The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อารยธรรมเมโสโปเตเมีย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Saranya Srivichian, 2022-11-26 11:14:24

อารยธรรมเมโสโปเตเมีย

อารยธรรมเมโสโปเตเมีย

อารยธรรม
เมโสโปเตเมีย

อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
ภาษคาำอัวง่ากเฤมษโสแโปปลเตว่เามีMย iเdป็dนlภeา
ษแาลกะรคีกำวม่าาจPาoกtคaำmว่าoMs esos

ภาษาอังกฤษแปลว่า River รวมความแล้วหมายถึง
“ดินแดนระหว่างแม่น้ำ” (land between the rivers)

ได้แก่ที่ราบระหว่างแม่น้ำไทกริส (Tigris) ทางตะวันออกและ
แม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates) ทางตะวันตกพื้นที่นี้ตั้งอยู่ทาง
ทิสตะวันตกเฉียงใต้ของเอเชียในบริเวณที่เชื่อมต่อระหว่าง
ทวีปเอเชีย ยุโรป และแอปริกา โดยเฉพาะทางตะวันตก
เฉียงเหนือซึ่งหันออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นจุดเชื่อมโยง
ติดต่อกับอารยธรรมอียิปต์โบราณพื้นที่ของแหล่งอารยธรรม
ทั้งหมดจะกินอาณาบริเวณจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปสู่
อ่าวเปอร์เซียมีลักษณะเป็นรูปเสี้ยวจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
“ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์” ครอบคลุมดินแดน
บางส่วนในประเทศอิรักและซีเรียในปัจจุบันถือเป็นแหล่งกำเนิด
อารยธรรมเก่าแก่แห่งแรกเมื่อราว 3,500 ปี

ชาวเมโสโปเตเมียเริ่มเรียนรู้การใช้โลหะทองแดงและพบหลักฐานความรู้
เกี่ยวกับภูมิศาสตร์และดาราศาสตร์ ถัดมาประมาณ 3600-2800
ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งอยู่ในยุคอูรุก (Uruk) ถือเป็นการเริ่มต้น
อารยธรรมเมืองในลักษณะนคร-รัฐ (city-state) และที่นี้มีวิหารสอง
แห่ง คือ วิหารสำหรับบูชาเทพอาทิตย์และวิหารสำหรับบูชาเทพอินันนา
(Inanna) ซึ่งเป็นเทพีแห่งความรักและความอุดมสมบูรณ์

ซิกกูแรต

เทพีอินันนา

เทพี Inanna เทพในช่วงนี้ของเมโสโปเตเมียมีหลายองค์
เช่น วัวกระทิง ซึ่งมีความหมายถึงสวรรค์ Enlil เป็นเทพของสายฟ้า
หรือดินฟ้าอากาศ Ea เป็นเทพแห่งน้ำและมีการสร้างวิหารที่เรียกว่า
“ซิกกูแรต” (Ziggurat) หมายถึง ห้องรอคอยเพื่อบูชาหรือพบพระเจ้า

คนกลุ่มแรกที่สร้างอารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้นคือชาวสุเมเรียน
ผู้คิดประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกอารยธรรมที่ชาวสุเมเรียนขึ้น
เป็นพื้นฐานสำคัญของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย สถาปัตยกรรม ตัวอักษร

ศิลปกรรมอื่นๆ ตลอดจนทัศนคติต่อชีวิตและเทพเจ้าของชาวสุเมเรียน
ได้ดำรงอยู่และมีอิทธิพลอยู่ในลุ่มแม่น้ำทั้งสองตลอดช่วงสมัยโบราณ

อักษรคูนิฟอร์ม เทพเจ้ามาร์ดุก

จากความมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรืองของชาวเมโสโปเตเมียได้ดึงดูดกลุ่ม
ชนอัคคาเดียนซึ่งเป็นกลุ่มของพวกเซไมทและบรรพบุรุษของชาวยิว
Hebrew ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ในคาบสมุทรอารเบีย (Arabia) ได้แทรกซึม
เข้ามาในดินแดนของชาวสุเมเรียนและได้ยึดครองเมโสโปเตเมียประมาณปี
2,360 ก่อนคริสตกาล ชาวอัคคาเดียนได้ปกครองดินแดนเมโสโปเตเมีย
อยู่ประมาณ 200 ปี กษัตริย์ที่สำคัญของอัคคาเดียนคือพระเจ้าซาร์กอน
การรวมครั้งนี้มีผลให้อารยธรรมของพวกสุเมเรียนจากตอนล่างของลุ่ม
แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสได้ขยายขึ้นเหนืออย่างกว้างขวางผลจากการครอบ
ครองสุเมเรียนของชาวอัคคาเดียนทำให้เทพเจ้าของพวกเขา ชื่อว่า “มาร์ดุก”
(Marduk) เข้ามาเป็นเทพเจ้าสูงสุด

