The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wichutawannakid0210, 2021-01-29 09:52:03

เพิ่มข้อความในส่วนเนื้อหาเล็กน้อย

โครงงาน การศึกษาคนควาเกี่ยวกับเพลงกลอมเด็กสี่ภาค





คณะจัดทํา





นาย ภาณุพงศ ศรีสังข เลขที่6


นางสาว สุริยภรณ ทองแกวเกิด เลขที่16


นางสาว จริญญา สืบจากถิ่น เลขที่26


นางสาว พิมพตะวัน คุณาคม เลขที่32








นกเรีนช้นมัธยมศึกษาปที่6/2

เสนอ


อาจารย ธิรพงษ คงดวง








รายงานโครงงานเลมนเปนสวนหนงของรายวิชา ท33102



ภาษาไทย
กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย


โรงเรียนทีปราษฎรพิทยา จังหวัดสุราษฎรธาน ี


ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2563




โครงงาน การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเพลงกล่อมเด็กสี่ภาค


คณะผู้จัดท า


นาย ภาณุพงศ์ ศรีสังข์ เลขที่ 6


นางสาว สุริยภรณ์ ทองแก้วเกิด เลขที่ 16

นางสาวจริญญา สืบจากถิ่น เลขที่ 26


นางสาวพิมพ์ตะวัน คุณาคม เลขที่ 32


นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6/2


เสนอ


อาจารย์ ธิรพงษ์ คงด้วง


รายงานโครงงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ท 33102ภาษาไทย

กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย


โรงเรียนทีปราษฏร์พิทยา จังหวัดสุราษฏร์ธานี


ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563

ค ำน ำ


โครงงานเรื่องการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเพลงกล่อมเด็กสี่ภาคนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรายวิชาการศึกษ
าวิชาภาษาไทย กลุ่มของข้าพเจ้าจัดท าขึ้นเพื่อเพื่อศึกษาแนวคิดของเพลงกล่อมเด็กทั้งสี่ภาค
เพื่อศึกษากลวิธีการใช้ภาษาในแต่ละภาค

โดยมีการอธิบายแนวคิดและกลวิธีการใช้ภาษาต่างๆที่ปรากฏในขอบเขตเพลงกล่อมเด็กในแต่ละภาคที่ต้องการศึกษาค้
นคว้า เพื่อให้ทุกคนได้ทราบแนวคิดของเพลงกล่อมเด็กที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนในแต่ละภาค และการใช้กลวิธี
ภาษาของเพลงกล่อมเด็กในแต่ละภาค


คณะผู้จัดท าตองขอขอบคุณครูธิรพงษ์ คงด้วง ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการท าโครงงาน คณะผู้จัดท าหวังเป็น
อย่างยิ่งว่าผู้ที่อ่านโครงงานจะได้รับความรู้จากโครงงานเรื่องนี้และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านทุกๆท่าน
โครงงานเล่มนี้อาจมีสิ่งใดผิดพลาดก็ขออภยมา ณ โอกาสน ี้





คณะผู้จัดท า
29 มกราคม 2564


กิตติกรรมประกาศ


โครงงานนี้ส าเร็จรุร่วงได้ด้วยความกรุณาจากคุณครูธิรพงษ์ คงด้วง คุณครูที่ปรึกษาโครงงานที่ได ้

ให้ค าเสนอแนะแนวคิดตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆมาโดยตลอดจนโครงงานเล่มนี้เสร็จสมบูรณ์ผู้ศึกษา
จึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ขอกราบขอบพระคุณคุณพ่อ คุณแม่ และผู้ปกครอง ที่ให้ค าปรึกษาในเรื่องต่างๆรวมทั้งเป็นก าลัง

ใจที่ดีเสมอมา
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยให้ค าแนะน าดีๆเกี่ยวกับการเลือกค าและเกี่ยวกับโครงงานชิ้นนี้ จนท าให้
โครงงานส าเร็จลุล่วงไปได้



ภาณุพงศ์ ศรีสังข์
สุริยภรณ์ ทองแก้วเกิด
จริญญา สืบจากถิ่น

พิมพ์ตะวัน คุณาคม

สารบัญ

หน้า
กิตติกรรมประกาศ ก
บทที่1 บทน า
1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของการศึกษาค้นคว้า 1

1.2 วัตถุประสงค์ในการค้นคว้า 2
1.3 ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า 2
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3

1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 4

บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2.1 เพลงกล่อมเด็ก 5
2.2 การใช้ภาษา และวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละภาค 10


บทที่3 วิธีด าเนินการวิจัย
3.1 แหล่งข้อมูล 12

3.2 เกณฑ์ในการวิเคราะห์ 12
3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล 13
3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 13
3.5 ระยะเวลาในการด าเนินการ 14


บทที่4 การวิเคราะห์ข้อมูล
4.1 ด้านแนวคิดของเพลงกล่อมเด็กสี่ภาค 15
4.2 ด้านกลวิธีการใช้ภาษาในแต่ละภาค 21


บทที่5 สรุป อภิปรายผล และข าเสนอแนะ
5.1 การสรุปผลข้อมูล 27
5.2 ข้อเสนอแนะในการศึกษาค้นคว้า 28



บรรณานุกรม

1
บทที่1

บทน ำ


ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญของกำรศึกษำค้นคว้ำ

ในโลกปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของวัฒนธรรมนั้นมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาวัฒนธรรมถือเป็นมรดกทาง
สังคมที่มีความส าคัญต่อมนุษยชาติเนื่องจากสามารถถ่ายทอดและเปลี่ยนแปลงได้จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง

ดังเช่นเมื่อมนุษย์เกิดขึ้นมาและด ารงชีวิตอยู่ในสังคมใดก็ตามจะได้รับการอบรมสั่งสอนจากสังคมนั้นทั้งทางตรงและ
ทางอ้อมตั้งแต่เกิดจนกระทั่งสิ้นลมหายใจการที่มนุษย์ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆทั้งจากผู้อื่นและเรียนรู้จากประสบการณ์ของ

ตนเองเรื่อยมาตามล าดับขั้นเท่ากับวาได้รับมรดกทางสังคมนั้นไว้นั้นเองการด ารงอยู่ของวัฒนธรรมที่เข้มแข็งย่อมแสดง

ให้ความเป็นเอกลักษณ์ความสามัคคีความรักในกลุ่มชนชาติและเผ่าพันธุ์ของตัวเองและในวัฒนธรรมย่อมมีความแตก
ต่างกันเนื่องจากปัจจัยต่างๆในสังคมนั้นได้แก่สภาพแวดล้อมมีความหลากหลายรวมถึงสภาพแวดล้อมทางกายภาพ

เช่นภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ พืชพันธ์ต่างๆ สภาพแวดล้อมทางสังคม เช่น ภาษา การแต่งกาย ความเชอเป็นต้น
ื่
รวมทั้งวัฒนธรรมกลุ่มข้างเคียงตลอดจนการเผยแพร่และการรับวัฒนธรรมใหม่เข้ามาร่วมอีกด้วย


ดังนั้นวัฒนธรรมจึงเป็นสภาพแวดล้อมที่เป็นการสะท้อนถึงลักษณะเฉพาะตัวของกลุ่มชนชาติอาจจะกล่าวได้วาเป็น
"วัฒนธรรมพื้นบ้าน"ในแต่ละท้องถิ่นถือเป็นมรดกทางสังคมสั่งสมและสืบทอดกันมาจากคนรุ่นก่อนสู่คนรุ่นหลังต่อๆ
กันมาวิถีชีวิตของคนไทยตั้งแต่โบราณกาลมาเป็นชีวิตที่เตมไปด้วยดนตรีเพราะคนไทยเป็นชนชาติที่รักความสนุกสนาน

และความรื่นเริงเป็นสาระส าคัญของชีวิตหากชีวิตมีความสุขสนุกสนานและความรื่นเริงชีวิตนั้นก็เป็นชีวิตที่ดีและ
สมบูรณ์ดนตรีก็เป็นวัฒนธรรมประจ าชาติที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองและความคิดความรู้สึกทางศิลปะของแต่ละชน

ชาติตามสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่แตกต่างกันเป็นตัวก าหนดให้วัฒนธรรมของชนแต่ละเผ่ามีความความแตกต่าง

นานัปการทั้งความเป็นอยู่ศิลปะภาษาวรรณคดีและดนตรีซึ่งดนตรีแต่ละชนชาติได้สร้างสมสืบต่อกันมาต่างก็ถือว่าเป็น
ดนตรีของชาติเหล่านี้ทั้งสิ้นลักษณะของดนตรีชาติเดียวกันที่แตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมวัฒนธรรมประเพณี

ความเชื่อความรู้สึกนึกคิดและวัฒนรรมความรู้สึกนึกคิดและวัตถุที่เป็นสื่อแสดงออกซึ่งคนตรีแต่ละท้องถิ่นเรียกว่า
ดนตรีประจ าถิ่นหรือดนตรีพื้นเมืองในแต่ละภาคเป็นบทเพลงที่มีความเรียบง่ายตั้งแต่เพลงกล่อมเด็กเพลงกล่อมเด็ก

เป็นเพลงพื้นบ้านเพลงแรกที่มนุษย์ได้ยินได้ฟังจากแม่ผู้เห่กล่อมเป็นเพลงที่ถ่ายทอดความรักความเอื้ออาทรจากแม่สู่

ลูกเป็นสื่อความสัมพันธ์ของสายเลือดเดียวกันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปถึงคุณค่าของเพลงกล่อมเด็กว่าเป็นเพลงที่ช่วย
ให้เด็กนอนหลับสนิทได้อย่างรวดเร็วด้วยท่วงท านองเพลงที่อ่อนไหวอ่อนหวานภาษาที่เรียบง่ายเนื้อหาที่แสดงความรัก

ความห่วงใยช่วยให้เด็กเกิดความละเมียดละไมทางด้านจิตใจมีอารมณ์เบิกบานมีความอ่อนโยนมีคุณธรรมความเมตตา
กรุณาเสียสละชื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบดังนั้นเพลงกล่อมเด็กจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาคุณภาพชีวตได้เป็น

อย่างดทั้งในการเสริมสร้างพฒนาการด้านร่างกายด้วยแรงกระตุ้นจากการไกวของเปลและมีพัฒนาการทางด้านสติ


ปัญญาจากท่วงท านองเพลงที่อ่อนโยนและเนื้อร้องซึ่งเป็นเสมือนการพูดคุยกับเด็กในขณะนอนหลับซึ่งมีผลการทดลอง

พบว่าเด็กที่แม่พูดคุยด้วยบ่อยๆจะมีน้ าหนักตัวดีและมีIQสูงสามารถพูดได้เร็วการที่เดกได้ยินได้ฟังเสียงต่างๆจึงเป็น

การกระตุ้นความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กพร้อมทั้งพัฒนาการทางดานอารมณ์ซึ่งเด็กได้รับรู้ถึงความรักความรู้สึก
อบอุ่นมั่นคงและความปลอดภัยในขณะนอนหลับพร้อมกับเสียงร้องเพลงกล่อมเด็กอยู่ใกล้ๆในขณะเดียวกันเนื้อหาใน

เพลงกล่อมเด็กท าให้เด็กได้มีพัฒนาการทางด้านสังคมไปพร้อมๆกันด้วยการร้องเพลงกล่อมเด็กนอกจากจะเป็นเครื่อง

2


ช่วยให้เด็กนอนหลับได้อย่างเป็นสุขแล้ยังชวยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ภาษาวัฒนธรรมวิถีชีวิตประจ าวันในท้องถิ่นสิ่งแวด
ล้อมในสังคมและคุณธรรมจริยธรรมอันพึงประสงค์ได้เป็นอย่างดีจึงเป็นกระบวนการอบรมเลี้ยงดูเด็กให้มีคุณภาพเป็น

ทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าของสังคมนอกจากเพลงกล่อมเด็กจะแสดงออกถึงความรักความผูกพันของแม่กับลูกหรือคนใน

ครอบครัวกับเด็กทารกและมีผลเกี่ยวข้องโดยตรงกับพัฒนาการของเด็กและเพลงกล่อมเด็กยังเป็นเครื่องสะท้อนความรู้
ู่
สึกนึกคิดสภาพความเป็นอยู่ของสังคมร่องรอยทางวัฒนธรรมและสภาพความเป็นอยในชีวิตประจ าวันของครอบครัวได้
เป็นอย่างดีการศึกษาเพลงกล่อมเด็กในแต่ละภาคครั้งนี้นอกจากจะมีจุดมุ่งหมายในการศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบคุณ
ค่าภาษาวัฒนธรรมของเพลงกล่อมเด็กในแต่ละภาซึ่งอยู่ในสภาพเดียวกันกับเพลงกล่อมเด็กทั่วไปคือขาดการสืบทอด



และไม่นิยมร้องกล่อมกันในชีวิตประจ าวันปจจุบันจ าเป็นที่จะต้องเก็บรวบรวมไวเป็นมรดกของชาติเพื่อไม่ให้สูญหายไป
พร้อมกับบุคคลแล้วยังจะได้ศึกษาวัฒนธรรมและเรื่องราวในวิถีชีวิตประจ าวันของทั้งสี่ภาคตลอดจนแนวทางการหล่อ
หลอมเยาวชนที่สะท้อนอยู่ในเพลงกล่อมเด็กของแต่ละภาคเพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างคนต่างยุคต่างถิ่นและ

