1
2
สภาวธรรม หมายถึง ความก้าวหน้าในการปฏิบัติ คือต้องมญี าณรู้
เห็นจิตผู้อ่ืน เห็นวาระกรรมผ้อู ่ืน หรือระลึกอดตี ชาติได้ ใช่หรือไม่
ถา้ เรายงั อยากกา้ วหนา้ อยู่ เรายงั มีอามิส เห็นคนอื่นวา่ เห็น
โน่นเห็นน่ี กอ็ ยากเห็นเหมือนเขา เห็นแลว้ กต็ อ้ งเสียเวลาเหวี่ยงทิง้
อีก แตถ่ า้ มนั จาเป็นตอ้ งเห็น ก็สกั แตว่ า่ เห็น สกั แต่วา่ รู้ ไม่ไดใ้ ชว้ ดั
ความกา้ วหนา้ ฉนั รู้วาระจิตของคนอ่ืน แลว้ ไปหลงวา่ ฉนั เป็นผวู้ ิเศษ
รู้วาระจิตเขา กเ็ หวีย่ งทิ้ง ไมใ่ ช่ไปแสดงอิทธิฤทธ์ิ ปาฏิหาริย์ มนั เป็น
แคโ่ ลกิยะอภิญญา แตไ่ ม่ใช่เร่ืองผิด มนั เป็นบารมีเก่า ทีเราฝึกมา
หลายชาติแลว้ บางทีตอ้ งขา้ มผา่ นพวกน้นั อภิญญาเหลา่ น้ี มนั ก็เป็น
กาลงั อยา่ งหน่ึง กาลงั อยา่ งไรรู้ไหม เหมือนเรา ถูกประเมินเลยวา่
เธอตาทิพย์ เธอรู้วาระจิตของเขา ถา้ เราเผลอ เรามีความอยาก เราก็
ไปติดมนั แตถ่ า้ เราวา่ วเิ ศษขนาดไหน ฉนั ก็ไม่เอา อินทรียพ์ ละเรา
กก็ า้ วหนา้ ข้ึนอีก
“ไปนิพพาน ด้วยความอยากไม่ได้ ไม่มกี ้าวหน้า ไม่มถี อยหลงั
ไม่มีเบือ้ งต้น ไม่มีเบือ้ งปลาย ปฏิบตั ิเพราะปฏิบัติ อาบนา้ เพราะ
อาบนา้ ไม่ใช่เปื้อนถึงอาบ ไม่ใช่ร้อนถึงอาบ อาบเพราะอาบ”
3
ถ้าปฏิบัติแล้ว แต่ยงั ไม่เคย ระลึกอดตี ชาติได้เลย ถือว่า ยงั เข้าจิต
ไม่ได้ ใช่หรือไม่
เราตอ้ งรู้ก่อนวา่ เขา้ จิตไปทาไม จิตเห็นจิต คือมรรค ผลของ
จิตเห็นจิตอยา่ งแจ่มแจง้ คือนิโรธ ที่วา่ เราเขา้ ไป จิตในจิต จิตมนั
ทางานแลว้ ไม่จาเป็นตอ้ งระลึกชาติเสมอไป จิตท่ีระลึกชาติได้ มนั
เป็นอภิญญาอยา่ งหน่ึง เรียกวา่ บุพเพนิวาสานุสติญาณ มนั เป็น
อินทรียพ์ ละ ท่ีจิตเดิมเราฝึ กมาแลว้ มนั มีประโยชน์ แต่ถา้ เราไปหลง
ติดมนั เม่ือไหร่ เป็นโทษมหนั ต์ เอาเป็นวา่ ไปเห็นกม็ ีประโยชน์ ไป
เห็นเพ่อื เหวีย่ งทิง้ เพื่อเรียนรู้กบั มนั ไมเ่ ห็นก็มีประโยชน์ ไมต่ อ้ ง
เสียเวลาเหว่ียงมนั ทิ้ง แต่ที่สาคญั คือ เราฝึกบ่อยๆ เราไดเ้ จริญมหา
สติปัฏฐาน คือสะสมแตม้ ไปเรื่อยๆ
“ไปเห็นกม็ ปี ระโยชน์ ไปเห็นเพื่อเหวี่ยงทิง้ เพื่อเรียนรู้กับมัน
ไม่เห็นกม็ ปี ระโยชน์ ไม่ต้องเสียเวลาเหว่ยี งมนั ทิง้ ”
4
การปฏิบตั ิ Shanking ช่วงเตรียมความพร้อมร่างกาย จิตใจ อารมณ์
และในช่วงนานาจิตตงั ถ้าแรงสั่นสะเทือนแรงมากเท่าไหร่ ย่ิง
สามารถ ทาให้จิตสามารถเข้าถึงความเป็นอิสระ ได้มากเท่าน้ัน
ถกู ต้องหรือไม่
ไม่ใช่สูตรตายตวั วา่ แรงแลว้ จะอิสระ แต่ถา้ เบา แลว้ จิตไมไ่ ป
