1
วนั น้ี เป็นวนั สำคญั ท่ีสุดทำงพุทธศำสนำ วนั วสิ ำขบูชำ
เป็นวนั ที่พระพุทธองคป์ ระสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพำน คำวำ่
ประสูติภำษำโลกเรำคือเกิด ตรัสรู้คือบรรลธุ รรม และ
ปรินิพพำนคือสิ้นพระชนม์ หรือหมดชีวติ คือตำย วนั เดือน
ตรงกนั ตำ่ งกนั ท่ีปี ประสูติได้ 35 พรรษำ ออกแสวงหำ
โมกขธรรมต้งั แต่อำยุ 29 จน 35 พรรษำ กต็ รสั รู้ธรรม ตำ่ งกนั
35 ปี แลว้ กเ็ ผยแผอ่ ีก 45 พรรษำ จนมีพระชนมำยุ 80 อนั น้ี
ต่ำงกนั อีก 45 พรรษำ เป็นควำมพิเศษ ซ่ึงไมเ่ คยคิดวำ่ มีใคร
เกิด ตำย ตรัสรู้ วนั เดียวกนั เดือนเดียวกนั ข้นึ 15 ค่ำ เดือน 6
แลว้ วนั น้ีกพ็ ระจนั ทร์ไม่ใช่เตม็ ดวงเฉยๆ ทรงกลดดว้ ย เป็นสิ่ง
ท่ีมหศั จรรย์ ซ่ึงไมใ่ ช่เกิดไดท้ ุกๆ คน
สำหรับพ่อครูแลว้ พอ่ ครูมองในเชิงอำรมณ์วิปัสสนำ
คือ เกิด ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพำน ในวนิ ำทีเดียวกนั วนิ ำทีท่ี
ตรัสรู้น้นั พระพทุ ธองคเ์ กิดข้ึนมำในโลกน้ี เจำ้ ชำยสิทธตั ถะ
ตำยในเวลำน้นั ถำ้ ไมฆ่ ำ่ เจำ้ ชำยสิทธตั ถะทิง้ กบ็ รรลุธรรม
ไมไ่ ด้ ถำ้ ในแง่อำรมณ์ของวปิ ัสสนำ วนิ ำทีเดียว 3 อยำ่ งน้ี
เกิดข้ึนพร้อมกนั ควำมเป็นเจำ้ ชำยสิทธตั ถะถกู ฆ่ำทงิ้ คือวำง
อตั ตำท่ีเป็นเจำ้ ชำยสิทธตั ถะ ไม่อยำ่ งน้นั กต็ รัสรู้ธรรมไม่ได้
เน่ืองจำกเป็นวนั สำคญั ทำงศำสนำ แลว้ กเ็ ป็นวชิ ำกำร ต้งั แต่เชำ้
2
ทำบุญใส่บำตร กลำงคนื ก็เวียนเทียน หลงั จำกเวยี นเทียนแลว้
กฟ็ ังธรรม หลงั จำกฟังธรรมแลว้ ร่วมกนั ปฏิบตั ิถึงเท่ียงคืน
หน่ึงนำที เรียกวำ่ ปฏิบตั ิบูชำ พุทธบชู ำ วนั น้ี เรียกวำ่ เป็นวนั
พระพทุ ธ ก็ได้ พระพทุ ธเจำ้ เกิดข้ึนในโลกใบน้ี ในวนั น้ี
วนั วิสำขบชู ำ ปัจจุบนั น้ีทำงองคก์ ำรสหประชำชำติ ได้
กำหนดเป็นวนั สำกลของสหประชำชำติ เพรำะเป็นวนั ท่ีให้
กำเนิดเมตตำธรรม และสนั ติธรรมแก่โลก สหประชำชำติ
ถือเอำวนั วิสำขบชู ำเป็นวนั สันติภำพโลก เพรำะพระพทุ ธเจำ้
แสดงตวั เกิดข้ึนในวนั น้ี พวกเรำก็ปฏิบตั ิถวำยเป็นพุทธบชู ำ
กำรปฏิบตั ิธรรมในศำสนำพทุ ธ ไมใ่ ช่ไปฝึกสติ ไมใ่ ช่ไปฝึก
สมำธิ ไม่ใช่เจริญสติ เจริญสมำธิ ตอ้ งเจริญมรรค ผล นิพพำน
แตก่ ำรเจริญมรรค ตอ้ งใชส้ ติ ตอ้ งใชส้ มำธิ ใชป้ ัญญำ ใช้
อินทรีย๕์ พละ๕ สมั มปั ปธำน๔ อิทธิบำท๔ โพชฌงค๗์
มรรคมีองค๘์ ใชเ้ ครื่องมือสำมสิบเจด็ ประกำร ที่เรำมอี ยู่
แลว้ เตม็ เป่ี ยม ไมใ่ ช่ไปฝึก
ตอนน้ี เรำไปปฏิบตั ิธรรมเขำ้ วดั ก็ไปนง่ั แค่สมำธิ เจริญ
สติ กำลงั มนั ไมพ่ อ สติ สมำธิ เป็นเครื่องมือส่วนหน่ึง หน่ึงใน
มรรคมีองค๘์ มรรคมีองค๘์ กต็ อ้ งใชเ้ คร่ืองมือสำมสิบเจด็
ประกำร ร่วมกนั หมดเรียกวำ่ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประกำร
3
เป็นเคร่ืองมือเดินทำง ไม่ใช่อยๆู่ กส็ ติ ก็สมำธิ คำวำ่ เจริญมรรค
ตอ้ งยดึ หลกั ทำงสำยกลำง ทำงสำยกลำงคืออะไร ทำงสำยกลำง
ไม่ปฏิเสธซำ้ ย ไมป่ ฏิเสธขวำ คือยอมรับมนั ท้งั หมด แตไ่ มต่ ิด
ฝ่ ำยใดเลย และทำงสำยกลำงของแตล่ ะคน ควำมพอดีของแต่
ละคน ก็ไมเ่ หมือนกนั ไมม่ ีสูตรสำเร็จวำ่ ตอ้ ง 1 2 3 4 5
เหมือนมีเด็ก 3 คน คนตวั เลก็ กินขำ้ วชำมหน่ึงอ่ิมพอดี ส่วนอีก
คนกินสองชำมอ่ิมพอดี คนสุดทำ้ ยตวั ใหญ่ตอ้ งสำมชำมถงึ จะ
อิ่มพอดี
โลกยคุ ปัจจุบนั น้ีแข่งขนั เสรี กลวั ไดเ้ ปรียบเสียเปรียบ
ทุกคนตอ้ งเทำ่ เทียมกนั สมมุติเรำมีขำ้ วอยหู่ กชำม ตอ้ งหำร
สำม ตอ้ งเทำ่ เทียมกนั พอหำรไดค้ นละสองชำม คนตวั เลก็ มนั
กินไม่หมด บอกวำ่ ไม่ไดน้ ะลูก ขำ้ วทกุ จำน อำหำรทกุ อยำ่ ง
อยำ่ กินทิ้งขวำ้ ง เป็นของมีคำ่ ชำวนำเหนื่อยยำก ลำบำกหนกั
หนำ ตอ้ งอดั เขำ้ ไป มนั ทุกขม์ ำก บำงทีอดั เขำ้ ไปอำเจียน
ออกมำ คนท่ีสอง อิ่มพอดีสองชำม แตค่ นทีส่ ำม ใหส้ องชำม
มนั ไม่อิ่ม มนั อว้ น ทุกข์ ถึงบอกวำ่ ทกุ คนตอ้ งรู้วำ่ ควำมพอดี
ของตวั เองเท่ำไหร่ ชำ้ งข้ีไมต่ อ้ งไปข้ีตำมชำ้ ง
กำรปฏิบตั ิธรรมแนวท่ีเรำทำอยู่ พอ่ ครูเคยพดู มำหลำยปี
แลว้ วำ่ ถำ้ โดยเฉพำะเรำเป็นผคู้ รองเรือน ระวงั มนั เป็นของคู่
4
เมื่อจิตวญิ ญำณมีกำรพฒั นำกำ้ วหนำ้ แลว้ ส่วนมำกมนั จะไป
ทำลำย ทำลำยควำมปกติ โลกิยสุขของกิเลส ถำ้ ครอบครัว
หน่ึงไม่ไปดว้ ยกนั คนหน่ึงพฒั นำจิตกำ้ วหนำ้ เรำจะบรรลวุ ชิ ำ
แรก คือเรำจะเพ้ียน เพ้ยี นในสำยตำคนขำ้ งตวั เรำใช่ไหม ตอน
น้นั ทำงำนเหน่ือยๆ ไปเรำไปเที่ยวกนั กอดคอกนั ไป กินเหลำ้
ก็กิน เมำดว้ ยกนั ใหม้ นั เหน่ือยกวำ่ เก่ำ แต่พอเรำปฏิบตั ิแลว้ ก็
ไมไ่ ป เพื่อนรักเรำจะบอกวำ่ ไอน้ ี่เพ้ยี นแลว้ เรำจะเป็นคนเพ้ยี น
ในสำยตำเคำ้ ถำ้ เรำไม่มีอินทรียพ์ ละแก่กลำ้ ทุกคนจะแพ้
มนั เป็นกรรมที่เรำสร้ำงควำมผกู พนั ควำมเคยชิน แลว้ เคำ้ ไม่ได้
เปลี่ยน เรำเป็นคนเปล่ียน มนั จะคุยกนั เร่ิมไมร่ ู้เร่ือง ถำ้ เรำ
ปฏิบตั ิตอ่ ไป เรำจะเป็นคนสิ้นคิด มีแต่เร่ืองน่ำกลวั ท้งั น้นั
กลำยเป็นเคำ้ ด่ำเรำ ไอน้ ่ีคิดไม่เป็น
ทกุ วนั น้ีเรำคิด คิด คิด คิด เพรำะเรำอยำกได้ เพรำะเรำ
อยำกมีอนำคต เรำกค็ ิดวำงแผน ไมม่ ีวนั หยดุ สร้ำงมโนกรรม
ตลอด ทำงโลกบอกเป็นเร่ืองที่ถกู ตอ้ ง ถำ้ คนไหนคิดไมเ่ ป็น
ถกู ด่ำดว้ ย ไอน้ ี่โง่ คิดไม่เป็น จริงแลว้ คนคิดเป็นคือคนไม่คิด
มิใช่คนคิดเก่ง คนคิดเก่ง ยงิ่ คิดก็ยง่ิ ทกุ ข์ เรียกวำ่ คนคิดไมเ่ ป็น
คนคิดเป็น ถำ้ จำเป็นตอ้ งคิด จำเป็นนะ ก็คิดแต่เรื่องเป็นกศุ ล
เป็นประโยชน์ตอ่ ตวั เองและผอู้ ืน่ ตอนน้ีคิดแต่จะเอำเปรียบเคำ้
5
คิดแตจ่ ะเอำชนะเคำ้ สร้ำงกรรมตลอด สตั วโ์ ลกยอ่ มเป็นไป
ตำมกรรม เด๋ียวโรคภยั ไขเ้ จบ็ ก็มำ เรำปฏิบตั ิแลว้ เรำจะเป็นคน
เพ้ียนในสำยตำคนขำ้ งตวั เรำ และยง่ิ เป็นคนสิ้นคิด เพรำะเรำ
ไมค่ อ่ ยคิด
