The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พืชน้ำในท้องถิ่น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by somethingslike555, 2022-07-19 02:10:39

พืชน้ำ (8)

พืชน้ำในท้องถิ่น

AQUATIC
PLANT

พืชน้ำในท้องถิ่น

พื ชน้ำ (aquatic plant)




พืชน้ำ เป็นพืชที่อาศัยหรือเจริญเติบโตในน้ำ หรือมีช่วงหนึ่งที่เจริญเติบโตอยู่ในน้ำ
อาจอยู่ใต้น้ำทั้งหมดหรือมีบางส่วนขึ้นสู่บริเวณผิวน้ำ ลอยอยู่ตามผิวน้ำ เจริญเติบโต
บริเวณที่มีน้ำตามแนวชายฝั่ ง พืชที่เจริญเติบโตในที่มีน้ำขัง พื้นที่ชื้นแฉะ ทั้ง น้ำจืด น้ำ
กร่อย น้ำเค็ม โดยสามารถแยกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้

1. พืชลอยน้ำ (Floating plants)
พืชลอยน้ำ หมายถึง พืชที่มีส่วนราก และลำต้นเจริญอยู่ที่ผิวน้ำหรือทุกส่วนลอยอยู่
ผิวน้ำ เช่น จอก ผักตบชวา เป็นต้น

2. พืชในน้ำ (Growth Water plants)
พืชใต้น้ำ หมายถึง พืชที่มีส่วนราก และลำต้นเจริญอยู่บนดินใต้น้ำ ซึ่งอาจมีส่วนลำต้น
หรือใบลอยอยู่กลางน้ำหรือโผล่ขึ้นมาจากน้ำ แบ่งย่อยได้ 2 ชนิด คือ
– พืชใต้น้ำ (Submerged Plant) หมายถึง พืชที่มีส่วนรากและลำต้น เจริญบนดินใต้
น้ำ โดยไม่มีส่วนลำต้นและใบ โผล่พ้นเหนือน้ำ เช่น สาหร่ายชนิดต่าง ๆ
– พืชโผล่เหนือน้ำ (Emerged Plant) หมายถึง พืชที่มีส่วนราก และลำต้น เจริญบน
ดินใต้น้ำในระยะหนึ่ง และเมื่อเจริญเต็มที่จึงมีบางส่วนโผล่พ้นเหนือน้ำ เช่น บัวชนิดต่าง


3. พืชชายน้ำหรือพืชริมน้ำ (Marginal plants)
พืชชายน้ำหรือพืชริมน้ำ หมายถึง พืชที่มีส่วนราก และลำต้นเจริญอยู่ในดินริมน้ำ ซึ่ง
อาจอยู่ในสภาพมีน้ำท่วมขังหรือไม่มีน้ำท่วมขัง เช่น กกกลม ไมยราบยักษ์ ผักแว่น
เป็นต้น

พื ชลอยน้ำ

ผำ

ชื่อสามัญ : Swamp algae,Water Meal
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Wolffia globosa
วงศ์ : Lemnaceae
ชื่ออื่นๆ : ไข่น้ำ ,ไข่แหน

ลักษณะของผำ

ผำ มีรูปร่างเป็นเม็ดสีเขียวกลมหรือเกือบกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5-1.5 มิลลิเมตร
เป็นพืชมีดอกที่มีขนาดเล็กที่สุด อาศัยลอยอยู่บนผิวน้ำ อาจลอยอยู่เป็นกลุ่มล้วน ๆ

หรือลอยปนกับพืชชนิดอื่น ๆ เช่น แหน แหนแดง มีรูปร่างรีจนถึงค่อนข้างกลม
มีขนาดยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร แต่ละต้นมีสีเขียว ไม่มีราก ไม่มีใบ ต้นประกอบ
ด้วยเซลล์ชนิดพาเรงคิมาเป็นส่วนใหญ่ มีช่องอากาศแทรกอยู่ระหว่างเซลล์ ทำให้เห็น
เป็นฟองน้ำและช่วยให้มีการลอยตัวอยู่ในน้ำได้ ไม่มีเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่นำน้ำและอาหาร
มีช่องให้อากาศเข้าออกได้อยู่ทางบนของต้น

การสืบพั นธุ์

1.การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เนื่องจากไข่ผำเป็นพืชมีดอกขนาดเล็กที่สุด ดอกของ
ไข่แหนจะเจริญเติบโตออกทางช่องข้างบนของต้น ดอกไม่มีกลีบดอก และไม่มีกลีบ
เลี้ยง ดอกตัวผู้จะมีเกสรตัวผู้ 1 อัน ประกอบด้วยอับละอองเรณู 2 อับ ดอกตัวมีรังไข่
ที่มี 1 ช่องและมีไข่อยู่ 1 ใบ ก้านเกสรตัวเมียสั้น ยอดเกสรตัวเมียมีลักษณะแบน เมล็ดมี
ขนาดเล็ก กลมเกลี้ยง
2.การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแตกหน่อ ซึ่งมีผู้ทำการศึกษาการเจริญเติบโต
แล้วพบว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ไข่แหนแต่ละต้นจะแตกหน่อให้ต้นใหม่ทุก ๆ 5 วัน

ประโยชน์ของผำ

1.ด้านการศึกษา
เนื่องจากไข่แหนเป็นต้นไม้ขนาดเล็ก มีการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว สามารถ
นำมาปลูกเลี้ยงไว้ในพื้นที่ที่มีขนาดเล็กได้ จึงเหมาะแก่การทำมาใช้เป็นอุปกรณ์
ในการศึกษา เช่น การศึกษาอิทธิพลของสารที่ควบคุมการขยายพันธุ์ของพืช
2.ด้านโภชนาการ
ไข่แหนเป็นอาหารของสัตว์น้ำและสัตว์ปีกหลายชนิด นอกจากนี้ คนในภาค
เหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ยังได้นำไข่แหนมาประกอบ
เป็นอาหาร ไข่แหนมีสารพิษต้านฤทธิ์สารอาหาร จึงต้องนำไข่แหนมาทำให้สุก
ก่อนรับประทาน นอกจากนี้ ไข่แหนยังมีแคลเซียมและบีตา-แคโรทีนสูงมากอีก
ด้วย

จอกกุหลาบ

ชื่อสามัญ : Water lettuec
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pistia stratiotes L
วงศ์ : Araceae
ชื่ออื่นๆ : ผักกอก (เชียงใหม่), กากอก
(ภาคเหนือ),จอกใหญ่

ลักษณะของจอก

จอกกุหลาบ จัดเป็นวัชพืชน้ำขนาดเล็ก หรือเป็นพรรณไม้ที่ขึ้นลอยและเจริญเติบโต
ติดกันเป็นกลุ่มลอยอยู่บนผิวน้ำ ลำต้นทอดขนานไปกับผิวน้ำ ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำและมี
รากระบบรากแก้วและมีรากฝอยเป็นจำนวนมากออกเป็นกระจุกอยู่ใต้น้ำ สีขาว ลำต้นมีความ
สูงประมาณ 2.5-10 เซนติเมตร ลำต้นมีไหล ต้นใหม่จะเกิดจากโคนต้นและเกิดบนไหล
จอกเป็นพรรณไม้น้ำที่ชอบแสงแดดจัด ชอบน้ำจืด สามารถพบได้ตามลำคลอง หนองน้ำ
นาข้าวและที่มีน้ำขัง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด หรือแตกไหล และวิธีการแยกต้นอ่อน

ใบเป็นเดี่ยวสีเขียวเรียงสลับ เกิดบริเวณส่วนโคนของลำต้นเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ รูปร่าง
ของใบมีลักษณะที่ไม่แน่นอน บางครั้งเป็นรูปรี รูปไข่กลับ รูปใบพัด แต่โดยมากเป็นรูป
สามเหลี่ยม ปลายใบมนหยักลอนเป็นคลื่น ๆ ฐานใบมนสอบแคบ ส่วนขอบใบเรียบเป็นสีแดง
มีขนขึ้นปกคลุมแผ่นใบทั้งสองด้าน บริเวณฐานใบพองออกและมีลักษณะอ่อนนุ่มคล้ายกับ
ฟองน้ำ ทำให้สามารถลอยน้ำได้ ใบมีความยาวและความกว้างประมาณ 10-25 เซนติเมตร
หลังใบเป็นสีเขียวอ่อน ใบไม่มีก้านใบ

ลักษณะของจอก

ดอกจอก ออกดอกเป็นช่ออยู่ตรงกลางต้น ตรงโคนใบระหว่างกลาง หรือออก
ตามซอกใบ ก้านช่อดอกสั้นขนาดเล็ก ยาวประมาณ 1.2-1.5 เซนติเมตร ดอกจะมีกาบ
ห่อหุ้มดอกอยู่ประมาณ 2-3 ใบ เป็น แผ่นสีเขียวอ่อนหุ้มไว้ ด้านในเรียบ ส่วนด้าน
นอกมีขนละเอียดปกคลุม ดอกมีทั้งดอกเพศผู้และดอกเพศเมียที่แยกกันอยู่ แต่อยู่
ในช่อเดียวกัน โดยที่ดอกเพศผู้นั้นจะอยู่ด้านบน ดอกส่วนดอกเพศเมียนั้นจะอยู่ด้าน
ล่าง ดอกจอกเป็นดอกที่ไม่มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยง ที่โคนดอกเพศผู้จะมีรยางค์
แผ่นสีเขียวเชื่อมติดอยู่เป็นรูปถ้วยและมีเกสรเพศผู้ประมาณ 4-8 ก้าน ส่วนดอกเพศ
เมียจะมีรยางค์เป็นแผ่นสีเขียวติดอยู่เหนือรังไข่ ผลมีลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ หรือ
เป็นผลเป็นชนิดแบคเดทมีกาบหรือใบประดับสีเขียวอ่อนติดอยู่ภายในผลจะมีเมล็ด
อยู่ประมาณ 2-3 เมล็ด บ้างว่ามีจำนวนมาก เมล็ดเป็นสีน้ำตาลอ่อน มีลักษณะกลม
ยาว เปลือกเมล็ดจะมีรอยย่น

