20 23 โครงการ สัมมนา เรื่อง การพัฒนาศักยภาพผู้นำ เครือข่ายป่าชุมชน สำ นักจัดการป่าชุมชน กรมป่าไม้
บทสรุปผู้บริหาร โครงการสัมมนา เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพผู้น าเครือข่ายป่าชุมชน” ประจ าปี 2566 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจถึงการด าเนินชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล และ ความรู้ความเข้าใจการด าเนินงานตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนโมเดล เศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) ในพื้นที่ป่าชุมชน ให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านป่าชุมชน ประธาน และสมาชิกเครือข่ายป่าชุมชนระดับจังหวัด ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาไปสู่การจัดการพื้นที่ตนเอง รวมทั้งสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และก้าวเข้าสู่ตลาดคาร์บอน ตามแนวคิดเศรษฐกิจใหม่มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ า พึ่งพาตนเองได้ เพื่อการด ารงชีวิตสู่วิถีชีวิตใหม่อย่างสมดุลและยั่งยืน กลุ่มเป้าหมายเป็นประธานและ คณะกรรมการเครือข่ายป่าชุมชนระดับจังหวัด สมาชิกเครือข่ายป่าชุมชน และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านป่าชุมชน มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้นจ านวน 225 คน จัดขึ้นในวันที่ 22-24 พฤษภาคม 2566 ณ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท (ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต) จังหวัดปทุมธานีโดยมีกิจกรรมหลักที่ด าเนินการ ดังนี้ 1) คลินิกป่าชุมชน : ตอบประเด็นปัญหา ข้อสงสัยด้านการบริหารจัดการป่าชุมชน 2) การบรรยายเรื่อง “วิสัยทัศน์ การท างานด้าน ป่าชุมชนอย่างไรให้ส าเร็จ” 3) การบรรยายและเล่าเรื่อง ป่าชุมชน “คนต้นแบบ” เล่าเรื่อง ดี-เด่น-ดัง-โดน 4) การระดมความคิดเห็น “เครือข ่ายป ่าชุมชนระดับภาค” 5) บรรยายหัวข้อ "ป ่าชุมชนเชื ่อมโยง ฐานเศรษฐกิจชีวภาพ" และ 6) ชมวิดีทัศน์เรื่องสภาวะโลกร้อนและการสนทนาภาษาคาร์บอน การสัมมนาฯ ในครั้งนี้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการป่าชุมชน ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 และสามารถน าองค์ความรู้ไปจัดการและพัฒนา พื้นที่ตนเองได้อย่างเหมาะสม ซึ่งน าไปสู่ขยายการจัดการจัดตั้งป่าชุมชนตามเป้าหมาย และเครือข่ายความ ร่วมมือการท างานเพื่อดูแล ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ของชาติอย่างบูรณาการ โดยผลความ พึงพอใจในการสัมมนาในครั้งนี้อยู่ในระดับมากที่สุด หรือคิดเป็นร้อยละ 91
ค าน า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลกระทบทั้งใน ระดับประเทศและระดับนานาชาติ รัฐบาลมีความจ าเป็นต้องเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยควบคู่ไปกับการฟื้นฟู รักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย สู่รูปแบบใหม่จาก “ท ามากแต่ได้น้อย” ไปสู่ “ท าน้อยแต่ได้มาก” ซึ่งจะช่วยต่อยอดจุดแข็งของประเทศให้มี มูลค่าเพิ่มมากขึ้น ทั้งในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยอาศัยกลไก วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมจึงเร่งขับเคลื่อนการส่งเสริมการด ารงชีวิตแนวใหม่ที่ยั่งยืนแก่ประชาชนตามแนวทางขับเคลื่อน โมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ค านึงถึงการน าวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด รวมทั้งอยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจ สีเขียว (Green Economy) ซึ่งมุ่งแก้ไขปัญหามลพิษมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อยกระดับ คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนภายใต้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สมดุล กรมป่าไม้ให้ความส าคัญกับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนเศรษฐกิจสีเขียว โดยมีแนวทาง ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมทั้งภาคประชาชน ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่ส าคัญในการร่วมสนับสนุนการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ในรูปแบบเครือข่ายป่าชุมชน โดยชุมชนท้องถิ่นสามารถฟื้นฟู ดูแล รักษา และใช้ประโยชน์จากฐาน ทรัพยากรในพื้นที่อย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น ดังนั้น จึงมีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องด าเนินโครงการสัมมนา เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพผู้น าเครือข่ายป่าชุมชน” ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจถึงการด าเนินชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติ อย่างสมดุล และความรู้ความเข้าใจการด าเนินงานตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ควบคู่ไปกับการ ขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) ในพื้นที่ป่าชุมชน ให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้าน ป่าชุมชนประธานและสมาชิกเครือข่ายป่าชุมชนระดับจังหวัด ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาไปสู่ การจัดการพื้นที่ตนเอง รวมทั้งสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และก้าวเข้าสู่ตลาดคาร์บอน ตามแนวคิดเศรษฐกิจ ใหม่มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ า พึ่งพาตนเองได้ เพื่อการด ารงชีวิตสู่วิถีชีวิตใหม่อย่างสมดุลและยั่งยืน กรมป่าไม้จึงได้จัดท ารายงานสรุปผลการสัมมนา เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพผู้น า เครือข่ายป่าชุมชน” ประจ าปี 2566 เพื่อสรุปเนื้อหาที่ส าคัญเป็นแนวทางในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานของเครือข่ายป่าชุมชนและ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านป่าชุมชนต่อไป ส านักจัดการป่าชุมชน กรมป่าไม้