เรำปฏิบตั ิแลว้ เรำไมห่ ่วงอนำคต เรำอยกู่ บั ปัจจุบนั
ตลอด บำงคนกลวั ไมม่ ีอนำคตฉนั กลวั มำก ฉนั เรียนเกือบตำย
เพือ่ จะสร้ำงอนำคต พอ่ ครูบอกคิดผิด คิดใหมไ่ ด้ เอำชีวิตเรำ
ทุกขเ์ พอ่ื ไปสร้ำงอนำคต อนำคตอยไู่ หน โน่นๆอยขู่ ำ้ งหนำ้
โน่น อนั น้ีตำยก่อน ตำยก่อนสำเร็จ ไมม่ ีใครสำเร็จสักคนหน่ึง
ตำยก่อนสำเร็จ เพรำะมนั ไม่มีวนั สิ้นสุด เรำไม่เคยทำเพ่ือชีวติ
เลย เรำทำเพอ่ื อนำคต กำลงั วำดรูปอยมู่ ีหนำ้ วำดรูป เรำเป็น
คนรับผดิ ชอบอนำคตมำก เรำกว็ ำด 50% แบง่ 50% ไปคิดวำ่
วำดแลว้ ฉนั จะไปทำอะไร วำดแลว้ จะไดร้ ำงวลั หรือเปล่ำ
แทนที่จะต้งั ใจวำด 100% ก็วำดถกู วำดผดิ พรุ่งน้ีคืออนำคต
ของวนั น้ี สีมนั แหง้ 50% แตถ่ ำ้ เรำไมม่ ีอนำคต เรำอยปู่ ัจจุบนั
ต้งั ใจวำด 100% เลย มีสมำธิต้งั มนั่ สติตื่นรู้ มนั วำด
คลอ่ งแคลว่ มำกนะ อำรมณ์อะไรกแ็ ทรกไม่ได้ น้นั คือควำมสุข
อยำ่ งยง่ิ ควำมสุขน้นั เกิดข้ึน จำกเรำไมก่ งั วลอะไรเลย พรุ่งน้ี
เชำ้ สีมนั แหง้ เรำได้ 100%
6
เรำจะเป็นคนไมม่ ีอนำคต เพ้ียน แลว้ ก็สิ้นคิด แลว้ ก็เป็น
คนไม่มีอนำคต แตถ่ ำ้ เรำไมเ่ ลิกปฏิบตั ิ เรำปฏิบตั ิไปเร่ือย ๆ
เรำจะเป็นคนไม่มีวนั ผดุ วนั เกิด พูดมำท้งั ส่ีอยำ่ งน้ี มนั ไป
ขดั แยง้ กบั ธรรมชำติของกิเลสอยแู่ ลว้ พ่อครูถึงเตือนผคู้ รอง
เรือนใหร้ ะวงั ถำ้ จูงแขนกนั ปฏิบตั ิ คูก่ นั ไป เรำจะคุยกนั รู้เร่ือง
คุยกนั จนสุดทำ้ ยไมต่ อ้ งคุย มองตำก็รู้ใจ ทกุ วนั น้ีพดู คำหน่ึง
เถียงมำสำมคำ คุยกนั ไม่รู้เร่ือง เพรำะทุกคนมีอนำคตของ
ตวั เอง ทุกคนมีธงของตวั เอง เลยไม่ไดย้ นิ วำ่ เคำ้ พดู อะไร
ไมไ่ ดเ้ ห็นวำ่ เคำ้ เป็นยงั ไง เอำตวั เองเป็นที่ต้งั ถำ้ ปฏิบตั ิแลว้ เรำ
กลำยเป็นคนเพ้ยี น ไปทำลำยควำมปกติสุข แบบโลกียะของ
กิเลส มนั เป็นสิ่งไมด่ ี ถำ้ มนั ไม่ดี คนท่ีไม่ดีที่สุดในโลกใบน้ี
กค็ ือ เจำ้ ชำยสิทธตั ถะ
มีดอกเตอร์ทำ่ นหน่ึงมำหำพอ่ ครู เคำ้ พดู วำ่ เคำ้ ไม่นิยม
พระพุทธเจำ้ พทุ ธเจำ้ ก็มีกิเลส พอ่ ครูมีกิเลสอะไร อยำกไป
นิพพำนก็ทงิ้ ลูกทิง้ เมีย พระพทุ ธเจำ้ คือ ผรู้ ู้ ผตู้ ื่น ผเู้ บิกบำน
ผหู้ ่ำงไกลจำกกิเลส แต่เจำ้ ชำยสิทธตั ถะยงั มีกิเลสอยู่ แต่เป็น
กิเลสในทำงที่เป็นกศุ ล พระองคไ์ ม่ไดท้ ิ้งลูกเมีย พระองคว์ ำง
ชว่ั ครำว พระองคร์ ู้วำ่ ถำ้ อยอู่ ยำ่ งน้ีตอ่ ไป พระองคก์ ็ไม่พน้ ทุกข์
คนท่ีพระองคร์ ัก ก็ไม่พน้ ทกุ ข์ กอดคอกนั ขำ้ มภพขำ้ มชำติ
7
พระองคจ์ ึงวำงรำหุล วำงพระมเหสี ไม่ใช่วำงครอบครัว วำง
แผน่ ดินท่ีตอ้ งดแู ลคนท้งั แผน่ ดิน พระองคต์ อ้ งข้ึนครองรำชย์
ถำ้ กำรทำแบบน้นั เป็นเรื่องไมด่ ี เจำ้ ชำยสิทธตั ถะไมด่ ีท่ีสุด
แลว้ พวกเรำมำกรำบไหวท้ ่ำนทำไม
ตอนน้ีปฏิบตั ิแลว้ ผคู้ รองเรือน จะเจอปัญหำอยำ่ งน้ี
พ่อครูเตือนบอ่ ยๆ พอ่ ครูไมเ่ คยสอนให้ ทิง้ ลูก ทิ้งเมีย ทงิ้
ครอบครัว เรำไม่มีบำรมีเท่ำกบั เจำ้ ชำยสิทธตั ถะ ธรรมะ คือ
หนำ้ ที่ หนำ้ ท่ีคือ ธรรมมะ กำรทำหนำ้ ที่คือหนทำงมงุ่ สู่ควำม
หลุดพน้ เรำสร้ำงเคำ้ ข้ึนมำ เรำตอ้ งรับผดิ ชอบ แต่บงั เอิญ
เจำ้ ชำยสิทธตั ถะบำรมีพระองคเ์ ยอะมำก อยำ่ ไปเปรียบเทียบ
พระองค์ พระองคไ์ ม่ไดท้ กุ ขอ์ ะไร แตพ่ ระองคเ์ ศร้ำเห็นสตั ว์
โลกทุกขม์ ำกๆ มองไปขำ้ งซำ้ ยกท็ กุ ข์ มองไปขำ้ งขวำก็ทกุ ข์
พระองคเ์ กิดควำมเศร้ำ เน่ืองจำกพระองคม์ ีพระมหำกรุณำ
มำกมำย พระองคก์ เ็ ลยวำงทกุ อยำ่ ง ควำมสนุกสนำน ควำม
สะดวกสบำย ในมหำปรำสำทรำชมณเฑียร ออกไปแสวงหำ
โมกขธรรม และพิสูจนว์ ำ่ พระองคไ์ มไ่ ดท้ ิง้ เมือ่ พระองคบ์ รรลุ
ธรรมแลว้ ก็มำโปรด ผคู้ นที่อยขู่ ำ้ งตวั พระองคบ์ รรลุธรรม
หมด วนั วิสำขจึงเป็นวนั ท่ีสำคญั มำก ระหวำ่ งประสูติ ตรัสรู้
ปรินิพพำน
8
พวกเรำเรำเคยเกิดแลว้ หลำยชำติ อนั น้นั ไมใ่ ช่เรื่องใหม่
พวกเรำเคยตำยไปแลว้ ก็หลำยรอบ แตส่ ิ่งท่ีเรำไมเ่ คยเจอคือ
ตรัสรู้ อนั น้ีน่ำสนใจท่ีสุด เมื่อเรำเสียเวลำ สละควำม
สนุกสนำนทำงโลกแลว้ เพอื่ มำปฏิบตั ิธรรม ปฏิบตั ิเพ่อื อะไร
บรรลุธรรมสถำนเดียว ทีน้ีบรรลุธรรมก็ตอ้ งคอ่ ยๆ ลด ละ เลิก
มนั ตอ้ งวำง แลว้ มนั กว็ ำ่ ง ผลที่เรำปฏิบตั ิเรำกลำยเป็นคนเพ้ียน
เรำกลำยเป็นคนท่ีไม่ตอ้ งพ่งึ ขำ้ งนอกเลย นง่ั เฉยๆ ก็มีควำมสุข
แต่มนั จะเพ้ียนในสำยตำคนขำ้ งๆ ถำ้ เรำไม่พร้อมที่จะวำงขำ้ งๆ
เรำตอ้ งระวงั และก็ตอ้ งหำทำงสำยกลำง ระหวำ่ งเคำ้ กบั เรำ
ระหวำ่ งครอบครัวที่เรำสร้ำงข้ึนมำ นอกเสียจำกบำรมีเรำ มี
มำกเหลือเกิน เรำกว็ ำงไดเ้ หมือนเจำ้ ชำยสิทธตั ถะ ที่นี่มีหลำย
คนวำงครอบครัวมำ ไมไ่ ดท้ ิง้ เพรำะเรำมีปัญญำเดิม เรำรู้วำ่
ขืนอยอู่ ยำ่ งน้ีตอ่ ไปแลว้ คนที่เรำรักกไ็ ม่พน้ ทกุ ข์ เรำเองก็
เสียเวลำมำหลำยชำติ ไมใ่ ช่เรื่องแปลก มนั คือ มรรค ผล
นิพพำน เมื่อเรำปฏิบตั ิ เรำเจริญมรรค มนั กเ็ กิดผล ผลสูงสุดก็
คือนิพพำน แตถ่ ำ้ ยงั ติดโน่นติดนี่อยู่ มนั จะนิพพำนไมไ่ ด้
วนั วิสำขมีประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพำน ส่ิงที่น่ำสนใจ
ที่สุดคือตรัสรู้ อยำ่ ไปคิดเอำเอง คนน้นั พดู ที คนน้ีพดู ที
โดยเฉพำะสังคมไทย พระพุทธเจำ้ บรรลุธรรมดว้ ยอำนำปำน
9
สติ เทำ่ น้นั อยำ่ งอน่ื ไม่ใช่หมด ยดึ มนั่ ถือมน่ั เพรำะตวั เอง
ปฏิบตั ิอำนำปำนสติ ถำ้ อำนำปำนสติเทำ่ น้นั พระพุทธเจำ้ ก็
สอนอยำ่ งเดียวสิ ทำไมถึงสอนแปดหม่ืนส่ีพนั พระธรรมขนั ธ์
สี่สิบกองกรรมฐำน เพรำะมนั นำนำจิตตงั จริตไม่เหมือนกนั
พอ่ ครูจะถือโอกำสเอำวนั วิสำขบูชำ พวกเรำมำเรียนรู้ดว้ ยกนั
กำรที่จะเรียนรู้วำ่ แลว้ เรำจะตรัสรู้ธรรมไดอ้ ยำ่ งไร
หนงั สือเล่มน้ีพ่อครูพ่งึ จะไดม้ ำ 80 พระอรหนั ต์ เรำจะเรียนรู้
พระอรหนั ตห์ น่ึงรูป เรำจะรู้วำ่ แตล่ ะทำ่ นนี่มที ่ีมำที่ไป ไม่