สรรพคุณของจอก

1.ใบมีรสขมเผ็ดและฝาดเล็กน้อย ใช้เป็นยาเย็นออกฤทธิ์ต่อปอดและกระเพาะปัสสาวะ
ใช้เป็นยาฟอกเลือดให้เย็นได้ ช่วยขับความชื้นในร่างกาย ขับพิษไข้ ขับเหงื่อ ใช้เป็น
ยาขับลม รักษาโรคโกโนเรีย แก้โรคผิวหนัง แก้ผดผื่น คัน ฝีหนองภายนอก

2.รากมีสรรพคุณใช้เป็นยาระบายเป็นยาขับปัสสาวะใช้ปัสสาวะไม่คล่องด้วยการใช้ใบแห้ง
ประมาณ 15-20 กรัม นำมาต้มกับน้ำกินเป็นยา
3.ช่วยขับเสมหะ ช่วยแก้หืด ช่วยแก้อาการบิด
4.นำมาใช้เป็นอาหารเพื่อรับประทานในยามขาดแคลน ต้นอ่อนใช้เป็น อาหารสำหรับเลี้ยง
สัตว์ ปุ๋ยหมัก แหล่งที่พบ สามารถพบได้ทั่วไปในบริเวณที่มีน

จอกหูหนู
ชื่อสามั
ญ : Water lettuce, Shellflower, Water

cabbage, Nile cabbage
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Salvinia cucullata Roxb

วงศ์ : Salviniaceae
ชื่ออื่นๆ : -

ลักษณะของจอกหูหนู

จอกหูหนู เป็นเฟินประเภทเฟินลอยน้ำ ลำต้นเป็นเหง้ากลม แตกกิ่งสาขาทอดขนาน
ไปกับผิวน้ำ มีใบออกเวียนรอบ เป็น 3 แถว โดย 2 แถวบนเป็นส่วนที่เราเห็นเป็นใบ
ลอยน้ำ เนื้อใบหนาและนุ่ม รูปกลมหรือกว้างมากกว่ายาว ขอบใบห่อโค้งขึ้น ทำให้ดูคล้าย
หูหนู ขอบใบเรียบ ขนาด 1-2 เซนติเมตร ตัวใบไม่เปียกน้ำ ผิวใบด้านบนปกคลุมแน่นด้วย
ตุ่มขนจัดเรียงเป็นแถวรูปร่างแถวไม่เป็นระเบียบ ผิวใบด้านล่างมีขนสีน้ำตาลปกคลุม
ส่วนใบอีกแถวเป็นส่วนที่จมน้ำ ที่เรียกว่า ใบราก แตก กิ่งสาขาได้มีสีขาว ปกคลุมด้วย
ขนน้ำตาลและเป็นส่วนที่สร้างกระเปาะเก็บสปอร์ ขยายพันธุ์ด้วยการแยกเหง้าแบ่งกอ

ประโยชน์ แหล่งที่พบ

จอกหูหนูสามารถใช้เป็นไม้ประดับในอ่าง จอกหูหนูมีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนตอน
เลี้ยงปลา มีการนำจอกหูหนูไปหมักเพื่อใช้ บนของทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา
ทำ ปุ๋ยอินทรีย์สำหรับเพิ่มธาตุอาหารให้กับ จอกหูหนูเป็นพื ชลอยน้ำที่ชอบแสงแดด
ต้นไม้และยังนำไปใช้เป็นอาหารเสริมใน พบขึ้นกระจายตามแหล่งน้ำขังในทุ่งนา
การเพาะเห็ดฟาง หรือบึงน้ำจืดทั่วไป

จอกหูหนูยังสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้เบื้อง
ต้นในการวัดคุณภาพของแหล่งน้ำได้ด้วย
จอกหูหนูที่เกิดในแหล่งน้ำที่มีปริมาณของ
ออกซิเจนที่เพียงพอ ใบของจอกหูหนูจะ
เป็นสีเขียวอมฟ้าแต่ถ้าหากน้ำมีปริมาณ
ออกซิเจนน้อยแล้วใบจะออกเหลือง

ผักกระเฉด

ชื่อสามัญ
: Water mimosa

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Neptumia oleracea Lour. FL.
วงศ์ : Mimosaceae
ชื่ออื่นๆ : ผักหนอง ( ภาคเหนือ ) ผักกระเฉด ผักรู้นอน
( ภาคกลาง ) ผักหละหนอง ( แม่ฮ่องสอน ) ผัดฉีด ( ภาคใต้ )
ผักกระเสดน้ำ (อุดรธานี-ยโสธร )

ลักษณะของผักกระเฉด

ผักกระเฉด เป็นพืชคลุมดินมีเถาเลื้อย มีถิ่นกำเนิดแถวเอเชียแถบร้อน เป็นพืชพื้นเมือง
ของประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย ผักกะเฉดสามารถเจริญเติบโตได้ดี ทั้งในน้ำและบนบก
ผักที่เจริญเติบโตในน้ำจะประกอบไปด้วย "นม" (Aerenchyme) ทำหน้าที่เป็นทุ่นพยุงเถาให้
ลอยน้ำได้ และมี รากเกิดตามข้อที่ทอดในน้ำหรือที่เรียกว่า "หนวด" ผักกระเฉด เป็นพืชน้ำ
ล้มลุก เป็นเถาเลื้อยเสมอกับผิวน้ำลำต้นกลมสี เขียว ตามปล้อง แก่จะมีนวมสีขาวๆคล้ายกับ
ฟองน้ำหุ้มอยู่จึงทำให้เถาผักกระเฉดสามารถที่จะลอยน้ำได้ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกออก
ตามข้อ คล้าย ใบมะขาม ใบสีเขียวขอบใบจะเป็นสีม่วง ใบจะหุบเวลาที่โดนสัมผัสและในเวลา
กลางคืน รากจะแตกออกเป็นกระจุกตามบรเวณข้อ ผักกระเฉดจะออกดอกลักษณะเป็นช่อ
กลมๆสีเหลืองตามซอกใบ ผลจะออกเป็นฝักโค้งงอเล็กน้อย มีเมล็ดด้านใน 4-10 เมล็ด

สรรพคุณ คุณค่าทางอาหารและประโยชน์

ผักกระเฉดช่วยในการบำรุงร่างกาย ผักกระเฉดมีแคลเซียมสูงโดยในผักกระเฉด
ดับพิษ แก้ปวดแสบปวดร้อน 100 กรัม จะมีแคลเซียมอยู่ 123 มิลลิกรัม
แก้พิษไข้ ช่วยขับเสมหะ ขับลม แก้ มีธาตุเหล็กและไนอะซินที่ช่วยให้ปากและลิ้น
ปวดหัวและถอนพิ ษยาเบื่อยาเมาได้ ไม่อักเสบ ไม่ร้อนใน ท้องอืดหรือคลื่นไส้ได้
อีกด้วย
แหล่งที่พบ
สำหรับประโยชน์กระเฉดเป็นผักที่มีวิตามิน
ผักกระเฉดพบขึ้นในเขต หลายชนิดทั้งวิตามินเอวิตามินซีและไนอะซิน
ร้อนทั่วไปและพบได้ทุกภาคใน ที่จำเป็นในกระบวนการเผาผลาญสารอาหาร
ประเทศไทย สร้างพลังงานในร่างกายของเราและมีเบต้า
แคโรทีน อีกทั้งยังมีแร่ธาตุอย่างธาตุเหล็ก
แคลเซียมและฟอสฟอรัสในปริมาณสูงและ
ยังมีเส้นใยช่วยในการขับถ่ายได้ด้วย

ผักตบชวา
ชื่อสามัญ
: Water hyacinth , Java weed

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eichhornia crassipe (C.Mart) Solms

วงศ์ : Pontederiaceae
ชื่ออื่นๆ : ผักตบป่อง สวะ (ภาคกลาง)

ผักบ่ง (นครราชสีมา) ผักป่อง (สุพรรณบุรี)

ลักษณะของผักตบชวา

ผักตบชวา วัชพืชน้ำที่มีอายุยืน สูงประมาณ 30-90 เซนติเมตร ลำต้นสั้น รากแตก
ออกจากลำต้นบริเวณข้อมักมีสีม่วงเกิดจากสารแอนโทไซยานิน ลำต้นแตกไหลเกิดเป็น
ลำต้นใหม่ติดต่อกันไป ใบออกเป็นกลุ่มรอบลำต้น(rosettes)ใบกว้างใหญ่ค่อนข้างกลม
ส่วนฐานใบเว้าเข้าหาก้านใบ มีหูใบปลายใบมน ขนาดของใบและความยาวของก้านใบ ขึ้นอยู่
กับความสมบูรณ์บริเวณที่เจริญเติบโต ส่วนของก้านใบจะพองออก ภายในจะมีรูพรุน
ลักษณะคล้ายฟองน้ำช่วยพยุงให้ลำต้นลอยน้ำได้ ดอกออกเป็นช่อชนิดสไปด์ ออกได้
ตลอดปี ในช่อหนึ่งมีดอกย่อยอยู่ 6-30 ดอก ก้านช่อดอกยาวประมาณ 15-30 เซนติเมตร
กลีบเลี้ยงและกลีบดอกหลอมรวมกัน (perianth) มีสีม่วงมีจุดเหลืองตรงกลาง ฐานกลีบ
ดอกหลอมรวมกันเป็นรูปกรวย ปลายแยกเป็น 6 กลีบ มีเกสรตัวผู้ 6 อัน เกสรตัวเมียเป็น
เส้นบางๆ ที่ส่วนปลายเป็นตุ่มสีขาว ผลเป็นชนิดแคปซูล แบ่งเป็น 3 พู ภายในมีเมล็ด
จำนวนมาก เมล็ดมีรูปร่างกลม