ยดึ ติดอะไรเลย ความคิด เขา้ ควบคุมเราไม่ได้ ก็อิสระไดเ้ หมือนกนั
เอาเป็นวา่ ไมใ่ ช่ต้งั ใจ จะใหม้ นั แรง ถา้ มนั แรงก็คือแรง ถา้ มนั เบาก็
คือเบา ไมม่ ีการกระทาเกิดข้ึน หรือการสัง่ การ
แต่เราตอ้ งต้งั มน่ั เป็นหน่ึงเดียว แรงสน่ั สะเทือน เหมือนมนั ดึง
ใหเ้ ราอยศู่ นู ยก์ ลาง เป็นแคเ่ ทคนิคอบุ ายวธิ ี ใหจ้ ิตเรามีท่ีเกาะ เหมือน
เราตาขา้ วสมยั โบราณ เราใชค้ รกตา ทีน้ี เราไมม่ ีเคร่ืองฝัดขา้ ว เราก็
เอาขา้ วมาใส่กระดง้ เรากส็ น่ั ๆ พลงั สน่ั สะเทือนมนั จะแยก แลว้ ก็
พลงั เตน้ พลงั เหวีย่ ง มนั จะแยก เอากากมนั ออกไป
อนั น้ีกเ็ หมือนกนั พลงั ส่ันสะเทือนช่วยใหร้ ่างกาย เราคลาย
ความตึงเครียด เพราะเราทาอะไร เรากาหนด เราควบคุม ถา้ ร่างกาย
ไม่ผอ่ นคลาย มนั จะดึงจิตไว้ จิตจะไมอ่ ิสระ อนั น้ีตอ้ งเขา้ ใจ ไมใ่ ช่
วา่ แรงดีหรือไม่ดี
บางทีจิตเขาตอ้ งแรง กใ็ หเ้ ขาแรง จิตปัจจุบนั ก็มีสติรู้ทนั ส่ิง
ท่ีมนั เกิดข้ึน ถา้ จิตมนั จะเบา ก็มีประโยชน์ เราก็เบาอยา่ งมีสติ
5
เหมือนกนั ไม่ตอ้ งต้งั ใจวา่ อยากแรงเสมอไป ถา้ อยา่ งน้นั มนั ก็มี
ความอยาก
“ถ้ามนั แรงกค็ ือแรง ถ้ามนั เบากค็ ือเบา ไม่มกี ารกระทา
หรือ การส่ังการเกิดขึน้ แต่เราต้องตงั้ มั่นเป็นหน่ึงเดียว
ซ่ือสัตย์ กับสิ่งที่เราทา”
การปฏิบตั ิธรรมแนวนี้ เหมือนหลดุ โลก เป็นไปตามคาสอนของ
พระพุทธเจ้ าหรื อไม่
กลวั หลุดจากโลก ถา้ จะไปนิพพาน ไม่วา่ จะหลดุ โลก ไม่ใช่
โลกเดียวเท่าน้นั ตอ้ งหลุดจากสามโลกธาตุ สวรรคส์ มบตั ิ มนุษย์
สมบตั ิ นรกสมบตั ิ แต่กริยาท่ีเราแสดงออก เหมือนหลุดโลก ไม่อยู่
ในกรอบประเพณี วฒั นธรรม เราเรียกวา่ หลดุ โลก
จริงๆแลว้ ไม่ไดห้ ลุดโลก ไปไหนเลย มนั หลุดออกจาก โลก
แห่งการปรุงแตง่ เขา้ สู่ ความเป็นจริงของธรรมชาติ เวลาเด็กมนั ดีใจ
มนั ก็ร้องเสียงดงั ไมม่ ีมารยาท เวลามนั เสียใจ ลงไปกลิ้งร้องไหไ้ ม่รู้
กาลเทศะ พอลกุ ข้ึนมา มนั ก็เล่นกนั ต่อ แต่ผใู้ หญ่ ถูกโลกมนั ครอบ
ไว้ เราอยใู่ นโลกแห่งความสมมติ
พอเรามาปฏิบตั ิ จิตมนั อิสระแลว้ มนั จะหลดุ ออกจาก บ่วง
ตรงน้นั ไม่ใช่หลุดโลก แลว้ หนีไปไหน แต่มนั หลดุ ออกจากโลก
6
แห่งการปรุงแต่ง เขา้ ไปสู่สภาวะอิสระของเขา ถา้ เราจะไปนิพพาน
ยงั ติดโน่น ติดนี่อยู่ มนั ไปไมไ่ ด้ เราเจริญวปิ ัสสนา จิตเราตอ้ งอิสระ
ตอ้ งอยเู่ หนือ สมมติบญั ญตั ิตา่ งๆ แตเ่ ราตอ้ งมีสติ ไมท่ าลายสมมติ
“เราอย่ใู นโลก แห่งความสมมติ พอเรามาปฏิบัติ