เหมือนกนั กำรบรรลธุ รรมก็ไมเ่ หมือนกนั ไมต่ อ้ งไปเปลี่ยน
ตำรำ เคำ้ เขียนมำกด็ ีแลว้ แดนแห่งวมิ ตุ 5 สถำน
วมิ ตุ ติคือความหลุดพ้น มี 5 อย่าง คือ
1. กำรฟังธรรม
2. กำรแสดงธรรม
3. กำรสำธยำยธรรม
4. กำรตรึกตรองพิจำรณำธรรม
5. กำรทำกรรมฐำน
พอ่ ครูเองมำถึงจุดน้ี เพรำะทำกรรมฐำนสำมชว่ั โมง
เปลี่ยนพอ่ ครู คืนน้ีเรำจะเร่ิมจำกพระอรหนั ตร์ ูปหน่ึง บรรลุ
จำกกำรฟังธรรมแค่คร้ังเดียว คือ พำหิยะ พำหิยะ เป็นลูก
10
พ่อคำ้ ธรรมดำไม่รู้เร่ืองศำสนำเลย ทำไมฟังธรรมทีเดียวบรรลุ
ธรรมได้ วนั น้ีจะเปิ ดโอกำสตอ้ งมีท่ำนใดท่ำนหน่ึง มำเป็นผู้
แสดงธรรม กำรแสดงธรรมก็คือเรำมำอำ่ น ใหเ้ คำ้ เกิดควำมรู้
แต่ถำ้ เรำมีปัญญำ เรำสำมำรถสำธยำยธรรม อธิบำยใหม้ นั
ละเอียดข้ึน เม่ือก้ีเรำบรรยำยธรรมใหเ้ กิดควำมรู้ แต่ถำ้ เรำ
สำธยำยธรรม เรำใหเ้ คำ้ เขำ้ ถึงควำมจริง วนั น้ีกเ็ ลือกมำคนนึง
มำแสดงธรรม เรื่องพำหิยะสูตร และเรำจะค่อยๆเรียนรู้ดว้ ยกนั
เรำมำเรียนรู้เร่ืองตรัสรู้กนั วำ่ มนั มีแบบไหนบำ้ ง และเรำจะรู้
วำ่ มนั ไม่เหมือนกนั
พ่อครูยกตวั อยำ่ ง หลำยปี ที่ผำ่ นมำผรู้ ู้จบดอกเตอร์จบ
เปรียญ 9 มำแลกเปล่ียนพ่อครูเยอะ ทุกคนกอ็ ำ้ งพทุ ธเจำ้ ท้งั น้นั
และก็ไมท่ ำตำมพระพทุ ธเจำ้ มีแตไ่ ปอำ่ นที่เคำ้ วำ่ ไปท่องจำมำ
พอ่ ครูก็ถำมวำ่ มีใครบำ้ ง ที่มีควำมรู้มำกเทำ่ กบั พระอำนนท์
เป็นพระเลขำ รับจำกพระโอษฐโ์ ดยตรงเลย แลว้ ก็สัมผสั วตั ร
ปฏิบตั ิของพระพทุ ธเจำ้ ดว้ ย ใกลช้ ิดที่สุด ทำไมไม่บรรลุธรรม
รู้มำกท่ีสุด บงั เอิญพรุ่งน้ีตอ้ งไปเป็นประธำนอริยะสงฆ์ เพรำะ
ท่ำนเป็นเลขำ ทำ่ นไปเป็นประธำน แต่ประธำนน้นั ตอ้ งเป็น
พระอรหนั ตเ์ ท่ำน้นั คืนน้นั บำเพญ็ เพียรปฏิบตั ิถึงสวำ่ ง ก็ไม่
บรรลุ นอน วำงดีกวำ่ พอกำลงั ลงไปนอน บรรลุกลำงอำกำศ
11
ถำมวำ่ สูตรไหน สูตรพระอำนนท์ พระอำนนทบ์ รรลธุ รรม
เพรำะพระอำนนทร์ ู้มำกใช่ไหม ไม่ใช่ พระอำนนทบ์ รรลุ
ธรรมเพรำะวำง เรำเลียนแบบไดไ้ หม ได้ แตจ่ ะบรรลุหรือ
เปล่ำไม่รู้ ลองนะ ลองยนื ตีลงั กำลงไป อำจจะฟลุ๊คก็ได้ ซ่ึง
พระทิเบตเคำ้ ทำอยู่ ทงิ้ ตวั ลงไปไหว้ ทงิ้ ตวั ลงไปไหว้ อำจจะ
เวลำน้นั มนั วำง แลว้ มนั กว็ ำ่ งกไ็ ดน้ ะ แตไ่ ม่ใช่สูตรสำเร็จวำ่
ใครทำได้ ทุกคนไดท้ ำ แตท่ ำไดห้ รือเปลำ่ มนั เป็น นำนำจิตตงั
พระพาหยิ ทารุจีริยเถระ ภิกษสุ าวกผู้เลิศด้านตรัสรู้เร็ว
อดีตชาตสิ มยั พระพุทธเจ้าปทุมุตตระ
ในสมยั พระพุทธเจ้าปทมุ ตุ ระพระองค์นน้ั พระเถระนี้
เกิดในตระกูลพราหมณ์ ศึกษาศิลปะของพวกพราหมณ์จบ มี
ความรู้ในเวทางคศาสตร์ทั้งหลาย อย่างไม่บกพร่องเลย
วันหน่ึงเค้าไปยงั สานักของพระพทุ ธเจ้า ฟังคาแล้วมีจิต
เล่ือมใส และได้เห็นพระพุทธเจ้าทรงยกย่องภิกษรุ ูปหน่ึงไว้
ในตาแหน่งภิกษผุ ้เู ลิศด้าน ขิปปาภิญญา (ตรัสรู้เร็ว)
เขาปรารถนาตาแหน่งนนั้ จึงกราบทูล นิมนต์
พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ รับมหาทานตลอด ๗ วัน ในวันที่
12
๗ ได้หมอบลงทพี่ ระบาทของพระศาสดา แล้วทูลความ
ปรารถนาตาแหน่งอันเลิศน้นั
พระพทุ ธเจ้าทรงตรวจดูด้วยอนาคตังสญาณแล้ว ทรง
ทราบว่าจะสาเร็จ จึงทรงพยากรณ์...
พระพาหิยะเล่าถึงชาติน้นั หลังบรรลพุ ระอรหัตแล้วว่า...
...เม่ือพระมนุ ตี รัสสรรเสริญคณุ ของภิกษุ ผ้ตู รัสรู้ได้เร็ว
พลันอยู่ เราได้ฟังแล้วกช็ อบใจ จึงได้ทาสักการะแด่พระผ้มู ี
พระภาคเจ้าผ้แู สดงหาคณุ อันย่ิงใหญ่
เราถวายทานแด่พระมหามนุ ี พร้อมด้วยพระสาวก
ตลอด ๗ วัน ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้า แล้วปรารถนา
ฐานนั ดรนนั้ ในกาลนนั้
ลาดบั นนั้ พระสัมพทุ ธเจ้า (พระผ้ตู รัสรู้ชอบ) ได้ทรง
พยากรณ์เราว่า จงดพู ราหมณ์ท่ีหมอบอย่แู ทบเท้าของเราน.ี้ ..
เขาปรารถนา ตาแหน่งภิกษผุ ้ตู รัสรู้ได้โดยเร็วพลัน พระมหา
วรี เจ้าพระนามว่า โคตมะจักเสดจ็ อบุ ัติขึน้ ในอนาคตกาล
เขาจักเป็ นธรรมทายาทของพระมหาวีรเจ้ าพระองค์ นั้น
เป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักได้เป็นสาวกของพระศาสดา มี
ชื่อว่า พาหิยะ...
13
ตายแล้วบงั เกิดในเทวโลก ได้เสวยสมบตั ิในกามาวจร
๖ ช้ัน แล้วกไ็ ด้เสวยจักรพรรดิสมบัติ เป็นต้นในมนุษย์โลกอีก
หลายร้ อยโกฏิกปั
บาเพญ็ สมณธรรมบนภูเขากบั เพอื่ นภกิ ษุ ๖ รูปสมัย
พระพุทธเจ้ากสั สปะ
ในกาลของพระพทุ ธเจ้ากัสสปะพระองค์นัน้ พระเถระ
นเี้ กิดในตระกูลหนึ่ง
เมื่อพระพทุ ธเจ้าปรินิพพานแล้ว เขาได้บวชเป็นภิกษุ
สถานการณ์พระพทุ ธศาสนาขณะนนั้ เส่ือมโทรมมาก ท่าน
และเพื่อนภิกษอุ ีก ๖ รูป มองเห็นความประพฤติของพทุ ธ
บริษทั ๔ แล้วเกิดความสังเวชสลดใจ
พวกท่านชักชวนกนั เข้าไปอย่ใู นป่ า เห็นพ้องกนั ว่า
“พวกเราจะกระทาที่พึ่งแก่ตนเอง ตลอดเวลาที่พระศาสนายงั
ไม่เสื่อมสิน้ ” พากนั ไหว้เจดีย์ทอง (บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ของพระศาสดา) แล้วมองเห็นภูเขาลกู หน่ึงในป่ าน้ัน จึงพดู กนั
ว่า “ผ้ใู ดมคี วามอาลัยชีวิต กจ็ งกลับออกไป ส่วนผ้ไู ม่อาลัยใน
ชีวิต จงพากนั ขึน้ ไปยงั ภเู ขาลูกนีก้ ัน”
14
ท้ัง ๗ รูป พาดไม้เป็นบันไดขึน้ ไปบนภเู ขา ผลกั ไม้
บันไดให้ตกไปเบือ้ งล่าง แล้วเริ่มบาเพญ็ สมณธรรม
ในบรรดาภิกษทุ ั้ง ๗ รูปเหล่านนั้ พระสังฆเถระ (ภิกษุ
ที่มีพรรษามากสุด) ได้บรรลพุ ระอรหัต โดยผ่านไปเพียงราตรี
เดยี วเท่านัน้ วันรุ่งขึน้ ท่านไปเคีย้ วไม้สีฟัน ล้างหน้าที่สระ
อโนดาต แล้วไปนาบิณฑบาตมาจากอุตตรกรุ ุทวปี กล่าวแก่
ภิกษอุ ีก ๖ รูปให้ฉันบิณฑบาต
แต่ภิกษเุ หล่าน้ันพดู ว่า “ข้าแต่ท่านผ้เู จริญ พวกเราได้ทา
กติกากนั ไว้หรือว่า รูปใดบรรลพุ ระอรหัตก่อน รูปท่ีเหลือกจ็ ง
บริโภคบิณฑบาตท่ีรูปน้นั นามา?”
