1
โลกุตรธรรมท่ีดีท่ีสุดก็คือเรียนรู้ประวตั ิพระอรหนั ตเ์ จา้
ท้งั หลาย รู้ประวตั ิ แลว้ ก็รู้ท่ีมาท่ีไป และเราจะเห็นวา่ แตล่ ะ
องค์ แต่ละท่านไมเ่ หมอื นกนั เป็นนานาจิตตงั วนั น้ีกเ็ ลือกบท
ของพระอริยสงฆร์ ูปหน่ึงคือ พระราหุล
พระราหุลเถระ ( ภิกษุสาวกผ้เู ลิศด้านใคร่ศึกษา )
อดตี ชาตสิ มยั พระพุทธจ้าปทุมตุ ตระ
คร้ังพระพุทธเจ้าปทุมุตตระพระองค์น้ัน พระเถระนี้
เกิดในเรือนมีสกุล ถึงความรู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่ง ได้ฟังธรรม
เทศนาในสานักพระพุทธเจ้า และได้เห็นพระศาสดาทรงตั้ง
ภิกษุรูปหนึ่งไว้ ในฐานะอันเลิศกว่าภิกษุท้ังหลายผู้ใคร่
การศึกษา
ท่านปรารถนาตาแหน่งนนั้ จึงบาเพญ็ บุญอนั ยิง่ มีการ
ทาความสะอาดเสนาสนะ และการให้แสงสว่าง เป็นต้น จุติ
จากอัตภาพนนั้ แล้วท่องเท่ียวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ได้รับพยากรณ์ว่าชาตสิ ุดท้ายจะเป็ นพระเจ้าจักรพรรดิ
ในเร่ืองนพี้ ระราหุลเถระเล่าไว้ภายหลงั บรรลพุ ระอรหันต์ว่า...
2
“เราได้ ปลดกระจกบนปราสาท ๗ ช้ัน ถวายแต่
พระภาคเจ้าปทุมุตตระ จากน้ันพระองค์ประทับยืนอยู่ใน
ท่ามกลางภิกษสุ งฆ์ ตรัสพยากรณ์ว่า
อบุ าสกผ้ทู าที่นอนนีใ้ ห้โชติช่วง ดุจกระจกเงาที่ปูลาด
ไว้อย่างดี อุบาสกนจี้ ะได้ปราสาททองปราสาทเงิน หรือ
ปราสาทแก้วไพฑูรย์ อย่างใดอย่างหนึ่งทนี่ ่าชอบใจ
อุบสกน้ันจะเป็นจอมเทพครองเทวสมบตั ิ ๖๔ ชาติ จะ
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิติดต่อกัน ๑,000 ชาติ..
ในกปั ที่หนึ่งแสนจากกปั นี้ จักมพี ระศาสดาพระนามว่า
โคตมะเสดจ็ อบุ ัติขึน้ ในโลก อุบาสกนน้ั ถกู กุศลมูลตักเตือน
แล้วจะจุติจากสวรรค์ชั้นดสุ ิต เกิดเป็นพระโอรสของพระผ้มู ี
พระภาคเจ้าพระนามว่าโคตมะ
ถ้าเขาอย่คู รองเรือน กจ็ ะพึงได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
แต่เรื่องที่เขาจะยินดใี นการอย่คู รองเรือนนั้น ไม่ใช่ฐานะท่ีจะ
เป็ นได้
เขาจักต้องออกจากเรือนไปบวช มีข้อวตั รอนั ดี จะ
สาเร็จพระอรหัตเป็นพระอรหันต์ ชื่อว่า ราหุล
พระราหุลเป็นผ้มู ปี ัญญารักษาตน สมบูรณ์ด้วยศีล ดจุ
นกต้อยตวี ิดรักษาฟองไข่ ดจุ จามรีรักษาขนหาง...”
3
ตั้งความปรารถนาทีจ่ ะเป็ นโอรสของพระพุทธเจ้า
คร้ังน้ัน มีภิกษปุ ระมาณหน่ึงแสนรูป ไปนาคพิภพ
พร้อมกบั พระศาสดา ทรงเหยยี บคลื่นอยู่
พญาปฐวินทรนาคราชและหม่นู าคแลเห็นพระพทุ ธเจ้า
หม่ภู ิกษุ และมีสามเณรช่ืออุปเรวตะ ผ้เู ป็นพระโอรสของ
พระตถาคตอย่ทู ้ายสุด
พญานาคราชเห็นสามเณรแล้วคิดว่า “อานุภาพของ
พระพทุ ธเจ้าหรือของพระสาวก ไม่น่าอัศจรรย์นัก แต่อานภุ าพ
ของเดก็ เลก็ ๆ นชี้ ่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน”
แล้วทูลนิมนต์เข้าสู่ภพ
เมื่อพระพุทธเจ้าและหม่ภู ิกษุ นงั่ ยงั อาสนะของตนๆ
แล้ว พญานาค (แปลงเป็นมานพแล้ว) ถวายข้าวยาคูและ
ของเคีย้ วอ่ืนๆ พลางแลดูพระพทุ ธเจ้าทีหน่ึง และดูสามเณร
อุปเรวตะทีหน่ึง นัยว่าพญานาคเห็นลกั ษณะ ๓๒ ประการของ
สามเณรมเี หมือนพระพุทธเจ้า จึงสงสัยอย่วู ่า เป็นอะไรกัน
หนอ? แล้วไม่อาจปิ ดความสงสัยต่อไปได้
จึงถามภิกษรุ ูปที่นั่งอย่ใู กล้ๆว่า “ท่านเจ้าข้า สามเณรรูป
นเี้ ป็นอะไรกบั พระพุทธเจ้าหรือ?”
4
ภิกษนุ นั้ ตอบว่า “สามเณรเป็นพระโอรส มหาบพิตร”
พญานาคราชดาริว่า “สามเณรรูปนี้ยิ่งใหญ่จริ งหนอ
ถึงความเป็ นพระโอรสของพระตถาคตผู้สง่างามเห็นปานนี้
แม้สรีระของท่าน กป็ รากฏเสมือนพระสรีระของพระตถาคต
แม้ตวั เรานีก้ ค็ วรได้เป็นอย่างนใี้ นอนาคต”
พญานาคราชถวายมหาทานตลอด ๗ วัน วันท่ี ๗
กระทาความปรารถนาว่า...
“พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์พึงได้เป็ นพระโอรสของ
พระพุทธเจ้าพระองค์หน่ึงพระองค์ใดในอนาคต เหมือน
อปุ เรวตะสามเณรนี”้
ด้วยอานุภาพแห่งกุศลกรรมนี้ พระศาสดาทรงเห็นว่า
จะไม่มีอุปสรรค จึงทรงพยากรณ์ ว่า “ความปรารถนาของ
มหาบพิตร จะสาเร็จในสมัยของพระโคตมพุทธเจ้า” แล้ว
เสดจ็ กลับไป
สมัยพระพทุ ธเจ้ากสั สปะพญานาคมาเกดิ เป็ นโอรสพระราชา
ถึงสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะพระองค์น้ัน พญานาคราช
น้ันมาบังเกิดเป็ นพระเชฏฐโอรส (โอรสพระองค์โต) ของ
พระเจ้ ากิกิ พวกพระญาติทั้งหลายขนานนามให้ ว่ า
“ปฐวินทรกุมาร” พระราชกุมารมีพระภคินี ๗ พระองค์
5
พระภคินี (น้องหญิง) เหล่าน้ัน ตกลงกันว่าจะสร้ างสถานท่ี
ถวายพระพุทธเจ้าถึง ๗ แห่ง
ต่อมาพระราชกุมารทรงได้ตาแหน่งอุปราช ได้ตรัสขอ
ที่จะเป็นผ้สู ร้าง ๑ แห่ง แต่เหล่าพระภคินที ูลว่า พระเจ้าพ่ี
พระองค์ทรงได้ตาแหน่งอปุ ราชแล้ว พระองค์น่ันแหละควร
ประทานแก่พวกเรา ขอพระองค์โปรดสร้างที่บริเวณอ่ืนเถิด
พระอปุ ราชจึงให้สร้างวิหารถึง ๕00 แห่ง (แต่อาจารย์
บางพวกว่าสร้างบริเวณ ๕00 แห่ง) ถวายพระพทุ ธเจ้ากัสสปะ
และภิกษสุ งฆ์
พระราชกมุ ารน้ันทรงบาเพญ็ กุศลจนตลอดพระชนม์
ชีพ สวรรคตแล้วเกิดในเทวโลก
ชาตสิ ุดท้ายได้เป็ นพระโอรสพระพทุ ธเจ้าดังปรารถนา
ชาติ สุ ดท้ ายในสมัยพระพุทธเจ้ าโคตมะของพวกเรา
พระราชกุมารปฐวินทรนั้น มาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ
พระอัครมเหสี (พระนางพิมพา) แห่งพระโพธิสัตว์ (สิทธัตถะ)
ของเรา
ส่ วนท้ าวสักกะ อดีตสหายบังเกิดในเรื อนของท่ าน
รัฐปาลเศรษฐี ในถลุ ลโกฏฐิตนิคม แคว้นกรุ ุ
6
ในวันท่ีประสูติจากพระครรภ์ ของพระนางพิมพา
(ต่อมามักเรียกกันว่า ราหุลมาตา – มารดาของพระราหุล) น้ัน
ตรงกับเวลาท่ีพระโพธิสัตว์สิ ทธัตถะ (เจ้ าชายสิ ทธัตถะ
พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะแห่ งกรุงกบิลพัสด์ุ)
กาลังเสด็จประพาสอุทยาน และได้พบเห็นเทวทูตท้ัง ๔
(อรรถกถาบางแห่ งว่า พบวันละ ๑ เทวทูต รวม ๔ วัน แต่
บางแห่งว่าพบภายในวันเดยี ว) คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และ
บรรพชิต
เป็ นทารกทพ่ี ระบดิ าไม่ได้เห็นใบหน้า ไม่ได้สัมผัสกาย
ก่ อนจะเสด็จลงไปหานายฉั นนะ ท่ีโรงเลี้ยงม้ า
พระโพธิสัตว์ทรงดาริว่า “เราจะเยย่ี มดูลกู ก่อนแล้วค่อยไป”
จึงเสด็จลุกขึน้ จากบัลลังก์ท่ีประทับ เสด็จเข้าไปยังที่
บรรทมของพระมารดาราหุล ทรงเปิ ดประตูห้อง แสงจากดวง
ประทีปนา้ มันหอมยังส่องแสงอยู่ ทาให้ทรงเห็นพระมารดา
ราหุลทรงบรรทมวางพระหัตถ์ไว้เหนือเศียรของพระโอรส
บนที่นอนอันเกล่ือนด้วยดอกมะลิซ้อน และมะลิลา เป็นต้น
พระโพธิสัตว์ประทับยืนวางพระบาทบนธรณีประตู
ทรงดาริ ว่า...
