The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wichutawannakid0210, 2021-01-25 05:19:46

โครงงานไทยข้อห้ามความเชื่อ





การศกษาแนวคดเกี ยวกบข้อหาม-ความเชื อ
ของคนไทยสมัยกอนที ส่งผลตอวิถีชีวิตและ





คานิยมของสังคมไทยในปจจบัน

คณะผู้จัดทา




นาย ศภวิชญ แคลวคลอง เลขท 7 ม.6/2





นางสาว สมิตานนท ปราบใหญ เลขท 21 ม.6/2




นางสาว จิรัตตกาล ศริชม เลขท 23 ม.6/2




นางสาว วิชตา วรรณกจ เลขท 24 ม.6/2



ผู้สอน




นายธิรพงษ คงดวง




รายงานโครงงานฉบับนี เปนส่วนหนึงของรายวิชา


(ท 33102) ภาษาไทย


ภาคเรียนท 2 ปการศกษา 2563



โรงเรียนทปราษฏร์พิทยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี




การศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับข้อห้าม-ความเชื่อของคนไทยสมัยก่อน


ที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตและค่านิยมของ สังคมไทยในปัจจุบัน



คณะผู้จัดท า


นาย ศุภวิชญ์ แคล่วคล่อง เลขที่ 7 ม.6/2



นางสาว สมิตานันท์ ปราบใหญ่ เลขที่ 21 ม.6/2


นางสาว จิรัตติกาล ศิริชุม เลขที่ 23 ม.6/2


นางสาว วิชุตา วรรณกิจ เลขที่ 25 ม.6/2




ผู้สอน นาย ธิรพงษ์คงด้วง






รายงานโครงงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา (ท 33102) ภาษาไทย


ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563


โรงเรียนทีปราษฎร์พิทยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ค ำน ำ





รายงานฉบับนเป็นส่วนหนึ่งของวิชา ท33102 ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่6จัดท าขึ้นเพื่อ
ี้
น าเสนอโครงงานภาษาไทย ในหัวข้อการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับข้อห้าม-ความเชื่อของคนไทยสมัยก่อนที่

ส่งผลต่อวิถีชีวิตและค่านิยมของสังคมไทยในปัจจุบันโดยได้ศึกษาผ่านแหล่งความรู้ต่าง ๆ อาทิเช่น หนังสือ
ห้องสมุด สอบถามจากผู้สูงอายุ และแหล่งความรู้จากเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยรายงานเล่มนี้ต้องมีเนื้อหา

เกี่ยวกับ ความเชื่อและข้อห้ามของคนไทยในสมัยก่อน





ในการนี้ต้องขอขอบคุณท่านผู้อ านวยการ ครูที่ปรึกษาและคณะครูทุกท่านที่ให้การสนับสนุน ใน
การจัดท าโครงงานในครั้งนี้เป็นอย่างดี ทางคณะผู้จัดท าจึงขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้








คณะผู้จัดท า


22 มกราคม 2564








กิตติกรรมประกาศ


โครงงานศึกษาวิจัยการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับข้อห้าม-ความเชื่อของคนไทยสมัยก่อนที่ส่งผลต่อ
วิถีชีวิตและค่านิยมของสังคมไทยในปัจจุบันฉบับนี้ส าเร็จลุล่วงได้ด้วยดีเพราะความกรุณาและ

ช่วยเหลืออย่างดียิ่งจากหลายๆ ท่าน คณะผู้วิจัยขอขอบพระคุณอาจารย์ธิรพงษ์ คงด้วง อาจารย์ที่

ปรึกษาโครงการวิจัยที่ได้ความกรุณาอย่างสูงในการให้ค าแนะน าค าปรึกษาและให้ความรู้ในการท า
วิจัย การตรวจทาน การแก้ไขและการเขียนโครงการวิจัยการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับข้อห้าม-ความเชื่อ

ของคนไทยสมัยก่อนที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตและค่านิยมของสังคมไทยในปัจจุบันจนส าเร็จลุล่วงด้วยดี
ตลอดจนความห่วงใยและเป็นก าลังใจให้แก่คณะผู้จัดท าเสมอมา

ขอขอบคุณนางสาว สมิตานันท์ ปราบใหญ่และครอบครัวที่ให้ความร่วมมือและเอื้อเฟื้อ
สถานที่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลรวมถึงการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆด้วยดีตลอดมา และ

ผู้สูงอายุทุกคนที่เสียสละเวลาในการมาให้สัมภาษณ์และให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมการจัดท า

โครงงาน
ขอขอบคุณครอบครัวที่ให้ปัจจัยสนับสนุนในการมาท าโครงงาน ขอบคุณศิลปินและดนตรีทั่ว

โลกที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการท างานและคณะผู้จัดท าขอขอบคุณตนเองที่ตั้งใจ อดทน และให้

ความร่วมมือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ท าให้สามารถท างานจนส าเร็จลุลวงไปได้ด้วยดี
คุณความดีหรือประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการวิจัยฉบับนี้ คณะผู้วิจัยขอมอบแด่ตนเองและผู้

มีพระคุณทุกท่านที่ให้ความช่วยเหลือตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบัน


นาย ศุภวิชญ์ แคล่วคล่อง
นางสาว สมิตานันท์ ปราบใหญ่

นางสาว จิรัตติกาล ศิริชุม

นางสาว วิชุตา วรรณกิจ

สารบัญ


หน้า


กิตติกรรมประกาศ ก


บทที่ 1 บทน า


ความเป็นมาและความส าคัญ 1


วัตถุประสงค์ 2


ขอบเขตของการศึกษา 2

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2


นิยามศัพท์เฉพาะ 2


บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง


ข้อห้าม 4


ความเชื่อ 4


วิถีชีวิตของคนไทย 7


บทที่ 3 วิธีการด าเนินวิจัย


ขั้นตอนการด าเนินวิจัย 12

แหล่งข้อมูล 12


การเก็บรวบรวมข้อมูล 12


การวิเคราะห์ข้อมูล 13


ระยะเวลาในการด าเนินการ 13

หน้า





บทที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูล


ความรู้เกี่ยวกับข้อห้าม 14

ความรู้เกี่ยวกับความเชื่อ 15


วิถีชีวิตของคนไทย 19


เกณฑ์/ประเด็นในการวิเคราะห์ 25


บทที 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ


การสรุปผล 26


อภิปรายผล 27


ข้อเสนอแนะ 29

บรรณานุกรม 30

สารบัญตาราง





ตารางที่ หน้า


1 ระยะเวลาในการด าเนินการ 16


2 ตัวอย่างข้อห้ามและความเชื่อ 20


3 ผลการศึกษาเกี่ยวกับข้อห้าม 26

ื่
4 ผลการศึกษาเกี่ยวกับความเชอ 27

สารบัญแผนภูมิ





หน้า


แผนภูมิที่ 1 แสดงผลการวิเคราะห์ข้อห้าม 28


แผนภูมิที่ 2 แสดงผลการวิเคราะห์ความเชื่อ 28

(1)






บทที่1
บทน ำ

ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญ

ในประเทศไทยสมัยก่อนข้อห้าม คือ กุศโลบายในการด าเนินชีวิตเพื่อป้องกันบางเหตุการณ์ที่

เป็นอันตรายต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ในสมัยนั้นจึงคิดกลวิธแนวคิดหรือความเชื่อส่งต่อและ

ถ่ายทอดต่อกันเพื่อป้องกันสิ่งเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น สังคมไทยผูกพันกับข้อห้ามมายาวนาน ตั้งแต่ข้อ

ห้ามเกี่ยวกับภูดิผีไปจนถึงข้อห้ามที่ผสมผสานกับหลักค าสอนทางศาสนา จารีตและประเพณีที่สืบต่อ
กันมา ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงมีให้เห็น เช่น ห้ามล้างมือต่อกันเพราะจะท าให้ทะเลาะกัน ห้ามผิวปากตอน

กลางคืนเพราะเป็นการเรียกผี ซึ่งข้อห้ามที่กล่าวมาข้างต้นนั้นโดยส่วนใหญ่มีที่มาที่ไปและเหตุผล

รับรองของข้อห้ามนั้นแต่คนในสังคมบางส่วนยังไม่ทราบถึงที่มาที่ไปหรือเหตุผลของข้อห้ามนั้นๆ
ชัดเจนมากนัก บ้างก็ยึดถือข้อห้ามต่าง ๆ จนเกิดความล าบากในชีวตประจ าวันเนื่องจากบางอย่างนั้น

ไม่ได้พัฒนาตามวิถีชีวิตและสังคมในปัจจุบัน
ความเชื่อเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับมนุษย์และถือว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งการด ารงชีวิต

ของมนุษย์ในสมัยโบราณที่มีความเจริญทางด้านวิชาการน้อยความเชื่อจึงเกิดขึ้นและการเปลี่ยนแปลง

ของวัฒนธรรมที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นการบันดาลให้เกิดจากอ านาจของเทวดาพระเจ้าปีศาจดังนั้นเมื่อเกิด
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ขึ้นเช่นฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แผ่นดินไหวต่าง ๆ ล้วนเป็นอิทธิพลที่มีผลต่อชีวิต

หรือความเป็นอยู่ของมนุษย์ซึ่งยากที่จะป้องกันหรือแก้ไขด้วยตนเองบางอย่างเป็นเหตุการณ์ที่อ านวย
ประโยชน์แต่บางเหตุการณ์เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์จึงพยายามค้นคิดวิธีที่เกิดผลในทางที่ดีและเกิด

ความสุขให้ตนเองท าให้เป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นนิติกรรมหรือศาสนาขึ้น

ข้อห้าม หมายถึง ข้อบังคับ ข้อจ ากัดหรือข้อก าหนดซึ่งข้อห้ามในสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึง
ปัจจุบันนี้มีมากมายทั้งที่เป็นค่านิยมเป็นธรรมเนียมแต่ละบ้านหรือสังคมแต่ละกลุ่มที่สืบต่อกันมาปาก

ต่อปากรุ่นต่อรุ่นเช่น ห้ามเหยียบหนังสือเพราะเป็นของสูง, ห้ามทานข้าวก่อนผู้ใหญ่ต้องให้ผู้ใหญ่เริ่ม
ทานก่อน, เด็กผู้หญิงห้ามพูดค าหยาบ, ผู้หญิงต้องท างานบ้านเนื่องจากในอดีตผู้ชายมักออกไปรบหรือ

ท างานนอกบ้าน ผู้หญิงจึงต้องรับผิดชอบงานในบ้านแทนแม้จะเป็นค่านิยมที่ล้าหลังและไม่เท่าเทียม

แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่หายไปซะทีเดียว และข้อห้ามทางกฎหมาย เช่น บทบัญญัติต่าง ๆ ที่คนในสังคม
หรือคนในการปกครองของประเทศหรือรัฐนั้น ๆ จะต้องปฏิบัติตาม หากไม่ท าหรือท าสิ่งที่กฎหมาย

