1
ถ้าจิตฟุ้งซ่านจะรวมจิตได้อย่างไร ก็สักแตว่ า่ รู้ อยา่
พยายามจะแกไ้ ขมนั อยา่ พยายามจะต่อสู้มนั คาวา่ จิตฟ้งุ ซ่าน
มนั เริ่มจากคิดก่อน คิดก็ฟ้งุ ซ่าน ตวั อยากรู้ อยากเห็น กาลงั รา
อยู่ ก็ไปคิดถึงอนาคต ราเสร็จฉนั จะไปทาอะไร นึกถงึ อดีต
ไม่น่าทาอยา่ งน้นั เลย เห็นไหม เราไม่อยปู่ ัจจบุ นั คาตอบ คือ
อยปู่ ัจจุบนั ระหวา่ งน้นั ทาอะไรก็อยเู่ ป็นหน่ึงเดียวกบั สิ่งน้นั
เขาฟุ้งซ่าน ก็ปล่อยเขาฟุ้งซ่านไป อยา่ ไปฟ้งุ ซ่านตามเขา นี่คือ
สกั แต่วา่ รู้ สักแตว่ า่ เห็น อนั น้ีคือ อายตนะวิปัสสนากรรมฐาน
พระราหุลบรรลุธรรมเพราะส่ิงน้ี พระองค์ทรงเป็ น
หนุ่มแลว้ ออกไปบิณฑบาต ฮอร์โมนเพศเริ่มเกิดข้ึน เห็นอะไร
ก็สวยๆ งามๆ แลว้ จิตส่งออก ไม่สงบเลย เจริญอานาปานสติ
ไม่ได้สักทีหน่ึง พระสาลีบุตรก็พาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
พระองค์เห็นจิต พระองค์ก็ให้พระราหุลเจริ ญอายตนะ
วิปัสสนากรรมฐาน สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น ไม่พิจารณา
ไม่ตดั สิน พระราหุลบรรลุธรรมดว้ ยสิ่งน้ี เห็นป๊ ุบ บอกสวย
อนั น้ีช้าไปแลว้ ตดั สินว่าสวยแลว้ เราไม่เห็นเฉยๆ ทาไม
สวยอยา่ งน้ี หล่ออยา่ งน้ีฉันอยากได้ ปรุงแต่งแลว้ โดนตีหวั
หลายรอบ ชา้ เกินไป สักแต่วา่ รู้สกั แต่วา่ เห็น ฟุ้งซ่านกป็ ล่อย
มันฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านมีประโยชน์เป็ นวิปัสสนา เรารู้ว่าเรา
2
ฟุ้งซ่านเป็ นวิปัสสนาอยา่ งย่ิง คนท่ีว่ารู้อารมณ์ตวั เองปัจจุบนั
ก็คือวิปัสสนา แต่สาคญั ว่าเรารู้จริงๆ เราก็ไม่ไปฟุ้งซ่านตาม
เขาเท่าน้นั เอง
จะรู้ได้อย่างไร ว่าเราเข้าจิตได้แล้ว อยากรู้อีกนะ ถา้ เรา
เขา้ ไปในจิตแลว้ ยกตวั อยา่ งว่า อาการท่ีเขาแสดงออกไม่ใช่
สมองเราสั่ง ถา้ เราฝึ กสมถกรรมฐาน เราเจริญสมถกรรมฐาน
เราตอ้ งมีการกาหนด พุทโธ ยบุ หนอ พองหนอ ขวาหนอ
ซ้ายหนอ อันน้ันเรากาหนด เพราะเรากาลงั ฝึ ก เรียกว่า
สมถกรรมฐาน แตถ่ า้ วา่ การแสดงออกโดยที่วา่ เราไมไ่ ดส้ ่งั การ
เลย เขาทาของเขาเอง น่ันแหละจิตปัจจุบนั เห็นอาการน้ัน
และถามวา่ ใครเป็นคนทาตรงน้นั น้นั ภาษาองั กฤษ inside out
คือ ขา้ งในมนั ออกมาขา้ งนอก น่นั แหละคือจิตเป็ นตวั กระทา
จิตปัจจุบนั ก็เรียนรู้กบั การเคล่ือนไหวตรงน้ัน และอารมณ์