จิตมันอิสระแล้ว มนั กห็ ลดุ ออกจาก โลกแห่งการปรุงแต่ง
เข้าไปสู่สภาวะ อิสระของเขา”
ปฏิบัติไปแล้วจะเป็ นบ้าหรื อไม่
พอ่ ครูบอกวา่ เป็นทุกคน มนั บา้ มาเกิด หลงมาเกิด มนั บา้ หมด
ตอนคลอดออกมา มนั ถึงร้องไห้ เรากาลงั จะเอาความบา้ ออก ไมใ่ ช่
ไปกดความบา้ ไว้ แต่การเอาความบา้ ออก ตอ้ งรู้กาลเทศะ ตอ้ งเป็นไป
ตามเหตุ และปัจจยั ที่มนั สมควร อยา่ วา่ แตอ่ ยขู่ า้ งนอกศาลา แมก้ ระทงั่
ศาลา ชว่ั โมงไหน เวลาไหน ควรจะทาอะไร อยา่ แปลกแยก กบั คนอื่น
เคา้ มากมายนกั เรามาปฏิบตั ิเพื่อจะลด ละ เลิก ในสิ่งเหล่าน้ี เพราะเรา
อยกู่ บั ทางโลก เราก็สูม้ ามากแลว้ เราถึงทกุ ขก์ บั มนั มาอยทู่ ่ีนี่อยา่ หอบ
มาดว้ ย ถึงมนั จะมี เรากฝ็ ืน ฝืนมนั หน่อย
“เรากาลังจะเอาความบ้าออก ไม่ใช่ไปกดความบ้าไว้
แต่การเอาความบ้าออก ต้องรู้กาลเทศะ
ต้องเป็นไปตามเหตุ และปัจจัย ที่มนั สมควร”
7
ปฏิบัติแล้วเจอกบั สภาวะความตาย แต่ปัจจุบันยังเห็นว่า ตนเองยงั ไม่
พร้อมท่ีจะตาย จะผ่านสภาวะนไี้ ด้อย่างไร
งา่ ยมากคือตายเลย ปัญหาคือ เราไม่ยอมตาย แตถ่ า้ เรายอมตาย
ในกรรมฐาน นนั่ แหละสุดยอด เราก็เห็นเลยวา่ กาลงั ยงั ไม่ถึง เรายงั มี
ห่วงอะไรอยู่ เราก็ตอ้ งปลดห่วงน้นั คาวา่ “เหว่ียงทิ้ง” น้ี อยา่ ไปกลวั
เหวยี่ งลูกทิง้ เหวยี่ งสุดที่รักทิ้ง เหวยี่ งอะไรทิ้ง เหว่ียงทิ้ง แปลวา่ วาง
ความยดึ มน่ั ถือมน่ั ที่เราไปหลงตรงน้นั ทิง้ จะผา่ นสภาวะน้ีได้
อยา่ งไร ก็คือ ตายเลย ตายจากความทุกข์ เราก็ปฏิบตั ิมา เราสะสม
พลงั มา จนวนิ าทีที่มนั จะเกิดผลแลว้ ไมเ่ อาผลน้นั เพราะฉนั ตายไมไ่ ด้
จะใหม้ นั ตาย มนั กลบั ไม่ตาย ถกู มนั หลอก ก็สะสมแตม้ ไปอีก สะสม
ไป กาลงั ไม่ถึง กท็ าไป
“ง่ายมาก คือ ตายเลย ตายจากความทุกข์
ปัญหาคือเราไม่ยอมตาย
เรายงั มหี ่วงอะไรอยู่ เรากต็ ้องปลดห่วงน้ัน”
8
เราจะปฏิบัติธรรมอย่างไร เพ่ือให้ สามารถดาเนินชีวิตอยู่ ทั้งทางโลก
และทางธรรมไปด้วยกนั ได้
พอ่ ครูถามวา่ ทางโลกน้ีตายไหม คาตอบคือ “ตาย” ความตาย
กค็ ือความจริง ทางธรรม ความตาย มนั กค็ ือธรรมชาติ เพราะทางโลก
ทางธรรม อยา่ งไรกต็ อ้ งตาย อยา่ ไปแยกทางโลก ทางธรรม
พระพุทธเจา้ บอกวา่ การเจริญมรรคจิต มงุ่ สู่ความพน้ ทกุ ข์ ทกุ
คนตอ้ งมีสมั มาอาชีวะ ทางโลก เราหมายถึง เราตอ้ งมีอาชีพ ตราบใดที่
เรายงั ดารงอาชีพอยู่ มนั กเ็ ป็นการเจริญมรรค มนั กเ็ ป็นการปฏิบตั ิ
ธรรม เหมือนเราเป็นนกั มวย มีหนา้ ที่ข้ึนไปเวที เคา้ ข้ึนเวทีแข่งขนั