สารบัญ เรื่อง หน้า โครงการสัมมนา เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพผู้น าเครือข่ายป่าชุมชน” ประจ าปี 2566 1 คลินิกป่าชุมชน : ตอบประเด็นปัญหา ข้อสงสัยด้านการบริหารจัดการป่าชุมชน 4 การบรรยาย เรื่อง “วิสัยทัศน์ การท างานด้านป่าชุมชนอย่างไรให้ส าเร็จ” 6 การบรรยายและเล่าเรื่อง ป่าชุมชน “คนต้นแบบ” เล่าเรื่อง ดี-เด่น-ดัง-โดน 8 การระดมความคิดเห็น “เครือข่ายป่าชุมชนระดับภาค” 14 บรรยายหัวข้อ " ป่าชุมชนเชื่อมโยงฐานเศรษฐกิจชีวภาพ" 19 ชมวิดีทัศน์เรื่องสภาวะโลกร้อนและการสนทนาภาษาคาร์บอน 22 สรุปประเด็นการสัมมนา “การพัฒนาศักยภาพผู้น าเครือข่ายป่าชุมชน” 25 สรุปแบบประเมินความพึงพอใจ 26
โครงการสัมมนา เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพผู้น าเครือข่ายป่าชุมชน” ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 --------------------------------------- 1. หลักการและเหตุผล นายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) กล่าวถ้อยแถลงหลังการเข้าร่วมการประชุม รัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP 26) เพื่อยืนยันว่าประเทศไทย ให้ความส าคัญสูงสุดแก่การแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และพร้อมที่จะยกระดับ การด าเนินงานเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) รวมทั้งมีการน า แนวคิดโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Model) เป็นยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศไทย โดยเน้นย้ าถึงความจ าเป็นของความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลกระทบทั้ง ในระดับประเทศและระดับนานาชาติ รัฐบาลมีความจ าเป็นต้องเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยควบคู่ไปกับการ ฟื้นฟูรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมไทยสู่รูปแบบใหม่จาก “ท ามากแต่ได้น้อย” ไปสู่ “ท าน้อยแต่ได้มาก” ซึ่งจะช่วยต่อยอดจุดแข็งของ ประเทศให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ทั้งในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยอาศัยกลไกวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงเร่งขับเคลื่อนการส่งเสริมการด ารงชีวิตแนวใหม่ที่ยั่งยืนแก่ประชาชน ตามแนวทางขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการขับเคลื่อน ระบบเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า เชื่อมโยงกับระบบ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ค านึงถึงการน าวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด รวมทั้งอยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งมุ่งแก้ไขปัญหามลพิษมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือน กระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนภายใต้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่สมดุล กรมป่าไม้ให้ความส าคัญกับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนเศรษฐกิจสีเขียว โดยมีแนวทาง ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมทั้งภาคประชาชน ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่ส าคัญในการร่วมสนับสนุนการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ในรูปแบบเครือข่ายป่าชุมชน โดยชุมชนท้องถิ่นสามารถฟื้นฟู ดูแล รักษา และใช้ประโยชน์จากฐาน ทรัพยากรในพื้นที่อย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น ดังนั้น จึงมีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องด าเนินโครงการสัมมนา เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพผู้น าเครือข่ายป่าชุมชน” ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจถึงการด าเนินชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติ อย่างสมดุล และความรู้ความเข้าใจการด าเนินงานตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ควบคู่ไปกับการ ขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) ในพื้นที่ป่าชุมชน ให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้าน ป่าชุมชนประธานและสมาชิกเครือข่ายป่าชุมชนระดับจังหวัด ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาไปสู่ การจัดการพื้นที่ตนเอง รวมทั้งสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และก้าวเข้าสู่ตลาดคาร์บอน ตามแนวคิดเศรษฐกิจ ใหม่มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ า พึ่งพาตนเองได้ เพื่อการด ารงชีวิตสู่วิถีชีวิตใหม่อย่างสมดุลและยั่งยืน 2. วัตถุประสงค์...