ประโยชน์ แหล่งที่พบ

-ใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์ ผักตบชวามักพบขึ้นตาม
-ใช้ทำปุ๋ยหมัก ลำคลอง หนองน้ำและพื้นที่
-ทำผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงเขียว ชื้นแฉะที่มีน้ำขัง ผักตบชวา
-ทำเครื่องจักสาน ขยายพั นธุ์โดยอาศัยเมล็ด
-ใช้ประกอบอาหาร และส่วนของลำต้น

ผักตบไทย

ชื่อสามั
ญ : Monochoria arrowleaf falsepickerel weed

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Monochoria hastata (L.) Solms
วงศ์ : Pontederiaceae
ชื่ออื่นๆ : ผักตบ ผักสิ้น

ลักษณะของผักตบไทย
ผักตบไทย
เป็นพื ชล้มลุกขึ้นในน้ำรากยึดเกาะกับดินไม่ลอยน้ำมีลำต้นส่วนที่ทอดนอนอยู่

ใต้ดินที่เรียกว่าไหล ส่วนเหนือดินสูงถึง 1 เมตร มีกาบใบหุ้มโดยตลอด ต้นมีลักษณะเป็น
กอ ใบเป็นใบเดี่ยว ก้านใบส่วนล่างมีลักษณะเป็นกาบหุ้มซ้อนๆกัน ก้านใบส่วนบนกลมยาว
และอวบน้ำ รูปร่างของแผ่นใบเป็นรูปสามเหลี่ยมคล้ายหัวลูกศรกว้างประมาณ 0.9-1.9
เซนติเมตร ยาว 4.5-8 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบเว้าลึก ขอบใบเรียบ ผิวใบ
เกลี้ยงทั้งสองด้าน ดอกเป็นดอกช่อ ดอกแทงมาจากราก สูง 2 ใน 3 ของ ความยาว
ของก้านใบ มีแผ่นใบประดับสีเขียวรองรับ ดอกย่อย 15-16 ดอก กลีบดอกบอบบาง
สีน้ำเงินปนม่วงหรือสีฟ้าปนม่วง แต่ละดอกมี ก้านดอกย่อยยาว 3-4 เซนติเมตร
กลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีจำนวน 6 กลีบ เรียง 2 วง วงละ 3 กลีบ เมื่อบานแล้วกลีบจะ
บิดพันกันเป็นเกลียว เกสรเพศผู้ 6 อันติดอยู่บนวงกลีบรวม ขนาดสั้น 5 อัน ยาว 1 อัน
ผลแห้งแตกแบบแคปซูล ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ภายในมีเมล็ดสี น้ำตาลจำนวนมาก
ระยะเวลาออกดอกราวเดือนพฤษภาคมถึง พฤศจิกายน

แหล่งที่พบ ประโยชน์และสรรพคุณ

ผักตบไทยพบได้ตามแหล่งน้ำจืด ใบ ขับปัสสาวะ ขับพิษร้อน ใช้ทาฝี
ต่างๆ เช่น บึง หนองน้ำ ที่ชื้นแฉะ นำใบมา ตำผสมกับผักกระเฉดเอาน้ำ
โคลนตมและตามท้องนาทั่วไป ดื่มแก้เบื่อเมา
ต้น มีรสจืด แก้พิษใน ร่างกาย ขับ
ลม ใช้ต้นสดตำพอก แก้แผลอักเสบ
ใช้เป็นยาทาหรือพอกถอนพิ ษแก้
ปวดแสบปวดร้อน
เหง้า มาบดกับถ่านใช้ทาแก้รังแค

แหนเป็นเล็ก

ชื่อสามัญ : Lesser Duckweed
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lemna perpusilla Torr
วงศ์ : Lemnaceae
ชื่ออื่นๆ : แหนเล็ก (กลาง) กาแหน (เหนือ) แหน
(กลาง,เหนือ) จอกแหน (ใต้)

ลักษณะของแหนเป็ดเล็ก

แหนเป็ดเล็ก พืชลอยน้ำมักพบเป็นแพ ลักษณะเป็นแผ่นใบเล็กๆ ลอยที่ผิวน้ำ
มีรากเห็นเป็นเส้นดิ่งไม่แตกแขนง 1 เส้น ใบอาจอยู่เดี่ยวๆหรือเชื่อมกันเป็นกระจุก
2-5 ใบ สีเขียวอ่อนถึงสีม่วงแกมแดง รูปใบไม่สมมาตรรูปไข่กลับหรือรูปไข่แกมขอบ
ขนาน กว้างประมาณ 0.7-2.8 เซนติเมตร ยาว 1.2-4.8 มิลลิเมตร เส้นใบ 3 เส้น
ดอกขนาดเล็กออกเป็นช่อในถุงที่ขอบใบ ประกอบด้วยเพศผู้ 2 ดอกและเพศเมีย
1 ดอก ผลขนาดเล็กรูปร่างค่อนข้างรี

ประโยชน์ แหล่งที่พบ

แหนเป็ดเล็กเป็นวัชพื ชน้ำใช้เป็น พบในประเทศเขตร้อนและเขต
อาหารสัตว์ เช่น เป็ด ห่านและปลา ศูนย์สูตรของเอเชีย สามารถพบได้
ทั่วไปตามแหล่งน้ำจืด ตั้งแต่ระดับ
ใกล้น้ำทะเลจนถึง 2,100 เมตร

แหนเป็ดใหญ่
ชื่อสามัญ
: Great Duckweed, Large Duckweed หรือ

Water Flaxseed
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Spirodela polyrrhiza (L.) Schleid
วงศ์ : Lemnaceae
ชื่ออื่นๆ : กาแหน (เหนือ) แหนแดง (กทม.,เหนือ)แหนใหญ่
(กลาง)

ลักษณะของแหนเป็ดใหญ่

แหนเป็ดใหญ่ เป็นพืชลอยน้ำลักษณะเป็นแผ่นใบเล็กๆที่ผิวน้ำ มีรากเป็นเส้นเดี่ยว
7-16 เส้น ใบอาจอยู่เดี่ยวๆ หรือเชื่อมกันเป็นกระจุก 2-5 ใบ สีเขียวเป็นมัน ด้านล่างมัก
เป็นสีเขียวน้ำตาลแดง รูปไตรูปกลมหรือรูปไข่ กว้าง 2-8 มิลลิเมตร ยาว 3-12 มิลลิเมตร
เส้นใบ 7-12 เส้น ดอกออกเป็นช่อเกิดในถุงด้านข้างประกอบด้วยดอกเพศผู้ 2 ดอก
ดอกเพศเมีย 1 ดอก มีขนาดเล็กมาก ผลเล็กมีสันหรือปีก

ประโยชน์ แหล่งที่พบ

แหนเป็ดใหญ่ใช้สำหรับเป็นอาหารสัตว์ แหนเป็ดใหญ่ขึ้นกระจายอยู่เกือบทั่วโลก
แต่ในแอฟริกาและออสเตรเลียค่อนข้างที่จะ
พบได้ยากสามารถพบได้ในแหล่งน้ำจืด
ทั่วไป เช่น หนอง คลอง บึง ตั้งแต่ระดับ
ใกล้น้ำทะเลจนถึง 2100 เมตร

พื ชริมน้ำ

กกกลม

ชื่อสามัญ : Sedge, Egyptian paper plant,
Papyrus, Egyptian paper reed
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cyperus corymbosus Rotth
วงศ์ : Cyperaceae
ชื่ออื่นๆ : กกกลม,กกจันทบูรณ์,กกขนาก,หญ้าลังดา,
กกดอกแดง

ลักษณะของกกกลม

กกกลม มีลำต้นแท้อยู่ใต้ดินเป็นแง่งหรือเหง้าสั้นๆ เปลือกผิวมีสีน้ำตาลอมดำ
ส่วนลำต้นเหนือดิน มีลักษณะตั้งตรง โดยลำต้นมีลักษณะทรงกลม ผิวเรียบเกลี้ยง
สูงได้ตั้งแต่ 80-200 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน

ใบกกกลมเป็นในเลี้ยงเดี่ยวแทงออกบริเวณโคนต้น มีลักษณะเป็นใบลดรูปที่เรียกว่า
กาบใบ ส่วนใบอีกชนิดจะออกเรียงกันเป็นวงกลมบริเวณปลายของลำต้น ก่อนส่วนถัด
ไปจะเป็นช่อดอก เรียกว่า ใบประดับ ตัวใบมีรูปหอกเรียวยาว ปลายใบแหลม ซึ่งจะสั้น
กว่าช่อดอก และมีลักษณะสั้น และเล็กกว่ากกลังกา

ดอกกกกลมออกเป็นช่อ แทงออกที่บริเวณปลายลำต้นเหนือดิน มีลักษณะเป็นช่อ
ดอกใหญ่ และช่อดอกย่อย ตัวดอกประกอบด้วยดอกขนาดเล็กจำนวนมาก โดยจัดเป็น
ดอกแบบสมบูรณ์เพศ และไม่สมบูรณ์เพศ แต่ดอกส่วนมากจะเป็นดอกแบบสมบูรณ์
เพศ ดอกแต่ละดอกประกอบด้วยกลีบเลี้ยงหรือกลีบดอกที่มีลักษณะเป็นขน ถัดมาด้าน
ในเป็นเกสรตัวผู้ที่มีประมาณ 2-6 อัน แต่ส่วนมากจะพบประมาณ 3 อัน และมีเกสรตัว
เมีย 1 อัน โดยปลายเกสรจะแยกออกเป็นแฉก 2-3 แฉก
ผล เป็นผลแห้ง มีลักษณะทรงกลมขนาดเล็ก