7
“ถ้าเราเอามือพระเทวอี อกแล้วจับลูก พระเทวีกจ็ ะตื่น
บรรทม เม่ือเป็นอย่างนัน้ อันตรายกจ็ ะมแี ก่เรา เราจะเป็น
พระพุทธเจ้าเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาเยย่ี มลูกกแ็ ล้วกัน”
แล้วเสดจ็ ลงจากปราสาท
(มคี ากล่าวในอรรถกถาชาดกว่า ตอนเสดจ็ ออกบวชน้ัน
พระกุมารราหุลประสูติได้ ๗ วนั ในเร่ืองนที้ ่านคัดค้าน โดย
ให้เหตผุ ลว่า ความตอน ๗ วนั นี้ ในอรรถกถาที่เหลือไม่มี
พดู ถึง จึงพึงถือเอาว่า เสดจ็ ออกบวชวันเดยี วกับท่ีพระกมุ าร
ประสูติ)
จากนนั้ เสดจ็ ทรงม้า มนี ายฉันนะติดตามไป ถึงแม่นา้
อโนมา ตดั พระเกศาเป็นต้น ผนวชที่นนั่
พระมารดาสอนให้ทลู ขอราชสมบตั ิ
ในวนั ท่ี ๗ พระนางกท็ รงแต่งพระองค์ให้พระราหุล
กมุ าร แล้วสอนให้ไปเข้าเฝ้าทูลขอราชสมบตั ิด้วยคาว่า...
“นี่แน่ ะพ่ อ เจ้าจงดูพระสมณะน่ันซึ่งมีวรรณะดัง
รูปพรหม มีผิวพรรณดังทองคา ห้อมล้อมด้วยสมณะสองหม่ืน
รูป พระสมณะนีเ้ ป็ นบิดาของเจ้า พระสมณะนั้นมีขนุ ทรัพย์
8
ใหญ่ นับแต่ พระสมณะนั้นออกบวชแล้ ว แม่ ไม่ เห็น
ขมุ ทรัพย์เหล่านนั้ เลย
เจ้าจงไปขอมรดกกบั พระสมณะน้ันว่า ข้าแต่พระบิดา
ข้าพระองค์เป็นลกู ได้รับอภิเษกแล้ว จะได้เป็นพระเจ้า
จักรพรรดิ ข้าพระองค์ต้องการทรัพย์ ขอพระองค์จงประทาน
ทรัพย์แก่ข้าพระองค์ เพราะบตุ รย่อมเป็นเจ้าของทรัพย์มรดก
ของบิดา”
พระกุมารก็เข้าไปเฝ้า และได้รับความรักในฐานะ
พระโอรส ครั้นเสวยภัตเสร็จแล้ว พระศาสดาทรงลุกจาก
อาสนะเสด็จออก พระกุมารติดตามไปกราบทูลตามคาสอน
ของพระมารดา...
พระผ้มู พี ระภาคเจ้าไม่ทรงให้พระกุมารกลับ ถึงพระ
อารามแล้วทรงดาริว่า กมุ ารนี้ ปรารถนาทรัพย์อันเป็นของบิดา
ซึ่งเป็นไปตามวัฏฏะ มแี ต่ความคับแค้น เอาเถอะ เราจะให้
อริยทรัพย์ ๗ ประการ ที่เราได้แล้วท่ีโพธิมณฑลแก่กุมารนี้
เราจะทากุมารนีใ้ ห้เป็นเจ้าของทรัพย์มรดกอันเป็นโลกตุ ตระ
พระพุทธเจ้าประทานมรดกโดยให้บวชเป็ นสามเณร
9
แล้วตรัสให้พระสารีบตุ รบวชให้ราหุลกุมาร บวชแล้ว (เป็น
สามเณร) พระราชาทรงเกิดความทกุ ข์ใหญ่ท่ีเสียหลาน (พระ
นัดดา) ผ้สู ามารถจะสืบทอดวงศ์ได้ จึงเสดจ็ เข้าเฝ้า กราบทูล
ขอไม่ให้พระผ้เู ป็นเจ้าทั้งหลายบวชให้กลุ บตุ ร ท่ีมารดาบิดายงั
ไม่อนุญาต ซึ่งพระองค์ทรงมีพระบัญญตั ิห้ามแล้ว
ในพระวินัยเล่าว่า เม่ือพระพุทธเจ้าประทับนั่งบน
พุทธอาสน์ ในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนศากยะ
พระเทวีมารดาของราหุล ได้ตรัสสอนราหุลกุมารว่า “ราหุล
พระสมณะนั่นเป็ นบิดาของเจ้า เจ้าจงไปทูลขอทรัพย์มรดก
กับพระองค์”
ราหุลกุมารจึงเข้าไปเฝ้ายืนอยู่หน้าพระพักตร์ พลาง
กราบทูลว่า “ข้าแต่ พระสมณะ พระฉายา (หมายถึงตัว
พระกุมารเอง) ของพระองค์เป็นสุข”
พระพุทธเจ้าเสด็จลุกจากอาสนะ ราหุลกุมารได้ตาม
เสดจ็ ไปข้างหลงั พลางทูลขอทรัพย์มรดก
ไม่มีใครสามารถให้ราหุลกมุ ารกลับได้ ถึงพระนิโคร
ธารามแล้วทรงดาริ ว่า...
“ราหุลนี่ ปรารถนาทรัพย์ของบิดาอันใด ทรัพย์อันนน้ั
เป็นไปกับวฏั ฏะ มคี วามคับแค้น เอาเถิดเราจะให้อริยทรัพย์ ๗
10
ประการท่ีเราได้แล้ว ที่โพธิมณั ฑสถาน จะทาเธอให้เป็น
เจ้าของมรดกอนั เป็นโลกุตตระ”
มพี ระสารีบุตรเป็ นพระอุปัชฌาย์
ตรัสเรียกพระสารีบตุ รมาแล้วตรัสว่า “สารีบตุ ร เธอจง
ยงั ราหุลกมุ ารนีใ้ ห้บวชเถิด”
พระสารีบุตรทูลถามว่า “ข้าพระพุทธเจ้า จะให้ราหุล
กมุ ารทรงผนวชอย่างไร พระเจ้าข้า?”
พระพทุ ธเจ้าทรงปรารภเหตนุ แี้ ล้วตรัสแก่ภิกษทุ ั้งหลาย
ว่า “ภิกษทุ ้ังหลาย เราอนุญาตการบวชกลุ บตุ รให้เป็นสามเณร
ด้วยไตรสรณคมน์”
แล้วทรงอธิบายการบวชด้วยวิธีนีว้ ่า...
“ภิกษทุ ั้งหลาย ภิกษพุ ึงให้กุลบตุ รบวชอย่างนี้
ขั้นต้น พึงให้ โกนผมและหนวด แล้วให้ ครองผ้าย้อม
นา้ ฝาด ให้ ห่ มผ้าเฉวียงบ่า ให้ กราบเท้าภิกษุทั้งหลาย ให้ นั่ง
กระโหย่ง ประนมอัญชลี”
แล้วสั่งว่า “จงว่าอย่างนี้” แล้วสอนให้ ว่าสรณคมน์
ดงั นี้
11
พทุ ธัง สะระณัง คัจฉามิ-
ข้าพเจ้าถึงพระพทุ ธเจ้าเป็นท่ีพึ่ง
ธัมมงั สะระณัง คัจฉามิ-
ข้าพเจ้ าถึงพระธรรมเป็ นท่ีพึ่ง
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ-
ข้าพเจ้ าถึงพระสงฆ์ เป็ นท่ีพ่ึง
ทตุ ิยมั ปิ พทุ ธัง สะระณัง คัจฉามิ-
ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พ่ึง แม้ครั้งที่ ๒
ทตุ ิยมั ปิ ธัมมงั สะระณัง คัจฉามิ-
ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง แม้คร้ังที่ ๒
ทุติยมั ปิ สังฆงั สะระณัง คัจฉามิ-
ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่ ๒
ตติยมั ปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ-
ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นท่ีพ่ึง แม้ครั้งที่ ๓
ตติยมั ปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ-
ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นที่พ่ึง แม้ครั้งท่ี ๓
ตติยมั ปิ สังฆงั สะระณัง คัจฉามิ-
ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่ ๓
12
ภิกษทุ ้ังหลาย เราอนญุ าติการบวชกุลบตุ รเป็นสามเณร
ด้วยไตรสรณคมน์น”ี้
ท่านพระสารีบตุ รให้ราหุลกุมารบรรพชาแล้ว
ตรัสสอน “จูฬราหโุ ลวาทสูตร”
อรรถกถาว่า พระธรรมเทศนานี้ตรัสสอน ตอนที่
สามเณรราหุลมพี ระชนม์ ๗ พรรษา
วนั น้นั สามเณรราหุลปลกี วิเวกอยู่ ณ ปราสาทอัมพลัฏ
ฐิกา (ช่ืออย่างนี้ เพราะสร้างย่อส่วนเรือนแล้วนามาตง้ั ไว้หลงั
พระเวฬวุ ันวิหาร เพ่ือให้ผ้ตู ้องการความสงัดได้อาศยั )
เวลาเยน็ พระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ออกจากที่หลกี เร้น เสดจ็ เข้า
ไปหาสามเณร (ในพระบาลีเรียกราหุลว่า “พระ” แล้ว เป็น
เพราะท่านพระอานนท์เล่าย้อนหลงั ไป)
ราหุลสามเณรเห็นพระศาสดาเสดจ็ มาแต่ไกล จึงปูลาด
ที่ประทับนงั่ และตงั้ นา้ ไว้ให้ล้างพระบาท พระพทุ ธเจ้า
ประทับนั่งบนอาสนะ แล้วทรงล้างพระบาท สามเณรถวาย
บังคมแล้วน่งั
13
(อรรถกถาเล่าว่า ทรงดาริว่า เดก็ หน่มุ ย่อมพดู ถ้อยคาท่ี
ควรและไม่ควร เราจะให้โอวาทแก่ราหุลดงั นแี้ ล้ว ตรัสเรียกว่า
“ดูก่อนราหุล สามเณรไม่ควรกล่าวดิรัจฉานกถา...”)
