1
วิ่ง วน เหวีย่ ง วาง วา่ ง
2
แนวทางท่ีศนู ย์ คือไมม่ ีแนวทาง ที่ไม่มีแนวทาง กค็ ือ
แนวทางของเรา พอ่ ครูไมไ่ ดส้ อนอะไรเลย มนั เป็นการปฏิบตั ิ
ธรรมจริงๆ ปฏิบตั ิตามธรรมชาติ ของจิตแตล่ ะดวง มนั เป็น
นานาจิตตงั
พ่อครู ฝากไวค้ าเดียว คือ ”เหว่ียงทิง้ ” เหว่ยี งทิ้ง กค็ ือ
สลดั ออก สลดั อะไรออก ไม่ไดแ้ ปลวา่ เรารังเกียจสิ่งน้นั นะ
แมก้ ระทง่ั อารมณ์โลภ โกรธ หลง เรากไ็ ม่ตอ้ งสลดั หรอก วธิ ี
เรามนั เหวีย่ ง แรงเหว่ยี งนี่ มนั กาลงั เอาออกเอง แตเ่ ราเหว่ยี ง
เหวีย่ งความยดึ มนั่ ถอื มน่ั คาวา่ เหวีย่ งทิ้ง เหมือนเตือนสติเราวา่
อยา่ ไปติดมนั ภาษามนั เป็นตวั ทาใหเ้ ราเขา้ ใจผิด และเป็นตวั
บลอ็ คเราไว้
ทีน้ี พ่อครูพยายามหาภาษาพดู ที่คิดวา่ ส้ันส้ัน และมนั
ใกลเ้ คียง เพราะวา่ คาน้ีมนั ตอ้ งใชท้ ุกๆ วนิ าที มนั ตอ้ งเร็ว แลว้ ก็
ทนั เหตุการณ์ เพราะรูปนาม มนั เกิดดบั เร็วมาก แต่วา่ จะให้
พวกเราเขา้ ใจวา่ เหวยี่ งทิง้ ไมไ่ ดห้ มายความวา่ เรารังเกียจส่ิง
3
น้นั แต่เป็นการเตือนสติวา่ อยา่ ไปติดมนั สลดั ออก สลดั ออก
สลดั ออก และก็ไมไ่ ดร้ ังเกียจแมก้ ระทง่ั ความโลภโกรธหลง
นนั่ ไม่ไดไ้ ปสลดั ความโลภ โกรธ หลงทิง้ สลดั ความยดึ มน่ั
ถือมน่ั กบั สิ่งน้นั ทิง้ คือ เตือนจิตเราวา่ อยา่ ไปติดมนั เร่ืองน้ี
สาคญั มาก โดยเฉพาะคนท่ี rewind ไปสู่อดีตชาติได้ ยง่ิ ตอ้ ง
ระวงั ไมไ่ ดใ้ หไ้ ปติดอดีต ใหไ้ ปรู้เทา่ ทนั อดีต สักแตว่ า่ รู้
คาวา่ สกั แต่วา่ รู้ คือ เฝ้ามอง เป็นภาษา ทเี่ คา้ ใชท้ าง
พทุ ธศาสนา ซ่ึงมนั กเ็ ทา่ กบั คลา้ ยๆ ตวั สักแตว่ า่ รู้ สักแต่วา่ เห็น
กค็ ือ เฝ้ามองดู ไม่ใช่ไปตามรู้ ไม่ใช่ไปตามดู ไมใ่ ช่ไปเพง่
พจิ ารณา กบั ดกั ของคาวา่ ตามรู้ ตามดู มนั แฝงดว้ ยตณั หา แฝง
ดว้ ยความอยากรู้ อยากเห็น มนั ยงั แฝง ดว้ ยนิสัยของเรา ท่ีถูก
บม่ เพาะมา
โดยเฉพาะชีวติ น้ี เราถกู สอนให้ เป็นนกั เรียนรู้ เราเลย
พยายามจะ เรียนรู้ทุกอยา่ ง ท้งั อา่ นหนงั สือ ท้งั คน้ ควา้ วจิ ยั เขา้
ไปคน้ หา ในอินเตอร์เนท็ ตามรู้ตามดูหมด เพราะวา่ เราอยากรู้
4
เราจะติดบว่ งตวั ตณั หาน้ี โดยท่ีเราไม่รู้ตวั แลว้ เมื่อเราไปตามรู้
ไปตามดูอารมณ์น้นั ๆ แลว้ มนั กง็ ่ายมาก ทจ่ี ะถูกอารมณ์น้นั
ดูดเขา้ ไป โดยเฉพาะ ถา้ มนั มีกระแสกรรมลูกโต ๆ แลว้ มนั ก็
จะดูดเราเขา้ ไป แลว้ เรา จะไปทาตามอารมณ์น้นั
การเฝ้าดู เหมือนเราเป็นคนเฝ้าบา้ น เฝ้าดูเฉย ๆ การเฝ้าดู
ตรงน้ี ตอ้ งไม่แฝงดว้ ยความรู้สึก ท่ีจะไปใฝ่ หาอะไร แสวงหา
อะไร ตอ้ งไมม่ ีอารมณ์ตรงน้ี และกต็ อ้ งไม่มีอารมณ์ที่คิดวา่
ไปผลกั ไสไล่ส่ง คือ สกั แต่วา่ รู้อยกู่ ลางๆ
สักแตว่ า่ รู้ คือวา่ เฝ้าดู ไมม่ ีอารมณ์อยากได้ หรือไม่
อยากได้ ถา้ ไมอ่ ยากได้ ไปผลกั ไสมนั มนั เป็น วิภวตณั หา มนั ก็
เป็นตวั ไมอ่ ยาก กเ็ ป็นตณั หาเหมือนกนั ถา้ เราไปตามดู ตามรู้
หรือวา่ เราทาเพ่อื มีเจตนา ไปอยากไดอ้ ะไร มนั กเ็ ป็นตณั หา
การเฝ้ามอง ตอ้ งจิตเป็นกลาง ๆ ไมไ่ ดแ้ ฝง ดว้ ยความอยาก
อะไรเลย ท้งั อยาก หรือไม่อยาก คือเฝ้ามอง กค็ ือ อารมณ์เฝา้
5
มองกค็ ือวา่ สกั แต่วา่ รู้ เราไมอ่ ยากรู้อะไรเลย เพราะธรรมชาติ
ไมม่ ีอะไรใหร้ ู้ มนั เป็นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา
แนวเรา ซ่ึงมนั ไม่มีแนว พ่อครูสอนอยคู่ าเดียว ก็คือ
เหวี่ยงทิง้ บงั เอิญยงั หาภาษา ท่ีพดู แลว้ ชดั เจนกวา่ น้ีไม่ได้ แต่
ในตวั มนั เอง พอ่ ครูวา่ มนั ปลอดภยั อยู่ เพราะตวั มนั เอง ก็คือ
เหวี่ยงตวั มนั เองทิ้ง ไม่ติดเลย ไม่ไดต้ ้งั คาบริกรรมอะไรเลย
ภาษาน่ีตอ้ งระวงั ถา้ เราเขา้ ใจภาษาผิด แมแ้ ตน่ ิดเดียว ความ
เขา้ ใจผิด มนั จะทาใหเ้ ราดาเนินผดิ เฝ้ามองดู นะ เฝ้ามองดู
คาวา่ เหว่ยี งทิง้ เราไมไ่ ดเ้ หว่ียงอารมณ์น้นั ทิ้ง อารมณ์
น้นั ปลอ่ ยมนั แสดงออกไปเลย เหวีย่ งทิง้ คือ เตือนสติเรา
เหว่ียงความยดึ มน่ั ถือมนั่ ทิ้ง อยา่ ไปติดมนั เดด็ ขาด แตไ่ มใ่ ช่
ไปกดดนั มนั ไมใ่ หม้ นั แสดงออก อนั น้ีสาคญั มาก หลายคนที่