พระสังฆเถระกล่าวว่า “ผ้มู ีอายุ เรามิได้ตกลงกนั อย่าง
น้ัน”
ภิกษุ ๖ รูปกล่าวว่า “ถ้าพวกเราได้คุณวิเศษอย่างที่ท่าน
ได้ พวกเรากจ็ ะนาบิณฑบาตมาบริโภคเอง”
ในวันที่ ๒ พระเถระรูปที่ ๒ (พรรษารองลงมา) ได้เป็น
พระอนาคามี แล้วไปนาเอาบิณฑบาต มาเชื้อเชิญให้ภิกษทุ ี่
เหลือฉัน แต่ถกู ปฏิเสธเช่นกัน
15
ในบรรดาภิกษเุ หล่าน้ัน ภิกษรุ ูปที่เป็นพระอรหันต์ได้
ปรินิพพานแล้ว ส่วนรูปที่เป็นพระอนาคามีมรณภาพ แล้วเกิด
ในพรหมโลก
ภิกษอุ ีก ๕ รูปท่ีเหลือ ไม่สามารถยงั คุณวิเศษให้เกิดขึน้
ได้ จึงเศร้าโศกเสียใจ ได้มรณภาพในวันที่ ๗ แล้วบังเกิดใน
เทวโลก
ชาติสุดท้ายเกดิ ในตระกลู พ่อค้า
ในบรรดาอดตี ภิกษุ ๕ รูปสมัยน้ัน มาถึงสมยั
พระพทุ ธเจ้าโคตมะของพวกเรานี้
คนหนึ่งมาเป็นพระราชาพระนามว่า ปกุ กสุ ะ อย่ใู นกรุง
ตกั กสิลา แคว้นคันธาระ
คนหนึ่งมาเป็น พระกมุ ารกสั สปะ
คนหน่ึงมาเป็น พระพาหยิ ทารุจิริยะ
คนหนึ่งมาเป็น พระทพั พมัลลบตุ ร
คนหน่ึงมาเป็น พระสภยิ ะ (อดตี ปริพาชก)
ท่านพาหิยะเกิดในตระกูลพ่อค้าท่ีท่าเรือสุปปารกะ เป็น
ครอบครัวท่ีถึงความรุ่งเรืองในพาณิชยกรรม มีทรัพย์มาก มี
โภคะมาก อรรถกถาเอกนิบาตว่า ท่านช่ือว่าพาหิยะ เพราะเกิด
16
ในพาหิยรัฐ (หมายถึงแคว้นภายนอกแคว้นภาคกลาง) ต่อมา
ท่านน่งุ ผ้าทาด้วยไม้ จึงช่ือว่า ทารุจีริยะ
เรือแตก นุ่งผ้าเปลือกไม้กลายเป็ นพระอรหนั ต์ปลอม
ครั้งหน่ึง เขาขึน้ เรือเพื่อไปค้าขายต่างแดนยงั สุวรรณภมู ิ
พร้อมกบั พวกพ่อค้าเรือ เดินทางไปได้ไม่นานกอ็ ับปาง คนบน
เรือถกู ปลาร้าย และเต่ากัดกินเป็นอาหาร เหลือแต่เขารอดคน
เดยี ว เขาเกาะไม้กระดานแผ่นหนึ่งแหวกว่ายนา้
วนั ที่ ๗ กถ็ ึงฝ่ังแห่งท่าเรือสุปปารกะ ในสภาพไม่มี
ผ้าน่งุ และผ้าห่ม (เปลือย) เขามองไม่เห็นใครเลย จึงเอาปอผกู
กับเปลือกไม้แห้ง ทาเป็นชุดนุ่งและห่ม หิวแล้วกถ็ ือกระเบือ้ ง
จากเทวสถานละแวกนนั้ เข้าไปยงั ท่าเรือ
พวกมนุษย์เห็นเขาแล้ว ต่างให้ยาคูและอาหาร และ
ยกย่องว่า “ท่านผ้นู คี้ นเดยี วเป็นพระอรหันต์”
มชี าวบ้านนาผ้าน่งุ ผ้าห่มมาให้มากมาย เขาคิดว่า “ถ้า
เรายอมน่งุ หรือห่มผ้า ลาภและสักการะท่ีเราได้กจ็ ะเส่ือมไป”
จึงพดู ปฏิเสธผ้าเหล่านนั้ ใช้สอยเฉพาะผ้าเปลือกไม้อย่างเดยี ว
(จึงได้ช่ือว่า ทารุจิริยะ คือ พาหิยผ้นู ่งุ ห่มผ้าเปลือกไม้)
17
เม่ือเขาได้รับยกย่องจากประชาชนเป็นอันมาก ว่า “เป็น
พระอรหันต์” เขายิ่งเชื่อผิดต่อไปว่า “พวกที่เป็นพระอรหันต์
หรือว่าปฏิบัติดาเนินไป เพื่อบรรลพุ ระอรหัตท่ีมีอย่ใู นโลกนี้
ตวั เรากเ็ ป็นหนึ่งในจานวนน้ัน” จึงยงั คงเลยี้ งชีวิตด้วยการ
หลอกลวงคนอ่ืนต่อไป
อรรถกถาอทุ านว่า น่งุ ผ้าคากรองทาด้วยเปลือกไม้
บาลอี ุทานบรรยายว่า “กุลบตุ รช่ือพาหิยทารุจีริยะ อาศัย
อย่ทู ่ีท่าสุปปารกะ ใกล้ฝ่ังสมทุ ร เป็นผ้ทู ม่ี หาชนสักการะ
เคารพ นับถือ บชู า ยาเกรง ได้จีวร (ผ้า) บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปั จจัยเภสัชบริ ขาร"
อรรถกถาว่า ท่านปรารถนาเพยี งให้คนยกย่อง แต่ไม่
ปรารถนาลาภสักการะและสรรเสริ ญ
อรรถกถาเอกนิบาตว่า พาหิยะใช้สาหร่ายในหนองนา้
แห่งหน่ึงพนั ตัว ถือภาชนะใบหนึ่งเข้าไปขออาหาร ชาวบ้าน
ทั้งหลายเห็นเขาแล้วพดู กันว่า “ถ้าในโลกนยี้ งั มพี ระอรหันต์
อย่จู ริง กค็ งประพฤติอย่างนี้ พระผ้เู ป็นเจ้านไี้ ม่รับผ้า เคร่งครัด
จริงหรือ? หรือถ้ามีใครให้ผ้ากค็ งจะรับ?”
จึงทดลองมอบผ้าให้เขา พาหิยะคิดว่า ถ้าเราไม่ทาแบบ
นี้ คนเหล่านีก้ ค็ งไม่เลื่อมใสเรา จาเราจะพดู อย่างใดอย่างหนึ่ง
18
เพ่ือหลอกลวงคนเหล่านี้ เราจะดารงชีพอย่ไู ด้ เขาจึงไม่ยอมรับ
ผ้าท่ีมีผ้ใู ห้ ย่ิงทาให้ชาวบ้านเล่ือมใสย่ิงขึน้
ยามท่ีเขาจะกินอาหาร กไ็ ปกินที่เทวสถาน มีผ้คู นเดิน
ไปกบั เขา ให้เขาบริโภคด้วย บารุงดูแลเทวสถานด้วย
เขาคิดว่า “คนเหล่านเี้ ล่ือมใส การนุ่งสาหร่ายของเรา
แล้วทาสักการะเรา เราจะทาเป็นเคร่งครัดขดั เกลาย่ิงขึน้ ” แล้ว
นาแผ่นกระดาษไม้มนี า้ หนักเบา มาถาก คลมุ ด้วยเปลือกไม้
อีกที ทาเป็นผ้าน่งุ ผ้าห่ม คือตอนแรกน่งุ สาหร่าย ต่อมาเปลีย่ น
มานุ่งผ้าเปลือกไม้
พระพาหิยะเล่าไว้ภายหลงั บรรลพุ ระอรหัตแล้วว่า...
เราเกิดเป็นบุรุษช่ือพาหิยะ ในภารุกจั ฉนคร ภายหลัง
แล่นเรือไปได้ ๒-๓ วนั เรือกอ็ ัปปาง พยายามว่ายข้ามทะเล
ใหญ่ไปถึงท่าสุปปารกะ แล้วน่งุ ผ้าคากรองเข้าบ้าน เพื่อ
บิณฑบาต หม่ชู นยินดกี ล่าวว่าพระอรหันต์มาที่น่ี แล้วพากนั
ทาสักการะพระอรหันต์ด้วยข้าว นา้ ผ้า ที่นอน และเภสัช จน
เราเกิดความดาริไม่แยบคายว่า “เราเป็นพระอรหันต์”
มหาพรหมอดตี เพอื่ นภกิ ษเุ ตือนว่าผดิ ทาง และบอกว่า
พทุ ธะเกดิ แล้ว
19
ต่อมา มีเทวดาผ้รู ู้วาระจิตมาตกั เตือน และบอกให้ไป
เข้าเฝ้าพระพทุ ธเจ้า เรารีบไปยงั เมืองสาวัตถี พบพระพทุ ธเจ้า
แล้ว ได้หมอบลงกราบทูลว่า...
“ข้าแต่พระโคดม ขอพระองค์ โปรดเป็นท่ีพ่ึงของ
ข้าพระองค์ผ้เู สียหายไปในทางผิดด้วยเถิด”
พระศาสดาตรัสว่า “เรากาลงั เท่ียวบิณฑบาต ไม่ใช่เวลา
ท่ีจะแสดงธรรม”
เราทูลอ้อนวอนบ่อย ๆ พระองค์จึงได้ตรัสพระธรรม
เทศนาสุญญตบทอันลึกซึ่งแก่เรา
อรรถกถาอปทาน เล่าว่า...
คร้ังนน้ั ท้าวมหาพรหมในพรหมโลกสุทธาวาส ผ้เู คย
เป็น ๑ ในภิกษุ ๗ รูป สมัยพระพทุ ธเจ้ากสั สปะ ท่านพิจารณา
ดูพรหมสมบตั ิของตน นึกย้อนถึงก่อนท่ีจะมาบงั เกิดในพรหม
โลก และราพึงถึงภิกษุ ๕ รูป ที่ยงั ไม่บรรลอุ ริยธรรมว่า เกิดอยู่
ท่ีไหนบ้างหนอ?
มหาพรหมจึงได้เห็นพาหิยทารุจีริยะ เลยี้ งชีวิตอย่ดู ้วย
ความหลอกลวง คิดว่า...
“คนผ้นู เี้ ป็นคนพาล ฉิบหายแล้วหนอ ในกาลก่อนเขา
เคยบาเพญ็ สมณธรรม ไม่ยอมฉันแม้บิณฑบาตที่สมควร เขา
20
ประพฤติอกุ ฤษฏ์ย่ิงนกั แต่บัดนีก้ ลับทาไม่สมควร เพราะเหตุ
แห่งท้อง อ้างว่าเป็นพระอรหันต์ เท่ียวหลอกลวงชาวโลกอยู่
เขาไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงอบุ ัติ (ตรัสรู้) แล้ว เราจะไปทาให้
เกิดความสังเวช จะให้เขารู้ว่าพระพทุ ธเจ้าทรงอบุ ัติแล้ว”
ในเวลาแห่งราตรี ท้าวมหาพรหม ลงจากพรหมโลก
ปรากฏกายอย่ขู ้างหน้าพาหิยะ ณ ท่าเรือสุปปารกะ
พาหิยะเห็นแสงสว่างส่องเข้ามาในที่อย่ขู องตน จึง
ออกมาดขู ้างนอกเห็นแล้วทาอัญชลี
ถามว่า “ท่านเป็นใครกัน?”