ทรงเหลือนา้ ล้างพระบาทไว้หน่อยหนึ่ง แล้วตรัสว่า
“ราหุล เธอเห็นนา้ ที่เหลืออย่ใู นภาชนะนา้ นหี้ น่อยหน่ึงไหม?”
สามเณรทูลว่า “เห็น พระเจ้าข้า”
ตรัสว่า “ราหุล คนทพี่ ดู เทจ็ ทั้งท่ีรู้อยู่ กม็ คี ณุ ธรรมของ
สมณะเหลืออย่นู ้อยเหมือนอย่างนั้น”
จากน้นั ทรงเทนา้ ที่เหลือน้อยน้ันทิง้ ทั้งหมด
แล้วตรัสถามว่า “ราหุล เธอเห็นนา้ ท่ีเราเทจนไม่เหลือ
หรื อไม่ ?”
ทูลว่า “เห็น พระเจ้าข้า”
ตรัสว่า “ราหุล คนทพ่ี ดู เทจ็ ทั้งที่รู้อยู่ กม็ ีคณุ ธรรมของ
สมณะเหลืออย่นู ้อย กเ็ ป็นของท่ีเขาทิง้ เสียแล้วเหมือนกนั ฉัน
นัน้ ”
ทรงควา่ ภาชนะนา้ นน้ั ลง ตรัสถามว่า “ราหุล เธอเห็น
ภาชนะท่ีควา่ นไี้ หม?”
ทูลว่า “เห็น พระเจ้าข้า”
14
ตรัสว่า “ราหุล คณุ ธรรมของผ้ไู ม่มคี วามละอาย กล่าว
เทจ็ ทั้งท่ีรู้ กเ็ ป็นของที่เขาควา่ เสียแล้วเหมือนกนั ฉันนัน้ ”
ทรงหงายภาชนะนา้ นน้ั ขึน้ ตรัสถามว่า “ราหุล เธอเห็น
ภาชนะว่างเปล่านีไ้ หม?”
ทูลว่า “เห็น พระเจ้าข้า”
ตรัสว่า “ราหุล คณุ แห่งความเป็นสมณะของผ้ไู ม่มี
ความละอาย กล่าวเทจ็ ท้ังที่รู้อยู่ กเ็ ป็นของว่างเปล่าเหมือนกนั
ฉันน้นั ”
สามเณรเกดิ ความคดิ ฟ้งุ ซ่านขณะตามเสด็จ
ในขณะท่านพระราหุลติดตามเสด็จไป ก็เห็นความ
งดงามของพระพุทธเจ้า ท่านคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมี
พระสรีระวิจิตรด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการงดงาม
ดุจเสด็จไปท่ามกลางผงทองคาอันกระจัดกระจาย เพราะมี
พระรัศมแี วดล้อมวาหน่ึง ดจุ ขนุ เขาแวดล้อมด้วยสายฟ้า...
พระราหุลตรวจดตู นเองบ้างคิดว่า “แม้เรากง็ าม หาก
พระผ้มู พี ระภาคเจ้าได้ทรงครองความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ในมหาทวปี ทัง้ ๔ และทรงประทานตาแหน่งปริณายกแก่เรา
15
เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาคพืน้ ชมพูทวปี กจ็ ะงามยง่ิ ขึน้ ” ท่านเกิด
ฉันทราคะ (กาหนดั พอใจ) เพราะอัตภาพเป็นปัจจัย
ส่วนพระพุทธเจ้าเสดจ็ ดาเนินไป กท็ รงดาริว่า “ราหุลมี
ร่างกายสมบูรณ์ด้วยผิว เนือ้ และโลหิต แล้ว เวลานีก้ าลงั
ฟ้งุ ซ่านไปในรูปารมณ์ เป็นต้น อันน่ากาหนดั ราหุลปล่อย
เวลาให้ผ่านไปด้วยความมกั มากหรือ?”
แล้วทรงคานึงถึงกไ็ ด้รู้ความคิดของราหุลนนั้ ดุจเห็น
ปลาในนา้ ใส และดุจเห็นเงาหน้าในกระจกอนั ใสบริสุทธ์ิ
ทรงดาริต่อไปว่า “ราหุลนีเ้ ป็นโอรสของเรา เดิน
ตามหลงั เรา มาเกิดฉันทราคะ เพราะอาศัยอัตภายว่าเรางาม
ผิวพรรณของเราผ่องใส ราหุลแล่นไปในที่มิใช่ทางน่าดาเนิน
กาลังไปนอกทาง เท่ียวส่งใจไปในอโคจร ไปยงั ทิศท่ีไม่ควร
ไปดจุ คนเดินหลงทิศ
กิเลสขอราหุลนี้เติบโตในภายใน ย่อมไม่เห็นแม้
ประโยชน์ ตน ประโยชน์ ผู้อื่น จะถือปฏิสนธิในนรกบ้าง
ในกาเนิดดิรัจฉานบ้าง ในเปรตวิสัยบ้าง ในครรภ์มารดาอัน
คับแคบบ้าง จะตกไปในสังสารวัฏ อันไม่รู้เบือ้ งต้นและที่สุด
เราไม่ควารเพิกเฉยราหุลนี้ เหมือนอย่างเรือลาใหญ่เตม็
ไปด้วยรัตนะมากมาย บรรจุนา้ ไปในระหว่างกระดานแตก
16
นายเรือไม่ควรเพิกเฉยแม้เพียงครู่เดียว ฉะนนั้ เราจะข่มราหุล
นั้น ทากิเลสภายในของราหุลนน้ั ให้พินาศไป”
ลาดับนน้ั พระพุทธเจ้าทรงประทับยืน หมนุ พระวรกาย
เหลยี วดูดุจพญาช้าง ดจุ ปฏิมาทองหมนุ กลับ แล้วตรัสเรียก
พระราหุล
ทรงแสดง “มหาราหุโลวาทสูตร”
พระธรรมเทศนานี้ ตรัสสอนตอนสามเณรราหุลมอี ายุ
๑๘ พรรษา
ตรัสว่า “ราหุล รูป (หมายถึงรูปขนั ธ์ท้ังหมด) อย่างใด
อย่างหน่ึง ท่ีเป็นอดตี เป็นอนาคต และเป็นปัจจุบนั เป็นภายใน
กด็ ี หยาบกด็ ี ละเอียดกด็ ี เลวกด็ ี ประณีตกด็ ี ไกลกด็ ี ใกล้กด็ ี
รูปทั้งปวงนี้ เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอนั ชอบความเป็นจริงอย่าง
นีว้ ่า นน่ั ไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นน่ัน นน่ั ไม่ใช่ตัวตนของเรา”
พระราหุลกราบทูลถามว่า “ข้าแต่พระผ้มู พี ระภาคเจ้า
รูปเท่าน้ันหรือ? ข้าแต่พระสุคตเจ้า รูปเท่านน้ั หรือ?”
ตรัสตอบว่า ราหุล ทั้งรูป ทง้ั เวทนา ทั้งสัญญา ทัง้
สังขาร ท้ังวิญญาณ
17
ไม่ไปบิณฑบาต ปลกี ตัวเจริญกรรมฐาน พระสารีบตุ รสอน
อานาปานสติ
พระราหุลคิดว่า “วันนผี้ ้ทู ่ีพระผ้มู พี ระภาคเจ้า ทรงให้
โอวาทเฉพาะพระพักตร์แล้ว จะเข้าบ้านเพื่อบิณฑบาตหรือ?”
