1
2
ถ้าเราไปติดสติ ติดสมาธิ ปัญญากไ็ ม่สามารถพ้นทกุ ข์ได้ ใช่
หรือไม่ เพราะเจริญสติแล้วมนั เป็นแค่หินทับหญ้า
ติดอะไรกค็ ือ หลงตดิ เป็นตวั กิเลส แมก้ ระทงั่ ติดดี ติดก็
คือติด แต่ถา้ เป็นปัญญาจริง ๆ ปัญญาบริสุทธ์ิแลว้ มนั ไมต่ ิด
ปัญญานนั่ จะสอนใหเ้ ราไม่ติด แตถ่ า้ เราติดแลว้ กเ็ ป็นแค่ติด
ความรู้ ไปหลงตวั รู้ เรียกวา่ ติดตวั รู้ โดยเฉพาะไปหลง
สภาวะธรรม
การจะปล่อยวางได้ ต้องนอกเหนือสติ สมาธิ ปัญญา คือไม่ติด
รูปแบบใช่ไหม
ไมใ่ ช่นอกเหนือ ตอ้ งใชส้ ติ สมาธิ ปัญญา เป็นเครื่องมือ
ที่ทาใหเ้ ราวางได้ เราตอ้ งใชเ้ ป็นเครื่องมอื เดินทางของจิต ถา้
ไม่มีสมาธิมีสติมีปัญญาแลว้ มนั กไ็ ปหลงตามกิเลส การใช้
ภาษาก็ตอ้ งระวงั
3
ตามธรรมดาคนทั่วไป กม็ ีสติ แต่ที่ไม่บรรลธุ รรม เพราะไป
หลงติดในสติ จึงเข้าไม่ถึงตวั ธรรม ธรรมชาติแห่งสภาวะ
นิพพานใช่ไหม
กเ็ ป็นคาตอบเดียวกนั สติเป็นเคร่ืองมือเดินทางท่ีสาคญั
หน่ึงในมรรคมีองคแ์ ปด แตถ่ า้ ไปหลงอยแู่ ค่สติ เราก็ไดส้ ติ เรา
ไมเ่ ขา้ ถึงปัญญา แตไ่ มใ่ ช่ปฏิเสธสติ
จิตเป็นธรรมชาติเดิมแท้ ท่ีประภสั สรอย่แู ล้ว แต่กิเลสที่เกิด
ขึน้ มาทีหลัง ทาให้จิตมวั หมอง เพียงแต่ทาให้จิตเดิมแท้ปรากฏ
แล้วกิเลสกจ็ ะไม่สามารถปรุงแต่งจิตได้อีกต่อไปใช่ไหม
อนั น้ีตอ้ งระวงั คาวา่ จิตเดิมแทเ้ ป็นประภสั สร คาพดู
หมายถึงวา่ ตอนเราเกิดมาใหม่ ๆ เรียกวา่ จิตเดิม แตย่ งั ไมแ่ ท้
เหมือนเด็กเกิดมาเป็นผา้ ขาวผืนนึง แตม่ ีจุดด่างจุดนึงอยู่ อนั
น้นั คือกระแสกรรม ทนี ้ีเรากถ็ กู ต้งั ช่ือ เราก็ใส่ปรุงแต่งเขา้ ไป
เรียกวา่ จิตปรุงแตง่ จากผา้ ขาวก็ลายไปหมด เอาองคค์ วามรู้ซ่ึง
เรียกวา่ เป็นอวชิ ชาเขา้ ไป กลายเป็นกิเลส ตณั หา อุปทาน จาก
จิตเดิม กลายเป็นจิตปรุงแตง่
4
เม่ือเราเช่ือมนั่ ในคาสอนของพระพทุ ธเจา้ เรากเ็ จริญ
มรรค มรรคขา้ งนอก มรรคขา้ งใน เพอ่ื ขดั เกลาจิตใหผ้ อ่ งใส
เร่ิมตน้ กค็ ือ จิตหลุดพน้ ดวงตาเห็นธรรม เรียกวา่ จิตหลดุ พน้
แตไ่ ม่ใช่บรรลธุ รรม คือ บรรลุธรรมเบ้ืองตน้ กค็ ือวา่ จิตหลดุ
พน้ หลดุ จากการปรุงแตง่ ของใจ เขา้ ไปสู่จิตในจิต จิตเห็นจิต
คือ มรรค ผลของจิตเห็นจิตอยา่ งแจ่มแจง้ เราตอ้ งทาใหม้ นั
เห็นอยา่ งแจ่มแจง้ ถึงจะเป็นนิโรธ เม่ือนิโรธแลว้ น้นั เรียกวา่
จิตเดิมแทเ้ ป็นประภสั สร ปรุงแต่งไมไ่ ดอ้ ีกตอ่ ไป แลว้ ก็ไม่
ตอ้ งเวยี นวา่ ยตายเกิด ตอ้ งเขา้ ใจระหวา่ งจิตเดิม กบั จิตเดิมแท้
มนั คนละอยา่ งกนั
ธรรมท้ังหลายไม่ใช่ตวั ตน จึงเป็นเพยี งแค่ สักแต่ว่าทา ไม่ไป
ยึดม่ันถือมัน่ กเ็ ป็นความบริสุทธิ์แห่งธรรมเดิมแท้ใช่ไหม
ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติมีหลายระดบั ธรรมชาติ
ของเปรตอสูรกาย ของสตั วเ์ ดรัจฉาน ของมนุษย์ ของเทวดา
ของพระอริยะ ธรรมชาติของปุถชุ นก็อยใู่ นโลกธรรมแปด ไป
หลงติดเรื่อง ลาภยศสรรเสริญ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเส่ือมยศ
มีสรรเสริญ มีนินทา มสี ุขมีทกุ ข์ คือ ธรรมชาติของปถุ ชุ น
5
ส่วนธรรมชาติของอริยชน ก็มีหลายระดบั ท่ีเคา้ แบง่
คร่าว ๆ วา่ เป็นแปดระดบั ระดบั เบ้อื งตน้ คือโสดาปฏิมรรค
แลว้ ก็โสดาปฏิผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อนาคามี
มรรค อนาคามีผล แลว้ ก็อรหตั ตมรรค อรหตั ตผล อนั น้ีคือ
ธรรมชาติของพระอริยะเจา้
การพูดความจริง กบั การอวดอตุ ริ มีขอบเขตอย่ตู รงไหน และ
แตกต่างกนั อย่างไร อย่างกรณีท่ีมี ดอกเตอร์ท่านนึงสนทนา
กบั มนษุ ย์ต่างดาวได้ ถือว่าอวดอตุ ริไหม
การพูดความจริง กบั การอวดอตุ ริน้นั มีขอบเขตอยู่
ตรงไหน เอาเป็นวา่ ไม่เหมือนกนั คาวา่ อวด เกิดจากเจตนา
ที่จะ show off เป็นกิเลสท้งั น้นั ส่วนการพดู ความจริงกม็ ีสอง
อยา่ ง ถา้ เราพดู ความจริงน้นั เพ่ือสนองตณั หาเรา เพอ่ื ตอ้ งการ
อะไรสกั อยา่ งนึง ก็เป็นกิเลส แต่ถา้ เป็นความจริงเป็นสจั ธรรม
อนั น้นั พูดดว้ ยความบริสุทธ์ิ ไมม่ ีอามิส ก็ต้งั คาถามอีกตอ่ ไป
เร่ือย ๆ ความจริงท่ียกตวั อยา่ ง ที่วา่ ดอกเตอร์ทา่ นนึง เราพดู
ข้ึนมา มนั กส็ ร้างประเดน็ ใหม่ มีคนเชื่อกบั ไม่เช่ือ
6
เราพูดเรื่องสภาวธรรม หลายคนก็ไปหลงสภาวธรรม
ไปสอบอารมณ์อะไรกนั ไม่จาเป็นอยา่ ทา อยกู่ บั ตวั เองบ่อย ๆ
อย่าอยากรู้อยากเห็นมาก เพราะส่ิงน้ันเราพูดออกมาแล้ว
คนเคา้ ฟังเคา้ สัมผสั ไม่ได้ ว่ามนั คืออะไร แลว้ บางคนเราเห็น
