มนุษยต์ อ้ งอยรู่ ่วมกนั กบั บุคคลอืนในสงั คม ไม่มีการแยกตวั ออกไปอยโู่ ดดเดียวตามลาํ พงั ประสบการณ์ต่างๆ ทีบุคคลไดร้ ับเป็น
ประสบการทีเกียวขอ้ งกบั การปฏิสมั พนั ธ์ หรือมีความสมั พนั ธ์กบั บุคคลอืนในสงั คม ความสมั พนั ธ์ของคนในสงั คมจะเกิดขึนต่อเมือบุคคล
2 คนหรือมากกวา่ ตดิ ต่อสือสาร กนั และมีความสมั พนั ธ์ต่อกนั เช่น พดู คุย วางแผนงานร่วมกนั ร่วมงานกนั ต่อตา้ นหรือแข่งขนั กนั
หรือแมแ้ ต่ขณะอยคู่ นเดียวยงั นาํ เอาความคิดและการปฏิบตั ิของสงั คมมาใช้ เช่น การรับประทานอาหาร การแต่งกาย สงั คมรอบตวั จะมี
อิทธิพลต่อพฤติการณ์ของมนุษย์ ทงั ในดา้ นความรู้สึกนึกคิด การรับรู้และการแสดงออกต่างๆ
มอร์ริสสนั และแมคอินไตย์ (Morrison and Macintiyre. 1975 : 21 อา้ งในศกั ดิไทยสุรกิจบวร : 2545,23) ใหค้ วามหมายพฤติกรรม
ทางสงั คมวา่ เป็นพฤติกรรมทีคนเรากระทาํ ออกไป โดยมีสาเหตุจากผอู้ ืน หรือพฤติกรรมของเราเองทีส่งผลกระทบต่อผอู้ ืน เช่น
บรรยากาศการเรียนการสอนเคร่งเครียดทาํ ใหผ้ เู้ รียนเกิดความเครียดตามไปดว้ ย
เกตเซลาและธนั เลน (Getzela and Thanlen ใน Morrison and Macintiyre 1975 : 21) ไดอ้ ธิบายพฤติกรรมสงั คม โดยเสนอในรูป
ของแผนภูมิการเกิดพฤติกรรมทางสงั คม ดงั ภาพ
ภาพที 2 การเกิดพฤติกรรมทางสงั คม
พฤติกรรมทางสงั คม เกิดขึนตามรูป ซึงมีตวั แปรหลกั 2 ประเภท คือ
1. มติ ทิ างสังคม (Normative Dimension) ประกอบดว้ ยตวั แปรในมิติทีเกียวขอ้ งกบั สงั คม คือ สถาบนั (Institution) บทบาท
(Role) และความคาดหวงั (Expectation)
2. มติ สิ ่วนบุคคล (Personal Dimension) ประกอบดว้ ยตวั แปรในมิติทีเกียวขอ้ งภายในตวั บุคคล คือ บุคคล (Individual)
บุคลิกภาพ (Personality) และอารมณ์ (Necd – disposition)
มิติทงั 2 ประกอบดว้ ยตวั แปรทีมีความสมั พนั ธ์และมีอิทธิพลในการกาํ หนดพฤตกิ รรมในระบบสังคม ถา้ ระบบสงั คม คือ
ครอบครัว ครอบครัวกค็ ือสถาบนั ซึงมีหนา้ ทีอบรมสงั สอน ฝึกฝนใหส้ มาชิกในครอบครัวดาํ รงชีวติ อยใู่ นสงั คมส่วนรวมได้ แต่ละคนใน
ครอบครัวต่างมีหนา้ ที ตาํ แหน่ง สถานภาพทีตอ้ งแสดง เช่น บทบาทการเป็นพอ่ แม่ พี นอ้ ง ลูก หรือหลาน
การเรียนรู้บทบาทของตนหรือการแสดงบทบาทของตน และการเรียนรู้บทบาทของผอู้ ืน ทาํ ใหเ้ ราสามารถสร้างความสมั พนั ธ์
ระหวา่ งกนั และกนั ขึนมาได้ พฤติกรรมทางสงั คมจึงเกิดจากการมีความสมั พนั ธ์ระหวา่ งกนั ของบุคคล การแสดงบทบาทของบุคคลขึนอยู่
กบั สงั คมหรือหมู่คณะทีบุคคลนนั เป็นสมาชิกอยู่ บุคคลตอ้ งรู้จกั ปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สงั คม เช่น การเป็นนกั ศึกษาใหม่ ขา้ ราชการใหม่
พนกั งานใหม่ การเรียนรู้บทบาทเหล่านีเกิดจากการอบรมสงั สอนใหร้ ู้ระเบียบกฎเกณฑข์ องสงั คม ซึงเรียกวา่ "การอบรมทางสงั คม"
กระบวนการเรียนรู้ระเบียบของสงั คม หรือสงั คมประกิต (Socialization) ซึงอาจเป็นการเรียนรู้จากการสงั เกตการณ์กระทาํ การแสดงออก
ของคนอืนๆ รวมทงั การเรียนแบบกระบวนการเรียนรู้นีประกอบดว้ ย
1. การเรียนรู้ทีจะประพฤติในแนวทางทีสงั คมยอมรับ
2. การแสดงบทบาททางสงั คมทีเหมาะสม
3. การพฒั นาทศั นคติเชิงสงั คมทีดี
สงั คมประกิต (Socialization) เป็นกระบวนการสอนใหค้ นมีพฤติกรรมเหมาะสมกบั ปทสั ถานของสงั คม โดยตอ้ งสอนใหค้ น มี