เพื่อความภาคภูมิใจของคนในชาติต่อไปดังนั้นคณะผู้จัดท าจึงมีความสนใจและมีความเห็นตรงกันว่าในการศึกษาค้น
คว้าเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเพลงกล่อมเด็กสี่ภาคโดยวิเคราะห์แนวคิดภาษาขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของเพลงแต่

ละภาคและเพื่อสืบสานอนุรักษ์เพลงกล่อมเด็กทั้งสี่ภาคโดยการท าสื่อการเรียนรู้เพื่อให้เด็กและคนรุ่นหลังรู้จักและเห็น

คุณค่าของเพลงกล่อมทั้งสี่ภาค
วัตถุประสงค์ในกำรค้นคว้ำ

1. เพื่อศึกษาแนวคิดของเพลงกล่อมเด็กทั้งสี่ภาค

2. เพื่อศึกษากลวิธีการใช้ภาษาในแต่ละภาค


ขอบเขตของกำรศึกษำค้นคว้ำ

1.เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือเพลงกล่อมเด็กสี่ภาคจ านวนทั้งหมดภาคละ5เพลง
ได้มาจากการรวบรวมข้อมูลในหนังสือและเว็บไซต์ออนไลน์ มีดังนี้

เพลงกล่อมเด็กจากภาคเหนือ จ านวน5เพลง

1.อื่อ จาจา
2. สิกก้องก๋อ

3. สิกจุ่งจา
4.เจ้านรหนอย

5.นอนสาเหนอ

เพลงกล่อมเด็กจากภาคอีสาน จ านวน5เพลง
1. นอนสาเดอ

2. กล่อมลูกโคราช
3. เจ้านรหอย

4. นอนสาหล่า

5. แมวโพง

3

เพลงกล่อมเด็กจากภาคกลาง จ านวน5เพลง
1.นกเขาขัน

2.นกขมิ้น

3.นกกาเหว่า
4.จันทร์เจ้า

5.โยกเยก


เพลงกล่อมเด็กจากภาคใต้ จ านวน5เพลง
1.ไก่เถื่อน

2.นอนเสียน้องนอน

3.พระสังข์
4.ไปคอน

5.เวเปล


2. การวิเคราะห์แนวคิดของเพลงกล่อมเด็กทั้งสี่ภาค โดยมีเกณฑ์การวิเคราะห์แนวคิดของเพลงกล่อมเด็ก ดังนี้

2.1 แนวคิดเกี่ยวกับด้านความเชื่อ
2.2 แนวคิดเกี่ยวกับด้านความรักของแม่ที่มีต่อลูก

2.3 แนวคิดเกี่ยวกับด้านธรรมชาติและสัตว์
2.4 แนวคิดเกี่ยวกับด้านวิถีชีวิต

2.5 แนวคิดเกี่ยวกับด้านนิทานวรรณคดี

2.6 แนวคิดเกี่ยวกับด้านสังคม


3. การวิเคราะห์กลวิธีการใช้ภาษาของเพลงกล่อมเด็กทั้งภาค โดยมีเกณฑ์การวิเคราะห์ ดังนี้

3.1 วิเคราะห์การซ้ าค า
3.2 วิเคราะห์การใช้ค าสัทพจน์ในบทเพลง


ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ

1. ท าให้ได้ข้อมูลแนวคิดเกี่ยวกับเพลงกล่อมเด็ก

2. ได้รู้จักกลวิธีในการใช้ภาษาที่ปรากฏในเพลงกล่อมเด็ก

3. ช่วยให้เข้าใจลักษณะเฉพาะของเพลงกล่อมเด็กในแต่ละภาค
4. เป็นประโยชน์ในกานศึกษาค้นคว้าต่อไป

4

นิยำมศัพท์เฉพำะ

1. การศึกษาวิเคราะห์ หมายถึง การจ าแนก จัดหมวดหมู่ พิจารณารายละเอียด ในด้านรูปแบบ เนื้อหา
และคุณค่ของเพลงกล่อมเด็ก

2. เพลงกล่อมเด็ก หมายถึง เพลงที่ร้องเพื่อกล่อมให้เด็กนอนหลับได้ไวขึ้น เนื้อหาโดยทั่วไปมีความคล้ายคลึงกัน คือ
กล่าวถึงภาวะการนอนหลับ ความรักความอาทรของแม่ที่มีต่อลูก การ



เปรียบเทียบความนรักเอ็นดของเด็ก บางครั้งน าสัตว์ที่เดกกลัวมาขู่ เป็นต้น
3.เพลงหมายถึงถ้อยค าที่ผู้แต่งเรียบเรียงขึ้นอย่างมีศิลปะมีองค์ประกอบคือค าร้องหรือเนื้อเพลงจังหวะและท านอง

ดนตรีซึ่งบทเพลงเป็นสิ่งที่สร้างความเพลิดเพลินและให้อารมณ์แก่ผู้ฟังหรือให้ข้อคิดในการด าเนินชีวตด้วย

5

บทที่2

เอกสำรและงำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง


โครงงานเรื่อง การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเพลงกล่อมเด็กสี่ภาค

คณะผู้จัดท าได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยน าเสนอตามล าดับ ดังนี้

1.เพลงกล่อมเด็ก
ื่
1.1 เพลงกล่อมเด็กหมายถึงเพลงที่ร้องเพอกล่อมให้เด็กนั้นหลับไวขึ้นเพลงกล่อมเด็กในแต่ละภาค
มีเนื้อหาที่แตกต่างและคล้ายคลึงกันตามสภาพของแต่ละท้องถิ่นกล่าวคือเนื้อหาของเพลงกล่อมเด็กโดยทั่วไปจะ

ประกอบด้วยการปลอบการขู่การให้สินบนและการขอที่มีความคล้ายคลึงกันส่วนภาพสะท้อนของสังคมอาจจะแตกต่าง
กันไปตามสภาพของท้องถิ่นเราจึงพบว่าเพลงกล่อมเด็กมีอยู่ทุกภูมิภาคของ

ไทย และเป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทย
(พิมพ์ชนก อ่อนชื่น 2556:ออนไลน์)

เพลงกล่อมเด็ก เป็นงานดนตรีปลอบโยน ใช้เล่นหรือร้องให้เด็ก ๆ ฟัง จุดประสงค์ของเพลงกล่อมเด็กนั้นมีมากมาย
ในสังคมบางแห่งจะใช้เพลงกล่อมเด็กตามกันมาโดยสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีนอกจากนั้นเพลงกล่อมเด็กยังใช้พัฒนา

ทักษะการสื่อสารการชี้น าอารมณ์การควบคุมดูแลความสนใจของทารกที่ยังแยกแยะเองไม่ได้การปรับสภาพความ

ตื่นตัวของทารกและการปรับพฤติกรรมบางทีสิ่งที่ส าคัญที่สุดอย่างหนึ่งของเพลงกล่อมเด็กคือช่วยให้เด็กนอนหลับด้วย
เหตุนี้เพลงดังกล่าวจะเป็นเพลงเรียบง่ายและซ้ าไปซ้ ามาเพลงกล่อมเด็กพบได้ในหลายประเทศและมีมาตั้งแต่ยุค

โบราณ

(https://th.m.wikipedia.org/wiki/เพลงกล่อมเด็ก 2014:ออนไลน์)
เพลงกล่อมเด็กของราษฎร์ หรือเพลงกล่อมเด็กชาวบ้าน ถือเป็นส่วนหนึ่งของเพลงพื้นบ้าน เนื้อหา ท านอง และค าร้อง

จึงมีความหลากหลายแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละท้องถิ่น คือ สภาพแวดล้อม สังคม ความเชื่อ ประเพณี
รวมทั้งภาษาถิ่น ดังนั้น การเรียกชื่อเพลงกล่อมเด็กจึงแตกต่างกัน ภาคใต้ เรียกว่า เพลงร้องเรือ เพลงช้าเรือ

เพลงชาเรือ เพลงชาน้อง เพลงช้าน้อง หรือเพลงน้องนอน
(มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน

โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร

มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 2559:ออนไลน์)


สรุปได้ว่า “เพลงกล่อมเด็ก” คือ เพลงที่ร้องเพื่อกล่อมให้เด็กนอนหลับได้ไวขึ้น เนื้อหาโดยทั่วไปมีความคล้ายคลึงกัน

คือ กล่าวถึงภาวะการนอนหลับ ความรักความอาทรของแม่ที่มีต่อลูก การเปรียบเทียบความนรักเอ็นดูของเด็ก
บางครั้งน าสัตว์ที่เด็กกลัวมาขู่ เป็นต้น

6

1.2 ความส าคัญของเพลงกล่อมเด็ก


ดนตรีเกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์ดวยความรักความพยายามย่อมมีคุณค่าในตวเองและเป็นสิ่งที่มนุษย์ด้วยกัน
ื่
เองควรจะได้ชนชมการสัมผัสกับดนตรีควรเริ่มมาแต่เด็กเพื่อสร้างเสริมและพัฒนาความเข้าใจความซาบซึ้งอย่างแท้จริง
นอกเหนือจากความงดงามที่มนุษย์จะได้จากดนตรีแล้วความรู้ความเข้าใจตลอดจนทักษะที่ได้จากการฝึกฝนดนตรีมา
ตั้งแต่เด็กมีผลในการสร้างเสริมความสามารถ ทั้งทางด้านสติปัญญา ความรู้สึก และพัฒนาการด้านอื่นๆด้วย

การเรียนดนตรี จึงมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งต่อเด็ก ซึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพของประเทศ และสังคมโลกต่อไป
(กล้าณรงค์ จันทร์จร 2011:ออนไลน์)

ความส าคัญเพลงของกล่อมเด็ก
ความเป็นมาของเพลงกล่อมเด็กหรือเพลงกล่อมลูก

ื่
เป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชอและค่านิยมของคนในท้องถิ่นต่างๆทั้งในทุกชาติทุกภาษา
ในโลกก็จะมีบทเพลงกล่อมเด็กสันนิษฐานว่าเพลงกล่อมลูกหรือเพลงกล่อมเด็กมีวิวฒนาการของเพลงมาจากการเล่า

นิทานให้เด็กฟังก่อนนอนในลักษณะค ากลอนหรือเป็นเพลงกล่อมซึ่งจะเป็นกลอนชาวบ้านไม่มีแบบแผนแน่นอนจะมี

เพียงแต่สัมผัสคล้องจองถ้อยค าที่ใช้ในบางครั้งอาจจะไม่มีความหมายเนื้อเรื่องก็จะเปนเกี่ยวกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม

หรือเรื่องราวตางๆที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ซึ่งสะท้อนให้เห็นความรัก ความห่วงใย

(คลังปัญญาไทย 2553:ออนไลน์)

ความส าคัญของเพลงกล่อมเด็ก
เพลงที่ใช้ร้องกล่อมให้เด็กนอนหลัโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เด็กหลับเร็วขึ้นและหลับอย่างมีความสุขไม่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง

เนื้อร้องจะมีความอ่อนโยนอ่อนหวานแสดงความห่วงใยความเอ็นดูอบรมสั่งสอนให้เดกเป็นคนดกตัญญูรู้คุณคนให้มี


ความเมตตากรุณาต่อสัตว์รู้จักความถูกต้องสิ่งใดควรกระท าหรือไม่ควรกระท าโดยมุ่งหวังให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มี
คุณภาพคือมีความรู้คู่คุณธรรมโดยบทเพลงกล่อมเด็กจะไม่มีค าว่าด่าหรือเปรียบเปรยเด็กไปในทางที่ไม่ดีจะกล่าวในสิ่ง

ที่ดีงามทั้งสิ้นเพลงกล่อมเด็กยังมีคุณค่าต่อการเสริมสร้างพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจช่วยให้เด็กมีความอ่อนโยน
มองโลกในแง่ดีมีคุณธรรมจริยธรรมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์อีกทั้งยังช่วยให้เด็กได้รับการพัฒนาทักษะ

ภาษา ค าศัพท์ และโวหารง่ายๆ จากเนื้อหาของเพลงกล่อมเด็กนั้นๆด้วย

(นางสาว กัญญารัตน์ ทองแป้น 2017:ออนไลน์)
สรุปได้ว่า“ความส าคัญของเพลงกล่อมเด็ก”

เป็นเพลงที่ท าให้พ่อแม่ได้มีความใกล้ชิดกับลูกได้ใช้เสียงในการสะท้อนให้เห็นการสอนในเรื่องของภาษาส าเนียงให้ติดหู
ก่อนนอนท าให้หลับง่ายก่อนนอนของเด็กเป็นช่วงส าคัญและการให้เด็กหลับอย่างมีความสุขหลับสนิทเด็กก็จะมีช่วง

ของการตื่นที่สดชื่นไม่ร้องโยเยการที่แม่จะเล่าอะไรให้ลูกฟังหรือเอื้อนเอ่ยจะเป็นส าเนียงหรือการเล่าเรื่องราวท าให้เกิด
ความอบอุ่นและความสุขแก่ลูกขณะก าลังหลับและหลับสนิทอย่างมีความสุข



1.3 ลักษณะของเพลงกล่อมเด็กโดยทั่วไปแล้วเพลงกล่อมเด็ก
เป็นเพลงที่รับช่วงต่อๆกันมาอาศัยการบอกกล่าวไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรจดเป็นมุขปาฐะหรือถ่ายทอดด้วย