ไปติดอยู่ กบั อารมณ์ในอดีต แลว้ กไ็ ปโกรธตามมนั ไปดีใจ
ตามมนั อนั น้ีเราเขา้ ใจ คาวา่ เหวี่ยงทิง้ ผิด
6
แตว่ า่ ไม่ใช่ ไม่ใหม้ นั ปลดปลอ่ ย ใหม้ นั ปลดปลอ่ ย ตาม
ธรรมชาติ ไหลออกมาอยแู่ ลว้ เพราะเราเปิ ดฝาออกมา มนั ก็
ไหลอยู่ เรากอ็ าศยั ธรรมารมณ์ตรงน้นั เป็นท่ีต้งั แห่งการใชส้ ติ
เรา สกั แต่วา่ รู้ ถา้ เรารู้ไม่ทนั มนั ก็จะเกิดการปรุงแต่งข้ึนมา
หลกั การ การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน เป้าหมายก็
ปฏิบตั ิ ผลของมนั คือ เกิดวิปัสสนาญาณ คือ ความรู้แจง้ เห็น
จริง ความเป็นจริงตามธรรมชาติ ทีน้ี ความจริงตามธรรมชาติ
มนั จะมีท้งั ฝ่ ายบวก ฝ่ ายลบ มนั จะเป็นของคูต่ ลอด ถา้ เราไม่วาง
จิตเป็นกลาง ๆ เราไปสุดโตง่ ส่วนใดส่วนนึง แลว้ เรา จะ
ไมม่ ีวนั เราจะไปเห็น แตฝ่ ่ ายเดียว อีกฝ่ ายนึงจะไม่เห็น ถา้ เรา
อยกู่ ลาง ๆ เราจะเห็นท้งั สองดา้ นเลย เห็นธรรมชาติท่ีแทจ้ ริง
การปฏิบตั ิ วิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา เคา้
กแ็ ยก เป็นการเฝ้ามอง สามข้นั ตอน แลว้ ส่วนมาก ตอนน้ีใน
สังคมไทย เราก็เอาข้นั ตอนท่ีเร่ิมตน้ ที่งา่ ยท่ีสุด ก็คือ เฝ้ามองดู
อริยาบถของกาย การเคล่ือนไหวของกาย มีหลากหลาย เช่น ดู
7
อริยาบถยบุ หนอ พองหนอ ซา้ ยหนอ ขวาหนอ เคลอ่ื นไหว
สิบส่ีจงั หวะบา้ ง เป็นตน้ น่ีเป็นอริยาบถของกายหมด เพราะวา่
มนั เป็นกาย ซ่ึงเป็นรูป รูปธรรม ซ่ึงเรามองเห็นได้ ดว้ ยตาเน้ือ
อนั น้ี มนั ง่ายหน่อยนึง นี่คือข้นั ตอนแรก แต่ถา้ ไปอยทู่ ี่นนั่
นาน ๆ ไปตดิ อยทู่ ่ีนนั่ นาน ๆ เราก็ไดส้ มาธิ ไดส้ ติบา้ ง
เม่ือชานาญแลว้ เราตอ้ งผา่ นไป ข้นั ตอนที่สอง คือ ไป
เฝ้ามองอะไร คาวา่ เฝ้ามอง กค็ ือ สกั แต่วา่ รู้ สกั แตว่ า่ เห็น ไป
เฝ้ามอง โดยเราใชฐ้ านตรงน้นั เป็นตวั มาสอบเรา ทดสอบสติ
เรา วิปัสสนากรรมฐาน ใชห้ ลกั การของ สติปัฏฐาน๔ คือ กาย
ในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ทีน้ีรวมกนั
แลว้ มนั จะ มีอยสู่ ามข้นั ตอนแรก ท่ีตอ้ งดาเนิน ก็คือเฝ้ามอง
เฝ้ามองกายในกาย รู้จกั อริยาบถกาย แลว้ กพ็ อเราชานาญแลว้
เราก็ตอ้ งวางตรงน้นั เขา้ ไปสู่ข้นั ตอนท่ีสอง
ข้นั ตอนท่ีสอง ก็คือ ไปเฝ้ามองอะไร เฝา้ มองรูป ซ่ึงมอง
ไม่เห็น อนั น้ีตวั ร้ายทีส่ ุด รูปซ่ึงมองไม่เห็น ก็คือ ความคิด
8
ความคิด ก็เป็นมโนกรรม และมนั คือ ตน้ เหตขุ องท้งั หมด คิด
ป๊ บุ ปรุงแตง่ ป๊ ุบ เวทนาเกิด ทกุ อยา่ งตามมาหมดเลย อนั น้ี คือ
ไปเฝ้ามองรูป มนั เป็นรูป
ความคิด เป็นรูปอยา่ งนึง เสียงท่ีเราไดย้ นิ ก็เป็นรูป
อยา่ งนึง แตเ่ สียงเราจบั เสียงได้ โดยคล่ืนของเสียง เราสัมผสั
ได้ แตร่ ูปซ่ึงมองไม่เห็น อนั ตรายมาก คือความคิด เป็น
มโนกรรมทนั ที ตวั น้ีละเอียดมาก แต่มนั ก็อยู่ ในข้นั ตอนท่ีสอง
เพราะมนั ตวั เร่ิมตน้ ของอารมณ์ท้งั หมด
พ่อครู จะยกตวั อยา่ ง เป็นบุคลาธิษฐาน เก่ียวกบั เร่ือง
พระโพธิธรรมตกั๊ มอ้ ไปสนทนาธรรม กบั ฮ่องเต้ เก่ียวกบั เรื่อง
ใหไ้ ป เฝ้ามองความคิด แต่ข้นั ตอนที่สองน้ี มีขอ้ กากบั
อยา่ งนึง คือหา้ มตดั สิน หา้ มตดั สินเดด็ ขาด มนั คิดดี กเ็ หว่ยี งทิง้
คิดชว่ั กเ็ หว่ยี งทิ้ง อยา่ ไปตดั สินวา่ มนั ถูกหรือมนั ผิด มนั ดี มนั
ชวั่ เมื่อไหร่ช่วงท่ีเรา ไปพจิ ารณาตดั สิน ตวั เฝา้ มองหลดุ ทนั ที
9
ฮ่องเต้ นิมนตพ์ ระโพธิธรรม เขา้ ไปสนทนาธรรม
พระองคก์ ถ็ ามตกั๊ มอ้ หรือ ท่านพระโพธิธรรม วา่ พระองคใ์ ห้
คนแปลพระไตรปิ ฎก และกส็ ร้างวดั เป็นพนั พนั วดั เล้ียงดู
พระภิกษุสงฆ์ นกั บวชเป็นพนั พนั รูป พระองคไ์ ดก้ ุศลไหม
พระโพธิธรรมบอกวา่ ไมไ่ ดเ้ ลย บางทีตกนรกขมุ เจด็ ดว้ ย
ฮ่องเตต้ กใจ ฉนั ทาต้งั ขนาดน้ีแลว้ ทาไมจะไม่ได้
ฮ่องเต้ มีความไมพ่ อใจมาก ต้งั แต่เกิดมา ไมเ่ คยมีพระรูปไหน
หรือ ใครกลา้ มาพดู อยา่ งน้ี แลว้ กท็ า่ นโพธิธรรมก็ช้ีไป บอกวา่
ฮ่องเตเ้ ห็นตวั เองรึเปลา่ เคยเห็นตวั เองไหม ถามฮ่องเต้ อีกวา่
สงบไหม ฮ่องเตว้ า่ ไมส่ งบ ทา่ นโพธิธรรม กบ็ อกวา่ ถา้ อยาก