ประโยชน์

แหล่งที่พบ -ปลูกเป็นพื ชบำบัดในระบบบำบัดน้ำเสีย
-ใช้ทำเครื่องจักสาน
เป็นพื ชที่พบได้ทั่วไปในทุกจังหวัด
ในประเทศไทย พบมากตามบริเวณ
พื้ นที่ชุ่มน้ำที่มีน้ำขังตื้นๆหรือพื้ นที่
ชื้นแฉะตลอดปี

กกรังกา

ชื่อสามัญ : Umbrella plant, Flatsedge
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cyperus alternifolius L
วงศ์ : Cyperaceae
ชื่อท้องถิ่น : กกต้นกลม, กกขนาก, หญ้าลังดา,
กกดอกแดง,กกราชินี

ลักษณะของรังกา
กกรังกา เป็นพื
ชที่มีลำต้นออกเป็นกอมีหัวอยู่ใต้ดิน คล้ายจำพวกขิงหรือเร่ว ลำต้นมีความ
สูงประมาณ 100-150 เซนติเมตร ลักษณะของลำต้นตั้งตรงไม่มีกิ่งก้าน ลำต้นกลมมีสี
เขียว ใบจะออกแผ่ซ้อน ๆ กัน อยู่ปลายยอดของลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปยาว ปลายใบ
แหลม กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ยาว 18-19 เซนติเมตร ใบมีสีเขียว ริมขอบใบเรียบ
ใต้ท้องใบสาก ลำต้นหนึ่งจะมีใบประมาณ 18-25 ใบ ดอกออกเป็นกระจุก อยู่รวมกันเป็นใบ
ดอกมีขนาดเล็ก เป็นสีขาวแกมเขียว ก้านดอกเป็นเส้นเล็กๆสีเขียว ดอกแก่เมื่อแก่จะเปลี่ยน
เป็นสีน้ำตาลอ่อน ขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ ผล (Fruit) ผลแห้ง รูปรีหรือรูปไข่ กว้าง
0.4-0.5 มิลลิเมตร ยาว 0.9-1 มิลลิเมตร สีน้ำตาล เปลือกแข็ง มีเมล็ดเดียว

แหล่งที่พบ


กกรังกาเป็นพั นธุ์ไม้มักจะขึ้นตาม ประโยชน์และสรรพคุณ
บริเวณที่ ๆ เป็นโคลนหรือน้ำ เช่น
ข้างแม่น้ำ ลำคลอง สระ หรือบ่อน้ำ ราก รสขมน้ำต้มรากดื่มแก่ช้ำในและอาการ
และที่ลุ่มทั่วไปอยู่ในทวีปแอฟริกา มี ตกเลือดจากอวัยวะภายใน ขับเลือดเสีย
การขยายพั นธุ์ด้วยวิธีการการแยก ออกจากร่างกาย
หน่อและใช้เมล็ด เหง้าหัวใต้ดิน ต้มเอาน้ำดื่ม เป็นยาบำรุง
ร่างกาย บำรุงธาตุ ขับน้ำลาย และขับ
เสมหะเป็นยาแก้เสมหะเฟื่อง แก้ธาตุพิการ
และเป็นยาทำให้อยากอาหาร
ลำต้น นำมาต้มเอาน้ำดื่ม ช่วยขับน้ำดีให้
ตกลงลำไส้ ขับลมในลำไส้ ซึ่งรสจืดเย็นใช้
ในการขับปัสสาวะ รสขม รักษาน้ำดี สร้าง
น้ำดี โลหิต และแก้เสมหะ

กกสามเหลี่ยมใหญ่

ชื่อสามัญ : C
oarse bullrush

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Actinoscirpus grossus
วงศ์ : Cyperaceae
ชื่ออื่นๆ : กกตะกลับ กกตาแดง กกปรือ กกสามเหลี่ยม

ลักษณะของกกสามเหลี่ยมใหญ่




กกสามเหลี่ยมใหญ่ เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวอยู่ในวงศ์กก มีอายุยืนหลายฤดู ลำต้นมีลักษณะ

เป็นสามเหลี่ยม เจริญเติบโตเป็นกอ มีลำต้นใต้ดินแตกไหลได้ พุ่มสูงตั้งแต่ 1-2 เมตร

ใบของกกสามเหลี่ยมใหญ่ค่อนข้างแข็ง แผ่นใบแคบ มีลักษณะเรียวยาวเป็นรูปใบหอก

ยาวประมาณ 50-100 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นช่อชนิดโคริมบ์ ประกอบด้วย

ช่อดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยไม่มีก้านดอก เกิดลักษณะเวียนรอบก้านดอกอย่างหนา

แน่น เมื่อยังเป็นดอกอ่อนจะมีสีเหลืองอ่อนอมเขียว แต่เมื่อดอกแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล

ดอกออกช่วงเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม แต่อาจถึงเดือนตุลาคมได้ ขยายพันธุ์โดยใช้ไหล

หรือเมล็ด

แหล่งที่พบ

ประโยชน์

กกสามเหลี่ยมใหญ่สามารถนำมาทอ สามารถพบได้ตั้งแต่ประเทศตุรกี อินเดีย
เสื่อ ทำเป็นเครื่องจักสานเป็นฝาบ้าน บังคลาเทศ เนปาล ปากีสถาน ศรีลังกา
ฝ้าเพดานหรือหลังคาบ้าน นอกจาก ภูฏาน ญี่ปุ่นและจีน (พบในมณฑลกวางตุ้ง
นี้ยังสามารถทำเป็นตะกร้าและกระเป๋า และเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง)
ได้ด้วย
กกสามเหลี่ยมใหญ่นั้นเป็นพื ชท้องถิ่นของ
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้แก่

ประเทศมาเลเซีย พม่า ลาว กัมพู ชา

เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และในประเทศไทยซึ่ง

สามารถกกสามเหลี่ยมใหญ่พบได้ในทุกภาค

ตาลปัตรฤๅษีหรือผักพาย

ชื่อสามัญ : Yello
w velvetleaf

ชื่อวิทยาศาสตร์: Limnocharis flava (L.) Buchenau
วงศ์ : Limnocharitaceae
ชื่ออื่นๆ : ผักคันจอง (อีสาน) บอนจีน นางกวัก หรือ
ตาลปัตรยายชี

ลักษณะของตาลปัตรฤๅษีหรือผักพาย



ตาลปัตรฤๅษีหรือผักพาย เป็นพืชน้ำลำต้นเหง้าฝังจมอยู่ในโคลนเจริญเป็นต้น
มีไหลสั้น ๆ จำนวนมาก ใบเป็นใบเดี่ยวรูปร่างกลมรี ยาวประมาณ 15-18 เซนติเมตร
กว้างประมาณ 12 เซนติเมตร มีก้านใบงอกยื่นอยู่เหนือผิวน้ำ ก้านใบยาวประมาณ
30 เซนติเมตร ก้านใบสีเขียวอ่อนเป็นเหลี่ยม แผ่นใบใหญ่และแผ่นคล้ายใบตาลปัตร
ดอกเป็นดอกช่อแบบร่ม มีดอกย่อย 7-10 ดอก กลีบดอกสีเหลืองอ่อนร่วงง่าย
เส้นผ่าศูนย์กลางของดอกย่อย ประมาณ 1.5 เซนติเมตร

ประโยชน์และสรรพคุณ แหล่งที่พบ

ประโยชน์ทางอาหารก้านใบอ่อนและดอก ผักพายเป็นพืชน้ำ เจริญเติบโตได้ดีในที่
อ่อนของผักพายสามารถรับประทานเป็น ชื้นแฉะและบริเวณที่มีน้ำขัง เช่น หนอง
ผักสดแกล้มแบบส้มตำหรือน้ำพริกได้ น้ำ นาข้าว สามารถพบได้มากทางกลาง
และภาคอีสาน
สรรพคุณทางยา คือ ช่วยป้องกันไข้ที่
เกิดจากการเปลี่ยนฤดูหรือที่คนสมัยก่อน
เรียกว่า ไข้หัวลม และยังช่วยทำให้เจริญ
อาหาร เมื่อกินผักพาย 100 กรัม จะได้รับ
แคลเซียม 7 มิลลิกรัม เบตาแคโรทีน 501
ไมโครกรัม วิตามินซี 13 มิลลิกรัม

ธูปฤๅษี

ชื่อสามัญ : Cat-tail, Elephant Grass, Lesser
Reedmace, Narrow-leaved Cat-tail
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Typha angustifolia L
วงศ์ : Typhaceae
ชื่ออื่นๆ : กกธูป,หญ้าสลาบหลวง,เฟื้อ

ลักษณะของธูปฤๅษี



ธูปฤาษี พืชล้มลุก มีเหง้าแข็ง ใบเป็นใบเดี่ยวแตกแบบสลับกันเป็นสองแถวด้านข้าง
ลักษณะใบรูปแถบแบน กว้าง 1 - 2 เมตร แผ่นใบบนนูนโค้งขึ้นเล็กน้อย ดอกสีน้ำตาล

ออกเป็นช่อ แยกเพศก้านเดียวกันก้านช่อดอกเรียวแข็งสูงเกือบเท่าใบดอกเพศผู้เป็นก
ลุ่มหลวมๆ ที่ปลายช่อ ยาว 15 - 30 เซนติเมตร ดอกย่อยมีเกสรเพศผู้ 2-3 อันและมี

ขนรูปช้อน 3 เส้น ดอกเพศเมียอยู่ด้านล่าง ดอกย่อยอัดแน่นเป็นรูปทรงกระบอก

ยาวประมาณ 28 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร รังไข่มีก้านยาว
และขนสีขาวจำนวนมาก ผล เมื่อแก่แตกตามยาวมีขนาดเล็กมาก