จริง เห็นนิมิตเห็นนู่นเห็นน่ี เราเห็นจริง แต่ส่ิงท่ีเราเห็นมนั
ไม่จริง มนั เป็นนิมิตซ่ึงจิตเดิมสร้างข้ึนมา เป็ นอุปทาน เพ่ือ
มาประเมินจิตปัจจุบันว่า เหว่ียงทิ้งไหม พอไปเห็นอะไร
พเิ ศษ ที่กิเลสปัจจุบนั มนั ชอบอยแู่ ลว้ มนั ก็ไปหลงติด แลว้ ก็
ไปตอ่ ยอดพูดกนั ไป พูดกนั มา เร่ืองน้ีกรรมช้ีเจตนา
การพูดความจริง พอ่ ครูเคยพดู หลายปี แลว้ วา่ คนท่ีขยนั
พูดความจริงในทกุ ๆ เร่ือง บางทีแลว้ ร้ายยง่ิ กวา่ คนโกหกใน
บางเรื่อง โกหกเพือ่ ให้ ไม่ใช่โกหกเพอื่ หลอกลวง แตค่ าวา่
โกหก ตอ้ งไมใ่ ช่โกหกหลอกลวง ยกตวั อยา่ งวา่ มีโจรคนนึง
เคา้ วิ่งมาถอื ปื น จะไลย่ งิ อีกคนนึง เราเห็นแลว้ วา่ มนั เล้ียวไป
ทางซา้ ย แตถ่ า้ เราโกหกวา่ เล้ียวขวา นี่เราบาป
แต่ถา้ มนั ถามวา่ เห็นไหม บอกไม่เห็น ไม่เห็นอนั น้ีก็
โกหก ถา้ การโกหก แลว้ ไปปรุงแตง่ จากซา้ ยเป็นขวา ความ
จริงบางอยา่ งเราไม่ตอ้ งพูดก็ได้ แต่ไม่ตอ้ งโกหก แต่ถา้ จาเป็น
7
ท่ีเราไม่พูดความจริง เป็นการโกหกแลว้ อนั น้นั โกหกเพอ่ื
ไม่ใหเ้ คา้ สร้างกรรม เพอื่ ใหค้ นหน่ึงรอดชีวิต
แต่ถา้ โกหกแลว้ ไปปรุงแต่งดว้ ย มนั จากซา้ ยวา่ ไปขวา
อะไร อนั น้ีเรามีเจตนาโกหกเคา้ จริง ๆ ถา้ เกิดเคา้ ไปแลว้ ไม่
เจอ เด๋ียวเคา้ โกรธเรา จะทาร้ายเราดว้ ย เพราะไปหลอกมนั แต่
เราเห็น แคบ่ อกเราไมเ่ ห็น ก็ไม่ผกู มดั เรา สุดทา้ ยแลว้ จบอยทู่ ่ี
เจตนาวา่ ที่เราพดู ไปน้นั ท้งั ความจริงก็ช่าง ความไม่จริงกช็ ่าง
อยทู่ ่ีเจตนาของเรา ถา้ มีอามิสก็เป็นส่ิงท่ีไมด่ ีท้งั หมด
บางคนบอกเห็นผี หรือเทวดา จัดว่าอวดอตุ ริไหม
คาวา่ อวด อวดรู้อวดเห็น ก็คือไมค่ วรจะพดู เราพูดแลว้
เกิดประโยชนอ์ ะไร พดู เพราะจะโชว์ โออ้ วดวา่ ฉนั พิเศษ อนั น้ี
อามิสท้งั น้นั ก็ไม่ตอ้ งพดู ดีกวา่ ถามวา่ พดู แลว้ ไดอ้ ะไร คนฟัง
ไดอ้ ะไร นอกจากใหเ้ คา้ ศรัทธาวา่ ฉนั เก่ง คาวา่ อวด ก็คือ
กิเลสท้งั น้นั
8
คนที่บอกว่าตนระลึกชาติได้ เป็นนน่ั เป็นนี่ เห็นน่ันเห็นนี่ รู้ว่า
ญาติท่ีตายไปแล้ว ไปอย่ภู พภมู ิใด แล้วมาเล่าให้คนอื่นฟังเพ่ือ
เป็นอุทธาหรณ์ จัดว่าอวดอุตริไหม
จดั วา่ อวดอตุ ริ แมก้ ระทง่ั ความจริงที่เราเห็น เรารู้ได้
อยา่ งไรวา่ มนั จริง กบ็ อกแลว้ เราเห็นจริง ๆ แตท่ ่ีส่ิงเราเห็นมนั
เป็นอุปทาน เรื่องท่ีเป็นจริงในอดีต เคา้ เคยเป็นญาติเรา แต่
ตอนน้ีมนั ไมจ่ ริง มนั เป็นอนตั ตาไปแลว้ เราบอกเราพูดจริง
นนั่ เราโกหก เพราะเราไมเ่ ขา้ ใจกฎของธรรมชาติ ปัจจุบนั น้ี
มนั ไม่จริงแลว้ มนั เป็นอนตั ตา มนั ผา่ นไปแลว้ บางคร้ังอยา่
เช่ือสายตาตวั เองมากนกั
ครูบาอาจารยย์ ุคเรา ทุกคนพูดเหมือนกันว่า เราเห็น
จริงๆ แต่ส่ิงที่เราเห็นมนั ไม่จริง อยา่ ไปพูดเรื่องสภาวธรรม
มนั อาจจะจริงในอดีต แต่ตอนน้ีมนั ไม่จริงแลว้ เราโกหก
โดยไม่รู้ตวั ก็อวดอุตริ จะพูดทาไม พูดแลว้ มีอะไรดีข้ึน
คาวา่ อวดอตุ ริ ก็คือโออ้ วด เพื่อให้เคา้ ศรัทธาเรา เพื่อใหเ้ คา้ มี
ความรู้สึกวา่ เราเหนือมนุษย์ เรียกวา่ หลงสภาวะธรรม
พ่อครูถึงให้เคร่ื องมือว่า สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น
เหว่ียงทิ้ง อนั น้ีเราไม่เหว่ียงทิ้ง เราแบกมา คุยโออ้ วดกัน
คาวา่ อวด เคา้ กบ็ อกแลว้ อวดอุตริมนุษยธรรม
9
พ่อครูช่วยอธิบายเร่ืองวจีกรรมในกรณีต่าง ๆ
จบที่กรรมช้ีเจตนา ถา้ พอ่ ครูพดู อยา่ งน้ี พ่อครูมีเจตนา
โกหกเรา กเ็ ป็นวจีกรรม คนอื่นไม่รู้ แตจ่ ิตเราบนั ทึกไวแ้ ลว้
เราหลอกจิตเราไมไ่ ด้ แลว้ กผ็ ลกรรมน้ี สักวนั นึงเราจะตอ้ งรับ
กรรมน้นั แต่ถา้ พูดดว้ ยจิตบริสุทธ์ิ พดู เพ่ือใหเ้ ป็นธรรมทาน
อนั น้ีไดก้ ุศล แต่ถา้ พูดเพ่อื โออ้ วด ใหเ้ คา้ นบั ถือเรา ศรัทธาเรา
เพราะวา่ เราเกง่ กวา่ เคา้ เรามีญาณรู้อะไร อนั น้ีกิเลส จะเป็น
วจีกรรม มโนกรรม กายกรรม กช็ ่าง อยทู่ ี่เจตนา ที่บอกวา่
กรรมช้ีเจตนา เหมือนภาษาบง่ บอกนิสัย เคา้ ตอ้ งพดู มาก่อน
นอกจากวา่ จิตที่มีญาณรู้ ยงั ไม่ไดพ้ ูด กร็ ู้เลยวา่ ขโมยรู้
ความคิดเคา้ แต่ถา้ มนั บริสุทธ์ิจริง ๆ มนั รู้ กเ็ หมือนมนั ไม่รู้
ไม่มีนยั ยะอะไรท้งั น้นั กไ็ ม่ไดอ้ ยากรู้ แต่ถา้ วา่ เคา้ พดู ออกมา
กี่ปี กี่ปี กพ็ ดู คาหยาบเป็นนิสยั แลว้ เรากเ็ ห็นเจตนาของคนน้ี
จากสิ่งที่เคา้ พดู ชอบโกหกบ่อย ๆ จนเป็นอุปนิสยั เราก็เห็นวา่
เจตนาเคา้ เป็นคนชอบโกหก ชอบหลอกลวง คาวา่ วจีกรรม
คนโบราณบอก พดู ดีเป็นศรีแก่ตวั เราพูดดีกบั เคา้ เคา้ กร็ ักเรา