สงบ ตีสี่พรุ่งน้ีเชา้ ใหเ้ สดจ็ ไปที่วดั ภูเขา ท่ีพระโพธิธรรมพกั อยู่
ใหไ้ ปคนเดียวดว้ ย
ฮ่องเตเ้ กิดมา ไม่เคยมีใครมาพดู เช่นน้ี กน็ อนไมห่ ลบั
ท้งั คืน เพราะอะไร ธรรมดาไม่พอใจ ส่งั ตดั หวั ตดั คอก็ได้ แต่
สิ่งที่ พระโพธิธรรมพูดท้งั หมด มนั จ้ีเขา้ ไปในใจ ท่านก็
10
พิจารณาวา่ ทา่ นเป็นถงึ ฮ่องเต้ อวดดีอยา่ งไร มาพูดกบั ทา่ น
อยา่ งน้ี ทาดีขนาดน้ี ยงั บอกวา่ ไมไ่ ดอ้ ะไรเลย แถมตกนรกขมุ
เจด็ อีก เพราะอะไรรู้ไหม
ทาบญุ ตามบุญ มนั ไมไ่ ดบ้ ุญ มนั ไม่ใช่บญุ มนั ไม่ใช่
สุญญตาทาน ทาแลว้ ยงั มาถามวา่ ไดไ้ หม ทาดว้ ยเจตนาที่ไม่
บริสุทธ์ิ ทาเพอ่ื ค้ายนั ลาภยศสรรเสริญ ตวั น้ีมนั เป็นบุญกิริยา
เรากเ็ ห็นเป็นกิริยา ในการทาบญุ แตไ่ ม่ใช่บญุ กศุ ล มนั ไมใ่ ช่
บญุ กศุ ล
ทีน้ี ฮ่องเตก้ ค็ ิดคิดวา่ เกง่ มาจากไหน ตกใจมาก ต้งั แต่
เกิดมาไ ม่มีใครกลา้ มาพูดอยา่ งน้ี แตพ่ ลงั ของพระโพธิธรรมที่
ใส่เขา้ ไป ทาใหต้ อ้ งเดินไป ก็ไปคนเดียวเลย ไปที่วดั น้นั เมื่อ
ไปถึงที่วดั พระโพธิธรรมกบ็ อกวา่ ใหน้ ง่ั หลบั ตา เด๋ียวจะใชไ้ ม้
เทา้ น้ีช่วยใหส้ งบ ฮ่องเตก้ ค็ ิดใหญ่เลย หลบั ตาแลว้ สงสัยจะใช้
ไมเ้ ทา้ มาตหี วั เราใหส้ ลบ มนั คือสงบนน่ั เอง คิดอยอู่ ยา่ งน้นั
11
พระโพธิธรรม ก็เลยบอกฮ่องเต้ ใหเ้ ฝ้าดู เฝ้ามอง
ความคิด กร็ ู้วา่ กาลงั คิดอยู่ เลยบอกให้ เฝา้ มองความคิด ทีน้ีก็
หาความคิดใหญเ่ ลย หาอยา่ งไรก็ไม่เจอ หาอยหู่ ลายชว่ั โมงก็
ไม่เจอ เกิดมาไมเ่ คย สงบน่ิงขนาดน้นั จนพระโพธิธรรมตอ้ ง
เรียกใหต้ ื่น ถา้ เราเฝ้ามองอยตู่ ลอดเวลา ความคิด เกิดข้ึนไม่ได้
นะ ถา้ เราหลดุ เม่ือไหร่ มนั คิดทนั ที ความคิด มนั ทาใหเ้ ราไม่
สงบ ทีน้ีตอ้ งเฝ้ามอง
นี่แหละ ข้นั ตอนที่สอง ที่บอกวา่ ตอ้ งเขา้ ไปสู่การ
เฝ้ามอง รูปซ่ึงมองไมเ่ ห็น คือตวั ความคิด ถา้ เรามีสติ
ตลอดเวลา มนั คิดไมไ่ ดห้ รอก ท่ีเราคิดเพราะความอยาก คนที่
มนั คิด คิดเพราะอะไร
มีญาติธรรมคนนึง ถามวา่ พ่อครู ผมไม่เขา้ ใจ พอ่ ครู
ไมค่ ิด มนั จะทางานไดอ้ ยา่ งไร พอ่ ครูถามวา่ คณุ อว้ น ก่อนน้ีอยู่
กรุงเทพ ทาโรงงานลูกชิ้นใช่ไหม เวลาทาลกู ชิ้นอยู่ คิดรึเปล่า
ไม่ไดค้ ิด กินขา้ วไม่ไดค้ ิด ขบั รถไมไ่ ดค้ ิด พูดไม่ตอ้ งคิด เวลาที่
12
เราคิด คือเรามีอนาคต เราอยากใหม้ นั ดีข้ึน ถา้ คุณอว้ นทา
ลกู ชิ้นอยนู่ ่ี กพ็ ิจารณาไปดว้ ย ทายงั ไงใหม้ นั ดีข้ึน อนั น้ีคิดละ
แตถ่ า้ เรา ไม่มีความอยากแลว้ มนั กท็ าเพราะทา มนั จะ
ไปคิดทาไม ทางานไมต่ อ้ งคิด กเ็ พราะ เราอยากเราจึงคิด มนั ก็
ทาดว้ ยตณั หา กเ็ ป็นกรรม มนั มีเจตนาท้งั น้นั มนั จะกลายเป็น
กรรม คนอ่ืนไมร่ ู้ จิตเราบนั ทึกไวแ้ ลว้ มนั เป็นสญั ญาใหม่ นี่
คือ ข้นั ตอนท่ีสอง
ส่วนวิธีวา่ จะไปเพง่ ไปอะไร ตอ้ งระวงั ไปเพ่ง ไปตาม
ดู ตามรู้ ส่วนมากจะไปติดลอ็ ค เพราะวา่ เรากต็ ามดู ตามรู้จาก
ความอยากนน่ั แหละ จากตณั หาเหมือนเก่า สกั แต่วา่ รู้ นะ เฝ้า
มอง รู้อารมณ์ ท่ีมนั เกิดข้ึน เฝ้ามอง ลองเฝ้ามองความคิดสิ
ความคิด มนั เกิดไมไ่ ดห้ รอก ถา้ เราเฝา้ มอง ยกเวน้ เวลาเรา
เผลอ มนั คิดทนั ที เพราะวา่ อารมณ์เฝ้ามองน้นั มนั รั่ว มนั รั่ว
เมื่อแขง็ แกร่งแลว้ ใหพ้ ฒั นาไปสู่ ข้นั ตอนที่สาม
13
ข้นั ตอนท่ีสาม คือ ไปเฝ้ามองอะไร เฝ้ามองอารมณ์ หรือ
ถา้ ทางในแง่สติปัฏฐาน๔ คือ เขา้ ไปในธรรมในธรรม เฝ้ามอง
อารมณ์ อารมณ์ท้งั ในอดีต และในปัจจุบนั แลว้ ก็ความรู้สึก
อนั น้ีจะมาพร้อม ๆ กนั เม่ือมีอารมณ์โกรธ ความรู้สึกเป็นยงั ไง
เราเฝ้ามอง
แต่ถา้ เรา เฝา้ มองไมท่ นั ไปกาหนดโทษ หรือวา่ ลงไป
ตดั สินเม่ือไหร่ ตวั เฝ้ามองจะหลดุ มนั จะมีถกู มีผิด มีพอใจไม่
พอใจ มนั จะตามข้ึนมา เฝา้ มอง อยา่ งไมต่ อ้ งตดั สินอะไรเลย
ไมต่ อ้ งไปตามรู้ ไม่ตอ้ งไปตามดู สักแต่วา่ เห็น เหวีย่ งทงิ้ คือ
เตือนสติวา่ อยา่ ไปยดึ ตดิ กบั มนั แต่แนวเรา ตอ้ งระวงั มากท่ีสุด
อารมณ์ตา่ ง ๆ ในอดีต มนั กาลงั ไหลออกมา เราก็เฝ้ามองมนั
สักแต่วา่ รู้ ถา้ เราไปร่วมกบั อารมณ์น้นั เม่ือไหร่ เราจะไปทา