ชนชาติถัดมาที่เข้ายึดครองดินแดนเมโสโปเตเมียคือ ชาวบาบิโลนซึ่งเป็นเมืองที่
ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองยูรุก (Uruk) ใกล้แม่น้ำยูเฟรตีสในสมัยนี้มี
กษัตริย์ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม “ฮัมมูราบี” เป็นผู้สร้างความยิ่งใหญ่และความ
เจริญแก่ดินแดนเมโสโปเตเมียโดยเฉพาะอย่างยิ่งการบัญญัติกฎหมายบังคับ
ใช้ในดินแดนของพระองค์ เรียกว่า “ประมวลกฎหมายแห่งฮัมมูราบี” (Code
of Hammurabi) กฎหมายนี้มีลักษณะการลงโทษแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
กฎหมายนี้มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการควบคุมคนแทนการ
ใช้จารีตประเพณีและความเชื่อในอำนาจศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้า

หินจารึกกฎหมายฮัมมูราบี

หลังจากกษัตริย์ฮัมมูราบีสิ้นอำนาจลง ก็มีชนเผ่าหลายชนเผ่า ได้แก่
ชาวฮิตไตท์ (Hitties) ชาวแคสไซส์ (Kassites) ชาวอีลาไมล์
(Elamites) และชาวอัสซีเรียน (Assyrians) แต่ชาวอัสซีเรียนถือว่าเป็น
ชนเผ่าที่มีบทบาทในการสร้างอารยธรรมอย่างโดดเด่น โดยในช่วงแรก
ได้ย้ายเมืองจากหลวงจากกรุบาบิโลนมาตั้งที่เมืองอัสซูร์ (Assur)
ซึ้งตั้งอยู่บนริมฝั่งตอนกลางของแม่น้ำไทกริส และได้ครองอำนาจถึงขีด
สุดระหว่าง 712-612 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอัสซีเรียนได้ขยายอำนาจ
การปกครองครอบคลุมไปถึงซีเรียนปาเลสไตน์และบางส่วนของอียิปต์

จากอำนาจและบทบาททางอารยธรรมของชาวอัสซีเรียนทำให้เทพอสูร (Assur)
ซึ่งเป็นเทพประจำเมืองอัสซูร์ได้รับการยอมรับนับถืออย่างกว้างขวางและมีความ
สำคัญเท่ากับเทพมาร์ดุก (Marduk) ซึ่งเป็นเทพเจ้าของชาวอัคคาเดียนเดิมและ
ได้ขยายอิทธิพลความเชื่อต่ออารยธรรมอื่นๆ เช่น เปอร์เซียและอินเดียแต่ด้วย
ความโหดร้ายของชาวอัสซูร์ทำให้ประชาชนต่อต้านและเสื่อมอำนาจลงในที่สุด
ต่อมาชาวอัสซีเรียนพ่ายแพ้สงครามต่อชาวเมเดสและชาวเมืองบาบิโลน
อำนาจการปกครองจึงเปลี่ยนไปและเริ่มต้นยุคใหม่เรียกยุคนี้ว่า “ยุคบาบิโลน
ใหม่” หรือ “นีโอบาบิโลน” (Neo Babylon) ภายใต้การปกครองของพระเจ้าเน
บุชัดเนซซาร์ที่สอง กษัตริย์พระองค์นี้ถือว่าเป็นกษัตริย์นักรบที่เก่งกาจพระองค์
ได้
ยกทัพไปรบชนะชาวยิวยึดครองนครเยรูซาเล็มได้เชลยชาวยิวมาเป็นแรงงาน
ในยุคของพระองค์ได้มีการก่อสร้างวิหารและพระราชวังหลายแห่งและผลงาน
ทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญและถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดแห่งของโลก
สมัยโบราณคือ “สวนลอยแห่งเมืองบาบิโลน” (The hanging gardens of
Babylon) ซึ่งเป็นสวนที่มีถนนกว้างปูลาดด้วยแผ่นหินและลาดด้วยยางมะตอย
เพื่อให้เป็นเส้นทางของขบวนแห่เฉลิมฉลองเทพมาร์ดุก

สวนลอยบาบิโลน


Click to View FlipBook Version