ห้ามไว้จะได้รับบทลงโทษ
ความเชื่อ หมายถึง การยอมรับว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นความจริง หรือมีการด ารงอยู่จริง โดย

อาศัยประสบการณ์ตรง การไตร่ตรอง หรือการอนุมาน เช่น ถ้านกขี้ใส่หัวจะมีคนตาย คนใบหูใหญ่มัก

ร่ ารวยมีวาสนา ปลูกต้นว่านชี้ชะตาได้ ตาซ้ายกระตุกจะมีเคราะห์ร้าย ผึ้งท ารังในบ้านจะมีโชค เป็นต้น

(2)






ทั้งนี้ทางคณะผู้จัดท าจึงถือโอกาสได้จัดท าโครงงานและเรียบเรียงเนื้อหาเกี่ยวกับข้อห้าม
และความเชื่อของสังคมไทยที่มีผลต่อค่านิยมและวิถีชีวิตของคนในสังคมไทยในปัจจุบันเพื่อเป็น

แนวทางส าหรับผู้ที่สนใจและต้องการศึกษาเกี่ยวกับข้อห้ามและความเชื่อในสมัยก่อนของสังคมไทย


วัตถุประสงค์ในกำรศึกษำค้นคว้ำ
1. เพื่อรวบรวมข้อห้ามกับความเชื่อของคนสมัยโบราณ

2. เพื่อศึกษาเหตุผล ข้อเท็จจริงที่สนับสนุนข้อห้าม


ขอบเขตของกำรศึกษำค้นคว้ำ

ศึกษาจากสื่อออนไลน์ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ หนังสือเรื่องต านานเล่าขานโบราณห้ามท าในและ

เรื่องโบราณห้ามและสัมภาษณ์จากผู้ที่มีความรู้ในเรื่องข้อห้ามและความเชื่อสมัยโบราณซึ่งจะ
ท าการศึกษาตั้งแต่ข้อห้ามและความเชื่อในสมัยโบราณและข้อห้ามความเชื่อที่ยังคงหลงเหลืออยู่ใน


ปัจจุบัน รวมทั้งวถีชีวตของคนในสังคมปัจจุบันที่แตกต่างจากคนสมัยก่อนแต่ยังคงถือข้อห้ามต่าง ๆ ไว้

อยู่
ระยะเวลาในการศึกษา 1 เดือน


ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ

1. ได้รวบรวมข้อห้ามและความเชื่อของคนสมับโบราณ
2. ได้ศึกษาเหตุผลข้อเท็จจริงที่สนับสุนข้อห้ามและความเชื่อ



นิยำมศัพท์เฉพำะ
1. ความเชื่อ หมายถึงความเชื่อเป็นสิ่งที่เราเนี่ยโดนปลูกฝังมาตั้งแต่บรรพบุรุษ โดยที่บางที

เราเองก็ไม่ได้พิสูจน์หาความจริงว่าท าไมต้องเชื่อแบบนี้
2. ข้อเท็จจริง หมายถึง ข้อเท็จจริงก็คือหลักความจริงที่มีเหตุผลรองรับ

3. กุศโลบาย หมายถึง ค าพูดหรือการกระท าที่โน้มน้าวให้เราคล้อยตาม
4. ค่านิยม หมายถึง เป็นความคิดของคนในสังคมหนึ่งซึ่งนิยมอย่างมากอาจจะเปลี่ยนแปลง

ไปตามกาลเวลา

5. ข้อห้าม หมายถึง สิ่งที่ห้ามไม่ให้ปฏิบัติหรือกระท า ซึ่งข้อห้ามนี้ก็คือเป็นสิ่งที่ไม่ควรที่จะ
กระท า

(3)






บทที่ 2
เอกสำรที่เกี่ยวข้อง

ในการวิจัยเรื่อง การศึกษาแนวคิดเกี่ยวข้อห้ามของคนไทยสมัยก่อนที่ส่งผลต่อวิถีชีวิต

และค่านิยมของสังคมไทยในปัจจุบัน ครั้งนี้ ผู้จัดท าได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยจ าแนกเป็น

ความรู้หลัก ๆ ได้ดังนี้
1. ข้อห้าม

2. ความเชื่อ
3. วิถีชีวิตของคนไทย



1.ข้อห้ำม
ข้อห้ำม (พจนำนุกรมแปล ไทย-อังกฤษ NECTEC's Lexitron Dictionary ) ได้ให้

ความหมายของ ข้อห้าม ไว้ว่า ข้อจ ากัด, ข้อละเว้น, ข้อก าหนด, ข้อบังคับ เป็นการห้ามไม่ให้ท าสิ่งใด
สิ่งหนึ่ง มักจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการพูดหรือพฤติกรรม บนพื้นฐานของความรู้สึกทางวัฒนธรรมซึ่ง

คนทั่วไปมองว่าสิ่งดังกล่าวน่ารังเกียจหรือเป็นสิ่งที่ไม่ควรท า โดยข้อห้ามแต่ละอย่างปรากฏอยู่ในทุก

สังคม
สรุปได้ว่า “ข้อห้ำม” คือ ข้อบังคับห้ามไม่ให้กระท าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งข้อห้ามดังกล่าวเป็นสิ่งที่

ไม่ควรกระท า
วิถีชีวิต (พจนานุกรมแปล ไทย-อังกฤษ NECTEC's Lexitron Dictionary) ได้ให้

ความหมายของ วิถีชีวิต ไว้ว่า รูปแบบการด าเนินชีวิต (หรือเรียกทับศัพท์ว่า ไลฟ์สไตล์) หมายถึง วิถี


การดาเนินชีวิตของบุคคล โดยที่ลักษณะของพฤติกรรมต่าง ๆ จะเป็นตัวบ่งบอกถึง รูปแบบการด าเนิน
ชีวิต แต่ละแบบ พฤติกรรมในการเข้าสังคม ในการบริโภค ในการหาความบันเทิง การพักผ่อนหย่อน

ใจใช้เวลาว่าง และการแต่งตัว ล้วนเป็นส่วนประกอบของรูปแบบการด าเนินชีวิต รูปแบบการด าเนิน
ชีวิตจะถูกด าเนินเป็น อุปนิสัย เป็นวิธีประจ าที่กระท าสิ่งต่าง ๆ



ค่ำนิยม (วิกิพเดีย สารานุกรมเสรี) ได้ให้ความหมายของ ค่านิยม ไว้วา ในวิชาจริยศาสตร์
ค่านิยม แสดงถึงระดับความส าคัญของบางสิ่งหรือการกระท าบางอย่าง ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อตัดสินว่า
การกระท าใดดีที่สุด หรือการใช้ชีวิตอย่างใดดีที่สุด (จริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน) หรืออธิบาย

ความส าคัญของการกระท าที่แตกต่างกัน ระบบค่านิยมเป็นความเชื่อที่เป็นข้อห้าม (proscriptive)
และในทางที่ควรเป็น (prescriptive) มีผลกระทบต่อพฤติกรรมที่มีจริยธรรมของบุคคล หรือเป็น

พื้นฐานของกิจกรรมโดยเจตนาของเขา บ่อยครั้งค่านิยมหลักเป็นสิ่งที่เข้ม และค่านิยมรองมีความ

เหมาะสมแก่การเปลี่ยนแปลง

(4)






อาจนิยามค่านิยมได้ว่าเป็นความนิยมกว้างขวางที่เกี่ยวข้องกับการกระท าหรือผลลัพธ์ที่
เหมาะสม ฉะนั้น ค่านิยมจึงสะท้อนส านึกถูกผิดของบุคคล หรือสิ่งที่ "ควรจะ" เป็น กล่าวคือ ตัวแทน

ของค่านิยม เช่น "ทุกคนมีสิทธิเสมอกัน" "ความเป็นเลิศสมควรได้รับการเชิดชู" และ "บุคคลควร
ปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพและศักดิ์ศรี" เป็นต้น ค่านิยมมักมีอิทธิพลต่อทัศนคติและพฤติกรรม และ

ชนิดเหล่านี้ รวมถึงค่านิยมจริยธรรม/ศีลธรรม ค่านิยมลัทธิ/อุดมการณ์ (ศาสนา, การเมือง) ค่านิยม
สังคม และค่านิยมสุนทรียศาสตร์ มีการถกเถียงว่าค่านิยมที่ไมได้ตัดสินทางจิตใจอย่างชัดเจน เช่น

ปรัตถนิยมเป็นค่าในตัว (intrinsic) หรือไม่ และค่านิยมบางอย่าง เช่น ความอยากได้อยากมี

(acquisitiveness) ควรจัดเป็นความชั่วหรือคุณธรรม
สมัยโบรำณ (โครงการพจนานุกรมลองดู (Longdo Dict) ได้ให้ความหมายของ ค าว่า

สมัยโบราณ ไว้ว่า สมัยโบราณ ในความหมายที่เป็นสากล จะหมายถึง ช่วงเวลาที่มนุษย์รู้จักการตั้งถิ่น

ฐานถาวร สร้างอารยธรรม วัฒนธรรม อักษรต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งในแต่ละประเทศ สมัยโบราณจะมาถึง

เร็วหรือช้า จะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าชวงเวลาใดทีประเทศนั้นอยู่ในช่วงสร้างและประดิษฐ์อารยธรรมที่
จะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าอารยธรรมของประเทศนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ช่วงเวลานั้น ของประเทศนั้น ก็จะ
จัดอยู่ในช่วงสมัยโบราณ


2.ควำมเชื่อ

1.ความหมายของความเชื่อ

นางสาวภัคสิริ อิ่มปัญญาและคณะได้ให้ความหมายของความเชื่อเมื่อปีพ.ศ.2555ไว้ว่า
ค าว่า “ความเชื่อ” มีความหมายอยู่หลายความหมาย นักวิชาการและผู้รู้ได้ให้

ความหมายของความเชื่อไว้ในแง่มุมต่าง ๆ ดังนี้

ความเชื่อ คือ การยอมรับว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นความจริงหรือเป็นสิ่งที่เราไว้ใจ ความจริง
หรือความไว้วางใจที่เป็นรูปของความเชื่อนั้น ไม่จ าเป็นว่าจะต้องเป็นความจริงที่ตรงตามหลักเหตุผล

หรือหลักวิทยาศาสตร์ใด ๆ คนที่เชื่อในฤกษ์ยามก็จะถือว่า วันเวลาการโคจรของดวงดาวจะก่อให้เกิด
ผลต่อตัวมนุษย์ คนที่เชื่อเครื่องรางของขลังก็จะมีความยึดมั่นว่า เครื่องรางของขลังให้คุณให้โทษแก่

ตนได้จริง ตัวอย่างของความเชื่อ ได้แก่ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ โชคลาง ของขลัง ผีสาง นางไม้ ความ
เชื่ออ านาจลึกลับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เหล่านี้เป็นต้น