ตามมนั เป็นกรรมใหม่ บนั ทึกสัญญาใหม่ทนั ที
ถา้ มนั คิดปรุงแตง่ ดว้ ย เม่ือเราไปกาหนดโทษ หรือวา่ เรา
ไปตดั สินเคา้ เม่ือไหร่ ตวั เฝ้ามองมนั จะหลดุ คาวา่ เหว่ยี งทิง้
14
จึงเป็นตวั เตือนสติ สกั แตว่ า่ รู้ผา่ น สกั แตว่ า่ รู้ผา่ นๆ แต่กิริยา
ไม่มีแสดงออก เห็นไหมแนวที่เราทา มนั มีท้งั สามข้นั ตอน
อยแู่ ลว้ กาย เวทนา จิต ธรรม มนั ออกมาทางกายภาพอีก เรา
ไมต่ อ้ งไปสร้างฐานใหม่เลย ไมต่ อ้ งไปเพ่งดูอะไร เพียงแต่วา่
ตอ้ งจาไวแ้ มน่ แมน่ เฝ้ามอง สักแตว่ า่ รู้ มีสติตลอดเวลา มนั
ไหลออกรู้ ไมใ่ ช่วา่ ไปอยากรู้เมื่อไหร่ หรือวา่ ไปกาหนด
ตดั สินเม่ือไหร่ วา่ ชอบไม่ชอบ มนั ดึงเราเขา้ ไปเลย อนั น้ีเขา้ ใจ
ปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน กม็ ีสามข้นั ตอนใหญ่ ๆ
ทีน้ีข้นั ตอนท่ีส่ี ทาไมบอกวา่ มีสามข้นั ตอน ทาไมมี
ข้นั ตอนท่ีส่ี ข้นั ตอนที่ส่ี น่ีคือผลของมนั อนั น้ีไม่ตอ้ งปฏิบตั ิ
ไมใ่ ช่ไปกาหนด อยากใหม้ นั เป็น อยา่ งน้นั อยา่ งน้ี สภาวะธรรม
ท่ีมนั เกิดข้ึน จากเราดาเนินสามข้นั ตอน มนั จะมี อนิ ทรีย์
แก่กลา้
แลว้ แตล่ ะคน มนั จะเกิด ไม่เหมือนกนั มนั จะเกิดข้ึนมา
มนั คือ ผลของมนั ไปกาหนด อยากปฏิบตั ิใหม้ นั เป็น ไปคิดให้
15
มนั เป็นกไ็ ม่ได้ ธรรมะ สรรพสิ่งมนั เกิดข้ึน ตามธรรมชาติของ
มนั ไมไ่ ดเ้ กิด จากการนึกคิด อนั น้ี คือ ผลของมนั จะตามมา
บางคร้ังมีอารมณ์คลา้ ย ๆ วา่ ลูกโป่ งกาลงั ลอยข้ึนไป สมมติวา่
ยางลูกโป่ ง มนั กาลงั จะขาด หวั ใจเรา มนั จะขาดใจตาย
เหมือนกนั อะไรก็แลว้ แต่ อนั น้ีคือผลของมนั
เรามีหนา้ ที่ กเ็ หมอื นเดิม กค็ ือสกั แตว่ า่ รู้ แลว้ กถ็ า้ มี
อารมณ์น้นั เกิดข้ึน ไมต่ อ้ งไปรู้ดว้ ย เราเขา้ ไปอยู่ กบั มนั เลย
เราเป็นตวั น้นั เลย จิตตอ้ งรวมเป็นหน่ึงเดียว ไม่มี จิตในจิตแลว้
คือโดดเขา้ ไปร่วม กบั มนั เลย เราก็คือสิ่งน้นั ส่ิงน้นั กค็ ือเรา
ถา้ เราเผลอเมือ่ ไหร่ เราไปคิดแมแ้ ต่นิดเดียว เพราะ เราเฝ้ามอง
ไมท่ นั เราไปคิด ร่ัวเลย คลา้ ยกบั วา่ กาลงั เป่ าลกู โป่ ง เป่ าเป่ าอยู่
มนั จะคิดกลวั บา้ ง คิดสงสัยบา้ ง คิดอะไรบา้ ง ลกู โป่ งมนั จะ
แฟบทนั ที
ถา้ ถึงข้นั ตอนท่ีสี่แลว้ ตอ้ งไม่มีผรู้ ู้ดว้ ย ไมม่ ีผรู้ ู้ กบั ส่ิงท่ี
ถูกรู้ จิตตอ้ งรวมเป็นหน่ึง ตวั ท่ีกาลงั เกิด นนั่ คือจิต โดดเขา้ ไป
16
เลย ตอ้ งถวายชีวติ จาไวน้ ะ ข้นั ตอนท่ีส่ี ไปกาหนดใหม้ นั
เกิดข้ึนไมไ่ ด้ มนั คือผล ท่ีเราดาเนิน สามข้นั ตอนตอ่ เนื่อง
สะสมพลงั อยา่ งมหาศาล แลว้ มนั กจ็ ะ เกิดผลของมนั น้นั คือ
ข้นั ตอนที่ส่ี
บางทีระเบดิ เป็นเปราะ ๆ เป็นโปรแกรม ๆ ระเบิด
โปรแกรมน้ี กส็ วา่ งข้ึน ก็กา้ วไปอีกข้นั นึง แตถ่ า้ เรา ระเบดิ ลูก
ใหญ่ ๆ คือระเบิด มนั จะเขา้ ไป สู่แกนกลางของจิต การดารงอยู่
ของจิตแท้ ๆ คือตวั ตนของเรา คือ อตั ตาตวั น้นั น่ีคือผลของข้นั
ท่ีสี่ มนั เกิดผลเขา้ ไปตรงน้นั ถา้ มนั ระเบดิ ตรงน้นั ทิง้ ได้ เมื่อ
ตวั เราไม่มี นนั่ แหละ คือสภาวะไมม่ ีจิต ไม่ใช่ไมม่ ีจิต จิตตวั น้นั
ไม่มีตวั ตนแลว้ อนั น้นั ก็คือจบ
แต่ไปต้งั ใจไปปฏิบตั ิ ไปทาใหม้ นั เกิดข้ึน ไมไ่ ด้ มนั
เกิดข้ึน มนั คือผล ของการดาเนิน ท้งั สามข้นั ตอน แลว้ ส่ิงที่เรา
กาลงั ปฏิบตั ิอยทู่ กุ วนั น้ี เวลาน้ี มีสามข้นั ตอนน้นั ครบตลอด
เพยี งแต่วา่ ดาเนินไปเร่ือย ๆ ไมต่ อ้ งไปกงั วลสงสยั อะไร
17
ต้งั แตเ่ ร่ิม ข้นั ตอนท่ีสอง สาคญั อยา่ ไปตดั สิน ถา้ ตดั สิน
ตวั เฝ้ามอง มนั จะแฟบเลย ความคิด เกิดข้ึนทนั ที ใหท้ าตวั ยงั ไง
ทาอารมณ์ยงั ไง คลา้ ย ๆ เมฆหมอก ลอยไปลอยมา ฟ้ายอ่ ม
เป็นฟ้า เราตอ้ งเป็นฟ้า อยา่ ไปตดั สินวา่ ไอเ้ มฆสีดา น่ีไมด่ ี
เมฆสีขาวมนั ดี มนั สกั แตว่ า่ ลอย ไปลอยมา เราเป็นฟ้า ก็สกั แต่
วา่ ดูมนั อนั น้ีข้นั ตอนท่ีสอง
และส่วนข้นั ตอนท่ีสาม ทาตวั เอง เหมือนเราเป็น
กระจกเงา คนสวย ๆ มายนื อยตู่ รงน้ี ก็ไม่ตดั สิน คนข้ีเหร่มา
ยนื ตรงน้ี ในเงา มนั ก็ไม่ตดั สิน ไมม่ ีคนเลย มนั กไ็ ม่ตดั สิน