ท่านกลบั จากทีน่ ้นั ทันที
(อรรถกถว่า พระราหุ ลไปนั่งที่โคนไม้ ต้ นหนึ่ ง
พระพุทธเจ้าเองมิได้ตรัสห้ ามว่า เธออย่ากลับเลยเพราะ
พระองค์ดาริ ว่า วันนี้ราหุลจะบริ โภคคอมตโภชนะ คือ
กายคตาสติก่อน)
ท่านพระสารีบุตรเห็นพระราหุลนงั่ คู้บลั ลังก์ ตง้ั กาย
ตรง ดารงสติไว้เฉพาะหน้า ท่านจึงเข้าไปหาแล้วสอนให้เจริญ
อานาปานสติ (ท่านว่าพระเถระมิได้นึกถึงว่า พระราหุลเรียน
การพิจารณาขนั ธ์ ๕ มาจากพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ท่านเห็น
พระราหุลนงั่ อย่จู ึงสอนอานาปานสติเนื่องจากเหมาะแก่ท่านง่ั )
เวลาเยน็ พระราหุลออกจากท่ีหลกี เร้นแล้ว เข้าเฝ้าถึงท่ี
ประทับ ถวายบงั คมแล้วนง่ั
กราบทูลถามว่า “อานาปานสติท่ีเจริญให้มากแล้ว มีผล
มอี านิสงส์อย่างไร? พระเจ้าข้า”
18
พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้พิจารณาธาตุ ๕ พร้อมด้วย
รายละเอียด คือ
๑. ปฐวธี าตุภายในตน มลี ักษณะแข้นแขง็ อันกรรม
และกิเลสเข้าไปยึดม่ัน เช่น ผม ขน เลบ็ และฟัน
เป็ นต้น
๒. อาโปธาตุภายในตน มลี กั ษณะเอิบอาบ อนั กรรม
และกิเลสเข้าไปปยึดมน่ั เช่น ดี เสลด หนอง และ
เลือด เป็นต้น
๓. เตโชธาตภุ ายในตน มลี กั ษณะร้อน อันกรรมและ
กิเลสเข้าไปยึดมนั่ เช่น ไฟท่ีทาร่างกายให้อบอุ่น
ไฟที่ทากายให้ทรุดโทรม และไฟเผาย่อยอาหาร
เป็ นต้น
๔. วาโยธาตุภายในตน มลี กั ษณะพัดไปมา อันกรรม
และกิเลสเข้าไปยึดมน่ั เช่น ลมในท้อง ลมในลาไส้
และลมหายใจเข้าออก เป็นต้น
๕. อากาศธาตภุ ายในตน มีลกั ษณะว่างเปล่า อันกรรม
และกิเลสเข้าไปยึดมนั่ เช่น ช่องหู ช่องจมกู ช่อง
ปาก เป็นต้น
19
“เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่าง
นีว้ ่า น่ันไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นน่ัน นนั่ ไม่ใช่ตัวตนของเรา
เมื่อเห็นด้วยปัญญาตามจริงอย่างนแี้ ล้ว ย่อมเบื่อหน่าย จิตย่อม
คลายกาหนดั ในธาตุทัง้ หลาย”
จากนั้น ตรัสให้ เจริญภาวนาเสมอด้วยธาตุ ๕ คือ
(ทาจิตเหมือนธาตุ ๕)
๑. ให้ทาจิตเสมอด้วยแผ่นดิน ยามที่มีส่ิงท้ังที่ชอบใจ
และไม่ชอบใจ มากระทบจิต ทาให้เหมือนแผ่นดิน
ท่ีไม่ยินดียินร้ าย เม่ือมีผู้คนทิ้งสิ่งสะอาด และ
ไม่สะอาดลงมา
๒. ให้ทาจิตเสมอด้วยนา้ ไม่อึดอัด ระอา หรือยินดี
ในยามที่คนทิง้ สิ่งสะอาด และไม่สะอาดลงนา้
๓. ให้ทาจิตเสมอด้วยไฟ ไม่รังเกยี จท่ีจะเผาผลาญของ
สะอาดและไม่สะอาด
๔. ให้ทาจิตเสมอด้วยลม ไม่รังเกียจที่จะพัดถกู ต้องทั้ง
ของสะอาดและไม่สะอาด
๕. ให้ ทาจิตเสมอด้วยอากาศ ไม่ตั้งอยู่ในที่ใดท่ีหนึ่ง
ตายตัว ไม่มอี ะไรทาให้เปรอะเปื้อนได้
20
“เมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยของ ๕ อย่างนี้ ผัสสะ
อันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ท่ีเกิดขึน้ แล้วกจ็ ะครอบงาจิต
ไม่ได้”
จากนัน้ ตรัสสอนให้เจริญภาวนาธรรม ๖ คือ
เจริญเมตตาภาวนาเพื่อละพยาบาท ๑
เจริญกรุณาเพื่อละวิหิงสา ๑
เจริญมทุ ิตาภาวนาเพ่ือละอรติ ( ความไม่ช่ืนชมยินด)ี ๑
เจริญอเุ บกขาภาวนาเพื่อละปฏิฆะ (ความโกรธ ความ
ข่นุ ข้อง) ๑
เจริญอสุภภาวนาเพื่อละราคะ ๑
เจริญอนิจจสัญญา (กาหนดความไม่เท่ียงของสังขาร)
เพ่ือละอัสมิมานะ๑ (ความยึดถือว่ามเี รา)
จากน้ันทรงอธิบายวิธีเจริญอานาปานสติภาวนา... และ
ตรัสสรุปว่า...
“เม่ืออานาปานสติอันบคุ คลเจริญแล้วอย่างนี้ ทาให้มาก
แล้วอย่างนี้ ลมอัสสาสะ ปัสสาสะ อันมีในภายหลงั อันบคุ ล
ผ้เู จริญทราบชัดแล้ว ย่อมดับไป ส่วนผ้ทู ี่ไม่ทราบชัดแล้ว หา
ดบั ไปไม่”
21
อรรถกถาว่า พระราหุลถกู ทิง้ ไว้ในวิหารนน่ั แหละ
พระพทุ ธเจ้าและพระสารีบตุ รเองกร็ ู้ แต่มิได้ทรงบอกให้ใครๆ
นาอาหารไปให้ (สามเณรคงน่ังอย่โู คนไม้ไม่นาน จากน้ันก็
กลับมายงั วิหาร)
พระราหุลมิได้มีจิตห่วงว่าต้องอดอาหาร นั่งมนสิการ
กรรมฐานตามท่ีตรัสบอก และเจริญกรรมฐานท่ีพระสารีบตุ ร
สอนด้วย ท่านคิดว่า การไม่เช่ือฟังอุปัชฌาย์และอาจารย์ เขา
เรียกว่าคนว่ายาก
พระโอวาททต่ี รัสสอนพระราหลุ บ่อยๆ
พระราหุลยงั ไม่ได้บรรลอุ ริยภูมิใดๆ พระพทุ ธเจ้าทรง
ดาริว่า ราหุลนสี้ มบูรณ์ด้วยชาติสกลุ เป็นต้น เธออย่าได้ถือตวั
(ว่าเป็นโอรสเรา) หรือเย่อหยิ่ง เพราะเหตแุ ห่งชาติ โคตร
ตระกูล หรือผิวพรรณ เป็นต้น จึงตรัสพระคาถานเี้ นือง ๆ
(ช่ือราหุลสูตร)...
พระพุทธเจ้ าตรั สถามว่ า “เธอไม่ ดูหมิ่นบัณ ฑิ ต
(หมายถึงพระสารีบุตร) เพราะการอยู่ร่ วมกันเนืองๆหรื อ?
การถือคบเพลิง (คือญาณและพระธรรมเทศนา) เพ่ือมนุษย์
ท้ังหลาย เธอนอบน้อมแล้วหรือ?”
22
พระราหุลกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้ดูหม่ินบัณฑิต
ที่อย่รู ่วมกนั เนืองๆ คบเพลิงเพื่อมนษุ ย์ท้ังหลาย ข้าพระองค์
นอบน้ อมแล้วเป็ นนิตย์”
พระพทุ ธเจ้าตรัสสอนว่า “เธอละ กามคณุ ๕ มีรูปเป็น
ท่ีรักเป็นท่ีร่ืนรมย์ใจ ออกบวชด้วยศรัทธาแล้ว จงกระทาท่ีสุด
ทกุ ข์เถิด
เธอจงคบกลั ยาณมิตร จงนอนนัง่ ในที่อันสงัด ปราศจาก
เสียงกึกก้อง จงรู้ประมาณในโภชนะ เธออย่าได้กระทาความ
อยากในวตั ถุ อันเป็นทเี่ กิดตณั หาเหล่านี้ คือ จีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ และคิลานเภสัจ
เธออย่ากลับมาสู่โลกนอี้ ีก จงเป็นผ้สู ารวมในปาติโมกข์
และในอินทรีย์ ๕ จงมสี ติไปแล้วในกาย จงเป็นผ้มู ากไปด้วย
ความเบื่อหน่าย
จงเว้นสุภนิมิต (การกาหนดหมายว่าสวยงาม) อัน
ก่อให้เกิดความกาหนดั จงอบรมจิตให้มอี ารมณ์เป็นหนึ่ง ให้
ตงั้ มั่นดแี ล้วอสุภภาวนา จงอบรมวิปัสสนา จงละมานานสุ ัย
แต่นัน้ เธอจะเป็นผ้สู งบเพราะละมานะ (ความถือตวั ) เที่ยวไป
ฟงั พระธรรมเทศนาบ่มญาณเพอ่ื ความหลุดพ้น
23
มพี ระธรรมเทศนาชุดหนึ่งที่ทรงสอนพระราหุล ว่าด้วย
เร่ืองการพิจารณาอายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖
วิญญาณ ๖ สัมผสั ๖ เวทนา ๖ สัญญา ๖ สัญเจตนา ๖ ตณั หา ๖
ธาตุ ๖ และ ขนั ธ์ ๕ โดยความเป็นอนิจจัง ทกุ ขงั อนตั ตา ซึ่ง
เม่ือเห็นธรรมเหล่านนั้ ไม่เท่ียง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา เม่ือนัน้ ก็
จะไม่เห็นผิดว่า น่ันของเรา เราเป็นนั่น นนั่ เป็นตวั ตนของเรา
น่นั แหละอริยสาวกผ้ใู ดสดบั เห็นอย่อู ย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย
(ในขนั ธ์ ๕ เป็นต้น) เมื่อเบ่ือหน่ายย่อมคลายกาหนดั เมื่อคลาย
กาหนดั จิตย่อมหลดุ พ้น ย่อมมญี าณหยงั่ รู้ว่าจิตหลดุ พ้นแล้ว
อริยสาวกนน้ั ย่อมทราบชัดว่า ชาติสิน้ แล้ว พรหมจรรย์
อย่จู บแล้ว กิจท่ีควรทา ทาเสร็จแล้ว กิจอ่ืนเพ่ือความเป็นอย่าง
นีม้ ิได้มี
พระราหุลฟังพระธรรมเหล่านแี้ ล้ว ยงั มิได้บรรลธุ รรม
ใด แต่กเ็ ป็นไปเพื่อบ่มญาณให้แก่กล้า เพ่ือการถึงวิมตุ ติ คือ
หลดุ พ้น
ส่วนในขนั ธวารวรรคเล่าว่า...
พระราหุลเข้าเฝ้าถึงท่ีประทับ ทูลถามว่า “พระพุทธเจ้า
ข้า เม่ือบคุ คลรู้อย่อู ย่างไร เห็นอย่อู ย่างไร อหังการ (ตวั เรา)
24
มมงั การ (ของเรา) และมานานุสัย (เราเป็นนน่ั เป็นนี)่ ในกายท่ี
มวี ิญญาณนี้ และในนิมิตท้ังปวงภายนอกจึงจะไม่มี?”