ท้าวมหาพรหมตอบว่า “เราเป็นสหายเก่าของท่าน เรา
ได้บรรลอุ นาคามิผล แล้วไปบังเกิดในพรหมโลก หัวหน้าของ
พวกเราเป็นพระอรหันต์ปรินิพพานแล้ว ส่วนพวกท่าน ๕ คน
ไปบังเกิดในเทวโลก (แล้วจากเทวโลกมาสู่มนษุ ย์) บัดนี้ เรา
ได้เห็นท่านเลยี้ งชีวิตด้วยการหลอกลวง ด้วยเหตนุ ี้ เราจึงมา
เพื่อสั่งสอนท่าน
พาหิยะ ตวั ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ท้ังไม่ใช่ผ้ปู ฏิบตั ิตาม
ทางพระอรหันต์เลย ท่านจะเป็นพระอรหันต์ หรือว่าท่านจะ
เป็นผ้ปู ฏิบตั ิตามทางพระอรหันต์ด้วยปฏิปทาใด ปฏิปทานนั้
ไม่ได้มีแก่ท่านเลย”
21
จากนั้น ท้าวมหาพรหมบอกแก่เขาว่า บัดนพี้ ระพทุ ธเจ้า
ทรงอบุ ัติแล้ว ขณะนเี้ สดจ็ ประทับอย่ใู นกรุงสาวัตถี อย่ทู าง
อุตตรชนบท ขอให้ท่านรีบไปเข้าเฝ้า เพราะพระองค์เป็นพระ
อรหันต์ และทรงแสดงธรรม เพื่อให้คนเป็นอรหันต์ด้วย กล่าว
เสร็จแล้วกห็ ายกลบั ไปพรหมโลกตามเดิม
พาหิยะมองดูท้าวมหาพรหมผ้ยู ืนกล่าวอย่ใู นอากาศ
แล้วจากไป คิดว่า...
“โอ้ เราได้ทากรรมหนกั หนอ เรามิได้เป็นพระอรหันต์
แต่คิดว่าเป็ นพระอรหันต์”
เดินทางไกล ๑๒o โยชน์ เข้าเฝ้า
บาลอี ทุ านเล่าว่า เทวดา (อรรถกถาว่า หมายถึงพรหม
ผ้เู คยเป็นสหาย) ผ้เู ป็นสายโลหิตในกาลก่อน ของพาหิยะทารุจี
ริยะ หวงั อนุเคราะห์หวงั ประโยชน์ ได้มาเตือนถึงความไม่เป็น
พระอรหันต์ และไม่มปี ฏิปทาเพ่ือเป็นพระอรหันต์ด้วย
พาหิยะถามว่า “เม่ือเป็นอย่างนี้ บดั นีใ้ ครเล่าเป็นพระ
อรหันต์ หรือเป็นผ้ถู ึงอรหัตตมรรคในโลกกับทั้งเทวโลก?”
22
เทวดาตอบว่า “ดูก่อนพาหิยะ ในชนบททางเหนือ มี
พระนครช่ือสาวัตถี บัดนพี้ ระผ้มู ีพระภาคอรหันต์สัมมาสัม
พุทธเจ้าพระองค์นนั้ ประทับอย่ใู นพระนครนน้ั
ดกู ่อนพาหิยะ พระผ้มู พี ระภาคเจ้าพระองค์นนั้ แล เป็น
พระอรหันต์อย่างแน่นอน ทั้งทรงแสดงธรรม เพ่ือความเป็น
พระอรหันต์ด้วย”
พาหิยะเกิดความสลดใจ หลีกไปจากท่าสุปปารกะ
ในทันที ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ผ้ปู ระทับอย่ใู นพระวิหาร
เชตวัน โดยการพักแรมลิม้ ราตรีหนึ่งในทีทง้ั ปวง
อรรถกถาวอทุ าน เล่าว่า พาหิยะเกิดปิ ติมพี ระพทุ ธเจ้า
เป็นอารมณ์หลงั ได้ยินคาว่า พทุ โธ และถกู ความสังเวชใจ
ตักเตือนอยู่ จึงม่งุ ตรงไปกรุงสาวตั ถี โดยพักแรมราตรีเดียวใน
ที่ทั้งปวง
ท่านว่า จากท่าสุปปารกะ กบั กรุงสาวตั ถนี น้ั ห่างกัน
๑๒o โยชน์ (ประมาณ ๑,๘๒o กม.) พกั แรมเพียงราตรีเดยี ว
ถามว่า ทาได้อย่างไร?
ตอบว่า เพราะอานุภาพของเทวดา แต่อาจารย์บางพวก
ว่าเพราะพุทธานุภาพ
23
จากนนั้ ท่านอธิบายว่า “โดยพักแรมราตรีเดยี วในท่ีทกุ
สถาน เพราะหนทางมรี ะยะ ๑๒o โยชน์ในระหว่างทางท่าน
ไม่ให้อรุณที่ ๒ ตง้ั ขึน้ ในท่ีๆ ตนอย่ตู อนกลางคืน ในคามนิคม
และราชธานี จึงไปถึงกรุงสาวัตถี โดยพกั แรมราตรีเดยี วในท่ี
ทุกแห่ ง
ข้อนี้ ไม่พึงเข้าใจอย่างนวี้ ่า ท่านอย่ใู นหนทางน้ันทั้งสิ้น
เพยี งราตรีเดยี ว เพราะประสงค์เอาความนวี้ ่า โดยพักแรมแห่ง
ละราตรี ในหนทางทั้งหมดมรี ะยะทาง ๑๒o โยชน์ ในวนั
สุดท้ายเวลาเยน็ จึงถึงกรุงสาวัตถ”ี
แต่ อรรถกถาอปทานว่า “...ออกจากท่าสุปปารกะใน
ขณะนัน้ นนั่ เอง แล้วได้ไปยงั กรุงสาวตั ถโี ดยคืนเดียว ขณะ
กาลงั เดินทาง กไ็ ปด้วยอานภุ าพของเทวดา และด้วยอานุภาพ
ของพระพุทธเจ้า จึงทาให้เขาเดินทางไปได้ถึง ๑๒o โยชน์ ถึง
กรุงสาวัตถ”ี
ทลู วงิ วอนขอฟังธรรม ขณะเสด็จบิณฑบาต
พาหิยทารุจีริยะ เข้าไปพบภิกษจุ านวนมากจงกรมอยู่
ในท่ีแจ้ง เขาเข้าไปถามหาพระพทุ ธเจ้า พวกภิกษตุ อบว่า
พระศาสดากาลังเสดจ็ เข้าไปบิณฑบาตในละแวกบ้าน กรุง
24
สาวัตถี (อรรถกถาอทุ านว่าถึงสาวตั ถเี วลาเยน็ ) เขารีบด่วน
ออกจากพระเชตวนั วิหาร เข้าไปในกรุงสาวัตถี กไ็ ด้เห็น
พระพุทธเจ้ากาลงั เสดจ็ เที่ยวบิณฑบาตอยู่ ด้วยพระอาการ
น่าเลื่อมใส มีอินทรีย์สงบ มพี ระทัยสงบ
ตรัสปฏิเสธ ๒ คร้ังเพราะทรงเห็นบารมยี งั ไม่แก่กล้า
พาหิยะเข้าไปหมอบลงแทบพระบาท ด้วยเศียรเกล้า
กราบทูลว่า...
“ข้าแต่พระองค์ผ้เู จริญ ขอพรผ้มู พี ระภาคเจ้าโปรดทรง
แสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรม
ที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกือ้ กูล เพ่ือความสุขแก่ข้า
พระองค์สิ้นกาลนาน”
ตรัสว่า “ดูก่อนพาหิยะ เวลานีย้ งั ไม่สมควร เพราะเรายงั
อย่รู ะหว่างบิณฑบาต”
พาหิยะกราบทูล ขอให้ทรงแสดงธรรมแม้คร้ังที่ ๒
พระพุทธเจ้ากย็ งั ทรงปฏิเสธ
คร้ังท่ี ๓ พาหิยะกราบทูลเหตุผลว่า...
“ข้าแต่พระองค์ผ้เู จริญ กค็ วามเป็นไปแห่งอนั ตรายแก่
ชีวิตของพระผ้มู พี ระภาคเจ้ากด็ ี ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่
25
ชีวิตของข้าพระองค์กด็ ี รู้ได้ยาก ข้าแต่พระองค์ผ้เู จริญ ขอพระ
ผ้มู ีพระภาคเจ้าโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์...”
อรรถกถาอุทานเล่าว่า ทรงทราบว่าพาหิยะมาถึงแล้ว
ทรงพระดาริว่า ตอนแรกอินทรีย์ของพาหิยะยงั ไม่แก่กล้า แต่
รอสักครู่หนึ่งจักถึงความแก่กล้า ทรงรอคอยความแก่กล้าของ
อินทรีย์๕ ( มศี รัทธาและวิริยะเป็นต้น) ของเขาจึงเสดจ็ เข้าไป
ทรงบาตรในกรุงสาวัตถพี ร้ อมภิกษสุ งฆ์หม่ใู หญ่
พาหิยะเข้าไปในพระเชตวนั ถามหาพระพทุ ธเจ้า ภิกษุ
ทั้งหลายกถ็ ามเขาว่ามาจากไหน? ตอบว่ามาจากท่าสุปปารกะ
พวกภิกษขุ อให้เขานง่ั พกั ก่อน รอสักพกั พระศาสดากจ็ ะเสดจ็
กลับเข้ามา
พาหิยะกล่าวว่า “ท่านขอรับ กระผมไม่รู้อันตรายแห่ง
ชีวิตของผมว่าจะอย่กู ีว่ นั กระผมไม่อาจนง่ั หรือยืนนานๆ ในที่
ใดๆ กระผมเดินทางมาไกล ๑๒o โยชน์ เม่ือได้เฝ้าพระศาสดา
แล้วจึงจะพกั ผ่อน”
ท่านพาหิยะติดตามไป กไ็ ด้เห็นพระพทุ ธเจ้า เขาเกิด
ความร่าเริงยินดีว่า “ดจี ริงหนอ เราได้เห็นพระผ้มู พี ระภาคเจ้า
เสียที” สรีระของเขาเกิดปี ติ ๕ ประการ ถกู ต้องตลอดเวลา
ดวงตาน่ิงเพราะปี ติซาบซ่าน น้อมกายลงในท่ีๆ ได้เห็นแล้ว
26
เขาอย่ใู นท่ามกลางรัศมขี องพระวรกาย เข้าไปใกล้ถวายบงั คม
ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นวดเฟ้นพระยคุ ลบาท จุมพิต พลาง
กราบทูลให้ ทรงแสดงธรรม
พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า อินทรีย์ของเขายงั ไม่แก่กล้า
จึงตรัสให้เหตผุ ลว่า ยงั อย่รู ะหว่างบิณฑบาต แต่ท่านพาหิยะ
กราบทูลเหตุผลอนั ตรายต่อชีวิต อาจารย์พวกหนึ่งว่า เพราะ
ท่านรู้อันตรายแห่งชีวิตของตนจากเทวดา อีกอย่างหนึ่ง ท่าน
ถกู อปุ นิสัยตกั เตือนจึงกล่าวอย่างนนั้ เพราะท่านเป็นผ้มู ีภพ
สุดท้าย หากยงั ไม่บรรลพุ ระอรหัต ท่านจะยงั ไม่สิ้นชีวิต
พระพทุ ธเจ้าตรัสห้าม ๒ คร้ัง เพราะพระองค์มพี ระดาริ
ว่า ตงั้ แต่เวลาที่พาหิยะมาเห็นเรา สรีระท้ังหมดของเขาถกู ปี ติ
ท่วมจิตไม่ขาดระยะ กาลงั ปี ติรุนแรงแม้ฟังธรรมได้ กไ็ ม่อาจ
บรรลธุ รรมได้ จึงห้ามไว้ตราบเท่าท่ีการวางใจเป็นกลางยงั ไม่
เกิดขึน้ และเขามคี วามกระวนกระวายทางกาย อันเนื่องมาจาก
การเดินทาง ๑๒o โยชน์ด้วย
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ทรงห้ามเพ่ือให้เขาเกิดความ
เอือ้ เฟื้อในการฟังธรรม
เมื่อถกู ขอร้องเป็นครั้งที่ ๓ ทรงเห็นว่าจิตเขามกี าร
วางใจเป็นกลาง (มชั ฌัตตเุ บกขา) ระงับความกระวนกระวาย
27
ได้ และอนั ตรายแห่งชีวิตของเขาปรากฏ จึงทรงเห็นว่าเป็น
กาลท่ีจะแสดงธรรมแล้ว
อรรถกถาอปทานว่าเขาวิงวอนว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ บุคคลผ้ทู ่องเที่ยวไปในสังสารวฏั ไม่เคยได้อาหารคือคา
ข้าว ไม่มี เร่ืองนขี้ ้าพระองค์รู้ แต่ข้าพระองค์ไม่รู้อันตรายใน
ชีวิตของพระองค์ หรื อว่าของข้าพระองค์ ”
ทรงแสดงธรรมโดยย่อ ท่านพาหยิ ะบรรลุพระอรหตั
ลาดบั นน้ั พระพุทธเจ้าตรัสว่า..