มนั วา่ ง อยตู่ ลอดเวลา ตอ้ งมีอารมณ์แบบน้นั ถา้ เราเผลอ ไป
ปรุงแต่งหรือ ไปตดั สินมนั เมื่อไหร่ สติตวั เฝ้ามองหลุดทนั ที
ทีน้ี กก็ ลบั มายอ้ นดูวา่ เมื่อเป็นแคน่ ้ีเอง เราทาไมตอ้ ง
ยอ้ นไปสู่อดีต พ่อครูพดู เองวา่ ท่ีเรา ไปเพ่งดู แม่น้าสายนึง
ไปเพง่ ดู วา่ มนั ไหลไวๆๆๆๆ เราก็มองเห็น มนั ไวนะ อนั น้นั
18
เป็นการ ไปเพง่ พจิ ารณา จริงจริงแลว้ ไม่ตอ้ งพิจารณาอะไร
สกั แต่วา่ เห็น แต่วา่ มนั กเ็ ห็น แคเ่ ปลือก มนั ไหลอยอู่ ยา่ งน้ี
ท่ีเราโดดเขา้ ไปในอดีต เขา้ ไปในธรรมในธรรม โดด
เขา้ ไป ไมใ่ ช่ไปยดึ ติดมนั ไมใ่ ช่ไปติดอารมณ์น้นั โดดเขา้ ไป
สัมผสั ส่ิงที่ละเอียดข้ึน เรากร็ ู้อารมณ์ของน้า รู้กระแสน้า รู้
ความเยน็ ความร้อน ของมนั แต่ไม่ใช่ไปติดมนั เขา้ ไปเรียนรู้
กบั มนั อนั น้นั คือข้นั ตอนที่สาม คือธรรมในธรรม
ทกุ วนั น้ี เราแค่ข้นั ตน้ ดูแค่กายภาพของมนั ดูแค่
อริยาบถ ของกาย ดูแค่ กายภาพของน้า และเรายงั ใชว้ ิธีเพง่
พิจารณา อนั น้นั มนั เกิดแค่ จินตมยปัญญา ปัญญาซ่ึงเกิดจาก
การคิดคาดคะเน ถา้ คิดเก่ง ๆ มีประสบการณ์ มนั ก็คาดคะเน
ใกลเ้ คียงหน่อย เทา่ น้นั เอง มนั ยงั ไม่ใช่ของจริง
เอาเป็นวา่ ส่ิงที่เราทาอยู่ มนั มีประโยชนม์ หาศาล แต่ถา้
ไมเ่ ขา้ ใจแลว้ เป็นโทษมหาศาลเหมือนกนั อะไรท่ีมนั เร็ว มนั ก็
ตอ้ งแรง ผลตีกลบั มนั แรงมากเหมอื นกนั แตท่ ี่พ่อครูบอกวา่
19
ยส่ี ิบปี ก่อน กบั ตอนน้ี มนั ไมเ่ หมือนเดิม สภาวะคลื่นเวร คล่ืน
กรรม คลื่นโลก คลื่นจกั รวาล มนั ก็เปลี่ยน เราค่อนขา้ งจะไม่มี
เวลา ไปตว้ ม ๆ เต้ียม ๆ ไมท่ นั แลว้
กระแสตอนน้ี มนั เหมือนอะไร ถา้ เหมอื นน้าก็เหมือน
น้าป่ ามนั มาแลว้ คนที่ ไมเ่ คยวา่ ยทวนกระแสน้าเลย ไม่ตอ้ งพดู
ถึงมนั มาแลว้ ก็ไปเลย พวกเราตอ้ งฝึก ใหม้ ีพละกาลงั ที่
เหนือกวา่ ไม่ง้นั เราตา้ นไมอ่ ยู่ พอ่ ครู ถงึ ใชค้ าวา่ ตอ้ งวดั ดวง
ตอ้ งวดั ดวง คล่ืนมนั แรงมาก
บงั เอิญแนวที่เราทา ทม่ี นั ไม่มีแนว มนั จะไปตรงกบั
จริตของแตล่ ะคน ไมใ่ ช่วา่ ทกุ คน ตอ้ งเหมอื นกนั มนั ไม่
เหมือนกนั สาคญั วา่ แรงเหวีย่ งน้ี มนั จะช่วยใหเ้ รา เป็น
เอกคตารมณ์ ไดเ้ ร็วข้ึน เหมือนมอเตอร์ไซด์ 2 คนั
คนั หน่ึงจอดไวเ้ ฉย ๆ อีกคนั หน่ึง มอเตอร์ไซดไ์ ต่ถงั
เห็นไหม เราดูดว้ ยตาเน้ือ มีความรู้สึกวา่ คนั ที่จอดไวเ้ ฉย ๆ มนั
นิ่งกวา่ คนั ท่ีมอเตอร์ไซดไ์ ตถ่ งั มนั ไมน่ ิ่ง แตเ่ ราลองดูนะ เอา
20
นิ้วเดียว แลว้ ไปผลกั คนั ที่จอดอยู่ ลม้ เลย นิ่ง อยา่ งไม่มพี ลงั
แต่คนั ที่มอเตอร์ไซดไ์ ตถ่ งั เอามือเขา้ ไปมือขาดเลยนะ นิ่งอยู่
กบั การเคลื่อนไหว มนั มีพลงั เหว่ยี ง พลงั ตวั น้ี จะทาใหเ้ ราทวน
กระแสอนั น้นั ได้
ชีวติ ท่ีเรา ถอยมาอยา่ งน้ี แน่นอนท่ีสุด ทุกคนปฏิเสธ
ไม่ได้ เรากาลงั วิ่ง ทวนกระแสโลก เราตามโลก ไปตลอดชีวิต
เราก็รู้แลว้ วา่ มนั ไม่ใช่ กจ็ ะสรุปอีกนิดนึง ข้นั ตอนท่ีส่ี น้นั
ทาไมถึงบอกวา่ ไปต้งั ใจปฏิบตั ิ หรืออยากใหม้ นั เกิดข้ึน ยง่ิ
อยาก มนั ยง่ิ ไม่เกิด มนั คือ เหมือนรางวลั คือ ผลที่เราดาเนินมา
เราขยนั เรามีวิริยะ เราสร้างบารมี ขนั ติบารมี วริ ิยะบารมี สมาธิ
สติ อะไรมาท้งั หมดเลย อนั น้นั คือ ผล ผลของมนั คือรางวลั
ไม่ใช่ต้งั ใจ จะไปหาเทคนิควิธีน้นั วธิ ีน้ีใหม้ นั เกิด แลว้ มนั
ระเบิดตูม้ ตา้ ม อนั น้ีไมใ่ ช่
ข้นั ตอนที่ส่ี คือผลของมนั เพยี งแตใ่ หเ้ รา รับรู้วา่ เม่ือ
อาการน้นั เกิดข้ึนแลว้ อยา่ ลงั เล โดดเขา้ ไปเลย ไมม่ ีผรู้ ู้ดว้ ย
21
ไมม่ ีผเู้ ฝ้ามอง และส่ิงท่ี ถกู เฝ้ามองดว้ ย โดดเขา้ ไปตรงน้นั
เป็นหน่ึงเดียว พลงั จะเกิดมหาศาล ถา้ เราไม่คุน้ เคย พอเราไป
กลวั หรืออะไร มนั จะร่วั ทนั ที พลงั น้นั จะแฟบเลย
กวา่ จะถึงจุดน้นั ได้ ไมใ่ ช่เรื่องง่าย แตก่ ็ ไม่ใช่เรื่องยาก
เลย ไมใ่ ช่ยากเยน็ อะไร บางทีไม่รู้ สิบหา้ นาทีมาปฏิบตั ิ ก็ตูม้
เลย กม็ ี เรื่องน้ีมนั เกิดข้ึน ไดต้ ลอดเวลา แต่ใหเ้ รารู้วา่ เมือ่
สภาวะตรงน้นั มนั เกิดข้ึนแลว้ อยา่ ลงั เล มอบชีวติ ใหเ้ คา้ เลย