ตรัสสอนให้พิจารณาขนั ธ์ ๕ ด้วยปัญญาเห็นชอบ ตาม
ความเป็นจริงอย่างนีว้ ่า น่นั ไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นน่นั นนั่
ไม่ใช่ตวั ตนของเรา
เมื่อบุคคลรู้อย่อู ย่างนี้ เห็นอย่อู ย่างนี้ อหังการ (ทิฏฐิ)
มมงั การ (ตณั หา) และมานานุสัย (มานะ) ในกายท่ีมวี ิญญาณนี้
และในนิมิตท้ังปวงภายนอกจึงจะไม่มี ดงั นี้
บรรลพุ ระอรหตั เมื่อฟงั “จฬู ราหุโลวาทสูตร” จบ
คร้ันพระพุทธเจ้าประทับอย่ทู ่ีพระเชตวนั วิหาร กรุงสา
วัตถี แม้ท่านพระราหุลกอ็ ย่ทู ี่นีด้ ้วย
ครั้งนน้ั พระพทุ ธเจ้าทรงหลกี เร้นอย่ใู นท่ีลบั ทรงเกิด
พระดาริ ว่า...
“ราหุลมีธรรมบ่มวิมุตติแก่กล้าแล้ว (อรรถกถาว่า
หมายถึงธรรม ๑๕ อย่าง เช่น เว้นบุคคลผู้ไม่มี ความศรัทธา
เป็ นต้น) ถ้ากระไร เราพึงแนะนาราหุลในธรรมที่สิ้นอาสวะ
ย่ิงขึน้ ไป”
25
เวลาเช้า พระองค์เสดจ็ เข้าไปบิณฑบาตในพระนคร
สาวัตถี เสดจ็ กลับจากบิณฑบาต ภายหลงั เสวยแล้ว ตรัสให้
พระราหุลถือผ้ารองนงั่ (ผ้านิสีทนะ) เข้าไปในป่ าอนั ธวนั เพื่อ
พักผ่อนกลางวนั
พระราหุลรับพระดารัส แล้วถือผ้ารองน่ังเดินตาม
เสดจ็ ไป
สมยั น้ัน เทวดาหลายพนั ตนติดตามไปด้วย พวกเทวดา
คิดว่า “วนั นี้ พระผ้มู พี ระภาคเจ้าจะทรงแนะนาท่านพระราหุล
ในธรรมท่ีสิน้ อาสวะย่ิงขึน้ ไป”
คร้ันเสด็จถึงแล้ว ประทับน่ังบนอาสนะที่พระราหุล
ปูลาดไว้โคนไม้ต้นหนึ่ง พระราหุลถวายอภิวาทแล้วนั่ง
พระพุทธเจ้าตรัสกับพระราหุลว่า “ราหุล เธอเข้าใจความ
ข้อน้ันว่าอย่างไร คือ จักษุ (ตา) เที่ยงหรือ ไม่เที่ยง?” กราบทูล
ว่า “ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า”
พระพทุ ธเจ้า :กส็ ่ิงใดไม่เท่ียง สิ่งนน้ั เป็นทกุ ข์หรือเป็นสุข?
พระราหุล :เป็นทุกข์พระเจ้าข้า
พระพทุ ธเจ้า :กส็ ิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผนั เป็น
ธรรมดา ควรหรือท่ีจะพิจารณาเห็นสิ่งนนั้ ว่า นน้ั ของเรา นนั่
เป็ นอัตตาของเรา?
26
พระราหุล :ข้อนนั้ ไม่ควรเลย พระเจ้าข้า
พระพทุ ธเจ้า :เธอเข้าใจความข้อนนั้ ว่าอย่างไร รูป (สิ่งที่เห็น
ด้วยตา) เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระราหุล :ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้า :กส็ ิ่งใดไม่เท่ียง ส่ิงนนั้ เป็นทุกข์หรือเป็นสุข?
พระราหุล :เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
พระพทุ ธเจ้า :กส็ ิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทกุ ข์ มคี วามแปรผนั เป็ น
ธรรมดา ควรหรือที่จะพิจารณาเห็นสิ่งนน้ั ว่า นั้นของเรา
เราเป็นนนั่ นนั่ เป็นอตั ตาของเรา?
พระราหุล :ข้อนนั้ ไม่ควรเลย พระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้า :ราหุล เธอเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร จักขุ
วิญญาณเท่ียงหรือไม่เทีย่ ง?
พระราหุล :ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า...
(แล้วตรัสถามว่าเป็นสุขหรือทุกข์? และควรท่ีจะเห็นว่า
นน่ั เป็นของเราหรือ? ดงั นเี้ ป็นต้น)
จากนั้นตรัสถามถึงโสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน (ใจ)
คู่ไปกบั เสียง กล่ิน รส สัมผสั ทางกาย ธรรมารณ์ และกล่มุ
วิญญาณ ๖ มจี ักษวุ ิญญาณ เป็นต้น ล้วนไม่เที่ยง เป็นทกุ ข์
27
“กส็ ิ่งใดไม่เที่ยง เป็ นทุกข์ มีความแปรผันเป็นธรรมดา
ควรหรือที่จะพิจารณาเห็นส่ิงน้ันว่า นั่นของเรา เราเป็ นนั่น
นนั่ เป็นอัตตาของเรา?”
ทูลตอบว่า “ข้อน้ันไม่ควรเลย พระเจ้าข้า”
“ราหุล อริ ยสาวกผู้ได้สดับ เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อม
เบื่อหน่าย เม่ือเบ่ือหน่าย ย่อมคลายกาหนัด เพราะคลาย
กาหนัด จิตย่อมหลุดพ้น เม่ือจิตหลุดพ้นแล้ว ก็รู้ว่าหลุดพ้น
แล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว อย่จู บพรหมจรรย์แล้ว ทากิจที่ควรทา
เสร็จแล้ว กิจอ่ืนเพื่อความเป็นอย่างนีไ้ ม่มอี ีกต่อไป”
พระราหลุ บรรลพุ ระอรหตั เทวดาบรรลุธรรมจกั ษุ
ตรัสจบแล้ว ท่านพระราหุลมีใจยินดีช่ืนชมพระภาษิต
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เม่ือพระพุทธเจ้าตรัสภาษิตนี้อยู่
จิตของท่านพระราหุลกห็ ลดุ พ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมนั่
และธรรมจักษอุ ันปราศจากธุลี ปราศจากมลทินได้เกิด
แก่เทวดาหลายพนั องค์ว่า...
“ส่ิงใดสิ่งหน่ึงมคี วามเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนนั้ ทั้งปวงมี
ความดบั เป็นธรรมดา”
28
อรรถกถาแห่งนเี้ ล่าว่า พระราหุลตั้งความปราถนา (ท่ีจะ
เป็นพระโอรสของพระพุทธเจ้า)ไว้ครั้งพระพทุ ธเจ้าปทุมตุ ตระ
ครั้งนน้ั ท่านเป็นพญานาคชื่อปาลิตะ ส่วนพวกเทวดาที่ติดตาม
มาเข้าเฝ้าฟังธรรมที่ป่ าแห่งนดี้ ้วย กต็ งั้ ความปรารถนา (ที่จะ
บรรลธุ รรม) ไว้เหมือนกนั
คาว่า ธรรมจักษุ โดยท่ัวไปหมายถึง ปฐมมรรค (มรรค
แรก คือโสดาปั ตติมรรค) เช่ น ในอุบาลีวาทสู ตรและ
ทีฆนขสูตร แต่ในพรหมายุสูตร ท่ านใช้ เรียกผลท้ังสาม
(สกทาคามิผล ๑ อนาคามิผล ๑ อรหัตตผล ๑) ว่าธรรมจักษุ
ส่วนในสูตรนี้ อริยมรรค ๔ และอริยผล ๔ ท่านเรียกว่า
ธรรมจักษุ คือ เทวดาแต่ละองค์บรรลธุ รรม แตกต่างกนั ไป
จนถึงพระอรหัตตผลกม็ ี
ราหลุ เถรคาถา
คร้ันบรรลุพระอรหัตแล้ว ท่านได้พิจารณาข้อปฏิบัติ
ของตน และเมื่อจะพยากรณ์ พระอรหัตตผลของตน ท่านจึง
กล่าวไว้ ๔ คาถาว่า...