แหล่งที่พบ ประโยชน์และสรรพคุณ

ธูปฤาษีมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปยุโรป สรรพคุณเป็นวัชพื ชลำต้นใต้ดินและ
และอเมริกาขึ้นตามหนองน้ำ ลุ่มน้ำ รากใช้เป็นสมุนไพรเพื่ อขับปัสสาวะ
ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม ตามทะเลสาบ หรือสกัดเป็นแป้งใช้สำหรับการบริโภค
หรือริมคลอง รวมไปถึงตามที่โล่ง
ทั่ว ๆ ไป มีเขตการกระจายพันธุ์ทั่ว ประโยชน์ใช้ในการทำเครื่องจักสาน
โลกในเขตร้อนและในเขตอบอุ่น มุงหลังคาและทำเชือก
สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้
ทั่วทุกภูมิภาค

บอน
ชื่อส
ามัญ : Elephant ear

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Colocasia esculenta
วงศ์ : Araceae
ชื่ออื่นๆ : ตุน (เชียงใหม่), บอนหอม (ภาคเหนือ), บอน
จืด (ภาคอีสาน), บอนเขียว บอนจีนดำ (ภาคกลาง),
บอนท่า บอนน้ำ (ภาคใต้)

ลักษณะของบอน

บอน มีเหง้าอยู่ใต้ดิน มักขึ้นเป็นกลุ่มๆตามพื้นที่ลุ่มริมน้ำ สูงประมาณ 0.7-1.2 เมตร
ลำต้นประกอบไปด้วยหัวกลางและหัวย่อยอยู่รอบ ๆ หัวใหญ่
ใบบอน เป็นใบเดี่ยวเรียงแผ่ออกรอบต้น ใบเป็นรูปไข่แกมสามเหลี่ยมหรือเป็นรูปหัวใจปลายใบ
แหลม โคนใบเว้าแหลม กว้างประมาณ 10-35 เซนติเมตร และยาวประมาณ 20-50
เซนติเมตร ก้านใบออกที่ตรงกลางแผ่นใบ โคนใบแยกเป็นแฉกสองแฉก ด้านหน้าใบเป็นสี
เขียว เรียบไม่เปียกน้ำเพราะผิวใบเคลือบไปด้วยไข ด้านหลังใบเป็นสีเขียวอ่อนหรือม่วงหรือ
เป็นสีขาวนวล มองเห็นเส้นใบได้ชัดเจน ในแต่ละกอจะมีประมาณ 7-9 ใบ ก้านใบยาวออกจาก
ต้นใต้ดิน ก้านใบยึดกับด้านล่างของใบ ก้านใบเป็นสีเขียวแกมม่วงหรือสีเขียวแกมเหลือง
ก้านใบยาวประมาณ 30-90 เซนติเมตร
ดอกบอนเป็นช่อเป็นแท่งเดี่ยวๆ มีกาบสีเหลืองอ่อนหรือสีเหลืองนวลหุ้มอยู่ ดอกย่อยแยก
เพศอยู่ในช่อเดียวกันดอกเป็นกระเปาะสีเขียวเป็นแท่งอยู่ตรงกลาง

แหล่งที่พบ ประโยชน์

บอนสามารถพบได้ทั่วไปในทุกภาค ลำต้นใช้ทำอาหาร เช่น แกงบอน ส่วนของ
ของประเทศไทย มักจะขึ้นเป็นกลุ่มๆ บอนที่นำมาแกง คือยอดอ่อนหรือใบอ่อนของ
ตามพื้นที่ลุ่มริมน้ำ บนดินโคลนหรือ บอนที่อยู่ใกล้โคนต้นใช้บอนพั นธุ์สีเขียวสด
บริเวณที่มีน้ำขัง ไม่มีสีขาวเคลือบอยู่ตามก้านและใบซึ่งเรียกว่า
บอนหวาน

หัวใต้ดินสามารถใช้รับประทานได้และใช้เป็น
ยาระบาย ห้ามเลือด น้ำคั้นจากก้านใบใช้เป็น
ยานวดแก้ฟกช้ำ

บัวบก
ชื่อสา
มัญ : Asiatic Pennywort ,Tiger Herba

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Centella asiatica
วงศ์ : Apiaceae
ชื่ออื่นๆ : ผักหนอก

ลักษณะของใบบัวบก



บัวบก เป็นไม้ล้มลุกอยู่ในจำพวกผัก ประเภทเลื้อย มีลำต้นเลื้อยไปตามดินที่ชื้นแฉะ
เรียกว่า ไหล มีรากงอกออกตามข้อของลำต้น
ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ใบงอกเป็นกระจุกออกจากข้อ ข้อละ 2-10 ใบ ลักษณะใบ
รูปไต รูปร่างกลม ฐานใบโค้งเว้าเข้าหากัน ขอบเป็นคลื่นหยักเล็กน้อย แผ่นใบสีเขียวมีขน
เล็กน้อย ก้านใบสีเขียวยาว
ดอก ออกดอกเป็นช่อแบบช่อซี่ร่มตามซอกใบ มีประมาณ 2-5 ช่อ ช่อหนึ่งมีดอกย่อย
ประมาณ 4 – 5 ดอก ดอกมีขนาดเล็ก กลีบดอกมี 5 กลีบ สีม่วงเข้มอมแดงสลับกัน
ก้านช่อดอกจะมีความยาวประมาณ 0.5-5 เซนติเมตร ริ้วประดับจะมีประมาณ 2-3 ใบ
เกสรตัวผู้นั้นจะสั้น
ผล เป็นผลแห้งแตก ลักษณะแบน มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร เมล็ด
สีดำ

ประโยชน์และสรรพคุณ

แหล่งที่พบ รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ช่วย
ลดการอักเสบและสมานแผลได้ดี
บัวบกขึ้นกระจายได้ทุกพื้ นที่ทั่ว ช่วยลดการปวดแสบปวดร้อน
ประเทศโดยเฉพาะบริเวณที่ชื้นแฉะ
ลดอาการฟกช้ำได้ดี ช่วยให้เลือด
กระจายตัว

มีกรดมาดีคาสสิค กรดเอเชียติก
ที่มีสรรพคุณช่วยในเรื่องของการ
สมานแผล และฆ่าแบคทีเรีย ฆ่าเชื้อ
ที่ทำให้เกิดเป็นหนองได้

ผักกะแยง
ชื่อสามัญ
: Rice Paddy Herb
ชื่อวิทย
าศาสตร์ : Limnophila geoffrayi

วงศ์ : Scorphulariaceae

ชื่ออื่นๆ : กะออม กะแยง(ตะวันออกเฉียงเหนือ)

กะแยงแดง(อุบลราชธานี) ผักพา(เหนือ)

ลักษณะของผักกะแยง

ผักกะแยงไม้ล้มลุกฤดูเดียว ลำต้นเรียวยาวตั้งตรง กลมกลวงอวบน้ำ มีขนแน่น ใบเดี่ยว
เรียงตรงข้าม ทุกข้อ ตลอดลำต้น รูปขอบขนานแกมใบหอกขอบใบหยักมนแกมฟันเลื่อย
ปลายใบแหลม โคนใบห่อติดลำต้น ดอกช่อกระจะออกที่ซอกใบและปลายกิ่ง ออกพร้อมกันทั้ง
ต้น ดอกย่อย 2-10 ดอก ดอกเป็นรูปหลอดคล้ายถ้วย รูปกรวย ปลายบานเล็กน้อย แยก
ออกเป็น 4 กลีบ กลีบดอกสีม่วง ผิวด้านนอกเรียบ ผิวด้านในตอนล่างของกลีบดอกมีขน
ผลแห้งแตกได้ รูปกระสวย เมล็ดรูปร่างกลมรี สีน้ำตาลดำ ขนาดเล็กมาก ชอบขึ้นบริเวณที่มี
น้ำขังเล็กน้อย

แหล่งที่พบ ประโยชน์และสรรพคุณ

ผักกะแยงเป็นเป็นวัชพื ชในนาข้าว การประกอบอาหาร ต้นมีกลิ่นหอมฉุนและมี
พบมากในภาคอีสานของไทย รสเผ็ดร้อนชาวอีสานใช้ใส่ในแกงต้มปลา
อ่อมต่างๆ มีกลิ่นหอม ช่วยดับกลิ่นคาว
สรรพคุณ
-ช่วยทำให้เจริญอาหาร ลดอาการเบื่ออาหาร
-ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันเส้นเลือด
อุดตัน
-ใช้เป็นยาแก้ไข้ ลดไข้ ลดอาหารร้อนใน
บรรเทาอาการไอ ช่วยให้ชุ่มคอ
-ช่วยดับกลิ่นปาก เพราะน้ำมันหอมระเหยจะ
ช่วยกำจัดแบคทีเรียในช่องปาก เป็นต้น

ผักบุ้งไทย

ชื่อสามัญ : Swamp cabbge, Swamp cabbage
white stem, Water morning glory
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ipomoea aquatica Forsk.
วงศ์ : Convolvulaceae
ชื่ออื่นๆ : ผักทอดยอด,ผักบุ้ง,ผักบุ้งแดง,ผักบุ้งนา
กำจร,โหนเดาะ

ลักษณะของผักบุ้งไทย
ผักบุ้งไทย ล
ำต้นกลวงสีเขียวเพราะต้องใช้ในการสังเคราะห์แสงร่วมกับใบและมีข้อปล้อง
ชัดเจนและมีรากงอกออกมาตามข้อปล้องต่างๆ (ที่ลำต้นกลวงเพื่อให้ลอยน้ำได้) เมล็ดพันธุ์
มีสีดำลักษณะกลม มีใบเดี่ยวสีเขียวคล้ายหัวลูกศรเรียวยาวและฐานใบเว้าเป็นรูปหัวใจยาว
3-15 เซนติเมตร กว้าง 3-9 เซนติเมตร ดอกมีลักษณะเป็นช่อดอกลักษณะทรงระฆังต่าง
จากผักบุ้งจีน ที่เป็นทรงกรวย โดยออกตามซอกใบ กลีบดอกมีหลายสี ได้แก่ สีขาว สีม่วง
แดงและสีชมพู กลีบม่วง การขยายพันธุ์สามารถนำเมล็ดพันธุ์ไปปลูกหรือแยกกิ่งแก่ไปปักชำ
ได้เช่นเดียวกัน

