Yee Peng Festival ประเพณี
คำ นำ วันขึ้นสิบสามค่ำ หรือ วันดา เป็นวันซื้อของเตรียมไปทำ บุญที่วัด วันขึ้นสิบสี่ค่ำ จะไปทำ บุญกันที่วัด พร้อมทำ กระทงใหญ่ไว้ที่วัดและ นำ ของกินมาใส่กระทงเพื่อทำ ทานให้แก่คนยากจน วันขึ้นสิบห้าค่ำ จะนำ กระทงใหญ่ที่วัดและกระทงเล็กส่วนตัวไปลอย ในลำ น้ำ เพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ประเพณีเดือนยี่ คือ ประเพณีลอยกระทงแบบล้านนาโดยคำ ว่า ยี่ แปลว่า สอง ส่วน เป็ง แปลว่า เพ็ญ หรือ คืนพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งหมายถึง ประเพณีในวันเพ็ญเดือนสองของชาวล้านนา ซึ่งตรงกับเดือนสิบสอง ของไทย งานประเพณีจะมีสามวัน ในช่วงวันยี่เป็งจะมีการประดับตกแต่งวัด บ้านเรือน ทำ ประตูป่า ด้วยต้น กล้วย ต้นอ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้ ตุง ช่อประทีป และชักโคมยี่เป็งแบบ ต่าง ๆ โดยจำ ลองเหตุการณ์ที่ชาวเมืองจัดบ้านเมืองเพื่อต้อนรับการ เสด็จกลับจากป่าของพระเวสสันดร และมีการจุดถ้วยประทีป(การจุด ผางปะตี๊บ) เพื่อบูชาพระรัตนตรัย และมีการจุดว่าวไฟปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
สารบัญ ตั้งธรรมหลวง ความเป็นมา การปล่อยว่าว การปล่อยว่าว โคมยี่เป็ง โคมยี่เป็ง ล่องสะเปา การจัดตกแต่งซุ้มประตูป่า อ้างอิง ผู้จัดทำ
ในพงศาวดารโยนกและจามเทวี ได้บันทึกเรื่อง ราวเกี่ยวกับประเพณียี่เป็งเอาไว้ว่า ครั้งหนึ่งเมื่อบ้าน เมืองเกิดภัยร้ายแรงด้วยโรคอหิวาตกโรคขึ้นที่แคว้น หริภุญไชย ชาวเมืองล้มตายเป็นจำ นวนมาก ทำ ให้ชาว เมืองที่เหลือต้องอพยพไปอยู่เมืองหงสาวดีนานถึง 6 ปี จึงกลับคืนสู่บ้านเมืองเดิม ครั้นถึงเวลาเวียนมาบรรจบ ครบวันที่ต้องจากบ้านเมืองไป จึงได้ทำ พิธีรำ ลึกถึง ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วด้วยการทำ กระถางใส่ เครื่องสักการบูชา ธูปเทียนลอย แล้วนำ ไปลอยตามน้ำ เรียกว่า การลอยโขมดหรือลอยไฟ นั่นจึงเป็นที่มาของ ประเพณียี่เป็งที่มีมาจนถึงทุกวันนี้ ความเป็นมา
ตั้งธรรมหลวง การตั้งธรรมหลวง หรือเทศน์มหาชาติ ในอดีตเป็นหัวใจหลักของงานยี่เป็ง โดยแบ่งการเทศน์เป็น วัน แรกเทศน์ธรรมวัตร วันที่สองเทศน์คาถาพัน ก่อนที่จะเทศน์มหาชาติก็จะเทศน์เรื่องอื่นไปเรื่อย ๆ พอ ถึงวันสุดท้ายก็จะเทศน์ด้วยคัมภีร์ชื่อ มาลัยต้น มาลัยปลาย และอานิสงส์มหาชาติ รุ่งขึ้นเวลาเช้ามืด ก็จะเริ่มเทศน์มหาชาติตั้งแต่กัณฑ์ทศพรเรื่อยไป จนครบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ซึ่งมักจะไปเสร็จเอาในเวลาทุ่ม เศษ แล้วจะมีการเทศนธรรมพุทธาภิเษกปฐมสมโพธิ สวดมนต์เจ็ดตำ นานย่อ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร และสวดพุทธาภิเษก ปัจจุบันนิยมเทศน์จบภายในวันเดียว ก่อนการจัดพิธีตั้งธรรมหลวง พระเณรและชาวบ้านต้องช่วยกันเตรียมงานเป็นการใหญ่ ล่วงหน้าอย่างน้อย เป็นเดือน เพราะต้องเตรียมการในหลายส่วน เช่น การ “ ตกธรรม ” คือการไปนิมนต์พระเสียงดีมาเทศน์ การ ตกแต่งสถานที่ การทำ รั้วราชวัตร ประตูป่า ประดับโครงซุ้มด้วยทางมะพร้าว ประดับด้วยฉัตร ธง ช่อช้าง ต้นกล้วย ต้นอ้อย ต้นข่า ต้นกุก มาปักไว้ให้ดูเหมือนกับประตูเข้าป่า การที่จัดทำ ประตูป่านี้ คาดว่าคงจำ ลอง มาจากเรื่องในเวสสันดรชาดก คือตอนที่พระเวสสันดรถูกขับให้ออกจากเมือง พร้อมทั้งพระมเหสีและโอรสธิดา จึงพากันเข้าไปอยู่ในป่าเพื่อบวชเป็นฤาษีบำ เพ็ญบารมี เมื่อไปถึงประตูป่าที่มีพรานเจตบุตรเป็นผู้เฝ้า ได้ชี้ทางไป เขาวงกตให้และอาจมีการจำ ลองเขาวงกตไว้ภายในวัดให้ได้เดินเล่น โดยตรงกลางเขาวงกตจะมีแท่นบูชาพระพุทธ รูปอยู่ หากหลงก็วนเวียนอบยู่จนกว่าจะเข้าไปสักการะพระพุทธรูปได้ จึงเป็นที่สนุกสนานของผู้ที่มาร่วมทำ บุญ สถานที่ใช้ในการ ตั้งธรรมหลวง จะนิยมใช้วิหาร ภายในจะต้องตกแต่งไปด้วยเครื่องบูชาเวสสันดรชาดก ได้แก่ ดอกบัว ดอกพ้าน(บัวสาย) ช่อสามเหลี่ยม ติดกระดาษต้อง(กระดาษฉลุ) รูปช้าง ม้า วัว ควาย ทาสหญิง ทาสชาย แก้ว แหวน เงิน ทอง อย่างละ ๑๐๐ รูป ประดับโคมผัดที่เล่าเรื่องเวสสันดรชาดก มีการทำ ค้างโคม แขวนบูชา มีเชือกสำ หรับดึงขึ้นลงได้ จึงเรียกว่า โคมล้อ ล้อ หมายถึงรอกที่ใช้สำ หรับชักเชือกขึ้นลงเพื่อจุด ประทีปบูชา
ด้านข้างพระประธานในวิหารก็จะมีอ่างน้ำ มนต์ โดยใช้น้ำ มันงา หรือน้ำ มันมะพร้าว ใส่ลงไป โยงสายสิญจน์จากพระประธาน ไปยังธรรมมาสน์ โยงมาพันที่อ่างน้ำ มนต์สามรอบ แล้วโยง กลับไปยังธรรมมาสน์ให้พระถือไว้ขณะเทศน์กัณฑ์ต่างๆ เชื่อว่าอานุภาพของการเทศน์ตั้งธรรม หลวงจะทำ ให้น้ำ มนต์นี้ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ทาแผล แก้ปวดเคล็ดขัดยอก แก้ผื่นคัน และเชื่อว่าจะ ทำ ให้อยู่ยงคงกระพัน[2] ตั้งธรรมหลวง ส่วนธรรมมาสน์สำ หรับเป็นที่นั่งเทศน์ของพระสงฆ์ก็จะประดับตกแต่งด้วยม่าน และห้อยดอกพัน ที่อยู่ใน หับดอก ที่ สานโดยแตะไม้ไผ่ประกบกัน ดอกไม้พันดอก หรือ สหสสฺปุปฺผานิ เป็นเครื่องบูชาพระธรรม บูชาพระคาถาจำ นวน ๑,๐๐๐ พระคาถา ที่เรียกว่า สหสฺสคาถา ดอกไม้ที่นิยมได้แก่ดอกกาสะลอง ดอกจีหุบ(มณฑา) ดอกสารภี เป็นต้น ดอกไม้ เหล่านี้เป็นดอกไม้หอมช่วยให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในป่าหิมพานต์ที่พระเวสสันดรบำ เพ็ญบารมีอยู่ที่นั่น ส่วนด้านข้างก็จะ มีการจำ ลองเป็นป่าหิมพานต์ ปัจจุบันมีการตกแต่งด้วยซุ้มต้นไม้ดอกไม้ใส่กระถางไปประดับตกแต่งให้งดงาม