ปากใช้ภาษางายๆมีค าสัมผัสคล้องจองกันตลอดท าให้ง่ายต่อการจดจ าและขับร้องกล่อมได้ไพเราะจึงจัดเป็นประเภท

7

เพลงชาวบ้าน

รวมรวบคติและความเชื่อของชาวบ้านบทร้องมักจะสั้นยิ่งถ้าผู้รับการถ่ายทอดจดจ าไม่ไดเนื้อความก็จะขาดหายไป
เพลงจะเหลือเท่าที่จ าได้แต่ถ้าผู้รับการถ่ายทอดมีความสามารถก็อาจประดิษฐ์บทร้องให้ยาวขึ้นหรือสละสลวยขึ้นได้

ไม่สามารถทราบได้ว่าใครเป็นผู้แต่งเพราะอาศัยการสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนจึงไม่สามารถทราบอายุ หรือเวลา
ที่แต่งเพลงกล่อมเด็กได้เพลงเดียวกันอาจผิดเพี้ยนกันไปบ้าง จากส านวนภาษาของแต่ละถิ่น การจดจ า ปฏิภาณ

ความเข้าใจของผู้กล่อมเด็ก บางครั้งเพลงเดียวกัน คนกล่อมคนเดียวกัน ให้ร้องกล่อม 2 ครั้ง ก็อาจกล่อมไม่เหมือนกัน
บางครั้งถ้าผู้กล่อมไม่เข้าใจค าศัพท์ในเนื้อเพลง ก็อาจเปลี่ยนค าใหม่ เพื่อให้เข้าใจความหมาย

จึงท าให้เนื้อเพลงผิดเพี้ยนกันไป
(ปัทมาวรรณ ศรีวิชัย 2015:ออนไลน์)


ลักษณะของเพลงกล่อมเด็กเกิดขึ้นจากชีวตความเป็นอยู่ของชาวบ้านเริ่มต้นขึ้นในครอบครัวโดยพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่
คนใดคนหนึ่งที่เลี้ยงดูเด็กเป็นผู้คิดค าร้องใช้เห่กล่อมลูกหลานของตนภายในบ้านก่อนต่อมาเมื่อบทเพลงใดมีความ
ไพเราะติดหูผู้ได้ยินได้ฟังก็จดจ าและน าไปร้องต่อในชุมชนจนแพร่หลายกว้างขวางยิ่งขึ้นและใช้ร้องกล่อมเด็กสืบต่อกัน

มารุ่นต่อรุ่นทั้งนี้แม้ว่าเนื้อเพลงกล่อมเด็กของแต่ละท้องถิ่นอาจใช้ถ้อยค าส านวนภาษาและเนื้อหาสาระที่แตกต่างกัน

ไปตามส าเนียงภาษาถิ่นสภาพสังคมและค่านิยมความเชื่อหากแต่เพลงกล่อมเด็กก็มีลักษณะและเนื้อหาทั่วไปที่
คล้ายคลึงกัน

(มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยส าหรับเยาวชน
โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร

มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 2559:ออนไลน์)
ลักษณะของเพลงกล่อมเด็ก

ลักษณะกลอนของเพลงกล่อมเด็กจะเป็นกลอนชาวบ้านไม่มีแบบแผนแน่นอนเพียงแต่มีสัมผัสคล้องจองกันบ้าง

ถ้อยค าที่ใช้ในบางครั้งอาจไม่มีความหมายเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับธรรมชาตสิ่งแวดล้อมหรือเรื่องราวตางๆ


ที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความรัก ความห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูก ทั้งยังมีการสั่งสอนและ
เสียดสีสังคม

(https://www.gotoknow.org/posts/277491 2012:ออนไลน์)
สรุปได้ว่า “ลักษณะของเพลงกล่อมเด็ก”

ลักษณะกลอนของเพลงกล่อมเด็กจะเป็นกลอนชาวบ้านไม่มีแบบแผนแน่นอน เพียงแต่มีสัมผัสคล้องจองกันบ้าง
ถ้อยค าที่ใช้ในบางครั้งอาจไม่มีความหมาย เนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม

หรือเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ซึjงสะท้อนให้เห็นความรักความห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูกทั้งยังมีการสั่ง
สอนและเสียดสีสังคม

1.4 การใช้ภาษาของแต่ละภาค

การใช้ภาษาของภาคเหนือ ลักษณะเด่นของเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือนอกจากจะขึ้นต้นด้วยค าว่า สิกจุ้งจาโหน
แล้วยังมักจะขึ้นต้นด้วยค าว่า"อื่อจา"เป็นส่วนใหญ่จึงเรียกเพลงกล่อมเด็กนี้ว่าเพลงอื่อลูกท านองและลีลาอื่อลูกจะเป็น

ไปช้าๆด้วยน้ าเสียงทุ้มเย็นตามถ้อยค าที่สรรมาเพื่อสั่งสอนพรรณาถึงความรักความห่วงใยลูกน้อยจนถึงค าปลอบค าขู่

ขณะยังไม่ยอมหลับถ้อยค าต่างๆในเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือสะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่สิ่งแวดล้อมและ

8

วัฒนธรรมต่างๆของคนในภาคเหนือในอดีตจนปัจจุบันได้เป็นอย่างดีการใช้ภาษาของภาคอีสานจะมีท านองลีลาเรียบ

ง่ายช้าๆและมีกลุ่มเสียงซ้ าๆกันทั้งเพลงเชนเดียวกับภาคเหนือการใช้ถ้อยค ามีเสียงสัมผัสคล้ายกลอนสุภาพทั่วไปและ
เป็นค าพื้นบ้านที่มีความหมายในเชิงสั่งสอนลูกหลานด้วยความรักความผูกพันซึ่งมักจะประกอบด้วย4ส่วนเสมอคือส่วน

ที่เป็นการปลอบโยนการขู่และการขอโดยมุ่งให้เด็กหลับเร็วๆนอกจากนี้ก็จะเป็นค าที่แสดงสภาพสังคมด้านต่างๆ เช่น
ู่
ความเป็นอยบรรยากาศในหมู่บ้านค่านิยมขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นต้นคุณค่าของเพลงกล่อมเด็กภาคอีสานจึงมี

พร้อมทั้งทางดานจิตใจและด้านการศึกษาของชาติการใช้ภาษาภาคกลางเป็นที่รู้จักแพร่หลายและมีการบันทึกไว้เป็น
หลักฐานมากกว่าเพลงกล่อมเด็กภาคอื่นซึ่งสะดวกแก่การศึกษาค้นคว้าการฟื้นฟูและการอนุรักษ์โดยไม่มีชื่อเฉพาะ

ส าหรับเรียกเพลงกล่อมเด็กภาคกลาง เนื่องจากขึ้นต้นบทร้องด้วยค าหลากหลายชนิดตามแต่เนื้อหาของเพลง

ลักษณะท านองและลีลาของเพลงกล่อมเด็กภาคกลางจะเป็นการขับกล่อมอย่างชาๆเช่นเดียวกับภาคอื่นๆ
กลุ่มเสียงก็จะซ้ าๆเช่นกันแต่จะเน้นการใช้เสียงทุ้มเย็นและยึดค าแต่ละค าให้เชื่อมกลืนกันไปอย่างไพเราะอ่อนหวานไม่

ให้มีเสียงสะดุดทั้งนี้เพื่อมุ่งให้เด็กฟังจนหลับสนิทในที่สุดการใช้ภาษาของภาคใต้เป็นภาษาถิ่นที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักมา
กที่สุดเพราะมีส าเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ชัดเจนที่สุดเช่นเดียวกับเพลงกล่อมลูกภาคใต้ที่มีท านองและลีลาเด่นเป็นของต

นเอง เพลงกล่อมลูกภาคใต้ มีชื่อเรียก 4 อย่าง คือ เพลงร้องเรือ เพลงชาน้อง หรือเพลงช้าน้อง เพลงเสภา

และเพลงน้องนอน
ลักษณะเด่นของท านองกล่อมลูกภาคใต ไม่ว่าจะเป็นเพลงประเภทใดคือมักจะขึ้นตนเพลงด้วยค าว่า "ฮา เอ้อ"


หรือมีค าวา"เหอ"แทรกอยู่เสมอในวรรคแรกของบทเพลงแล้วจึงขับกล่อมไปช้าๆเหมือนภาคอื่นๆเพลงกล่อมเด็กภาคใต้

มีจุดประสงค์และโอกาสการใช้กว้างขวางจ านวนเพลงจึงมีมากถึง 4,300 เพลง นับว่ามากกว่าทุกภาคในประเทศ

(http://nongsung.go.th/news_546_2 2560:ออนไลน์)


การใช้ภาษาของภาคเหนือเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือโดยทั่วไปเรียกว่าเพลงอื่อเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือมีลักษณะสัมผั

สและจ านวนค าไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับผู้ร้องกล่อมเนื้อหาของเพลงมักมีค าว่า“อื่อ…”หรือ“จา”แทรกอยู่ในวรรคแรกและ
วรรคสุดท้ายของเพลงกล่อมเด็กการใช้ภาษาของภาคกลางเนื้อหาของเพลงกล่อมเด็กภาคกลางโดยทั่วไปมีเนื้อร้องคล้า

ยบทร้อยกรองแต่ในวรรคแรกมักกล่าวถึง สิ่งที่น ามาขับกล่อม และ ลงท้ายด้วยค าวา “เอย” “เจ้านกเขาเอย”


“เจ้านกเอี้ยงเอย” “เจ้ากาละเกดเอย” ฯลฯ
การใช้ภาษาของภาคอีสาน

เพลงกล่อมเด็กภาคอีสานโดยทั่วไปมีเนื้อร้องคล้ายบทร้อยกรองแต่ถ้อยค าแสดงถึงลักษณะของท้องถิ่นเช่นเดียวกับ
เพลงกล่อมเด็กของท้องถิ่นอนๆเพลงกล่อมเด็กอีสานในบางท้องถิ่นการใช้ภาษาของภาคใต้เพลงกล่อมเด็กภาคใต้โดย
ื่
ทั่วไปจะใช้ถ้อยค าง่ายๆมีเสียงคล้องจองกันแต่ไม่ได้บังคับลักษณะสัมผัสสามารถยึดหยุ่นได้ตามท านองของผู้ขับกล่อม
เพลงกล่อมเด็กภาคใต้ในแต่ละท้องถิ่นอาจเรียกชื่อแตกต่างกัน เช่น เพลงชาน้อง เพลงร้องเรือ หรือน้องนอน




เพลงกล่อมเด็กภาคใต้โดยทั่วไปวรรคแรกของเพลงกล่อมเด็กภาคใต้โดยทั่วไปวรรคแรกของเพลงกล่อมเด็กมักขึ้นต้นด ้
วยค าว่า“ฮาเอ๊อ” หรือ “ฮาเหอ”
(ธีรพงศ์ เชาวนะ 2017:ออนไลน์)

9

การใช้ภาษาของภาคเหนือ เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือ หรือเพลงกล่อมเด็กล้านนา เรียกว่า เพลงอื่อ จา จา (บางต าราว่า
อื่อ ชา ชา) ตามเสียงที่เอื้อนออกมาตอนขึ้นต้นเพลง ด้วยการเปล่งเสียงหึ่งออกทางจมูกเพื่อให้เกิดความนุ่มนวล

ื้
ชวนให้เด็กหลับไปได้ง่ายเนอเพลงมีลักษณะค าประพันธ์ไม่ตายตัวและจ านวนค าสัมผัสไม่เคร่งครัดเช่นเดียวกับเพลง
พื้นบ้านอื่นๆการร้องใช้ท านองร่ า(ออกเสียงว่า"ฮ่ า")โดยเอื้อนเสียงทอดยาวที่พยางค์สุดท้ายของวรรคและเปล่งเสียงขึ้น
ลงตามระดับสูงต่ าของเสียงวรรณยุกต์ เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือมีร้องกันแพร่หลายมากในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย

ล าพูนล าปางแพร่น่านพะเยาและแม่ฮ่องสอนเนื้อหาของเพลงมุ่งชักจูงให้เด็กนอนหลับใช้ถ้อยค าที่มีทั้งการปลอบประโ
ลม ขู่ให้กลัว และติดสินบนให้ของกิน หรือสิ่งต่างๆ แก่เด็ก เพลงกล่อมเด็กทุกบทจะร้องขึ้นต้นด้วยการออกเสียง "อื่อ

จาจา"หรือ อื่อ อื่อ จา จา"นอกจากเพลงกล่อมให้เด็กนอนตามที่กล่าวมาข้างต้น ชาวบ้านในภาคเหนือยังมีเพลงร้องเล่น
ได้แก่

เพลงสิกก้องก๋อและเพลงสิกจุ่งจา*ซึ่งเป็นเพลงที่ผู้ใหญ่ใช้ร้องเล่นกับเด็กเพื่อสร้างความเพลิดเพลินท าให้เด็กรู้สึกสนุกส

นานและสบายใจเมื่อเล่นเสร็จแล้วพาไปกล่อมนอนก็จะหลับได้ง่ายการใช้ภาษาของภาคกลางเพลงกล่อมเด็กภาคกลาง
บทเพลงกล่อมเด็กภาคกลางส่วนใหญ่เป็นเพลงสั้นๆใช้ถ้อยค าเรียบง่ายและคล้องจองกันมุ่งเน้นการเห่กล่อมให้เด็ก

นอนหลับปลอบให้เด็กหยุดร้องไห้ บอกกล่าวถึงความรัก ความห่วงใย แสดงความเอ็นดู โดยใช้ค าเรียกขานเด็ก