เคา้ ก็ชอบเรา เราพูดร้าย เคา้ ก็เกลียดเรา ใช่ไหม
แต่คาว่าวจีกรรมไม่ได้จบที่ว่าดีกับชั่ว ดีกับชั่วเป็ น
ภาษามนุษย์ บางอย่างเราพูดดี ใส่เสน่ห์มหานิยมไปดว้ ย
10
ไพเราะเพราะพริ้ง รู้สึกว่าเคา้ นิยมเรา แต่บงั เอิญส่ิงท่ีเราพูด
มนั ไม่ใช่ความจริง ก็เป็นวจีกรรม แต่ในสังคมโลกบอกว่า
พดู ดีพูดแลว้ ไพเราะ มีความสุข มนั ดีในทางโลก ดีหรือชว่ั
อยทู่ ี่วา่ เป็นกศุ ลหรือเป็นอกศุ ล พูดแบบสร้างสรรคพ์ ูดเพ่อื ให้
หรือ พูดเพ่ือฉนั จะเอา อยทู่ ่ีเจตนา เราหลอกจิตเราไม่ได้
พดู เล่นพดู โกหกไร้สาระ แต่มีเจตนาให้ผ้ฟู ังอารมณ์ดี หัวเราะ
ได้ ควรพูดไหม
ไมค่ วรพูด มนั เป็นเร่ืองโกหกหลอกลวง ถา้ โบราณเคา้
บอกวา่ พวกเตน้ กินรากิน เป็นอาชีพที่เคา้ รงั เกียจมาก มนั เป็น
มายา กแ็ สดงใหเ้ คา้ สนุก แลว้ สุดทา้ ยสังเกตไุ หม ดาราไมม่ ี
ใครมีชีวิตท่ีสมบรู ณ์ ชีวิตคู่สักคนนึง เมื่อแสดงบ่อย ๆ จิตเราก็
เป็นมายาเหมอื นกนั ทาอะไรไม่เคยจริงใจกบั ใครเลย อาชีพน้ี
เป็นอาชีพปรุงแตง่ เป็นมายา แต่ยคุ น้ีเคา้ เอาเงินเป็นท่ีต้งั อะไร
กช็ ่าง ถา้ ฉนั ดงั เดน่ ก็กิเลสท้งั น้นั
พดู น่ีตอ้ งพูดจริง พูดแต่เรื่องเป็นกุศล เป็นประโยชน์
ต่อตนเองกบั คนอื่น มนั มีประโยชน์ แตพ่ ดู แลว้ เคา้ มีความสุข
มนั ทาใหไ้ ปเพ่ิมกิเลสใหเ้ คา้ เป็นความเลวร้ายอยา่ งยง่ิ สุขเอง
11
ไม่เป็นหรือ ตอ้ งฟังเคา้ พูดตลกก่อน ถึงคอ่ ยสุข เคา้ ก็จะไม่มี
วนั เขม้ แขง็
พูดเล่น ๆ แต่ไปทาให้คนฟังอารมณ์ข่นุ เคือง ควรพดู ไหม
ไปพูดเล่น แน่นอนพูดไมไ่ ดเ้ ลย ไมใ่ ช่ของเลน่ น่ิงเสีย
ตาลึงทอง บางคร้ังไมแ่ น่ใจสิ่งที่เราพดู ออกไป มนั จะเป็นกุศล
หรืออกุศล เรากน็ ่ิง ก็ไมต่ อ้ งไปสร้างกรรม แต่ตอนน้ีเราชอบ
พูดเล่น ชีวติ เราเครียด บางทีกพ็ ดู ใหม้ นั สนุกสนานเฮฮา
บางทีก็ทาใหค้ นฟังขนุ่ เคือง ควรพดู ไหม แลว้ มนั เป็น
กรรมของใครกนั ถา้ ผพู้ ูดไมม่ ีเจตนาไปทาใหเ้ คา้ โกรธ เจตนา
กด็ ี ไม่เจตนากด็ ี ถา้ เราขาดสติ เราพูดทาลายสมมติบญั ญตั ิของ
เคา้ แลว้ จิตเราไม่บนั ทึก เพราะเราไมม่ ีเจตนา เราไมแ่ บกขา้ ม
ภพขา้ มชาติ แตจ่ ิตคนน้นั เคา้ บนั ทึกแลว้ กจู ะฆ่ามึง เหมือน
เทวทตั ตามลา่ พระพุทธเจา้ ตลอด ถา้ เราไม่มีเจตนา เราก็ไม่
บนั ทึกสญั ญา แต่ถา้ เราไม่ระวงั เราทาลายสมมติคนอื่น เคา้ ก็
บนั ทึก เคา้ เกลียดเรา กไ็ มค่ วรทา ไม่ควรสร้างศตั รู
12
พูดความจริงโดยมเี จตนาดี แต่คนฟังรับไม่ได้ ควรพดู ไหม
ก็ไมต่ อ้ งพดู คาวา่ รับไดไ้ ม่ได้ สุดทา้ ยแลว้ กรรม กรรม
ช้ีเจตนาของเราแลว้ กรรมมนั จะพฒั นาไปสู่วิบากกรรม ถา้ เรา
พูดมีเจตนา จิตเราบนั ทึกเตม็ ๆ เราตายแลว้ ไม่จบ กรรมตวั
น้ีส่งผลต่อไป ส่วนบางทีคนน้นั ฟังแลว้ เคา้ ไม่พอใจเน่ืองจาก
เคา้ มีกิเลส กเ็ ป็นกรรมของเคา้ แตเ่ ราปฏิเสธไม่ไดเ้ ป็นกรรม
ท่ีเคา้ บนั ทึกแลว้ เคา้ เกิดความไม่พอใจเรา เคา้ ก็เกลียดเรา
ภาษาธรรมไม่ใช่ง่าย บางทีเราป้องกนั ไม่ได้ พดู แลว้ บางคน
พอใจไม่พ อใจ แต่เราเจตนาบริ สุ ทธ์ิ เราต้องระวัง
ภาษากลาง ๆ พูดไป ส่วนเคา้ ไมพ่ อใจเน่ืองจากวา่ เคา้ มีอคติ
อะไรแลว้ กเ็ ป็นกรรมของเคา้
การชมหรือพูดโกหก เพ่ือให้เค้ามกี าลังใจ เช่น บอกคนป่ วยที่
กาลังจะตายว่า เดี๋ยวกจ็ ะหายออกจากโรงพยาบาลแล้ว หรือชม
คนว่าสวย เพราะว่าเค้าพยายามแต่งตัวให้ดดู ี ควรพดู หรือไม่
กเ็ ป็นแค่การพดู บวก เหมือนเคา้ ปวดหวั เอายาพาราให้
เคา้ กิน มนั ไมใ่ ช่ อยทู่ ี่เจตนาเราดว้ ย โดยเฉพาะไปส่งเสริมวา่
เธอสวย แลว้ ใหห้ ลงกิเลส เป็นกรรม ไปส่งเสริมใหเ้ คา้ หลง
13
กิเลส หลงความสวยงาม กเ็ ป็นการสนองตณั หา กพ็ ดู นอ้ ย ๆ
ปฏิบตั ิเยอะ ๆ
การยา้ คิดยา้ ทา เกิดมาจากสาเหตอุ ะไร และจะรักษาให้หายได้
อย่างไร
เหว่ียงทิ้ง ตอ้ งฟังพระพุทธเจา้ ความคิดคือมโนกรรม
เราฝึ กให้เป็ นนกั คิด มนั ไม่คิดไดย้ งั ไง มนั ก็ตอ้ งคิด และท่ี
ย้าคิดย้าทา เพราะความอยากมนั เยอะ บางคนความอยาก
นอ้ ย คิดคร้ังสองคร้ัง เออช่างมนั เถอะ แต่คนอยากเยอะ ๆ
ไม่ปล่อยไม่วาง ก็คิดอย่นู ั่นแหละ คิดจนไม่หลบั ไม่นอน
กค็ ือ ตวั อยาก เรามาปฏิบตั ิ เราเจริญมรรคจิต เพ่อื ลด ละ
เลิก ความอยากน้นั เม่ือความอยากมนั หมดแลว้ มนั ก็เลิกคิด
มีหลายคน ครูบาอาจารยใ์ นยุคน้ี ได้ยินพ่อครูพูด เคา้ ก็ไป
ฟ้องวา่ พ่อครูบอกวา่ คนคิดเป็นคือคนไม่คิด ไม่ใช่คนคิดเก่ง
