้ ระทา กไ็ ดน้ ิ่ง ฝึกสมถะกรรมฐานก็ได้ ไม่มีเสียหาย ทีน้ี
มนั กม็ ี ผเู้ พง่ กบั ส่ิงท่ีถกู เห็น มนั กเ็ จริญสติไดส้ มถะกรรมฐาน
ส่วนถา้ เราปลอ่ ยมนั ไปเลยตามสภาพ อยา่ ไปกาหนด
อยา่ ไปสัง่ การ อยา่ ไปมคี วามอยาก จะทาอยา่ งน้นั อยากจะทา
อยา่ งน้ี จิตมนั ดาเนินเอง มนั จะรวมกนั กายเวทนา จิต ธรรม
รวมเป็นหน่ึงเดียว เป็นมหาสติปัฏฐาน อนั น้ีกจ็ ะ เกิดปัญญา
เรารู้เฉย เฉย
14
แตเ่ วลาน้ีมนั จะน่ิงๆ มนั กห็ มุนนิ่งๆ เราไม่ตอ้ งนงั่ ดูมนั
เรากเ็ ป็นตวั หมนุ กบั มนั น่ิงๆ ก็ไม่ไดม้ ีใครวา่ กน็ ิ่ง น่ิง เด๋ียวซกั
พกั นึง ความไมน่ ิ่งมนั ก็เกิดข้ึน เรากเ็ ห็น ความเปลี่ยนแปลง
ความน่ิงน้นั ก็เป็น อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา เห็นแบบน้นั ไม่ใช่
ไปนงั่ ดูมนั สมั ผสั วา่ เด๋ียวมนั ก็แรง เด๋ียวมนั ก็เบา ความแรงก็
เป็นอนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา กไ็ ม่เที่ยง ความชา้ ก็ไม่เที่ยง ก็ดู
แคน่ ้นั ดูตวั เองบอ่ ยๆ อยา่ งนอ้ ยนอ้ ย เชา้ สาย บา่ ย เยน็ มาอยู่
ที่น่ี เราอยกู่ บั ตวั เองตลอด
ชีวิตเราส่งออกตลอด มีแต่อยกู่ บั คนอ่ืน มีแตค่ ิดถงึ
อนาคต นึกถึงอดีต อนั น้ีเราก็ไดอ้ ยกู่ บั ตวั เอง มนั เป็นอุบายวธิ ี
ท่ีทาใหเ้ ราอยกู่ บั ตวั เอง ต้งั แต่เชา้ สาย บา่ ย เยน็ เพียงแตว่ า่ อยู่
กบั ตวั เอง ก็มีหลายอารมณ์ ทาใหจ้ ิตไดเ้ รียนรู้ รู้เทา่ ทนั
อารมณ์ทกุ อารมณ์ดว้ ย แต่สุดทา้ ยคือเราอยกู่ บั ตวั เอง เป็นวชิ า
ท่ีเรามาอยกู่ บั ตวั เอง ถา้ เราไม่มองตวั เอง เราจะรู้ตวั เองได้
อยา่ งไร เราจะรู้เท่าทนั กิเลสตวั เองไดอ้ ยา่ งไร เราจะรู้เทา่ ทนั
อารมณ์ตวั เองไดอ้ ยา่ งไร
ก็ทาไปเร่ือย ๆ เราสัมผสั มนั เรื่อย ๆ เห็นเร่ือย ๆ เราก็
ชานาญ ต่อไปไม่ว่าอารมณ์ภายนอก อารมณ์ภายในมัน
15
กระทบ มนั ไม่กระเทือน เพราะเราฝึ กมาแลว้ เหมือนเราฝึ ก
ยิงเป้าบินแลว้ พอเห็นป๊ ุบ เราก็ยิงเลย มนั มาทิศไหน ไม่มา
บอกเรา เรากย็ งิ แลว้ ตอ่ ไป เคา้ ด่าเราป๊ บุ เรากย็ งิ
อารมณ์ขา้ งใน บางทีไม่ตอ้ งมีผสั สะเลย อยู่คนเดียว
กาลงั จะนอน หลบั ตา ปิ๊ งข้ึนมา คิดถึงคู่อริ เห็นไหม ไม่ตอ้ ง
มีผสั สะเลย อันน้ีข้างในมันเกิดข้ึน สัญญาท่ีมีแล้ว มันเกิด
ข้ึนมาทนั ทีเลย ถา้ ไม่รู้เท่าทนั มนั กว็ ีน นอนไมห่ ลบั เมื่อเราฝึ ก