“ดกู ่อนพาหิยะ เพราะเหตนุ ้นั แล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้
ว่า เมื่อเห็นจะเป็นสักว่าเห็น (ทิฏฐะ) เม่ือฟังจะเป็นสักว่าฟัง
(สุตะ) เมื่อทราบจะเป็นสักแต่ว่าทราบ (มตุ ะ) เม่ือรู้แจ้งจะเป็น
สักว่ารู้แจ้ง (วิญญาตะ)
ดูก่อนพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนแี้ ล
ดูก่อนพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจะเป็นสักว่า
เห็น เม่ือฟังจะเป็นสักว่าฟัง เม่ือทราบจะเป็นสักว่าทราบ เม่ือรู้
แจ้ งจะเป็ นสักว่าร้ ูแจ้ ง
28
ในกาลนนั้ ท่านย่อมไม่มี ในการใดท่านไม่มี ในกาลนน้ั
ท่านย่อมไม่มใี นโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีใน
ระหว่างโลกท้ังสอง นแี้ ลเป็นที่สุดแห่งทุกข์”
ท่านพาหิยะ ฟังแล้ว มจี ิตหลดุ พ้นแล้วจากอาสวะ
ท้ังหลาย เพราะไม่ถือมน่ั ในขณะน้ันเอง ด้วยพระธรรมเทศนา
โดยย่อนีข้ องพระผ้มู พี ระภาคเจ้า ตรัสสอนแล้วเสดจ็ หลีกไป
อธิบายพระธรรมเทศนา
อรรถกถาอทุ านอธิบายว่า เธอพึงศึกษาว่า จักขวุ ิญญาณ
เห็นซึ่งรูปในรูปเท่านัน้ หาเห็นสภาวะลักษณะมีอนิจจลักษณะ
เป็นต้นไม้ ฉันใด รูปท่ีเหลือจะเป็นเพียงเห็นด้วยวิญญาณ ที่
เป็นไปทางจักขทุ วารนนั้ เท่านน้ั อีกอย่างหนึ่ง การรู้แจ้งซึ่งรูป
ในรูปด้วยจักขวุ ิญญาณ ชื่อว่าเห็นรูปในรูปที่เห็น
จักขวุ ิญญาณย่อมไม่กาหนัด ขดั เคือง หรือหลงในรูป
ท่ีมาปรากฏ ฉันใด เราจะตงั้ ชวนะจิตไว้โดยประการแห่งจักขุ
วิญญาณอย่างนวี้ ่า ชวนะจิตของเราจะเป็นเพยี งจักขวุ ิญญาณ
เท่านน้ั เพราะเว้นจากราคะเป็นต้น
รูปที่จักขวุ ิญญาณเห็น ชื่อว่าทิฏฐะ
เสียงท่ีโสตวิญญาณได้ยิน ช่ือว่าสุตะ
29
กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ที่ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ
และกายวิญญาณ ได้กลิ่น ได้ลิม้ ได้สัมผสั ช่ือว่ามตุ ะ
อารมณ์ท่ีรู้ทางมโนทวาร ช่ือว่าวิญญาตะ
พระพุทธเจ้า ทรงจาแนกอารมณ์อันแตกต่าง โดย
ประเภทแห่งอารมณ์ ๖ พร้อมวิญญาณ ๖ อย่างย่อ และตาม
ความพอใจของท่านพาหิยะ ด้วยวิปัสสนาโดยโกฏฐาสะท้ัง ๔
เช่นรูปที่เห็นแล้ว เป็นต้น
แล้วทรงแสดง ญาตปริญญา และตีรณปริญญา คือ
รูปารมณ์ช่ือว่าทิฏฐะ เพราะอรรถว่า อันจักขวุ ิญญาณพึงเห็น
ส่วนจักขวุ ิญญาณพร้อมวิญญาณท่ีเป็นไปทางจักขทุ วาร น้นั
ชื่อว่าทิฏฐะ เพราะอรรถว่า เห็นท้งั สองอย่างนนั้ เป็นเพยี ง
ธรรมท่ีเป็นไปตามปัจจัยเท่านน้ั ในเรื่องนใี้ ครๆ จะทาเองหรือ
ให้ผ้อู ่ืนทากห็ าได้ไม่
จักขวุ ิญญาณน้นั ช่ือว่าไม่เที่ยง เพราะมีแล้วกลับไม่มี
ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะถกู ความเกิดขึน้ และความดับไปบบี ค้ัน,
ชื่อว่าเป็นอนัตตา เพราะอรรถว่าไม่เป็นไปในอานาจ ในเรื่อง
นั้น จะเป็นโอกาสของธรรม เช่น ความกาหนดั เป็นต้น ของ
บณั ฑิตได้ท่ีไหน ดังนเี้ ป็นต้น
30
ท่านพาหิยะฟังธรรมของพระศาสดาแล้ว ชาระศลี ให้
หมดจด อาศยั สมาธิจิตตามท่ีได้ แล้วเร่ิมวิปัสสนา เป็นขิปปา
ภิญญาบคุ คล ทาอาสวะทั้งปวงสิน้ ไป บรรลพุ ระอรหันพร้อม
ท้ังปฏิสัมภิทาขณะนน้ั น่นั เอง
ท่านตัดกิเลสดุจกระแสนา้ ในสงสาร ทาท่ีสุดแห่งวัฏ
ทกุ ข์ได้ ทรงร่างกายครั้งสุดท้าย ถกู ธรรมดาที่เป็นไปตาม
ปัจจัยเวกขณญาณ ๑๙ ตักเตือน
กราบทลู ขอบวช แต่ไม่เคยทาบุญด้วยบาตรและจีวร จงึ
ไม่ได้บวช
อรรถกถาธรรมบทเล่าว่า ท่านพาหิยะบรรลพุ ระอรหัน
พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ แล้วท่านกราบทูลขอบวช
พระศาสดาตรัสถามว่า “บาตรและจีวรของเธอมีครบ
แล้วหรื อ?”
ท่านทูลว่า “ยงั ไม่มี พระเจ้าข้า”
ตรัสว่า “ถ้าอย่างนัน้ เธอจงแสวงหาบาตรและจีวร”
แล้วเสดจ็ หลีกไป
ท่านว่า สมยั ท่ีท่านพาหิยะบาเพญ็ สมณธรรมอยู่ สอง
หมื่นปี (ในสมัยพระพทุ ธเจ้ากสั สปะ) นนั้ ตัวท่านคิดว่า
31
“ธรรมดาของภิกษเุ ม่ือได้ปัจจัยแล้ว ควรบริโภคเอง จึงไม่ควร
เอาไปให้ใครๆ” ท่านไม่เคยทาการสงเคราะห์ใคร ด้วยบาตร
และจีวร แม้แต่จะให้แก่ภิกษรุ ูปหน่ึง
พระศาสดาทรงทราบว่า “บาตรและจีวรอันสาเร็จแล้ว
ด้วยฤทธ์ิจะไม่เกิดขึน้ แก่เขา” จึงไม่ได้ประทานการบรรพชา
ให้ ท่านไม่มีอุปนิสัยแห่งเอหิภิกขอุ ปุ สัมปทา แต่อาจารย์บาง
พวกกล่าวว่า ท่านเคยใช้ธนยู ิงพระปัจเจกพทุ ธเจ้า ชิงเอาบาตร
และจีวรไป
ถูกโคแม่ลกู อ่อนขวิด ปรินพิ พาน
บาลอี ุทานเล่าต่อว่า เม่ือพระพุทธเจ้าเสดจ็ หลีกไปแล้ว
ไม่นาน มโี คแม่ลูกอ่อนวิ่งเข้ามา ขวิดท่านล้มลงเสียชีวิต
พระพทุ ธเจ้าเสดจ็ กลบั จากบิณฑบาต ภายหลงั เสวยแล้วทรงมี
ภิกษตุ ามเสดจ็ จานวนมาก ทอดพระเนตรเห็นท่านพาหิยทารุจี
ริยะตายแล้ว ตรัสให้ภิกษทุ ้ังหลายช่วยกัน ยกสรีระของท่าน
ขึน้ เตยี งแล้วนาไปเผา จากนน้ั ทาสถปู ไว้
ตรัสว่า “ภิกษทุ ้ังหลาย พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรม
อันประเสริฐเสมอกบั เธอทั้งหลาย (เช่นปฏิบัติอธิศลี เป็นต้น
จึงเป็นสพรหมจารี) ทากาละแล้ว
32
ภิกษทุ ้ังหลาย ช่วยกนั ดาเนินการตามพระพทุ ธดารัส
แล้วภิกษเุ หล่านน้ั พากนั เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงท่ีประทับ ทูล
ถามว่า…
ข้าแต่พระองค์ผ้เู จริญ สรีระของพาหิยะทารุจีริยะ ข้า
พระองค์ท้ังหลายเผาแล้ว และสถปู ของพาหิยทารุจีริยะนน้ั
ข้าพระองค์ทั้งหลายทาไว้แล้ว คติ(ที่ไป) ของพาหิยทารุจีริยะ
นนั้ เป็นอย่างไร? ภพเบือ้ งหน้าของเขาเป็นอย่างไร?”
