คำนำ
หนังสือเล่มนี้เกิดมาจากความชอบ และสนใจในนิยายเรื่องสามก๊ก ตอนกวนอูรับ
ราชการโจโฉ พวกเรานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้น6 ห้อง2 จึงมีความตั้งใจที่จะนำ
โครงเรื่องของสามก๊ก ตอนกวนอูรับราชการโจโฉ มาดัดแปลง เป็นนิยายเรื่องใหม่
หากผิดพลาดประการใด มีจุดไหนที่ยังทำได้ไม่ดีพวกเราต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี่ และ
จะเก็บข้อผิดพลาดและคำเสนอแนะไปปรับปรุงให้ดีในอนาคต
หากผู้อ่านทุกท่านพร้อมแล้ว เราพวกขอนำทุกท่านไปสู่โลกแห่งสัตว์ที่เต็มไปด้วย
การต่อสู้ ชิงไหวชิงพริบกันมากมาย
จัดทำโดย
งานวาด
นายตฤณ สุจริตจันทร์
นายสุกฤษฏิ์พงศ์ เมฆาธร
งานเขียน แต่ง
นายกรกฤต กันรัตน์
นายณัฐภาส ก่อประเสริฐกูล
นายภูริภัทร พรมวงษา
งานตรวจสอบ
นายภวัต ไชยพิณ
นายวิจักษณ์ รินเงิน
นายธีรภัทร เพ่งผล
นายพงศ์สวัสดิ์ พงษ์พิศาลสกุล
งานจัดทำ เลิศสินธนากร
นายธนพล มงคลโภชน์
นายพิษณุ แย้มอุบล
นายศุภณัฐ
แนะนำตัวละคร
หลิงเชา
สำนักเพลิง สำนักเทวโลก สำนักวารี สำนักสวรรค์
เฟยเทียน อี้ซวน เชาชา หลิวเป้ย
ชุนฟง เจียเฟิ่ ง กวนยุ่ย
จางเฟย
หย่งเล่อ ไห่ถัง
บทที่ 1
ปฐมบทสำนักจตุรทิศ
ในโลกที่มีสิ่งมีชีวิตครึ่งสัตว์ครึ่งคนที่เรียกว่า อมนุษย์ อาศัยอยู่ ครั้งอดีตแต่ละเผ่าพันธ์ต่างเข่นฆ่า
กันเพื่อแย่งชิงทรัพยากร อาณาเขต เเละกำลังพล แต่เมื่อมีผู้ครอบครองพลังยุทธ์แกร่งกล้าจาก 4
เผ่าพันธุ์ตั้งตนเป็นใหญ่ พวกเขาได้สร้างกฎแห่งหยิงหยางขึ้นมา เพื่อสร้างสมดุลให้แก่โลกเเห่ง
สรรพสัตว์
• ผู้มียุทธ์มิอาจรังแกชาวบ้าน
• มิอาจฆ่าฟันกันระหว่างเผ่าพันธุ์
ครั้นก่อนที่จอมยุทธ์ทั้ง 4 จะเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์พวกเขาได้สร้าง 4 สำนักจอม
ยุทธ์ขึ้นมาเพื่อให้เหล่าจอมยุทธ์น้อยทั้งหลายได้บ่มเพาะความรู้ ลับคมความสามารถ เเละทำให้
เข้าใจคุณค่าของชีวิต
สำนักสวรรค์ ตั้งตระหง่านอยู่เหนือสายลม โซ่แห่งแสงคอยยึดตรึงเกาะสวรรค์แห่งนี้เอาไว้ มิมีใคร
ทราบว่าจอมยุทธ์ท่านใดเป็นคนสร้างมันขึ้นมา ไม่รู้ถึงที่มา ไร้ซึ่งจุดเชื่อมโยง หากแต่ผู้คนต่างเล่า
ขานถึงเต่าเขียวที่อยู่ในก้นบึ้งหมาสมุทรบนเกาะแห่งนั้น มีคำกล่าวขานมากมายหลายเสียงบ้างก็
ว่าเป็นสัตว์ในตำนานที่จำศีลอยู่ บ้างก็ว่าเป็นท่านจอมยุทธ์จาก 4 เผ่าได้แปลงกายเป็นสัตว์ตาม
สายเลือด หลบซ่อนอยู่ในแต่ละสำนักเพื่อปกปักษ์รักษาความดีงาม สร้างสมดุลให้แก่โลกต่อไป
สำนักเทวโลก ยึดรากฐานอยู่บนพื้นเเผ่นดิน มีต้นไม้รากไม้เขียวขจีคอยให้ร่มเงาทั่วบริเวณสำนัก
ลมที่พัดผ่านคล้ายกลับเสียงเครื่องดนตรียุคโบราณ ทุกทวงทำนอง ทุกสัมผัสต่างก็เป็นสิ่งจรรโลง
จิตบำรุงใจให้กับผู้ที่ผ่านไปผ่านมา หากแต่ใครก็ตามที่คิดประทุษร้ายกับสำนักเทวโลก เเละลูก
ศิษย์ในสำนักจะต้องมีอันเป็นไป เหล่าชาวบ้านต่างชื่นชอบที่จะมาพักอาศัยใต้ร่มเงาของต้นไม้
เหล่านี้ มันเป็นต้นไม้คล้ายรูปปั้นของสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว์ งดงาม เสมือนจริง เหมือนจริงจน
น่ากลัว…
สำนักเพลิง ตั้งอยู่บนหุบเขา ในสำนักมักมีเหตุภูเขาไฟประทุอยู่บ่อยครั้งหากแต่เป็นสิ่งที่คราจารย์
เเละลูกศิษย์ต่างชินตาพวกเขาสามารถจัดการกับเหตุเหล่านั้นได้ง่ายคล้ายว่าเป็นการละเล่นก็มิ
เชิง…
สำนักวารี ที่ตั้งไม่เเน่ชัด เหล่าลูกศิษย์ในสำนักต่างเป็นอมนุษย์ที่มากความสามารถ พวกเขามักจะ