แลว้ มนั เกิดข้ึน เราจะรู้เท่าทนั มนั ตามธรรมชาติ
ปล่อยให้ จิตดาเนิน
เวลาปฏิบตั ินานาจิตตัง จะเชคๆเต้นๆ และยืนหมนุ ๆ ยืนหมนุ
บ่อยครั้ง แต่ไม่ได้ตงั้ ใจจะให้มนั หมนุ มนั หมนุ ของมันเอง
การหมนุ ไปเร่ือย ๆ แบบนี้ ถือว่าเป็นกิเลสหรือไม่ ควรปฏิบัติ
อย่างไร ควรหยดุ หมนุ ไหม
ถา้ เป็ นจิตทา ไม่มีคาว่ากิเลส แต่ถา้ เป็ นใจทาตอ้ งระวงั
ไปenjoy ไปต้งั ใจใหม้ นั เป็นแบบน้นั สมองควบคุม นน่ั แหละ
กิเลส พ่อครูเคยเล่าว่า ยอ้ นหลงั ไปพนั กว่าปี ที่แลว้ มีผูห้ ญิง
16
คนนึง ช่ือ โซฟี เคา้ ยืนหมุนอยู่สามสิบหกชวั่ โมง ไม่กิน
ไม่นอน จิตมันเข้าไปสู่แกนกลาง ของทอร์นาโด มันก็
สะสมพลงั ระเบิดตูม บรรลุธรรมเลย แต่ไม่ใช่เราต้งั ใจ
จะไปทาเหมือนเคา้ อนั น้ันคือมีการกระทาเกิดข้ึน เน่ืองด้วย
ความอยาก ปล่อยให้จิตมันดาเนินเอง เราก็รู้ มีสติตื่นรู้
ตลอดเวลา สะสมพลงั ไปเร่ือย เร่ือย
สามโลกธาตุ
มีคนถามว่า ท่ีพ่อครูบอก สามโลกธาตุน้ันคืออะไร
สามโลก ก็คือ สวรรค์โลก มนุษยโ์ ลก และโลกนรก ส่วน
ธาตุน้ัน คือ คุณสมบัติของวิญญาณ วิญญาณธาตุ ส่วน
สามโลกตัวน้ี มันไม่เก่ียวกับแดน ที่อยู่อาศัยเป็ นแดน ๆ
แบบน้นั เป็นอตั ตานิยมไม่ใช่อยา่ งน้นั
มันเป็ นเร่ืองของจิตวิญญาณ พ่อครูก็พูดบ่อยๆว่า
สวรรคอ์ ยใู่ นอก นรกอยูใ่ นใจ นิพพานอยใู่ นจิต ก็เคยมีคน
แยง้ เคา้ บอกวา่ เคา้ ไปอา่ นพระไตรปิ ฎก ไปคุยกบั พระอาจารย์
จบเปรียญเก้า บอกว่าสวรรค์มีก่ีช้ัน นรกมีก่ีช้ันกี่ช้นั พ่อครู
17
ไม่ไดบ้ อกว่า มนั ไม่มี แต่มนั ไม่ใช่แดนแบบน้ัน มนั ไม่ไช่
เป็ นแดนๆ มนั เป็ นสภาวะอารมณ์ของจิต ระดับความรู้สึก
สุข ทกุ ข์ ที่เคา้ เรียกวา่ เป็น level อุณหภมู ิที่ต่างกนั
ยกตวั อยา่ งว่า ถา้ เราจะไปเท่ียวนรก ก็ทาให้ตวั เองทุกข์
มากๆ เราก็สัมผสั ว่าสัตวน์ รกน่ัน มันเป็ นอย่างไร ถ้าจะไป
เที่ยวสวรรค์ ก็ทาให้ตวั เองนี่มีความสุข มีความสนุกสนาน
เราก็สัมผสั ว่า เทวดาที่บนสวรรคเ์ คา้ สุขแบบไหน ทีน้ีเคา้ ก็
แบง่ เป็นระดบั ข้นั วา่ สุขระดบั น้ี
ทีน้ีอย่างนรก เคา้ ก็ยกตวั อย่าง สร้างภาพข้ึนมา ให้เรา
เห็นด้วยตาเน้ือ นรกฝรั่ง นรกไทย วาดไม่เหมือนกนั แต่เรา
เห็นอารมณ์ นรกไทยเหมือนเราถูกข้ึนตน้ งิ้ว เหมือนเราถูกตม้
จิตมนั เป็ นทิพ มนั จะเอาใครไปข้ึนตน้ งิ้ว มนั จะเอาใครตม้
แต่ภาพน้นั สะทอ้ น ให้เห็นแลว้ ว่า เราทุกขเ์ หมือนถูกตม้ มนั