พฤติกรรมเป็นทียอมรับของสงั คม มีความคิดสร้างสรรค์ ดงั นนั จึงตอ้ งใหเ้ กิดการเรียนรู้ การซึมซบั และการนาํ ไปปฏิบตั ิได้ โดยเนน้ ให้
คนๆ นนั มีเสรีภาพในการแสดงออกและสามารถตดั สินใจไดเ้ อง สงั คมประกิตทีดีตอ้ งสร้างใหเ้ กิดความมีวนิ ยั ในตนเอง มีความรับผดิ ชอบ
รู้วา่ อะไรควรหรือไม่ควร เป้าหมายของสงั คมประกิตทีดี คือ
1. เพือช่วยใหบ้ ุคคลมีระเบียบวนิ ยั เป็นของตนเอง การปฏิบตั ิหนา้ ทีต่างๆ
2. เพือช่วยใหบ้ ุคคลมีแรงจูงใจในการกระทาํ สิงต่างๆ
3. เพือช่วยสอนค่านิยมทางสงั คม ตลอดจนบทบาทต่างๆ ใหก้ บั บุคคลเพือรู้วา่ อะไรควรหรือไม่ควรประพฤติ และเสริมสร้าง
เจตคติ ประจาํ ตวั บุคคลในการแสดงบทบาทต่างๆ ใหเ้ หมาะสม เช่น การเป็นผนู้ าํ การเป็นนกั เรียน
4. เพือเตรียมสมาชิกแต่ละคนใหม้ ีทกั ษะและความรู้ในการทาํ งานเพือเป็นผใู้ หญ่ ซึงจะสามารถช่วยใหส้ ามารถประกอบกิจกรรม
ต่างๆ ไดบ้ ุคคลทีมีบทบาทในกระบวนการสงั คมประกิตหรือการอบรมทางสงั คมหรือผทู้ ีทาํ หนา้ ทีในการถ่ายทอดความคิด ความเชือ
เจตคติ กฎเกณฑ-์ แบบแผนของสงั คม ไดแ้ ก่
1. บิดามารดา ผปู้ กครอง ซึงเป็นบุคคลกลุ่มแรกทีทาํ หนา้ ทีในการอบรมทางสงั คมใหก้ บั สมาชิกใหม่ในครอบครัว
2. กลุ่มเพือนเล่น ไดแ้ ก่ เพือนเล่นวยั เดียวกนั เพือนในโรงเรียน เพือนเล่นขา้ งบา้ น ซึงทาํ ใหเ้ กิดการเรียนรู้ การรักพวกพอ้ ง การ
ร่วมมือ การแข่งขนั เรียนรู้กติกาการเล่นต่างๆ
3. สถานศึกษา เป็นตวั แทนของสงั คมทีใหก้ ารศึกษาอบรมอยา่ งมีแบบแผน เพือใหม้ ีความรู้ทางวชิ าการและจริยธรรม โดยมีครู
เป็นบุคลากรทีสาํ คญั
4. กลุ่มอาชีพต่างๆ ซึงแต่ละกลุ่มจะมีระเบียบปฏิบตั ิใหก้ บั สมาชิกแตกต่างกนั
5. สือมวลชน ไดแ้ ก่ วทิ ยุ โทรทศั น์ หนงั สือพิมพ์ ภาพยนตร์ ซึงเป็นแหล่งทีจะใหค้ วามรู้และอบรมสมาชิกในสงั คมทงั ในดา้ นดี
และไม่ดี ช่วยใหแ้ ต่ละบุคคลเกิดการเรียนรู้ บทบาทต่างๆ ในสงั คม รูปแบบอิทธิพลทางสงั คม
ในการศึกษาเกียวกบั พฤติกรรมทางสงั คมนนั เป็นการศึกษาเกียวกบั อิทธิพลของบุคคลอืนทีมีต่อความคิด ความรู้สึก และ
พฤติกรรมของบุคคล อนั เป็นผลมาจากการปฏิสมั พนั ธ์ทางสงั คมหรือการติดต่อสมั พนั ธ์กนั ทงั ทางตรงและทางออ้ ม เช่น อิทธิพลระหวา่ ง
บุคคล อิทธิพลระหวา่ งกลุ่ม อิทธิพลของวฒั นธรรม ค่านิยม ความเชือ ตลอดจนความคาดหวงั ของสงั คมทีมีต่อบุคคลในสงั คม
ตวั อยา่ งเช่น ขณะรับประทานอาหาร ลูกชายคุยกบั ลูกสาวเสียงดงั คุณแม่กส็ ่งสายตาตาํ หนิไปยงั ลูก ทาํ ใหล้ ูกหยดุ คุย จะเห็นไดว้ า่
การส่งสายตาของแม่มีอิทธิพลทีทาํ ใหพ้ ฤติกรรมของลูกเปลียนไป และการส่งเสียงดงั ของลูกกท็ าํ ใหแ้ ม่ตอ้ งหยดุ รับประทานอาหาร เช่นนี
แสดงวา่ มนุษยม์ ีอิทธิพลทางสงั คม (Social Influence) ต่อกนั คาํ วา่ "อิทธิพลทางสงั คม" (Social Influence) หมายถึง การทีพฤติกรรมของ
บุคคลหนึงๆ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลอืน
ชีวติ ของคนในสงั คมอยภู่ ายใตอ้ ิทธิพลสงั คมทงั ทางตรงและทางออ้ ม ไดม้ ีการทดลองเพือศึกษาถึงอิทธิพลของสงั คมทีมีต่อมนุษย์
โดยใหน้ กั ศึกษาแต่งตวั ปอนๆ เดินขา้ งถนนฝ่ าฝืนสญั ญาณไฟ ปรากฏวา่ มีผเู้ ดินตามนกั ศึกษาคนนนั 4 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาในสถานการณ์
หนึงใหน้ กั ศึกษาคนเดียวกนั นนั แต่งตวั ภูมิฐาน แลว้ ใหเ้ ดินขา้ มถนนฝ่ าฝืนสญั ญาณไฟเช่นกนั ปรากฏวา่ มีผเู้ ดินตามนกั ศึกษาผนู้ นั 14