ไมม่ ีผเู้ ฝ้ามองอีก โดดเขา้ ไป อยใู่ นอารมณ์น้นั ร้อยเปอร์เซนต์
แลว้ อะไรจะเกิด กใ็ หม้ นั เกิด
ก็จะพูดเรื่องนึง เป็นบุคลาธิษฐาน ใหเ้ ขา้ ใจ ข้นั ตอนท่ีส่ี
เม่ือวานน้ี พอ่ ครูกไ็ ปเปิ ดหนงั สือเลม่ นึง เคา้ กพ็ ดู ถึงเร่ืองน้ี
สมยั พทุ ธกาล มีคร้งั นึง เกือบปลายพระพทุ ธเจา้ พระองคก์ ็อายุ
มากแลว้ ตอนน้นั กาลงั เดินทาง ไปอีกหมู่บา้ นนึง พร้อมกบั
พระอานนท์ เดินไปเดินมา กพ็ กั กนั อยรู่ ะหวา่ งทาง พระพุทธ
องคก์ ต็ รัสวา่ อานนท์ พระองคเ์ สียใจนะ ท่ีจะตอ้ งใชอ้ านนท์
22
เดินกลบั ถอยไป อีกประมาณ 2 -3 ไมล์ ที่เราผา่ นมา เมื่อสักครู่
น้ี จะมีลาน้าเลก็ ๆ ใหพ้ ระอานนท์ กลบั ไปตกั น้า ใหพ้ ระพทุ ธ
องค์ พระองคบ์ อก พระองคก์ ระหายน้า
พระอานนท์ กบ็ อกวา่ พระพุทธเจา้ ขา้ ไม่ตอ้ งใชค้ าวา่
ไมต่ อ้ งให้ ไมต่ อ้ งเสียใจ เพราะพระองค์ เป็นผมู้ ีพระคุณ
พระองค์ ไม่ไดเ้ ป็นคนติดคา้ งอะไร เป็นการรื่นรมยอ์ ยา่ งยง่ิ ที่
ไดส้ นองคุณพระพุทธองค์ พระอานนทก์ ็เดินทางไป พอไปถงึ
ท่ีตรงน้นั บงั เอิญมีเกวยี น 2 เลม่ เกวยี นเคา้ เทียมเกวยี นมา 2
เลม่ เดินผา่ นลาน้าน้นั พอดี มนั มีทางลงแค่น้นั เอง บางทีน้าก็
ขนุ่ เลย พอขนุ่ แลว้ ไม่รู้ใบไมเ้ น่าอะไร กล็ อยข้ึนมาเตม็ ไปหมด
พระอานนท์ กไ็ มก่ ลา้ ตกั น้าตรงน้ี กลบั ไปถวายพระ
พุทธองค์ ก็เดินทางกลบั ไป ก็ไมไ่ ดพ้ ูดอะไร ใหฟ้ ังวา่ มนั เกิด
เหตบุ างอยา่ ง ไมส่ ามารถเอาน้าตรงน้นั มาถวายพระองคไ์ ด้
พระอานท์ บอกไม่เป็นไรหรอก ไปขา้ งหนา้ อีก 4 ไมลก์ จ็ ะเจอ
ลาน้าใหม่
23
พระพุทธองคบ์ อกวา่ ไม่ได้ พระองคต์ อ้ งการน้าในลา
น้าน้นั บอกใหพ้ ระอานนท์ ไม่ตอ้ งรออีก ใหก้ ลบั ไปเดี๋ยวน้ี
ใหไ้ ปเอาน้าตรงน้นั มา พระอานนท์ ก็เลยเล่าใหฟ้ ังวา่ เมอื่
สกั ครู่มีเกวียน 2 เล่มเดินผา่ น แลว้ น้ามนั ข่นุ หมดเลย มนั เป้ื อน
มาก เอามาถวายใหพ้ ระพุทธองค์ ไดอ้ ยา่ งไร
พระองค์ บอกวา่ ไปเถอะ ก็ยงั ยนื ยนั ใหไ้ ป พระอานนท์
ก็ไป โดยมีความรู้สึกลงั เลแต่กไ็ ป เพราะวา่ ศรัทธา พอไปถึง
ลาน้าน้นั พระอานนท์ ก็ตกตะลึง ตกใจ เม่ือสกั พกั น้ามนั
ยงั ข่นุ อยู่ อะไร ทาไมตอนน้ี น้ามนั ใสไปหมดเลย พระอานนท์
ก็แจง้ ข้ึนมาทนั ที อ๋อเขา้ ใจแลว้ ท่พี ระองค์ ใหก้ ลบั มาอีกคร้ัง
ก็เม่ือมาคร้ังแรก น้ามนั ขนุ่ เพราะเกวยี น มนั ไปทาใหม้ นั ข่นุ
พระอานนทเ์ อง กพ็ ยายามจะทาให้ มนั หายขนุ่ ก็ลงไป
ในลาน้าน้นั น้ายง่ิ ขนุ่ มากข้ึน มนั ก็เกิดสวา่ งข้ึนมา บอกวา่
สรรพส่ิง มนั เกิดข้ึนเองแลว้ มนั กต็ อ้ งเปล่ียนแปลง โดยตวั มนั
24
เอง แคต่ อนน้นั ถา้ เรานง่ั อยเู่ ฉย ๆ นง่ั เฝ้ามองอยู่ อยา่ ไปทาให้
มนั ข่นุ เดี๋ยวมนั กต็ กตะกอนมนั เอง มนั กไ็ หลหนีเองของมนั
พระอานนท์ ก็ได้ ธรรมะตรงน้นั กต็ กั น้า กลบั มาถวาย
พระองค์ ก็เลยมาพดู ความจริง ใหฟ้ ังวา่ ทีแรกมา ไม่ไดพ้ ดู
ความจริงใหฟ้ ัง ท้งั ๆที่พระพทุ ธองค์ รู้หมดแลว้ กร็ ้องไหใ้ หญ่
พระพทุ ธองค์ กถ็ ามพระอานนทว์ า่ อานนท์ เขา้ ใจหรือยงั
พระอานนท์ ก็ร้องไหใ้ หญ่ แลว้ กพ็ ูดวา่ ทีแรกไปก็มนั เป็น
อยา่ งน้ี ๆ มนั มีเกวียน อยา่ งน้นั อยา่ งน้ี ๆ จริง ๆ แลว้ สรรพสิ่ง
มนั เกิดข้ึนเอง แลว้ มนั กเ็ ปล่ียนแปลงเองของมนั
บางที ไมต่ อ้ งทาอะไร ใหม้ นั วนุ่ วาย ถา้ เราแฝงดว้ ย
ความอยาก บางทีขยนั โง่ ๆ มนั ไมส่ าเร็จ ทีน้ี พระองค์ ก็ตรัส
ให้ พระอานนทฟ์ ังวา่ จริง ๆ แลว้ พระองค์ ไมไ่ ดก้ ระหายน้า
หรอก คนท่ีกระหาย คอื พระอานนท์ ที่ไปที่นูน้ พระอานนท์ ก็
ไมไ่ ดไ้ ปตกั น้า มาถวายพระองคห์ รอก ไปเพ่อื พิสูจน์ อะไรซกั
25
อยา่ งนึง พระพุทธองค์ เล่าใหฟ้ ังวา่ เมื่อตอนที่เดินผา่ นลาน้า
น้นั มา พระองคก์ ็เห็นเกวยี น 2 เลม่ น้นั เดินอยู่ บนเนินดิน
พระองค์ ก็คาดคะเนคร่าว ๆ วา่ คงจะมาถึง ร่องน้าน้นั
แลว้ จึงใชพ้ ระอานนท์ ใหก้ ลบั ไปท่ีตรงน้นั อนั น้ี นยั ยะนึง
กค็ ือวา่ เราตอ้ งยดึ ศรัทธาไว้ บางทีครูบาอาจารย์ เคา้ ไม่มีเวลา
มาอธิบายวา่ ตอ้ งทายงั ไง เคา้ บอกใหไ้ ปทาอะไร ก็ไปทา แต่
ถา้ เราด้ือร้ัน ไปติดที่เหตุผลตรรกะอะไรๆ จนมีทิฐิมานะข้ึนมา