หลบซ่อนจากสายตาของผู้อยู่บนพื้นดิน เเละบนฟากฟ้า การมีอยู่ของพวกเขายังคงมีปริศนาอีก
มากมาย…
“แม้ต่างเผ่าพันธุ์แต่ขอสาบานเป็นพี่น้อง ร่วมแรงร่วมใจกัน บำบัดทุกข์ขจัดภัย เบื้องบนสนองคุณ
เบื้องล่างทะนุบำรุง ไม่หวังเกิดวันเดียวเดือนเดียวปีเดียวกัน แต่ขอตายวันเดียวเดือนเดียวปี
เดียวกัน ขอฟ้าดินจงแจ้งประจักษ์ในหัวใจนี้ หากตระบัดสัตย์ทิ้งไมตรี ขอฟ้าดินแลมนุษย์ร่วมกัน
พิฆาต” คำกล่าวสาบานจากสามพี่น้องต่างสายพันธุ์
หลิวเป้ยพี่ใหญ่สายเลือดวานรโบราณ ชายผู้มีหางยาวดั่งลิงแสดงถึงกำพืด ตัวขาวกลืนกับเมฆ
ใบหน้ารูปไข่รับรูปกับจมูก และปากที่ถูกสร้างสรรค์มาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาเป็นผู้มีวิชาเกร่งก
ล้า มากความสามารถ มีความว่องไวไม่มีใครเทียบเทียม ซื่อสัตว์ เเละเป็นคนที่คอยชี้นำทางให้กับ
น้องทั้งสอง
กวนยุ่ยพี่รอง ชายผู้เคร่งขรึม ชอบขบคิด ชอบวางแผน เขามาจากเผ่าเสือขาว เผ่าพันธุ์ที่มีพละ
กำลัง เเละสติปัญญาที่สูง กวนยุ่ยเป็นผู้โดดเด่ดเอามากๆในเผ่าของเขา ไม่ว่าจะด้วยเรื่องหน้าตาที่
หากว่าใครหน้าพบเจอกับเขาจะรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่ลงมาจากสวรรค์ก็มิปาน เเละ
ความรู้ที่เขาเก็บสะสมไว้ในสมองเขา มันมากมายจนทำให้เขาเป็นหนึ่งในสามผู้มากความสามารถ
ในสำนักสวรรค์
จางเฟ่ยน้องเล็กตัวขาว ตากลม ปากกระจับสีธรรมชาติ เป็นที่เอ็นดูของพี่ๆทั้งสอง มักจะเอาแต่ใจ
อยู่เสมอ เขามาจากเผ่าพันธุ์หงส์แดง แม้เขาจะเอาแต่ใจไปซักกะหน่อย หากแต่ไม่สามารถดูแคล้น
ความสามารถของน้องคนเล็กได้ เขามีความยืดหยุ่นในกายสูง และยังมีเสน่ห์ความงามเอาไว้หลอก
ล่อศัตรูให้ตายใจได้
ทั้งสามตนเป็นพี่น้องต่างสายเลือด ต่างเผ่าพันธุ์ ถูกเลี้ยงดูจากคนละพ่อคนละแม่แต่พวกเขาทั้ง
สามต่างรักกันดั่งครอบครัวจริงๆ คล้ายว่าจะมากกว่าพ่อแม่แท้ๆของตัวเองด้วยซ้ำ ยามฟ้าฝนไม่
เป็นใจพวกเขาก็ฝ่าฟันไปด้วยกัน ยามมีภัยเข้ามาพวกเขาก็พร้อมที่จะตายไปด้วยกัน เเละยามสุข
พวกเขาก็จะหัวเราะ ยิ้ม มีความสุขไปด้วยกัน คำสาบานที่ให้กันไว้เป็นดั่งด้ายแดงคอยดึงพวกเขา
ไม่ให้แยกออกจากกัน
หลิวเป้ย กวนยุ่ย เเละจางเฟ่ยต่างก็เป็นศิษย์เอกจากสำนักสวรรค์ ความสามารถที่โดดเด่นของ
พวกเขาทั้งสามทำให้พวกเขาถูกส่งให้เป็นตัวแทนของสำนักในการเข้าร่วมงานประลอง 4 จตุรเทพ
อันได้แก่ สำนักสวรรค์ สำนักปรโลก สำนักเพลิง เเละสำนักวารี ที่จะจัดขึ้นในทุกๆรอบ 400 ปี
เพื่อเป็นการแสดงถึงสัมพันธไมตรีที่ทั้ง 4 สำนักมีให้ต่อกันเเละกัน
หน้าฉากก็เป็นการแสดงความภักดีที่มีให้ต่อกัน แต่ใครจะล่วงรู้ว่าหลังฉากพวกเขาจะคอยเขม่น
ชิงดีชิงเด่นกัน แต่ละสำนักจะส่งลูกศิษย์ 3 คนเพื่อไปประลองความสามารถ เเละเอาชัยชนะมาให้
กับสำนัก เพื่อเเสดงให้สำนักที่อื่นๆเห็นว่าพวกเขานั้นยิ่งใหญ่กว่าผู้ใดอื่น หากมีใครริอาจล้ำเส้น
พวกเขาก็พร้อมจะถล่มผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูอยู่เสมอ…
“ท่านเเม่ๆ ดูนั่นสิ ขบวนเหล่าตัวแทนมาถึงเเล้ว! งดงามจริงๆ สักวันข้าก็อยากเป็นแบบพวกเขา
บ้าง!” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น
“หากเจ้าตั้งใจฝึกฝน ไม่ไปวิ่งเล่นในป่าแบบนั้นทุกวัน เจ้าก็คงจะเป็นแบบพวกเขาได้อยู่หรอก”
“โถ่ท่านแม่อะ…”
เสียงเครื่องดนตรีกระทบกันเป็นเพลง สรรเสริญ เชิดชูเหล่าตัวแทนจากสำนักต่างๆ เหล่าสรรพ
สัตว์ทั้งหลายต่างก็พากันมาร่วมยินดีกับเหตุการณ์สวรรค์ในรอบ 400 ปีครั้งนี้