เปอร์เซ็นต์ การทดลองดงั กล่าวแสดงใหเ้ ห็นถึงความสาํ คญั ของสิงเร้าทางสงั คม (Social Stimuli) ทีมีต่อพฤติกรรมของมนุษย์ ทาํ ใหเ้ กิดการ
ทาํ ตามหรือการเลียนแบบ
พฤติกรรมในการทาํ ตามหรือเลียนแบบขา้ งตน้ จะเกิดขึนโดยผา่ น 3 กระบวนการ คือ การเร้า การเสริมแรง และการประเมิน ดงั
กล่าวต่อไปนี
1. การเร้าทางสังคม
การทีมนุษยอ์ ยรู่ ่วมกนั ในสงั คม พฤติกรรมทางสงั คมทีแสดงออกเกิดจากการเร้าทางสงั คมทงั สิน เช่น เร้าใหก้ ระตือรือร้น เร้าให้
เกิดความรู้สึกต่างๆ เป็นตน้ "สิงเร้าทางสงั คม" หมายถึง บุคคลทีมีอิทธิพลซึงเพียงแต่บุคคลอืนปรากฏการณ์เท่านนั จะมีผลต่อพฤติกรรม
ของสงั คม จะเห็นวา่ คนไขเ้ มือไดฟ้ ังคาํ พดู ของนายแพทยท์ ีปลอบใจ กจ็ ะทาํ ใหม้ ีกาํ ลงั ใจในการต่อสูก้ บั อาการเจบ็ ป่ วยจากทีเคยเบือหน่าย
ในชีวติ กข็ ยนั ปฏิบตั ิตนตามทีหมอแนะนาํ
โรเบิร์ต ซาจอนซ์ (Robert Zajone) ผสู้ ร้างทฤษฎีการเร้าทางสงั คม กล่าววา่ ถา้ งานง่ายเป็นสิงทีไดเ้ รียนรู้มาแลว้ อยา่ งดี บุคคลจะทาํ
หนา้ ทีไดเ้ ร็วและดีขึน แต่ถา้ เป็นงานยากหรือซบั ซอ้ นหรือไม่คุน้ เคย ซึงปกติบุคคลจะทาํ ผดิ ไดง้ ่ายอยแู่ ลว้ เมือมีคนอืนอยดู่ ว้ ยจะทาํ ใหง้ าน
นนั ดูเหมือนยากและทาํ ผดิ บ่อยขึน
2. การเสริมแรงทางสังคม
พฤติกรรมทางสงั คม เกิดจากการเร้าโดยบุคคลอืนทีเขา้ มาเกียวขอ้ ง นอกจากการเร้าแลว้ การเสริมแรงทางสงั คมกม็ ีความสาํ คญั
มากในการแสดงถึงอิทธิพลของผอู้ ืนทีมีต่อเรา กล่าวคือ "มนุษย"์ จะเป็นผเู้ สริมแรงทางสงั คม ดว้ ยการใหร้ างวลั ต่างๆ เพือกระตุน้ ใหบ้ ุคคล
แสดงพฤติกรรมทีเหมาะสม
แรงเสริม แบ่งเป็นแรงเสริมปฐมภูมิ และแรงเสริมทุติยภูมิ
แรงเสริมปฐมภูมิ เป็นแรงเสริมทีจาํ เป็นต่อการดาํ รงชีวติ อนั ไดแ้ ก่ปัจจยั 4 หรือ สิงทีจะนาํ มาซึงปัจจยั 4 คือ เงิน
แรงเสริมทุติยภูมิ เช่น การทีบุคคลใหก้ ารยอมรับ ทกั ทาย ใหค้ วามสนใจ หรือการใหค้ วามสาํ คญั การเสริมแรงนอกจากวธิ ีทีบุคคล
อืนกระตุน้ ใหแ้ สดงพฤติกรรมทีเหมาะสมแลว้ การเสริมแรง ยงั ใหใ้ นลกั ษณะกระตุน้ ใหห้ ลีกเลียงจากพฤติกรรมทีไม่เหมาะสม
หรือเป็นการช่วยปรับพฤติกรรมทางสงั คม เช่น การตดั สิทธิพิเศษ หรือการจาํ กดั ผลทีควรไดใ้ หม้ ีจาํ นวนนอ้ ยลง
การเสริมแรงทางภาษาทงั ภาษาพดู และภาษากายถือไดว้ า่ เป็นการเสริมแรงทีมีประสิทธิภาพมาก คือการกล่าวคาํ "ยกยอ่ ง" หรือ
แสดงอาการ "ยกยอ่ ง" เช่น ยมิ พยกั หนา้ โอบไหล่ หรือประสานสายตา เป็นตน้
ในการทดลองกบั เดก็ วยั ก่อนเรียนทีกาํ ลงั หยอดลูกหินอยู่ เมือผใู้ หญ่แปลกหนา้ ใหแ้ รงเสริมทางภาษา เช่น "เก่งจงั เยยี มมากเลย"
จะมีอิทธิพลใหเ้ ดก็ ตอบสนอง คือ พยายามและพอใจ มากกวา่ การเสริมแรงทางภาษาจากพอ่ แม่ ทีเป็นเช่นนีเพราะพอ่ แม่ใหค้ วามสนใจและ
รักลูกมากและเสริมแรงทางภาษามาโดยตลอด ทาํ ใหป้ ระสิทธิภาพของการเสริมแรงทางภาษาดอ้ ยลง
3. การประเมนิ ผลทางสังคม
การแสดงพฤติกรรมทางสงั คม เป็นการกระทาํ ทีมีการตดั สินใจดว้ ยการหาขอ้ มูลทุกครัง บุคคลรอบขา้ งคือแหล่งขอ้ มูลทีมีอิทธิพล
ต่อการตดั สินใจมนุษย์ จะใชก้ ารสงั เกตพฤติกรรมของผอู้ ืน เมือตนเกิดความไม่แน่ใจวา่ ควรแสดงพฤติกรรมอยา่ งไรออกมา
เฟสตินเจอร์ (Festinger,1954) ผเู้ สนอทฤษฎีเปรียบเทียบทางสงั คม กล่าววา่ "เมือบุคคลเกิดความไม่แน่ใจ เกียวกบั ความคิดเห็น
และการตดั สินของตน บุคคลจะมองหาผอู้ ืนเพือหาขอ้ มูล นอกจากนี พฤติกรรมการตอบสนองของผอู้ ืน จะเป็นเครืองชีแนะพฤติกรรมการ