คนคิดเก่ง ยง่ิ คิดก็ยง่ิ ทุกข์ เรียกวา่ คนคิดไม่เป็น
ครู บาอาจารย์ก็อ้างโน้น อ้างหลวงพ่อชาบ้าง
อะไรบา้ ง เคา้ บอกตราบใดยงั ไม่ตาย ใยไม่คิด ท่านพูด
ตอนไหน ตอนที่ท่านยงั ไม่บรรลุธรรมใช่หรือไม่ ไม่ใช่จา
14
คนน้ีพูดแลว้ เคา้ พูดอย่างน้ีก็ไปยึดมน่ั ถือมั่น เคา้ พูดต้งั แต่
เม่ือไหร่ ถา้ จิตบรรลุธรรมแลว้ มนั ไม่มีอนาคต ทาไมตอ้ งคิด
ไม่ตอ้ งคิดแลว้ ที่เราคิดเพราะเรามีอนาคต เรามีความอยาก
เราถึงคิดวางแผน
ใครเปลง่ ออกมา พอ่ ครูเห็นสภาวะจิตวา่ ระดบั ไหน แต่
ไมใ่ ช่ตอ้ งไปวดั กนั เคา้ จะวา่ ยงั ไงก็วา่ เราก็รู้วา่ เคา้ ก็เป็นของ
เคา้ อยา่ งน้นั ไม่ตอ้ งใหอ้ ภยั ดว้ ย เพราะวา่ เคา้ ไมไ่ ดผ้ ิด เคา้ วา่
จากความที่เขา้ ใจ บางทีพอ่ ครูกินขา้ ว บอกพอ่ ครูเคม็ ไหม ไมร่ ู้
จะไปรู้ทาไม อยากรู้ รู้ก็ไปเสพมนั แคน่ ้นั แลว้ จะรู้ไปทาไม
กินก็สกั แตว่ า่ กิน
มีคนเคา้ เจริญสติ ครูบาอาจารยพ์ ูดตูม้ มาทางน้ี เหมอื น
เคา้ เตือนสติเราวา่ พอ่ ครูน่ีเจริญสติไม่เป็น คนเจริญสติตอ้ งรู้
มนั หวาน มนั เผด็ มนั เปร้ียว มนั อร่อย ไมอ่ ร่อย ก็ถกู แลว้
นน่ั คือเจริญสติ เคา้ ไม่รู้วา่ นี่คือผลที่เกิดกบั พอ่ ครูแลว้ มนั คือ
ผลของมนั แสดงวา่ ไมไ่ ดเ้ ขา้ ถึงผลเลย ติดอยทู่ ี่สติ
ถา้ เราเจริญสติตอ้ งรู้หมด ขวากร็ ู้ ซา้ ยกร็ ู้ เยน็ กร็ ู้ ร้อนกร็ ู้
เผด็ กร็ ู้ เคม็ กร็ ู้ นนั่ คือเจริญสติ ติดอยตู่ รงน้นั กี่ชาติก็ไมไ่ ปไหน
คุณจะไปลิ้มรสทาไม กร็ ู้วา่ เป็นอาหาร สักแตว่ า่ กินก็จบ เมื่อ
มนั เกิดมรรคผล สุดทา้ ยแลว้ รูป รส กล่ิน เสียง สัมผสั กท็ า
15
อะไรเราไมไ่ ด้ ท่ีมนั ทาไดเ้ พราะเราอยากรู้ ไปลิ้มรสมนั ถา้
ตวั เองชอบหวาน เกิดขมข้ึนมา กท็ กุ ข์ เมื่อไมม่ ีความอยากแลว้
ทาไมตอ้ งไปลิม้ รส อนั น้นั คือ ตดิ อยทู่ ี่สติ
ถ้าเรายงั ไม่มีปัญญาญาณ จะทราบได้อย่างไรว่า ส่ิงท่ีทาเป็น
การทรมานตน หรือการฆ่ากิเลสกนั แน่ หรือว่าต้องลองผิด
ลองถกู เอา เพ่ือหาความพอดขี องตนเอง
น่ีแหละคือคนอยากรู้ อยากเห็น อยากหาคาตอบ เพ่ือ
จะเดินตามคาตอบท่ีเราเชื่อ ถา้ เราศรัทธาพระพทุ ธเจา้ พระองค์
บอกทางเดิน เรากเ็ ดินไป หลงป่ า ต่ืนมาเราก็เดิน กลางคืนเรา
กน็ อน ต่ืนเชา้ เราก็เดิน มนั จะถึงเมอ่ื ไหร่ก็ช่างมนั อะไรก็ไม่ใช่
มนั จะมีถูกมีผิดไดอ้ ยา่ งไร
ช่วงเดินทางก็ยดึ หลกั ทางสายกลาง คือ ทาแคพ่ อดีกาลงั
ของเรา ไมใ่ ช่ต้งั เป้า วนั น้ีตอ้ งเดินหา้ สิบกิโล แรก ๆ กไ็ ด้
ซกั พกั นึงมนั เหนื่อยลา้ ตอ้ งเดินไดห้ า้ สิบกิโลเด๋ียวก็เด้ียง เหตุ
ปัจจยั เวลาน้นั มนั ไมเ่ หมือนเก่า เรากเ็ ดินไป ตามเหตุปัจจยั ที่
เราเดินได้ น่ีคือ ทางสายกลาง
16
แตต่ อนน้ีเป็นอดุ มการณ์ หาคาตอบเป็น 1-2-3-4-5
แลว้ ก็แกง๊ ทาตามน้นั เลย มนั ไมใ่ ช่อยา่ งน้นั พอดีของแตล่ ะคน
ไม่เหมือนกนั ชา้ งข้ีไม่ตอ้ งข้ีตามชา้ ง เอาตามเรา แตเ่ ราตอ้ งมี
สติ ถา้ เราไม่มีสติ เราจะแพค้ วามอยากเรา มนั อยากถึงไว ๆ
มนั กเ็ ดินไมห่ ลบั ไมน่ อน ไมบ่ นั ยะบนั ยงั วนั แรก ๆ กไ็ ด้ วนั ที่
สอง ท่ีสาม เด้ียง เดินไมไ่ ดเ้ ลย แทนที่จะเดินไปเรื่อย ๆ แลว้ จะ
เดินไดต้ ลอด พอเดินมากเกินไป เดี๋ยวเดินไม่ได้ จะเร็ว
กลายเป็นชา้ ถา้ เราเดินตามความอยาก เราขาดสติ เราจะไม่
รู้เทา่ ทนั อารมณ์อยากเรา เราจะทาอะไรเกินไป มนั กไ็ ม่ใช่
ทางสายกลาง
ถ้าสุญญตาคือความว่าง แล้วความว่างคืออะไร
ความวา่ ง ไมไ่ ดแ้ ปลวา่ ไมม่ ี ถา้ มนั ไมม่ ีมนั จะวา่ งจาก
อะไร แตเ่ ราวา่ งจากการมี จากการยดึ มนั่ ถอื มน่ั กบั การมีน้นั
โดยเฉพาะคาวา่ สุญญตา คือวา่ งจากอตั ตา เราวา่ งจากขนั ธ์๕
ขนั ธ๕์ มนั ยงั มอี ยู่ แตเ่ ราวา่ งจากความยดึ มนั่ ถือมน่ั ของมนั
ไม่ใช่วา่ งแปลวา่ ไม่มี คาวา่ อนตั ตาบางคนแปลวา่ ไม่ใช่ตวั ตน
ที่แน่นอน บางคนแปลวา่ ไม่มีตวั ตน มนั กไ็ มไ่ ดผ้ ิด แตพ่ ่อครู
17
ไม่คอ่ ยชอบ เดี๋ยวคนจะเขา้ ใจผิดวา่ กค็ ือมนั ไมม่ ี มนั มี แต่มนั
ไม่ใช่ตวั ตนที่แน่นอน การใชภ้ าษาตอ้ งระวงั มนั อาจเป็นการ
เขา้ ใจผิด
ขนั ธ๕์ มีอยู่ แตเ่ ราวางความยดึ มน่ั ถอื มนั่ กบั การหลง
ของมนั เราวา่ งละ วา่ งจากการยดึ มนั่ ถือมน่ั ตรงน้นั วา่ งไม่ได้
แปลวา่ ไม่มี ถา้ มนั ไมม่ ี เราจะวา่ งจากอะไร ภาษามนั หยาบ
เก่งที่สุดกพ็ ดู ใหม้ นั ใกลเ้ คียงเฉย ๆ แต่ไมใ่ ช่พูดแลว้ ทกุ คนจะ
สัมผสั ได้ แต่เราสัมผสั ไดด้ ว้ ยเราปฏิบตั ิเอง เราตอ้ งไปสัมผสั