“ชนท้ังหลายย่อมรู้จักเราว่า พระราหุ ลผู้เจริ ญ
ผ้สู มบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ ๒ ประการคือ ความมีชาติกาเนิดดี ๑
29
ความเป็ นผู้ปฏิบัติดี ๑ เพราะเราเป็ นโอรสของพระพุทธเจ้า
และเป็นผ้มู ีปัญญาเห็นธรรมท้ังหลาย
อน่ึง เพราะอาสวะของเราสิน้ ไป และภพใหม่ไม่มี
ต่อไป เราเป็นพระอรหันต์เป็นพระทักขิไณยบคุ คล มวี ิชชา ๓
เป็นผ้เู ห็นอมตธรรม
สัตว์ท้ังหลายเป็นดงั คนตาบอด เพราะเป็นผ้ไู ม่เห็นโทษ
ในกาม ถกู ข่ายคือตณั หาปกคลมุ แล้ว ถกู หลังคาคือตณั หา
ปกปิ ดแล้ว ถกู มารผกู แล้วด้วยเครื่องผูก คือความประมาท
เหมือนปลาในปากไซ
เราถอนกามนนั้ ขึน้ ได้แล้ว ตัดเคร่ืองผูกของมารได้แล้ว
ถอนตณั หาพร้อมท้ังราก (คืออวิชชา) ขึน้ แล้ว เป็นผ้มู คี วาม
เยือกเยน็ ดบั แล้ว (ด้วยสอปุ าทิเสสนิพพาน)
อปุ สมบทเป็ นพระภิกษุ
อรรถกถาสุตตนิบาตเล่าว่า เมื่อสามเณรราหุลอายคุ รบ
อุปสมบทแล้ว พระสารีบุตรเถระก็ได้เป็ นพระอุปัชฌาย์ให้
อุ ป ส ม บ ท มี พ ร ะ ม ห า โ ม ค คั ล ล า น ะ เถ ร ะ เป็ น
พระกรรมวาจาจารย์ (อุปสมบทด้วยวิธีญตั ติจตตุ ถกรรมวาจา)
30
ถงึ ความเป็ นเอตทัคคะ
ต่อมาภายหลงั พระพทุ ธเจ้าทรงยกย่องพระราหุลเถระ
ว่า “ภิกษทุ ง้ั หลาย พระราหุลเลิศกว่าพวกภิกษสุ าวกของเรา
ผ้ใู คร่ต่อการศึกษา”
บทว่า สิกขากามาน หมายถึงผู้ใคร่ ในสิกขา คือรักท่ี
จะศึกษา (เล่าเรียนและปฏิบัติ) ซ่ึงสิกขา ๓ โดยท่านยกการ
ลุกขึน้ แต่เช้าตรู่ของพระราหุลนับตั้งแต่วันท่ีบวช แล้วกอบ
ทรายเตม็ กามือ ตั้งปรารถนาว่า “ในวันนี้ ขอเราพึงได้โอวาท
และ พระอนุสาสนีมีประมาณเท่าทรายนี้ จากพระศาสดา
และ พระอุปัชฌาย์อาจารย์”
-----------------------จบ------------------------
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ แดนแห่งวมิ ตุ 5 สถานคือ
1. การฟังธรรม
2. การแสดงธรรม
3. การสาธยายธรรม
4. การตรึกตรองพจิ ารณาธรรม
5. การทากรรมฐาม
31
มีหา้ อยา่ งถา้ ทาตอ่ เนื่องบอ่ ยๆ นิพพานอยใู่ กลๆ้ เม่ือครู่
น้ีการแสดงธรรม ใครฟังแลว้ เขา้ ใจเกิดปัญญา ใครฟังแลว้
เขา้ ถึงกบ็ รรลุธรรม แตถ่ า้ ใครฟังแลว้ ไม่รู้เร่ือง ก็ไดข้ นั ติ
ไมม่ ีเสียหาย ไดป้ ระโยชนห์ มด
พ่อครูก็สรุปง่ายๆ ท้งั หมดสิ่งท่ีสาคญั ในเน้ือหาตรงน้ี
ก็คือ ทรงเนน้ บอกเร่ืองท่ีมาที่ไป ทาไมคนน้ีบรรลธุ รรม
เหมือนนางวิสาขาบรรลโุ สดาบนั ต้งั แต่ 7 ขวบ เณรบณั ฑิต
7 ขวบเป็นพระอรหนั ต์ ถา้ เราคิดแบบตรรกะ แบบเหตุผล
แบบชาติปัจจุบนั ตอ้ งเรียนทีละข้นั ทีละข้นั มนั เป็นไป
ไม่ได้ หนงั สือเลม่ น้ีส่วนมากพระอรหนั ตท์ ้งั 80 รูป เคา้ จะ
กล่าวถึงอดีตเป็นแสนๆ กปั คนโบราณบางช่วงสมยั หน่ึง
มีอายแุ สนปี หลายหมื่นปี แลว้ สร้างบารมีมามาก กวา่ จะถงึ
ชาติสุดทา้ ยที่บรรลุธรรม ไม่ใช่ฟลคุ๊ ไม่ใช่ชาติน้ีเราเกง่
ไม่ใช่เรียนเก่งๆ ไม่ใช่เรียนเยอะๆ ไม่ใช่
บุญเก่า + บญุ ปัจจุบนั คือ ผล กรรมเกา่ + กรรม
ปัจจุบนั คือ ผล เช่นเดียวกนั ส่วนพระสารีบตุ ร พระราหุล
พ่อครูเอามาเนน้ เรื่องอะไร เรามีลกู หลานตวั เลก็ ๆ บวชชี
บวชเณร แลว้ กพ็ ระราหุลเคยเกิดเป็นพญานาคราช แลว้ เคา้
ก็พูดเรื่องพญานาค สามารถสร้างทานบารมีได้ เรื่องน้ีใน
32
พระอรหนั ต์ 80 รูป ย้าพูดเร่ืองน้ีหลายคร้ัง เรานง่ั อยทู่ ี่น่ี
ไม่ใช่เกิดข้ึนลอยๆ อายขุ นาดน้ีไดบ้ วชก็ไม่ไดเ้ กิดข้ึนลอยๆ
อาทิตยก์ ่อนเราพูดถึงเรื่องพระพาหิยะ ในชาติสุดทา้ ยเป็น
พอ่ คา้ เกือบจะเป็นบา้ แลว้ เรือล่ม ไมเ่ คยรู้เร่ืองศาสนาเลย
ฟังธรรมแค่คร้ังเดียว บรรลเุ ป็นอรหนั ต์ ถา้ พดู ถึงเรื่อง
ตรรกะในชาติน้ีมนั เป็นไปไมไ่ ด้ แตต่ อ้ งระลึกรู้อดีตของ
พระองคเ์ หลา่ น้นั ถึงวา่ สร้างบารมีมามากมาย พวกเรา
เช่นเดียวกนั ไม่ไดเ้ กิดข้ึนลอยๆ เราสะสมมาเป็นแสนๆกปั
ถึงจะไดม้ าเจอคาสอนพระพทุ ธเจา้ ในยคุ น้ี และมีโอกาส
ไดบ้ วชดว้ ยไม่ใช่ธรรมดา
พาหิยะเองไม่ไดบ้ วช เพราะอดีตไมเ่ คยสร้างกศุ ลใน
เรื่องบวชเลย ไมเ่ คยถวายบาตร ไมเ่ คยถวายจีวร ไม่เคยมี
บารมีดา้ นน้ี แตพ่ ระองคก์ ็สร้างบารมีดา้ นอื่น ทาให้
พระองคไ์ ดบ้ รรลุธรรมได้ เราตอ้ งเขา้ ใจเรื่องจิตวญิ ญาณ
ไม่ใช่เรื่องชาติเดียว แลว้ มนั ไม่เกี่ยวกบั เง่ือนไขเวลา วา่
ตอ้ งอายมุ ากๆ เรียนประสบการณ์เยอะๆ อนั น้ีพสิ ูจน์วา่
พระอานนท์ รู้มากท่ีสุดรับใชพ้ ระพทุ ธองค์ เป็นพระเลขา
พระองคเ์ ทศน์อะไรจดไวห้ มด เห็นวตั รปฏิบตั พิ ระพทุ ธเจา้
หมดเลย ประสบการณ์มากท่ีสุด ทาไมไมบ่ รรลธุ รรม
33
วินาทีท่ีบรรลธุ รรมก็ไมใ่ ช่เป็นเพราะความรู้ เป็นเพราะวาง
ลงไปนอนป๊ ุบ บรรลุกลางอากาศ เราฟังกต็ อ้ งจบั ใจความ
ใหไ้ ด้ มนั ไมแ่ น่นะลกู ทุกคนบวชแคแ่ ตล่ ะชว่ั โมงแต่ละ
หน่ึงวนั มนั เกิดปาฏิหาริยไ์ ดท้ ุกวนั ถา้ เราบวกบารมีเราฝึก
ทกุ วนั บารมีปัจจุบนั + บารมีเก่า ถา้ มนั ถึงพร้อม มนั
เกิดข้ึนไดท้ นั ที
พอ่ ครูก็ขอยกที่พระพุทธเจา้ ทรงตรัสสอน พระราหุล
บอ่ ยๆ เหมือนวา่ ราหุลเธออยา่ กลบั มาสู่โลกน้ีอีก มีพอ่ คน
ไหนแช่งลูกวา่ ไมใ่ หผ้ ดุ ไม่ใหเ้ กิด มดั จะขดั แยง้ กบั ทาง
โลก ลูกเป็นเดก็ ดีนะ เกิดอนาคตขา้ งหนา้ จะไดด้ ีกวา่ เกา่
จะไดร้ ่ารวยมง่ั คงั่ สอนพระราหุลวา่ เธออยา่ กลบั มาสู่โลก
น้ีอีก จงเป็นผสู้ ารวมในปาติโมกข์ และในอนิ ทรีย๕์ มี
อะไร มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา จงมีสติไปแลว้
ในกาย อยกู่ บั ตวั เองตลอด จงเป็นผมู้ ากไปดว้ ยความ
เบื่อหน่าย
พ่อแช่งลูกให้เบื่อหน่ายทุกวัน แต่ชีวิตเราไม่ชอบ
เบื่อหน่าย เราชอบร่ืนเริงสนุกสนาน ไปเล่นเกมส์ไป
เท่ียวเตร่ อนั น้นั ยง่ิ ห่างไกลความพน้ ทุกข์ ความเบ่ือหน่าย
เกิดข้ึนบ่อยๆ จะทาให้เราจางคลายความยึดมั่นถือม่ัน
34