ตอบสนองของบุคคล" ซึงบุคคลจะเลือกแสดงพฤติกรรมทางสงั คม ทีใหผ้ ลลพั ธ์ทางสงั คมสูงกวา่ และใหป้ ระโยชนม์ ากกวา่
การปฏิสมั พนั ธ์ทางสงั คม หมายถึง การทีพฤติกรรมของบุคคลมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและทศั นคติ ซึงกนั และกนั ในลกั ษณะทีมี
การตอบโตแ้ ละมีปฏิกิริยาต่อกนั และกนั (Two-way proccss)
1. การปฏสิ ัมพนั ธ์ทางสังคมระหว่างบุคคล การปฏิสมั พนั ธ์ทางสงั คมขนั พืนฐาน คือ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคลสองคน แม่และ
ลูก นายจา้ งและลูกจา้ ง หรือผใู้ หบ้ ริการและผรู้ ับบริการ ความสมั พนั ธ์ของคน 2 คน จะมากหรือนอ้ ยขึนอยกู่ บั ประเภทของความสมั พนั ธ์
ระหวา่ งบุคคล เช่น ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งแม่และลูกจะมีอิทธิพลมากกวา่ นายจา้ งและลูกจา้ ง ปัจจยั ส่งเสริมปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่าง
บุคคล บุคคลจะมีความสมั พนั ธ์ต่อกนั มากขึน ถา้ หากมีปัจจยั เหล่านีประกอบดว้ ย
1) ความพึงพอใจร่วมกนั หมายถึง ความพอใจทีจะมีความสมั พนั ธ์ต่อกนั เกิดเป็นความชอบพอระหวา่ งบุคคล ธิโบต์ และเคล
ลี (Thibaut and Kelly, 1959) กล่าววา่ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคลขึนอยกู่ บั ผลประโยชนแ์ ละผลเสียทีทงั 2 ฝ่ ายต่างจะไดร้ ับ เช่น ความ
พอใจ หรือความอาย ความน่าเบือ โดยบุคคลจะคาดหวงั ถึงผลประโยชนท์ ีตนควรไดร้ ับ ถา้ เปรียบเทียบหรือประเมินผลแลว้ รู้สึกวา่ ตนได้
รับผลประโยชนไ์ ม่เป็นไปตามระดบั ทีตนคาดหวงั ไวก้ จ็ ะไม่มีความสุข ความไม่พึงพอใจจะเกิดขึน ความพึงพอใจจะเกิดขึงทาํ ใหค้ งความ
สมั พนั ธ์นนั ๆ ไวเ้ มือผลประโยชนท์ ีไดร้ ับสูงกวา่ ทีคาดหวงั ไว้
2) ความเอือเฟื อ คือ การทีบุคคลไดใ้ หป้ ระโยชนข์ องตนเองต่อผอู้ ืน เพือใหผ้ อู้ ืนไดร้ ับสิงทีตอ้ งการ ซึงการใหจ้ ะทาํ ผอู้ ืนเกิด
ความรู้สึกทีดีต่อผใู้ ห้ ความสมั พนั ธ์จะคงอยู่ ฉะนนั ผแู้ สดงความเอือเฟื อกจ็ ะไดร้ ับประโยชนจ์ ากผรู้ ับดว้ ย เพราะรู้สึกวา่ ตนเองมีคุณค่าใน
สายตาผอู้ ืน ส่งผลใหต้ นรู้สึกภูมิใจตนเองดว้ ย แต่ขอ้ ควรระวงั ในการใหห้ รือการแสดงความเอือเฟื อ กค็ ือควรจะพิจารณาวา่ อีกฝ่ ายตอ้ งการ
หรือไม่ การเอือเฟื อบางครังจะไม่มีประโยชนถ์ า้ อีกฝ่ ายไม่ตอ้ งการ เพราะการทีบุคคลยอมรับความช่วยเหลือจากคนอืน จะรู้สึกตนเอง
อ่อนแอและคุณค่าในตนเองลดลงกไ็ ด้
3) ความไวว้ างใจ การไวว้ างใจเป็นสิงทีทาํ ใหค้ วามสมั พนั ธ์ทางสงั คมเพิมมากขึน เพราะคนทีไวว้ างใจ ใครจะนาํ ไปสู่การเปิ ด
เผยตนเองดว้ ยความบริสุทธิใจ บุคคลทีแสดงความไวว้ างใจผอู้ ืนจะมีส่วนกระตุน้ ใหอ้ ีกฝ่ ายรู้สึกในคุณค่าของตนเอง รู้สึกวา่ ตนเป็นคนดี
เขาจึงไวว้ างใจ และทีเขาไวว้ างใจเราเพราะเขามีความบริสุทธิใจต่อเรา ความรู้สึกเหล่านีทีเกิดขึนจะเป็นตวั กระตุน้ ใหอ้ ีกฝ่ ายเปิ ดเผยตนเอง
มากขึน และไวว้ างใจเป็นการตอบแทนดว้ ย ความสมั พนั ธ์ทางสงั คมจะมีระดบั สูงมาก
4) บรรทดั ฐานส่วนบุคคล คนทุกคนยอ่ มมีบรรทดั ฐานส่วนตวั ทีตนยดึ มนั และการแสดงออก พบวา่ คนทีมีความสมั พนั ธ์กนั จะ
มีบรรทดั ฐานส่วนตวั ใกลเ้ คียงกนั
ลกั ษณะของพฤติกรรมทางสงั คมทีเป็นผลมาจากปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคลมีลกั ษณะดงั นี