“นั่นๆๆๆ!!!! ร่างกายเเข็งเเรงเหมือนกระดองเต่า กล้ามมัดเนื้อแบบหมีป่า ผมเเหลมดั่งเม่น พวก
เขาต้องเป็น 3 ตัวแทนจากสำนักเทวโลกเป็นแน่ท่านแม่”
“คงเป็นเช่นเจ้าว่า ส่วนขบวนที่ตามมาคงจะเป็น เหยี่ยวเวหา ม้าพยศ สิงโตทมิฬ จากสำนักเพลิง
สินะ”
“ท่านแม่ดูผมของท่านตัวแทนจากเทวโลกซิขอรับ เท่สุดๆไปเลย ข้าอยากเห็นเขาในงานประลอง
ไวๆเหลือเกิน” เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“งานประลองจะเริ่มในอีก 2 สัปดาห์ เจ้ายังมีเวลาอีกมากเพราะฉะนั้นพลบค่ำนี้เจ้าไปช่วยข้า
ทำความสะอาดผ้านุ่งที่แม่น้ำด้วยละ” มารดาของเด็กน้อยพูดออกมาอย่างเอ็นดู คล้ายว่าอยากจะ
แกล้งเด็กหนุ่มเพียงเท่านั้น
“โถ่ ท่านแม่อะ…” เด็กหนุ่มพองแก้มอมชมพูของเขาเป็นรูปทรงกลม เป็นท่าทางที่ทำเอาคนรอบ
ข้างพากันหัวเราะกันทีใหญ่
“มาเเล้วๆ ตัวแทนจากสำนักสวรรค์” เสียงจากชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น
“หางตีวงเป็นสง่า ในมือถือดาบสองคม นั่นต้องเป็นท่านหลิวเป้ย วานรแห่งสำนักสวรรค์เป็นแน่!”
ชายแก่คนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ส่วนนั่นหูสีขาว ร่างกายสมชายชาตรี เคราเงาเป็นประกาย ถือเงี้ยวจันทร์ ต้องเป็นท่านกวนยุ่ย
เสือขาวประจำสำนักสวรรค์เป็นแท้ ส่วนคนที่ตามมาติดๆ ตัวขาวผุดผ่อง ในมือถือทวนงู หางตาที่
ใช้มองดูแคลนผู้อื่นไม่คลาดตามข่าวลือต้องเป็นจางเฟ่ย หงส์แดงจากสำนักสวรรค์เป็นแน่” หญิง
อ้วนท้วมคนหนึ่งพูดอธิบาย
“โหวกเหวก วุ่นวายกันเสียจริงๆ ข้าชักจะรำคาญ” หงส์แดงกล่าว
“จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นก็กะไรอยู่ การประลองระหว่างสำนักใช่ว่าจะมีบ่อยๆเสียทีไหนละน้อง
สาม เหล่าอมนุษย์ครึ่งสัตว์ครึ่งคนไร้พลังมีอายุขัยน้อยกว่าพวกเราถึง 3 เท่า ใช่ว่าทุกคนจะได้
พบเห็นการประลอง มีเพียงแต่ผู้มีวาสนาเท่านั้น…” วานรพี่ชายคนโตกล่าวกับน้อยชายคนเล็ก
อย่างเอ็นดู
“เฮอะ…ชั่งกะไร เเล้วท่านพี่ทั้งสองทราบข่าวเรื่องที่สำนักวารีส่งศิษย์มาเพียงผู้เดียวหรือไม่” น้อย
เล็กเอ่ยถาม
“ข้าพอจะได้ยินมาบ้าง เจ้าละชายสองทราบเรื่องใดมาหรือไม่”
“…เป็นอย่างที่น้องสามว่า สำนักวารีส่งศิษย์ในสำนักมาเพียงตนเดียว แต่เรามิอาจชะล่าใจได้ หาก
เป็น 1 ตนก็คงเป็น 1 ตนที่มากความสามารถ พวกเราต้องระวังตัวไว้ให้ดี ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดี
เกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้…” เสือขาวกล่าวเตือน
ใช้เวลาเพียง 1 เล่มเทียนเหล่าตัวแทนจากแต่ละสำนักก็มาถึง ณ จุดนัดหมายแรก “ศาลาเทวทูต”
รอบด้านของศาลาเต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวสลับชมพูที่กำลังร่วงโรย รายล้อมไปด้วยต้นไม้รากไม้
หลากหลายพันธุ์ที่โอนเอนไปตามกระเเสลมคล้ายว่ายินดีที่มีผู้มาเยือน ศาลาถูกตบแต่งด้วยลวด
ลายแบบลูอิส ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในสวรรค์จริงๆก็มิปาน
“ตัวแทนจากสำนักเพลิง หมีป่า ชุนฟง, เต่าดำ หย่งเล่อ เเละ เม่นเเคระ เฟยเทียน”
“ตัวแทนจากสำนักเทวโลก เหยี่ยวเวหา อี้ซวน, สิงโตทมิฬ เจียเฟิ่ง เเละ ม้าพยศ ไห่ถัง”
“ตัวแทนจากสำนักสวรรค์ วานร หลิวเป้ย, เสือขาว กวนยุ่ย เเละ หงส์แดง จางเฟ่ย”
“ตัวแทนจากสำนักวารี จิ้งจอกพันปี เชาเชา”
สิ้นเสียงหญิงแห่งสวรรค์ประกาศชื่อตัวแทนจากแต่ละสำนัก ผู้เฒ่าประจำศาลาก็ได้เคาะไม้เท้า
หนึ่งที ศาลาที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ก็ได้แปลเปลี่ยนเป็นบันไดที่แยกไปสี่ทาง