ขา้ งในมนั เกิดข้ึน เราก็รู้
อารมณ์ขา้ งในเรียกว่าธรรมในธรรม คือ ธรรมารมณ์
มนั เป็นสญั ญา สัญญาเดิมท่ีในจิตเดิมหลายชาติ เราบนั ทึกไว้
เวทนาในอดีตบนั ทึกเป็ นสัญญา และมนั แสดงออกปัจจุบนั
เราก็เห็น นั่นคือธรรมในธรรม คือธรรมารมณ์ อนั น้ีคือเรา
เห็นจิตแล้ว จิตเห็นจิตคือ มรรค ผลของจิตเห็นจิตอย่าง
3
แจ่มแจง้ คือนิโรธ เมื่อเราเห็นจิตแลว้ ประสบการณ์เราใน
อดีตสร้างกรรมดีกรรมชั่ว มีท้งั สองด้านฝ่ ายบุญบารมีก็มี
ฝ่ ายอกุศลก็มี เราไปเรียนกบั ตรงน้นั เราก็เห็นว่า ความดีน้นั ก็
เป็ นอนิจจงั ทุกขงั อนัตตา ความไม่ดีก็เป็ น อนิจจงั ทุกขงั
อนตั ตา เราเห็นความเกิดดบั เห็นความไม่เที่ยง เราเขา้ ถึง
กฎพระไตรลักษณ์ ลักษณะ 3 ประการของธรรมชาติ คือ
อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา เมื่อจิตปัจจุบันสัมผสั บ่อยๆ ยอมรับ
โดยดุษฏีว่า อะไรก็ไม่ใช่ มันเป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จิตปัจจุบนั เราก็จางคลายความยึดมนั่ ถือมนั่ จางคลายความ
หลง นั่นแหละคือนิโรธ จิตเห็นจิตคือมรรค เราเข้าสู่
กระแสมรรคจิต
เราก็เดินทางเจริญมรรคจิต ท่ีเราเดินทางทกุ วนั น้ีนะ เรา
เดินทางไปเร่ือย ๆ เมอื่ เราเห็นแจ่มแจง้ แลว้ วา่ อะไรมนั ก็ไม่ใช่
สุดทา้ ยมนั ก็เป็นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา จิตปัจจุบนั เกิดปัญญา
ไม่ใช่ไปรู้พระไตรลกั ษณ์เฉยๆ รู้อริยสัจ๔ รู้ปฏิจจสมุปบาท
รู้ตวั หนงั สือ แลว้ ก็เอาไปสอบผา่ น ไดด้ อกเตอร์ ไมใ่ ช่รู้
แบบน้นั ตอ้ งเขา้ ถึงเขา้ ถึงจริงๆ วา่ อะไรก็ไมใ่ ช่ กาลงั สุขดีๆ
เขามาชนป๊ บุ สุขหายไป ความทุกขม์ าแทนท่ี เราก็เห็นสุขน้นั
4
กไ็ ม่เที่ยง และพอทุกขร์ ้องไหอ้ อกไปหมดแลว้ ระบายหมด
รู้สึกสุขอีก เราจะเห็นความไม่เที่ยงของมนั
คาวา่ เห็น ไมใ่ ช่ไปนงั่ ดูมนั คือไปสัมผสั อารมณ์น้นั
เมื่อสัมผสั บอ่ ยๆ จิตปัจจุบนั กย็ อมรับโดยดุษฏีวา่ ใช่ละ ฉนั
พิสูจน์มาเตม็ ท่ี อะไรกไ็ มใ่ ช่ เกิดมาหลายชาติแลว้ เกิดเป็นลกู
เศรษฐีกเ็ กิดแก่เจบ็ ตาย เกิดเป็นลกู คนจน กเ็ กิดแก่เจบ็ ตาย
สุดทา้ ยมนั ไม่ใช่สกั อยา่ งหน่ึง จิตปัจจุบนั กจ็ างคลายความ
ยดึ มนั่ ถือมนั่ ความหลงต่างๆ เวลาที่เหลือเรากท็ าหนา้ ที่ สักแต่