ว่าวฮม (ว่าวลม) หรือ ว่าวควัน นำ กระดาษหลายสี มาทำ เป็นถุงรับความร้อนจากควันไฟ ใช้ควันไฟที่มีความร้อนอัดเข้าไปในตัวว่าว เรียกว่า ฮมควัน เพื่อให้พยุงให้ลอยขึ้นไปในอากาศได้ มี2ชนิดคือ ว่าวสี่แจ่ง คือว่าวทรงสี่เหลี่ยม และ ว่าวมน คือว่าวทรงมน มักจะผูกสาย ประทัดติดที่หางว่าวและจุดเมื่อปล่อย นิยมปล่อยกันในช่วงกลางวัน ว่าวไฟ ใช้หลักการเดียวกันกับการทำ ว่าวฮม แต่ใช้กระดาษน้อยกว่า และอาศัยความร้อนจาก ลูกไฟที่ผูกติดกับแกนกลาง ทำ ให้ว่าวลอยขึ้นสู่อากาศ ลูกไฟที่ผูกติดแกนกลางในอดีตนั้น ใช้ขี้ หญ้าหล่อเป็นแท่ง ปัจจุบันนิยมใช้กระดาษชำ ระชุบขี้ผึ้งเทียน นิยมจุดในตอนกลางคืน ว่าว ในภาษาล้านนา หมายถึง เครื่องเล่นชนิดหนึ่งทำ ด้วยกระดาษ สำ หรับปล่อยให้ลอยไปตามลม คล้ายกับบอลลูน ตามวัฒนธรรมของล้านนา ในช่วงยี่เป็งจะมีการปล่อยว่าว 2 แบบ คือ 1. 2. ปัจจุบันนิยมเรียกหรือเรียกเพราะไม่รู้ตามแบบภาคกลางโดยเรียก ว่าวควันหรือว่าวฮม ว่า “โคมลอย ” และเรียกว่าวไฟว่า “โคมไฟ” ทั้งๆ ที่โคมแปลว่าเครื่องใช้ที่ให้แสงสว่าง สันนิฐานว่าการ ปล่อยว่าวน่าาจะเป็นการทำ ตามแบบของพวกฝรั่งหรือมิชชันนารี ในเมืองเชียงใหม่ การปล่อยว่าว
ในช่วงก่อนจะถึงวันยี่เป็ง จะมีการประดิษฐ์โคมรูปลักษณะต่างๆ (ภาษาล้านนาออกเสียง โคม ว่า โกม ) เพื่อเตรียมใช้ในการจุดผางประทีปบูชา โดยการแขวนใส่ค้างโคมบูชาตามพระธาตุเจดีย์ แขวนไว้หน้าวิหาร กลางวิหาร หรือในปัจจุบันนิยมแขวนประดับตกแต่งตามอาคารบ้านเรือน มีหลากหลายรูปทรง เช่น โคมรังมดส้ม โคมไห โคมกระจัง โคมดาว โคมกระบอก โคมเงี้ยว(โคมเพชร) โคมหูกระต่าย โคมผัด โคมแอว โคมญี่ปุ่น ฯลฯ อีกมากมาย[5] โคมยี่เป็ง
ในอดีตชาวล้านนาไม่นิยมลอยกระทง แต่นิยมล่องสะเปา หรือไหลเรือสำ เภา นิยมทำ สะเปากันที่วัด โดย ชาวบ้านช่วยกันทำ สะเปาเป็นรูปเรือลำ ใหญ่ วางบนแพไม้ไผ่ และนำ สะตวง พร้อมด้วยข้าวของต่างๆ ทั้ง หม้อ ไห เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องอุปโภค บริโภคต่างๆ ใส่ลงไปในสะเปา ในช่วงหัวค่ำ ของวันยี่เป็ง จึง พากันหามสะเปา พร้อมแห่ด้วยฆ้องกลองจากวัดไปลอยที่แม่น้ำ และทำ พิธีเวนทานที่ท่าน้ำ ก่อนปล่อยสะ เปาลอยลงไป ขณะที่สะเปาลอยไปได้ระยะหนึ่ง จะมีคนยากจนคอยดักรอสะเปากลางแม่น้ำ เพื่อนำ เอาของ อุปโภคต่างๆมาใช้อุปโภคและบริโภค จึงเป็นการบริจาคทานแบบหนึ่ง [7] ส่วนการลอยกระทง รับมาจากภาคกลางในช่วงหลัง โดยเจ้าดารารัศมี พระราชชายา เป็นผู้ที่ริเริ่มการ ลอยกระทงที่เชียงใหม่เป็นคนแรก ในช่วง พ.ศ.2460-2470 โดยจุดเทียนบนกาบมะพร้าวทำ เป็นรูปเรือเล็ก หรือรูปหงส์ และใช้ท่อนไม้ปอทำ เป็นรูปเรือ แต่ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก ต่อมานายทิม โชตนา นายก เทศมนตรีเมืองเชียงใหม่ ในช่วง พ.