1. การร่วมมือและการแข่งขนั โดยธรรมชาติเมือมนุษยอ์ ยใู่ นสงั คมจะมีความพึงพอใจทีอยรู่ ่วมกบั กลุ่ม ตอ้ งการทีจะมีส่วน
ร่วมในกลุ่ม ตอ้ งการมีความสมั พนั ธ์กบั เพือนสมาชิกดว้ ยกนั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเพือนสมาชิกจะทาํ ใหม้ ีการถ่ายทอดวฒั นธรรม ค่านิยม
รวมทงั ปฏิบตั ิตามบรรทดั ฐานของกลุ่ม และมีภาษาใชใ้ นกลุ่มของตนโดยเฉพาะ ทาํ ใหเ้ กิดความร่วมมือของกลุ่มได้
การร่วมมือ (Cooperation) การร่วมมือเป็นการปฏิสมั พนั ธ์ทีบุคคลตงั แต่ 2 คนขึนไป มารวมกลุ่มกนั ทาํ งานเพือบรรลุเป้า
หมาย มีการพึงพาอาศยั กนั โดยอาจยอมเสียผลประโยชนส์ ่วนนอ้ ยเพือหวงั ความสาํ เร็จอนั เป็นผลประโยชนส์ ่วนใหญ่ ซึงเป็นการ
ปฏิสมั พนั ธ์ทีตรงกนั ขา้ มกบั การแข่งขนั การร่วมมือมีหลายระดบั ตงั แต่ระดบั นอ้ ยไปจนถึงระดบั มาก
การแข่งขนั (Competition) เมือมนุษยอ์ ยรู่ วมกนั เป็นกลุ่ม มกั ชอบแสดงออกซึงพฤติกรรมของการแข่งขนั มนุษยช์ อบการ
แข่งขนั ในทุกๆ ดา้ น และบุคคลจะตอ้ งเผชิญหนา้ กบั การแข่งขนั อยตู่ ลอดเวลา ทงั การแข่งขนั กบั ตวั เองและการแข่งขนั กบั บุคคลอืนๆ ทงั นี
เพราะธรรมชาติไดส้ ร้างใหม้ นุษยแ์ ละสตั วม์ ีการปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สิงแวดลอ้ ม มิฉะนนั แลว้ มนุษยแ์ ละสตั วจ์ ะเอาตวั ไม่รอดการพยายาม
ปรับตวั โดยการแข่งขนั จึงเป็นวธิ ีการอยา่ งหนึงทีบุคคลจะตอ้ งใช้ และประสบอยตู่ ลอดเวลา
ไลนดเ์ กรน (Lindgren) ไดใ้ หค้ วามหมายของคาํ วา่ การแข่งขนั คือ การกระทาํ ทีมุ่งใหต้ นเองบรรลุจุดมุ่งหมายทีตอ้ งการ
โดยไม่คาํ นึงถึงจุดมุ่งหมายของผอู้ ืนวา่ จะประสบผลสาํ เร็จหรือไม่ แมว้ า่ การแข่งขนั จะเป็นกระบวนการทางสงั คมอยา่ งหนึง แต่การแข่งขนั
ทีดีจะตอ้ งปฏิบตั ิตามบรรทดั ฐานของสงั คม คือ ตอ้ งอยใู่ นกฎเกณฑร์ ะเบียบประเพณี หรือกฎหมาย หากผแู้ ข่งขนั คนใดหรือฝ่ ายใดละเมิด
กฎกติกา ยอ่ มจะทาํ ใหเ้ กิดความขดั แยง้ และการต่อรอง
การขดั แย้ง (Conflicl) [1] เป็นการกระทาํ ระหวา่ งกนั เพือมุ่งบรรลุผลเป้าหมายเช่นเดียวกบั การแข่งขนั แต่ความขดั
แยง้ จะยดึ เป้าหมายโดยมีการทาํ ลายสมรรถนะของฝ่ ายตรงกนั ขา้ ม ถา้ คู่แข่งถูกทาํ ลาย ฝ่ ายตนยอ่ มจะไดช้ ยั ชนะ การขดั แยง้ จึงเป็น
ปฏิสมั พนั ธ์ทีฝ่ ายหนึงไดป้ ระโยชนจ์ ากการเสียผลประโยชนข์ องฝ่ ายตรงขา้ ม การขดั แยง้ ทาํ ใหเ้ กิดความบาดหมาง และอาจเพิมความรุม
แรงจนถึงขนั ทาํ ลายซึงกนั และกนั ซึงทาํ ใหเ้ กิดปัญหาในการขจดั ความขดั แยง้ เป็นอยา่ งมาก
ทิศนา แขมมณี ไดส้ รุปวา่ ปัญหาการขดั แยง้ ระหวา่ งบุคคลหรือระหวา่ งกลุ่ม อาจมีสาเหตุมาจากกรณี ดงั นี
1) ความคิดเห็นต่างกนั เพราะวา่ บุคคลมีความแตกต่างกนั จึงมีความคิดเห็นต่างกนั อนั เป็นสาเหตุทาํ ใหเ้ กิดการขดั แยง้ ขึน
2) วธิ ีการคิดต่างกนั เมือบุคคลหรือกลุ่มมีวธิ ีการคิดต่างกนั กเ็ ป็นสาเหตุหนึงทีทาํ ใหเ้ กิดการขดั แยง้ ได้
3) การรับรู้ต่างกนั เมือบุคคลหรือกลุ่มมีการรับรู้ต่างกนั ยอ่ มจะเป็นสาเหตุใหเ้ กิดการขดั แยง้ ได้
4) ค่านิยมต่างกนั เมือบุคคลหรือกลุ่มมีค่านิยมต่างกนั กท็ าํ ใหเ้ กิดการขดั แยง้ ได้
5) อคติทีมีต่อกนั เมือบุคคลหรือกลุ่มมีอคติในใจ จะทาํ อะไรกย็ อ่ มขดั แยง้ เสมอ
6) ผลประโยชนท์ ีขดั กนั เป็นเรืองสาํ คญั ทีทาํ ใหบ้ ุคคลหรือกลุ่มขดั แยง้ กนั ไดอ้ ยา่ งรุนแรง