“บันไดสี่ทางนี้จะเป็นที่พักของพวกเจ้าตลอดฤดูการแข่งขัน เชิญพวกเจ้าเลือก ชะตาของพวกเจ้า
อยู่ในการตัดสินของพวกเจ้าเอง เเละจำจงไว้มิตรศัตรูมิใคร่รู้” ผู้เฒ่าพูดจบก็หายไปพร้อมกับหญิง
งามอีกคนเหลือทิ้งไว้เพียงตัวแทนจากสี่สำนัก…
เพียงชั่วพริบตาที่ผู้คุมหายไป เหล่าตัวแทนจากสามสำนักต่างก็ปล่อยออร่าพลังของตนออกมาเพื่อ
เป็นการข่มฝ่ายตรงข้าม มีเพียงสาวงามจากสำนักวารีที่ไม่เพียงไม่สนใจเหล่าอมุษนย์ตนอื่น แต่
นางยังเลือกเดินเข้าไปในเส้นทางของนางคล้ายตั้งใจหักหน้าตัวแทนอีกสามสำนักอย่างไงอย่างงั้น
“นี่ แม่จิ้งจอก เจ้าจะไปเส้นทางใดนั้นเป็นเรื่องของเจ้า เพียงแต่เจ้าไม่คิดว่าการที่เจ้าไปโดยมิบอก
กล่าวเช่นนี้เป็นกิริยาที่แม่หญิงอย่างเจ้าควรทำรึ” หมีป่า ชุนฟ่งจากสำนักเพลิงพูดขึ้น
“……หากข้าจะก้าวซ้าย ก้าวขวา ก้าวไปข้างหน้า หรือ ข้าจะก้าวถอยหลัง ล้วนเเล้วเเต่เป็นการ
กระทำของข้า หาใช่เรื่องของพวกเจ้า ข้าขอเตือนพวกเจ้าไว้หากมีผู้ใดมาขว้างทางข้า ข้าจะมิไว้
หน้ามันผู้ใดทั้งนั้น เเละจงเลือกเส้นทางของพวกเจ้าให้ดีๆเถิด ถือเป็นคำเตือนน้อยๆจากผู้ร่วมเดิน
ทาง……” หญิงสาวที่มีหูแหลมเหนือหัวเยี่ยงจิ้งจอกกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินหายไปในเส้นทางของ
ตน เส้นทางที่หญิงสาวเลือกเดินไปเป็นทางที่หนึ่งเส้นทางตรงคล้ายไม่มีจุดสิ้นสุด
“เฮอะ อวดดียิ่งนัก คอยดูเถอะข้าจะเป็นผู้ล้มนางในการเเข่งขันเอง” ม้าพยศ ไห่ถังจากสำนัก
เทวโลกกล่าว
“…ตามใจเจ้า พวกเราก็รีบไปเถิด เดินทางมาเหนื่อยนัก” สิงโตทมิฬ เจียเฟิ่งจากสำนักเทวโลกพูด
จบก็เดินไปในเส้นทางที่สอง เป็นเส้นทางที่ดำดิ่งลึกไปในพื้นดินคล้ายว่าพาไปยังนรกเวจีก็มิเกิน
ไม่นานนักตัวแทนทั้งสามจากสำนังเพลิงก็เลือกเดินไปในเส้นทางที่สี่ที่มีบันไดสูงขึ้นไปยังด้านบน
หากเส้นทางไปหยุดอยู่บนสุริยาก็ไม่แปลกใจนัก
เหลือไว้เพียงสามพี่น้องร่วมสาบานจากสำนักสวรรค์ เเละเส้นทางที่เหลือไว้เป็นเส้นทางที่สาม เป็น
เส้นทางคดเคี้ยวคล้ายว่าครั้งหนึ่งเทพอุรคเคยเดินทางมายังที่นี่ เเละสร้างรอยเหล่านี้เอาไว้
วานร เสือขาว เเละหงส์แดงได้ก้าวเข้าไปสู้เส้นทางที่สาม เมื่อตัวแทนจากสี่สำนักหายไปเส้นทาง
บันไดสี่เส้นก็ได้หายไปเช่นเดียวกัน บรรยากาศรอบกายได้กลับมาเป็นศาลาที่มีผู้เฒ่ายืนอยู่อีกครั้ง
“พวกเจ้าจะผ่านบททดสอบจากทวยเทพได้หรือไม่นั้น ล้วนอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง” ชายแก่กล่าว
ออกพร้อมกับลูบเคราของตัวเองก่อนจะหายไปอีกครั้ง
ต้นไม้รากไม้นานาชนิดรายล้อมรอบทางเดิน สัตว์แปลกหน้าไม่คุ้นตาปรากฎตัวให้แปลกใจอยู่เป็น
ครั้งคราว พื้นดินจากแห้งกรังเริ่มเเปลเปลี่ยนเป็นชุ่มน้ำคอยรั้งผู้เดินผ่านไปผ่านมาไว้
“เป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงน้องรอง นี่ไม่ใช่เส้นทางไปยังที่พักของพวกเราหากแต่นี่เป็นบททดสอบจาก
ทวยเทพ คล้ายว่าต้องการหลอกให้เราตายใจว่ามีเวลาพักผ่อนอีก 2 สัปดาห์ก่อนจะเริ่มการเเข่ง
ขันแต่เเท้จริงเเล้วบททดสอบนั้นเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่พวกเราย่างก้าวเข้าไปในศาลานั่นเเล้ว” พี่โตอย่าง
วานรพูดขึ้น
“…ข้าว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเราเองจะเป็นฝ่ายลำบาก เส้นทางเริ่มแปลเปลี่ยนไปเรื่อยๆเเล้ว
ข้าว่าพวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็ว!!”