ทุกขเ์ หมือนข้ึนตน้ งิ้ว
มนั ไม่ใช่เป็นนรกเป็นแดนแบบน้นั เพียงแตว่ า่ มิติของ
สวรรค์ กบั มนุษยส์ มบตั ิ กบั นรกสมบตั ิ มนั อยู่แถวน้ี แต่มนั
เป็ นคนละคลื่น คนละมิติเท่าน้ันเอง เป็ นสามมิติ ท่ีด่านเม่น
18
เราถึงทาภาพสามมิติ พ่อครูรับคลื่นตรงน้นั ได้ สามโลกธาตุ
มนั เปิ ดทะลกุ นั หมด
ทีน้ี มาดูชีวิตเรา มนั เป็ นชีวิตจริงไหม ทุกเช้า พ่อครู
พูดวา่ ชีวิตคือละคร ละครก็คือมายา ตวั เราจริงๆไหม ตวั เรา
ที่ช่ือบัญชาจริงไหม มนั อยู่ยงคงกระพนั ไหม เจา้ ตวั ฉันเธอ
ห้ามแก่ ห้ามเจ็บ ห้ามตาย มนั เชื่อเราไหม ไม่ไดเ้ ช่ือ มนั เป็ น
แค่มายาภาพ แต่เราไปหลงอตั ตาตวั เอง ทิฐิมานะ อวดเก่ง
เอาตวั เองเป็ นที่ต้งั โดยไม่ลืมหูลืมตา ว่าทุกอย่างเป็ นมายา
สร้างกรรมไม่หยดุ ไม่หย่อน ก็เพราะว่า เราไม่รู้ว่าทุกอย่าง
เป็นมายา ไมเ่ ป็นความจริง มนั เป็น อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา
สวรรคอ์ ยใู่ นอก นรกอยใู่ นใจ นิพพานกอ็ ยใู่ นน้ี ไม่ใช่
ไปอินเดีย ภูเขาหิมาลยั ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ่ีโนน้ มนั อยขู่ า้ งในน้ีแลว้
ทกุ คนมีพทุ ธจิตอยแู่ ลว้ เดินเขา้ ไปหาเคา้ ถา้ เราขา้ มพน้ สุข
ทกุ ขแ์ ลว้ นน่ั แหละ คือความสุขอยา่ งยงิ่ คอื นิพพานเป็นสุข
อยา่ งยง่ิ ตวั น้นั ไม่เนื่องดว้ ย ตอ้ งไดอ้ ะไรก่อน ค่อยสุข มนั สุข
เพราะวา่ มนั ไมม่ ีทกุ ขเ์ ลย เพราะ ตวั คนสุขก็ไมม่ ี ตวั คนทุกข์
ก็ไมม่ ี คนที่มนั สุข มนั ทกุ ข์ ถกู ฆา่ ตายแลว้ มนั ไมม่ ี นิพพาน
เป็นสุขอยา่ งยง่ิ อยใู่ นน้ีหมด ไม่ตอ้ งไปหาที่ไหน
19
อยากกา้ วหนา้ ตอ้ งถอยหลงั ถอยเขา้ ไปขา้ งใน แลว้ เรา
จะรู้วา่ ชีวติ ที่เราเป็นอยอู่ ยา่ งน้ี เป็นละคร ตอนน้ีเราแสดง
บทบาทอยา่ งน้ี บริษทั หา้ งร้านกม็ ีหลายๆ ตาแหน่ง แตว่ า่ เม่ือ
เราเป็นนกั แสดง กแ็ สดงใหม้ นั สมบทบาท ถา้ ไมส่ มบทบาท
เราเป็นคนไมม่ ีสจั จะ เรากผ็ ิดศีล เราไมซ่ ื่อสตั ยต์ ่อหนา้ ที่ เรา
ไม่ทา เราไมป่ ฏิบตั ิธรรม ปฏิบตั ิธรรมตอ้ ง ต้งั มนั่ ซื่อสัตย์
สุจริตกบั หนา้ ที่เราทา คนอ่ืนไมร่ ู้ช่างเคา้ แต่จิตเรารู้
เราปฏิบตั ิธรรม มนั กเ็ ป็นละคร คนโบราณบอกอาชีพ
เตน้ กิน รากิน น่ีเคา้ รังเกียจเลยนะ เคา้ บอกวา่ เป็นมายา แต่ทุก
วนั น้ีเป็นอาชีพได้ ไมเ่ ป็นไร อาชีพไหนก็ช่าง ถา้ เราจาเป็นตอ้ ง