ธวัช ปุณโณทก ได้กล่าวถึงความเชื่อไว้วา ความเชอ คือ การยอมรับอันเกิดอยู่ในจิตส านึก
ื่
ของมนุษย์ต่อพลังอ านาจเหนือธรรมชาติ ที่เป็นผลดีหรือผลร้ายต่อมนุษย์นั้น ๆ หรือสังคมมนุษย์นั้น ๆ
แม้ว่าพลังอ านาจเหนือธรรมชาติเหล่านั้น ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง แต่มนุษย์ในสังคม

หนึ่งยอมรับและให้ความเคารพเกรงกลัวสิ่งเหล่านี้ เรียกว่าความเชื่อ ฉะนั้นความเชื่อจึงมีขอบเขต

กว้างขวางมาก ไม่เพียงแต่จะหมายถึงความเชื่อในดวงวญญาณทั้งหลาย (belief in spiritual beings)


(5)






ภูตผี คาถาอาคม โชคลาง ไสยเวทต่าง ๆ ยังรวมถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มนุษย์ยอมรับนับถือ เช่น
ต้นไม้ (ต้นโพธิ์ ต้นไทร) ป่าเขา เป็นต้น

ความเชื่อ หมายถึง เห็นตามด้วย มั่นใจ ไว้ใจ นับถือ และในลักษณะคล้ายกันนี้ มานิต

มานิตเจริญ กล่าวว่าความเชื่อหมายถึง เห็นจริงดวย วางใจ ไว้ใจ มั่นใจ และนับถือ

2. ประเภทของความเชื่อ

โรคีช (M. Rokeach ) ได้จัดแบ่งประเภทของความเชื่อว่ามี 4 ประเภท ได้แก่

1) ความเชื่อตามที่เป็นอยู่ เป็นการเชื่อในสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่า จริง-เท็จ ถูก-ผิด เชื่อว่าโลกกลม
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก เป็นต้น

2) ความเชื่อเชิงประเมินค่า เป็นความเชื่อที่แฝงความรู้สึก รวมทั้งมีการประเมินในขณะเดียวกัน

เช่น เชื่อว่าบุหรี่เป็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นต้น
3) ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่ควรท าและควรห้าม เป็นความเชื่อว่าสิ่งใดที่พึงปรารถนา-ไม่พึง

ปรารถนา เช่น เชื่อว่าเด็กควรเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ เป็นต้น
4) ความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุ เป็นความเชื่อในสภาพที่ก่อให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามมา เช่น

เชื่อว่าการตัดไม้ท าลายป่าท าให้เกิดความแห้งแล้ง การสร้างเขื่อนเป็นการท าลายสิ่งแวดล้อมตาม
ธรรมชาติ เป็นต้น

ทั้งนี้ประเภทของความเชื่อตามแบบของสังคมไทย จากการศึกษาพบว่า สังคมไทยมี


ความเชื่อที่หลากหลาย หากจะแบ่งประเภท อาจแบ่งออกได้เปน 7 ประเภทใหญ่ ดังนี้
1) ความเชื่อเกี่ยวกับลัทธิและศาสนา เช่น เชื่อในเรื่องการท าสมาธิเพื่อรักษาโรค เชื่อในพลัง

อ านาจ ของพระเจ้า เชื่อในเรื่องนรก-สวรรค์ เชื่อในเรื่องบาป-บุญ ด่าพ่อแม่ชาติหน้าปากจะเท่ารู

เข็มเป็นต้น
ิ์
2) ความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ผีสางเทวดา และสิ่งศักดสิทธิ์ เช่น เชื่อในเรื่องคาถาอาคม
การท าเสน่ห์ การเสกตะปูเข้าท้อง การเสดาะเคราะห์ เชื่อในเรื่องผีบ้านผีเรือน ผีปอบ ผีแม่หม้าย หรือ
เชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลัง บั้นไฟพญานาค หรือสิ่งที่มีปาฏิหาริย์ต่างๆ

3) ความเชื่อเกี่ยวกับโหราศาสตร์ โหงวเฮ้ง และฮวงจุ้ย เช่น เชื่อในเรื่องของการดูดวงชะตา
ดูลายมือ เชื่อในเรื่องบุคลิกลักษณะสัมพันธ์กับชีวิต หรือสิ่งแวดล้อมที่ท างานและที่อยู่อาศัยสัมพันธ์

การด าเนินชีวิต

4) ความเชื่อเกี่ยวกับโชคลางและฤกษ์ยาม เช่น เชื่อในเรื่องของการไม่ตัดผมในวันพุธ การไม่
เดินทางไกลถ้าจิ้งจกทัก หรือ การหาฤกษ์ยามส าหรับการท างานมงคลต่าง ๆ

5) ความเชื่อเกี่ยวกับความฝันและค าท านายฝัน เช่น เชื่อว่าถ้าฝันว่าเห็นงู จะได้เนื้อคู่ ถ้าฝันว่า

ฟันหักญาติผู้ใหญ่จะเสียชีวิต ฝันเห็นคนตายจะเป็นการต่ออายุ

(6)






6) ความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การแห่นางแมวขอฝน การท าบุญขึ้นบ้านใหม่ งาน
บุญต่างๆ

7) ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่ควรท าและสิ่งที่ไม่ควรท า เช่น ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก
เอาไม้กวาดตีกันชีวิตจะไม่เจริญ กินข้าวเกลี้ยงจานจะได้แฟนสวยหรือหล่อ ห้ามปลูกต้นลั่นทม

ระก า ไว้ในบ้าน ให้ปลูกต้นมะยม มีคนนิยมชมชอบ ปลูกขนุน จะท าให้มีผู้สนับสนุนค้ าจุน


3. การเกิดและการเปลี่ยนความเชื่อ

1) การเกิดของความเชื่อ ความเชื่ออาจจะเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้
1.1) เกิดจากประสบการณ์ตรง เป็นความเชื่อที่บุคคลได้ประสบมาด้วยตนเอง อาจจะ

ด้วยความบังเอิญ เป็นเรื่องของธรรมชาติ หรือมีผู้ท าให้เกิดขึ้นก็ตาม ทั้งนี้อาจจะเป็นจริงหรือไม่เป็น

จริงก็ได ้
1.2) เกิดจากการได้รับข่าวสารต่อๆ กันมา หรืออ้างถึงค าโบราณที่ยึดถือกันมา หรือการ

โฆษณาชวนเชื่อ เป็นความเชื่อที่เกิดจากการค ากล่าวอ้างต่อ ๆ กันมาก หรืออ้างถึงค ากล่าวโบราณที่
เชื่อถือและยอมกันมา หรือใช้สื่อต่าง ๆ ในการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งสามารถโน้มน้าวให้ผู้ฟังเชื่อถือได้

1.3) เกิดจากการที่ได้ปฏิบัติสืบต่อ ๆ กันมาของคนรุ่นก่อน เป็นความเชื่อที่เกิดจาก
พิธีกรรม หรือการปฏิบัติที่ท าสืบต่อกันมา อาจถือเป็นเรื่องของวัฒนธรรมและประเพณีทางสังคม ซึ่ง

สร้างให้เกิดความเชื่อในกลุ่มคนได้ง่าย

1.4) เกิดจากการนึกคิดเอาเองตามความรู้สึกของตน เป็นความเชื่อที่คาดเดา หรือคิดเอา
เอง หรือรู้สึกไปเอง อาจจะไม่มีข้อมูลใด ๆ มาสนับสนุน

2) การเปลี่ยนความเชื่อ มีหลายปัจจัยที่ท าให้คนเปลี่ยนความเชื่อได้ ดังนี้

1.1) ประสบการณ์ตรง โดยที่ตนเองได้ประสบกับเหตุการณ์ หรือสิ่งใหม่อื่น ๆ ที่คัดค้าน
กับความเชื่อเดิม

1.2) ความเชื่อบางอาจได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วพบว่าไม่เป็นจริงตามที่
เชื่อถือ

1.3) การล้มเลิกพิธีกรรมหรือประเพณีการปฏิบัติบางอย่างที่ท าสืบต่อกันมา
1.4) การรู้จักใช้เหตุและผลในการวิเคราะห์ความเชื่อของตนเอง หรือปฏิบัติด้วยตนเอง

จนรู้ความเป็นจริง

สรุปได้ว่า “ควำมเชื่อ” ก็คือ สิ่งที่คนเชื่อมั่นในสิ่ง ๆ หนึ่งโดยไม่จ าเป็นต้องมีเหตุผลมารองรับ

ความเชื่อนี้ อาจจะมีหลักฐานเพียงพอที่จะพสูจน์หรือไม่มีหลักฐานที่จะน ามาช้พิสูจน์ได้ ซึ่งความ
เชื่อถือเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่มีการสืบทอดตามกันมาจากรุ่นสู่รุ่น

(7)






3. วิถีชีวิตของคนไทย
สังคมไทยในอดีตมีลักษณะเป็นสังคมจิตนิยม คือ คนในสังคมจะอยู่ร่วมกันแบบพี่น้องหรือเครือญาติ

มีการช่วยเหลือเกื้อกูล พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ประกอบอาชีพพึ่งพิงธรรมชาติประพฤติปฏิบัติตาม
หลักธรรมทางศาสนา ขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณีและวัฒนธรรมสังคมไทยในอดีตจึงมีลักษณะ

เป็นสังคมอยู่เย็นเป็นสุข ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมตามแนวทางการพัฒนา
สมัยใหม่ โดยเฉพาะการพัฒนาด้านเศรษฐกิจตามระบบทุนนิยม และมีการน าธุรกิจการเมืองมาใช้ใน

การด าเนินการทางการเมืองมากขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้น มีการท าลายทรัพยากรธรรมชาติและ

สิ่งแวดล้อม เกิดภาวะครอบครัวไม่อบอุ่น ชุมชนไม่เข้มแข็ง กาพึ่งตนเองลดลง ขาดคุณธรรมจริยธรรม
ในการท างานและการด ารงชีวิตส่งผลให้ศักยภาพของคนด้อยลง ซึ่งเกิดจากความเจริญด้านวัตถุ

มากกว่าความเจริญด้านจิตใจ ท าให้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมายสังคมไทยในปัจจุบันจึงมีลักษณะเป็น

สังคมอยู่ร้อนนอนทุกข์


วิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทย คือ การเป็นสังคมเกษตรกรรมที่ทุกคนอาศัยอยู่รวมกันเป็น
ชุมชนในระดับครอบครัว เป็นครอบครัวขยายที่มีคนหลายรุ่นอาศัยอยู่รวมกัน คือ รุ่นปู่ย่าตายาย