“เห้ย!!!!”
ก่อนที่เสือขาวจะพูดจบเขาก็ได้ยินเสียงของน้องเล็กอย่างหงส์แดงร้องขึ้นมา ตามด้วยภาพที่น้อง
เล็กถูกโคลนดินกลืนไปทั้งตัว
“น้องเล็ก!!” วานรพี่ใหญ่ ใช้ยุทธ์พายุของตนใส่ไปในจุดที่หงส์แดงหายไปแต่ก็มิทันการณ์ ไม่ช้า
โคลนก็ค่อยๆยึดขาของวานรไว้ ไม่ว่าจะใช้ยุทธ์ใส่มันเท่าไหร่ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะคลายออก ยื้อยุดอยู่
นานท้ายที่สุดวานรพี่ใหญ่ก็ถูกกลืนไปอีกคน
ทิ้งไว้เพียงเสือขาวที่ยืนนิ่งคล้ายว่าใช้ความคิดอยู่ ไม่เพียงว่าโคลนดินไม่ดูดกลืนเสือขาว แต่ ณ จุด
ที่เสือขาวยืนอยู่นั้นเป็นเพียงจุดเดียวที่เป็นดินเเข็งแห้งแร้ง
“หากจิตหวั่นไหว สิ่งรอบกายก็จะแปลผันไปตามอารมณ์ของผู้เดินทาง น้องเล็กคงจะกลัวสัตว์
หน้าตาประหลาดทำให้จิตฟุ้งซ่านไปชั่วขณะ เลยถูกโคลนกลืนลงไป ส่วนพี่ใหญ่ก็กะวนกะวายใจ
เนื่องจากน้องเล็กหายไปทำให้จิตหวั่นไหวเลยถูกโคลนกลืนลงไป……” เสือขาววิเคราะห์
“ข้าหวังว่าพวกท่านจะรอดมาได้…” ไม่นานพื้นดินที่แข็งแรงของเสือขาวก็แปลเปลี่ยนดินโคลน
และดูดกลืนเสือขาวไปในที่สุด
‘เตียวหุย เจ้าเมาสุราอีกแล้วรือ’
‘ข้าฝากเมืองไว้กับเจ้า ข้าไว้ใจเจ้าน้องข้า’
‘ท่านเตี่ยวหุย! ท่านพูดเกินไปเเล้วนะท่าน!!!’
“หงส์แดงได้แต่มึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า ผู้คนมากหน้าหลายตาที่ไม่คุ้นเคย บ้านเรือนเมืองนอน
ที่แปลกตา คล้ายว่าเขากำลังอยู่ในความทรงจำของผู้ใดสักคน…
‘ที่ท่านเเพ้ศึก ไม่ใช่ว่าท่านไม่เก่ง เเต่ท่านยังขาดกุนซือ ที่คอยวางเเผน’
‘ท่านเเน่ใจหรือว่าท่านจะปล่อยโจโฉไป เพื่อทดเเทนบุญคุณนะ’
ทั้งสามได้เข้าไปสู่เหตุการณ์ที่ตนไม่คุ้นตา ล้วนเเล้วแต่ไร้ความหมายหากแต่พวกเขาหวั่นไหวกับ
เหตุการณ์เหล่าเขาจะต้องกลายเป็นเดียวกับปีศาจตนนี้
เหตุการณ์วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ภาพเดิมๆ คำพูดเดิมๆถูกฉายซ้ำๆคล้ายเป็นการย้ำเตือน “โคลน
ตม” ปีศาจที่ครั้งก่อนเป็นเทพที่ถูกเนรเทศลงมายังโลก เเละตายเพราะการทำบาป มันจะคอย
กักขังผู้คนที่จิตอ่อนเเล้วเล่าเรื่องราวจากในอดีต ปัจจุบัน เเละภพชาติก่อน ฉายซ้ำๆ ผู้ที่ถูกโคลน
ตมกลืนไปจะไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด จะไม่รู้สึกถึงตัวตนของตนเอง จะลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่เคยมี เเละเคยเป็นในชาตินี้ หากว่าในตอนท้ายพวกเขาลืมสิ้นทุกอย่างทั้งตัวตน ร่างกาย และ
วิญญาณของตน พวกเขาจะสลายเเล้วกลายเป็นหนึ่งเดียวกับโคลนตม
ลมแรงทะลุออกมาจากโคลนตมพร้อมกับร่างของวานร ตามมาด้วยเเสงสีขาวสว่างไสวโผล่ออกมา
พร้อมกับเสือขาว ทั้งสองผ่านแบบทดสอบได้อย่างรวดเร็ว ไร้รอยขีดข่วน
“ใช่อย่างที่ข้าคิดหรือไม่น้องรอง” วานรพี่โตกล่าวถามอย่างมีนัยยะ
“เกรงว่าจะใช่ ภาพเหล่านั้นเป็นภาพในอดีตชาติของพวกเรา เจ้าโคลนนี่คงจะเข้าไปแทรกแซงใน