ที่แตกต่างหลากหลายไปเพลงกล่อมเด็กภาคกลางไม่ได้เป็นเพียงบทร้องสั้นๆที่มีเนื้อหาเห่กล่อมเด็กเท่านั้นแต่ยังน า
เรื่องราวจากธรรมชาติหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนั้นมาแต่งขึ้นเป็นเพลงใช้ร้องกล่อมเด็กเพลงที่นิยมร้อง

แพร่หลายอยู่เกือบทุก
จังหวัดในภาคกลางและยังมีผู้กล่าวถึงเสมอเมื่อเอ่ยถึงเพลงกล่อมเด็กคือเพลง"กาเหว่า"ซึ่งเล่าถึงธรรมชาติของนกกาเห

ว่า ที่แอบไปไข่ทิ้งไว้ให้แม่กาฟักและเลี้ยงดูลูกแทน ส่วนเพลงอื่นๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวในสังคม เช่น เพลง "การะเกด"
เพลง"วัดโบสถ์"เพลง"ขนมแฉ่งม้า"การใช้ภาษาของภาคอีสานเพลงกล่อมเด็กภาคอีสานหรือเพลงก่อมลูกหรือเรียกตาม


ค าขึ้นต้นเพลงว่าเพลงนอนสาเยอเพลงนอนสาเด้อภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเปนดินแดนที่มีพื้น
ที่กว้างขวางมาก และมีกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมและภาษาถิ่น แตกต่างกัน แบ่งเป็น ๓ กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มวัฒนธรรมไทย-
ลาว ใช้ภาษาถิ่นอีสานกลุ่มวัฒนธรรมไทยโคราชใช้ภาษาถิ่นอีสานแต่มีค าศัพท์และส าเนียงต่างจากกลุ่มแรกและกลุ่ม

วัฒนธรรมเขมรส่ว(กูย)ใช้ภาษาเขมรและภาษาส่วย(กูย)ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะเพลงกล่อมเด็กของกลุ่มวัฒนธรรม

ไทย-ลาวและกลุ่มวัฒนธรรมไทยโคราชเท่านั้นเพลงก่อมลูก-เพลงกล่อมลูกออกเสียงตามภาษาถิ่นอีสาน
ไม่มีเสียงควบกล้ า "กล่อม" เป็น "ก่อม"การใช้ภาษาของภาคใต้ เพลงกล่อมเด็กภาคใต้ เรียกว่า เพลงร้องเรือ เพลงช้าเรือ

เพลงชาเรือเพลงช้าน้อเพลงชาน้องสันนิษฐานว่ามาจากท านองร้องที่เป็นไปอย่างช้าๆเรื่อยๆเหมือนเรือที่แล่นไปเอื่อยๆ
อีกประการหนึ่งเปลที่เด็กนอนมีรูปร่างเหมือนเรือคือใช้ผ้าผืนยาวหรือผ้าขาวม้าผูกชายไว้ทั้ง๒ ข้าง และโยงไว้คนละข้าง

เมื่อคลี่ตรงกลางน าเด็กลงนอน เวลาไกวก็มีอาการไหว เหมือนล าเรือ ส่วนค าว่า "ชา" น่าจะตัดมาจากค าว่า "บูชา"
หมายถึง การสดุดี กล่อมขวัญ ยกย่อง เช่น ชาขวัญข้าว เป็นการสดุดีแม่โพสพ ชาเรือ เป็นการสดุดีแม่ย่านางเรือ ชาน้อง

เป็นการขับกล่อมน้องเพลงร้องเรือ หรือชาน้อง ส่วนมากร้องเกริ่นน าด้วยค าว่า "ฮา เอ้อ" และจบท้ายวรรคแรก

ด้วยค าว่า"เหอ"เสียงยาวๆเนื้อหาสาระเป็นการขับกล่อมให้เด็กนอนหลับเร็วๆและหลับสนิทด้วยความอบอุ่นทั้งกาย
และใจ เช่นเดียวกับเพลงกล่อมเด็กภาคอื่นๆ และเมื่อเด็กยังไม่ยอมนอน หรือยังร้องไห้โยเย ก็ร้องบทที่ขู่ให้เด็กกลัวด้วย

(https://story.motherhood.co.th 2019: ออนไลน์)

10

สรุปได้ว่า“การใช้ภาษา”เพลงกล่อมเด็กจะใช้ภาษาต่างแตกต่างกันไปในแต่ละภาคซึ่งเป็นภาษาถิ่นนั้นๆเพื่อสื่อถึง
วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีในแต่ละท้องถิ่น



2. กำรใช้ภำษำ และวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละภำค


2.1 เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือ

มีลักษณะเป็นเพลงกล่อม
เพลงปลอบและเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเล่นของเด็กใช้ค าขึ้นต้นบทเพลงตามเสียงเอื้อนเป็นภาษาถิ่นทางเหนือ

เพลงกล่อมเด็กของภาคเหนือเรียกว่าเพลงอื่อจาจา(บางต าราว่าอื่อชาชา)ตามเสียงที่เอื้อนออกมาตอนขึ้นคุ้นเพลงด้วย

การเปล่งเสียงหึ่งออกทางจมูกเพื่อให้เกิดความนุ่มนวลชวนให้เด็กหลับไปได้ง่ายเนื้อเพลงมีลักษณะค าประพันธ์ไม่ตาย
ตัวและจ านวนค าสัมผัสไม่เคร่งครัดเช่นเดียวกับเพลงพื้นบ้านอื่นๆการร้องใช้ท านองร่ า(ออกเสียงว่า"ฮ่ า")โดยเอื้อนเสียง

ทอดยาวที่พยางค์สุดท้ายของวรรคและเปล่งเสียงขึ้นลงตามระดับสูงต่ าของเสียงวรรณยุกต์เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือมี
ร้องกันแพร่หลายมากในจังหวัดเชียงใหม่เชียงรายล าพูนล าปางแพร่น่านพะเขาและแม่ฮ่องสอนเนื้อหาของเพลงมุ่งชัก

จูงให้เด็กนอนหลับใช้ถ้อยค าที่มีทั้งการปลอบประโลมขู่ให้กลัวและติดสินบนให้ของกินหรือสิ่งต่างๆแก่เด็ก
เพลงกล่อมเด็กทุกบทจะร้องขึ้นคุ้นด้วยการออกเสียง "อือ จา จา" หรือ "อือ อื่อ จา จา"



2.2 เพลงกล่อมเด็กภาคอีสาน
หรือเรียกตามค าขึ้นต้นเพลงว่าเพลงนอนภาคอีสาน

หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเป็นดินแดนที่มีพื้นที่กว้างขวางมาก

และมีกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมและภาษาถิ่นแตกต่างกันแบ่งเป็น3กลุ่มใหญ่คือกลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาว
ใช้ภาษาถิ่นอีสานกลุ่มวัฒนธรรมไทยโคราชใช้ภาษาถิ่นอีสานแต่มีค าศัพท์และส าเนียงต่างจากกลุ่มแรกและกลุ่ม

วัฒนธรรมเขมร (กูย)ใช้ภาษาขมรและภายาส่วย(กูย)ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะเพลงกล่อมเด็กของกลุ่มวัฒนธรรม
ไทย-ลาวและกลุ่มวัฒนธรรมไทยโคราชท่านั้นเพลงกล่อมเด็กภาคอีสานมักมีท่วงท านองเรียบง่ายใช้กลุ่มเสียงซ้ าๆ

และแม้จะร้องด้วยจังหวะช้าแต่ก็แฝงน้ าเสียงที่สนุกสนานจริงใจเป็นธรรมชาติคล้ายกับเสียงของ"แคน"เครื่องคนตรีประ
จ าถิ่นอีสานเนื้อหาของเพลงถ่ายทอดความรักความห่วงใยโดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือกล่อมให้เด็กนอนหลับหรือปลอบ

ให้เด็กหยุดร้องไห้โดยมักน าสภาพแวดล้อมและธรรมชาติต่างๆมาสอดแทรกไว้ในค าร้องที่แต่งขึ้นส่วนเนื้อหาที่สะท้อน

ภาพสังคมมักกล่าวถึงอาชีพการท ามาหากิน เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจ าวัน เช่น การท านา ท าไร่ เลี้ยงม้อน
ู่
(ตัวหนอนไหม) ปลูกต้นหม่อนไว้เลี้ยงตัวไหม เข็นฝ้าย ทอผ้า นอนอ (เปล) วิธีสานกระดัง


2.3 เพลงกล่อมเด็กภาคกลาง
บทเพลงกล่อมเด็กภาคกลางส่วนใหญ่เป็นเพลงสั้นๆใช้ถ้อยค าเรียบง่ายและคล้องจองกันมุ่งเน้นการเห่กล่อมให้เด็ก

นอนหลับปลอบให้เด็กหยุดร้องไห้บอกกล่าวถึงความรักความห่วงใยแสดงความเอ็นดูโดยใช้ค าเรียกขานเด็กที่แตกต่าง
หลากหลายไปเพลงกล่อมเด็กภาคกลางหลายบทยังใช้ชื่อนกชนิดต่าง ๆ เป็นค าเรียกขานแทนเด็กด้วย เช่น นกกระจิบ

นกกระจาบนกสีชมพูนกเขานกเขาเถื่อนนกเอี้ยง

11

เพลงกล่อมเด็กภาคกลางไม่ได้เป็นเพียงบทร้องสั้นๆที่มีเนื้อหาเห่กล่อมเด็กเท่านั้นแต่ยังน าเรื่องราวจากธรรมชาติหรือเ
หตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนั้นมาแต่งขึ้นเป็นเพลงใช้ร้องกล่อมเด็กเพลงที่นิยมร้องแพร่หลายอยู่เกือบทุกจังหวัดใน

ภาคกลางและยังมีผู้กล่าวถึงเสมอเมื่อเอ่ยถึงเพลงกล่อมเด็กคือเพลง"กาเหว่า"ซึ่งเล่าถึงธรรมชาติของนกกาเหว่าที่แอบ

ไปไข่ทิ้งไว้ให้แม่กาฟักและเลี้ยงดูลูกแทนส่วนเพลงอื่นๆที่บอกเล่าเรื่องราวในสังคมเช่นเพลง"การะเกด" เพลง"วัดโบสถ์"
เพลง "ขนมแฉ่งม้า"


2.4 เพลงกล่อมเด็กภาคใต้

เพลงกล่อมเด็กภาคใต้เรียกว่าเพลงร้องเรือเพลงช้าเรือเพลงชาเรือเพลงช้าน้องเพลงชาน้องสันนิษฐานว่ามาจากท านอง
ร้องที่เป็นไปอย่างช้าๆเรื่อยๆเหมือนเรือที่แล่นไปเอื่อยๆอีกประการหนึ่งเปลที่เด็กนอนมีรูปร่างเหมือนเรือคือใช้ผ้าผืน

ยาวหรือผ้าขาวม้าผูกชายไว้ทั้ง2ข้างและโยงไว้คนละข้างเมื่อคลี่ตรงกลางน าเด็กลงนอนเวลาไกวก็มีอาการไหวเหมือน

ล าเรือส่วนค าว่า "ชา" น่าจะตัดมาจากค าว่า "บูชา" หมายถึง การสดุดี กล่อมขวัญ ยกย่อง เช่น ชาขวัญข้าว
เป็นการสดุดีแม่โพสพชาเรือเป็นการสดุดีแม่ย่านางเรือชาน้องเป็นการขับกล่อมน้องลักษณะค าประพันธ์เป็นกลอนชาว


บ้านโดยทั่วไป1บทมี8วรรคในแต่ละวรรคมี4-10ค า ผู้แต่งได้กล่าวไว้เป็นเชิงออกตวว่า ร้องเพลงกล่อมตามแต่เนื้อความ
และบางเพลงอาจมีความยาวถึง 30 วรรคก็ได้ เพลงร้องเรือ หรือชาน้อง ส่วนมากร้องเกริ่นน าด้วยค าว่า "ฮา เอ้อ"
และจบท้ายวรรคแรกด้วยค าว่า"เหอ"เสียงยาวๆเนื้อหาสาระเป็นการขับกล่อมให้เด็กนอนหลับเร็วๆและหลับสนิทด้วย

ความอบอุ่นทั้งกายและใจเช่นเดียวกับเพลงกล่อมเด็กภาคอื่นๆและเมื่อเด็กยังไม่ยอมนอนหรือยังร้องไห้โยเยก็ร้องบทที่
ขู่ให้เด็กกลัวด้วยเพลงกล่อมเด็กภาคใต้ที่มีเนื้อร้องกล่อมให้เด็กนอนโดยตรงมีจ านวนไม่มากนักส่วนใหญ่มักแต่งบทร้อง

ให้เป็นค าสอนการประพฤติปฏิบัติตนปลูกฝังคุณธรรมและสะท้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมด้วยหลายเพลงบอกเล่าถึง

คนที่ประพฤดีไม่ดีบางเพลงกติเตียนผู้ที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมและบางเพลงถึงขั้นเสียดสีประชดประชันบุคคลเหล่า
นั้นด้วยในความเป็นจริงเด็กเล็กที่นอนแบเบาะหรือนอนอยู่ในเปลคงยังไม่เข้าใจความหมายของเนื้อร้องแต่ผู้ร้องคงจะมี