รุ่นพ่อแม่ รุ่นลูก รุ่นหลาน รวมทั้งมีญาติพี่น้องอาศัยอยู่ใกล้ชิดกัน โดยมีศูนย์กลางของชุมชน คือ
ศาสนสถาน เช่น วัด มัสยิด ผู้ใหญ่ในชุมชน เช่น พระ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ ได้รับการนับถือและเป็น

ผู้ตัดสินความขัดแย้งในชุมชน มีขนบธรรมเนียมประเพณี การละเล่น และความเชื่ออันเนื่องมาจาก

การเป็นสังคมเกษตรกรรม จากการนับถือศาสนาและความเชื่อดั้งเดิมเรื่องการนับถือผีสางเทวดา เมื่อ
เวลาผ่านไป สังคมมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความคิด ค่านิยม

อุดมการณ์ การเมืองการปกครอง และบรรทัดฐานทางสังคม ซึ่งมีผลให้วิถีชีวิตของคนไทยในสมัยต่าง

ๆ มีความแตกต่างกัน


1. วิถีชีวิตของคนไทยสมัยสุโขทัย
วิถีการด าเนินชีวิตของคนไทยสมัยสุโขทัยสามารถสรุปออกเป็นด้าน ๆ ได้ดังนี้

1) ด้านการเมืองการปกครอง ในระยะแรกผู้ปกครองสุโขทัยมีความใกล้ชิดกับประชาชน
เปรียบเสมือนกับพ่อปกครองลูก ต่อมาผู้ปกครองได้น าหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาปรับใช้ในการ

ปกครอง ท าให้ผู้ปกครองทรงเป็นธรรมราชา ปกครองโดยทศพิธราชธรรม

2) ด้านเศรษฐกิจ ชาวสุโขทัยมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ อาชีพที่ท า เช่น เกษตรกรรม
หัตถกรรม ค้าขาย มีการใช้เงินพดด้วงและเบี้ยเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

3) ด้านสังคมและวัฒนธรรม สังคมในสมัยสุโขทัยมีขนาดไม่ใหญ่มาก สังคมไม่ซับซ้อนเพราะ

ประชากรมีจ านวนน้อย ชนชั้นในสังคมแบ่งออกเป็นชนชั้นผู้ปกครอง ได้แก่ พระมหากษัตริย์ ขุนนาง

(8)






และผู้ถูกปกครอง ได้แก่ ราษฎร ทาส และพระสงฆ์ ชาวสุโขทัยมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก
ดังจะเห็นได้จากการฟังธรรมในวันพระ มีการสร้างวัด พระพุทธรูปจ านวนมาก และมีการแต่ง

วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา คือ ไตรภูมิพระร่วง



2. วิถีชีวิตของคนไทยสมัยอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น

วิถีชีวิตของคนไทยในสามช่วงเวลานี้กล่าวได้ว่ามีความคล้ายคลึงกันและไม่มีความ

แตกต่างกัน มากนัก การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทยที่เห็นได้ชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อมีการปรับปรุง
ประเทศให้ทันสมัยตามแบบตะวันตกตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา ส าหรับวิถีชีวิตของคนไทยใน

สมัยอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้นสรุปได้ดังนี้


1) ด้านการเมืองการปกครอง ในสมัยอยุธยาไดรับคติการปกครองแบบสมมติเทพมาจากเขมรที่
ผู้ปกครองเปรียบดังเทพเจ้า จึงมีข้อปฏิบัติตามกฏมณเฑียรบาลที่ท าให้ผู้ปกครองมีความแตกต่างจาก

ประชาชน เช่น การใช้ราชาศัพท์ การมีพระราชพิธีถือน้ าพระพิพัฒน์สัตยา เป็นต้น ความสัมพันธ์
ระหว่างผู้ปกครองกับราษฎรจึงห่างเหินกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองก็เป็นธรรมราชาด้วยเช่นกัน

ส าหรับประชาชนถูกควบคุมด้วยระบบไพร่ ต้องถูกเกณฑ์แรงงานให้กับทางราชการ
2) ด้านเศรษฐกิจ เป็นระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเองและยังชีพอยู่ได้ ราษฎรสามารถผลิต

สิ่งของที่จ าเป็นในชีวิตประจ าวันใช้เองในครัวเรือน การค้าขยายตัวไม่มากเพราะถูกผูกขาดโดยพระ

คลังสินค้า สินค้าของตะวันตกส่วนใหญ่ขายได้เฉพาะสินค้าบางประเภท เช่น อาวุธปืน กระสุนปืน
และสินค้าฟุ่มเฟือยที่ใช้ในราชส านักหรือส าหรับกลุ่มที่มีฐานะ การติดต่อค้าขายกับภายนอกมากขึ้น

ท าให้มีการจัดระเบียบหน่วยงานต่าง ๆ ชัดเจน เช่น มีกรมท่าและพระคลังสินค้าดูแลการติดต่อและ

การค้ากับต่างประเทศ การจัดระบบภาษีอาการและระบบเงินตรา
3) ด้านสังคมและวัฒนธรรม จากการติดต่อกับชุมชนภายนอก ไม่ว่าทางการค้า การท าสงคราม

รวมถึงมีชาวต่างชาติเข้ามารับราชการในราชส านัก ท าให้สังคมไทยสมัยอยุธยาได้รับอิทธิพลทาง
วัฒนธรรมประเพณีจากเขมร อินเดีย มอญ จีน ญี่ปุ่น เปอร์เซีย อาหรับ ยุโรป เช่น การก าหนดชนชั้น

ของคนในสังคม กฎหมาย ประเพณี พระราชพิธีและธรรมเนียมในราชส านัก วิถีการด าเนินชีวิตต่าง ๆ
เช่น การดื่มชา การใช้เครื่องถ้วยชาม เครื่องเคลือบ การปรุงอาหาร และขนมหวาน

ส าหรับพระพุทธศาสนายังคงมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยนี้เช่นเดียวกับสมัย

สุโขทัย โดยประชาชนมีประเพณีในชีวิตประจ าวันที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา เช่น การเกิด การ
อุปสมบท การแต่งงาน การตาย และประเพณีเกี่ยวกับสังคมเกษตรกรรม เช่น การท าขวัญแม่โพสพ

ส่วนผู้ที่นับถือศาสนาอื่นก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคม ดังจะเห็นได้จากการมีการมัสยิดและโบสถ์

คริสต์ ทั้งที่กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรีและกรุงเทพมหานคร และยังมีการสร้างสรรค์งานศิลปกรรม

(9)






วรรณกรรม ประเพณี เพื่อความส าคัญของพระพุทธศาสนาและความเป็นสมมติเทพของ
พระมหากษัตริย์


3. วิถีชีวิตของคนไทยสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปรับปรุงประเทศถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.

2475
ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลง

ไปจากสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นอย่างมากจากการรับวัฒนธรรมของชาติตะวันตก สาเหตุของการ

เปลี่ยนแปลงเกิดจากการที่ไทยท าสนธิสัญญาเบาว์ริงกับประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2398 และท า
สนธิสัญญากับชาติตะวันตกอื่น ๆ ท าให้มีการติดต่อกับชาติตะวันตกมากขึ้น ผู้น าการเปลี่ยนแปลงใน


ระยะแรก ได้แก่ ผู้ปกครองและชนชั้นสูง เช่น เจ้านาย ขุนนาง ต่อมาชนชั้นกลางไดมีบทบาทส าคัญใน
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทย
1) ด้านการเมืองการปกครอง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและรัชสมัย

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใกล้ชิดกับราษฎรมากขึ้น เช่น เสด็จประพาสหัวเมือง

บ่อยครั้ง อนุญาตให้ราษฎรเข้าเฝ้า ฯ ระหว่างเสด็จพระราชด าเนินได ให้ราษฎรมองพระพักตร์พระเจ้า
แผ่นดินและถวายฎีกาแก่พระองค์ได้โดยตรง ตลอดจนมีการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดิน แบ่ง
งานออกเป็นกระทรวง กรม ท าให้การฝึกคนเข้ารับราชการมากขึ้น

2) ด้านเศรษฐกิจ ข้าวกลายเป็นสินค้าออกอันดับหนึ่งของไทย มีการบุกเบิกที่ดินเพื่อใช้ปลูก


ข้าว เช่น บริเวณรังสิต ปรับปรุงระบบชลประทาน การขุดคูคลอง และการตั้งโรงสีข้าว โดยชาวจีนเปน
ผู้ค้าข้าวในประเทศและเป็นเจ้าของโรงสี ส่วนชาวยุโรปเป็นผู้ส่งออก

ต่อมาไทยผลิตสินค้าออกที่มีความส าคัญอีก 3 ประการ คือ ดีบุก ไม้สัก และยางพารา การ

เติบโตของการส่งออกดีบุก ท าให้มีชาวจีนอพยพเข้ามาเป็นแรงงานและอาศัยอยู่ทางภาคใต้ของไทย
มากขึ้น การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจท าให้การค้าขยายไปทั่วประเทศ เมืองขยายตัว เกิดการพัฒนา

เส้นทางคมนาคม พ่อค้าเร่ชาวจีนบรรทุกสินค้าไปขายยังหัวเมืองต่าง ๆ ส่งผลให้ชาวจีนอพยพจา
กรุงเทพมหานครไปอาศัยอยู่ตามชุมชนเมืองในหัวเมือง ซึ่งพัฒนาเป็นชุมชนการค้าของเมืองนั้น ๆ

และตั้งรกรากมาจนถึงปัจจุบัน
3) ด้านสังคมและวัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนไปอันเนื่องมาจากการปรับปรุงประเทศ

ให้เข้าสู่ความทันสมัยแบบตะวันตก เช่น ราษฎรไทยได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสและไพร่ มี

อิสรเสรีในการประกอบอาชีพ ได้รับการรักษาโรคด้วยวิชาการแพทย์แผนใหม่ สามัญชนมีโอกาสได้เล่า
เรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เข้าท างานในกระทรวงต่าง ๆ อ่านหนังสือพิมพ์ ใช้รถไฟ รถยนต์

ไปรษณีย์โทรเลข โทรศัพท์ ไฟฟ้า น้ าประปา มีถนนหนทางใหม่ ๆ เพื่อใช้เดินทาง ท าให้ชีวิตของคน

ไทยสะดวกสบายมากขึ้น

(10)






นอกจากนี้ ชาวไทยทั้งหญิงและชายเริ่มแต่งกายให้เป็นแบบสากลนิยม รับประทานกาแฟ
นม ขนมปัง เป็นอาหารเช้าแทนข้าว ใช้ช้อนส้อม นั่งโต๊ะเก้าอี้ มีโอกาสเดินทางไปศึกษาที่ต่างประเทศ

รู้จักเล่นกีฬาแบบตะวันตก สร้างพระราชวัง สร้างบ้านแบบตะวันตก นิยมมีบ้านพักตากอากาศใน
ต่างจังหวัด ในสมัยรัชกาลที่ 6 คนไทยเริ่มมีค าน าหน้าชื่อบุรุษ สตรี เด็ก เป็นนาย นางสาว นาง