อารมณ์น้นั บ่อย ๆ เราจะเห็นความไม่เที่ยงแทแ้ น่นอน จะเห็น
อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา คาวา่ อนตั ตาไม่ใช่มนั ไมม่ ี มนั ไม่ใช่
ตวั ตนที่แน่นอน มนั เกิดข้ึนต้งั อยสู่ ลาย ถา้ มนั ไม่มี อะไรจะ
เกิดข้ึน อะไรต้งั อยู่ อะไรสลาย มนั ก็เป็นธรรมชาติของมนั
เพียงแต่วา่ จิตเราไปยดึ ติดมนั ไหม
เรายดึ ติด เรากส็ ร้างอตั ตาข้ึนมา เอาเป็นวา่ วา่ งไมไ่ ด้
แปลวา่ ไม่มี หลายปี ก่อนพอ่ ครูเขา้ ไปในเมือง ครอบครัวน้ีซ้ือ
รถคนั ใหม่ กไ็ ปเขียนอยทู่ า้ ยรถ เอาคาที่พอ่ ครูเปลง่ ออกมาไป
เขียนคาวา่ วา่ ง อยหู่ ลงั รถ เชิญพ่อครูไป พอ่ ครูช่วยจบั รถหน่อย
เคา้ กช็ ้ีเคา้ เขียนวา่ วา่ ง พอ่ ครูบอก มนั ไมว่ า่ งแลว้ มนั วา่ งอยดู่ ี ๆ
ไปเขียนใหม้ นั ไมว่ า่ ง มนั ก็เลยไมว่ า่ ง
18
คาวา่ วา่ ง กย็ งั ไม่ใช่ คาวา่ วา่ งทาใหม้ นั ไม่วา่ ง ถา้ เราบอก
เราวา่ ง เราวา่ งจริง ๆ หรือ ยงั มีคนวา่ ง มีคนรู้สึกวา่ งอยู่ มนั เป็น
สภาวะธรรมอยา่ งนึงเทา่ น้นั เอง แต่มนั ใหเ้ ราเสพความวา่ งน้นั
ถา้ วา่ งเราจะไปหาเร่ืองใหม้ นั วนุ่ วาย เราก็สุขแลว้ เป็นแค่
ธรรมารมณ์นึง ทาใหเ้ ราไปสมั ผสั ถา้ จิตเราวาง แลว้ มนั ก็วา่ ง
ยงั มีคนรู้สึกวา่ งอยู่ มนั ยงั ไมว่ า่ งจริง ๆ ยงั มีผวู้ า่ งอยู่
เวลานง่ั หมนุ ฟังเสียงจากหูไปท่ีใจ ฟังไป ฟังไป เสียงท่ีฟังเป็น
บทสวด จิตกจ็ ะสวดตาม ซึ่งความจริงสวดไม่เป็น ต้องทา
อย่างไร เพราะมนั ไม่ไปไหน สวดมนต์ตามตลอด
เป็นอนุสัยเดิมเรา จิตเดิมเราเคยสวด บางคนไมร่ ู้เรื่อง
พระไตรปิ ฎกเลย สวดปาฏิโมกขไ์ ด้ ก็ปลอ่ ยเคา้ ทาไปช่วงนึง
เคา้ ฟ้ื นฟอู ารมณ์ท่ีเคา้ เคยฝึกมาแลว้ มาถ่ายเทใหจ้ ิตปัจจุบนั
เราก็สวดมนตท์ กุ เชา้ ทกุ เยน็ บางลทั ธิการปฏิบตั ิเคา้ คือ การ
สวดมนตท์ ้งั วนั ท้งั คืน สวดมนต์ เป็นการทาสมาธิเบ้ืองตน้
จิตใจจดจ่อกบั การสวด เป็นการฝึกจิต ระดบั สมถะกรรมฐาน
ระดบั หน่ึง ไมต่ อ้ งกงั วล ทาไปซกั พกั นึง เมื่อเราชานาญแลว้
เคา้ จะเปลี่ยนโปรแกรมใหมไ่ ปเอง ก็ดาเนินไปเรื่อย ๆ
19
คนท่ีกลบั ไปปฏิบตั ิที่บ้าน มโี อกาสเข้าถึงจิตหรือไม่
คาตอบคือ มี ไม่เก่ียวกบั สถานท่ีหรือ เวลา เป็นอกาลิโก
ไม่จากดั กาลเวลา บางคนบอกวา่ ยคุ น้ีจะมีผบู้ รรลธุ รรมหรือ
ไม่เกี่ยวกบั ยคุ ไหน พระพทุ ธเจา้ ตรัสไวว้ า่ ตราบใดท่ีมีผคู้ นอยู่
ในมรรคในทาง ไม่ละเวน้ พระอรหนั ต์
การเหวี่ยงถ้าไม่เร็ว แต่สมา่ เสมอ จะเข้าถึงจิตได้หรือไม่
ได้ ทาไปเรื่อย ๆ เราวง่ิ ชา้ เราก็ไปชา้ จะถงึ เร็ว หรือชา้
อยทู่ ่ีการดาเนินของเรา
เวลาเหว่ียง ทาไมไม่สามารถเหว่ียงให้ เร็ว และแรงขึ้นได้
ผิดพลาดตรงไหน
แรก ๆ เราตอ้ งใส่เจตนา ลองช่วยช่วยมนั ก่อน บางที
อนุสัยเรา เป็นคนที่วา่ ไปเร่ือย ๆ เหมือนรถขายโอ่ง เรากท็ า
ตามจริตเรา ถา้ เราลอง ฝึกลองเร่ง ๆ ถา้ เร่งแลว้ มนั ไมไ่ ป กท็ า
ไปแคท่ ่ีเราทาได้
20
ช่วงเหวี่ยง พ่อครูสอนว่าให้เหวี่ยงเป็นวงกลม หรือวงรี แล้ว
ตามมันไป แล้วได้ยินท่หี ูไปรู้ท่ีใจ
ส่วนมากเราคุน้ เคย กบั การเรียนรู้วชิ าการ ตามท่ีเคา้
บอกเรา หรือตามตวั หนงั สือ พูดวา่ อยา่ งน้ี อยา่ งน้ี แลว้ ก็ไปทา
ตาม จริง ๆ แลว้ ไมต่ อ้ งไปซีเรียส ไม่ตอ้ งไปอยใู่ นรายละเอียด
มากนกั ทาๆไปเดี๋ยวกไ็ ด้ เราติดทุกคาพดู นี่คือความเคยชินเรา
การเรียนรู้ ทุกวนั น้ีเรียนรู้ตามตวั หนงั สือ
จะทราบได้อย่างไรว่า ปฏิบตั ิแล้วก้าวหน้า หรือถอยหลงั
รู้ไดเ้ ฉพาะตน เป็นปัจจตั ตงั คาวา่ กา้ วหนา้ ถอยหลงั
มนั จะไปขดั แยง้ กบั ความเคยชิน ถา้ ทางโลกเรากา้ วหนา้ คือเรา
เรียนรู้วิชาการ เรารู้มากข้ึน แตท่ างจิตกา้ วหนา้ จะเหมือนกบั
คนไม่รู้อะไรเลย มนั นอ้ ยลง ทีน้ีอยดู่ ูวา่ อารมณ์เราเป็นยงั ไง
ความกา้ วหนา้ หรือถอยหลงั ประเมินจากอารมณ์ ตวั เวทนาเรา
เป็นอยา่ งไร ตวั ธรรมารมณ์เราเป็นอยา่ งไร เราสงบนิ่งลงม้ยั
สติเราเร็วข้ึนหรือเปลา่ ก็อยา่ ไปสนใจมนั ขอใหเ้ ดินทางไป
21
เร่ือย ๆ เราหลงป่ า เรากห็ าทางเดินออกจากป่ า มีหนา้ ที่เดินไป
เรื่อย ๆ มนั จะถึงเมอ่ื ไหร่ ก็ช่างมนั
ทาไมจิตชอบคิดอกุศล
เพราะจิตเป็นอกศุ ล ก็คิดตามโปรแกรมอกศุ ล เรามี
หนา้ ที่รู้เทา่ ทนั มนั แลว้ กก็ ลบั ใหม่อยา่ ไปคิดตามมนั เทา่ น้นั เอง
ไม่ตอ้ งไปโทษตวั เอง ส่ิงดี ๆ เราก็มี สิ่งทเ่ี ราพลาดพล้งั ทา
อกุศลเรากเ็ ยอะ รู้วา่ เราคิดอกุศล ก็เป็นวปิ ัสสนาแลว้ เรากร็ ู้ รู้