เสรี เราไม่ชกเคา้ เคา้ ก็ชกเรา เราก็ต้งั ใจชกอยา่ งมีสมาธิ อยา่ งมีสติ
ส่วนชกแลว้ มนั แพ้ มนั ชนะ มนั กเ็ ป็นผลพลอยได้ อยา่ ไปทกุ ขก์ บั มนั
แต่ตอนน้ี ที่เราทาอาชีพ มนั เป็นธุรกิจการคา้ เพือ่ กาไร ก็ยงั
ไมพ่ อ ตอ้ งยงิ่ ใหญ่ดว้ ย ตอ้ งชนะดว้ ย มนั ไม่ใช่สัมมาอาชีวะ มนั เป็น
เกมส์ไดเ้ สีย เราตอ้ งเปล่ียนอารมณ์ใหม่ เป็นแค่อาชีพ อาศยั ยงั ชีพ อยู่
ไดไ้ มต่ าย เราไม่ไดแ้ ข่งกบั ใคร ทาแลว้ ไดก้ ็ดีใจ ทาแลว้ เสียกด็ ีใจ ท่ีเรา
เสียน้นั เราไดป้ ระสบการณ์อยา่ งยงิ่ แตก่ ิเลสเราชอบวา่ ถา้ ไดเ้ ราดีใจ
ถา้ เสียเราเสียใจ ท้งั หมดเกิดจากเราไมเ่ ขา้ ใจชีวติ
“ทางโลกนตี้ ายไหม คาตอบคือ “ตาย” ความตายกค็ ือความจริง
ทางธรรมความตาย กค็ ือ ธรรมชาติ
เพราะฉะนั้น ทางโลกหรือทางธรรม อย่างไรกต็ ้องตาย”
9
กิริยาที่แสดงออกตอนปฏิบตั ิ เกิดจากอปุ าทานของจิตหรือไม่ ทาไม
เหมือนคนเข้าทรง
การเขา้ ทรง คนที่เป็นร่างทรง เขาถูกครอบงา โดยพลงั ขา้ ง
นอก จิตมนั ไปนอ้ มรับ อารมณ์น้นั เขา้ มา แต่ส่ิงที่มนั เกิด ที่เราปฏิบตั ิ
ตรงน้ี กิริยาที่แสดงออก ไม่ใช่การเขา้ ทรง แต่ของเราท่ีทาอยเู่ รียก
Inside out (การแสดงจากภายในสู่ภายนอก) มนั ตรงกบั ภาษาองั กฤษ
คาหน่ึง คาน้นั คือ Automatism แปลวา่ เป็นภาวะอตั โนมตั ิ
กระบวนการ ท่ีเกิดข้ึนเอง โดยไมไ่ ดบ้ งั คบั ทฤษฎีท่ีวา่
ร่างกายเป็นเคร่ืองจกั ร ท่ีมีหนา้ ที่ดาเนินไป พร้อมกบั สติสัมปชญั ญะ
การทางานโดยอตั โนมตั ิ ของอวยั วะและเซลล์ เช่นการเตน้ ของหวั ใจ
หวั ใจเราส่ังมนั เตน้ ไดไ้ หม มนั เป็นอตั โนมตั ิ
เวลาเราเขา้ ไปในจิต อารมณ์ในจิต เรียกวา่ ธรรมในธรรม
ธรรมารมณ์น้นั ก็เป็นอุปาทานในอดีต ท่ีเราบนั ทึกสัญญาไว้ กิเลสใน
อดีต กิเลสทาใหเ้ กิดตณั หา ตณั หาทาใหเ้ กิดอุปาทาน อุปาทานถา้ เรา
ไปหลงมนั ถา้ เราไดด้ งั่ ใจ มนั กอ็ ุปาทานวา่ ดีใจ ถา้ ไม่ไดด้ งั่ ใจมนั ก็
เกิดทกุ ข์ เป็นอปุ าทานเก่า
เรากาลงั ลา้ งอุปาทาน ตวั น้นั อยู่ อนั น้ีเรียกวา่ Inside out
อารมณ์ขา้ งใน มนั สัง่ เราขา้ งนอก แต่มนั เป็นไปตามอตั โนมตั ิ ไมไ่ ด้
ถกู ควบคุม โดยสมองเรา หรือปัจจุบนั มนั เกิดข้ึนเอง ทีน้ีจิตปัจจุบนั
10
ก็เรียนรู้กบั มนั ร่างกายปัจจุบนั ก็ทาไปฝึกไป ฝึกไปก็ชานาญ
กลายเป็น วิชาปัจจุบนั ของเรา สรุปวา่ มนั ไมใ่ ช่เรื่องเขา้ ทรง
“กิริยาที่แสดงออก ไม่ใช่การเข้าทรง
แต่ของเราท่ีทาอยู่ เรียกว่า Inside out