แหล่งที่พบ ประโยชน์และสรรพคุณ

ผักบุ้งพบได้บริเวณในเขตร้อน เป็นผักที่
ประโยชน์ใช้ในการใช้ประกอบอาหาร
สรรพคุณ
คนท้องถิ่น เช่น ไทย เวียดนาม กัมพู ชา -ทั้งต้น บรรเทาอาการปวดศีรษะ
-ดอก รักษากลากเกลื้อน รักษาแผล
มาเลเซียและกานา นิยมรับประทาน ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ลดอาการแพ้
-ใบ ใช้เพื่อถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย
เป็นอาหาร สามารถพบได้บริเวณแหล่ง ถอนพิ ษเบื่อเมา
-ราก บรรเทาอาการไอเรื้อรัง
น้ำ แม่น้ำลำคลองเพราะเจริญเติบโตใน -ปกติ แก้ขัดเบา ลดอาการบวม

น้ำได้ดีกว่าบนดิน

ผักแว่นหรือผักใบบัวบกเล็ก

ชื่อสามัญ : Water clover, Water fern,
Pepperwort
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Marsilea crenata
วงศ์ : Marsileaceae
ชื่ออื่นๆ : ภาคเหนือ/อีสาน/กลาง -ผักแว่น
ภาคใต้ - ผักลิ้นปี่ ชาวกะเหรี่ยง (ภาคเหนือ) – หนูเต๊าะ

ลักษณะของผักแว่น

ผักแว่น เป็นพืชประเภทเฟิน มีลำต้นเลื้อยขนานยาวไปกับพื้นดิน สามารถเกาะติดอยู่
บนพื้นดินหรืออยู่ในน้ำก็ได้ ลักษณะค่อนข้างกลม ซึ่งลำต้นอ่อนจะเป็นสีเขียว แต่เมื่อแก่จะ
เป็นสีน้ำตาล มีขนสีน้ำตาลอ่อนปกคลุม ลำต้น และ มีรากงอก ที่ลำต้น ใบเป็นใบประกอบ
มีใบย่อย 4 ใบ ใบย่อยจะมีรูปร่างลักษณะคล้าย รูปลิ่ม หรือ รูปสามเหลี่ยม ใบย่อยไม่มี
ก้านใบ มีสปอร์สีดำรูปรี คล้ายเมล็ดถั่วเขียว หรือรูปขอบขนาน ออกที่โคนก้านใบ โคนใบ
สอบ ขอบใบหยักเล็กน้อยหรือขอบใบเรียบ ก้านใบยาวแผ่นใบเรียบไม่มีขน ใบแตกออก
จากตรงกลาง ตำแหน่งเดียวกันทั้งหมด ซึ่งรวมกันเป็นลักษณะกลม

แหล่งที่พบ ประโยชน์และสรรพคุณ

ผักแว่นสามารถพบได้ทั่วไปใน ใบและลำต้นของผักแว่น สามารถนำ
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มารับประทานเป็นผักสดได้
พบเห็นได้ทั่วไปตามริมน้ำหรือพื้ น สรรพคุณทางยาใช้เป็นยาภายนอก
ดินที่มีน้ำขังแฉะ รักษาแผลเปื่ อย แผลไฟไหม้น้ำร้อน
น้ำต้มใบสด จะมีรสชาติจืดเย็นฝาด
หวานเล็กน้อย สมานแผลในปากและ
ลำคอ ดื่มระงับอาการร้อนในกระหาย
น้ำ ขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย

แพงพวยน้ำ

ชื่อสามัญ : Sunrose willow, Periwikle,
Creeping water primrose, Water primrose
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ludwigia adscendens
วงศ์ : Onagraceae
ชื่ออื่นๆ : ผักพังพวย, ผักแพงพวยน้ำ, พังพวย
ผักปอดน้ำ

ลักษณะของแพงพวยน้ำ

แพงพวยน้ำเป็นไม้ล้มลุกยาวได้กว่า 4 เมตร ลำต้นอวบน้ำ มีรากตามข้อ ต้นที่ลอย
น้ำมีรากหายใจรูปกระสวย แตกกิ่งจำนวนมาก ใบรูปรี ขอบขนานหรือใบพาย ยาวได้
ถึง 7 เซนติเมตร ดอกออกเดี่ยว ๆ ตามซอกใบ กลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยมมี 5 กลีบ
ยาว 0.5-1.0 เซนติเมตร ด้านนอกมีขนสั้นนุ่ม ดอกมีสีขาว โคนด้านในมีสีเหลือง
กลีบดอกรูปไข่กลับ ยาว 1-1.8 เซนติเมตร เกสรเพศผู้มี 10 อัน ก้านชูอับเรณูยาว
2.5-4 มิลลิเมตร ผลรูปทรงกระบอกยาว 1.2-2.7 เซนติเมตร มีสันตามยาว เกลี้ยง
หรือมีขน ภายในมีเมล็ดเรียงเป็นแถวเดียว

แหล่งที่พบ ประโยชน์และสรรพคุณ

แพงพวยน้ำสามารถพบเห็นได้ สรรพคุณทางยา
ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ทั้งต้น :แก้โรคเบาหวาน ลดความดันโลหิต
โดยถูกจัดเป็นวัชพื ชชนิดหนึ่งใน ใบ : บำรุงหัวใจ แก้ท้องผูกเรื้อรัง
นาข้าว ซึ่งงมักจะพบได้ตามทุ่งนา ราก : แก้บิด ขับระดู ขับพยาธิ ห้ามเลือด
ตามห้วยหนอง คลอง บึง หรือ ประโยชน์ สามารถใช้ในการประกอบอาหารได้
ตามข้างทางที่มีน้ำขังนานๆ

พุ ทธรักษา
ชื่อสามั
ญ : Canna Lily , India Short Plant,

India Shoot, Bulsarana
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Canna indica L.
วงศ์ : Cannaceae
ชื่ออื่นๆ : บัวละวงศ์ พุ ทธสร สาคูหัวข่า สาคูมอญ

ลักษณะของพุ ทธรักษา

พุ ทธรักษา เป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อนและอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-2 เมตร
มีลำต้นที่อยู่ใต้ดินซึ่งจะเรียกว่า เหง้า มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอคล้ายกับกล้วย
ลักษณะหน่อที่เจริญเป็นต้นเหนือพื้นดินนั้นมีลักษณะกลมแบนสีเขียว ขนาดลำต้นโตประมาณ
2-4 เซนติเมตร ใบจะมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็น
เส้นนูนเห็นได้ชัดโคนใบมีก้านใบซึ่งยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกันใบมีกว้างประมาณ
10-15 เซนติเมตร ยาวประมาณ 25-35 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น
ช่อดอกยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร ประกอบด้วยดอก 8-10 ดอก และมีกลีบดอกบาง
นิ่ม ขนาดของดอกและสีสันแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์

แหล่งที่พบ ประโยชน์และสรรพคุณ

พุ ธรักษาสามารถพบมากตาม เมล็ด มีรสเมาเย็น ใช้ตำพอกแก้อาการปวด
บริเวณริมน้ำหรือแอ่งที่มีสภาพชื้น ศีรษะได้ ชาวชวาจะใช้เมล็ดนำมาบดให้เป็น
หรือมีน้ำขังเช่น แอ่งตามข้างถนน ผงใช้พอกบริเวณขมับแก้อาการปวดศีรษะ
หรือ ริมขอบสระน้ำต่างๆ ดอก เป็นยาช่วยสงบจิต ทำให้หัวใจสดชื่น
ใช้เป็นยาขับพิษร้อน ขับน้ำในร่างกายและยัง
ช่วยลดความดันโลหิต

ไมยราบยักษ์
ชื่อสามัญ
: Giant sensitive plant

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Imosa pigra
วงศ์ : Fabaceae
ชื่ออื่นๆ : ไมยราบยักษ์ ไมยราบน้ำ กระถินน้ำ

ลักษณะของไมยราบยักษ์

ไมยราบยักษ์ เป็นพืชตระกูลถั่วและเป็นไม้ยืนต้น สูงได้มากกว่า 3 เมตร มีหนามออก
จากผิว ลำต้นมีกิ่ง กิ่งยาวประมาณ 2-6 เมตร ใบไมยราบยักษ์เป็นใบประกอบแบบขนนก
มีทั้งใบหลักและใบย่อย ก้านใบมีลักษณะเป็นหนามและมีขนสาก ใบของไมยราบยักษ์เมื่อถูก
กระตุ้นจะไม่มีการหุบเหมือนไมยราบทั่วไป ดอกไมยราบยักษ์จะออกเป็นช่อ ซึ่งมักจะเกิดที่
ส่วนปลายสุดของกิ่งและจากซอกของใบ ในดอกย่อยเกสรตัวผู้จะมีสีแดงและสีม่วงซีด
เห็นเด่นชัด ผลและเมล็ดฝักมีลักษณะแบนยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร กว้างประมาณ
2 เซนติเมตร และมีขนสากปกคลุมคลุมอย่างหนาแน่น เมล็ดมีลักษณะกลม สีน้ำตาล
มีปลายเมล็ดด้านหนึ่งแหลมสำหรับงอกออกของต้นอ่อน