ทาหนา้ ที่ เรากท็ าหนา้ ที่ซ่ือสตั ยก์ บั มนั ชีวิตเราคือละคร อยา่
ไปซีเรียสอะไรมากมาย ทิฐิมานะแลว้ ก็สร้างกรรมใหม่ ไม่
หยดุ หยอ่ น อนั น้นั ไมค่ วรทา
เรากต็ อ้ งฝืนกิเลส ฝืนทิฐิมานะตวั เอง ไมใ่ ช่วา่ อยากทา
กูทาเลย ทาไปแลว้ ค่อยมานง่ั เจบ็ ปวด คอ่ ยมานง่ั ทุกขท์ รมาน
อนั น้นั มนั สายเกินไปแลว้ ก็เนื่องจากวา่ เราไมย่ อมรับวา่ ทุก
อยา่ งมนั เป็นมายา เรายดึ มนั่ ถือมนั่
20
ทา่ นอาจารยพ์ ุทธทาส พูดแรงมาก ในแง่ภาษาท่านบอก
ตวั กขู องกู แรงอยา่ งน้ี ก็กะเทาะเปลอื กไม่ได้ เพราะทกุ คน
ไม่มีเวลา มาศึกษาสิ่งที่ท่านพดู เราไปหลงกบั มายาภาพตรง
น้นั เราแสดงไป แสดงมา กลายเป็นวา่ สมจริงวา่ เราเป็นตวั น้นั
มนั เป็นแคก่ ารแสดงชว่ั ครู่
สามโลก กค็ ือ สวรรคส์ มบตั ิ มนุษยส์ มบตั ิ นรกสมบตั ิ
สมบัติ หมายถึงว่า คุณสมบัติของจิตดวงน้ัน ว่าเคา้ อยู่ใน
ตรงไหน ตอนน้ีเราอยู่ในร่างมนุษย์ แต่มนุษย์เป็ นเปรต
อสูรกาย ก็อยใู่ นตวั เรา ไม่บา้ กไ็ ปกินยาใหม้ นั บา้ ฆ่าพอ่ ฆ่า
แม่ ไปข่มขืนยาย อนั น้ีคือนรกสมบตั ิ ถึงจะอยรู่ ่างมนุษย์
ก็ช่าง ไม่ใช่มนุษยส์ มบตั ิ จิตดวงน้ัน คุณสมบตั ิของมนั เป็ น
แค่ เปรตอสูรกาย
บางคน มีเมตตาธรรม มีพรหมวิหาร มีพรหมอยู่ใน
ร่างเรา มีเทวดาอยู่ในร่างเรา มนั เกี่ยวกบั เรื่องจิตวิญญาณ
ไม่เกี่ยวกบั เรื่องแดน เราเป็ นมนุษยส์ มบตั ิ นิพพานก็อยู่ใน
ตวั เรา อยู่ในร่างมนุษยน์ ้ี เป็ นอริยสงฆ์ก็อยู่ในร่างมนุษยน์ ้ี
เปรตอสูรกายก็อยู่ในน้ี เทพเทวดาก็อยู่ในน้ี อยู่ท่ีว่าใคร
อยากจะแสดง เป็นอะไร เคา้ เรียกวา่ คุณสมบตั ิของจิต
21
สามโลกธาตุน้ี จะเป็ นสวรรค์ นรก มนุษย์ ก็อยู่ใน
วฏั สงสาร การเวียนว่ายตายเกิด เป็ นพรหมเสพกรรมดีแลว้
เสพสุขแลว้ ลงมาเกิดวนั แรก กแ็ หกปากร้องเหมือนกนั ก็ยงั
ตอ้ งเวียนว่าย ตายเกิด ทีน้ีเราปฏิบตั ิธรรมทาไม ปฏิบตั ิธรรม
เผอ่ื ฟลุ๊คก็ไดน้ ะ เหมือนปลาเป็นทวนน้า ปลาตายตามน้า ถา้
คนท่ีไม่กลา้ ทวนกระแส มกั ง่าย จะวิ่งไปตามกระแส อนั น้ี
ตายท้งั เป็ น มีปลาตายเท่าน้นั ท่ีจะตามกระแส มกั ง่าย ไม่ตอ้ ง
ทวนกระแส ออกทะเลตายหมด
ทีน้ีทวนกระแส ไมใ่ ช่เราปฏิเสธกระแส เราไม่ไดข้ วาง
กระแส เราไมไ่ ดก้ ้นั เขื่อน ตกั ตวงมนั อยา่ งเดียว เราไมไ่ ด้
ปฏิเสธกระแส มนั กไ็ หลไปตามกระแส กรรมกไ็ หลตามลง
ที่ต่า แต่เรารู้แลว้ วา่ เม่อื เราเลือกตามกระแส เราตายแลว้ เราไม่