นน่ั แหละทางไปสู่ความพน้ ทุกข์ ไม่ใช่เบื่อหน่าย เพราะ
คิดเอาเอง เป็ นเร่ืองกิเลส กิเลสมันเบื่อแต่ไม่ใช่เราเบ่ือ
ถ้าจิตเราเบ่ือ คือ ผลของการเจริ ญวิปั สสนา มันคือ
นิพพิทารมณ์
พระพุทธองคไ์ ม่ไดส้ อนลกู เหมือนคนอื่น สอนวา่ เธอ
อยา่ กลบั มาสู่โลกน้ีอีก ไม่ใช่เหมน็ หนา้ เธอไมอ่ ยากเห็นนะ
แลว้ กจ็ งเป็นผมู้ ากไปดว้ ยความเบ่ือหน่าย เมอ่ื เราเบ่ือหน่าย
แลว้ จงมีความปิ ติสัมโพชฌงค์ ไม่ใช่มีความทอ้ ถอยทอ้ แท้
ความเบื่อหน่ายทาใหเ้ ราเห็นทกุ ข์ ไม่เห็นทุกขไ์ มเ่ ห็นธรรม
แลว้ ก็มีพระธรรมเทศนา ใชค้ าวา่ พระธรรมเทศนาบม่ ญาณ
เพือ่ ความหลดุ พน้
บ่มญาณ คือ สร้างพลงั ญาณหรืออนิ ทรียพ์ ละใหม้ ากข้ึน
เพ่อื ความหลดุ พน้ ทรงเนน้ เร่ืองอะไร ทรงสอนพระราหุล
วา่ ดว้ ยเรื่องการพจิ ารณาอายตนะภายใน 6 คือ ตา หู จมูก
ลิน้ กาย ใจ อายตนะภายนอก 6 คือ รูป รส กิน เสียง
สัมผสั แลว้ กอ็ ารมณ์ วิญญาณ๖ สมั ผสั ๖ ในหนงั สือพอ่ ครู
เรียกวา่ อายตนะวปิ ัสสนากรรมฐาน พดู เร่ืองน้ีท้งั หมด
เราตอ้ งอาศยั อายตนะ และเห็นเวทนา เห็นผสั สะ เห็น
สญั ญา พอเราเขา้ ไปในจิตในจิต น้นั แหละเราจะเห็น
35
สัญญาต่างๆ เรากเ็ อาสญั ญาตวั น้นั เป็นเคร่ืองมือในการ
ดาเนิน ตอ้ งมีสิ่งเหลา่ น้ี เหมือนเราเป็นนกั กีฬายงิ เป้าบิน
ถา้ ไม่มีเป้าเราจะยงิ อะไร เรายงิ ลม ไมม่ ีทางพน้ ทกุ ข์ พ่อครู
ช้ีใหเ้ ห็น เราเห็นสิ่งเหล่าน้ี เราจะเห็นความเป็นอนิจจงั
ทุกขงั อนตั ตา แตก่ ลบั กนั กลมุ่ ซ่ึงไปนง่ั ฌาน เขา้ ไปอยใู่ น
ฌาน ไม่อาศยั อายตนะ ไม่อาศยั สญั ญา ตดิ สุขในฌาน
อนั น้นั ไมใ่ ช่หนทางแห่งการพน้ ทุกข์ วา่ งๆ สุขๆ สบายๆ
มนั นอกเหนือการปฏิบตั ิแบบพระพทุ ธเจา้ บอก แมก้ ระทง่ั
เขา้ ไปถึง เคา้ เรียกวา่ นิโรธสมาบตั ิก็ช่าง แตม่ นั กม็ ีกาลงั
ของจิตมาก มนั ถึงจะเขา้ ตรงน้นั ได้ แต่ถา้ ไปติดอยตู่ รงน้นั
แลว้ ไม่ไดพ้ ่ึงอายาตนะ ไม่มีผสั สะ ไมใ่ ช่ทางพน้ ทุกข์
เรียกวา่ ติดสุขในฌาน มนั ไม่ใช่เร่ืองถูก เรื่องผดิ
หลายปี ก่อนมีผชู้ ายคนหน่ึง เคยบวชในวดั ป่ า แลว้ ก็สึก
ขบั รถมาที่ศูนย์ พอนั่งปฏิบตั ิเคา้ ก็จบั ลม พ่อครูคิดว่าเป็ น
วิชาหลวงพ่อโตหรือเปล่า สองช่ัวโมงเค้าก็น่ังน่ิงอยู่
อย่างน้ัน พอออกมาเค้าบอกว่า เคา้ จบั ลม แลว้ ก็เค้าอยู่
เหนือเวทนา ว่างๆ สิ่งกระทบทาอะไรเคา้ ไม่ได้ หลงั จาก
เคา้ พูด พ่อครูก็เฉยๆ ไม่ได้พูด ช่วั โมงต่อมาก็จบั อีก ทีน้ี
พ่อครูมองเขา้ ไปในจิตเคา้ มันกาลงั หลงอารมณ์ฌาน
36
ตรงน้นั พ่อครูก็เอาระฆงั ไปขา้ งหลงั เคา้ ตีเป๊ี ยง.. เคา้ ตกใจ
ดิ้นใหญ่เลย อาเจียน พ่อครูเดินไปพูดว่าแบบน้ีเรียกว่า
เวทนา คุณไม่ไดอ้ ยเู่ หนือเวทนา คุณหนีเวทนา เคา้ เรียกว่า
อสัญญีธรรม ภาษาไทยบอกอย่าเท่ียวสัญญี สัญญากบั เคา้
สญั ญี สญั ญา
สญั ญาท่ีบนั ทึกไวห้ ลายชาติ มีประโยชน์ นน่ั คือ ตวั
ปัญญา เราตอ้ งไปเรียนรู้กบั เคา้ อยา่ งอารมณด์ ี อารมณ์ชว่ั
ข้ึนมา เราก็กระทบผสั สะอารมณ์น้นั เราไดเ้ รียนรู้ เราไดฝ้ ึก
แตพ่ วกฝึกนงั่ ฌาน แลว้ เคา้ หนีสญั ญา เคา้ เรียกกวา่ อสญั ญี
หรือ อสัญญา ก็ได้ เป็นการฝึกจิตแบบหนีสญั ญา เขา้ ไปสู่
ฌานสมาบตั ิ หรือแมก้ ระท้งั นิโรธสมาบตั ิ อนั น้นั ก็มพี ลงั
ระดบั หน่ึง พลงั ฌานใหเ้ ราไปตรงน้นั หนีเขา้ ไปในฌาน
ไม่มีสัญญา พวกน้ีเกิดมาไปอยภู่ พ อสญั ญีภพ
อสัญญีภพคืออะไร พรหม มนั ไมไ่ ดเ้ กิดการเรียนรู้
ไมไ่ ดเ้ กิดการสร้างอินทรียพ์ ละ ใหเ้ ขา้ ใจ ท่ีเราเหว่ียง
อายตนะวปิ ัสสนากรรมฐาน เราก็เขา้ ไปในจิต เขา้ ไปในจิต
เราอยกู่ บั อายตนะตลอด ร่างกายเตน้ เราก็รู้ เสียงมากระทบ
เรากร็ ู้ เรารู้หมด เราไดใ้ ชส้ ติเราตลอดเวลา แตพ่ วกนง่ั ฌาน
37
เขา้ ไปตรงน้นั ป๊ บุ มีแตค่ วามวา่ งๆ ก็ไปหลงติดความวา่ ง
น้นั เรียกกวา่ อสัญญีธรรม
ส่วนบางแห่งก็ไปเพง่ สร้างนิมิตตา่ งๆข้ึนมา เพือ่ ใหจ้ ิต
มีท่ีเกาะ อนั น้ียงั มีผเู้ พง่ กบั สิ่งที่ถูกเพ่ง ก็ไดแ้ คเ่ จริญสติ
ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถา้ ไปติดอยตู่ รงน้นั ไม่ตา่ งอะไรกบั แป้ก
อยทู่ ่ีฌาน มนั กแ็ ป้กคนละระดบั ส่วนเพง่ แลว้ โอย้ สงบ ๆ
บางทีสร้างนิมิตข้ึนมาเห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นดวงแกว้
เห็นอะไรก็ช่าง เพราะเราสร้างนิมิตข้ึนมา อนั น้ีเรียกวา่
สงั ขตธรรม กค็ ือวา่ ธรรมมะซ่ึงเกิดจากการปรุงแต่ง การ
ปรุงแตง่ นิมิตข้ึนมา เพอ่ื เป็นอุบายวิธี ใหจ้ ิตเรามีท่ียดึ เกาะ
กเ็ กิดความสงบชวั่ ครู ปัญญากไ็ ม่เกิดเช่นเดียวกนั
เอาเป็นวา่ เรื่องจิตวิญญาณอยา่ ประมาท ฉนั สูงแลว้ ฉนั
อะไรแลว้ ไปติดสูงตดิ ต่า ไม่มีเบ้ืองตน้ ไมม่ ีเบ้ืองปลาย
ไม่มีสูง ไม่มีต่า จาคาหน่ึงไวว้ า่ เหวีย่ งทิ้ง ไม่ติดอะไรเลย
อนั น้ีติดสุขในฌาน แลว้ ไม่ใช่ทางพน้ ทกุ ข์ กใ็ หเ้ ขา้ ใจ ถา้
เราไมใ่ ชอ้ ายตนะ ไม่ใชข้ นั ธ์๕ ไม่ใชผ้ สั สะ ไม่ใชว้ ิญญาณ
เรากเ็ หมือนเทวดา แลว้ เราจะมีกายไวท้ าไม เทวดาทาไมไ่ ด้
เทวดาก็ติดสุข จิตกส็ ุขอยา่ งเดียว แตไ่ ม่ไดเ้ จริญวปิ ัสสนา
เพราะไม่มีร่างกาย ไมม่ ีอายตนะ๖ เรามีและเราไมใ่ ช้ เราก็
38
หนีเขา้ ไปอยใู่ นฌาน อนั น้ีเราหนีทกุ ข์ เราไม่เห็นทกุ ข์ เราก็
ไมเ่ ห็นธรรม น่ีคือคาสอนท่ีพระพทุ ธเจา้ เนน้ กบั พระราหุล
ซ่ึงที่เราทาอยมู่ นั ไม่ไดห้ นีไปจากตรงน้ี นี่คอื อายตนะ
วิปัสสนากรรมฐาน
พระราหุลตอนอายุ 18 ไปบิณฑบาต แลว้ เริ่มหนุ่ม เห็น
อะไรสวยๆ งามๆ แลว้ มนั ไม่สงบเลย อนั น้นั ไม่พิจารณา
อายตนะ แต่เอาอายตนะไปเสพ จิตไม่สงบนิ่ง พระพุทธเจา้
เลยใหพ้ จิ ารณาอายตนะ สักแตร่ ู้ สักแต่วา่ เห็น ไมใ่ ช่เรา
ไมร่ ู้ ไม่ใช่เราไมเ่ ห็น ไม่ใช่เราหนีไปอยใู่ นฌาน ที่เรา
เหวี่ยง เราเห็นอารมณห์ มด เห็นแลว้ บางทีร้องไห้ กใ็ ห้