แหล่งที่พบ ประโยชน์และสรรพคุณ

พบได้รอบๆบริเวณแหล่งน้ำ หรือที่ การเลี้ยงผึ้ง เป็นแหล่งพืชอาหารสำคัญที่
น้ำท่วมถึง ในปีค.ศ. 1970 ไมราบยักษ์ ให้เกสรในการผลิตรอลยัลเยลลีทางภาค
กลายเป็นวัชพื ชร้ายแรงที่ส่งผลต่อทุ่ง เหนือของประเทศไทย
หญ้าเลี้ยงสัตว์และในอุทยานแห่งชาติ ด้านการแพทย์
ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย ในแอฟริกาใช้เป็นยาชูกำลังและเป็นยา
ไมยราบยักษ์โตไวและทนทานต่อสภาพ สำหรับโรคท้องร่วงโรคหนองในและเลือด
แวดล้อมที่แห้งแล้งหรือน้ำท่วมได้ เป็นพิ ษ
อีกทั้งเมล็ดยังสามารถลอยน้ำได้ ในแซมเบียนำรากมาใช้โรยบนผิวหนังที่เป็น
โรคเรื้อนเมล็ดนำมาใช้ในการแก้ปัญหา
เกี่ยวกับฟัน

หญ้าขน

ชื่อสามัญ : Para Grass, Mauritius Grass
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Brachiaria mutica
วงศ์ : Poaceae
ชื่ออื่นๆ : -

ลักษณะของหญ้าขน

หญ้าขน เป็นพืชหลายฤดู แพร่กระจายด้วยเมล็ด และการแตกไหล ออกรากตามข้อ
สูงประมาณ 2 เมตร ใบมีขน ยาว 10 - 30 เซนติเมตร และกว้าง 1 -1.5 เซนติเมตร
บริเวณข้อมีขน ดอกเป็นดอกช่อ ยาว 10 - 20 เซนติเมตร ออกดอกตลอดปี

แหล่งที่พบ ประโยชน์และสรรพคุณ

หญ้าขนชอบดินที่ระบายน้ำได้ไม่ดี ปศุสัตว์ หญ้าขนนิยมปลูกสำหรับใช้เป็น
พบตามบริเวณที่นาและน้ำท่วมขัง อาหารหยาบสำหรับโค กระบือ เนื่องจาก
พบได้ทั่วประเทศไทย ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้เร็ว และมีคุณค่า
ทางโภชนาการสูง
บำบัดน้ำเสีย หญ้าขน ถูกจัดให้เป็นพืชริม
น้ำที่เติบโตในพื้นที่น้ำขังได้ จึงสามารถใช้
ปลูกเพื่ อบำบัดน้ำเสียในระบบบึงประดิษฐ์

พื ชในน้ำ

ดีปลีน้ำ

ชื่อสามัญ : Potamogeton nodosus

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Potamogeton nodosus Poir Rotth

วงศ์ : Potamogetonaceae

ชื่ออื่นๆ : -

ลักษณะของดีปลีน้ำ

ดีปลีน้ำ เป็นพืชใต้น้ำ ใบมีสองแบบคือใบที่จมอยู่ใต้น้ำ รูปหอกแคบหรือรูปแถบ
กว้าง 1-2 เซนติเมตร ยาว 8-15 เซนติเมตร ใบที่ลอยอยู่ที่ผิวน้ำรูปรี หรือรูปขอบ
ขนาน กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 5-12 เซนติเมตร ก้านใบยาว 5-15 เซนติเมตร
มีหูใบแหลม ยาว 2-4 เซนติเมตร ดอกสีน้ำตาลออกเป็นช่อแน่นชูขึ้นเหนือน้ำ
รูปทรงกระบอก ยาว 6-15 เซนติเมตร ดอกย่อยเป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบรวม
4 กลีบ เกสรเพศผู้ 4 อัน เกสรเพศเมียมีรังไข่ 4 อัน แยกกัน ผลเดี่ยวค่อนข้าง
กลมเส้นผ่าน ศูนย์กลาง 2-3 เซนติเมตร

แหล่งที่พบ ประโยชน์และสรรพคุณ

ดีปลีน้ำช่วยแก้ปัญหาท้องเสีย ดีปลีน้ำสามารถพบได้ในเขตอเมริกาเหนือ
ลำไส้อักเสบขับลมในกระเพาะอาหาร ยุโรป แอฟริกา ถึงเอเชียและนิวซีแลนด์
และอาการภูมิแพ้ ได้ พบในแหล่งน้ำจืด เช่น ทะเลสาบ หนอง
และบึง

บัวเผื่อน

ชื่อสามัญ : Water Lily
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nymphaea nouchali
วงศ์ : Nymphaeaceae
ชื่ออื่นๆ : นิโลบล , ป้านสังก่อน (เชียงใหม่), ปาลีโป๊ะ
(มลายู นราธิวาส), บัวผัน บัวขาบ (ภาคกลาง), บัวแบ้

ลักษณะของบัวเผื่อน



บัวเผื่อน เป็นพันธุ์ไม้น้ำคล้ายบัวสาย อายุหลายปี มีเหง้าและไหลอยู่ใต้ดินและส่งใบดอก
ขึ้นมาบนผิวน้ำเริ่มบานตอนสายและหุบตอนบ่ายออกดอกตลอดปี
ใบเป็นใบเดียวออกแบบเรียงสลับเป็นกลุ่ม แผ่นใบลอยบนผิวน้ำ ใบรูปไข่กว้าง
ยาวประมาณ 10-25 เซนติเมตร กว้าง 8-18 เซนติเมตร ผิวใบเกลี้ยงหน้าใบสีเขียว
ท้องใบสีเขียวอ่อนถึงสีม่วงจาง ปลายใบทู่ถึงกลมมน โคนใบเว้าลึก ขอบใบเรียงถึง
หยักตื้นๆ ก้านใบสั้นยาวไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความลึกของน้ำ ดอกเป็นดอกเดี่ยว อยู่
เหนือน้ำ มีสีขาวแกมชมพู ถึงอ่อนคราม กลิ่นหอมอ่อนๆ หากมีสีขาวแกมชมพู จะเรียก
ว่า “บัวเผื่อน” ส่วนดอกสีครามอ่อนและมีขนาดใหญ่เรียกว่า “บัวผัน” บางครั้งนัก
วิทยาศาสตร์แยกเป็น 2 ชนิด บางครั้งว่าเป็นชนิดเดียวกันแต่มี 2 พันธุ์ แต่ละดอกมี
เส้นผ่านศูนย์กลาง 6-18 กลีบ มีเกสรตัวผู้สีเหลืองเป็นจำนวนมาก รังไข่มี 10-20 ช่อง




ฝังตัวแน่นอยู่ใต้แผ่นรองรับเกสรตัวเมียรูปถ้วย ก้านดอกคล้ายก้านใบและยาวไล่เลียกัน
ผลจมอยู่ใต้น้ำหลังจากผสมเกสรแล้ว

ประโยชน์และสรรพคุณ แหล่งที่พบ

-ปลูกเป็นดอกไม้ประดับ บัวเผื่อนพบขึ้นตามหนอง บึง ริมแม่น้ำ
-ช่วยในเรื่องการบำรุงหัวใจ ที่มีกระแสน้ำอ่อนและขอบพรุ มีเขตการ
กระจายพั นธุ์อยู่ทั่วทุกภาคของไทย
ขยายพั นธุ์โดยการใช้หน่อหรือเหง้า

บัวสาย

ชื่อสามัญ : Water lily
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nymphaea lotus L.
วงศ์ : Nymphaeaceae
ชื่ออื่นๆ : อุบลชาติ

ลักษณะของบัวสาย

บัวสาย พืชล้มลุกอายุหลายปี มีเหง้าใต้ดิน ใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกจากเหง้า ก้านใบยาว
แผ่นใบยาวรูปทรงกลมไม่ยกสูงขึ้นเหนือน้ำ ขนาดผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 เซนติเมตร
ฐานใบเว้าลึก ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย ผิวด้านบนเป็นมัน ด้านล่างมีขนนุ่ม ดอกเป็นดอก
เดี่ยว บานเต็มที่กว้างได้ถึง 15 เซนติเมตร ก้านดอกคล้ายก้านใบ กลีบเลี้ยง 4 กลีบ
สีเขียวคล้ำปนน้ำตาล รูปปลายหอกแคบ กว้างประมาณ 2.5 เซนติเมตร
ยาวประมาณ 6-7.5 เซนติเมตร กลีบดอกขนาดใหญ่และลักษณะคล้ายกลีบเลี้ยง สีชมพู
สีขาวหรือสีม่วงแดง เกสรเพศผู้จำนวนมากเป็นเส้นแบนสั้นกว่ากลีบดอก อับเรณูเป็น
ร่องตามแนวขนาน เกสรเพศเมียติดบนรังไข่ ผลเป็นผลสด ภายในมีเมล็ดกลมขนาดเล็ก

แหล่งที่พบ ประโยชน์และสรรพคุณ

บัวสายพบได้ที่บริเวณแหล่งน้ำจืด ต้านการอักเสบ แก้ท้องเสีย ยาแก้ท้อง
ที่มีขี้เลน เช่น เอเชียกลาง จีน ใต้ ร่วง ยาบำรุงกำลัง ยาแก้ประจำเดือนไม่
เมียยมา ลาว กัมพู ชา เวียดนาม ปกติลดน้ำตาลในเลือด แก้ริดสีดวงทวาร
ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ คิวบา และสามารถใช้ในการประกอบอาหารได้
เช่น แกงสายบัว

บัวหลวง

ชื่อสามัญ : Lotus
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nelumbo nucifera Gaertn
วงศ์ : Nelumbonaceae
ชื่ออื่นๆ : ปทุมชาติ