มีวนั ผดุ วนั เกิด เราจะไม่อิสระ
เราทวนกระแส เราไม่ไดเ้ ลือก เราไม่มีทางเลือก ถา้ เรา
เลือกทวนกระแส เราก็จะไปทาลายพวกตามกระแส เราจะไป
ว่าเคา้ ผิด เราไม่ไดข้ วางกระแส แต่เพราะเรา ไม่มีทางเลือก
เพราะว่าเราตามกระแส เราคือปลาตายท้ังเป็ น เราตอ้ งทวน
กระแส ทวนกระแสอาจจะระหว่างทางตายก็ได้ ปลาเล็กถูก
22
ปลาใหญ่กิน แต่อยา่ งนอ้ ยๆ ช่วงที่มนั ทวนกระแส มนั ก็สร้าง
อินทรีย์พละ ให้กาลังจิตเรา ถ้าต้องเกิดอีก มันก็มีกาลัง
เดินทางตอ่ แต่ถา้ เกิดมีบุญเก่าบวกบญุ ใหม่ มนั ขา้ มพน้ มนั มี
ทางรอดพน้ ไปสู่ความอิสระภาพได้
พระพุทธเจ้าบอก เป็ นทางทางเดียว เราไม่ได้เลือก
ทวนกระแส เราไม่ไดเ้ ลือก เราไม่มีทางเลือก เพราะเรารู้ว่า
แล้วว่าตามกระแส มันตายอยู่แลว้ มันไม่อิสระแล้ว พ่อครู
ยกตัวอย่าง มีเบ็ดตกปลาสองอนั เบ็ดอนั แรกใส่เหยื่อผูช้ าย
หล่อ อีกอนั ก็ใส่เหยอื่ ผูช้ ายรวย มีผูช้ ายคนนึงหล่อมาก แต่
ข้ีเกียจมาก มีหน้ีสินลน้ พน้ ตวั เลย ส่วนอีกคนรวยมหาศาล
แต่ข้ีเหร่มาก ถามว่า จะเลือกใคร บางคนก็เลือกคนหล่อ บาง
คนก็เหลือคนรวย เอาเป็ นว่า ถา้ เราเลือกเราจะติดเบ็ด เรา
จะไดอ้ ยา่ งเสียอยา่ ง เราจะไม่อิสระตลอดชีวิต นนั่ แหละ
ไม่พิจารณา ไม่ตดั สิน เมื่อเราตดั สิน เราจะติดบ่วง เราจะ
ติดเหยอ่ื ความหล่อ ความรวย มนั ไมไ่ ดอ้ ยยู่ งคงกระพนั
พอ่ ครูบอกสวรรคอ์ ยใู่ นอก นรกอยใู่ นใจ มีคณุ ลุงคนนึง
เคา้ ไม่ยอม เคา้ บินมาจากกรุงเทพ เคา้ บอกวา่ พอ่ ครูพดู อยา่ งน้ี
ไดย้ งั ไง สวรรคม์ ีก่ีช้นั นรกมีก่ีช้นั พอ่ ครูไม่ไดบ้ อกวา่ มนั
23
ไม่มี แตม่ นั ไม่ไดเ้ ป็นแดนแดนแบบน้นั มนั เป็นอุณหภูมิของ
ความสุข อณุ หภูมิของความทกุ ข์ มนั อยทู่ ่ีบารมี ที่เราสร้างมา
ระดบั ไหน
ทีน้ีทา่ นบอกไม่เขา้ ใจ พอ่ ครูถาม รู้จกั เจา้ ชายสิทธตั ถะ
ไหม พระองคต์ รัสรู้ธรรมในวนั วสิ าขบูชา สาเร็จเป็นพระ-
สัมมาสัมพทุ ธเจา้ วินาทีน้นั เรียกวา่ อรหนั ตใ์ ช่ไหม สภาวะ
น้นั เรียกวา่ นิพพานใช่ไหม แลว้ ทาไมจิตดวงน้นั ไมไ่ ปอยู่
เมืองนิพพาน ทาไม ยงั อยใู่ นร่างเจา้ ชายสิทธตั ถะ เผยแพร่
พทุ ธศาสนาอีกส่ีสิบหา้ พรรษา ทา่ นบอกเขา้ ใจแลว้ นิพพาน
มนั อยขู่ า้ งใน มนั ไมไ่ ดอ้ ยเู่ มืองนิพพาน
สวรรคก์ ็อยใู่ นน้ี อยากไปสวรรค์ ทาใหต้ วั เองสุขเยอะๆ
แต่อยา่ ไปติดสุข ถา้ ไมจ่ าเป็นอยา่ ไปข้ึนสวรรค์ เทวดาทุกข์