ศ.2490 ได้สนับสนุนการท่องเที่ยวโดยจัดให้มีการลอยกระทงมากขึ้น และมีการจัดงานขึ้นที่ประตูท่าแพ และพุทธสถาน หลังจากนั้นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ส่งเสริมการ ลอยกระทงแบบกรุงเทพฯ ที่จังหวัดเชียงใหม่ขึ้นอย่างจริงจังและร่วมกับเทศบาลนครเชียงใหม่ โดยมีการ ประกวดขบวนกระทงเล็ก และขบวนกระทงใหญ่ ต่อมาสมาคมผู้ประกอบการย่านไนท์บาร์ซา ได้จัดประกวด ขบวนโคมยี่เป็งขึ้นอีกวันหนึ่ง[8]ปัจจุบันประเพณีล่องสะเปา จัดขึ้นที่ จังหวัดลำ ปาง เป็นประเพณีลอย กระทงของจังหวัด ล่องสะเปา
ก่อนจะถึงวันยี่เป็ง ประมาณ ๑-๒ วัน ชาวล้านนาจะเตรียมจัดตกแต่งประตูบ้านแบะประตูวัด ด้วยซุ้มประตู ป่า โดยนำ ต้นกล้วย ใบมะพร้าว ต้นอ้อย ต้นข่า โคมหูกระต่าย โคมเงี้ยวหรือโคมชนิดอื่นๆ ดอกตะล่อม(บานไม่รู้ โรย) ดอกคำ ปู้จู้ (ดาวเรือง) ฯลฯ ตกแต่งเป็นซุ้มประตูป่าอย่างงดงาม มีจุดมุ่งหมาย เพื่อเป็นเครื่องสักการะ ถวายการต้อนรับพระเวสสันดรในวันยี่เป็ง ครั้งเสด็จออกจากป่าเข้าสู่เมือง ซึ่งปรากฏในเวสสันดรชาดก อันเป็น ชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ก่อนจะประสูติเป็นพระพุทธเจ้า พระครูอดุลสีลกิตติ์ (ฐานวุฑโฒ) (สัมภาษณ์, ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑) ผู้รู้ด้านประเพณีล้านนากล่าวว่า ในช่วงประเพณีเดือนยี่เป็ง ชาวล้านนานิยมที่จัดเทศนา ธรรมเรื่อง เวสสันดรชาดกและในกัณฑ์ที่ ๑๓ กัณฑ์สุดท้ายหรือนครกัณฑ์ เป็นการพรรณนาเกี่ยวกับเหตุการณ์ หลังจากพระเวสสันดรทรงลาผนวช และทรงเครื่องกษัตริย์เสด็จกลับจากป่าหิมพานต์เพื่อเข้าครองนครสีพี ชาว บ้านชาวเมืองต่างดีใจจึงประดับตกแต่งเมืองด้วยซุ้มประตูป่าอย่างงดงาม จากเรื่องราวที่ปรากฏในเวสสันดร ชาดกนี้คนล้านนาจึงจำ ลองฉากเวสสันดรชาดกมาไว้ยังบ้านของตนเอง ด้วยการตกแต่งประดับประดาจำ ลอง เป็นป่าหิมมพานต์ และเชื่อว่าถ้าใครตกแต่งซุ้มประตูป่าได้งดงาม อาจทำ ให้พระเวสสันดรเสด็จหลงเข้ามาในซุ้ม ประตูป่าที่จำ ลองเป็นป่าหิมพานต์ภายในบ้านของของเรา จะทำ ให้ได้อานิสงส์อย่างมาก การสร้างซุ้มประตูป่า นอกจากมีคติความเชื่อ ในเรื่องการต้อนรับการเสด็จกลับจากป่าของพระเวสสันดรแล้ว ยังเป็นซุ้มที่ใช้จุดผางประทีส เพื่อบูชาพระเจ้าห้าพระองค์ โดยจุดไว้ในโคมหูกระต่ายหรือโคมชนิดอื่นๆ ที่ใช้ในการ ประดับตกแต่ง การจัดตกแต่งซุ้มประตูป่า
อ้างอิง https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0% B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%87
ผู้จัดทำ นายวันชัย วีรวรรณ์ นายอำ พล สาสูงเนิน