พฤติกรรมทางสงั คมทีแสดงถึงความขดั แยง้ สามารถพิจารณาไดจ้ ากลกั ษณะ ดงั นี
1) สมาชิกขาดการร่วมมือและประสานงาน รวมทงั ไม่มีประสิทธิภาพในการติดต่อสือความต่อกนั การติดต่อภายในกลุ่มล่าชา้
2) ประสิทธิภาพของงานตาํ มีการชิงดีชิงเด่น ปัดหนา้ ที และความรับผดิ ชอบระหวา่ งสมาชิกอยเู่ ป็นปกติ
แนวคดิ ในเรืองความขดั แย้ง
ถา้ มนุษยอ์ ยรู่ ่วมกนั ตงั แต่ 2 คนขึนไป จะเกิดความขดั แยง้ ซึงปรัชญาของความขดั แยง้ มีอยู่ 3 แนวทาง คือ
แนวทางที 1 เป็นแนวความคิดเก่าๆ ทีกล่าววา่ ความขดั แยง้ เป็นตวั ทาํ ลาย ไม่เกิดประโยชน์
แนวทางที 2 เป็นแนวพฤติกรรมทีเห็นวา่ ทุกคนยอ่ มมีความแตกต่างกนั ทีไหนมีความแตกต่างกนั ทีนนั ยอ่ มมีความขดั แยง้ กนั
ซึงมีทงั ประโยชนแ์ ละโทษ พยายามใหเ้ กิดพฤติกรรมทีเป็นประโยชน์ หลีกเลียงสิงทีทาํ ใหเ้ กิดโทษ
แนวทางที 3 ความขดั แยง้ เป็นสิงทีดี เกิดการเปลียนแปลงพฒั นาไปสู่สิงใหม่ๆ ทีดีกวา่ ความขดั แยง้ ทีเกิดขึนในองคก์ รควรมีบา้ ง
ไม่ควรมีมากเกินไปหรือนอ้ ยเกินไป
ผลของความขดั แย้ง
ผลดี
1. กระตุน้ ใหเ้ กิดการเปลียนแปลงใหม่ๆ ทีดี หลงั จากการขดั แยง้
2. เป็นการถ่วงดุลแห่งอาํ นาจ (balance of power)
ผลเสีย
1. ขวญั และกาํ ลงั ใจตกตาํ มองคนในแง่ร้าย
2. ความเป็นมิตร ความไวว้ างใจลดลง
3. ต่อตา้ นการเปลียนแปลงทุกรูปแบบ
4. บิดเบือนขอ้ มูล
ในปัจจุบนั การแกป้ ัญหาความขดั แยง้ จะใชว้ ธิ ีต่อรอง ซึงการต่อรอง (Bargaining) หมายถึงการเจรจาเพือใหท้ งั สองฝ่ ายบรรลุขอ้
ตกลง ซึงเป็นทียอมรับกนั ทงั สองฝ่ าย กรณีนีใชไ้ ดผ้ ลเป็นอยา่ งมากในเหตุการณ์เกียวกบั การก่อความไม่สงบ (strike) ในหน่วยงานองคก์ าร
ต่างๆ เช่น สหภาพแรงงาน เป็นตน้
การเจรจาต่อรองทีง่าย คือ ผลไดผ้ ลเสียของแต่ละฝ่ ายใดฝ่ ายหนึง เช่น ผลไดข้ องนายสุวทิ ยม์ ิไดเ้ กิดจากผลเสียของนายประพจน์
แต่ผลไดม้ าจากฝ่ ายทีสามและผลเสียกไ็ ปสู่ฝ่ ายทีสาม เช่น การของบประมาณจากองคก์ าร นายสุวทิ ยแ์ ละนายประพจน์ อาจตกลงร่วมกนั
ใหท้ งั สองฝ่ ายไดผ้ ลประโยชน์ โดยผลดั กนั ไดห้ รือไดแ้ ลว้ เอามาแบ่งกนั
ส่วนการเจรจาต่อรองทียาก คือ ผลไดข้ องฝ่ ายหนึง หมายถึงอีกฝ่ ายจะเสียหายผลประโยชนก์ จ็ ะมีวธิ ีการต่างๆ ดงั นี
1) ทาํ ใหอ้ ีฝ่ ายหนึงรู้สึกวา่ เขาตงั ความปรารถนาไวส้ ูงเกินไป โดยใหบ้ ุคคลที 3 ใหข้ ่าวสารบ่อยๆ จนฝ่ ายตรงขา้ มรู้สึกวา่ ตนตงั
ความปรารถนาสูงเกินจริง กจ็ ะทาํ ใหเ้ ขาขาดความปรารถนาลงได้
2) ใหย้ ดึ มนั ในระดบั ความปรารถนาของตนเอง ในกรณีทีอีกฝ่ ายใชว้ ธิ ีที 1 กส็ ามารถแกไ้ ขไดโ้ ดยหลีกเลียงทีจะรับข่างสารทีจะ
ทาํ ใหต้ นรู้สึกวา่ ตงั ความปรารถนาไวส้ ูงเกินไป การเจรจาใดๆ ควรผา่ นผแู้ ทน ตามเงือนไขทีตงั ไว้ หรืออาจลดลงเพียงเลก็ นอ้ ย เพือให้
บรรลุขอ้ ตกลงได้
3) เจรจาต่อรองโดยใชก้ ารข่มข่หู รือใชอ้ าํ นาจ การข่มข่จู ะใชไ้ ดผ้ ลหรือไม่ขึนอยทู่ ีผขู้ ่มข่มู ีความสามารถทีจะทาํ ตามทีตนข่มข่ไู ว้
หรือไม่ และอีกฝ่ ายหนึงกลวั การข่มข่หู รือไม่ หากข่มข่แู ลว้ ทาํ ไม่ได้ การข่มข่กู จ็ ะไม่บงั เกิดผลแต่ประการใด เพือใหก้ ารข่มข่ไู ดผ้ ล ผขู้ ่มขู่
จะตอ้ งแสดงใหป้ ระจกั ษว์ า่ ตนมีอาํ นาจทาํ ลายอีกฝ่ ายหนึง นอกจากนีผขู้ ่มข่ยู งั ตอ้ งแสดงใหเ้ ห็นวา่ ตนพร้อมทีจะทาํ ตามทีข่มข่ไู ว้ หากฝ่ าย
ตรงขา้ มไม่ยอมกจ็ ะทาํ ตามทีไดข้ ่มข่ไู วท้ นั ที