มิติเวลา เเละนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาใช้ในการกักขังผู้คนแต่มันหาได้มีอันตรายอะไรมากนัก มันทำได้
แค่เพียงเล่นกับความทรงจำชาตินี้ เเละชาติก่อนของผู้ถูกกลืนไปก็เท่านั้น หากเรามิหวั่นไหวกับมัน
ก็ไม่มีทางที่จะเเพ้พายให้กับมันอย่างเเน่นอน” เสือขาวกล่าว
ไม่นานก็มีกลุ่มก้อนมวลพลังงานไฟทะลุออกมาจากโคลนดิน “โอ้ยยย!! สกปรกเสียจริง ใยพวก
ท่านถึงไม่เปื้อนดินเปื้อนโคลนแบบข้าบ้างล่ะ!” เป็นหงส์แดงที่ผ่านแบบบททดสอบออกมาได้เป็น
ตนสุดท้าย
“เป็นอย่างไรบ้างน้องสาม อยู่ในนั้นเห็นอะไรมาบ้าง” เป็นวานรพี่โตที่เอ่ยถาม
“ก็ไม่เท่าไหร่ ข้าผ่านมันมาได้ง่ายๆเลยหล่ะ ข้าบอกเลยนะเจ้าโคลนนี่ทำได้ไม่ถึงครึ่งที่อาจารย์ใน
สำนักเคยฝึกพวกเราไว้อีก มันทำแค่ฉายภาพเหตุการณ์ซ้ำไปซ้ำมา ข้าละโมโหเหลือเกิน ในนั้นมี
แต่ภาพหมูอ้วนเมาสุรา บ้าราคี ไม่เอาการไม่เอางาน ถูกลูกน้องตีตายเพราะปาก ช่างน่าสมเพชยิ่ง
นัก”
“พรื้ดด!”
“พวกท่านขำอะไรกัน หน้าข้ามีอะไรติดอยู่รึ” หงส์แดงกล่าวออกมาอย่างมึนงง พร้อมกับลูบ
ใบหน้าของตัวเองไปมา
จากหนึ่งคืนกลายเป็นสอง สาม เเละสี่ เวลาล่วงเลยไปวันสู่คืน สามพี่น้องร่วมสาบานต่างจับมือกัน
ร่วมต่อสู้กับบททดสอบที่ผู้เป็นเทพส่งมาให้ เป็นสิบเป็นร้อยบททดสอบมิมีใครล่วงรู้ ภาพที่ทั้งสาม
จับอาวุธของตนสู้กับศัตรูตรงหน้าช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก ไม่ว่าศัตรูจะมีสักเท่าไหร่ พวกเขาก็มิ
เคยหวั่น หากมีหนึ่ง พวกเขาก็จะพุ่งไปสังหารมันพร้อมกัน หากมันมีร้อยพวกเขาก็จะหันหลังแนบ
กันคอยระวังให้กัน เเละกำจัดเหล่าปีศาจจนหมด
ลมของวานรคอยพัดเป่าสิ่งชั่วร้ายคอยคุ้มคอยเหล่าน้องๆ
แสงของเสือขาวคอยชี้นำพี่ชาย เเละชายน้องของเขา
เพลิงของหงส์แดงคอยแผดเผาเหล่าศัตรูที่บังอาจรุกร้ำเข้ามาใกล้เหล่าพี่ชาย
ล่วงเลยจนมาถึงบททดสอบสุดท้าย เป็นสายน้ำเชี่ยวที่อีกฝั่งเป็นประตูทางออก วานรพี่โตอาสาใช้
ลมของตนพาน้องทั้งสองข้ามไปอีกฝั่ง แต่โชคชะตาไม่เป็นใจ น้ำเหล่านั้นมีชีวิตมันสร้างร่างนิมิต
ของมันขึ้น ตบพี่น้องทั้งสามออกไปคนละฝั่ง ด้วยกระเเสน้ำที่เชี่ยวทำให้เสือขาวเป็นตนที่ผลัดหลง
กับพี่น้องทั้งสอง ก่อนจะลับตา เสือขาวเห็นเพียงวานร เเละหงส์แดงที่นอนสลบอยู่อีกด้านของ
ประตู เขาสบายใจเมื่อรู้ว่าพี่น้องของตนปลอดภัย ก่อนจะหลับตาให้น้ำเหล่านี้พาเขาท่องเที่ยวทั่ว
เขาวงกตเเห่งทวยเทพ…
โถงขนาดใหญ่รายล้อมไปด้วยผีเสื้อ แสงส่องผ่านกระจกด้านบนสุด รูปปั้นคล้ายเหล่าอมนุษย์อยู่
ในสภาพดี ไร้ฝุ่น เเละรอยขีดข่วน ทั้งที่สถานที่แห่งนี้มีอายุมามากกว่าหมื่นปีเเล้วอย่างแน่นอน
เสือขาวลืมตาขึ้นมากระทบกับแสงทำให้หยี่ตาไปครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกตัวเขาจึงมองสำรวจรอบด้าน