รู้มนั ไปเร่ือย ๆ ตอ่ ไปมนั คิด เราก็รู้วา่ คิดอกุศล เราอยา่ ไปคิด
ตามมนั ทาไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเราก็ชนะเอง
ใครเป็ นครูของพ่อครู
พระพุทธเจา้ พ่อครูมคี รูหลายคน ต้งั แตเ่ รียนอนุบาล
ประถม มธั ยม แลว้ ครูทางสงั คม ก็มีมากมาย คนจีนเคา้ บอกวา่
ซาน เหยนิ ถง สิง ปิ๊ เอี่ยว อู๋ สื่อ คือ สามคนเดินไปดว้ ยกนั
ต่างคนตา่ งเป็นครูซ่ึงกนั และกนั ได้ คนเรามีความชานาญ มี
22
ความรอบรู้ท่ีต่างกนั ถา้ เรามีอตั ตาแลว้ ช้นั ตอ้ งเรียนสูง ๆ ช้นั ก็
ตอ้ งเป็นอาจารยท์ กุ คน มีแตส่ อนเคา้ ไม่เคยฟังคนอื่นเลย
ทีน้ีเคา้ บอกวา่ การฝึกจิตวิญญาณ ถา้ ไม่มีครูบาอาจารย์
แลว้ มนั จะเป็นโน่น เป็นน่ี พระพทุ ธเจา้ เอง พระองคก์ ็ผา่ น
ครูบาอาจารย์ หลายคน หลายทา่ น แมก้ ระทงั่ นางสุชาดาก็เป็น
ครูอาจารยค์ นหน่ึงของพระองค์ เป็นครูอาจารยโ์ ดยไมไ่ ดต้ ้งั ใจ
เปลง่ วาจาบอกวา่ นี่ทา่ นแสวงหาโมกขธรรม แสวงหาการไถ่
บาป โดยสุขภาพโทรมแบบน้ีหรือ คาน้ีพระพทุ ธเจา้ ต่ืนข้ึนมา
เขา้ ใจเรื่องทางสายกลาง
ทุกคนเป็นครูบาอาจารยซ์ ่ึงกนั และกนั ได้ พระพทุ ธเจา้
บอกเอง อยา่ ไปยดึ มน่ั อยา่ เพิ่งเช่ือคนที่พูด เป็นครูบาอาจารย์
เรา เรา มีหนา้ ที่ฟัง ฟังหูไวห้ ู แลว้ กป็ ฏิบตั ิ ทดลอง ทดสอบ
ดว้ ยตวั เรา ครูบาอาจารยเ์ คา้ ก็เอาประสบการณ์ของเคา้ ช้ีทาง
ใหเ้ รา ทุกคนเดิน เดินเองเดินแทนกนั ไมไ่ ด้ ไม่มีครูบาอาจารย์
คนไหนแมแ้ ตห่ น่ึงคน รวมพระพทุ ธเจา้ ดว้ ย สามารถทาใหเ้ รา
พน้ ทุกขไ์ ดห้ มด แตพ่ ระองคช์ ้ีทางใหเ้ ราได้ ทกุ คนเป็นไปตาม
กรรม บารมีสร้างมาไมเ่ ทา่ กนั กรรมที่แบกมา ก็ไม่เทา่ กนั
พระพทุ ธเจา้ เอง ยงั ไมส่ ามารถปลดปล่อยเทวทตั กบั อชาติศตั รู
อนั น้ีกใ็ หเ้ ขา้ ใจ
23
บทสวดมนต์ ขันธปริ ตร สามารถป้องกันภัย จากเหล่า
สัตว์เลือ้ ยคลาน ได้จริงหรือไม่
ถา้ อยากรู้วา่ สวดแลว้ ป้องกนั ไดจ้ ริงหรือเปลา่ ไปนงั่
สวดในป่ าดู หรือเอางูมานง่ั ต่อหนา้ แลว้ ก็สวดดู บทสวดต่างๆ
แมก้ ระทง่ั ตอนพระพทุ ธเจา้ ทรงประชวร ก็ใหส้ าวก สวด
โพชฌงค๗์ ไมใ่ ช่ฟังแลว้ หาย เราฟังตอ้ งรู้นยั ยะ รู้เน้ือหา แลว้
ใหเ้ รา ปลอ่ ยวางอปุ าทานตรงน้นั ถา้ เราฟัง โรคหลายโรคเกิด
จากอุปาทานเรา เม่ือเราฟัง แลว้ เขา้ ใจเราจะขา้ มพน้ อปุ าทาน
น้นั ภูมิคุม้ กนั ก็เกิด ส่วนสวดนน่ั สวดน่ี สวดแลว้ จะป้องกนั ได้
มนั เป็นอุบายวธิ ี ที่ใหเ้ ราจดจ่อ สวดแลว้ เราจะลืมความกลวั
พระพุทธเจา้ พดู คาหน่ึง ศาสนาของพระองค์ สิ่งหน่ึงที่
เราตอ้ งทา คือ ดบั ความกลวั ท่ีเราทุกขท์ ุกวนั น้ี เพราะเรากลวั
ความกลวั ตน้ เหตมุ าจากความอยาก ตณั หา คอื ท่ีมาของทกุ ข์
อยากปลอดภยั กลวั ไมป่ ลอดภยั อยากปลอดภยั ไม่อยากใหง้ ู
กดั กลวั มนั กดั ก็กลวั ถา้ เราเขา้ ใจ เร่ืองกฎแห่งกรรมแลว้ อะไร
จะเกิดก็เกิด ถึงจะกลวั แคไ่ หน มนั ก็ป้องกนั ไมไ่ ด้ มนั กเ็ กิด
24
ขณะที่ปฏิบตั ิธรรม กต็ งั้ จิตอธิษฐานทุกคร้ัง ให้รักพ่อแม่ และ
คิดดกี บั พ่อแม่ แต่พอมาอย่กู บั แม่ซ่ึงขบี้ ่นและด่าว่า รู้สึกไม่
ชอบทกุ คร้ัง เกิดความรู้สึกไม่ดี ไม่อยากมีแม่แบบนี้ ปฏิบตั ิไป
เร่ือย ๆ จะสามารถรักพ่อแม่มากขึน้ ไหม เพราะคิดไม่ดกี บั พ่อ
แม่ ทาให้ปฏิบตั ิได้ไม่ก้าวหน้า และชีวิตไม่เจริญด้วยหรือเปล่า
ใครมีอารมณ์อยา่ งน้ีบา้ ง ที่เราเกิดมา เป็นพอ่ แมล่ ูกกนั
เป็นสามีภรรยา เป็นเพอ่ื นเป็นฝงู ไมไ่ ดเ้ กิดข้ึนลอย ๆ มนั มีเหตุ
ของมนั อยู่ บางคนเกิดมาใชห้ น้ี บางคนเกิดมาทวงหน้ี ทีน้ี
บงั เอิญความเป็นพอ่ แมล่ กู กนั เราอยดู่ ว้ ยกนั ทกุ วนั เราแคร์กนั
ยงิ่ รักกนั บางทียง่ิ แคร์ กม็ ีอารมณ์ท้งั ฝ่ ายบวกฝ่ ายลบ เอาเป็น
วา่ ถา้ เรามีความรู้สึกอยา่ งน้ี กบั พอ่ แม่ ดีไหม ไม่ดีแน่ พ่อแม่
เปรียบเสมือนพระอรหนั ตข์ องลกู เหมอื นพรหมของลกู ทา่ น
จะนิสยั ยงั ไงกช็ ่าง ถา้ เป็นพอ่ แมจ่ ริง ๆ ไม่ใช่พ่อแมต่ ิดยาเสพ
ติดพอ่ แมต่ ิดยาบา้ อนั น้นั พอ่ แม่ขาดสติ ไมใ่ ช่พ่อแม่เราแลว้
เป็ นยาบา้
แต่ถา้ เป็นพ่อแมจ่ ริง ๆ โดยสญั ชาติญาณ บางทีรักลกู
กลา้ โกหกกลา้ ผดิ ศีลเพอ่ื ปกป้องลูก มนั แฝงไวด้ ว้ ยความเห็น
แก่ตวั เพราะวา่ อยากใหล้ ูกไดด้ ี นี่คือพ้นื ฐานความเป็นพอ่ แม่
เป็นสญั ชาติญาณ ในนามเป็นลูกแลว้ พ่อแมจ่ ะถกู จะผิดยงั ไง
25
ก็ช่าง เราไมม่ ีสิทธ์ิที่จะไปทาร้ายทา่ น เรารู้สึกวา่ เป็นบาปทาง