ลักษณะของบัวหลวง
บัวหลวง ใบ
อ่อนจะลอยปิ่ มน้ำ ส่วนใบแก่จะชูพ้นน้ำ แผ่นใบเกือบกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง
20-50 เซนติเมตร ก้านใบแข็งมีหนามเล็ก ๆ เมื่อหักเป็นสายใยและมีน้ำยางขาว ดอกเป็น
ดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ มีสีขาวและสีชมพู มีทั้งดอกป้อมและดอกแหลม ก้านดอกแข็งมีหนาม
เล็ก ๆ ชูเหนือน้ำ กลีบดอกจำนวนมาก เรียงซ้อนกันหลายชั้น ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เมื่อ
ดอกบานเส้นผ่านศูนย์กลาง 15-25 เซนติเมตร ดอกมีหลายรูปทรงและมีหลายสี เช่น สีขาว
สีชมพู แล้วแต่พันธุ์ พันธุ์ EastIndian Lotus ดอกมีขนาดใหญ่ ดอกตูมรูปไข่ ปลายเรียว
กลีบดอกชั้นเดียว ได้แก่ ปทุม ปัทมา โกกระณต บัวหลวงชมพู บัวแหลมแดง

แหล่งที่พบ


บัวหลวงมีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชีย ประโยชน์และสรรพคุณ
สามารถพบได้ตามแหล่งน้ำต่างๆ
เช่น หนอง บึง บัวหลวงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
เพิ่ มประสิทธิภาพการไหลเวียนเลือด
คลายเครียดและสามารถนำไปรับประทานได้
เช่น เมี่ยงกลีบบัว

สาหร่ายข้าวเหนียว

ชื่อสามัญ : golden bladderwort
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Uticularia aurea lour
วงศ์ : Lentibulariaceae
ชื่ออื่นๆ : สาหร่ายดอกเหลือง,สาหร่ายนา,สาหร่ายไข่ปู,
สาหร่ายตีนกุ้ง,สาลี

ลักษณะของสาหร่ายข้าวเหนียว

สาหร่ายข้าวเหนียว เป็นพืชกินแมลงในวงศ์สร้อยสุวรรณา ต้นทอดยาวได้ถึง 1 เมตร
ใบเป็นเส้นเรียวเล็กเชื่อมกันเป็นพวงและมีใบที่เป็นรูปกระเปาะดักแมลง รูปไข่เบี้ยวแทรก
อยู่เป็นระยะ มีก้าน 1-4 มิลลิเมตร ที่ปากกระเปาะมีรยางค์คล้ายขน 2 เส้น ดอกสีเหลือง
ออกเป็นช่อชูเหนือน้ำ ยาว 5-25 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมกันปลายแยกเป็น
2 แฉก ขนาดไม่เท่ากัน กลีบดอกมีขนเชื่อมติดกันเป็นจะงอย ปลายแยกเป็น 2 ส่วน
ผลเดี่ยวเมื่อแห้งแก่แล้วแตก รูปร่างค่อนข้างกลม กลีบเลี้ยงยังคงติดอยู่ เมล็ดแบน
เป็นห้าเหลี่ยมขนาด 1.5-2 มิลลิเมตร

แหล่งที่พบ ประโยชน์

สาหร่ายข้าวเหนียว กระจายทั่วไปใน สาหร่ายข้าวเหนียวนิยมใช้เป็นไม้ประดับตู้
ประเทศเขตร้อนพบในแหล่งน้ำตื้นๆ พรรณไม้น้ำหรือตู้ปลา
ขึ้นเป็นกอ ลอยในน้ำ ที่ระดับสูงใกล้
ระดับน้ำทะเลถึง 2,500 ม.

สาหร่างพุ งชะโด

ชื่อสามัญ : Coontail, Immersed Hornwor
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ceratophyllum demersum
วงศ์ : Ceratophyllaceae
ชื่ออื่นๆ : -

ลักษณะของพุ งชะโด



สาหร่ายพุ งชะโด เป็นพืชใต้น้ำ ต้นเป็นสายกลมยาวแตกกิ่งก้านสาขาแขวนลอยอยู่ใต้น้ำ
อย่างอิสระ ใบแยกรอบข้อคล้ายเป็นวง 7 – 12 ใบ ลักษณะเป็นเส้น ขอบใบจักฟันเลื่อย
ด้านเดียว อีกด้านหนึ่งเรียบ ดอกแยกเพศแต่เกิดบนต้นเดียวกัน กลีบดอก 8 – 12 กลีบ
เกสรเพศผู้ 8 –24 อัน ผล สีดำมีหนาม แหลม 3 อัน

แหล่งที่พบ ประโยชน์

สาหร่ายพุ งชะโดกระจายทั่วไปทั้ง

ในเขตร้อนและเขตอบอุ่น ที่ระดับ
ใกล้น้ำทะเลจนถึง 1,500 เมตร -ช่วยปรับสภาพน้ำให้ใส เพิ่มออกซิเจน
อยู่ในน้ำลึกได้ถึง 60 เซนติเมตร -เป็นที่หลบศัตรูของสัตว์น้ำ
-เป็นอาหารของกุ้งและสัตว์น้ำอื่นๆ

สาหร่ายหางกระรอก

ชื่อสามัญ : Hydrilla
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hydrilla verticillata
วงศ์ : Hydrocharitaceae
ชื่ออื่นๆ : สาหร่ายหางกระรอก,ผักขี้เต่า

ลักษณะของสาหร่ายหางกระรอก



สาหร่ายหางกระรอก เป็นพืชใต้น้ำ ต้นเป็นสายเรียวยาว รากยึดติดพื้นดินหรืออาจลอยน้ำ
ใบเป็นใบเดี่ยวรูปแถบแกมหอกหรือรูปไข่ ขอบใบจักฟันเลื่อยออกรอบข้อ 3-8 ใบ กว้าง
1.5 มิลลิเมตร ยาว 8-40 มิลลิเมตร ดอกมีขนาดเล็กแยกเพศ ดอกเพศผู้ออกตามซอกใบ
มีใบประดับหุ้ม กลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีอย่างละ 3 กลีบ เกสรเพศผู้มี 3 อัน ดอกเพศเมีย
มีใบประดับหุ้มที่โคนก้าน มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 3 กลีบเช่นเดียวกับดอกเพศผู้
มียอดเกสร เพศเมีย 3 อัน ผลคล้ายรูปทรงกระบอกมีขนาดเล็ก




แหล่งที่พบ ประโยชน์

สาหร่ายหางกระรอกมักพบในน้ำที่ สาหร่ายหางกระรอกนิยมปลูกเป็นไม้
มีแสงสว่างส่องถึง น้ำค่อนข้างใส ประดับในตู้ปลา ในทางโภชนาการอุดม
ความลึกน้ำ 0.6-1 เมตร ลักษณะ ไปด้วยวิตามินบี12 เหล็กและแคลเซียม
พื้ นเป็นดินโคลนหรือโคลนปน
ทราย พบในเขตอบอุ่นและเขตร้อน
ของซีกโลกตะวันออก

สันตะวาใบพาย

ชื่อสามัญ : Santawa bai phaai
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ottelia alismoides
วงศ์ : Hydrocharitaceae
ชื่ออื่นๆ : สันตะวา,ผักโหมเหบ (ภาคอีสาน) ลอเบาะอาย
(มลายูท้องถิ่น-ยะลา)

ลักษณะของสันตะวาใบพาย



สันตะวาใบพาย เป็นพืชน้ำอายุปีเดียว มีเหง้าอยู่ใต้ดิน ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่
แตกเป็นกอรอบต้น กว้าง 8-20 เซนติเมตร ยาว 10-22 เซนติเมตร ดอกเป็น
ดอกเดี่ยวสีขาว เมื่อบานเต็มที่กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร กลีบดอกมี 3 กลีบ
รวมกันเป็นก้านชูยาว 4 มิลลิเมตร ภายในรังไข่มี 6 ช่อง ผลเป็นผลเดี่ยวรูปรี
แกมขอบขนาน ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก

แหล่งที่พบ ประโยชน์

สันตะวาใบพายพบกระจายพั นธุ์ตั้งแต่

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกา
ถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สันตะวาใบพายในประเทศจีนใช้เป็นยา
รักษาฝี ในประเทศฟิลิปปินส์ใช้ลดไข้และ
รักษาโรคริดสีดวงทวาร
ก้านและใบอ่อน กินสดได้

อเมซอนใบพาย

ชื่อสามัญ : Sagittaria Lancifolia, Bulltongue
arrowhead
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sagittaria lancifolia L.
วงศ์ : Alismataceae
ชื่ออื่นๆ : -

ลักษณะของอเมซอนใบพาย

อเมซอนใบพาย เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปีใบเป็นรูปแถบถึงรูปรี มีความกว้างประมาณ
0.7-16 เซนติเมตร ยาว 20-35 เซนติเมตร ก้านใบยาว 40 เซนติเมตร ดอกออกเป็น
ช่อแบบกระจะหรือช่อแยกแขนง 6-13 ดอก ก้านช่อดอกยาว 75-125 เซนติเมตร มีใบ
ประดับรูปใบหอกหรือรูปไข่แกมใบหอก ดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 เซนติเมตร กลีบ
ดอกสีขาวมี 3 กลีบ กลีบเลี้ยงรูปทรง กระบอกคล้ายเส้นด้าย ดอกเพศผู้อยู่ส่วนบน
และมีเกสรสีเหลือง ส่วนดอกเพศเมียอยู่ส่วนล่างของช่อ ออกดอกตลอดปี ผลรูปหอก
กลับเป็นสันแตกตามแนวยาว ติดผลบริเวณก้านใบ ขนาด 0.6-3.8 เซนติเมตร ภายในมี
เมล็ดขนาด 0.3-0.7 มิลลิเมตร

แหล่งที่พบ ประโยชน์

อเมซอนใบพาย สามารถใช้ปลูกประดับ
สวนน้ำ ริมขอบสระหรือในตู้ปลา นิยม
นำมาจัดตกแต่งตู้ปลาเป็นไม้น้ำส่งออก
เป็นที่หลบซ่อนตัวและวางไข่ของสัตว์น


Click to View FlipBook Version