ตรัสตอบว่า “ภิกษทุ ้งั หลาย พาหิยทารุจีริยะเป็นบณั ฑิต
(ดาเนินไปด้วยปัญญา และบรรลอุ รหัตตมรรคด้วยปัญญา)
ปฏิบัติธรรม (คือวิสุทธิ ๗) สมควรแก่ธรรม (คือโลกุตรธรรม)
ทั้งไม่ทาให้เราลาบาก เพราะการแสดงธรรม ภิกษทุ ง้ั หลาย
พาหิ ยทารุจีริ ยะปริ นิพพานแล้ว”
จากนั้น ทรงเปล่งอทุ านว่า...
“ดิน นา้ ไฟ และลม ย่อมไม่หยง่ั ลงในนิพพานธาตุใด
ในนิพพานธาตนุ นั้ ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์ย่อม
ไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี
กเ็ ม่ือใด พราหมณ์ช่ือว่าเป็นมนุ ี เพราะรู้ (อริยสัจ ๔)
แล้วด้วยตน เม่ือนนั้ พราหมณ์ย่อมหลดุ พ้นจากรูป และอรูป
จากสุขและทกุ ข์”
33
บรรยายกจิ ก่อนปรินิพพาน
อรรถกถาธรรมบท บรรยายว่า พาหิยะแสวงหาบาตร
และจีวรอย่นู นั้ แล นางยกั ษิณีตนหนึ่งแปลงมาในรูปแม่โคนม
ขวิดเข้าตรงขาอ่อนข้างซ้าย ให้ถึงความสิน้ ชีวิต
อรรถกถาอทุ านว่า ยกั ษิณีแปลงเป็นโคแม่ลูกอ่อนด้วย
จิตอาฆาตในอัตภาพก่อน ขวิดเขาสิน้ ชีวิตอย่ทู ่กี องหยากเย่ือ
อรรถกถาเอกนิบาตว่า พาหิยะแสวงหาบาตรและจีวร
ขณะกาลงั ดึงชิน้ ผ้าทงั้ หลายออกจากกองขยะ กม็ ีอมนษุ ย์ผ้มู ี
เวรกันมาแต่ปางก่อน เข้าสิงร่างโคแม่ลกู อ่อนตวั หน่ึง ทาให้
สิ้นชีวิต พระศาสดาเสดจ็ กลบั มาแล้ว ตรัสให้ยกร่างไปทา
ฌาปนกิจ (กิจในการเผา) โปรดให้สร้างเจดยี ์ไว้ในทางใหญ่ ๔
แพร่ ง
ท่ านปริ นิพพานแล้วด้ วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
เคยฆ่าโสเภณี จึงถกู ตามล้างแค้น
ท่านว่าในอดตี น้ันท่านพาหิยะเป็น ๑ ใน ๔ บตุ รเศรษฐี
ท้ังหมดเป็ นสหายกัน
34
วันหน่ึง พวกเขานาหญิงโสเภณี ไปร่วมอภิรมย์ใน
อุทยาน ตกเยน็ พวกเขาได้ฆ่าหญิงนน้ั ชิงเอาเงินพนั กหาปณะ
และชิงเคร่ืองประดับทพี่ วกตนให้แก่หญิงนนั้ คืนมา
ก่อนตายหญิงนั้นคิดว่า “คนพวกนไี้ ม่มยี างอาย ร่วม
อภิรมย์กบั เราแล้ว ยงั จะฆ่าเรา เราตายแล้วขอให้เราเป็นนาง
ยกั ษ์ฆ่าพวกเขา เหมือนอย่างทพี่ วกเขาฆ่าเรา”
ในชาติล่าสุด บตุ รเศรษฐี ๔ คนนนั้ ได้มาเป็นปกุ กุสาติ
(บรรลอุ นาคาม)ี ๑ พาหิยทารุจีริยะ ๑ เพชฌฆาตฆ่าโจร
ช่ือตัมพทาฐิกะ (พระสารีบตุ รสงเคราะห์ไปสวรรค์) ๑ และ
สุปปพุทธกฎุ ฐิ (บรรลเุ ป็นพระโสดาบัน) ๑ ท้ังหมดล้วนถกู
นางยกั ษ์ตามฆ่าคืน
ท่านพาหิยะบรรลุธรรมตอนไหน?
เม่ือพระพทุ ธเจ้าตรัสตอบว่า “พาหิยะปรินิพพานแล้ว”
พวกภิกษทุ ูลถามว่า “ท่านพาหิยะ บรรลพุ ระอรหันต์ท่ี
ไหน?”
ตรัสว่า “ในเวลาที่ฟังธรรมของเรา”
ทูลถามว่า “พระองค์แสดงธรรมแก่ท่านในเวลาไหน?”
35
ตรัสว่า “เมื่อเรากาลงั บิณฑบาต กาลงั ยืนอย่รู ะหว่าง
ถนน วนั นีเ้ อง”
ทูลถามว่า “ธรรมท่ีพระองค์ยืนตรัส ในระหว่างถนน
น้นั มีประมาณน้อย ท่านพาหิยะทาคณุ วิเศษให้เกิดขึน้ ด้วย
เหตุเพียงเท่านัน้ ได้อย่างไร?”
ตรัสว่า “ภิกษทุ ้งั หลาย เธออย่าประมาณธรรมของเรา
ว่าน้อยหรือมาก แม้คาถาตงั้ หลายพัน แต่ไม่ประกอบด้วย
ประโยชน์ ไม่ประเสริฐเลย ส่วนบทคาถาแม้บทเดียว ซึ่ง
ประกอบด้วยประโยชน์ยงั ประเสริฐกว่า”
แล้วตรัสพระคาถาว่า...
“ถ้าคาถาแม้ตงั้ พัน แต่ประกอบด้วยบทอันไม่เป็น
ประโยชน์ คาถาบทเดยี วซึ่งเม่ือฟังแล้ว สามารถสงบระงับได้
ประเสริ ฐกว่า”
ถงึ ความเป็ นเอตทคั คะ
อรรถกถาอุทานกล่าวว่า ท่านพาหิยะเป็นผ้คู วรแก่การ
บชู าด้วยเหตุเพยี งปรินิพพานอย่างเดียวกห็ าไม่ โดยท่ีแท้ท่าน
เป็นผ้สู มควรแก่การบชู า แม้ด้วยภาวะอันเลิศกว่าภิกษสุ าวก
ผ้เู ป็นขิปปาภิญญาคือ ตรัสรู้เร็ว
พระพทุ ธเจ้าจึงทรงยกย่องว่า...
36
“ภิกษทุ ั้งหลาย พระพาหิยทารุจีริยะเลิศกว่าพวกภิกษุ
สาวกของเราผ้ตู รัสรู้ได้เร็วพลัน”
คือ พระเถระนีบ้ รรลพุ ระอรหัต เม่ือจบพระธรรม
เทศนาอย่างย่อ ไม่มกี ิจจะต้องบริกรรมมรรคผลท้ังหลาย (คือ
ไม่ต้องเพียรพยายามในกรรมฐานมาก) ท่านจึงเป็นยอดของ
ภิกษสุ าวกผ้ตู รัสรู้เร็ว
แม้ท่านพาหิยะจะไม่ได้รับการบรรพชาอุปสมบท แต่
เจตนาที่จะบวชเป็นภิกษมุ ีอยู่ และแม้ท่านจะไม่ได้บวชโดย
เพศ แต่บวชสมบูรณ์แล้ว ด้วยคณุ คือความเป็นพระอรหันต์
ท่านจึงได้รับการจัดเข้าเป็นภิกษุ (อริยสงฆ์)
อย่างที่อรรถกถาเล่าว่า พวกภิกษสุ งสัยกันว่า ท่าน
พาหิยะบรรลธุ รรมแล้ว เขาเป็นสามเณรหรือภิกษหุ นอ?
ตรัสว่า “ภิกษทุ ั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะดารงอย่ใู น
พระอรหัต” และตรัสว่า พาหิยะน้ันปรินิพพาน
.........................จบ..........................
37
พอ่ ครูจะสรุปเรื่องพำหิยะใหฟ้ ัง
พำหิยะเป็นบุคคลธรรมดำ ไมไ่ ดเ้ ป็นนกั บวช ก็บรรลุ
ธรรมได้ ทีน้ีเคำ้ เอำเรื่องพำหิยะวำ่ บรรลธุ รรมแลว้ ไม่บวชป๊ ุบ
กต็ อ้ งตำย สำเหตกุ ำรตำยน้นั เน่ืองจำกมีกรรมเก่ำ ไปฆำ่ โสเภณี
อนั น้ีกพ็ ิสูจน์วำ่ กรรมมีจริง พอ่ ครูเคยยกตวั อยำ่ งวำ่ สตรีทำ่ น
หน่ึงขบั รถไปยำงระเบดิ ชำยฉกรรจ์ 5 คนขบั รถมำแกป้ ัญหำ
ให้ อีกทำ่ นหน่ึงเวลำเดียวกนั ท่ีเดียวกนั คนละวนั ขบั รถมำ
ยำงระเบิด ชำยฉกรรจ์ 5 คนอีกกลุ่มหน่ึงมำฆ่ำขม่ ขืน
อบุ ตั ิเหตทุ ้งั 2 อยำ่ งน้ี ทำไมคนน้ีรอด ทำไมคนน้ีตำย เรำเขำ้ ใจ
วำ่ บงั เอิญ ไมม่ ีแมแ้ ตห่ น่ึงอยำ่ งบงั เอิญ อุบตั ขิ ้ึนตำมเหตุท่ีเคย
สร้ำงมำ สิ่งน้ีมีส่ิงน้ีจึงมี เหตเุ กิดผลจึงเกิด อนั น้ีเป็นตวั อยำ่ ง
แลว้ ก็พำหิยะ ทำไมแคไ่ มก่ ่ีนำทีฟังแลว้ บรรลธุ รรม พวกเรำคิด
เรื่องชำติเดียว
มีบำงคนถำมพอ่ ครูวำ่ ฝรั่งคนหน่ึงเหมือนกนั ศึกษำ
ประวตั ิพอ่ ครูวำ่ สำมชวั่ โมงบรรลธุ รรม พอ่ ครูบอกแลว้ วำ่
ก่อนหนำ้ น้ี ศีล 5 บอกไม่ใหท้ ำอะไร พอ่ ครูทำหมด ไม่รู้เรื่อง
ศำสนำเลย แลว้ บอกระเบิดป๊ บุ ถวำยชีวิตพระพุทธเจำ้ พ่อครูรู้
ไดอ้ ยำ่ งไร เรำเอำขอ้ มลู เฉพำะชำติเดียว วนิ ำทีจิตมนั เปิ ดป๊ ุบ
จิตเรำรู้พระพุทธเจำ้ มำต้งั นำนแลว้ เพรำะเรำไม่เชื่อเร่ือง