มนั ร้อง เรากร็ ู้วา่ มนั ร้อง เราก็เหวย่ี งทิ้ง เป็นการฝึกใหเ้ รามี
อินทรียพ์ ละ เราไม่ไดฝ้ ึกสติ เราใชส้ ติ เราใชส้ มาธิ เราใช้
ปัญญา ยง่ิ ใชก้ ็ยง่ิ ชานาญ ยง่ิ ทาอินทรียก์ เ็ กิด พละกาลงั
มากข้ึน ไม่ใช่หนีไปอยใู่ นฌาน ไม่ใช่ไปนงั่ เพง่ อะไร
ตรงน้นั ตรงน้นั เป็นบาทฐานเบ้อื งตน้ เป็นทางผา่ นเฉยๆ
ใหเ้ ขา้ ใจสิ่งที่เราทา
กรณีพระราหุลบรรลุธรรมเป็นพระอรหนั ต์ ไม่เกี่ยวกบั
เง่ือนไขของอายุ เพราะเราเรียน เพราะเรารู้แลว้ ไม่จากดั วา่
ตอ้ งมีประสบการณ์ชีวติ ใหม้ ากก่อน พิสูจน์วา่ อดีตบารมีมี
39
ผลมาสู่ปัจจุบนั อธิฐานบารมี หรือพระองคป์ รารถนา คาวา่
ปรารถนาไม่ใช่อยาก เคา้ เรียกวา่ ต้งั สจั จะหรืออธิษฐาน
บารมี มนั จะส่งผล พระราหุลอธิษฐานวา่ ตอ้ งการเป็น
พระโอรส ของศาสดาองคใ์ ดองคห์ น่ึง มนั กบ็ นั ทึก แลว้ ก็
ไมใ่ ช่ปรารถนาเฉยๆ พระองคม์ ่งุ มนั่ สร้างบารมี ก็ไดเ้ กิด
ตามที่เราอธิฐานไว้ มนั เป็นอธิฐานบารมี แลว้ กพ็ สิ ูจนว์ า่
ภพชาติมีจริง
พญานาคสร้างทานบารมีได้ พญานาคบาเพญ็ ตบะ ช่วง
เขา้ พรรษาเคา้ หวงตบะ เป็นดวงไฟ ท่ีเคา้ บาเพญ็ มากเลย
พอออกพรรษาเคา้ ก็ไปถวาย คายดวงแกว้ ออกมาถวายเป็น
พุทธบชู า นี่คือพญานาคก็บาเพญ็ ตบะได้ แลว้ เคา้ ก็มาบอก
เราวา่ ตอนน้ีมนุษยเ์ ราไมเ่ อาศาสนาแลว้ มีแตพ่ ญานาคและ
ตอนน้ีเคา้ ข้ึนมาแลว้ เคา้ มาเจริญต่อ ปฏิบตั ิไปเรื่อยๆ แลว้
จะรู้วา่ เราคือใคร มาจากไหน
ดีแค่ไหนก็ช่าง วิธีการดีแค่ไหนก็ช่าง ถ้าคนทาไม่ดี
คนทาไม่ดีคืออะไร คนเผลอเรอ คนไม่ต้งั มั่น ไม่ศรัทธา
ต้ังม่ัน คนข้ีเกียจเรียกว่าคนไม่ดี คนดีแค่ไหนก็ไม่ดี
ถ้าเป้าหมายไม่ดี ขยนั ปฏิบัติเพื่อจะเป็ นผู้วิเศษ แล้วก็
เป้าหมายคือไปติดอยู่ในฌาน ติดสุข ติดสุข ไปเขา้ ใจว่า
40
ส่ิงที่ตวั เองสัมผสั เป็นนิพพาน อนั น้ีเป็นมิจฉาทิฐิ ตอ้ งระวงั
ทุกข้นั ตอนที่เราเดินไป มนั มีของคู่ มีมารท้งั น้ันแหละ
ในวิปัสสนา มีวิปัสสนูกิเลส เรามาหนทางวิปัสสนา
อู้ยปลอดภัยนแล้ว อย่าประมาท ระหว่างทางน้ีมันมี
มารกิเลส มาหลอกลอ่ เรา มาทดสอบเราตลอด ถา้ เราต้งั มนั่
เราก็สักแต่รู้ สักแต่ว่าเห็น เหวี่ยงทิ้ง ไม่พิจารณาไม่ตดั สิน
เห็นเพชรพลอยเหวี่ยงทิ้ง เห็นสวรรคเ์ หวี่ยงทิ้ง เห็นนรกก็
เหว่ยี งทิ้ง ไม่กลวั นี่แหละคือ มรรคจิต
เคา้ เปรียบเทียบวา่ การทบี่ รรลุโสดาบนั มนั ยง่ิ ใหญก่ วา่
การเป็นกษตั ริย์ 1000 คร้ัง ยงิ่ ใหญก่ วา่ การมีเงินมีทองต้งั
มากมาย เป็นกษตั ริย์ 100 คร้ัง 1000 คร้ัง ยงั ตอ้ งเวยี นวา่ ย
ตายเกิดอีก บรรลโุ สดาบนั เขา้ ไปสู่ทางเดินแลว้ ตดั นรกไป
แลว้ มนั ยงิ่ ใหญม่ าก ไปเรียนจบดอกเตอร์สูงๆ แลว้ เป็น
เศรษฐีมนั ยงั ฆ่าตวั เองตาย ฆา่ คนอ่ืนตาย พวกน้ียง่ิ เรียน
ยงิ่ โง่ โง่ไง เพราะตวั เองยงั ไมท่ าใหต้ วั เองบริสุทธ์ิ ยงั ไปด่า
คนอ่ืน สร้างกรรมตลอดเวลา น่ีคนโง่ พวกเรามีบุญมาก
แลว้ มีโอกาสแลว้ ต้งั ใจเดิน ส่วนจะเดินไดแ้ คไ่ หน
อยา่ เครียด เรายดึ หลกั ทางสายกลาง ทุกอยา่ งทาพอดี พอดี
41
ของแต่ละคนไม่เทา่ กนั ทกุ คนตอ้ งมีสติวา่ พอดีของตวั เอง
เทา่ ไหร่
พ่อครูผลกั เด็กคนหน่ึงลม้ ลงไป มนั ร้องไหใ้ หญ่เลย ทกุ
คนเห็นหมด ตารวจมาช้ีคนน้ีผลกั คนน้ีผลกั เดก็ ลุกข้ึนมา
คนน้ีผลกั ฉนั เอาพ่อครูไปติดคุก ถามวา่ พ่อครูทุกขไ์ หม ไม่
ทกุ ขท์ าไม เราทาความดี ความดียงั ไง ไปผลกั เดก็ งูมนั จะ
กดั เดก็ คนน้นั แต่ไม่มีใครเห็นเลย ถึงวา่ อยา่ เช่ือสายตาโง่ๆ
ตวั เองมากจนเกินไป ยงิ่ มีอคติไปมองเคา้ อะไรกผ็ ดิ หมด
ใครสร้างกรรม คนน้นั ก็รับ และใครรู้วา่ เคา้ สร้างกรรม
คุณเห็นเจตนาเคา้ หรือเปลา่ ทาตวั เป็นศาลไปตดั สิน ทาตวั
เป็นยมบาล ระวงั ไปแยง่ งานยมบาลทา เผลอตกนรก
สมมุติวา่ ตอ้ งตกนรก 100 ชาติ ยมบาลเพิม่ ไปอีก 500 ชาติ
เพราะไปแยง่ งานยมบาลทา ไม่ใช่หนา้ ท่ีเรา
คนเราทาผิดแลว้ ยอมรับผดิ แลว้ แกต้ วั ใหม่ น่า
สรรเสริญ คนทาผิดแลว้ มีแตแ่ กต้ วั เคา้ ใชภ้ าษาเป็นคน
จญั ไร เราผดิ แลว้ เรารู้ เรากแ็ กต้ วั ไมไ่ ดผ้ ดิ องคค์ ุลีมาล
ฆ่าคน 999 สานึกผดิ กบ็ รรลธุ รรมได้ แตไ่ ม่ใช่ผิดแลว้ ผดิ
อีก ผิดแลว้ ผิดอีก ด้ืออยตู่ รงน้นั อนั น้ีเดินไปสู่นรก ความ
ใหไ้ ม่ได้ กอ็ า้ งโน่นอา้ งนี่ ถา้ คนใหไ้ ดเ้ คา้ ไม่อา้ งหรอก
42
เคา้ มีความสุขมาก มีโอกาสไดใ้ ห้ เอาขยะออกจากตวั เอง
ทาไมไม่ดีใจ แตค่ นท่ีใหไ้ มไ่ ดก้ ็อา้ งโน่นอา้ งนี่ แลว้ มนั จะ
ไปไหน เดินไปชา้ ๆ บางทีกถ็ อยหลงั ไป เดินไปกา้ วหน่ึง
ถอยไป 5 กา้ ว เดินมาอกี 3 กา้ ว ถอยไปอีก 10 กา้ ว แลว้ มนั
จะไปไหน เราหลอกคนอ่ืนได้ เราหลอกจิตเราก็ไม่ได้ เรา
คิดยงั ไงกบ็ นั ทึกไวห้ มด ตอ้ งฝึก
ความสุขที่แทจ้ ริง คือการให้ ทาน ศีล ภาวนา
พระพุทธเจา้ พดู อะไรไม่ผดิ ยง่ิ เราอยรู่ ่วมกนั พอเผลอป๊ บุ
ขดั แยง้ กนั ตอ้ งใหอ้ ภยั ทานก่อน อยา่ พ่งึ ไปตดั สินวา่ ถกู
หรือผดิ ไม่มีถูก ไม่มผี ิด ไม่มีดี ไมม่ ีชว่ั ถกู ผิดดีชวั่ เป็น
ภาษามนุษย์ แตเ่ ราเคยเรียนภาษา แลว้ ก็ไปติดถกู ติดผดิ
เมื่อเคา้ เผลอผดิ ก็ตอ้ งรีบใหอ้ ภยั เคา้ รีบดึงเคา้ ข้ึนมา เราตอ้ ง
มีเมตตา ไม่ใช่ไปซ้าเตมิ เคา้ อีก ก็ทุกคนต่ืนข้ึน สิ่งดีๆก็เยอะ
แลว้ อยา่ พลาดพล้งั สะอาดแลว้ อยา่ ไปทาใหม้ นั เป้ื อน
รักษาความสะอาด และใหม้ นั สะอาดอีก สะอาดอีก สกั วนั
หน่ึงมนั ก็หมด สภาวะนิพพานส่ิงน้นั เกิดข้ึนไดท้ ุกๆนาที
เรามีของเกา่ แลว้ บวกของใหมเ่ ขา้ ไปหน่อย ท่ีเราพล้งั เผลอ
ทาไม่ดี เราก็ลืมมนั อยา่ ไปย้าคิดย้าทา
43
ทมี่ า : เร่ือง พระราหุล
บรรยายโดย พ่อครูบญั ชา ต้งั วงษ์ไชย
ศูนย์พลาญข่อย 5 มิถุนายน 2559
YouTube พระราหุล5มยิ 59
www.plarnkhoi.com
Facebook ศูนยพ์ ลาญขอ่ ย