เจตนาแฝงที่จะอบรมให้เด็กโตที่เป็นลูกหลานหรือบริวารในบ้านได้ยินได้ฟังและร้องเพื่อสื่อสารให้คนอื่นๆในชุมชนได้
รับรู้ด้วยแม้ว่าผู้แต่งได้กล่าวไว้เป็นเชิงออกตวว่า ร้องเพลงกล่อมหลานไม่เกี่ยวข้องกับใคร


12

บทที่ 3

วิธีด ำเนินกำรวิจัย


การศึกษาเรื่องการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเพลงกล่อมเด็ก

มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดของเพลงกล่อมเด็กและกลวิธีการใช้ภาษาโดยมีขั้นตอนการศึกษาค้นคว้าดังนี้
1. เลือกหัวข้อศึกษาค้นคว้าที่เราสนใจ

2. ศึกษาเอกสาร ต ารา ที่เกี่ยวข้องกับเพลงกล่อมเด็กสี่ภาค

3. วางแผนขอบเขตของข้อมูลและขอบเขตของหัวข้อที่ศึกษาค้นคว้า
4.รวบรวบข้อมูลเพลงกล่อมเด็กสี่ภาคจากหนังสือที่มีความเกี่ยวข้องกับเพลงกล่อมเด็กและเว็บไซต์ออนไลน์

แล้วบันทึกตามหมวดหมู่ที่ได้จัดไว้
5. ด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูลตามหัวข้อที่ศึกษาค้นคว้า

6. สรุปและอภิปรายผลงานข้อมูลการศึกษาค้นคว้า

7. จัดท ารูปเล่มรายงานการศึกษาค้นคว้า
8. น าเสนอผลการศึกษาค้นคว้า


แหล่งข้อมูล

ี้
แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งน ได้แก่ หนังสือบทเห่กล่อมพระบรรทม บทกล่อมเด็ก บทปลอบเด็ก
และบทเด็กเล่น ของกรมศิลปากร ค าขับลูกอ่อน ภาพชีวิตและภูมิปัญญาจากสือในบทเพลงส าหรับเดก

เพลงกล่อมเด็กและเพลงประกอบการเล่นของเด็กภาคกลาง 16 จังหวัด คีตวรรณกรรม ของคณโบราณคด ี

มหาวิทยาลัยศิลปากรสารานุกรมวฒนธรรมไทยภาคใต้สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคหนือ
สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคอีสาน และ เพลงนอกศตวรรษ


เกณฑ์ในกำรวิเครำะห์

เกณฑ์ในการวิเคราะห์บทเพลงกล่อมเด็กสี่ภาค มีทั้งหมด 2 เกณฑ์ แบ่งเป็น

เกณฑ์ในการวิเคราะห์แนวคิดของเพลงกล่อมเด็กทั้งสี่ภาคและการวิเคราะห์กลวิธีการใช้ภาษาในแต่ละภาค
1. เกณฑ์ในการวิเคราะห์แนวคิดของเพลงกล่อมเด็กทั้งสี่ภาค

เกณฑ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ผู้จัดท าได้น ามาใช้ในการวิเคราะห์แนวคิดของเพลงกล่อมเด็กทั้งสี่ภาค

โดยมีเกณฑ์ในการวิเคราะห์ดงนี้

1.1 แนวคิดเกี่ยวกับด้านความเชื่อ

1.2 แนวคิดเกี่ยวกับด้านความรักของแม่ที่มีต่อลูก
1.3 แนวคิดเกี่ยวกับด้านธรรมชาติและสัตว ์

1.4 แนวคิดเกี่ยวกับด้านวิถีชีวิต
1.5 แนวคิดเกี่ยวกับด้านนิทานวรรณคดี

13

1.6 แนวคิดเกี่ยวกับด้านสังคม
2. เกณฑ์ในการวิเคราะห์กลวิธีการใช้ภาษาของแต่ละภาค

เกณฑ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ผู้จัดท าได้น ามาใช้ในการวิเคราะห์กลวิธีการใช้ภาษาของแต่ละภาคโดยมีเกณฑ์ในการ

วิเคราะห์ดังนี้
2.1วิเคราะห์การซ้ าค า

2.2วิเคราะห์การใช้ค าสัทพจน์ในบทเพลง


กำรเก็บรวบรวมข้อมูล

ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้คณะผู้จัดท าได้รวบรวมข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์จากเว็บไซต์ออนไลน์ที่รวบรวม

เนื้อหามาจากหนังสือบทเห่กล่อมพระบรรทมบทกล่อมเด็กบทปลอบเด็กและบทเด็กเล่นของกรมศิลปากรค าขับลูกอ่อ
นภาพชีวิตและภูมิปัญญาจากสือในบทเพลงส าหรับเด็กเพลงกล่อมเด็กและเพลงประกอบการเล่นของเด็กภาคกลาง 16

จังหวัดคีตวรรณกรรมของคณโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากรสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้สารานุกรมวัฒนธรรม
ไทยภาคหนือ สารานุกรมวฒนธรรมไทยภาคอีสาน และ เพลงนอกศตวรรษซึ่งมีขั้นตอนการด าเนินการดังต่อไปนี้

1. คณะผู้จัดท าได้ท าการค้นคว้าหาข้อมูลจากหลายๆแหล่ง และรวบรวมที่ได้มาจากแต่ละแหล่งนั้น
2. คณะผู้จัดท าน าข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลมาเปรียบเทียบและประเมินค่าว่าเป็นข้อมูลที่แท้จริง

น่าเชื่อถือและมีความเป็นไปได้เพียงใด

3. คณะผู้จัดท าน าข้อมูลที่ผ่านการประเมินค่า มาจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่ของตามแต่ละภาค
4. คณะผู้จัดท าพยายามหาความสัมพันธ์ของประเด็นต่างๆ และตีความข้อมูลนั้นๆ

5. การเรียบเรียงและการน าเสนอ


กำรวิเครำะห์ข้อมูล

1. รวบรวมบทเพลงกล่อมเด็กทั้งสี่ภาคมาวิเคราะห์แนวคิดตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว ้

2.น าข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์กลวิธีการใช้ภาษาน ามาเรียบเรียงและอธิบาย
3.น าข้อมูลที่รวบรวมมาสรุปและอภิปรายพร้อมยกตัวอย่างเพลง

เพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าในครั้งต่อไป

14

ระยะเวลำในกำรด ำเนินกำร

ในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเพลงกล่อมเด็กสี่ภาคมีระยะในการด าเนินการซึ่งแบ่งได้ดังนี้


ล ำดับที่ ขั้นตอนกำรศึกษำ ช่วงเวลำ ผู้รับผิดชอบ






1 รวบรวมข้อมูลเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ วันที่ 13-14 มกราคม พ.ศ. 2564 คณะผู้จัดท า
ยวข้อง


2 รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเพลงกล่องเด็กสี่ วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564 คณะผู้จัดท า

ภาค


3 วิเคราะห์ข้อมูล วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2564 คณะผู้จัดท า





4 สรุปและอภิปรายผลข้อมูล วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2564 คณะผู้จัดท า




5 ตรวจทานและแก้ไขข้อมูลจัดท ารูปเล่ม วันที่ 17-23 มกราคม พ.ศ. 2564 คณะผู้จัดท า

รายงานการศึกษาค้นคว้า





6 น าเสนอผลการศึกษาค้นคว้า วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564 คณะผู้จัดท า




7 ส่งรายงานการศึกษาค้นคว้าฉบับสมบูร วันที่ 26-29 มกราคม พ.ศ. 2564 คณะผู้จัดท า

ณ์

15

บทที่4

กำรวิเครำะห์ข้อมูล


การศึกษาค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับเพลงกล่อมเด็กสี่ภาค คณะผู้จัดท าได้แบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 2 ประเด็น

ตามวัตถุประสงค์ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่
1. เพื่อศึกษาแนวคิดของเพลงกล่อมเดกทั้งสี่ภาค

2. เพื่อศึกษากลวิธีการใช้ภาษาในแต่ละภาค

ซึ่งมีรายละเอียดการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้
1.ด้ำนแนวคิดของเพลงกล่อมเด็กทั้งสี่ภำค

1.1 แนวคิดเกี่ยวกับด้านความเชื่อ บทเพลงที่กล่าวถึงเรื่องความเชื่อ จ านวน 2 เพลง เพลงจันทร์เจ้าภาคกลาง

เพลง: นอนเสียน้องนอนภาคใต้
ได้แก่ความเชื่อเกี่ยวในเรื่องการขอพรกับพระจันทร์ เช่น

เพลง: จันทร์เจ้า
จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง

ขอแหวนทองแดง ผูกมือน้องข้า

ขอช้างขอม้าให้น้องข้าขี่ ขอเก้าอี้ให้น้องข้านั่ง
ขอเตียงตั่งให้น้องข้านอน ขอละครให้น้องข้าดู

ขอยายชูเลี้ยงน้องข้าเถิด ขอยายเกิดเลี้ยงตัวข้าเอง


ได้แก่ความเชื่อเกี่ยวกับในเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าเมื่อเกิดมาจะมีแม่ซื้อคอยคุ้มครองอยู่ซึ่งความเชื่อนี้ก็ยังมีความเชื่อ

กันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้มิได้ถูกทอดทิ้งเด็กก็จะคลายกังวลและหลับในที่สุดและยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องที่ว่า
เด็กเมื่อเกิดมาจะมีแม่ซื้อ(เทวดา)คอยปกป้องคุ้มครองไม่ให้ได้รับอันตราย เช่น

เพลง: นอนเสียน้องนอน
ฮาเอ้อ…เหอ…นอนเสียน้องนอน นอนให้หลับดี

แม่ซื้อทั้งสี่ มาช่วยพิทักษ์รักษา

อาบน้ าป้อนข้าว รักษาเจ้าทุกเวลา
มาช่วยพิทักษ์รักษา เด็กอ่อนนอนใน…เปล…เหอ



1.2 แนวคิดเกี่ยวกับด้านความรักของแม่ที่มีต่อลูก บทเพลงที่กล่าวถึงเรื่องความรักของแม่ที่มีต่อลูก จ านวน 4

เพลง เพลงนอนเสียน้องนอนภาคใต้ เพลงนกเปล้าภาคใต้ เพลงเจ้านรหอยภาคอีสาน เพลงนกกาเหวาภาคกลาง
ได้แก่แนวคิดที่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ที่อ่อนไหวของความรักของแม่ที่มีต่อลูก ความห่วงใย กังวลต่างๆ
พร้อมกันนั้นก็สอดแทรกการอบรมให้มีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ต่างๆ เช่น

16

เพลง: เจ้านรหอย
เจ้านรหอยเอย เจ้าขี่ช้างน้อยไปสอยดอกแค

สอยไดอามาให้แม่ ดอกแคของข้า

ระย้าระโหยงเอ๊ย ดอกแคของข้า
ระย้าระโหยงเอ๊ย

ลูกเหอจะดีต่อใด เมื่อลูกไม่ตามค าแม่…เหอ…


ได้แก่แนวคิดด้านความรักของแม่ที่มีต่อลูกที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน เช่น
เพลง: นกกาเหว่า

เจ้านกกาเหว่าเอ๋ย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทธรณ์

คาบเอาข้าวมาเผื่อ คาบเอาเหยื่อมาป้อน ถนอมไว้ในรังนอน ซ่อนเหยื่อมาให้กิน
ปีกเจ้ายังอ่อนคลอแคล ท้อแท้จะสอนบิน พาลูกไปหากิน ที่ปากน้ าพระคงคา

ตีนเจ้าเหยียบสาหร่าย ปากก็ไซร้หาปลา กินกุ้ง กินกั้ง กินหอย

กระพังแมงดา กินแล้วก็โผมา จับที่ต้นหว้าโพธิ์ทอง
ปีกเจ้ายังอ่อนคลอแคล ท้อแท้จะสอนบิน พาลูกไปหากิน ที่ปากน้ าพระคงคา

ตีนเจ้าเหยียบสาหร่าย ปากก็ไซร้หาปลา กินกุ้ง กินกั้ง กินหอย
กระพังแมงดา กินแล้วก็โผมา จับที่ต้นหว้าโพธิ์ทอง



ได้แก่แนวคิดด้านความรักความห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูกต้องการให้ลูกนอนหลับอย่างสบายให้ลูกคลายกังวลเพราะเดก
จะเป็นกังวลกลัวแม่จะทิ้งให้อยู่คนเดียวไม่กล้าจะหลับ เช่น

เพลง: นอนเสียน้องนอน
ฮาเอ้อ…เหอ…นอนเสียน้องนอน นอนให้หลับดี

แม่ซื้อทั้งสี่ มาช่วยพิทักษ์รักษา

อาบน้ าป้อนข้าว รักษาเจ้าทุกเวลา
มาช่วยพิทักษ์รักษา เด็กอ่อนนอนใน…เปล…เหอ


ได้แก่แนวคิดสะท้อนให้เห็นถึงการเลี้ยงดูลูก ถ้าลูกคนใดไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ก็จะประสบความส าเร็จในชีวิตได้ยาก

ซึ่งเป็นค าสอนที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังใช้ได้ผลดีอยู่จนปัจจุบันนี้ เช่น
เพลง: นกเปล้า