เด็กชาย เด็กหญิง ตามล าดับ มีนามสกุลเป็นของตัวเอง ผู้หญิงเริ่มไว้ผมยาวและนุ่งผ้าซิ่น มีการใช้ธง
ไตรรงค์เป็นธงประจ าชาติไทย เป็นต้น



3.วิถีชีวิตของสังคมไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 มีผลต่อวิถีชีวิตของคน

ไทยในด้านต่าง ๆ หลายประการ ดังนี้

1) ด้านการเมืองการปกครอง ในสมัย พ.ศ. 2475 มีการเปลี่ยนแปลงระบอบใน พ.ศ. 2475 มี
การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย เกิดองค์กรการเมืองต่าง ๆ เช่น พรรค

การเมือง คณะรัฐมนตรี รัฐสภา ประชาชนมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
ทางการเมือง แต่บางสมัยถูกปกครองโดยเผด็จการที่ยกเลิกรัฐธรรมนูญ มีการควบคุมสิทธิทางการ

เมืองของประชาชน
2) ด้านเศรษฐกิจตั้งแต่พ.ศ. 2504 มีการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งส่งผลต่อ


การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวตของคนไทยหลายอย่าง เช่น เกิดโรงงานอุตสาหกรรมจ านวนมาก คนในชนบท
อพยพมา ท างานโรงงานมากขึ้น เกิดปัญหาความยากจนและช่องว่างทางเศรษฐกิจระกว่างภาค
เกษตรกรรมกับอุตสาหกรรมในทศวรรษ 2530 รัฐบาลมุ่งพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศอุตสาหกรรม

ใหม่ แต่เมื่อเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจใน พ.ศ. 2540 ท าให้ธุรกิจจ านวนมากล้มละลาย คนตกงาน

จ านวนมาก รัฐบาลได้ส่งเสริมให้ประชาชนด าเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อลดความฟุ้งเฟ้อ
ฟุ่มเฟือย


3) ด้านสังคมและวัฒนธรรม สามารถแบ่งได้เป็นช่วง ๆ ดังนี้

3.1) สมัยการสร้างชาติ ตรงกับสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามสมัยแรก
(พ.ศ. 2481 - 2487) ได้สร้างกระแสชาตินิยมและความเป็นไทยด้วยการออกรัฐนิยมหลายฉบับ เช่น

เปลี่ยนชื่อประเทศ ชื่อสัญชาติ ชื่อคนสยาม เป็นประเทศไทย สัญชาติไทย คนไทย มีการยกเลิก

บรรดาศักดิ์และยศข้าราชการพลเรือน ทั้งหญิงและชายต้องสวมรองเท้า สวมหมวก ห้ามรับประทาน
หมากพลู ต้องใช้ค าสรรพนามแทนตนเองว่า "ฉัน" และเรียกคนที่พูดด้วยว่า "ท่าน" เป็นต้น แต่

ภายหลังวัฒนธรรมเหล่านี้ก็ถูกยกเลิกไป

(11)






3.2) สมัยการฟื้นฟูพระราชประเพณี ตรงกับสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (พ.ศ.
2501 - 2506) ในสมัยนี้มีการฟื้นฟูความส าคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ และฟื้นฟูพระราชพิธีต่าง

ๆ เช่น เปลี่ยนวันชาติจากวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบ
ประชาธิปไตย มาเป็นวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา จัดให้มีพระราชพิธีเฉลิมพระ

ชนมพรรษาอย่างยิ่งใหญ่ จัดงานพระราชพิธีวันฉัตรมงคล และมีพิธีต่าง ๆ ที่ให้ความส าคัญแก่สถาบัน
พระมหากษัตริย์ เช่น พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ พิธีที่ท า

คุณประโยชน์ด้านต่าง ๆ ฟื้นฟูพระราชพิธีเสด็จพระราชด าเนินทอดผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยา

ตราทางชลมารค สนับสนุนการเสด็จพระราชด าเนินไปยังต่างจังหวัดในท้องถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ
มีการสร้างพระต าหนักในภูมิภาคต่าง ๆ ส่งเสริมโครงการหลวง โครงการพระราชด าริต่าง ๆ ออกข่าว

พระราชส านักผ่านโทรทัศน์และวิทยุเป็นประจ าทุกวัน จะเห็นว่าการฟื้นฟูพระราชพิธี การสร้างธรรม

เนียมต่าง ๆ เกี่ยวกับราชส านักในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้สืบทอดมาถึงปัจจุบัน
3.3) สมัยการฟื้นฟูวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

ได้ตั้งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (อ.ส.ท.) ปัจจุบันคือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศ
ไทย องค์กรนี้ได้เข้าไปส่งเสริม ฟื้นฟู และสร้างขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นในที่ต่าง ๆ เพื่อดึงดูด

นักท่องเที่ยว ท าให้ขนบธรรมเนียมประเพณีหลายอย่างได้รับการฟื้นฟูสืบทอด และประเพณีบางอย่าง
ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ เช่น การจัดงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟที่อุทยาน

ประวัติศาสตร์สุโขทัย เป็นต้น

3.4) สมัยการพัฒนาทางเศรษฐกิจถึงปัจจุบัน สมัยนี้ได้มีการก าหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2504 ท าให้วิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเกิด

จากหลายปัจจัย เช่น การพัฒนาทางการศึกษา ท าให้อัตราผู้รู้หนังสือมากขึ้น จ านวนผู้เข้าเรียนใน

มหาวิทยาลัยและจ านวนมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น คนไทยนิยมไปเรียนต่อต่างประเทศมากขึ้นอย่าง
ต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา ท าให้วัฒนธรรมตะวันตกแพร่

ขยายเข้ามาในสังคมไทยมากขึ้น ในด้านครอบครัว ครอบครัวมีขนาดเล็ก โดยมีลักษณะเป็นครอบครัว
เดี่ยว สังคมแบบเครือญาติหรือสังคมชนบทของไทยเปลี่ยนไป วางแผนครอบครัวและความเจริญ

ทางการแพทย์ ท าให้ประชากรวัยสูงอายุมีจ านวนมากขึ้น ขณะที่ประชากรวัยเด็กลดลงความสัมพันธ์
แบบเครือญาติลดลง ผู้หญิงไทยออกไปท างานนอกบ้านมากขึ้น และเกิดปัญหาสังคมต่าง ๆ ตามมา

เช่น ปัญหาเด็กเร่ร่อน ปัญหาสิ่งเสพติด ปัญหาอาชญากรรม เป็นต้น

สรุปได้ว่า “วิถีชีวิต” คือแนวทางการด าเนินชีวิตของคนไทยตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ถีชีวิต
ของคนในสังคมไทยจากอดีตมาสู่ปัจจุบันและอนาคตนั้นส่วนใหญ่มักจะพิจารณาด้านเศรษฐกิจ สังคม

การเมือง สิ่งแวดล้อม การศึกษา และมักเน้นเรื่องความสุขความเจริญเป็นส าคัญเพื่อสนองความ

ต้องการและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่

(12)






บทที่ 3
วิธีกำรด ำเนินวิจัย

การศึกษาเรื่องการศึกษาเเนวคิดเกี่ยวกับข้อห้าม-ความเชื่อของคนไทยสมัยก่อนที่ส่งผลต่อ

วิถีชีวิต มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ข้อห้าม-ความเชื่อกับการด าเนินชีวิตในปัจจุบันเพื่อศึกษาเหตุผล

ข้อเท็จจริงที่สนับสนุนข้อห้าม-ความเชื่อ เพื่อรบวรวมข้อห้ามของคนสมัยโบราณ โดยมีขั้นตอนการ
ด าเนินการวิจัยดังนี้

1. เลือกหัวข้อศึกษาค้นคว้าที่ทางกลุ่มสนใจ
2. ศึกษาเอกสาร ต ารา ที่เกี่ยวข้องกับ ความเชื่อข้อห้ามของคนโบราณ

3. วางเเผนขอบเขตของข้อมูลเเละขอบเขตุของหัวข้อที่ศึกษาค้นคว้า

4. รวบรวมข้อมูล ความเชื่อข้อห้ามของคนโบราณ จาก หนังสือ เว็บไซต์ สัมภาษณ์ เเล้ว
บันทึกตามหมวดหมู่ที่ได้จัดไว ้

5. ด าเนินการวิเคาระห์ข้อมูลตามหัวข้อที่ศึกษาค้นคว้า
6. สรุปและอภิปรายผลข้อมูลการศึกษาค้นคว้า

7. จัดท ารูปเล่มรายงานการศึกษาค้นคว้า

8. น าเสนอผลงานการศึกษาค้นคว้า
เเหล่งข้อมูล

1. ศึกษาข้อมูลจากหนังสือเรื่อง “โบราณห้าม” โดย อุดมพร อมรธรรม เมื่อ พ.ศ.2556
2. ศึกษาข้อมูลจากหนังสือเรื่อง “ต านานเล่าขนาน โบราณห้ามท า” โดยพ.อ.อ.จักราพิชญ์

อัตโน เมื่อ พ.ศ.2560

3. สัมภาษณ์จากผู้ที่มีความรู้เรื่องความเชื่อและข้อห้ามโบราณ
4. ศึกษาจากสื่อหรือเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ต

5. ศึกษาจากละครและภาพยนต์ไทยที่เกี่ยวข้องกับข้อห้ามและความเชื่อ
การเก็บรวบรวบข้อมูล

ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ คณะผู้จัดท าได้รวบรวมข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ เกี่ยวกับข้อห้าม


ความเชื่อของคนไทยสมัยก่อน ที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตเเละค่านยมของสังคมไทยในปัจจุบัน
ซึ่งมีขั้นตอนการด าเนินการดังต่อไปน ี้

1. เลือกหัวข้อที่สนใจ
2. ศึกษาค้นคว้าเเละรวบรวมข้อมูล

3. ลงมือจัดท าโครงงาน

4. สรุปเเละน าเสนอ

(13)






การวิเคราะห์ข้อมูล
1. ข้อห้าม

2 ความเชื่อ
3. วิถีชีวิต

ระยะเวลาในการด าเนินการ
ในการศึกษาเรื่อง การศึกษาเเนวคิด เกี่ยวกับข้อห้าม-ความเชื่อของคนไทยสมัยก่อน

มีระยะเวลาในการด าเนินการซึ่งเเบ่งได้ ดังนี





ล ำดับที่ ขั้นตอนกำรศึกษำ ช่วงเวลำ ผู้รับชอบ

1. รวบรวมข้อมูลเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วันที่ 2-8 ธันวาคม 2563 คณะผู้จัดท า

รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อเเละข้อห้าม วัน ที่ 9-12 ธัน วาค ม คณะผู้จัดท า
2. .
2563