(การแสดงจากภายในสู่ภายนอก )”
การปฏิบัติสมาธิเหวี่ยงนี้ เป็นการเข้าถึงฌาน ระดับไหน
คาวา่ ฌาน เป็นช่วงของสมถะกรรมฐาน ฌานหน่ึง ฌานสอง
ฌานสาม ฌานสี่ น่ีเขาเรียกวา่ ฌาน ฌานส่ีสูงสุดคือ เอกคั คตารมณ์
คือ มีอารมณ์เดียว สงบ ขา้ มพน้ อารมณ์สุขดว้ ย ขา้ มพน้ อารมณ์ปี ติ
ดว้ ย คือสงบนิ่ง เป็นเครื่องมือ ในการเจริญวิปัสสนาได้
สมาธิเหว่ยี ง มนั ขา้ มพน้ เขา้ ไปในจิตแลว้ คาวา่ ฌาน มนั ยงั อยู่
ในจิตสานึกเรา อยใู่ นจิตปัจจุบนั เขา้ ไปในฌานของจิต บางคนไปติด
สุขในฌาน เพราะมนั สุขๆ มนั ปี ติ มนั มีความสุข ถา้ อยตู่ รงน้นั นานๆ
มนั ก็ติดสุขอยตู่ รงน้นั ไม่กา้ วหนา้ มนั กา้ วไปสู่วิปัสสนาไม่ได้ ถา้ มนั
สงบเยน็ มนั ไปคิดอะไร มนั ก็แตกฉานกวา่ คนที่เขาไมม่ ีสมาธิ แต่
มนั ก็ยงั เป็น นึกเอา จินตนาการเอา ยงั ไมใ่ ช่ของแท้
ของแท้ มนั ตอ้ งเกิดปัญญา เกิดจากการ เจริญวปิ ัสสนา
วปิ ัสสนาก็ตอ้ งอาศยั เคร่ืองมือ คือ สติปัฏฐานท้งั สี่ กายในกาย
11
เวทนาในเวทนา จิตในจิต ตอ้ งเขา้ ไปเสพธรรมในธรรม ธรรมใน
ธรรม นนั่ คือ กลอ่ งบนั ทึกโปรแกรม บนั ทึกสญั ญาโปรแกรมในอดีต
คือประสบการณ์ของเรา เหมือนเราเขา้ ไปในเวบ็ ไซด์ อนั น้ีกต็ อบวา่
มนั ตอ้ งผา่ นฌาน
“เราเต้นแรงๆ เหวีย่ งแรงๆ ใช้พลังทกุ อย่าง
เพ่ือส่งให้จิตไปอย่ใู นศูนย์กลาง อย่ตู รงกลาง กค็ ือเอกัคคตารมณ์
พอเข้าไปในจิตในจิตแล้ว ไปเสพธรรมในธรรม
ธรรมารมณ์กส็ ั่งร่างกายเรา ให้เคลื่อนไหว
ตอนนกี้ าย เวทนา จิต ธรรม รวมเป็นหน่ึงเดยี ว เป็นมหาสติปัฏฐาน
ในขณะเดียวกัน โพชฌงค์เจ็ดท่ีแฝงอย่ใู นธรรมในธรรมน้นั
มนั กแ็ สดงตัว เรากาลังเจริญโพชฌงค์เจด็ ”
12
ในขณะที่ปฏิบัติ รู้สึกว่าจิตฟ้งุ ซ่านตลอดเวลา ทาอย่างไรดี
เหวย่ี งทิง้ ไมใ่ ช่เหวีย่ ง ความฟุ้งซ่านน้นั ทิง้ เหวยี่ งความยดึ
มน่ั ถือมน่ั ท่ีเราไปสนใจความฟุ้งซ่านน้นั ทิง้ ฟุ้งซ่าน ก็เร่ืองของมนั
มนั ไม่ใช่เร่ืองของเรา เจ็บก็เรื่องของมนั ไม่ใช่เร่ืองของเรา
คาวา่ เหว่ยี งทิ้ง ไมใ่ ช่เหวี่ยงอารมณ์น้นั ทิ้ง อารมณ์มีไวใ้ ห้
เห็น ไมไ่ ดม้ ไี วใ้ หเ้ ป็น อยา่ ไปเป็นมนั กพ็ อ และคาวา่ เหวย่ี งทิง้ คือ
เตือนเราวา่ อยา่ ไปติดมนั เหวย่ี งความยดึ มน่ั ถือมน่ั ท่ีจะไปหลงมนั ทิง้
“ความคิด มนั เกิดขึน้ เป็นปกติ เพราะเราเป็นนกั คิดผู้ย่ิงใหญ่
เรากต็ ้องรับกรรมท่ีเราเป็นนักคิด
เรากต็ ้องคิดสิ แต่อย่าไปคิดตามมนั เท่านั้นเอง”
เมื่อเรา เข้าจิตในจิตได้แล้ว กลับไปเห็นอดตี ชาติ ควรแสดงอารมณ์
หรือท่าทางตามท่ีเห็น หรือควรแค่ดเู ฉยๆ
ถา้ เราดูเฉยๆ เหมือนเราใชว้ ิธีกดไว้ มหาสติปัฏฐาน ไม่
สมบรู ณ์ มนั เป็นวิปัสสนาอยา่ งหน่ึง ถา้ เราไม่ไดส้ ัมผสั เรากแ็ ค่เห็น
อารมณ์น้นั เฉยๆ เราจะไม่ไดส้ มั ผสั วา่ มนั แรงมนั เบาแค่ไหน เราให้
มนั แสดงไปดว้ ยกนั กาย เวทนา รวมไปดว้ ยกนั แตจ่ ิตปัจจุบนั ก็รู้วา่
มนั เกิดอะไรข้ึน
13
ไม่ตอ้ งไปคิดวา่ เราอยากทาอะไร แต่จิตเรามนั ทาเอง ใหม้ นั
แสดงออก แตอ่ ยใู่ นการควบคุม ตอ้ งแสดงออกอยภู่ ายใต้ สติ ตวั
แสดงออก คือ ตวั ปัญญา ตวั สติตอ้ งคุมปัญญา สติปัญญาตอ้ งไป
ดว้ ยกนั
“ถ้าเราดูเฉยๆ เหมือนเราใช้วิธีกดไว้
มหาสติปัฏฐานไม่สมบูรณ์
ต้องแสดงออกอยู่ ภายใต้สติ ตวั แสดงออกคือ ตัวปัญญา
ตัวสติต้องคุมปัญญา สติปัญญาต้องไปด้วยกัน”
การเข้าจิตในจิต ควรเข้าลึกๆ หรือไม่ควรลึกดี
พระพุทธเจา้ ตรัสไวว้ า่ บรรพชิตไม่เสพส่วนสุดโต่ง สองส่วน
ระหวา่ งขา้ งนอก กบั ขา้ งใน ถา้ เขา้ ลึกโดยไปหลงมนั ก็คือสุดโตง่
ขา้ งใน ถา้ อยขู่ า้ งนอก เจริญแคส่ มถะกรรมฐาน นงั่ ไปนง่ั มาเผลอ ก็
คิดออกไปขา้ งนอก น่ีสุดโต่งขา้ งนอก จิตส่งออก คือ สมทุ ยั ผลของ
การส่งออก คือ ทุกข์ จิตเห็นจิต คือมรรค ผลของจิตเห็นจิตอยา่ ง
แจ่มแจง้ คือ นิโรธ
แตต่ อ้ งเห็นจิต แต่ไม่ใช่ ไปหลงในอารมณ์ของจิต อารมณ์
น้นั มีไวใ้ หเ้ ห็น ไมม่ ีไวใ้ หเ้ ป็น อนั น้ีพูดกเ็ ขา้ ใจ แตไ่ มเ่ ขา้ จิต ถึง
14
เวลา มนั ก็หลงอีกเหมือนเก่า ไมเ่ ป็นไร ใหม้ นั ตีหวั บอ่ ยๆ แตอ่ ยา่
หยดุ ปฏิบตั ิ เด๋ียวมนั ก็ฉลาดข้ึน
“ถ้าเข้าลึกโดยไปหลงมัน กค็ ือสุดโต่งข้างใน
ถ้าอย่ขู ้างนอก เจริญแค่สมถะกรรมฐาน นี่กส็ ุดโต่งข้างนอก”
ในระหว่างวนั รู้สึกเข้าจิตโดยไม่รู้ตวั หลายคร้ังที่ทาท่าทางแปลกๆ
ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ กลัวคนรอบข้างตกใจ ทาอย่างไรดี
โปรแกรมการปฏิบตั ิท้งั 4 กิจกรรม ควรทาใหถ้ ูกเวลา ถึงเวลา
ใหอ้ ยขู่ า้ งนอก กอ็ ยขู่ า้ งนอก ไปถามจิต มนั เบื่อมากขา้ งนอก มนั
จะไป สะสางคดีขา้ งใน แต่มนั กล็ ืมวา่ ชีวิตเราตอ้ งอยขู่ า้ งนอก เวลา
สะสาง ก็สะสาง เวลาทาหนา้ ท่ีขา้ งนอก ก็ขา้ งนอก อนั น้ีไม่ใช่
ชว่ั โมงไหนกช็ ่าง ฉนั ไปขา้ งในอยา่ งเดียวเลย มนั ถึงหลดุ ถึงเวลาอยู่
ขา้ งนอก กไ็ ปแสดงอาการอยา่ งน้นั เพราะเราถูกอารมณ์ขา้ งในมนั
ครอบงา จิตแทนท่ี จะไปเรียนรู้กบั มนั กลายเป็นทาสของมนั
อารมณ์น้นั แทนท่ีมีไวใ้ หเ้ ห็น แตเ่ รากไ็ ปเป็นมนั แลว้ เราไมเ่ หวยี่ ง