- 2 - 2. วัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจการด าเนินงานตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) ในพื้นที่ป่าชุมชน 2) เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนา และต่อยอด การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของตนเองได้อย่างสมดุลและยั่งยืน 3) เพื่อยกระดับกระบวนการมีส่วนร่วมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้กับผู้น าเครือข่าย ป่าชุมชน ในการปฏิบัติงานร่วมกับรัฐ และขยายความร่วมมือไปยังภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่าง ๆ ในการ ร่วมดูแลรักษาป่า 3. กลุ่มเป้าหมาย ผู้เข้าร่วมสัมมนา จ านวน 225 คน ประกอบด้วย 1) เจ้าหน้าที่ส่วนจัดการป่าชุมชน และเจ้าหน้าที่ศูนย์ป่าไม้จ านวน 89 คน 2) ประธาน คณะกรรมการ และสมาชิกเครือข่ายป่าชุมชนระดับจังหวัด จ านวน 136 คน 4. วิธีการด าเนินงาน การบรรยายเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 และ อนุบัญญัติภายใต้พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 รวมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการ ด าเนินงานด้านป่าชุมชน และการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) ในพื้นที่ป่าชุมชน 5. เนื้อหาการสัมมนา 1) ภาคบรรยาย ประกอบด้วย - วิสัยทัศน์ การท างานด้านป่าชุมชนอย่างไรให้ส าเร็จ - ป่าชุมชน “คนต้นแบบ” เล่าเรื่อง – ดี ภาคอีสาน เล่าเรื่อง – เด่น ภาคใต้ เล่าเรื่อง – ดัง ภาคกลาง เล่าเรื่อง – โดน ภาคเหนือ - ป่าชุมชนกับคาร์บอนเครดิต 2) ภาคการระดมความคิดเห็น - สนทนาภาษาถิ่น เรื่อง “แนวทางการพัฒนาเครือข่ายระดับภาค” (แบ่งกลุ่ม 4 กลุ่ม 4 ภาค) หมายเหตุ เนื้อหาวิชาและวิธีการด าเนินงานอาจปรับปรุงได้ตามความจ าเป็นและความเหมาะสม 6. วิทยากร วิทยากรจากภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตัวแทนเครือข่ายป่าชุมชน 7. ระยะเวลาด าเนินการ ระยะเวลาการด าเนินงาน 3 วัน ๒ คืน โดยด าเนินการในวันที่ 22-24 พฤษภาคม 2566 8. สถานที่ด าเนินการ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท (ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต) จังหวัดปทุมธานี 9. งบประมาณ
9. งบประมาณ...
- 4 - คลินิกป่าชุมชน “ตอบประเด็นปัญหา ข้อสงสัยด้านการบริหารจัดการป่าชุมชน” ปัจจุบันอนุบัญญัติที่ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 มีจ านวนทั้งสิ้น 29 ฉบับ ประกาศไปแล้ว 19 ฉบับ โดยเป็นอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการขอจัดตั้งป่าชุมชน การจัดท าแผนจัดการ ป่าชุมชน การใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนเพื่อส่งเสริมการศึกษาเรียนรู้ และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยชุมชน ตลอดจนข้อห้ามที่มิให้กระท าในป่าชุมชน รวมทั้งก าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการเก็บ การรักษา และการใช้จ่ายเงิน รายได้เพื่อการจัดการป่าชุมชน เพื่อให้การจัดการป่าชุมชนเป็นไปโดยโปร่งใส ตรวจสอบได้ ป้องกันความ ขัดแย้งระหว่างสมาชิกในการจัดการป่าชุมชน เพื่อพิจารณาแผนจัดการป่าชุมชน ที่คณะกรรมการจัดการ ป่าชุมชนได้เสนอ จ านวน 11,195 แห่ง ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน (คนช.) ได้มีการเร่ง พิจารณาออกกฎหมายอนุบัญญัติป่าชุมชน อีกจ านวน 4 ฉบับ ซึ่งเป็นอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ จากผลผลิตและบริการจากป่าชุมชน กรอบการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชุมชน การศึกษาค้นคว้าวิจัย ในป่าชุมชน การตรวจสอบและประเมินผลป่าชุมชน ตลอดจนการก าหนดสัดส่วนการแบ่งปันคาร์บอนเครดิต เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม และจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนชุมชนในการปลูก อนุรักษ์ และฟื้นฟูป่าชุมชน ให้เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนช่วยลดสภาวะโลกร้อน นายพิชัย เอกศิริพงษ์ (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจัดการป่าชุมชน) “กฎหมาย” คือ เครื่องมือส่งเสริมการท างาน ด้านป่าชุมชน
- 5 - คนดูแลป่าควรได้รับประโยชน์ จากป่ามากที่สุด หลังจากอนุบัญญัติที่ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ได้ประกาศใช้แล้ว จะท าให้ชุมชนได้รับประโยชน์จากป่าชุมชน โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชุมชน ตลอดจนสิทธิ ประโยชน์จากการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ดูแลป่าชุมชน มีรายได้จากการ แลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต และสามารถน าเงินกลับมาดูแลรักษาป่าชุมชนได้ อันจะส่งผลให้ชุมชนร่วมมือกับ รัฐในการดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายต่อไป นายวรากร เกษมพันธ์กุล (ผู้อ านวยการส่วนนโยบายและกฎหมายป่าชุมชน)
- 6 - การบรรยาย เรื่อง “วิสัยทัศน์ การท างานด้านป่าชุมชนอย่างไรให้ส าเร็จ” กรมป่าไม้ได้มีการจัดตั้งส านักจัดการ ป่าชุมชนและมีการสนับสนุนชุมชนในการจัดการ ป่าอย่างมีส่วนร่วมของชุมชน มีการจดทะเบียน การจัดตั้งป่าชุมชนโดยองค์กรชุมชน และมีการ สนับสนุนทั้งด้านวิชาการและทรัพยากร ซึ่งการ วางแผนจัดการป่าชุมชน และการจัดตั้งกลไกเพื่อ จัดการป่าชุมชนของชาวบ้าน หรือคนในชุมชนนั้น เกิดขึ้นมาได้ด้วยการวางแผนร่วมกันของคนใน ชุมชนที่ต้องมีส่วนร่วมของสมาชิกอย่างแท้จริง นอกจากนี้การวางแผนจัดการของชุมชน ยังต้อง เป็นที่รับรู้และยอมรับของชุมชนรอบข้างด้วย มิเช่นนั้นก็อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชนขึ้นได้ ดังนั้นการจัดการป่าชุมชนที่จะประสบความส าเร็จอย่าง ยั่งยืนควรมีการท างานร่วมกันในรูปเครือข่ายที่คอยช่วยเหลือสนับสนุนและสามัคคีกัน ให้ป่าชุมชนที่เรา ใช้ประโยชน์อยู่จนชั่วลูกหลาน แม้ว่าการท างานบางอย่างผู้อื่นจะมองไม่เห็นคุณค่าแต่เราคนท างานกับป่า ย่อมเห็นคุณค่าของป่าชุมชนที่เราดูแล เหมือนดังพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ราชการที่ 9 การท าความดีนั้น แม้จะไม่มีใครรู้เห็น แต่ก็จ าเป็นต้องท าเพื่อให้ผลดีที่เกิดขึ้นยิ่งเพิ่มพูนและแผ่ขยายกว้าง ออกไป เป็นประโยชน์เป็นความเจริญมั่นคงที่แท้แก่ตน แก่ส่วนรวม ตลอดถึงชาติบ้านเมืองพร้อมทุกส่วน ข้าราชการทุกคนจึงต้องตั้งใจให้หนักแน่นเที่ยงตรงที่จะกระท าความดีทั้งในการประพฤติตนและการปฏิบัติงาน ด้วยความอุตสาหะ เสียสละ โดยไม่หวั่นไหวย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหาหรือความยากล าบากเหนื่อยยาก แนวการ ท างานกับป่าชุมชนก็เช่นกัน คือ คนกับป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้บนพื้นฐานของการพึ่งพาซึ่งกันและกัน มีการ ปรับตัวเองให้เข้ากับสังคม เศรษฐกิจ และระบบนิเวศที่เปลี่ยนแปลงไปก่อเกิดเทคนิค