วิเคราะห์ข้อมูล วันที่ 13-19 ธันวาคม คณะผู้จัดท า
3.
2563

4. สรุปและอภิปรายผลข้อมูล วันที่ 26 ธันวาคม 2563 คณะผู้จัดท า

ตรวจทานและแก้ไขข้อมูลจัดท ารูปเล่มรายงานการศึกษา วันที่ 16-25 มกราคม คณะผู้จัดท า
5.
ค้นคว้า 2564

6. น าเสนอผลการศึกษาค้นคว้า วันที่ 26 มกราคม 2564 คณะผู้จัดท า

ส่งรายงานการศึกษาค้นคว้าฉบับสมบูรณ์ วันที่ 26-29 มกราคม คณะผู้จัดท า
7.
2564

(14)






บทที่ 4
กำรวิเครำะห์ข้อมูล

การศึกษาค้นคว้าเรื่องการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับข้อห้าม-ความเชื่อ ของคนไทยสมัยก่อนที่

ส่งผลต่อวิถีชีวิต คณะผู้จัดท าได้แบ่งการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น 3 ประเด็น ตามวัตถุประสงค์ใน

การศึกษาค้นคว้า ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับข้อห้าม ความรู้เกี่ยวกับความเชื่อ ความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตคน
ไทย

ซึ่งมีรายละเอียดการวิเคราะห์ข้อมูล ดังน ี้
1. ควำมรู้เกี่ยวกับข้อห้ำม

การวิเคราะห์.ความรู้เกี่ยวกับข้อห้ามและความเชื่อ นี้คณะผู้จัดท าได้ใช้เกณฑ์การวิเคราะห์ของ พอ.อ.

จักราพิชญ์ อัตโน จากหนังสือต านานเล่าขานโบราณห้าม และจากละครภาพยนต์ โดยมีหัวข้อการ
วิเคราะห์ ได้แก่

1.1) ข้อห้ามกับวิถีชีวิตคนไทย
1.2) ข้อห้ามเกี่ยวกับหลักการทางวิทยาศาสตร์

(เพิ่มเติมหัวข้อได้ตามประเด็นการวิเคราะห์)

โดยรายละเอียดการวิเคราะห์นั้นผู้วิจัยจะศึกษาข้อห้ามจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เมื่อวิเคราะห์
ว่าข้อห้ามต่าง ๆ นี้มีผลต่อวิถีชีวิตคนไทยอย่างไร ซึ่งมีรายละเอียดการวิเคราะห์ดังนี้

1.1) ข้อห้ามกับวิถีชีวิตคนไทย
จากวิเคราะห์พบว่า คนไทยถูกปลูกฝังเกี่ยวกับข้อห้ามมาตั้งแต่สมัยก่อนผู้คนบาง

กลุ่มโดยทั่วไปยังคงยึดข้อห้ามต่าง ๆ มาปรับใช้ในชีวิตประจ าวัน

ตัวอย่าง ห้ามลับมีดตอนกลางคืน
(จากหนังสือ โบราณห้าม ของอุดมพร อมรธรรม)

จากการศึกษาและวิเคราะห์ พบว่า จากตัวอย่างข้างต้นพบว่าข้อห้ามดังกล่าวมีจุดมุ่งหมาย
เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย เนื่องจากสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าเหมือนปัจจุบันซึ่งอาจท าให้เกิดอุบัติเหตุได้

ตัวอย่างเช่น หากเราเกิดลับมีดในตอนกลางคืนซึ่งสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าเช่นปัจจุบันแต่มีแค่พวกตะเกียง

แสงไฟอาจไม่เพียงพออาจท าให้พลาดไปโดนมือได้





1.2) ข้อห้ามกับหลักวิทยาศาสตร์

จากวิเคราะห์พบว่า ข้อห้ามเป็นกุศโลบายที่ไว้ใช้คุมพฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์
แต่ก็มีค าอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ไว้เช่นกัน

(15)






ตัวอย่าง ห้ามเคาะชามเวลากินข้าว
(จากภาพยนต์เรื่องคนเห็นผี 10 (2548)ก ากับโดย ออกไซด์ แปง

และแดนนี่ แปง)
จากการศึกษาและวิเคราะห์ พบว่า จากตัวอย่างดังกล่าวพบว่าข้อห้ามนั้นเป็นเพียงกุศโลบาย

เนื่องจากการเคาะชามเวลากินข้าวอาจท าให้ชามบุบ แตก เสียหาย โดยไม่ใช่เหตุ และเพื่อรักษา
มารยาทในการรับประทานอาหาร ในการรับประทานอาหารควรมีมารยาทซึ่งมารยาทเป็นสิ่งที่ทุกคน

ควรจะมี


2.ควำมรู้เกี่ยวกับควำมเชื่อ

การวิเคราะห์ เกี่ยวกับความเชื่อนี้ คณะผู้จัดท าได้ใช้เกณฑ์การวิเคราะห์ของ อุดมพร อมร

ธรรม จากหนังสือ โบราณห้าม และจากสารนิพนธ์ ของ พรนิภา บัวพิมพ์ โดยมีหัวข้อการวิเคราะห์
ได้แก่

2.1 ความเชื่อเกี่ยวกับบ้านเรือน
2.2 ความเชื่อเกี่ยวกับอาหารการกิน

2.3 ความเชื่อเกี่ยวกับสัตว ์
2.4 ความเชื่อเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษยละความคิด

2.5 ความเชื่อเกี่ยวกับบาปบุญ

โดยรายละเอียดการวิเคราะห์นั้น ผู้วิจัยจัวิเคราะห์จากความเชื่อที่ยกตัวอย่างมากับหลักการ
ทางวิทยาสตร์ ซึ่งมีรายละเอียดการวิเคราะห์ดังนี้

2.1 ความเชื่อเกี่ยวกับบ้านเรือน

จากวิเคราะห์พบว่า บ้านเรือนกับความเชื่อโบราณเป็นสิ่งที่สั่งสมกันมาเป็นเวลานาน
เป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรม ซึ่งเกิดจากประสบการณ์จากการลองผิดลองถูก การพบเจอของจริง

มาก่อนแล้วน ามาสั่งสอนลูกหลานกันต่อเป็นทอดหนึ่ง
2.1.1ตัวอย่าง ปลูกบ้านบนทางสามแพร่ง

(จากหนังสือ โบราณห้าม ของอดมพร อมรธรรม)

จากการศึกษาและวิเคราะห์ พบว่า ตามความเชื่อโบราณแล้วทางสามแพ่งเป็น

ทางผ่านของวิญญาณร้าย ถ้าปลูกบ้านทางสามแพ่งจะถูกรบกวนจากภูตผีจะถูกหลอกหลอนหรือ

เจ็บป่วยไม่สบายเเต่ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วทางสามแพ่งนั้นจะมีอันตรายมากกว่าบริเวณอื่น
อันตรายใด ๆ ที่จะเข้ามามีมากกว่าบริเวณอันตรายใด ๆ จะเข้ามาก็เข้ามาง่าย เช่นอุบัติเหตุจาก

รถยนต์ที่พุ่งเข้ามาในบ้าน

(16)






2.1.2ตัวอย่าง ไม่ปลูกบ้านใต้ต้นไม้ใหญ่
(smartsme ผู้เขียน Smart SME)


จากการศึกษาและวิเคราะห์ พบว่า ต้นไม้ใหญ่ตามหลักฮวงจุ้ย ถือได้ว่าเป็นต้นไม้ที่ให้พลัง

ส าหรับคนที่อยู่รอบข้างได้ แต่ถ้าตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วต้นไม้ใหญ่มักปล่อยความชื้นบริเวณรอบๆ
ต้นท าให้สามารถให้ร่มเย็นและบังแดดได้เป็นอย่างดี ท าให้ผู้ที่อยู่ใต้ต้นไม้รู้สึกได้ถึงความสบาย แต่ถ้า

ในเรื่องของไสยศาสตร์แล้วต้นไม้ใหญ่ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย แต่ก็ไม่ใช่ทุกต้นที่จะมี

เทพารักษ์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ ซึ่งต้นไม้ใหญ่นั้นถ้าปลูกในต าแหน่งที่ผิดแล้วอาจส่งผลให้เกิด
อันตรายจากการโค่นล้มลงมาทับสิ่งก่อสร้างที่อยู่อาศัย หรืออาจโค่นล้มใส่ผู้คนได้



2.2 ความเชื่อเกี่ยวกับอาหารการกิน
จากวิเคราะห์พบว่า ส าหรับความเชื่อเกี่ยวกับอาหารการกินของคนไทยนั้นถูกสั่ง


สอนมานานหลายรุ่นบนโต๊ะอาหาร เพื่อไม่ให้เราไดรับอันตรายหรือเป็นการสอนเรื่องมารยาม
ต่าง ๆ บนสังคม

2.2.1ตัวอย่าง กินของที่ตกหล่นบนพื้น
(จากหนังสือ โบราณห้าม ของอุดมพร อมรธรรม)



จากการศึกษาและวิเคราะห์ พบว่า โบราณกล่าวไว้ว่าอย่าเก็บของที่ตกลงบนพื้นแล้วเอามา
กิน เพราะถือว่าของกินเหล่านั้นได้กลายเป็นของผีไปแล้วหมายความว่าผีวิญญาณที่อดอยากหิวโหย

ต้องการจะกินจึงปัดให้ขนมตกหล่นออกไปถ้าเก็บขึ้นมาจะท าให้เค้าโกรธหรือมาท าร้ายเราได้แต่ตาม

หลักความเป็นจริงแล้วอาหารที่ตกหล่นสู่พื้นแล้วย่อมเปรอะเปื้อนสิ่งสกปรกไม่มากก็น้อยหากกินเข้า
ไปอาจท าให้เชื่อโรคเข้าสู่ร่างกายได ้




2.2.2ตัวอย่าง ถ้านอนกินชาติหน้าจะเกิดเป็นงู



(Mthai ผู้เขียน Horoscope)



จากการศึกษาและวิเคราะห์ พบว่า เป็นค าบอกเล่าของผู้ใหญ่ที่บอกกับเด็กว่า ถ้าหากก าลัง

ื่
รับประทานอาหารอยู่ ไม่ควรนอนทานไปด้วย และถ้าไม่เชอฟังชาติหน้าจะเกิดเป็นงู เพราะงูเวลากิน
เหยื่อมันก็จะกินในลักษณะท่านอน เป็นกุศโลบายที่ผู้ใหญ่ที่ต้องการสั่งสอนให้เด็กๆ นั่งกินอย่างสุภาพ

(17)






มีระเบียบ เพราะถ้านอนกินแล้วเด็กๆ อาจจะส าลักอาหารได้ ผู้ใหญ่จึงใช้ลักษณะของงูมากล่าวอ้าง