มากที่ตอ้ งเสพสุข เสพบอ่ ยๆ มนั ก็เบื่อ กินแตข่ องเก่าๆทุกวนั
มนั เบ่ือมาก มนั ไปหลงกรรมดีน้นั กรรมดีก็ตอ้ งใช้ กรรมชวั่ ก็
ตอ้ งใช้ ถา้ ไมอ่ ยากใชก้ รรม ก็อยา่ สร้างกรรม นน่ั แหละ คือ
นิพพาน อยทู่ ี่วา่ ใครจะเลือกไปทางไหน
24
พรหมวิหาร ๔
มีนกั วิชาการคนหน่ึงถามวา่ พรหมวิหาร๔ คืออะไร
เพราะเคา้ สนใจ พอ่ ครูเคยพดู วา่ ถา้ จะคิดเป็น พดู เป็น ทาเป็น
ตอ้ งมพี รหมวหิ าร๔ ถา้ ไม่มพี รหมวิหารแลว้ มนั จะคิดเก่ง
พูดเก่ง ทาเก่ง จะเอาความเก่งน้นั ไปสร้างกรรม พรหมวหิ าร
ตอ้ งเจริญบอ่ ยๆการอยรู่ ่วมกบั คนอ่ืน สองคนข้ึนไป แมก้ ระทงั่
ครอบครัวเรา เร่ิมจากครอบครัวก่อน เราตอ้ งมีพรหมวหิ าร
พรหมวหิ ารก็คือ เมตตา กรุณา มทุ ติ า อุเบกขา หลาย
คนก็ไมร่ ู้ เป็นคนไทย นบั ถือศาสนาพุทธ แต่มวั แต่เรียน
วชิ าการ แมก้ ระทงั่ พรหมวหิ ารก็ไม่รู้ พอ่ ครูอดีตกไ็ มร่ ู้ มวั แต่
หาเงิน หาเงิน แลว้ ก็ทาใหต้ วั เองเครียด แตห่ ลงั จากจิต มนั ตี
กลบั มาแลว้ มนั รู้เอง เพราะพฤติกรรมมนั เป็นพรหมวหิ าร
คาวา่ เมตตา ตอ้ งมองคนอื่น ในสายตาท่ีเมตตา คือ
สงสารเห็นใจเคา้ ก่อน แลว้ เราจะเห็นความจริง ถา้ เราไมม่ ี
เมตตา เคา้ ลม้ ลงหวั แตก กไู ม่มอง ไม่ใช่ธุระของกู นน่ั แหละ
เพราะเราไมม่ ีเมตตา แมก้ ระทงั่ มอง ก็ไมม่ องเลย ไมม่ ีเวลา
ธุระไมใ่ ช่ ถา้ ลูกเรากร็ กั ลูกคนอื่นไม่ใช่เร่ืองของฉนั เราไม่มี
พรหมวิหาร เรารักแม่ไม่ไดร้ ักจริง มนั ไปหลงเฉยๆ วา่ เคา้ เป็น
25
ของเรา แตถ่ า้ คนมีพรหมวิหาร เคา้ จะเพ่งมอง เคา้ จะมีความ
เมตตา ก็คือวา่ มีความสงสารเห็นใจ และเห็นความจริงวา่ มนั
เกิดอะไรข้ึน เคา้ ทกุ ขแ์ ค่ไหน
พอมีเมตตา กรุณามนั กต็ ามมา ไปช่วยเคา้ แต่ทุนนิยม
แข่งขนั เสรี มนั มีแต่วา่ เอาเยอะๆ ถึงจะดีไปเสียเวลา ไปสูญเสีย
ใหเ้ คา้ ทาไม เพราะเรายงั ไม่พอเลย เราคิดวา่ เราฉลาดนะ เรา
กลายเป็นคนโง่ เพราะเรากต็ อ้ งเครียด เพ่อื จะเอา เอา เอา แลว้
ก็ไม่มีเวลา ที่จะทาบญุ กุศลใหต้ วั เอง สักวนั นึง เราโดนเคา้
เบียดเบียนมา เราก็ทุกข์ เราสูญเสีย เพราะเรารักษาความมี
ของเรา เพราะใหไ้ ม่ได้ เรากเ็ ลยทกุ ข์
บางคนมีเมตตา สงสารจงั เลย แตฉ่ นั ไมม่ ีเวลา ฉนั ตอ้ ง
ไป ไมก่ รุณา เพราะถา้ เราไมไ่ ป เราจะสูญเสียผลประโยชน์
มหาศาล มแี ต่สงสาร แต่ไมก่ รุณา บางคนกรุณาไปช่วยเหลือ