ฮาเอ้อ….เหอ…นกเปล้าเหอ มันเล่านิทานกันหลอแหล

ลูกไม่ฟังแม่ ลูกเหอจะดีต่อใด
เสาเรือนไม้หมาก ฟากเรือนไม้ไผ่

17


1.3 แนวคิดเกี่ยวกับด้านธรรมชาติและสัตว บทเพลงที่กล่าวถึงธรรมชาติและสัตว์ จ านวน 11 เพลง
เพลงอื่อ จาจา เพลงสิกก๋องก้อ เพลงสิกจุ่งจา เพลงเจ้านรหนอย ภาคเหนือ เพลงเจ้านรหอย เพลงกล่อมลูกโคราช

เพลงแมวโพง ภาคอีสานเพลงกาเหว่า เพลงนกเขาขัน นกขมิ้น เพลงโยกเยก เพลงไก่เถื่อน ภาคใต้

ได้แก่แนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติและสัตว์ที่น ามาเปรียบเทียบกับสิ่งต่างๆ เช่น
เพลง: นกกาเหว่า

เจ้านกกาเหว่าเอ๋ย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทธรณ์
คาบเอาข้าวมาเผื่อ คาบเอาเหยื่อมาป้อน ถนอมไว้ในรังนอน ซ่อนเหยื่อมาให้กิน

ปีกเจ้ายังอ่อนคลอแคล ท้อแท้จะสอนบิน พาลูกไปหากิน ที่ปากน้ าพระคงคา
ตีนเจ้าเหยียบสาหร่าย ปากก็ไซร้หาปลา กินกุ้ง กินกั้ง กินหอย

กระพังแมงดา กินแล้วก็โผมา จับที่ต้นหว้าโพธิ์ทอง

ปีกเจ้ายังอ่อนคลอแคล ท้อแท้จะสอนบิน พาลูกไปหากิน ที่ปากน้ าพระคงคา
ตีนเจ้าเหยียบสาหร่าย ปากก็ไซร้หาปลา กินกุ้ง กินกั้ง กินหอย

กระพังแมงดา กินแล้วก็โผมา จับที่ต้นหว้าโพธิ์ทอง


เพลง: นกเขาขัน

เจ้านกเขาเอย ขันอยู่แต่เชาจนเที่ยง

พระสุริยาบ่ายเบี่ยง เที่ยงแล้วเจ้าจงนอนเปลเอย

เจ้านกเขาเอย ขันแต่เช้าจนเย็น
ขันเถอะจะฟังเสียงเล่น เนื้อเย็นเจ้าคนเดียวเอย



เพลง: นกขมิ้น
เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อนเอย ค่ าแล้วจะนอนที่ตรงไหน

จะนอนไหนก็นอนได้ สุมทุมพุ่มไม้ก็เคยนอน

ลมพระพาย ชายพัดมาอ่อน ๆ เจ้าเคยจร มานอนรังเอย


เพลง:โยกเยก
โยกเยกเอย น้ าท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ

หมาหางงอ กอดคอโยกเยก


เพลง: ไก่เถื่อน

ฮาเอ้อ…เหอ…ไก่เถื่อนเหอ ขันเทือนทั้งบ้าน
ลูกสาวขี้คร้าน นอนให้แม่ปลุก

ฉวยได้ด้ามขวาน แยงวานดังพลุก

นอนให้แม่ปลุก ลูกสาวขี้คร้านงาน… เหอ

18

ได้แก่สะท้อนภาพและสอดแทรกการอบรมให้มีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ต่างๆนอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นถึงความใกล้
ชิดกับธรรมชาติของชาวชนบท เช่น

เพลง: อื่อ จาจา

อื่อ อื่อ จา จา หลับสองต๋า
แม่ไปนานอกบ้าน ไปเก็บบ่าส้าน

ใส่ซ้ามาแขวน ไปเก็บบ่าแหน
ใส่ซ้ามาต้อน น้องอย่าไห่อ้อน

แม่ไปไฮ่บ่มา อื่อน้องหลับสองต๋า
นอนจ๋าตี่ตี๋ ตี่ตี๋ติดกัน

หลับเมื่อวัน น้องอย่าไปอ้อน

อื่อ อื่อ อ้อน หื้อหลับเสียเตอะนาย


เพลง: สิกก้องก๋อ

สิกก้องก๋อ ยอมะแคว้ง มะแคว้งสุก ป๋าดุกเน่า หัวเข่าป๋ม หัวนมปิ้ว ปิ๊กจะลิว ตกน้ าแม่ก๋อง ควายลงหนอง ทะล่มบ้มบั้ม


เพลง: สิกจุ่ง จา
สิกจุ่งจา อีหล้าจุ่งจ๊อย ขึ้นดอยน้อย ขึ้นดอยหลวง เก็บผักขี้ขวง ใส่ซ้าทังลุ่ม เก็บฝักกุ่ม ใส่ซ้าทั้งสน เจ้านายตน

มาปะคนหนึ่ง ตีตึ่งตึง หื้ออย่าสาวฟังควักขี้ดัง หื้ออย่าสาวจูบ แปงตูบน้อย หื้ออย่าสาวนอน ขี้ผองขอน หื้ออย่าสาวไหว้
ร้อยดอกไม้ หื้ออย่าสาวเหน็บ จักเข็บขบหู ปูหนีบข้าง ช้างไล่แทง แมงแกงขบเขี้ยว เงี้ยวไล่แทง ตกขุมแมงดิน

ตีฆ้องโอ้โอ นอนสาเหนอ

ู่
หลับตาสาเหนอ เจ้าบ่นอนอนี่ หนีไปนอนอู่ใหม่ นอนสาเหนอ
หลับตาสาเหนอ อู่เมืองเจียงใหม่ แม่นอู่สายไหม อู่เมืองไทย

แม่นอู่สายด้าน อู่เมืองด่านซ้าย แม่นอู่สายปอ นอนเหนอหล้า

เจ้าอาดลาดทาดใหญ่หนองคาย พ่อเจ้านี่เหนอ
ดินโลมในพะทายโลมยอก จ าพอกแล้ว

เอาแก้วขึ้นไส่จอม เหลียวไปไกล แสงไฟพมพู เอิ้นหาปู่บ่มีผู้จา
เอิ้นหาตาบ่มีผู้ปาก ล าบากน้อยเที่ยวค่ าเที่ยวคืน

พ่อเจ้าแบกฟืนหนัก ซ้าผักผักเฮี่ย ทั้งเจี่ยน้อง ฝนซ้ าผัดริน
นอนสาเหนอ หลับตาสาเหนอ



เพลง: เจ้านรหนอย
เจ้านรหนอยเอย เจ้าขี่ซ้างน้อยไปสอยดอกแค สอยได้เอามาให้แม่

ดอกแค ของข้า ระย้า โหยงเอ๊ย

ดอกแค ของข้า ระย้า โหยงเอ๊ย

19

เพลง:เจ้านรหอย
เจ้านรหอยเอย เจ้าขี่ช้างน้อยไปสอยดอกแค

สอยไดอามาให้แม่ ดอกแคของข้า

ระย้าระโหยงเอ๊ย ดอกแคของข้า
ระย้าระโหยงเอ๊ย


เพลง: กล่อมลูกโคราช

เออ... เออ อือม์ แมวขาวเอย ไต่ไม้ราวหางยาวโยนเยิ่น ไต่ไม้เป็นโยนไปโยนมา เออ เอ่อ เออ แม่กาเอย อือม์ แม่กาเหว่า
เอาไข่ไปฝากรังเขา แล้วเจ้าก็บินหนีมา เอย... เอย อือม์.... ว่านางแม่พระธรณีเอย... เอย อือม์.... แม่ธรณีเจ้าขา

ลูกขอฝากหลานน้อยกลอยตา เอย ให้แม่ช่วยดูแล ด้วยเทอญ เอ่อ เออ...


เพลง: แมวโพง

นอนเด้อหล่า หลับตาเเม่สิกล่อม

เจ้าบ่นอน บ่ไห้กินกล้วย
เเม่ไปห้วย หาซ่อนปลาซิว

เก็บผักติ้ว มาไส่เเกงเห็ด
ไปไส่เบ็ด เอาปลาข่อใหญ่

อย่าร้องให้ เเมวโพงสิจ๊กตา
เจ้านอนซ่า เเมวโพงสิจ๊ก

เจ้านอนค่ า แมวโพงสิจ๊กก้น

ติง ลิง ติ่ง ลิง ติ้ง ลิง ติง
สิงลูกเเก้ว นอนนาน าพ่อ

สิงลูกเเก้ว กินเเล้วจั่งนอน

ติง ลิง ติ่ง ลิง ติ้ง ลิง ติง
ลิงตกส่าง หางซันจิ่งดิ่ง

ตกก้นคุ อย่าขี้กลางคืน
ขี้กลางคืน ย่านเสือมาพ่อ

ขี้มื่อเช้า ย่านเเมวเป้ามาเห็น
ยามกลางเวน จั่งขี้จั่งเหยี่ยว

เอ้อ เฮอ เออ เฮอะ เอ้อ เฮอะ เออ...

นอนสาหล่า หลับตาแม่สิกล่อม

20

1.4 แนวคิดเกี่ยวกับด้านวิถีชีวิต บทเพลงที่กล่าวถึงด้านวิถีชีวิตมีจ านวน 2 เพลง เพลงอื่อ จาจา ภาคเหนือ
เพลงไปคอนภาคใต้


ได้แก่ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับด้านวิถีชีวิตเนื้อหาแนวคิดกล่าวถึงเกี่ยวกับการประกอบอาชพสะท้อนให้เห็นถึงการท านา
ของของคนภาคเหนือ และ ทอผ้าของคนภาคใต้
เพลง: อื่อ จาจา

อื่อ อื่อ จา จา หลับสองต๋า
แม่ไปนานอกบ้าน ไปเก็บบ่าส้าน

ใส่ซ้ามาแขวน ไปเก็บบ่าแหน
ใส่ซ้ามาต้อน น้องอย่าไห่อ้อน

แม่ไปไฮ่บ่มา อื่อน้องหลับสองต๋า

นอนจ๋าตี่ตี๋ ตี่ตี๋ติดกัน
หลับเมื่อวัน น้องอย่าไปอ้อน

อื่อ อื่อ อ้อน หื้อหลับเสียเตอะนาย

เพลง: ไปคอน
ฮาเอ้อ….เหอ…ไปคอนเหอ ไปซื้อผ้าลายทองสลับ

ซื้อมาทั้งพับ สลับทองห่างห่าง
หยิบนุ่งหยิบห่ม ให้สมขุนนาง

สลับทองห่างห่าง ทุกหมู่ขุนนาง…เหอ…

1.5 แนวคิดเกี่ยวกับด้านนิทานและวรรณคดี บทเพลงที่กล่าวถึงด้านนิทานและวรรณคดีจ านวน 1 เพลง
เพลงพระสังข์ ภาคใต้

ได้แก่แนวคิดเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านหรือวรรณคดีเป็นการยกนิทานพื้นบ้านมาสอน
ในเรื่องของการมองคนหรือการเลือกคบคนอย่ามองคนเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกให้มองลึกไปถึงจิตใจ

ความรู้สึกนึกคิด ความรู้ความสามารถของคนๆนั้นด้วย อย่างเช่นพระสังข์เป็นคนดี มีความรู้ ความสามารถ

แต่ท้าวสามลไม่ชอบ เนื่องจากรูปลักษณ์ที่เห็นภายนอก เป็นคนยากจน รูปชั่วตัวด า จึงไม่ยอมรับเป็นเขย เช่น
เพลง: พระสังข์

ฮาเอ้อ…เหอ…พระสังข์เหอ สมเพทเวทนาลูกหอยสังข์
เขาเกลียดเขาชัง พระสังข์อยู่ในรูปเงาะ


คนทั้งเพเขาเดนดิน พระสังข์เนื้อนิลถือไม้เท้าเหาะ
พระสังข์อยู่ในรูปเงาะ เหาะตามนางรจนา…เหอ…



1.6 แนวคิดเกี่ยวกับด้านสังคม บทเพลงที่กล่าวถึงด้านสังคมจ านวน 4 เพลง
เพลงนอนสาเหนอ ภาคเหนือ

เพลงนอนสาเดอ นอนสาหล่า ภาคอีสาน เพลงไก่เถื่อน ภาคใต้

20

ได้แก่เนื้อเพลงกล่อมเด็กสะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับด้านสังคม
ได้แก่เพลงกล่อมเด็กที่สะท้อนสภาพสังคมของคนในแต่ละภาคที่มีความแตกต่างกัน



เพลง: นอนสาเหนอ
โอ้โอ นอนสาเหนอ

ู่
หลับตาสาเหนอ เจ้าบ่นอนอนี่ หนีไปนอนอู่ใหม่ นอนสาเหนอ
หลับตาสาเหนอ อู่เมืองเจียงใหม่ แม่นอู่สายไหม อู่เมืองไทย

แม่นอู่สายด้าน อู่เมืองด่านซ้าย แม่นอู่สายปอ นอนเหนอหล้า
เจ้าอาดลาดทาดใหญ่หนองคาย พ่อเจ้านี่เหนอ

ดินโลมในพะทายโลมยอก จ าพอกแล้ว

เอาแก้วขึ้นไส่จอม เหลียวไปไกล แสงไฟพมพู เอิ้นหาปู่บ่มีผู้จา
เอิ้นหาตาบ่มีผู้ปาก ล าบากน้อยเที่ยวค่ าเที่ยวคืน

พ่อเจ้าแบกฟืนหนัก ซ้าผักผักเฮี่ย ทั้งเจี่ยน้อง ฝนซ้ าผัดริน

นอนสาเหนอ หลับตาสาเหนอ


เพลง: นอนสาเดอ
นอนสาเดอหลับตาจ้วยจ้วย เขามาขายกล้วยแม่ซื้อให้กิน

เจ้าสุบินนอนสาลูกแก้ว นอนอู่แล้วในอู่สายไหม
นอนอู่สิไกวไปไวไป นอนอู่ไทยไกวไปโตนเตน



เพลง : นอนสาหล่า
นอนสาหล่า หลับตา แมสิก็อม

เอ๋าะ ออม อ้อย แม่วน่อยตอดนวยต่าด่ ามั่นเด้อ....