เพื่อให้เกิดความกลัว


2.3 ความเชื่อเกี่ยวกับสัตว์
จากวิเคราะห์พบว่า คนไทยสมัยก่อนจนถึงปัจจุบันผูกพันธ์กับสิ่งต่างๆเป็นอย่างมาก

รวมถึงด้านความเชื่อต่าง ๆ ด้วย

2.3.1ตัวอย่าง เลี้ยงแมวห้าหมาหก

(จากสารนิพนธ์ ของ พรนิภา บัวพิมพ )
จากการศึกษาและวิเคราะห์ พบว่า โบราณท่านว่าห้ามเลี้ยงแมวห้าหมาหกเพราะเป็น
อัปมงคลแต่บ้านเรือนเป็นเหตุท าให้ครอบครัวฐานะตกต่ าไปเรื่อย ๆ ผู้คนในครอบครัวจะอยู่แบบอด ๆ

อยาก ๆ ไปจนตาย ตามหลักความเป็นจริงแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้เลี้ยงสัตว์จ านวนมากเกินไปเพราะจะ

ท าให้สิ้นเปลืองทรัพย์สินข้าวปลาอาหารมากจนท าให้ตัวเองได้รับความเดือดร้อนหรือท าให้บ้าน
สกปรกเลอะเทอะเป็นสาเหตุท าให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ ได้

2.3.2ตัวอย่างคางคกเข้าบ้านแสดงว่าก าลังจะมีโชค
(horoscope พ.ศ.2557)

จากการศึกษาและวิเคราะห์ พบว่า คนสมัยโบราณมีความเชื่อเรื่องโชคลางหรือลางบอกเหตุ

ื่
มากมาย โดยเฉพาะความเชอเกี่ยวกับคางคกที่คนโบราณเชื่อว่าเป็นสัตว์น าโชค หากเห็นคางคก
ื่

กระโดดขึ้นบันไดบ้านหรือเข้าไปในบ้านใครก็ตามถือว่าเปนลางดี โดยเชอว่าบ้านนั้นก าลังจะมีโชค
หากค้าขายก็จะท ามาค้าขึ้น แต่ตามหลักความเป็นจริงเล้วบ้านของคนในสมัยก่อนอยู่ใกล้ล าคลอง
คางคกเลยเข้าบ้านมาได้ง่าย



2.4 ความเชื่อเกี่ยวกับพฤติกรรม
จากวิเคราะห์พบว่า ความเชื่อกุศโลบายต่าง ๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมความเป็นอยู่ของ

มนุษย์มีอยู่ด้วยกันมากมายหลายอย่างเพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากการกระท าที่อันตราย
ของมนุษย์เอง

2.4.1ตัวอย่าง ทักเสียงดังนอกบ้านตอนกลางคืน

(จากหนังสือ โบราณห้าม ของอุดมพร อมรธรรม)
จากการศึกษาและวิเคราะห์ พบว่า โบราณเชื่อว่าหากเราทักเสียงที่ดังจากข้างนอก

ในตอนกลางคืนอาจโดนปล่อยคุณไสยจากผู้ไม่หวังดีมาท าร้ายเราได้หรือเป็นผีปลอมตัวมา เป็นสัตว์
ชนิดต่าง ๆ มาท าร้ายเราหากได้ยินควรเงียบไว้ตามหลักความเป็นจริงแล้วเราควรพิจารณาเสียก่อนว่า

นั้นเป็นเสียงอะไรกันแน่และเพื่อสอนให้มีสติสัมปชัญญะไม่ให้ตกใจง่ายคิดพิจารณาก่อนตอบโต้ออกไป

(18)






2.4.2ตัวอย่าง ครัวสกปรก อับโชคเงินทอง
(horoscope พ.ศ.2558)

จากการศึกษาและวิเคราะห์ พบว่า คนสมัยโบราณมีความเชื่อ ว่า เราไม่ควรปล่อยให้ครัว
สกปรก มิเช่นนั้นจะกลายเป็นคนอาภัพอับโชค เงินทองขาดมือ ขัดสน จับจ่ายใช้สอยติดขัด ไม่ราบรื่น

ตามหลักความเป็นจริง ครัวสกปรกจะน าเชื้อโรคและสัตว์เข้ามาในครัว ห้องครัวเป็นห้องที่ควรจะท า
ความสะอาดอยู่สม่ าเสมอเนื่องจากเป็นห้องที่จะต้องท าอาหารการกินต่าง ๆ ซึ่งควรที่จะถูก

คุณลักษณะมิฉะนั้นแล้ว ในขณะที่ที่ท าอาหารนั้นอาจมีสิ่งสกปรกล่วงหล่นไปในอาหารได้ ซึ่งเรา

อาจจะไม่เห็นอาจท าให้เป็นอันตรายต่อผู้รับประทานอาหาร


2.5 ความเชื่อเกี่ยวกับบาปบุญ

จากการวิเคราะห์พบว่า ศาสนาเป็นเรื่องความเชื่อศรัทธาในหลักธรรมค าสอน ซึ่งให้
ค าอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต ความเป็นมา ความเป็นอยู่ และความเป็นไป อธิบายอดีต ปัจจุบัน

และอนาคต อธิบายสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ ท าให้เกิดความสงบ และความหวังในชีวิต
2.5.1ตัวอย่าง นอนโลงสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ

(จากภาพยนตร์เรื่อง โลงต่อตาย (2551) ) ก ากับ
และเขียนบทโดย เอกชัย เอื้อครองธรรม)

จากการศึกษาและวิเคราะห์พบว่า กฎแห่งกรรมคือสิ่งที่เจ้าของต้องรับด้วยตัวเอง

ื่
และแม้จะต่ออายุขัยด้วยพิธีกรรมอะไรก็ตามก็ล้วนต้องมีอีกหนึ่งชีวิตเพอแลกกับสิ่งที่เราได้มาเชนกัน

ทั้งนี้การที่บอกว่าการนอนโลงสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ เป็นเพียงสิ่งที่ท าให้เกิดความสบายใจต่อตัวเอง
2.5.2ตัวอย่าง หากท าร้ายพ่อแม่ ตายไปจะกลายเป็นเปรต

(จากภาพยนต์เรื่อง เปรตวัดสุทัศน์ (2546) ก ากับ
โดย บัณฑิต ทองดี)

จากการศึกษาและวิเคราะห์พบว่า โบราณกล่าวไว้ว่า บุคคลใดอกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่
ว่าจะเป็นทางวาจาหรือด้วยการกระท า จะท าให้ผู้นั้นมีบาปติดตัวอันใหญ่หลวง ผู้ใดที่ด่าพ่อแม่

เมื่อตายไปจะกลายเป็นเปรต จะมีปากเท่ากับรูเข็ม และทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น เปนเวลา

ยาวนาน เรื่องนี้ที่โบราณท่านห้ามไว้อย่างนั้น ก็เพื่อให้ทุกคนเกิดความเกรงกลัวต่อบาป และเป็น

การโน้มน้าวให้กตัญญต่อพ่อแม่

(19)






3.วิถีชีวิตของคนไทย


3.1 วิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อน
จากวิเคราะห์พบว่า สังคมไทยจะยึดถือความเชื่อที่สืบทอดต่อกันมา ไม่ว่าเป็นด้านการอยู่ การกิน

ศาสนา ความเชื่อเป็นหนึ่งในแนวทางในการด าเนินชีวิตอีกด้วย
ตัวอย่าง บ้านเรือนในอดีตยังไม่มีไฟใช้

(สังวาล ชูเชื้อ. สัมภาษณ์, 23 ธันวาคม 2563.)


จากการศึกษาและวิเคราะห์พบว่า ในสมัยก่อนบ้านเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้เหมือนกับปัจจุบันจึงท าให้

เกิดอันตรายได้ง่าย เช่นอันตรายจากการท างานบ้านต่าง ๆ ตัวอย่าง การถูบ้านตอนกลางคืน อาจท า
ให้ลื่นล้มตกบันไดได้






3.2 วิถีชีวิตของคนไทยในสมัยปัจจุบัน
จากวิเคราะห์พบว่า เนื่องจากมีพัฒนาการทางเทคโนโลยีมากขึ้นท าให้คนไทยใช้ชีวิต

สะดวกสบายมากกว่าสมัยก่อนดังนั้นจึงท าให้ความเชื่อในสมัยก่อนลดน้อยลงเนื่องจากยุคสมัย
เปลี่ยนไป ปัจจุบันมีไฟฟ้า และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่สะดวก เช่น ไฟฉาย โทรศัพท์เป็นต้น

ตัวอย่าง การที่มีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้นเนื่องจากมีเทคโนโลยีและท าให้เกิดอันตรายได้ลด

น้อยลง
(เจือง บุญทัน. สัมภาษณ์, 23 ธันวาคม 2563.)


จากการศึกษาและวิเคราะห์พบว่า วิถีชีวิตคนไทยในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากการได้รับอิทธิพล

จากต่างชาติและการพัฒนาจากเทคโนโลยี

(20)


ตัวอย่ำงข้อห้ำมและควำมเชื่อ

(21)

(22)

(23)

(24)

(25)























































เกณฑ์/ประเด็นในกำรวิเครำะห์

เกณฑ์ในการวิเคราะห์จาก
- เเนวคิดเกี่ยวกับข้อห้าม-ความเชื่อของคนไทยสมัยก่อนที่ส่งผลต่อวิถีชีวิต

- ข้อเท็จจริงที่สนับสนุนข้อห้าม

- ข้อห้ามกับการด าเนินชีวิตในปัจจุบัน

(26)






บทที่ 5
สรุป อภิปรำยผล และข้อเสนอแนะ

การศึกษาค้นคว้าเรื่อง การศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับข้อห้าม-ความเชื่อ ของคนไทยสมัยก่อนที่

ส่งผลต่อวิถีชีวิต มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาค้นคว้าเพื่อศึกษา ข้อห้าม-ความเชื่อ วิถีชีวิตของคนไทย

สมัยโบราณ โดยแหล่งข้อมูลหรือกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ หนังสือ เว็บไซต์ และ
สัมภาษณ์ ซึ่งได้ก าหนดวิธีการศึกษา ตามขั้นตอนดังนี้

1. ก าหนดหัวข้อ
2. รวบรวมข้อมูล

3. จัดท าโครงงาน

4. สรุปผล
กำรสรุปผลข้อมูล

คณะผู้จัดท าได้สรุปผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ในการศึกษาค้นคว้า ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. ผลการศึกษา เกี่ยวกับข้อห้าม



ขอห้ามกับวิถีชีวิตคนไทย ขอห้ามกับวิทยาศาสตร์

1. ห้ามแมวด าข้ามศพ 1. ห้ามนอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก

2. ห้ามเดินข้ามหนังสือ 2. ห้ามแม่ลูกอ่อนตากผ้าตอนกลางคืน

3. ห้ามชี้รุ้งกินน้ า 3. ห้ามผู้หญิงตั้งครรภ์ไปงานศพ
4. ห้ามแต่งงานเดือนคี่ 4. .ห้ามไกว่เปลเด็กเปล่า