ส่งโรงพยาบาล ก็มีความปิ ติ แตว่ นั ใดวนั นึง เคา้ ไดด้ ิบได้
ดีกวา่ เรา ไม่มีมทุ ิตา อจิ ฉาเคา้ อีก ทุกขอ์ ีก ท้งั ๆ ที่ตวั เองไม่ได้
เสียอะไร เห็นคนอื่น เคา้ ทาดีทาบญุ ไปอิจฉาเคา้ แทนท่ีจะ
อนุโมทนาสาธุกบั เคา้ เรากไ็ ดบ้ ญุ ดว้ ย
26
บางคนมีมุทิตา เพราะกรุณาเคา้ มาแลว้ เมอ่ื เคา้ ไดด้ ิบ
ไดด้ ี ส่งเสียเคา้ เรียนแลว้ บงั เอิญ เคา้ ไดเ้ ป็นรฐั มนตรี กส็ าธุก็
ดีใจกบั เคา้ แต่วนั ใดวนั นึง บงั เอิญเคา้ มาเบียดเบียนอีก มาทา
ใหเ้ ราเจบ็ ไมม่ ีอุเบกขา อยนู่ ่ิงเฉยไมไ่ ด้ กจู ะเอาคืน ถา้ เราไม่
มีพรหมวิหารแลว้ เราเองนนั่ แหล่ะทุกข์ แต่เราคิดมุมกลบั วา่
เราเป็นคนเสียเปรียบ มแี ต่ให้ ให้ ให้ แลว้ เราไดอ้ ะไร กไ็ ดใ้ ห้
ไดใ้ หม้ นั มีดียงั ไง มีแตส่ ูญเสีย เราโยนภเู ขาออกจากอก ดีไหม
มนั ก็เบา เอาความโลภ ความตระหน่ีออกไป มนั ไม่ดีที่ไหน
ไมต่ อ้ งไปแบก
บญุ คือเบา บาปคือหนกั เคา้ เบียดเบียน เราก็ไม่เห็นทุกข์
อนั น้ีเราทกุ ขท์ ุกอยา่ ง เพราะวา่ จะทาตามใจตวั เอง ไม่ไดด้ ง่ั ใจ
กโ็ กรธ ก็เครียด ไมม่ ีพรหมวหิ าร คนใหไ้ ม่ไดจ้ ริงๆ ถา้ คนเคา้
มีพรหมวหิ ารแลว้ มนั จะมีอะไรเจบ็ หรือ ตดั เน้ือตวั เองใหค้ น
อ่ืนหมด มนั ตายดา้ นแลว้ มนั จะรู้สึกไดย้ งั ไง ใครทาใหเ้ ราเจบ็
ไดไ้ หม ความพน้ ทุกขท์ ่ีแทจ้ ริง ถา้ ฉนั ใหเ้ ธอ เธอใหฉ้ นั ฉนั
รักเธอ เธอรักฉนั ฉนั ช่วยเหลือเธอ เธอช่วยเหลือฉนั สงั คมมนั
กส็ งบสุข แต่ตอนน้ี มนั ใหก้ นั ไมไ่ ด้ ตอ้ งตายไปขา้ งนึง
เพราะวา่ คนเราขาดพรหมวิหาร การอยรู่ ่วมกนั
27
การบริหารคน โดยเฉพาะผใู้ หญ่ทุกคน ตอ้ งมีพรหม
วหิ าร แต่ตอ้ งฝึกต้งั แตเ่ ด็ก ไปฝึกผใู้ หญแ่ ลว้ มนั ยาก เพราะมนั
ถกู ใส่โปรแกรมแพช้ นะ ไปอ่านพรหมวหิ าร อา่ นง่าย เด็กก็
อ่านได้ เมตตา กรุณา มทุ ิตา อุเบกขา แค่ส่ีขอ้ ใครกจ็ าได้ บาง
คนถามพอ่ ครู พอ่ ครูแผเ่ มตตาไหม พอ่ ครูยส่ี ิบหกปี ไมเ่ คยแผ่
เลย แตศ่ ูนยเ์ ป็นพธิ ีกรรมอะไร เคา้ พาสวดมนต์ พาแผเ่ มตตา
เหมือนใชอ้ บุ าย แต่พอ่ ครูไมต่ อ้ งแผ่ พอ่ ครูเมตตาทุกวนั
สวดแผน่ เมตตาไพเราะมาก เดินออกไป เคา้ เหยยี บขา
หน่อยนึง กไ็ ม่มีเมตตา ไปด่าเคา้ คุณจะแผท่ าไม เราแผเ่ มตตา
เพือ่ เป็นการเตือนสติ ใหเ้ ราตอ้ งเมตตา อนั น้ีแผอ่ ยตู่ รงน้นั แต่
ไม่เคยเมตตาเลย จะแผไ่ ปทาไม เสียเวลาชีวติ อยา่ ไปติดบ่วง