แมไป่ไฮกะสิไป่หาปล่า
แมไป่น่าสิหาของม่าฝาก

บักหมากหว่า บักมัง บักหวาย

เอ๋าบักไฟ บักแงว บักส่าน
แต่งค่าฮ่านสิเอ่าม่าจิ้มแจว
บักเล็บแม่วกะสิให่ลูกหล่า

คั่นได้ปล่าสิเอ่าม่าต่ าปน

เข่าหน่าฝนปล่าไคเต่มท่อง
แมสิจ้องเอ่าม่าให่หนู

ได้กะปู่ แมสิเอ่าม่าลาบ

นกกระจาบเข่าม่าจิ๋กกิ่นเข่า

21

แมสิเอ่าตั๋บมั่นม่าปิ้ง
บักหัวลิ่ง แมสิให่กิ่นหวาน

ยอดบักต่าลกะสิม่าจิ้มแจว

กั๋บม่าแล่วสิม่าอุ้มลูกหล่า
กั๋บจากน่าสิพ่าค่วยเข่าคอก

ยอดผั๋กหนอกเอ่าม่าจิ้มแจวบ่อง


เพลง: ไก่เถื่อน
ฮาเอ้อ…เหอ…ไก่เถื่อนเหอ ขันเทือนทั้งบ้าน

ลูกสาวขี้คร้าน นอนให้แม่ปลุก

ฉวยได้ด้ามขวาน แยงวานดังพลุก
นอนให้แม่ปลุก ลูกสาวขี้คร้านงาน… เหอ



2.เพื่อศึกษำกลวิธีกำรใช้ภำษำในแต่ละภำค

2.1.วิเคราะห์การซ้ าค าเป็นกลวิธีที่ใช้ค าค าเดียวกันซ้ าในค าประพันธอาจจะวางติดกันแบบค าซ้ าหรือวางไว้
แยกจากกัน แต่เป็นระเบียบเรียบร้อย โดยเพลงที่เกิดการซ้ าค า ของเพลงกล่อมเด็กมีจ านวน 10 เพลง ดังนี้

ภาคเหนือ
เพลง: อื่อ จาจา

อื่อ อื่อ จา จา หลับสองต๋า

แม่ไปนานอกบ้าน ไปเก็บบ่าส้าน
ใส่ซ้ามาแขวน ไปเก็บบ่าแหน

ใส่ซ้ามาต้อน น้องอย่าไห่อ้อน
แม่ไปไฮ่บ่มา อื่อน้องหลับสองต๋า

นอนจ๋าตี่ตี๋ ตี่ตี๋ติดกัน
หลับเมื่อวัน น้องอย่าไปอ้อน

อื่อ อื่อ อ้อน หื้อหลับเสียเตอะนาย

ตัวอย่างการซ้ าค า
“ไปเก็บบ่าส้าน ไปเก็บบ่าแหน

ใส่ซ้ามาแขวน ใส่ซ้ามาต้อน”

เป็นการค าซ้ าที่มีความหมายผิดไปจากค ามูลเดิมแต่ยังคงมีเค้าของความหมายเดิมการซ้ าค าตรงนี้มันท าให้เห็น
ความหมายของค าชัดขึ้น

22

เพลง: สิกจุ่ง จา
สิกจุ่งจา อีหล้าจุ่งจ๊อย ขึ้นดอยน้อย ขึ้นดอยหลวง เก็บผักขี้ขวง ใส่ซ้าทังลุ่ม เก็บฝักกุ่ม ใส่ซ้าทั้งสน เจ้านายตน

มาปะคนหนึ่ง ตีตึ่งตึง หื้ออย่าสาวฟังควักขี้ดัง หื้ออย่าสาวจูบ แปงตูบน้อย หื้ออย่าสาวนอน ขี้ผองขอน หื้ออย่าสาวไหว้

ร้อยดอกไม้ หื้ออย่าสาวเหน็บ จักเข็บขบหู ปูหนีบข้าง ช้างไล่แทง แมงแกงขบเขี้ยว เงี้ยวไล่แทง ตกขุมแมงดิน
ตีฆ้องโอ้โอ นอนสาเหนอ

ู่
หลับตาสาเหนอ เจ้าบ่นอนอนี่ หนีไปนอนอู่ใหม่ นอนสาเหนอ
ู่
หลับตาสาเหนอ อู่เมืองเจียงใหม่ แม่นอสายไหม อู่เมืองไทย
แม่นอู่สายด้าน อู่เมืองด่านซ้าย แม่นอู่สายปอ นอนเหนอหล้า
เจ้าอาดลาดทาดใหญ่หนองคาย พ่อเจ้านี่เหนอ

ดินโลมในพะทายโลมยอก จ าพอกแล้ว

เอาแก้วขึ้นไส่จอม เหลียวไปไกล แสงไฟพมพู เอิ้นหาปู่บ่มีผู้จา
เอิ้นหาตาบ่มีผู้ปาก ล าบากน้อยเที่ยวค่ าเที่ยวคืน

พ่อเจ้าแบกฟืนหนัก ซ้าผักผักเฮี่ย ทั้งเจี่ยน้อง ฝนซ้ าผัดริน

นอนสาเหนอ หลับตาสาเหนอ
ตัวอย่างการซ้ าค า

"ขึ้นดอยน้อย ขึ้นดอยหลวง"

"หื้ออย่าสาวจูบ หื้ออย่าสาวนอน หื้ออย่าสาวไหว หื้ออย่าสาวเหน็บ"
"อู่เมืองเจียงใหม่ แม่นอู่สายไหม อู่เมืองไทย
แม่นอู่สายด้าน อู่เมืองด่านซ้าย แม่นอู่สายปอ"

เป็นการค าซ้ าที่มีความหมายผิดไปจากค ามูลเดิมแต่ยังคงมีเค้าของความหมายเดิมการซ้ าค าตรงนี้มันท าให้เห็นความ

หมายของค าชัดขึ้น


"นอนสาเหนอ นอนสาเหนอ"

"หลับตาสาเหนอ หลับตาสาเหนอ"
เป็นการซ้ าค าเพื่อเน้นน้ าหนักให้มากขึ้น


เพลง:เจ้านรหอย

เจ้านรหอยเอย เจ้าขี่ช้างน้อยไปสอยดอกแค
สอยไดอามาให้แม่ ดอกแคของข้า

ระย้าระโหยงเอ๊ย ดอกแคของข้า

ตัวอย่างการซ้ าค า
"ดอกแคของข้า ดอกแคของข้า"

เป็นการซ้ าค าเพื่อเน้นน้ าหนักให้มากขึ้น

23

เพลง: นอนสาเหนอ
โอ้โอ นอนสาเหนอ

ู่
หลับตาสาเหนอ เจ้าบ่นอนอนี่ หนีไปนอนอู่ใหม่ นอนสาเหนอ
หลับตาสาเหนอ อู่เมืองเจียงใหม่ แม่นอู่สายไหม อู่เมืองไทย
แม่นอู่สายด้าน อู่เมืองด่านซ้าย แม่นอู่สายปอ นอนเหนอหล้า

เจ้าอาดลาดทาดใหญ่หนองคาย พ่อเจ้านี่เหนอ
ดินโลมในพะทายโลมยอก จ าพอกแล้ว

เอาแก้วขึ้นไส่จอม เหลียวไปไกล แสงไฟพมพู เอิ้นหาปู่บ่มีผู้จา
เอิ้นหาตาบ่มีผู้ปาก ล าบากน้อยเที่ยวค่ าเที่ยวคืน

พ่อเจ้าแบกฟืนหนัก ซ้าผักผักเฮี่ย ทั้งเจี่ยน้อง ฝนซ้ าผัดริน

นอนสาเหนอ หลับตาสาเหนอ
ตัวอย่างการซ้ าค า

"หลับตาสาเหนอ หลับตาสาเหนอ"

เป็นการซ้ าค าเพื่อเน้นน้ าหนักให้มากขึ้น
"อู่เมืองเจียงใหม่ แม่นอู่สายไหม อู่เมืองไทย แม่นอู่สายด้าน อู่เมืองด่านซ้าย"

เป็นการค าซ้ าที่มีความหมายผิดไปจากค ามูลเดิมแต่ยังคงมีเค้าของความหมายเดิม
การซ้ าค าตรงนี้มันท าให้เห็นความหมายของค าชัดขึ้น


ภาคอีสาน

เพลง: เจ้านรหอย

เจ้านรหอยเอย เจ้าขี่ช้างน้อยไปสอยดอกแค
สอยไดอามาให้แม่ ดอกแคของข้า

ระย้าระโหยงเอ๊ย ดอกแคของข้า

ระย้าระโหยงเอ๊ย
ตัวอย่างการซ้ าค า

"ดอกแคของข้า ดอกแคของข้า"
เป็นการซ้ าค าเพื่อเน้นน้ าหนักให้มากขึ้น


เพลง: แมวโพง

นอนเด้อหล่า หลับตาเเม่สิกล่อม

เจ้าบ่นอน บ่ไห้กินกล้วย
เเม่ไปห้วย หาซ่อนปลาซิว

เก็บผักติ้ว มาไส่เเกงเห็ด

ไปไส่เบ็ด เอาปลาข่อใหญ่

24

อย่าร้องให้ เเมวโพงสิจ๊กตา
เจ้านอนซ่า เเมวโพงสิจ๊ก

เจ้านอนค่ า แมวโพงสิจ๊กก้น

ติง ลิง ติ่ง ลิง ติ้ง ลิง ติง
สิงลูกเเก้ว นอนนาน าพ่อ

สิงลูกเเก้ว กินเเล้วจั่งนอน
ติง ลิง ติ่ง ลิง ติ้ง ลิง ติง

ลิงตกส่าง หางซันจิ่งดิ่ง
ตกก้นคุ อย่าขี้กลางคืน

ขี้กลางคืน ย่านเสือมาพ่อ

ขี้มื่อเช้า ย่านเเมวเป้ามาเห็น
ยามกลางเวน จั่งขี้จั่งเหยี่ยว

เอ้อ เฮอ เออ เฮอะ เอ้อ เฮอะ เออ...

นอนสาหล่า หลับตาแม่สิกล่อม
ตัวอย่างการซ้ าค า

"เเมวโพงสิจ๊กตา เเมวโพงสิจ๊ก แมวโพงสิจ๊กก้น"
"เจ้านอนซ่า เจ้านอนค่ า"

เป็นการค าซ้ าที่มีความหมายผิดไปจากค ามูลเดิมแต่ยังคงมีเค้าของความหมายเดิม
การซ้ าค าตรงนี้มันท าให้เห็นความหมายของค าชัดขึ้น

"สิงลูกเเก้ว สิงลูกเเก้ว"

เป็นการซ้ าค าเพื่อเน้นน้ าหนักให้มากขึ้น


เพลง : นอนสาหล่า

นอนสาหล่า หลับตา แมสิก็อม
เอ๋าะ ออม อ้อย แม่วน่อยตอดนวยต่าด่ ามั่นเด้อ....