ทิง้ เราตอ้ งฝืนมนั เวลาไหนควรทาอะไร ชีวิตเราจะไดร้ ู้กาลเทศะ
“เราถูกอารมณ์ข้างในมนั ครอบงา
จิตแทนท่ีจะไปเรียนรู้กับมนั กลายเป็นทาสของมัน”
15
เม่ือปฏิบตั ิแล้ว ในระหว่างวนั ควรกาหนดรู้หรือไม่
ไม่ตอ้ งกาหนด รู้เฉยๆ รู้ ตอ้ งรู้ ถา้ ไมร่ ู้ พอตกั ขา้ วไมใ่ ส่
ปากใส่จมกู นะ มนั ตอ้ งรู้ แตไ่ ม่ตอ้ ง ยกหนอ เขา้ ปากหนอ เค้ียว
หนอ อนั น้นั มนั ชา้ เกินไป เอาเป็นวา่ คาตอบตอ้ งอยกู่ บั ปัจจุบนั ขบั
รถ ก็อยกู่ บั การขบั รถ กินขา้ ว กอ็ ยกู่ บั การกินขา้ ว เป็นปกติ ไมต่ อ้ ง
กาหนด ที่พ่อครูใหฝ้ ึกตลอดเวลา ไม่ตอ้ งเพง่ ดู ไม่ตอ้ งกาหนด ไม่
ตอ้ งตดั สิน กป็ ลอ่ ยมนั ไปตามออโตเมติก ยนื กย็ นื เดินกเ็ ดิน นง่ั ก็
นง่ั นอนกน็ อน ที่เราฝึกๆ ก็คือเอาไปใชช้ ีวติ ประจาวนั นนั่ แหละคือ
มรรคจิต คือมรรคภายนอก กบั มรรคภายใน
“เม่ือปฏิบตั ิแล้วในระหว่างวนั ควรกาหนดรู้หรือไม่
ไม่ต้องกาหนด แต่ต้องรู้ รู้เฉยๆ ทาอะไรกร็ ู้”
ช่วงปฏิบัติใหม่ๆ เหมือนอารมณ์แรงขึน้ มาก ยิ่งปฏิบตั ิ ยิ่งหงุดหงิด
ง่าย ทาให้ดเู หมือนว่า ย่ิงปฏิบตั ิ ทาให้แย่ย่ิงกว่าตอนไม่ปฏิบตั ิ ควร
ทาอย่างไร
ทาใจ บางทีเราปฏิบตั ิแลว้ เหมือนเอาน้าแกว้ หน่ึง มานง่ั
เหวี่ยงทิง้ ๆ มนั เหลือคร่ึงแกว้ มนั เหลือคร่ึงแกว้ มนั จะมีสุญญากาศ
มนั จะมีแรงดูดเขา้ มา เขาเรียกวา่ ธรรมารมณ์เขา้ ตอนน้นั เราตอ้ งใช้
สติ คือ ปิ ดฝา แต่ถา้ สติเราไม่แขง็ แรง พอเจอลกู โตๆ เขา้ มา มนั ก็
16
เปิ ด ก็ดูดเขา้ มาอีก ก็ไม่ไดผ้ ิด เราก็รู้ หนา้ มืดตามวั เลย แลว้ สกั พกั
หน่ึงมนั ก็จะแขง็ แรง ปฏิบตั ิเร่ือยๆ ตวั สติมนั กแ็ ขง็ แรงมากข้ึน แต่วา่
ปฏิบตั ิแลว้ อารมณ์มากข้ึน เร็วข้ึน จริงๆ มนั ไมไ่ ดม้ ากข้ึนเลย แตเ่ รา
เห็นมนั ชดั ข้ึน เราสมั ผสั อารมณ์ ไดช้ ดั ข้ึน กใ็ ชอ้ ารมณ์ ท่ีเกิดข้ึนมา
เป็ นครู
“ฝึ กโดยที่ใช้สติ ใช้สมาธิ ใช้ปัญญาท่ีมอี ยู่ ดาเนินอย่กู ับปัจจุบนั
ไม่ใช่เอาปฏิบตั ิแค่ศาลา พอออกศาลากข็ โี้ กรธ ขโี้ มโห เหมือนเดิม”
ทาอย่างไร ไม่ให้รู้สึกท้อถอยในการปฏิบัติธรรม เพราะดูเหมือนไม่
ก้าวหน้า
เห็นไหม ถา้ คิดอยา่ งน้ี ก็ไมก่ า้ วหนา้ แลว้ เพราะมนั แฝงดว้ ย
ความอยาก จะไปนิพานดว้ ยความอยาก มนั ไปไมไ่ ด้ คา้ กาไรเกิน
ควร อยา่ แกลง้ ลืมนะ สร้างกรรมเขาไว้ ไมร่ ู้กี่ภพกี่ชาติ ฆ่าเขามาไม่
รู้กี่ศพ ปฏิบตั ิแค่ไม่ก่ีวนั บอกไมก่ า้ วหนา้ จะกา้ วไปไหนเหรอ ก็