วา่ ทา ถา้ มนั แสดงออกเองคือจิตเห็นจิตแลว้ จิตปัจจุบนั เห็นจิต
ใตส้ านึกเรา เขาทาหนา้ ที่อยแู่ ลว้ ก็ทาไปเร่ือยๆ กจ็ ะเห็นเอง
เมื่อเชา้ เกือบจะ 9 โมง พ่อครูเห็นวา่ จะไดเ้ วลาปฏิบตั ิท่ี
ศาลา ก็เลยบอกญาติธรรมท่านนึง วา่ ไม่เขา้ ศาลา ยนื เดิน นงั่
นอน หรือ แกบอกพอ่ ครูวา่ แกกาลงั นงั่ อยู่ พอ่ ครูบอกเออใช่
นะ เขาออกมาจากขา้ งในตรงๆ เลย อนั น้ีก็เป็นธรรมะ ชีวติ เรา
ยนื เดิน นง่ั นอน เคล่ือนไหว วง่ิ ทาอาหาร ทาอะไร ทกุ
อิริยาบถก็อยกู่ บั ปัจจุบนั เวลาน้นั ชีวติ เรายนื รออยทู่ ี่ป้ายรถเมย์
เราไม่เห็นวา่ เรายนื อยู่ เราก็คิดวา่ เดี๋ยวจะไปทาอะไร เห็นไหม
นึกถึงวา่ อดีตเราทาตรงน้นั เราไม่เคยอยปู่ ัจจุบนั เลย คือขาดสติ
ญาติธรรมเขาบอกวา่ เขากาลงั นงั่ อยู่ เขาสอนธรรมะพอ่ ครู พ่อ
5
ครูกเ็ รียนรู้กบั เขาวา่ เขาออกมาจากขา้ งในตรงๆ แตถ่ า้ ในทาง
โลกถา้ เรามีทิฐิมานะ เราจะมีความรู้สึกเหมือนเขาเล่นลิ้น
ชีวิตเราเหมือนกนั ถา้ เราเกิดมีอารมณ์ มีอคติ เวลาเรา
เจอแบบน้ีแลว้ เราจะไม่พอใจ ตอ่ ไปบางทีเราพดู อะไรไป
เวลาเขายอ้ นอะไรมา เราตอ้ งน่ิงๆก่อน พจิ ารณา ชีวติ เราไมใ่ ช่
พอพูดไม่ถกู หูป๊ ุบใส่ไปเลย เพราะไมไ่ ดด้ ง่ั ใจ เราตอ้ งรู้ดว้ ยวา่
นาย ก พดู กบั นาย ข พดู แมก้ ระทงั่ วา่ คาเดียวกนั ก็ไม่
เหมือนกนั เพราะนิสัยไมเ่ หมือนกนั ตอ้ งดูเจตนาเขาดว้ ย
เรากินหวานบอ่ ยๆ เรากต็ ิดหวาน กม็ ีนิสยั ชอบกิน
หวาน เรากอ็ ยากกินหวานตณั หาเกิด พอไดก้ ินหวาน อปุ าทาน
เกิดมีความพอใจ พอเขาแยง้ ไปก็เลยทกุ ข์ กิเลสเป็นนิสยั ก่อน
ทาไปนานๆกลายเป็นสนั ดาน กลายเป็นอุปนิสัย แลว้ กพ็ อตาย
ป๊ บุ เป็นอนุสยั เกิดมาวนั แรกลกู ฝาแฝด ลกู พอ่ แมเ่ ดียวกนั ไล่
กนั ออกมาไมถ่ งึ หน่ึงนาที คลอดออกมาคนหน่ึงข้ีแย อีกคน
หน่ึงไม่ข้ีแย คนหน่ึงไอคิวสูง คนหน่ึงไอคิวต่า คนหน่ึงฉลาด
คนหน่ึงโง่ คนหน่ึงแขง็ แรง คนหน่ึงไมแ่ ขง็ แรง ถามวา่ ทาไม
ดีเอน็ เอเหมอื นกนั เลย พอ่ แมเ่ ดียวกนั เพราะมนั มีอนุสยั ต่างกนั
มนั สร้างกรรมมาไม่เหมือนกนั
6
ที่มา : เร่ือง ธรรมะคือธรรมชาติ
บรรยายโดย พ่อครูบัญชา ต้ังวงษ์ไชย
ศูนย์พลาญข่อย 24 เมษายน 2559
YouTube ธรรมะคือธรรมชาติ24เมย59
www.plarnkhoi.com
Facebook ศนู ยพ์ ลาญขอ่ ย