มนุษยเ์ ป็นสตั วส์ งั คมมีธรรมชาติทีจะอยรู่ วมกนั เป็นกลุ่ม เริมตงั แต่กลุ่มเลก็ ๆ ภายในครอบครัวจนถึงกลุ่มใหญ่ เช่น กลุ่มเศรษฐกิจ
ของประเทศต่างๆ
สาเหตุการรวมกล่มุ มาจากสาเหตุใหญ่ๆ 4 ประการ
1) เป็นการรวมทรัพยากรทีแต่ละคนมีอยเู่ ขา้ ดว้ ยกนั ทาํ ใหส้ ามารถทาํ ในสิงทีมนุษยแ์ ต่ละคนไม่สามารถทาํ เองตามลาํ พงั ได้
2) ทาํ ใหม้ นุษยส์ ามารถแบ่งภาระหนา้ ทีกนั ทาํ ใหส้ ามารถตอบสนองความตอ้ งการซึงกนั และกนั ไดม้ ากขึน
3) ทาํ ใหส้ ามารถตอบสนองความตอ้ งการทางสงั คมของมนุษย์ เช่น ความรัก ความมีเกียรติ ฯลฯ
4) เพือขจดั ความกลวั ทางจติ วทิ ยา [2] ความกลวั จะลดลงไดถ้ า้ อยใู่ นกลุ่มการต่อตา้ นใดๆ มนุษยย์ อ่ มกลวั ตนเองไม่
ปลอดภยั แต่เมือรวมอยใู่ นกลุ่มกจ็ ะทาํ ใหค้ วามกลวั หมดไป ลกั ษณะของพฤติกรรมทางสงั คม อนั เนืองมาจากการปฏิสมั พนั ธ์ภายในกลุ่ม
มาจากปัจจยั ต่อไปนี
บรรทดั ฐานของกล่มุ
เนืองดว้ ยบุคคลเมือเขา้ รวมกลุ่มยอ่ มตอ้ งการใหก้ ลุ่มยอมรับ ดงั นนั เมือกลุ่มยดึ ระเบียบแบบแผนใดหรือแนวประพฤติปฏิบตั ิใดๆ
สมาชิกในกลุ่มกจ็ ะยอมปฏิบตั ิตาม
บรรทดั ฐาน หมายถึง ระเบียบกฎเกณฑ์ แบบพฤติกรรม หรือคตินิยมทีสงั คมกาํ หนดไว้ เพือเป็นแนวทางสาํ หรับใหส้ มาชิกใน
สงั คมยดึ ถือปฏิบตั ิในสถานการณ์ต่างๆ เนืองจากมนุษยท์ ุกคนมีสถานภาพและตาํ แหน่งในสงั คม ควรปฏิบตั ิอยา่ งไรจึงจะถูกตอ้ งหรือ
เหมาะสมเป็นทียอมรับของสงั คม กล่าวคือ การปฏิบตั ิตามบรรทดั ฐานจะทาํ ใหส้ มาชิกสามารถปฏิบตั ิตนไดถ้ ูกตอ้ ง และสามารถคาดคะเน
พฤติกรรมของผอู้ ืนในกลุ่มไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง บรรทดั ฐานมีลกั ษณะใหก้ ระทาํ ไดแ้ ละหา้ มมิใหก้ ระทาํ
บรรทดั ฐานแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 3 ประเภท ดงั นี
1.1 วถิ ีประชา (Folk ways)
1.2 จารีตหรือกฎศีลธรรม (Mores)
1.3 กฎหมาย (Laws)
1.1 วถิ ีประชา (Folk ways) หมายถึง การดาํ เนินชีวติ ของคนในสงั คม ทีปฏิบตั ิตามกนั จนเกิดความเคยชิน เป็นนิสยั ซึงไม่จาํ เป็น
ตอ้ งมีศีลธรรม และกฎหมายบงั คบั ใหต้ อ้ งปฏิบตั ิเช่นนนั ไม่มีการบงั คบั หรือลงโทษรุนแรง หากคนใดละเมิดไม่ประพฤติกจ็ ะไดร้ ับคาํ ติฉิน
นินทาวา่ ประพฤติตนไม่เหมาะสม
1.2 จารีตหรือกฎศีลธรรม (Mores) เป็นแบบแผนความประพฤติทีเกียวเนืองกบั กฎขอ้ หา้ ม เป็นสิงทีสงั คมถือวา่ ทุกคนตอ้ งปฏิบตั ิ
ตาม หรืองดเวน้ ปฏิบตั ิ ถา้ มีขอ้ หา้ มไวผ้ ใู้ ดฝ่ าฝืนจะไดร้ ับการติเตียนอยา่ งรุนแรงหรือถูกลงโทษ โดยไม่มีผใู้ ดคบหาสมาคมดว้ ย โดยเฉพาะ
การฝ่ าฝืนกฎศีลธรรมทีมีลกั ษณะเป็นขอ้ หา้ ม (taboo) ทีหา้ มไม่ใหบ้ ุคคลกระทาํ บางอยา่ งทีสงั คมส่วนใหญ่ไม่เห็นดว้ ย เช่น หา้ มมิใหพ้ ีนอ้ ง
ร่วมสายเลือดสมรสกนั หา้ มกินเนือมนุษย์ เป็นตน้
1.3 กฎหมาย (Laws) กฎหมายมีทีมาจากวถิ ีประชาและกฎศีลธรรม แต่มีการบญั ญตั ิขึนเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรอยา่ งแน่ชดั ผฝู้ ่ าฝืน
หรือละเมิดจะถูกลงโทษโดยเจา้ หนา้ ทีของสงั คม
บรรทดั ฐานมีความจาํ เพาะในแต่ละกลุ่ม พฤติกรรมทีปฏิบตั ิในกลุ่มหนึงอาจไม่เป็นทีปฏิบตั ิกนั ในอีกกลุ่มหนึง พฤติกรรม
บรรทดั ฐานเกิดจากการบอกเล่า เกิดจากการสงั เกต และเกิดจากการเรียนรู้ทีจะตอ้ งแสดงพฤติกรรมตามความคาดหวงั ของสงั คมนนั ๆ ซึง
ผลของการปฏิสมั พนั ธ์อยา่ งเหมาะสมตามบรรทดั ฐาน ยอ่ มทาํ ใหเ้ ป็นทียอมรับของกลุ่ม และผลส่งถึงกลุ่มหรือสงั คมนนั มีระเบียบ