แมไป่ไฮกะสิไป่หาปล่า
แมไป่น่าสิหาของม่าฝาก

ตัวอย่างการซ้ าค า
"แมไป่ไฮกะสิไป่หาปล่า แมไป่น่าสิหาของม่าฝาก"

เป็นการค าซ้ าที่มีความหมายผิดไปจากค ามูลเดิมแต่ยังคงมีเค้าของความหมายเดิม

การซ้ าค าตรงนี้มันท าให้เห็นความหมายของค าชัดขึ้น

25

ภาคกลาง

เพลง: จันทร์เจา
จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง

ขอแหวนทองแดง ผูกมือน้องข้า
ขอช้างขอม้าให้น้องข้าขี่ ขอเก้าอี้ให้น้องข้านั่ง

ขอเตียงตั่งให้น้องข้านอน ขอละครให้น้องข้าดู
ขอยายชูเลี้ยงน้องข้าเถิด ขอยายเกิดเลี้ยงตัวข้าเอง

ตัวอย่างการซ้ าค า
"ขอแหวนทองแดง ขอช้างขอม้าให้น้องข้าขี่ ขอเก้าอี้ให้น้องข้านั่ง

ขอเตียงตั่งให้น้องข้านอน ขอละครให้น้องข้าดู ขอยายชูเลี้ยงน้องข้าเถิด ขอยายเกิดเลี้ยงตัวข้าเอง"

เป็นการค าซ้ าที่มีความหมายผิดไปจากค ามูลเดิมแต่ยังคงมีเค้าของความหมายเดิม
การซ้ าค าตรงนี้มันท าให้เห็นความหมายของค าชัดขึ้น



ภาคใต้
เพลง: พระสังข์

ฮาเอ้อ…เหอ…พระสังข์เหอ สมเพทเวทนาลูกหอยสังข์
เขาเกลียดเขาชัง พระสังข์อยู่ในรูปเงาะ


คนทั้งเพเขาเดนดิน พระสังข์เนื้อนิลถือไม้เท้าเหาะ
พระสังข์อยู่ในรูปเงาะ เหาะตามนางรจนา…เหอ…

ตัวอย่างการซ้ าค า

"พระสังข์เนื้อนิลถือไม้เท้าเหาะ พระสังข์อยู่ในรูปเงาะ"
เป็นการค าซ้ าที่มีความหมายผิดไปจากค ามูลเดิมแต่ยังคงมีเค้าของความหมายเดิม

การซ้ าค าตรงนี้มันท าให้เห็นความหมายของค าชัดขึ้น


เพลง: ไปคอน

ฮาเอ้อ….เหอ…ไปคอนเหอ ไปซื้อผ้าลายทองสลับ
ซื้อมาทั้งพับ สลับทองห่างห่าง

หยิบนุ่งหยิบห่ม ให้สมขุนนาง
สลับทองห่างห่าง ทุกหมู่ขุนนาง…เหอ…

ตัวอย่างการซ้ าค า

"สลับทองห่างห่าง"
"หยิบนุ่งหยิบห่ม"

เป็นการซ้ าค าเพื่อแสดงลักษณะส่วนใหญ่

26


2.2.วิเคราะห์การใชค าสัทพจน์ในบทเพลง
สัทพจน์ คือ การใช้ถ้อยค าที่เลียนเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงดนตรีเสียงร้องของสัตว หรือเลียนเสียงกิริยาอาการต่าง ๆ

ของคน การใช้ภาพพจน์ประเภทนี้ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการเขียน จะช่วยสื่อให้ผู้รับสารรู้สึกเหมือนได้ยินเสียง

โดยธรรมชาติของสิ่งนั้น ๆ และเห็นกิริยาอาการของสิ่งนั้น ๆ ด้วย
ภาคเหนือ พบจ านวน1เพลง

เพลง: สิกก้องก๋อ
สิกก้องก๋อ ยอมะแคว้ง มะแคว้งสุก ป๋าดุกเน่า หัวเข่าป๋ม หัวนมปิ้ว ปิ๊กจะลิว ตกน้ าแม่ก๋อง ควายลงหนอง ทะล่มบ้มบั้ม

ตัวอย่างการใช้ค าสัทพจน์
“ควายลงหนอง ทะล่มบ้มบั้ม”

ค าว่า “ทะล่มบ้มบั้ม” เป็นค าสัทพจน์ที่สื่อถึงเสียงของควายย่ าโคลน


ภาคอีสาน พบจ านวน1เพลง

เพลง: นอนสาเดอ

นอนสาเดอหลับตาจ้วยจ้วย เขามาขายกล้วยแม่ซื้อให้กิน
เจ้าสุบินนอนสาลูกแก้ว นอนอู่แล้วในอู่สายไหม

นอนอู่สิไกวไปไวไป นอนอู่ไทยไกวไปโตนเตน
ตัวอย่างการใช้ค าสัทพจน์

“นอนอู่ไทยไกวไปโตนเตน”
ค าว่า “โตนเตน” เป็นค าสัทพจน์ที่สื่อถึงเสียงของเปลที่ไกวไปมา



ภาคกลางไม่พบการใช้ค าสัทพจน์ในบทเพลง


ภาคใต้ พบจ านวน1เพลง

เพลง: ไก่เถื่อน
ฮาเอ้อ…เหอ…ไก่เถื่อนเหอ ขันเทือนทั้งบ้าน

ลูกสาวขี้คร้าน นอนให้แม่ปลุก
ฉวยได้ด้ามขวาน แยงวานดังพลุก

นอนให้แม่ปลุก ลูกสาวขี้คร้านงาน… เหอ
ตัวอย่างการใช้ค าสัทพจน์

“ฉวยได้ด้ามขวาน แยงวานดังพลุก”

ค าว่า “ดังพลุก” เป็นค าสัทพจน์ที่สื่อถึงเสียงของการแทงก้นหลาน

27

บทที่5

สรุป อภิปรำยผล และข้อเสนอแนะ


การศึกษาค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับเพลงกล่อมเด็กสี่ภาค

มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาค้นคว้าเพื่อศึกษาแนวคิดของเพลงกล่อมเด็กสี่ภาค
และศึกษากลวิธีการใช้ภาษาในแต่ละภาคที่มีความแตกต่างกัน

โดยแหล่งข้อมูลหรือกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือเว็บไซต์ออนไลน์

และหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเพลงกล่อมเด็กของแต่ละภาค ซึ่งได้ก าหนดวิธีการศึกษา ตามขั้นตอนดังนี้ คือ
1. ผู้วิจัยได้ท าการค้นคว้าหาข้อมูลจากหลายๆแหล่ง และรวบรวมที่ได้มาจากแต่ละแหล่งนั้น

2. ผู้วิจัยท าน าข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลมาเปรียบเทียบและประเมินค่าว่าเป็นข้อมูลที่แท้จริง
น่าเชื่อถือ และมีความเป็นไปได้เพียงใด

3. คณะผู้จัดท าน าข้อมูลที่ผ่านการประเมินค่า มาจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่ของตามแต่ละภาค

4. คณะผู้จัดท าพยายามหาความสัมพันธ์ของประเด็นต่างๆ และตีความข้อมูลนั้นๆ
5. การเรียบเรียงและการน าเสนอ



กำรสรุปผลข้อมูล


คณะผู้จัดท าได้สรุปผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ในการศึกษาค้นคว้า ดังรายละเอียดต่อไปนี้

1. ผลการศึกษาแนวคิดจากเพลงกล่อมเด็กในแต่ละภาคที่มีความแตกต่างกัน

จากการศึึกษาเพลงกล่อมเด็กของทั้งสี่ภาค โดยคณะผู้วิจัยแบ่งแนวคิดออกเป็น 6 แนวคิด คือ
1. ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับด้านความเชื่อ ได้แก่ความเชื่อเกี่ยวในเรื่องการขอพรกับพระจันทร์ เช่น

เพลงจันทร์เจ้า ได้แก่ ความเชื่อเกี่ยวกับในเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าเมื่อเกิดมาจะมีแม่ซื้อคอยคุ้มครองอยู่

ซึ่งความเชื่อนี้ก็ยังมีความเชื่อกันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้มิได้ถูกทอดทิ้งเด็กก็จะคลายกังวลและหลับในที่สุดและยังสะท้อน


ให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องที่วาเดกเมื่อเกิดมาจะมีแม่ซื้อ(เทวดา)คอยปกป้องคุ้มครองไม่ให้ได้รับอันตรายเช่น
เพลงนอนเสียน้องนอน
2.ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับด้านความรักของแม่ที่มีต่อลูกได้แก่แนวคิดที่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ที่อ่อนไหวของ

ความรักของแม่ที่มีต่อลูกความห่วงใยกังวลต่างๆพร้อมกันนั้นก็สอดแทรกการอบรมให้มีความเมตตากรุณาต่อสัตว์

ต่างๆ เช่น เพลงเจ้านรหอย ได้แก่แนวคิดด้านความรักของแม่ที่มีต่อลูกที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน เช่น เพลงนกกาเหว่า

3.ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับด้านธรรมชาติและสัตวได้แก่แนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติและสัตว์ที่น ามาเปรียบเทียบ
กับสิ่งต่างๆ เช่น เพลงนกกาเหว่า นกเขาขัน นกขมิ้น
4.ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับด้านวิถีชีวิตเนื้อหาแนวคิดกล่าวถึงเกี่ยวกับการประกอบอาชีพสะท้อนให้เห็นถึง

การท านาของของคนภาคเหนือ และ ทอผ้าของคนภาคใต้ เช่น เพลงอื่อ จาจา เพลงไปคอน

28

5.ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับด้านนิทานวรรณคดีไดแก่แนวคิดเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านหรือวรรณคดี

เป็นการยกนิทานพื้นบ้านมาสอนในเรื่องของการมองคนหรือการเลือกคบคนอย่ามองคนเพียงแค่รูปลักษณ์

ภายนอกให้มองลึกไปถึงจิตใจความรู้สึกนึกคิดความรู้ความสามารถของคนๆนั้นด้วยอย่างเช่นพระสังข์เป็นคดี มีความรู้

ความสามารถ แต่ท้าวสามลไม่ชอบ เนื่องจากรูปลักษณ์ที่เห็นภายนอก เป็นคนยากจน รูปชั่วตัวด า จึงไม่ยอมรับเป็นเขย
เช่นเพลงพระสังข์

6.ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับด้านสังคมได้แก่เพลงกล่อมเด็กที่สะท้อนสภาพสังคมของคนในแต่ละภาคที่มีความ
แตกต่างกัน มีจ านวน 4 เพลง เพลงนอนสาเหนอ เพลงนอนสาเดอ นอนสาหล่า เพลงไก่เถื่อน

2. ผลการศึกษากลวิธีการใช้ภาษาในแต่ละภาค คณะผู้วิจัยได้วิเคราะห์ออกเป็น 2 ประเด็นคือ
2.1.วิเคราะห์การซ้ าค าเป็นกลวิธีที่ใช้ค าค าเดียวกันซ้ าในค าประพันธ์


อาจจะวางติดกันแบบค าซ้ าหรือวางไว้แยกจากกันแต่เป็นระเบียบเรียบร้อย โดยเพลงที่เกดการซ้ าค า
ของเพลงกล่อมเด็กมีจ านวน 10 เพลง ดังนี้ เพลงอื่อ จาจา เพลงสิกก้องก๋อ เพลงสิกจุ่งจา เพลงเจ้านรหนอย
นอนสาเหนอ เพลงเจ้านรหอย เพลงแมวโพรง เพลงนอนสาหล่า เพลงจันทร์เจ้า เพลงพระสังข์ เพลงไปคอน

2.2วิเคราะห์ค าสัทพจน์ที่พบในเพลงกล่อมเด็กเป็นกลวิธีการใช้ถ้อยค าที่เลียนเสียงธรรมชาติเช่น

เสียงดนตรีเสียงร้องของสัตว์หรือเลียนเสียงกิริยาอาการต่างๆของคนการใช้ภาพพจน์ประเภทนี้ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือ
การเขียน จะช่วยสื่อให้ผู้รับสารรู้สึกเหมือนได้ยินเสียง โดยธรรมชาติของสิ่งนั้น ๆ และเห็นกิริยาอาการของสิ่งนั้น ๆ

ด้วย มี3เพลงดังนี้ เพลงสิกก้องก๋อ เพลงนอนสาเดอ และเพลงไก่เถื่


ข้อเสนอแนะในกำรศึกษำค้นคว้ำครั้งต่อไป

1. ควรศึกษาเพลงกล่อมเด็กทั้งสี่ภาค แล้วน ามาเปรียบเทียบด้านวรรณศิลป์ระหว่างเพลงกล่อมเด็กของแต่ละภาค

2. ควรศึกษาคติชาวบ้านในด้านอื่นๆ เช่น ด้านความเชื่อ ค่านิยม ประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละภาค

บรรณำนุกรม


กรมศิลปากร. บทเห่กล่อมพระบรรทม บทกล่อมเด็ก บทปลอบเด็ก และบทเด็กเล่น. พิมพ์เป็นอนุสรณ์
ในงานฌาปนกิจศพ นางศิริวงศ์ ปริชญานนท์ ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยาราม 30 พฤศจิกายน 2513.
พระนคร : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2513.

ประคอง นิมมานเหมินท์. ค าขับลูกอ่อน ภาพชีวิตละภูมิปัญญากสือในบทเพลงส าหรับเด็ก.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุพาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553.
ผะอบ โปษะกฤษณะ, คุณหญิง. เพลงกล่อมเด็กและเพลงประกอบการเล่นของเด็กภาคกลาง 16 จังหวัด.

กรุงเทพฯ : ส านักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, 2527.
เพลินพิศ ก าราญ. "พระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์."
ศิลปากร 26, 5 (พ.ย. 2525) : 1-35.
ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. คีตวรรณกรรม. พิมพ์เผยแพร่ในการ
ประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมทักษะการสอนภาษาไทยแนวคีตวรรรณกรรม.

กรุงเทพฯ :อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ, 2530.สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้.
กรุงเทพฯ : มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542.
สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคหนือ.

กรุงทพฯ : มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542.
สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน.
กรุงเทพฯ : มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542.เอนก นาวิกมูล.
เพลงนอกศตวรรษ. กรุงเทพฯ : การเวก, 2521.คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ.วัฒนธรรม

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดนครศรีธรรมราช : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2544.
เจริญศรี บุญสว่าง. วรรณกรรมพื้นบ้าน วันเปิดขุมทรัพย์วรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้.
สารจังหวัดนครศรีธรรมราช. ปีที่ 36 ฉบับที่ 10 ตุลาคม 2549. : 64.
จ าเริญ แสงดวงแข.

โลกทรรศน์ชาวไทยภาคใต้ที่ปรากฎในเพลงกล่อมเด็ก. สงขลา : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒสงขลา, 2523.
ทศยศ กระหม่อมแก้ว. พระเจ้าตากฯ สิ้นพระชนม์ที่เมืองนคร. : ร่วมด้วยช่วยกัน, 2550.
มานพ แก้วสนิท. ภูมิปัญญาตายาย. 2. กรุงเทพฯ : บุ๊คแบงค์, 2545.

วันเนาว ยูเด็น. เพลงชาน้อง. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพาณิช, 2533.


Click to View FlipBook Version