เรากจ็ ะพลาดโอกาส อนั น้ีเร่ืองนึง
แลว้ กส็ ิ่งน้ี พระอานนทก์ ็ พูดไปร้องไหไ้ ป บอกวา่ เม่ือ
ไปเห็นลาธารตรงน้นั แลว้ จริง ๆ แลว้ ตรงน้นั คือลาธาร คือ
สายธารในจิตใจ ของพระอานนทเ์ อง ขา้ งในน้นั มีแต่ความคิด
ท่ีเน่าเปื่ อย มีแต่ความสกปรก ในความคิดน้นั เหมือนลาธาร
น้นั เลย ทีน้ีไอก้ ารท่ีจะ ทาใหล้ าธารมนั สะอาด ตอ้ งเขา้ ใจวธิ ีทา
ไม่ใช่อยากทาแลว้ ก็ไปทา ยงิ่ ทาก็ยงิ่ ขนุ่ อะไรลกั ษณะน้ี
26
สรุปที่วา่ ข้นั ตอนที่ส่ีน้ี อยา่ ไปแฝง ดว้ ยความอยากอะไร
ท้งั น้นั แมก้ ระทง่ั ข้นั ตอนที่หน่ึง ที่สอง ที่สาม เราก็ไม่อยากนะ
ทาจิตใจ ใหเ้ ป็นกลาง เฝ้ามองสิ่งต่าง ๆ ท่ีมนั เกิดข้ึน เป็นการ
ดาเนินสติเรา โดยใชฐ้ านต่าง ๆ ตรงน้นั เป็นการสอบประเมิน
จิตเราตลอดเวลา
เหมือนเราได้ ใชจ้ ิตไปฝึก เหมือนนกั กีฬา ไมใ่ ช่ไปฝึก
แขง็ แรงเฉย ๆ ไมเ่ คย ลงไปแขง่ เลย มนั ไมม่ ีประสบการณ์
ข้นั ตอนดาเนินเจริญมรรค คือตอ้ งเอาสติ เอาสมาธิ เอาปัญญา
ท่ีมีอยู่ โดดเขา้ ไปเลย ลงไปในสนามเลย ดาเนินไปเรื่อย ๆ
แตต่ อ้ งดาเนินแบบ ไมแ่ ฝงดว้ ยความอยาก หรือไม่อยาก
ทาจิต เป็นกลาง ๆ แลว้ เราจะเห็นสองดา้ น แตถ่ า้ เราไป
ถูกฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึง ดูดเขา้ ไปแลว้ เราจะเห็น ในดา้ นเดียว เราจะ
ไมเ่ ห็นความจริง เพราะความจริงตามธรรมชาติ มนั มีสองดา้ น
ตลอด มนั เป็นของคู่
27
อนั น้ี ก็เอาส่ิงท่ีพ่อครูพูด ไปพิจารณา แลว้ ทกุ คน ไม่
ตอ้ งเหมือนกนั ไม่ใช่ทกุ คน ไมต่ อ้ งไปสู่อดีต พ่อครูเองสาม
ชวั่ โมง ไมไ่ ดไ้ ปอดีตเลย แลว้ บงั เอิญเป็นบญุ เก่า ท่ีพอ่ ครูไม่
เคยปฏิบตั ิมาเลย ไมเ่ คยไปอ่านหนงั สือ เร่ืองปฏิบตั ิธรรมแมแ้ ต่
หน่ึงเลม่ กเ็ ลยไม่ถูกครอบงา โดยอะไรท้งั น้นั
ไมต่ อ้ งไปตามรู้ ตามดู ตามเพง่ ทกุ อยา่ งมนั เกิดข้ึน เราก็
ดูมนั ตามธรรมชาติ เราก็ดูมนั มนั เตน้ ตุ๊บๆ มนั หมนุ เรากร็ ู้
อะไรมนั ออกป๊ บุ เรากร็ ู้ มนั ชาไปหมดเรากร็ ู้ มนั เจบ็ ตรงน้ีเรา
ก็รู้ เราไมไ่ ด้ มีความอยากรู้ ไมไ่ ดไ้ ปตามดู ตามอะไรท้งั น้นั
เราไม่ถกู บ่วงความรู้ แบบไปอ่านมา ไปทอ่ งจามา
โดยเฉพาะ ธรรมะจริง ๆ ตอ้ งไมไ่ ดเ้ กิดจาก อดุ มการณ์
หรืออุดมคติ ถา้ เกิดจากอุดมการณ์ หรืออุดมคติ เร่ิมตน้ เรากถ็ กู
ตวั น้นั บลอ็ คไวแ้ ลว้ ท่ีเราถกู กิเลสตณั หา อปุ ทาน และกระแส
กรรมเราบลอ็ คไว้ กห็ นกั หนาสาหสั แลว้ ยงั มาถูก ลทั ธิ
28
อดุ มการณ์ที่เราเช่ือ ตวั น้ีมาบลอ็ คไวอ้ ีก อนั น้ีหนกั หนาสาหสั
มนั เหมือนมีประโยชน์ แตม่ นั มีโทษมหนั ต์
ถึงวา่ ยสี่ ิบปี อยทู่ ่ีนี่ พ่อครูไมเ่ คยไปนง่ั คิดวา่ จะทายงั ไง
ไม่คิด มนั ไม่คิด ทาแบบน้ีแหละ ทาแบบ ไมต่ อ้ งทาอะไรเลย
ทาเพราะทา เป็นแนวทาง ซ่ึงไมม่ ีแนวทาง บงั เอิญพ่อครูไม่ได้
ไปติดบว่ งวิชาการ หรือวา่ ลทั ธิน้นั ลทั ธิน้ี หรือไปเรียนรู้วธิ ี
น้นั วธิ ีน้ี มนั ธรรมชาติ ไปทาอยา่ งน้นั ไมไ่ ด้
เราจะเอา ความสามารถ ดา้ นความรู้ ความสามารถ
แบบวทิ ยาศาสตร์ มาจดั การกบั เรื่องจิต ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้
ตอ้ งปลอ่ ย ใหม้ นั ดาเนิน ไปตามธรรมชาติของของจิต และ
จิตเราเอง อยา่ วา่ แต่จิตนาย ก นาย ข ก็ไม่เหมอื นกนั จิตเรา
เองแตล่ ะช่วงเวลา อารมณ์เคา้ กไ็ มเ่ หมือนเดิม เราจะไปมี
วิธีการเป็นสูตรสาเร็จ เป็นเทคนิคอะไรตายตวั มาจดั การกบั
ทกุ ๆ ดวงจิตเลย มนั เป็นไปไม่ได้ แต่ทกุ วนั น้ี ทาอยเู่ ป็นอยา่ ง
น้นั หมด เพราะไปชูธงวิธีน้นั วธิ ีน้ี เป็นลทั ธิอะไรตา่ ง ๆ ข้ึนมา
29
ศาสนาพทุ ธ สอนใหเ้ ราลด ละ เลิก ยง่ิ ปฏิบตั ิแลว้ กย็ ง่ิ
ไมม่ ีทิฐิมานะ จิตพ่อครู กไ็ ปพจิ ารณากเ็ ห็น วา่ ท้งั หมดคือ ไม่
ระวงั ไมเ่ ฝ้ามอง อยา่ งมีสติ เผลอเรอ กไ็ ปติดที่บว่ งความคิด
แบบตรรกะ แลว้ กค็ ิด ตามวตั ถนุ ิยม ทนุ นิยม มนั แฝงดว้ ยความ
อยาก ทาอะไรดว้ ย ความโลภ โกรธ หลงท้งั น้นั
พอ่ ครู กพ็ จิ ารณา ไปเจอคาหน่ึงวา่ พระองคก์ ล่าววา่
สตั วโ์ ลกเป็นไปตามกรรม และศาสนาทพ่ี ระองค์ สร้างข้ึนมา