แบบแผน
การคลอ้ ยตาม (Conformity) หมายถึง การทาํ ตามอยา่ ง การเลียนแบบหรือลทั ธิเอาอยา่ งการปฏิบตั ิตามคาํ สงั การถูกชกั ชวน การ
คลอ้ ยตามอาจเป็นไปโดยความเตม็ ใจ เพราะเห็นดว้ ยหรือคลอ้ ยตาม เพราะกลุ่มกดดนั จาํ เป็นตอ้ งทาํ ตาม
ประเภทของการคลอ้ ยตาม การคลอ้ ยตามแบ่งได้ 4 ประเภท คือ
2.1 การคลอ้ ยตามขอ้ มูลทีปรากฏ คือ เห็นใครทาํ อะไรกท็ าํ ตาม
2.2 การคลอ้ ยตามกลุ่ม คือ คลอ้ ยตามความคิดเห็นหรือทาํ ตามพฤติกรรมของกลุ่มเดก็ วยั รุ่น ถา้ อยใู่ นกลุ่มเพือนทีขยนั ความ
ประพฤติดี ใชเ้ วลาวา่ งทบทวนวชิ าอยเู่ สมอ จะทาํ ใหเ้ กิดขยนั และตงั ใจเรียนตามกลุ่มเพือนดว้ ย หรือกลุ่มแต่งกายอยา่ งไรกแ็ ต่งกายเหมือน
กนั ในกลุ่ม จากการทดลองของเชอริฟ (Muzafer Sherif,1967) ของ แอช (Solomon E. Asch) และของครัชฟิ ลด์ (Richaed S. Crutchfield)
อา้ งโดยแบรอน (Robert A.Baron, 1977 : 225-260) มีความเห็นสอดคลอ้ งกนั วา่ บุคคลจะคลอ้ ยตามกลุ่มถึงแมว้ า่ จะผดิ กต็ าม ถึงแมต้ นจะ
ถูกกไ็ ม่แน่ใจความถูกตอ้ งของตน
2.3 การคลอ้ ยตามคาํ สงั บุคคลจะยอมคลอ้ ยตามคาํ สงั คาํ ชกั ชวนหรือคาํ แนะนาํ จากผทู้ ีเป็นผนู้ าํ หรือผทู้ ีมีอาํ นาจเหนือตน ปัจจยั ที
เกียวขอ้ งกบั การคลอ้ ยตาม
- เพศ พบวา่ เพศหญิงจะคลอ้ ยตามง่ายกวา่ เพศชาย เพราะเพศชายมีความมนั ใจมากกวา่
- อายุ ยงิ อายมุ ากคนยงิ คลอ้ ยตามยาก
- ความเชือมนั ในตนเอง คนทีคลอ้ ยตามคนมกั ขาดความเชือมนั
- ความเชือเจตคติและค่านิยม อาจเป็นปัจจยั หรือเป็นอุปสรรคในการคลอ้ ยตาม
- ความสามารถ พบวา่ คนทีมีความสามารถสูงจะคลอ้ ยตามยาก
- ขนาดของกลุ่มบุคคล จะมีแนวโนม้ คลอ้ ยตามความเห็นของกลุ่มทีมีจาํ นวนสมาชิกสูงสุด 4 คน ถา้ จาํ นวนสมาชิกสูงหรือตาํ
กวา่ นี การคลอ้ ยตามจะลดลง
- ความเชียวชาญ ถา้ หากคนมีความเชียวชาญดา้ นใดมากกจ็ ะมีอิทธิพลใหค้ นคลอ้ ยตามเฉพาะเรืองนนั ไดม้ าก
- สถานภาพ บุคคลทีมีสถานภาพทางสงั คมสูง จะมีอิทธิพลใหค้ นคลอ้ ยตามไดม้ ากกวา่ คนทีมีสถานภาพตาํ กวา่
2.4 การเสียงของกลุ่ม คนทีอยรู่ วมเขา้ เป็นกลุ่มจะมีการตดั สินใจแตกต่างจากเมืออยคู่ นเดียว พบวา่ จะมีอตั ราการเสียงสูงขึน
นอกจากนนั คนจะเลือกทาํ งานยากขึน ทีเป็นเช่นนีเพราะการอยใู่ นกลุ่มมีการกระจายความรับผดิ ชอบมีคนทาํ งานหลายคน ถา้ เกิดผดิ พลาด
กต็ อ้ งรับผดิ ชอบทงั กลุ่มมิใช่ผเู้ ดียว นอกจากนนั ถา้ อยใู่ นกลุ่มคนจะมีความกลา้ คิดกลา้ ทาํ กลา้ แสดงออกมากกวา่ อยคู่ นเดียว ฉะนนั
พฤติกรรมของคนเมืออยใู่ นกลุ่มจึงแตกต่างจากอยลู่ าํ พงั
ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งกลุ่ม ตลอดเวลาทีมีการรวมกลุ่มของมนุษย์ สิงทีเกิดขึนเสมอคือความตอ้ งการผนู้ าํ เพือเป็นผคู้ วบคุมความ
สมั พนั ธ์ภายในกลุ่ม แต่บุคคลทีเป็นผนู้ าํ จะมีการเปลียนแปลงไปตามสถานการณ์ กล่าวคือ ภาวะผนู้ าํ จะเกิดขึนเพือสอดคลอ้ งกบั
สถานการณ์ และคนในกลุ่มมีโอกาสทีจะเป็นผนู้ าํ ได้
สิงทีน่าสนใจมากคือ เรืองความสมั พนั ธ์ภายในกลุ่ม สมาชิกในกลุ่มจะมีความสามคั คีมากขึน ถา้ หากเกิดความขดั แยง้ ระหวา่ งกลุ่ม
คนไทยจะสมานฉนั ทม์ าก เมือดินแดนถูกรุกรานหรือเมือประเทศไดร้ ับการกล่าวหาใหเ้ สือมเสีย เป็นตน้
[1] http://youtube.com/watch?v=GUHk2EfD7fA
[2] http://youtube.com/watch?v=ouyGzLm7_Zc