38
อดีตชำติ ไมเ่ ช่ือเรื่องอนำคตชำติ เรำเช่ือวำ่ วทิ ยำศำสตร์ เช่ือ
ขอ้ มูลปัจจุบนั พำหิยะกเ็ ป็นตวั อยำ่ งตวั อยำ่ งหน่ึง ไมร่ ู้เรื่อง
ศำสนำเลย ฟังธรรมทหี น่ึง ก็บรรลุเป็นอรหนั ต์ ส่วนกรรมท่ี
สร้ำงฆำ่ เคำ้ กถ็ ูกฆำ่ คืน แตไ่ ม่ใช่ทุกคนบรรลธุ รรม แลว้ ไม่
บวชแลว้ ก็ตอ้ งตำย มนั ไม่ใช่ อนั น้ีเร่ืองหน่ึง
อีกเร่ืองหน่ึงทำไม ไมม่ ีบุญบวช เพรำะไม่เคยทำบญุ
ถวำยบำตรแลว้ กจ็ ีวร มงุ่ มน่ั บำเพญ็ เพยี รเป็น 2 หมื่นปี เรื่องจิต
วิญญำณก็ได้ แตไ่ ม่มีบญุ บวช ท่ีเรำนง่ั อยตู่ รงน้ีเรำไดบ้ วชแมช่ ี
บวชเณร อนั น้ีถือวำ่ เรำมีบุญบวช เรำสร้ำงกศุ ลมำมหำศำล ก็
อยำ่ ดูถูกตวั เอง กอ็ ยำ่ หลงตวั เองดว้ ย อยำ่ ประมำท เพรำะวำ่
กรรมดำ้ นลบเรำก็สร้ำงมำ ถำ้ เรำไมม่ ีกรรม เรำก็ไม่ไดม้ ำเกิด
อีก แตถ่ ำ้ เรำไม่มีบญุ มหำศำล เรำกไ็ ม่ไดม้ ำเกิดอยใู่ นร่ำง
มนุษยผ์ ปู้ ระเสริฐ แลว้ มำเจอคำสอนที่ยง่ิ ใหญ่ แลว้ ก็มำไดบ้ วช
ดว้ ย ไม่ใช่ธรรมดำ เรำชนะแลว้ คร่ึงหน่ึง ขอใหท้ ุกคนต้งั มนั่
ม่งุ มนั่ ต่อไป
แนวท่ีเรำปฏิบตั นิ ่ีมนั ไมม่ ีแนว วธิ ีท่ีปฏิบตั ิไมม่ ีวธิ ี จิต
เรำเองจะหำวธิ ีทีเหมำะกบั เรำ จิตเรำเองจะรู้วำ่ จริตตวั เองเป็น
อยำ่ งไร เพรำะแนวน้ีไมม่ ีแนว ถำ้ มีวธิ ีตำยตวั ทกุ คนเป็น
หุ่นยนตเ์ หมือนกนั หมด อำจจะถูกกบั นำย ก ไม่ถกู กบั นำย ข
39
ก็ได้ ท่ีเรำทำไมม่ ีวิธี มนั เป็นนำนำจิตตงั ขอใหเ้ รำเดินตอ่ จิต
เดิมเรำรู้เองวำ่ จะใชเ้ ทคนิคไหน แบบไหน แตพ่ ่อครูเห็น แต่
พ่อครูไมเ่ คยชอบ ที่จะบอกอะไรลว่ งหนำ้ เดียวมนั จะไป
บนั ทึกเป็นสญั ญำใหม่ เป็นอปุ ำทำน ขอใหท้ กุ คนปฏิบตั ิเดิน
ต่อไป แคพ่ ลิกจิต อะไรกเ็ กิดข้ึนได้ ถำ้ เรำไม่มีบญุ เยอะ เรำ
ไมไ่ ดม้ ำนงั่ อยทู่ น่ี ่ี
โดยเฉพำะเด็กๆวยั ขนำดน้ีก็ไดม้ ำเจอส่ิงน้ี พอ่ ครูกค็ ิด
วำ่ เป็นวิสำขะท่ียงิ่ ใหญ่ ญำติธรรมรุ่นเก่ำๆ หลำยคนนงั่ คุยกบั
พอ่ ครู พลำญข่อยมำถึงวนั น้ีไดอ้ ยำ่ งไร พ่อครูไมเ่ คยคิดไมเ่ คย
วำงแผน เคำ้ เกิดข้ึนตำมเหตแุ ละปัจจยั ไม่ใช่พอ่ ครูไปจดั วำง
ใหม้ นั เป็นอยำ่ งน้นั กว็ นั น้ีก็เป็นอีกตวั อยำ่ งหน่ึง เรียนรู้ไป
ดว้ ยกนั พอ่ ครูก็เร่ิมเรียนศึกษำเรื่องภำษำ ที่เคำ้ พูดเรื่องวชิ ำกำร
พอ่ ครูก็นง่ั ฟัง พ่อครูกจ็ ะสรุปใหฟ้ ังวำ่ ตวั อยำ่ งพำหิยะเรำได้
อะไร
เราได้อะไร เรำไดร้ ู้เรื่องวำ่ อดีตกรรมมีจริง อดีตบำรมีมี
จริง ไม่ตอ้ งเจริญมรรค พำหิยะไม่ตอ้ งเจริญมรรค ฟังธรรมแค่
คร้ังหน่ึงก็บรรลธุ รรมได้ พอ่ ครูเคยตอนออกหนงั สือสำม
ชว่ั โมงบรรลุธรรม ญำติธรรมขอร้องใหอ้ อก กม็ ีท้งั กอ้ นอิฐ
ดอกไมม้ ำดว้ ยกนั เป็นไปไดย้ งั ไงสำมชว่ั โมง พระพุทธเจำ้ ยงั
40
ตอ้ ง 6 พรรษำ คิดแต่เร่ืองชำติเดียว เรำอยำ่ ไปเปรียบเทียบกบั
พระพุทธองค์ พระองคต์ อ้ งสะสำงท้งั หมด ตอ้ งหยง่ั รู้ท้งั หมด
ไม่อยำ่ งน้นั เรำจะมีพระพทุ ธเจำ้ เกิดข้ึนมำไดอ้ ยำ่ งไร พระองค์
มีปัญญำ แมก้ ระทง่ั แยกแยะเป็นหมวดเป็นหมูไ่ ด้ แตพ่ ระ
อรหนั ตเ์ จำ้ ท้งั หลำยทำอยำ่ งน้นั ไม่ได้ ที่เหมอื นกนั มีอยำ่ งเดียว
คือพน้ ทกุ ขเ์ ท่ำน้นั เอง อยำ่ ไปเปรียบเทียบกบั พระพทุ ธองค์
ไมใ่ ช่คนละช้นั คนละเร่ือง ดวงจิตแบบน้นั นำนๆ จะเกิดข้ึน
ในโลกใบน้ี นำนๆ ไมร่ ู้ก่ีลำ้ นๆชำติ
ที่เคำ้ ทำนำยวำ่ พระพทุ ธเจำ้ องคต์ อ่ ไป ยคุ พระศรีอำริย์
พระพุทธองคก์ ็ทำนำยเองวำ่ ศำสนำพระองคอ์ ยไู่ ดป้ ระมำณ
5000 ปี ตอนน้ีมนั มำถึงก่ึงพุทธกำลแลว้ ศำสนำก็กำลงั เส่ือม
เตม็ ที่ เม่ือเส่ือมเตม็ ท่ี จิตที่ฝึกมำหลำยชำตแิ ลว้ จะผดุ ข้ึนมำตอ่
ยอด โลกใบน้ียงั อยู่ แตส่ ังคมมนุษยท์ ี่หลงทำงอำจจะถกู ทำลำย
ไป อยำ่ งนอ้ ยๆศำสนำพทุ ธอยไู่ ด้ 5000 ปี เหลืออีก 2000 กวำ่ ปี
แลว้ จะมีศำสนำใหม่ข้ึนมำ จะเปล่ียนชื่ออะไรกช็ ่ำง คำสอน
พระพุทธเจำ้ ไม่มีวนั สูญสิ้น เพรำะมนั คือสัจธรรม
วนั น้ีกไ็ ดต้ วั อยำ่ งพำหิยะ แลว้ ก็วนั อำทิตยห์ นำ้ พ่อครูก็
จะคดั สรร เรำมำเรียนรู้กบั พระอรหนั ต์ รู้จกั ประสบกำรณ์จริง
ของท่ำน แลว้ จะรู้วำ่ ทำไมบรรลธุ รรมไดเ้ ร็ว ทำไมชำ้ มนั มี
41
ที่มำท่ีไป ท่ำนฝึกมำหลำยชำติ ส่วนท่ีฝึกมำ กม็ ีโอกำสต่อยอด
บรรลุธรรม ท่ีสร้ำงกรรมมำก็ไมล่ ะเวน้ เป็นพระอรหนั ตแ์ ลว้
กไ็ ม่ใช่พระอรหนั ตจ์ ะรอดกรรม กรรมมีจริง ถำ้ พอ่ ครูไมเ่ ห็น
ตรงน้นั แลว้ พอ่ ครูกห็ ยดุ ชีวติ ไมไ่ ด้ มำในป่ ำน้ี 27 ปี 27 ที่ไม่
กงั วลอะไรเลย ไม่ตอ้ งคิดแมแ้ ตห่ น่ึงอยำ่ ง ไมต่ อ้ งสงสัยวำ่ ถูก
หรือผดิ
พำหิยะ หลงั จำกไปหลงช่วงหน่ึง คิดวำ่ ตวั เองเป็น
อรหนั ต์ ทุกคนกรำบไหวเ้ พรำะแต่งตวั ไมเ่ หมือนคนอื่น กไ็ ป
หลงอนั น้ี เรำกเ็ ตือนอยำ่ หลงสภำวะธรรม บำงคนหลง
สภำวะธรรมมีสูง มีต่ำ นน่ั ไมใ่ ช่แลว้ บำงคนวำ่ งๆ ฉนั ไมม่ ี
อะไรแลว้ อนั น้นั เป็นแค่สภำวะธรรม วำ่ ง มนั ไมใ่ ช่ของจริง
ถำ้ มนั ไม่มีขนั ธ์๕ ไมม่ ีอะไร มนั จะวำ่ งจำกอะไร ไมใ่ ช่วำ่ งๆๆ
เฉพำะอำรมณ์วำ่ ง เป็นแค่ สภำวธรรม หลำยคนเขำ้ ไปถึงน้นั ก็
จะไปหลงมนั ตวั ที่เรำหลงกเ็ ป็นกรรม ท่ีเรำฝึกใหเ้ รำมีจริต
แบบน้นั จำคำวำ่ เหวยี่ งทิ้ง เดินตอ่ ไป เห็นอะไรกเ็ หวีย่ งทิ้ง
เหว่ยี งทิง้ ไมต่ ดิ ดีกไ็ มต่ ิด ชวั่ กไ็ ม่ติด นน่ั คือทำงสำยกลำง
เรำมีโอกำสแสดงธรรม เรำกเ็ ป็นผใู้ ห้ ถึงมำอำ่ นเฉยๆ
เรำแสดงธรรม เรำเป็นผใู้ ห้ แลว้ กไ็ ดบ้ ำรมี ส่วนคนฟังแลว้
42
ไดม้ ำกนอ้ ยแค่ไหน ถึงจะไม่ไดเ้ ลย กไ็ ดฝ้ ึกขนั ติ อดทนฟังจน
มนั จบ เรำกไ็ ดข้ นั ติบำรมี ไมม่ ีอะไรเสียหำย
43
ทมี่ า : เรื่อง โลกตุ รธรรม
บรรยายโดย พ่อครูบัญชา ต้ังวงษ์ไชย
ศูนย์พลาญข่อย 20 พฤษภาคม 2559
YouTube โลกตุ รธรรม20พค59
www.plarnkhoi.com
Facebook ศนู ยพ์ ลำญข่อย