เพ่ือช่วยเหลือสัตวโ์ ลก ใหพ้ น้ ทุกข์ คาน้ีชดั มาก ไมไ่ ดบ้ อกดว้ ย
วา่ เพ่ือให้ พุทธศาสนิกชนพน้ ทกุ ข์ แลว้ ไมไ่ ดบ้ อกดว้ ยวา่
เพอื่ ใหม้ นุษยพ์ น้ ทุกข์ พระองคพ์ ดู วา่ เพื่อสตั วโ์ ลกพน้ ทุกข์
พ่อครูยงิ่ เห็นชดั ข้ึน มนั หลงกนั ไปหมดเลย มนุษย์ กข็ ้ีตวู่ า่
โลกมนุษย์ แลว้ กเ็ ขียนธรรมะข้ึนมา เป็นตวั หนงั สือ
บงั เอิญตวั หนงั สือ สตั วม์ นั อ่านไมอ่ อก กม็ ีแตม่ นุษย์
อ่านออกเทา่ น้นั ธรรมะเลยกลายเป็นของมนุษย์ คาวา่ สากล
เป็น international กลายเป็นสากลของมนุษย์ พอ่ ครูถึงบอกวา่
30
มนั ไมใ่ ช่ ความขดั แยง้ ท้งั โลก มนั เกิดข้ึน เพราะเราเขา้ ใจภาษา
ผดิ หมด ทุกศาสนาเขา้ ใจคาสอนของศาสดาของตวั เองผิดหมด
ถา้ พุทธศาสนิกชน เราเขา้ ใจส่ิงน้ี ไม่เพยี งแค่เราไม่
ทะเลาะกนั เองหรอก เรายงั เผอื่ แผ่ ใหส้ ัตวโ์ ลกดว้ ย คนนอก
ศาสนาดว้ ย เพราะวา่ ธรรมะ เป็นของสรรพส่ิง ไมใ่ ช่ของ
มนุษยฝ์ ่ ายเดียว ไอบ้ ว่ งตวั น้ี แค่ภาษาตวั น้ี แลว้ เราไปเขา้ ใจผดิ
ทาใหท้ ้งั โลก ขดั แยง้ กนั อยทู่ กุ วนั น้ี
พอ่ ครูเลยพยายาม หาภาษาวา่ เราจะเรียกสิ่งน้ี วา่
อยา่ งไร จริงๆ แลว้ ก็เรียกออกมา กผ็ ดิ เพ้ียน แต่วา่ ถา้ เราไม่ใช้
ภาษามาส่ือกนั มนั กค็ ุยไม่รู้เรื่อง อีกอยา่ งนึง ภาษาน้ีจึงเป็นส่ิง
ที่อนั ตรายมาก ถา้ เราใชภ้ าษาถูกตอ้ ง ภาษาเป็นสื่อ ทาใหเ้ ขา้ ใจ
กนั แตถ่ า้ เราไม่ระวงั ภาษาน้ีเป็นส่ือ ทาใหเ้ ราขดั แยง้ กนั ทาให้
เราเขา้ ใจผิด แลว้ ตอนน้ี เขา้ ใจผดิ หมดนะ
ธรรมะไม่ใช่ ของมนุษยฝ์ ่ ายเดียว และ ไม่ใช่ของ
พุทธศาสนิกชนเท่าน้นั ของสรรพสิ่ง ของสัตวโ์ ลกท้งั หลาย
31
นิพพาน กเ็ ป็นของมดมอด ของแมลง ถา้ มนุษยเ์ รา เขา้ ใจสิ่งน้ี
แลว้ การขดั แยง้ จะลดลง แตถ่ ามวา่ แกท้ นั ไหม ไมท่ นั ไป
เปลี่ยนโลกไดไ้ หม ไมไ่ ด้ แลว้ ทาอยา่ งไร ทกุ คนกลบั มาทาใจ
เหวยี่ งทิง้ กรรมใครกรรมมนั บญุ ใครบุญมนั
แต่เราไมไ่ ดพ้ ดู เพือ่ เราจะไม่ทา พวกเราก็ทา ทาดว้ ย
สามญั สานึก ดว้ ยจิตสานึกของเรา เราทาเรากไ็ ด้ ไดอ้ ะไร ได้
ให้ น่ีคือ ธรรมะคือหนา้ ที่ หนา้ ที่คือธรรมะ หนา้ ที่เราคือ ทาน
ศีล ภาวนา
การใหท้ าน เป็นหนา้ ที่ของเรา ไมต่ อ้ งมีใครมาจา้ งเรา
เราก็ให้ ใหส้ ่ิงดี ๆ แก่เดก็ ๆ แก่คนท่ี เคา้ ดอ้ ยโอกาส ส่วนให้
แลว้ เคา้ ดีข้ึน กอ็ นุโมทนาสาธุ เคา้ ไม่ดีข้ึน กเ็ ป็นกรรมของเคา้
ไม่ใช่หนา้ ที่เรา ตอ้ งไปแบกโลก โลกมนั ตอ้ ง เป็นไปตามกรรม
ไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่เรากท็ า ทาต่อไป แลว้ ก็ใหท้ กุ
คนมุง่ มนั่ ปฏิบตั ิ เสมอตน้ เสมอปลาย ลูกโป่ งถา้ เป่ าเรื่อย ๆๆๆ
32
มนั มีเวลา ระเบิดได้ ถา้ เป่ าแลว้ ก็แฟบ พรุ่งน้ีเป่ าใหม่ แลว้ ก็
แฟบอีก พรุ่งน้ีเป่ าใหม่ ก็แฟบอีก มนั ระเบดิ ยาก
เร่ืองศาสดาที่แทจ้ ริง ไม่ใช่ ไปสร้างลูกศิษยล์ ูกหานะ
ตอ้ งสร้างตวั เอง ดารงตวั เอง ส่วนลูกศิษยล์ กู หาน้นั เคา้ ตอ้ ง
ปฏิบตั ิเอง อยา่ ใหเ้ คา้ หลงครูบาอาจารย์ ถา้ หลงครูบาอาจารย์
มนั เป็นเหมือนลทั ธิ ก็อบป้ี ครูบาอาจารยห์ มดเลย มนั ไมใ่ ช่
ธรรมะ อนั น้นั ไปไดร้ ะดบั หน่ึง สุดทา้ ยกต็ นั
วิปัสสนากรรมฐาน พระองคบ์ อกคร่าว ๆ คือยดึ หลกั
เครื่องมือ คือสติปัฏฐาน๔ แต่วิธีใชเ้ คร่ืองมือ เราตอ้ งไป
คน้ ควา้ วิจยั เอง ตามจริตของตวั เอง ไม่ใช่กอ็ บป้ี เป็นแพคเกจ
เลย เป็นชุดวิชามา หน่ึง สอง สาม ซา้ ยหนั ขวาหนั ท่ีสอน
สอนกนั อยู่ มนั เป็นอดุ มคติ เป็นลทั ธิ เป็นอุดมการณ์ มนั
ไม่ใช่ธรรมะ
ธรรมะที่แทจ้ ริง ไม่มีธรรมะ ท่ีไมม่ ีธรรมะ นนั่ คือตวั
ธรรมะ ปัจจุบนั ถา่ ยทอด ไมม่ ีธรรมะ แลว้ จะมีธรรมะได้
33
อยา่ งไร ท่ีมนั ไมม่ ีธรรมะ เพราะมีถูกมีผิด มีของเธอ มีของฉนั
มีรูปแบบชดั เจน มนั ไมใ่ ช่ธรรมะ ธรรมะมนั ไมม่ ีตวั หนงั สือ
ไม่มีภาษาดว้ ย แต่ทุกวนั น้ี มนั เป็นอดุ มการณ์เป็นลทั ธิ เป็น ๆ
ชุดวชิ า ไม่ใช่ธรรมะ
34
ท่ีมา : เรื่อง สี่ข้ันตอนการปฏิบัติ
บรรยาย โดย พ่อครูบญั ชา ต้งั วงษ์ไชย
ศูนย์พลาญข่อย สิงหาคม 2552