ของตน รูปปั้นมากมาย ผีเสื้อบินไปบินมาปีกของมันกระทบกับแสงสะท้อนแสงสีรุ้งออกมา ช่าง
เป็นภาพที่งดงามยิ่งนั้น เขามองสำรวจสิ่งรอบข้างอยู่นาน จนไปสดุดตากับหัวของอมนุษย์ครึ่งงูถูก
ตัดขาดครึ่งอยู่บนพื้น
“นั่นหัวของปีศาจงู ข้ามาเจอเจ้าตอนที่มันกำลังจะเขมือบเจ้าพอดี ขอบคุณข้าซะละที่ข้ามาทัน
ช่วยชีวิตเจ้า ส่วนรูปปั้นรอบๆตัวเจ้าก็เหล่าอมนุษย์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวแทนสำนักอย่างพวกเจ้า
นั่นเเหละ”
เสือขาวหันไปตามต้นทางของเสียง ก่อนจะพบกับหญิงงามจากสำนักวารี จิ้งจองพักปี เชาเชา
“เหตุใดเจ้าถึงช่วยข้า” เสือขาวถามออกไปคล้ายกับสงสัยกับจุดประสงค์ของแม่นางผู้นี้
“ข้าเพียงทำตามที่อาจารย์ของข้าบอกมา หากว่าข้าพบกับเจ้าเเล้วให้พาเจ้ากลับสำนักวารีของ
พวกเราไปให้ได้ ข้าไม่รู้ความต้องการของเหล่าอาจารย์หรอกนะ อย่าได้ไถ่ถามต่อ” จิ้งจอกสาวก
ล่าวอย่างจริงใจ
“ข้าขอปฎิเสธ” เป็นเสือขาวที่กล่าวตัดลม
“ข้าก็คิดอยู่เเล้วว่าเจ้าจะพูดเช่นนั้น ข้าเลยพกของเหล่านี้มา” พูดจบหญิงสาวก็หยิบถุงขนาดเล็ก
ออกมาก่อนจะใช้มือของนางสอดไปในถุงเล็กถุงนั้นคล้ายว่ามันใหญ่มาก
“อะ เจอเเล้ว นี่เป็นตำราเเห่งเเสงจากห้องสมุดทวยเทพที่ข้าไปขโมยมาเมื่อพันปีก่อน ข้ายกให้
เจ้า” พูดจบนางก็โยนหนังสือเล่มนั้นให้กับเสือขาว
“เจ้ามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มากี่ปี” เป็นเสือขาวที่กล่าวถามจิ้งจอกสาว
“เจ้าไม่รู้หรอกหรอว่าการถามเรื่องอายุกับหญิงสาวเป็นสิ่งที่มิควรทำ”
“งั้นเจ้าจงเอาสมุดที่เจ้าขโมยมาไปคืนยังที่ของมันเถิด ชายหนุ่มโยนมันกลับไปยังทิศทางเดิม”
ก่อนจะหันหลังเดินไปอีกทาง
“ช้าก่อน! หากเจ้าไปกับข้า ข้าจะมอบสาวงามให้เจ้า ข้าจะ…ข้าจะมอบถุงเงินจำนานมหาศาลให้
กับเจ้า”
เสือขาวไร้ความสนใจกับสิ่งที่หญิงงามกล่าวออกมา
“ก็ได้ๆ ข้าจะยกกระบี่เหินฟ้าให้กับเจ้า สนใจข้าได้รึยัง” หญิงสาวกล่าวออกอย่างหมดอาลัยตาย
อยาก
เป็นเสือขาวที่หยุดชะงัก ก่อนจะหันมาพูดกับหญิงสาว “หากข้ารับสิ่งนั้นมา ข้าจะต้องไปกับเจ้ารึ”
““ใช่ เจ้าอยากได้ละสิ นี่เป็นดาบในตำนานเชียวนะ เป็นดาบของผู้เฒ่าเต่าที่เป็นผู้สร้างสำนักเจ้า
ขึ้นมานั่นเเหละ”
“ข้าขอปฎิเสธ” เสือขาวกล่าวออกอย่างไร้เยื่อใย เเม้ว่าเขาจะต้องการดาบนั้นเพื่อใช้ไปตามหา
เหล่าพี่น้องของเขามากเท่าไหร่ แต่เขาก็มิอาจทรยศต่อสำนักได้เช่นเดียวกัน
ก่อนที่เสือขาวจะได้ก้าวออกไป เขาถูกมวลพลังมหาศาลรัดตึงตัวเขาล้มไปกับพื้น ไม่ว่าจะดิ้นเพียง
ใด ใช้พลังออกไปเท่าไหร่เขาก็มิอาจตัดมวลพลังเหล่านี้ออกไปได้
“ข้าอยู่มาเป็นหมื่นๆปี ไม่เคยมีใครปฎิเสธข้อเสนอของข้าแบบเยี่ยงเจ้า ข้าโมโหยิ่งนัก ข้าขอถาม
เจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะรับดาบเล่มนี้ไป หรือ เจ้าจะตายไปตรงนี้!”