ใจ เราก็ไม่อยากใหม้ นั เป็นอยา่ งน้นั
บงั เอิญวา่ กระแสกรรมในอดีต เป็นวบิ ากกรรมในอดีต
เกิดมาตรงน้ี ใหเ้ ราต่ืนข้ึน ยอมรับมนั จ่ายหน้ีกรรมใหม้ นั หมด
อยา่ ไปเพมิ่ หน้ีใหม่ กป็ ฏิบตั ิมากกวา่ เก่า เป็นการลา้ งอุปาทาน
ตวั น้นั ออก บางทีเป็นจิตพยาบาท เคยเป็นคูอ่ ริกนั มาในอดีต
กเ็ กิดมาทวงหน้ีกนั กม็ ี ฝืนตวั เองหน่อยหน่ึง เห็นอารมณ์ไม่ดี
ตวั น้นั สมมติวา่ ทา่ นทาผิด ทา่ นข้ีบ่นตลอดเวลา ทาใหเ้ รา
โมโห เราไม่พอใจ ถา้ เราใหอ้ ภยั พอ่ แมไ่ มไ่ ด้ เราจะใหอ้ ภยั คน
อื่นไดอ้ ยา่ งไร จริง ๆ แลว้ คาวา่ พอ่ แม่ ลูกไม่มีสิทธ์ิใหอ้ ภยั เลย
ถา้ ถึงข้นั ใหอ้ ภยั แสดงวา่ เราหนกั หนาสาหสั ไมต่ อ้ งใหอ้ ภยั
แต่วา่ อยา่ ใหม้ ีความรู้สึกไม่ดีกบั พอ่ แม่ ขนั ติ อดทน เปล่งอะไร
ออกมา มนั จะเป็นกรรมหนกั
พ่อครูเคยยกตวั อยา่ ง เราเจอนาย ก ถูกชะตามาก เจอ
นาย ข หมนั่ ไส้ บางทีไม่มีเหตุผล เป็ นเพราะวิบากกรรมเก่า
ที่ติดในจิตใต้สานึกเรา เรามีหน้าท่ีมาล้างมันออก ท้ัง
โปรแกรมยินดียินร้าย มันก็เป็ นพยาบาทอย่างหน่ึ ง
พระพุทธเจา้ เคยเน้นเรื่องน้ีว่า ให้อภยั ทานกนั เปล่ียนกรรม
ให้เป็ นอโหสิกรรม ไม่อย่างน้ัน มนั ขา้ มภพขา้ มชาติ ความ
26
โกรธแคน้ กลายเป็ นพยาบาท ตวั พยาบาทเผาไม่หมด เอา
ร่างกายเราไปเผา กลายเป็ นอากาศธาตุ ท่ีเหลือเป็ นธาตุดิน
แต่โปรแกรมพยาบาท ในจิตใตส้ านึกมนั ตามไป ขา้ มภพ
ขา้ มชาติ แลว้ เรากจ็ ะไปทวงหน้ีกนั ต่อ เมื่อเราข้ึนชื่อวา่ เป็น
ผูเ้ ดินทาง ผูป้ ฏิบตั ิธรรมแลว้ เราตอ้ งมีขนั ติ มีความอดทน
ตอ้ งฝืนความรู้สึกตวั เองหน่อยนึง ฝืนไปเร่ือย ๆ แลว้ กท็ าความ
ดีไปเร่ือย ๆ มีเมตตาบ่อย ๆ ถา้ เรายงั ทากับพ่อแม่ไม่ได้เลย
เราจะทากบั คนอ่ืน ไมไ่ ดเ้ ดด็ ขาด
ไมม่ ีลูกคนไหน อยากเป็นอยา่ งน้ี บางทีเป็นโดยเรากไ็ ม่
รู้เหตผุ ลเหมือนกนั เอาเป็นวา่ ไม่ตอ้ งไปรู้ ไมม่ แี มแ้ ต่หน่ึงอยา่ ง
ไม่เกี่ยวกบั วบิ ากกรรม เรามีหนา้ ท่ีปัจจุบนั กาจดั อารมณ์น้ี ทีน้ี
วธิ ีกาจดั เรากร็ ู้อยแู่ ลว้ คือ ทาน ศีล ภาวนา ทาเร่ืองน้ีบอ่ ยๆ
อารมณ์ขดั แยง้ อารมณพ์ ยาบาทต่าง ๆ มนั ก็จะออ่ นลง
คาว่าทาน วตั ถุทาน เราทาบุญใส่บาตร แล้วก็มี
ธรรมทาน การให้ธรรมเป็นทาน ยง่ิ กว่าการให้ท้งั ปวง อนั น้ี
พ่อครูได้ให้ธรรมทาน และทานที่ย่ิงใหญ่ที่สุด แล้วก็ง่าย
ท่ีสุด แลว้ ก็ทายากที่สุด คือ อภัยทาน กิเลส ทิฐิมานะเรา
ไม่ยอม ถา้ ใครทาได้ เหมือนเราเอาภูเขาออกจากอก มนั ก็เบา
ไม่ต้องแบกข้ามภพข้ามชาติ อันน้ีได้อานิสงส์มากที่สุด
27
พวกเราต้องใช้บ่อย ๆ โดยเฉพาะกับเพื่อนกับฝูง กับเพ่ือน
ร่วมงาน ถา้ เราไม่ยอมให้ เราก็แบกอยู่ตรงน้ัน กลบั ไปถึง
บา้ น คิดถึงหน้ามัน ยงั หนักอกหนักใจ เด็กมนั เล่นกันอยู่
พอมนั ผลกั กนั ลม้ ลงไป มนั กร็ ้องไห้ พอลุกข้ึนมาก็เล่นกนั ต่อ
แตผ่ ใู้ หญเ่ ราน่ี แคน้ น่ีตอ้ งชาระ สิบปี ยงั ไม่สาย
เวลาเข้าจิตแล้ว รู้สึกถึงพลงั งานบางอย่าง ไม่รู้ว่าใช่พลังงาน
จากความว่าง หรือ พลงั งานไฟฟ้าในอากาศ เรามองไม่เห็น จะ
รู้ได้อย่างไรว่า มันปล่อยออกไปแล้ว จะไม่ทาให้เกิดความ
เสียหายต่อบุคคลอื่น หรือว่าท้ังหมดมนั เป็นแค่โปรแกรมของ
จิตในอดตี หรือคิดปรุงแต่งไปเอง
สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น อย่าไปหาคาตอบ ว่ามันคือ
อะไร มันก็เป็ นเร่ืองของธรรมารมณ์ ท่ีเราเรียกว่า เป็ น
นามธรรม แต่ว่ามีไหม มนั มี เราฝึ กจิต ก็คือ พลงั จิต ส่วน
พลงั จิตจะออกมาในรูป เป็ นความร้อน ความเย็น เป็ นแสง
เป็ นอะไรก็แล้วแต่ มันก็เกี่ยวกับเรื่องจิต เราก็สักแต่ว่ารู้
สักแต่วา่ เห็น ไมต่ อ้ งกงั วล การปล่อยออกมา เหมือนเราคลาย
ธรรมารมณ์ออกมาก หนังกาลังภายในของจีน อดีตเป็ น
28
เรื่องจริง ที่เคา้ ฝึกกาลงั ภายใน แลว้ เคา้ รวมพลงั โยนใส่คนรับ
ก็มีผล อันน้ันอยู่ท่ีเจตนา ที่จะสร้างพลังให้มันเป็ นอะไร
มนั เป็นพลงั งานอยา่ งหน่ึง อยทู่ ่ีเจตนาของเรา เหมือนเราร้อง
เพลง เราเปล่งเสียงออกมา ถา้ เราร้องเพลงเพราะ แลว้ เพลง
น้นั น่าฟัง คนฟังเคา้ ก็ชอบใจ แต่ถา้ เราเปล่งเสียงออกมา ไป
ด่าเคา้ เคา้ ก็เกลียดเรา อนั น้ีไม่ตอ้ งกงั วลอะไร สักแต่วา่ รู้ สัก
แต่ว่าเห็น เราไม่ไดเ้ จตนาทาร้ายใคร มนั ก็เป็ นพลงั ของจิต
อยา่ งหน่ึง
เกิดความสงสัย ในคาสอนท่ีขดั แย้งกนั อยู่ การเที่ยวหาที่ปฏิบตั ิ