แทนที่จะมีโอกาสไดส้ ร้างบุญ กลายเป็นสร้างกรรม สร้างบาป
มนั น่าเสียดาย
โดยเฉพาะมาศูนย์ มีโอกาสแลว้ ยงั ไมร่ ีบไขวค่ วา้ กลวั
เสียเปรียบ มนั น่าเสียดาย ทากบั คนตอ้ งใชพ้ รหมวิหาร การ
บริหารจดั การ ผใู้ หญท่ ี่แทจ้ ริงเราตอ้ งมีเมตตา กรุณา มทุ ิตา
กบั เพ่อื นร่วมงาน ทากบั งานตอ้ งยดึ หลกั อิทธิบาท๔ ตอ้ งมี
ฉนั ทะ มีความพึงพอใจกบั งานที่เราทา เมื่อเราพงึ พอใจ มนั ก็มี
28
วิริยะตามธรรมชาติ แตถ่ า้ เราทาไปดว้ ย เบ่ือไปดว้ ย ต่ืนเชา้ มาก็
ไมอ่ ยากไป ไม่อยากไปทางาน มนั ก็ทกุ ขต์ ้งั แต่ต่ืนเชา้ แลว้ แต่
มนั ก็ตอ้ งไป เพราะเราตอ้ งดารงชีวิต
ทาไปดว้ ยทุกขไ์ ปดว้ ย เสียเวลาเทา่ กนั แตว่ า่ ขาดทนุ
ชีวิต คือทุกข์ มนั กไ็ มม่ ีวิริยะ เพราะเราไมม่ ีฉนั ทะ ไม่มีความ
พงึ พอใจ วิริยะกไ็ มเ่ กิดข้ึน กลวั ไดเ้ ปรียบ เสียเปรียบ จิตก็
ไมต่ ้งั มนั่ วอกแวก ทาไปดว้ ย คิดนู่นคิดนี่ แลว้ ก็ทาถกู ทาผิด
มนั กไ็ ม่เกิดปัญญา เพราะเราไมใ่ ส่ใจ วิมงั สากไ็ ม่เกิดข้ึน
แต่ถา้ เราต้งั มน่ั มีความสุขกบั งาน มีความพอใจ จิตตะ
ต้งั มนั่ เรากไ็ ดซ้ ึมซบั ผลงานน้นั ซึมซบั ประสบการณ์ มนั กเ็ กิด
ปัญญา ย่ิงมา ย่ิงเก่งข้ึน ย่ิงชานาญข้ึน เราไม่ไดส้ ูญเสียอะไร
เรามีแต่ได้ ไดป้ ระสบการณ์ ไดบ้ ุญ แต่ตอนน้ี สังคมธุรกิจ
เสรีนิยม โดยยึดวตั ถุเป็ นตวั แข่งขนั ทาลายพรหมวิหารเรา
หมดเลย จริงๆแลว้ เรามีตามธรรมชาติอยแู่ ลว้ ถกู ทาลายหมด
พ่อครูก็มีโอกาส ก็เตือนเป็นช่วงๆ แตพ่ ่อครูไม่คาดหวงั
ถา้ พอ่ ครูหวงั พอ่ ครูจะผดิ หวงั บางคนบุญมี แต่กรรมยงั บงั อยู่
ยงั ไมห่ ยดุ สร้างกรรม น่าเสียดาย ที่ศูนยน์ ้ีไมม่ ีได้ ไมม่ ีเสีย ไม่
มีกาไร ไม่มีขาดทนุ มแี ต่ให้ ไม่มีไดเ้ ปรียบ เสียเปรียบ ไม่มี
29
เธอมีฉนั มีแต่ พระพุทธเจา้ บอก คือ สตั วโ์ ลกท้งั หมดเป็น
เพ่อื นทกุ ข์ ไม่ใช่แบง่ เธอ แบง่ ฉนั เราเป็นเพ่ือนทกุ ข์ ตอ้ งมี
เมตตาซ่ึงกนั และกนั ใครทาคนน้นั ก็ได้ คนอื่นไมร่ ู้ จิตมนั
บนั ทึกเตม็ ๆแลว้ ถูกผิด ดีชว่ั เป็นมายา เป็นภาษามนุษยท์ ่ี
สร้างข้ึน แตท่ กุ คนเป็นไปตามกรรม ท่ีตวั เองสร้าง
สัตวโ์ ลกยอ่ มเป็นไปตามกรรม เราทาสีขาว มนั กเ็ ป็นสี
ขาว มนั จะเป็นสีแดงไมไ่ ด้ มนั เป็นไปตามกรรม
30
ท่ีมา : เร่ือง พรหมวหิ าร ๔
บรรยาย โดย พ่อครูบัญชา ต้งั วงษ์ไชย
ศูนย์พลาญข่อย 21 มิถุนายน 2558