เห็นกา้ วไปกา้ วหน่ึง เผลอ เผลอ ก็ถอยไปสองกา้ ว แลว้ มนั จะไป
กา้ วหนา้ ไดอ้ ยา่ งไร
ความกา้ วหนา้ ปฏิบตั ิแลว้ ตอ้ งนาไปประพฤติ ประพฤติตอ้ ง
ฝืนกิเลสตวั เอง นน่ั แหละเราทาไดแ้ ค่ไหน เวลาเราเรียนหนงั สือ เรา
อยากเป็นท่ีหน่ึง ตีสองตีสามก็ไมน่ อน อา่ นหนงั สือยนั สวา่ ง เรายงั
17
ยอมทาเลย เราลงทุนขนาดน้นั อนั น้ีพ่อครู ไม่เคยเห็นใครเหวย่ี งถึง
เที่ยงคืนสักคนหน่ึง แลว้ จะไปถามหากา้ วหนา้ ตอ้ งต้งั มนั่ มีขนั ติ
มีศรัทธา ในคาสอนของพระพุทธเจา้ มนั เรื่อง ง่าย ง่าย
แตม่ นั ไมป่ ล่อยใหเ้ รางา่ ย เพราะกรรมท่ีเราสร้าง มนั ก็ดึงเรา
ไวอ้ ยู่ แตอ่ ยา่ ไปทอ้ ถอยนะ คือแค่คาพดู ก็ทอ้ ถอย กเ็ หว่ียง
ทอ้ ถอยทิง้ เดินต่อไป ถา้ เราไม่กา้ วตอ่ ไป แลว้ มนั จะกา้ วหนา้ ได้
อยา่ งไร ทอ้ ถอยกห็ ยดุ แลว้ เบื่อจริงๆ ต่ืนเชา้ มา ก็เดินไปเจอเสือ
สิงห์ กระทิง แรด เจอแตป่ ่ าเหมือนเก่า เม่ือไหร่จะทะลปุ ่ าเสียที แลว้
ยงั ไง ไมเ่ ดินหรือ รอเสือมนั มากินหรือ นน่ั แหละ ตอ้ งเพม่ิ ศรัทธา
ใหก้ บั ตวั เอง แต่ตอ้ งวางความอยาก อาบน้าเพราะอาบน้า ไมใ่ ช่
เป้ื อนถึงอาบ ไม่ใช่ร้อนถึงอาบ อาบเพราะอาบ ปฏิบตั ิเพราะปฏิบตั ิ
ไมม่ ีเงื่อนไขใดๆท้งั น้นั สร้างอารมณ์เป็นปกติ
ควรปฏิบัติตนอย่างไร เพ่ือให้การปฏิบตั ิธรรมเกิดความก้าวหน้า
ปฏิบตั ิตนอยา่ งไร ฆา่ ตวั เองทิ้ง ไอค้ นที่อยากบรรลุธรรมนน่ั
แหละ มนั ดึงไว้ มนั ก็จะถามหา เมื่อไหร่จะถึงสักที ไม่กา้ วหนา้ เลย
ไอค้ นน้นั แหละ ที่มีความอยาก อตั ตา นนั่ คือ คาตอบสุดทา้ ยนะ
กิเลส ตณั หา อุปาทาน มนั เป็นเร่ือง เกิดใหมใ่ นชาติน้ี กิเลสทาให้
เกิดตณั หา ตณั หาทาใหเ้ กิดอุปาทาน อุปาทานทาใหเ้ กิดทุกข์
18
ถา้ เรารู้เท่าทนั กิเลส มนั ก็พฒั นาไปสู่ตณั หาไมไ่ ด้ อปุ าทานก็
ไมเ่ กิด เราก็ไม่ทกุ ข์ เรากแ็ ค่ไมท่ ุกข์ แตย่ งั ไมพ่ น้ ทุกข์ เพราะกลอ่ ง
อตั ตา กลอ่ งบนั ทึกโปรแกรม ที่ยดึ เกาะกิเลสมนั ก็ยงั อยู่ ฆา่ ยงั ไงพ่อ
ครู บอกเลย ฉนั พร้อมแลว้ จะไปซ้ือปื นมายงิ มนั คิดเอาเองก็ไม่ได้
ก็ใหม้ งุ่ มนั่ เชื่อในคาสอนพระพทุ ธเจา้ ทาน ศีล ภาวนา หรือ ศีล
สมาธิ ปัญญา กเ็ ดินต่อไป สะสมแตม้ อยา่ ใจร้อน
“คาว่า ศรัทธา อย่าพอใจเพียงแค่ท่ีเรามอี ยู่
ต้องสร้างไปเร่ือยๆ จนให้มันเตม็ ร้อย ไม่ให้มรี ูร่ัว”
19
ทมี่ า : เร่ือง ตอบปัญหาสภาวะการปฏิบัติ
บรรยายธรรม โดย พ่อครูบัญชา ต้ังวงษ์ไชย
ศูนย์พลาญข่อย
26 กรกฏาคม 2557
30 สิงหาคม 2557
18 ตุลาคม 2557