ธรรมหลาย ๆ ที่เท่ากบั เป็นการเริ่มต้นใหม่ แต่กม็ ขี ้อที่ว่าการ
ปฏิบตั ิในแต่ละแบบ อาจจะไม่ได้เหมาะสมกบั จริตทุกคน ไม่
ทราบว่าจากธรรมท้ังสองนี้ มนั ขดั แย้งกนั ไหม
มนั ไม่ขดั แยง้ แต่ถา้ เราคิดแบบตรรกะ สานกั น้ีวชิ าน้ี
สานกั น้ีวชิ าน้ี วชิ าน้ีอาจจะถกู จริตกบั เรา บางทีไมถ่ ูก เราก็ว่ิง
ไปหาวิชาอื่น วชิ าน้นั เป็นอยา่ งน้นั จริง ๆ แต่ที่ศนู ยน์ ้ีปฏิบตั ิ
ไม่ใช่วชิ าสอน เราเจริญมรรค มาใหมใ่ ช่ไหม ไปเดินทาง
ดว้ ยกนั ที่น่ีไมไ่ ดส้ อนอะไรเลย เป็นวชิ า ขออยา่ ใหท้ กุ คนคิด
29
แบบวิชาก็แลว้ กนั ใหจ้ ิตดาเนินเอง ทุกคนทาไดห้ มด ทาตามท่ี
จิตขา้ งในมนั สง่ั ไมใ่ ช่สมองส่ัง
คิดแบบตรรกะ วธิ ีน้ีฉนั มาลองแลว้ มนั ไม่ถกู จริตฉนั
เราก็วิ่งหาวธิ ีอ่ืน การวง่ิ หาวิธี เหมือนน้าคร่ึงถงั อนั น้ีก็คร่ึงถงั
คร่ึงถงั เหมือนเริ่มตน้ ใหมต่ ลอดเวลา ที่บอกวา่ ไปหลายสานกั
พระอาจารยห์ ลวงป่ ูดุล ท่านเป็นคนพดู ไม่ใช่พ่อครูพูด แต่
ทา่ นก็ไม่ไดพ้ ดู อะไรผดิ พอ่ ครูก็เห็นดว้ ยกบั คาพูดทา่ น แต่ตอ้ ง
เขา้ ใจคาพดู น้ี ไม่ไดห้ มายความวา่ ทกุ คนตอ้ งยดึ มน่ั ถือมน่ั
กบั แนวทาง ตอ้ งเชื่อครูบาอาจารยค์ นน้ีเทา่ น้นั อยา่ ไปเช่ือคน
อ่ืน ๆ อนั น้นั เป็นแค่อดุ มการณ์ เป็นลทั ธินิกาย
แตท่ ี่ศนู ยน์ ี่ พอ่ ครูดาเนินมายส่ี ิบหกปี ไม่เคยสงั่ การวา่
ทกุ คน ตอ้ งทาเหมือนพอ่ ครู ตอ้ งกินขา้ วม้ือเดียวเหมือนพ่อครู
ตอ้ งแตง่ ชุดเหมือนพอ่ ครู ตอ้ งทาอะไรเหมือนพ่อครู มนั ไม่ใช่
ตอ้ งปฏิบตั ิแบบพ่อครู มนั ไม่เหมือนกนั ที่น่ี คือ นานาจิตตงั
แต่ถา้ เราไปคิด ติดบ่วงเรื่องความรู้ แบบตรรกะแลว้ เราจะไป
คิดแบบคาถาม วา่ มนั ขดั แยง้ กนั เองหรือเปล่า การที่ไปหลายๆ
สานกั มนั ไมด่ ี แลว้ ถา้ เกิดสานกั น้ีแลว้ มนั ไม่ถูกจริตฉนั ฉนั ทา
ยงั ไง เหมือนมีเหตุผล ท่ีนี่ไมใ่ ช่สานกั ไม่ใช่อะไร ไมใ่ ช่ลทั ธิ
นิกาย พอ่ ครูระวงั เร่ืองน้ีมาตลอด ครูบาอาจารยท์ ่ีแทจ้ ริง ตอ้ ง
30
ไม่สง่ั ใหล้ กู ศิษยท์ าเหมอื นตวั เอง แสดงวา่ ครูบาอาจารยน์ ้นั ยงั
เขา้ ไม่ถึงนานาจิตตงั ยงั ไม่เขา้ ถึงอิสรภาพ ยงั ไม่เห็นวา่ จิตแต่
ละดวงไมเ่ หมอื นกนั ถา้ เราเขา้ ถึงตรงน้นั แลว้ เราจะไม่บงั คบั
ใครทาเหมือนเรา นานาจิตตงั
คนที่ปฏิบตั ิธรรม ที่จิตยงั ไม่สามารถเข้าในจิต เพื่อใช้กรรมเก่า
แล้วเสียชีวิตก่อน ผลจะเป็นอย่างไร
ผลจะเป็นก็คือ ตาย ส่วนจะตายอยา่ งไร อยทู่ ่ีบุญบาป
เราสร้างมา ไม่ใช่วา่ ทุกคนตอ้ งไปเขา้ จิต ฟังพ่อครู การเขา้ จิต
ไดม้ นั เหมือนเป็ นทางลดั ที่เราไปสะสางมนั แต่ว่าไม่ใช่ทุก
คนตอ้ งเป็ นแบบน้นั พาหิยะไม่ไดป้ ฏิบตั ิธรรมเลย ไม่รู้เร่ือง
ศาสนา บังเอิญบุญเก่าส่ งมา ให้พบพระพุทธเจ้ากาลัง
บิณฑบาตอยู่ นิมนตใ์ หท้ ่านเทศน์ พระองคก์ ็เทศน์คาเดียววา่
สักแต่วา่ รู้ สักแต่ว่าเห็น ไม่พิจารณา ไม่ตดั สิน แค่น้นั พาหิยะ
ก็สว่างข้ึนมา จริงแลว้ ท่ีผ่านมาเราไม่สักแต่ว่า ไดย้ ินก็เอา
มาคิด เห็นก็เอามาคิด มนั ถึงทุกข์ แค่คาน้ีคาเดียว พาหิยะก็
บรรลธุ รรมแลว้ แตส่ ่ิงน้นั ไมใ่ ช่ทางสายกลาง ไมใ่ ช่ทกุ คนจะ
ทาอยา่ งน้นั ได้
31
พระพทุ ธเจา้ ช้ีทางสายกลาง เคา้ เรียกวา่ การเจริญมรรค
คือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ทาน ศีล ภาวนา อนั น้ีทกุ คนทาได้
ส่วนจะสาเร็จเมื่อไหร่น้นั อยา่ ไปเปรียบเทียบกนั มนั ไม่มีสูตร
สาเร็จ มนั ไมใ่ ช่วชิ าสาเร็จ วา่ เรียนปริญญาตรีส่ีปี จบพร้อมกนั
มนั ไมใ่ ช่อยา่ งน้นั ก็อยา่ ไปกงั วลวา่ เขา้ จิตไมไ่ ดจ้ ะเป็นยงั ไง
จิตเห็นจิตคือมรรค ถา้ เราเขา้ จิตได้ หมายความวา่ เรา
เจริญมหาสติปัฏฐานได้ กาย เวทนา จิต ธรรม ไดส้ มบรู ณ์ มนั
มีกาลงั มากกวา่ แตพ่ าหิยะยงั ไม่ไดเ้ จริญอะไรเลย ก็บรรลุ
ธรรมได้ เราเจริญสมถะกรรมฐานอยา่ งเดียว บางทีก็บรรลุ
ธรรมได้ หรือบางทีมแี คส่ มาธิ สมมติวา่ ในอดีตน่ี เรามีบารมี
มา 99% เหลืออีกแค่1% บงั เอิญเพิม่ สมาธิไปแค่1% มนั ก็
บรรลธุ รรมได้ อยา่ ไปกงั วล เขา้ ไดก้ ็เขา้ เขา้ ไมไ่ ดก้ ็ไมเ่ ป็นไร
ขอใหอ้ ยใู่ น ทาน ศีล ภาวนา ส่วนการภาวนา มีระดบั สมถะ
กบั วปิ ัสสนา ถา้ เราวิปัสสนายงั ไม่ได้ เราก็เจริญสมถะไป
เรื่อย ๆ อยา่ ทอ้ ถอยก็แลว้ กนั
32
ทมี่ า : เร่ืองภพภูมิ 2 สิงหาคม 2558
เร่ืองอุปาทาน 6 กนั ยายน 2558
เร่ืองตอบปัญหาสภาวะธรรม
ศูนย์พลาญข่อย 22 พฤศจิกายน 2558
บรรยายโดย พ่อครูบญั ชา ต้ังวงษ์ไชย