5. ห้ามก้มมองหว่างขาตัวเองในงานศพ 5. ห้ามปลูกบ้านบนทางสามแพร่ง

6. ห้ามเดินทางเมื่อจิ้งจกร้องทัก 6. ห้ามจับสุนัขหงายท้อง
7. ห้ามตัดผมวันพุธ 7. ห้ามยืดมีดด้านคมให้กัน

8. ห้ามกินเนื้อสุนัข 8. ห้ามล้างถ้วยชามตอนกลางคืน

9. ห้ามผู้หญิงผิวปาก 9. ห้ามอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตอนฝนตก
10. ห้ามเผาผีวันพระและวันศุกร์ 10. ห้ามต้มไข่ในหม้อข้าว

11. ห้ามนอนเอามือก่ายหน้าผาก 11. ห้ามปลูกต้นลั่นทมและต้นรักไว้ในบริเวณบ้าน

12.ห้ามวางรองเท้าไว้บนหัวนอน 12.ห้ามเดินลงส้นบนบ้าน

13. ห้ามหญิงชายพอดรักกันภายในวัด

(27)






2. ผลการศึกษา เกี่ยวกับความเชื่อ



ความเชอเกยวกับบ้านเรือน ความเชอเกยวกับอาหารการกน








1 หันโต๊ะท างานเข้าห้องน้ าท าให้งานติดขัด 1. กินคาวต้องกินหวาน
2. ครัวสกปรกจะท าให้ขาดเงินทอง 2. ไม่กินของตกพื้น
3. ปลูกบ้านค่อมปลวก 3. กินสัตว์ใหญ่จะท าให้ขัดโชคลาภ
4. โต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกตั้งปลายเตียงท าให้ฝัน
ร้าย










ความเชอเกยวกับสัตว์ ความเชอเกยวกับพฤติกรรมมนุษย์และความคิด
1. นกขี้ใส่จะมีคนตาย 1. คนใบหูใหญ่มักร่ ารวยและมีวาสนา
2. จิ้งจกร้องทัก 2. คนหัวล้านมักเจ้าชู้และเจ้าเลห์

3. ตัวเงินตัวทองคลานเข้าบ้าน 3. ปลูกต้นว่านชี้ชะตาได
4. สัตว์ป่าเข้าบ้านจะน าความอัปมงคลมาให้ 4. ก้าวเท้าซ้ายออกจากบ้านจะน าความโชคดีมาให้
5. ผึ้งท ารังในบ้านจะมีโชค 5. สวมแหวนนิ้วนางวข้างขวาเป็นการเสริมดวงการเงิน
6. นกร้องในตอนกลางคืนจะมีเรื่ออองทะเลาะเบาะ 6. สร้อยคอหลุดหรือขาดจะมีเหตุให้พบเรื่องร้าย
แว้ง
7. ฝันว่างูรัดคนโสดจะพบเนื้อคู่





ความเชอเกยวกับบาปบุญ
1. ด่าพ่อแม่ท าให้ไม่เจริญ
2. ให้ทานแก่สุนัขและแมวในวันฝนตก
3. กตัญญูต่อพ่อแม่แล้วจะเจริญ

4. ท าแท้งจะเป็นบาปหนัก
5. ไถ่ชีวิตสัตว์แล้วจะได้บุญ



อภิปรำยผล

1. ผลการศึกษา เกี่ยวกับข้อห้าม

คณะผู้วิจัย ได้แบ่งประเด็นการศึกษาออกเป็น2ประเด็นคือ ข้อห้ามกับวิถีชีวิตคนไทย และข้อห้ามกับ
วิทยาศาสตร์ จากการศึกษาพบว่าข้อห้ามกับวิถีชีวิตคนไทยคิดเป็นร้อยละ52 และข้อห้ามกับ

วิทยาศาสตร์คิดเป็นร้อยละ48 ดังนี้

(28)

แผนภูมิแสดงผลการวิเคราะห์ขอห้าม




ข้อห้ามกับวิถชวิตคนไทย ข้อห้ามกับวิทยาศาสตร์


48%
52%








2. ผลการศึกษา เกี่ยวกับความเชื่อ
คณะผู้วิจัย ได้แบ่งประเด็นการศึกษาออกเป็น5ประเด็นคือ ความเชื่อเกี่ยวกับบ้านเรือน

ความเชื่อเกี่ยวกับอาหารการกิน ความเชื่อเกี่ยวกับสัตว์ ความเชื่อเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ละ

ความคิด ความเชื่อเกี่ยวกับบาปบุญ จากการศึกษาพบว่าความเชื่อเกี่ยวกับบ้านเรือนคิดเป็นร้อยละ16
ความเชื่อเกี่ยวกับอาหารการกินคิดเป็นร้อยละ32 ความเชื่อเกี่ยวกับสัตว์คิดเป็นร้อยละ12 ความเชื่อ

เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษยละความคิดคิดเป็นร้อยละ28 และความเชื่อเกี่ยวกับบาปบุญคิดเป็นร้อย
ละ12 ดังนี้



แผนภูมิแสดงผลการวิเคราะห์ความเช่อ
20% 16% ความเชอเกยวกับบ้านเรือน




12%
28% 24% ความเชอเกยวกับอาหารการกน ิ





ความเชอเกยวกับสัตว์





พบว่าข้อห้ามและความเชื่อสมัยโบราณส่งผลต่อวิถีชีวิตของคนไทยสมัยปัจจุบันดังนี้
1) ด้านชีวิตการเป็นอยู่ ข้อห้ามความเชื่อสมัยโบราณเพื่อเป็นแนวทางในการใช้ชีวิต ด้าน
มารยาท สังคม สิ่งที่ผิดต่อศีลธรรมและกฎหมาย
2) ด้านภูตผี เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจดังนั้นจะมีเรื่อง
เกี่ยวกับภูตผีปีสาจ บุญบาปคอยแฝงเข้าไปในความเชื่อ

3) ความเชื่อปรากฏการณ์ธรรมชาติได้จากการที่มนุษย์ในสมัยแรก ๆ อาศัยธรรมชาติเป็นอยู่

เมื่อฝนตก ฟ้าร้อง ก็กลัว บางทีเกิดฟ้าผ่าลงมาตนได้รับอันตรายก็เข้าใจว่าธรรมชาติลงโทษเพราะพระ
เจ้าท่านพิโรธ เมื่อน้ าท่วมใหญ่หรือฝนแล้ง ก็ว่าพระเจ้าลงโทษ จึงหาวิธีกราบไหว้อ้อนวอนมิให้ท่าน

ลงโทษ

(29)






4) ความเชื่อเกี่ยวกับลักษณะของคนและสัตว์มนุษย์ได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน
ย่อมจะน าเอาลักษณะที่ดีด้วยของกันและกันมาพิจารณา แล้วสรุปเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนี้น่าจะเป็น

อย่างนั้น แล้วบอกเล่าสืบต่อกันมา เช่น บอกว่าคนที่หน้ากร้อ คอสั้น ห้ามคบ หรือหญิงที่เดินกางแขน
เหมือนชาย เป็นสตรีโทษ ห้ามแต่งงานด้วย กรณีเกี่ยวกับสัตว์ เช่น ควายที่จะน ามาใช้งานต้องดูขวัญ

ว่าที่ตัวมีกี่ขวัญ ถ้ามีไม่ครบตามลักษณะที่ก าหนดถือว่าไม่ดี
5) ความเชื่ออันเนื่องมาแต่ศาสนาแต่ละศาสนาสอนให้คนเชื่อด้วยวิธีต่าง ๆ กัน แต่จุดหมาย

ปลายทางคือความสุขในชีวิตเช่นเดียวกัน เช่น ศาสนาคริสต์ สอนให้รักเพื่อนมนุษย์ ผู้กระท าผิดมีการ

สารภาพบาปต่อพระเจ้าจะหมดบาปได้ ศาสนาพุทธสอนให้เชื่อในการกระท าและผลของการกระท า


ข้อเสนอแนะในกำรศึกษำค้นคว้ำครั้งต่อไป

1. ควรศึกษาเกี่ยวกับความเห็นของคนรุ่นใหม่ที่มีต่อคนสมัยโบราณ
2. ควรศึกษาในสื่ออื่น ๆ เพิ่มเติมเช่น เพลง ละคร เป็นต้น

บรรณานุกรม


จักราพิชญ์ อัตโน.(2560).ต านานเล่าขานโบราณห้ามท า(พิมพ์ครั้งแรก).กรุงเทพฯ.อีเทอร์นิตี้ไอเดีย

ฐิติกาญจน์ กาญจนภักดี.(2562).5 ความเชื่อเรื่องลี้ลับที่ถ่ายทอดผ่านละครและภาพยนตร์จนคนดูต้อง

เสียวสันหลัง.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จากhttps://thestandard.co/5-mystery-film-

television/?fbclid=IwAR3kp8FrTBlWwxm3qkmfyJQPCb-wpTY_UkGOGqW0rhsd

2R52jfO6q2mJbaM

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.(ม.ป.ป.).ความเชื่อ.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก

https://www.stou.ac.th/Offices/rdec/udon/upload/socities9_10.html (วันที่ค้น

ข้อมูล 10 ธันวาคม 2563).



อุดมพร อมรธรรม.(2556).โบราณห้ามท า(พมพครั้งแรก).กรุงเทพฯ.แสงดาว
Everything. (2555). วิถีชีวิตของคนไทยในอดีต-ปัจจุบัน.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก http://nicha-

cd.blogspot.com/2012/01/blog-post_23.html (วันที่สืบค้นข้อมูล 10 ธันวาคม 2563).

Sanook.(2557).60ความเชื่อของไทย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก

https://www.sanook.com/horoscope/63961/ (วันที่สืบค้นข้อมูล 10 ธันวาคม 2563).

Theasianparent Thailand.(ม.ป.ป.).คนไทยกับความเชื่อเป็นของคู่กัน รวมความเชื่อของไทยใน

อดีต.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก https://th.theasianparent.com/faith-in-thai-010420

(วันที่สืบค้นข้อมูล 17 ธันวาคม 2563).

กัญลยา แซ่อุ่ย.สัมภาษณ์, 23 ธันวาคม 2563.

จันทรา บุญสา.สัมภาษณ, 23 ธันวาคม 2563.

เจือง บุญทัน.สัมภาษณ์, 23 ธันวาคม 2563.

เพ็ญศรี ชูเชื้อ.สัมภาษณ, 23 ธันวาคม 2563.


ธรรมรัตน์ แคล่วคล่อง.สัมภาษณ, 23 ธันวาคม 2563.
สังวาล ชูเชื้อ.สัมภาษณ, 23 ธันวาคม 2563.



Click to View FlipBook Version