“ข้าขอตาย”
“ข้าคิดไว้อยู่เเล้วว่าเจ้าต้องเลือกไปกับข้า……ห๊าาา!!!! ไอเด็กนี่!” จิ้งจอกสาวใช้กระบี่ที่เป็นข้อ
เสนอจ่อไว้ที่ใบหน้าของเสือหนุ่ม
“เจ้าอยากตายนักหรือยังไงไอเจ้าเสือขาว” พูดจบหญิงสาวก็ใช้กระบี่กรีดไปที่ใบหน้าฝั่งซ้ายของ
ชายหนุ่ม เป็นรอยเลือดขนาดเล็ก หากแต่มันจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้อย่างแน่นอน
ชายหนุ่มหาได้สนใจเรื่องแผลบนใบหน้าของตน “ข้าไม่ขอทรยศต่อสำนัก และพี่น้องร่วมสาบาน
ของข้าอย่างเด็ดขาด หากเป็นเช่นนี้ข้าขอยอมตายซะยังดีเสียกว่า…” ชายหนุ่มกล่าวออกมาพร้อม
กับหลับตาของตนอย่างไร้ความเกรงกรัวต่อความตายตรงหน้า
“………ชิ”
“ข้าปล่อยเจ้าไปก็ได้ ถือว่าเห็นแก่ความภักดี ไม่ทิ้งคำสาบานที่ให้ไว้กับพวกพ้อง แต่หากมีคราว
ครั้งหน้าข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ ส่วนกระบี่เล่มนี้ข้ามอบให้เจ้า เดิมทีมันก็เป็นของสำนักพวกเจ้าอยู่
แล้ว ผู้เฒ่าเต่าก็คงจะต้องการเช่นนี้…”
ชายหนุ่มถูกปลดพันธนาการจากมวลพลังของหญิงสาว ก่อนที่เขาจะใช้กระบี่เล่มนั้นเหินขึ้นฟ้าเขา
ได้ทิ้งท้ายประโยคให้กับหญิงสาวไว้ “ช่างเป็นจิ้งจอกที่งดงามยิ่งนัก”
เป็นจิ้งจอกสาวที่หันมาพร้อมกับใบหูที่แดง แม้ว่าชายหนุ่มจะกล่าวออกมาอย่างเบาๆ แต่เยี่ยงไร
จิ้งจอกสาวที่หูดีอย่างนางก็ได้ยินอยู่ดี “ขอให้เจ้าโชคดีก็เเล้วกันพ่อเสือขาว…”
พูดจบหญิงสาวก็เรียกนกพิราบเตี่ยวเลี่ยวออกมาให้ไปรายงานว่านางพาเสือขาวกับสำนักไปมิได้
ก่อนนางจะหายไปได้ก็ได้บนพึมพำออกมาคนเดียว “น่ารักเสียจริง…”
เป็นเสือขาวที่เจอเหล่าพี่น้องของตนที่กำลังมึนงงเนื่องจากพึ่งฟื้นสติได้ เมื่อทั้งสามรวมตัวกันอีก
ครั้งพวกเขาก็พากันก้าวไปสู่ประตูแห่งทวยเทพประตูที่จะนำพวกเขาไปสู่ชัยชนะ
ศาลาที่คุ้นเคยกับผู้เฒ่าที่นั่งจิบชา พร้อมหญิงงามอีกคนที่ยืนอยู่หลังผู้เฒ่า “พวกเจ้าออกมาได้
เป็นกลุ่มแรก ถือว่าการแข่งขันครั้งนี้พวกเจ้าเป็นผู้ชนะ”
ไม่นานนักก็ได้เห็นร่างของสาวจิ้งจอกที่ออกมาจากประตูเป็นสำนักที่สอง
“เท่านี้การแข่งขันก็จบลง” เป็นผู้เฒ่าที่กล่าวออกมา
“ใยเป็นเช่นนี้ล่ะท่านผู้เฒ่า” หงส์แดงเป็นฝ่ายถาม
“ตัวแทนจากเทวโลกถูกสำนักเรียกกลับอย่างกระทันหันจึงถูกตัดสิทธิ์ไป ส่วนสำนักเพลิงหนึ่งในผู้
เข้าเเข่งขัน ถูกปีศาจงูทำให้เเข็งเป็นรูปปั้น เหล่าผู้เข้าแข่งขันที่เหลือจากสำนักเพลิงจึงขอออกจา
กการเเข็งขันเพื่อหาทางรักษาเพื่อนที่กลายเป็นหิน เเละนับรวมพวกเจ้าทั้งสี่ก็ครบเป็นสี่สำนัก
การแข็งขันจึงจบลงเพียงเท่านี้ ข้าจะส่งจดหมายรายงานผลการเเข็งขันไปยังสำนักที่พวกเจ้าสังกัด
ส่วนพวกเจ้าก็กลับสำนักของพวกเจ้าไปได้เเล้วล่ะ…”
“ขอบคุณท่านผู้เฒ่ามากขอรับ” เป็นวานรพี่โตที่กล่าวออกมา
“อืม ข้าไปล่ะ ยังมีงานที่ทำอยู่อีกมาก” ก่อนที่ผู้เฒ่าจะจากไปก็ได้หันมาสบตากับจิ้งจอกชั่วครู
คล้ายว่าทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน ก่อนที่ผู้เฒ่าจะหายตัวไปพร้อมกับหญิงอีกคน
“หน้าเจ้าไปโดนอะไรมาน่ะพี่รอง” เป็นหงส์แดงที่ถาม เมื่อเห็นรอยเลือดเล็กๆจากใบหน้าหล่อๆ
ของพี่ชายของตน
“ไม่มีอันใดหรอก เพียงแค่มีจิ้งจอกหน้าเปื้อนโคลนในป่าโมโหข้าเข้า มันเลยเอาเล็บมาข่วนหน้าข้า
เพียงเท่านั้น หาได้เจ็บอันใดไม่ พวกเราก็ไปกันเถอะ” พูดจบเหล่าสามพี่น้องก็เดินไปสู่ประตู
ทางออก ก่อนจากไปเสือขาวได้ทันหันไปมองใบหน้าเปื้อนโคลนของสาวจิ้งจอกที่กำลังแดงได้ที่
เสือขาวอมยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวบอกลาจิ้งจอกสาว
“ไว้เจอกันใหม่ เเม่หญิงงามเปื้อนโคลน…”