ภูมิปัญญาและระบบ จัดการที่เหมาะสม พร้อมสร้างความร่วมมือในการดูแลต้องมีแรงจูงใจ ซึ่งเกิดจากผลประโยชน์ที่ได้เป็นพื้นฐาน ทรัพยากรป่าไม้ที่สามารถจัดการเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างต่อเนื่องภายใต้การจัดการที่เหมาะสม ป่าชุมชนจึง เป็นรูปแบบการจัดการที่เป็นรูปธรรม คนกับป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้ บนพื้นฐานของการพึ่งพาซึ่งกันและกัน นางนันทนา บุณยานันต์ (ผู้อ านวยการส านักจัดการป่าชุมชน)
- 7 - น าไปสู่คว ามร่วมมือในก า รพัฒน าและเ ริ่มต้นพระร าชบัญญัติป่ าชุมชน พ.ศ. 2562 โดยพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 มีเจตนารมณ์ที่จะมุ่งหมายให้ชุมชนได้ประโยชน์จากป่าชุมชน เกิดเจตคติในการดูแลรักษาและจัดการป่าชุมชน ร่วมกับรัฐ เพื่อป้องกันการบุกรุกท าลายป่า รักษาฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สมบูรณ์ยั่งยืนอยู่เป็นมรดกทางธรรมชาติของประเทศและมนุษยชาติ ซึ่งการจัดตั้งพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ การฟื้นฟูพื้นที่ป่าในเขตป่าชุมชนโดยการปลูกทดแทน การเสริมสร้างความร่วมมือทุกภาคส่วนในการจัดการป่าชุมชน การส่งเสริมวัฒนธรรม ประเพณีที่หลากหลาย ของชุมชนในการอนุรักษ์การฟื้นฟู การพัฒนา การควบคุมดูแล และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในป่าชุมชน และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในป่าชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืน อีกทั้งในปัจจุบัน (2566) ได้มีอนุบัญญัติที่ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 มีจ านวนทั้งสิ้น 29 ฉบับ นับเป็น ความส าเร็จที่กรมป่าไม้ของเราด าเนินงานด้านป่าชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรมและสามารถปฏิบัติได้จริง เพื่อประโยชน์แก่พี่น้องป่าชุมชนกว่า 11,985 แห่ง ทั้ง 68 จังหวัด ทั่วประเทศไทย
- 8 - การบรรยายและเล่าเรื่อง ป่าชุมชน “คนต้นแบบ” เล่าเรื่อง ดี-เด่น-ดัง-โดน เล่าเรื่อง “ดี” อีสาน “อีสานเฮานี้ดินด าน้ าซุ่ม ปลากุ่มบ่อน คือแข่แก่งหาง ปลานางบ่อนคือขางฟ้าลั่น จั๊กจั่นฮ้องคือฟ้าล้วงบน” ก า รท าง านด้ านป่ าชุมชนให้บ ร รลุ เป้าหมายจะมีลักษณะการท างานร่วมกันเป็น เครือข่ายคือ 1. มีหน่วยงานภาคีที่ดีอย่างเช่น กรมป่าไม้ เป็นภาคีของรัฐบาลคอยสนับสนุนเป็น พี่เลี้ยงที่ดี 2. พี่น้องประชาชนจะเป็นแรง ขับเคลื่อนในการท างานด้านป่าชุมชนเป็นผู้ดูแลป่าอย่างใกล้ชิด และอีกหลาย ๆ องค์ประกอบที่หลอมรวมให้ เราท างานด้านป่าชุมชนได้ลุล่วง ปัญหาการท างานเรามีทุกป่าชุมชนแต่ทุกปัญหาเราจะน ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กันและแก้ไขไปด้วยกัน พื้นที่ป่าชุมชนทางภาคอีสาน เมื่อก่อนจะเป็นป่าที่ แห้งแล้งมากขาดการดูแล เน้นใช้ประโยชน์แต่ไม่บ ารุงรักษา ท าให้ป่าเสื่อมโทรมลงมาก ต่อมาได้มีเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ เข้ามาให้ความรู้ในชุมชน ท าให้ชาวบ้านตระหนักถึง ความส าคัญของป่าไม้ยิ่งขึ้น เกิดการรวมกลุ่มกันจัดตั้ง ป่าชุมชนเน้นดูแลรักษาและใช้ประโยชน์แบบระยะยาวให้มี ความสมดุลกัน จนถึงปัจจุบันนี้เราท าให้เห็นแล้วว่าการดูแล ป่ายิ่งชีวิตนั้น เกิดผลแล้ว คือ เราได้เข้าร่วมประกวดรางวัล ลูกโลกสีเขียว และได้รับรางวัลชนะเลิศ ในปี 2563 เป็นรางวัลที่เราภาคภูมิใจมาก ทุกวันนี้มีงานที่ไหนเราจะใช้ ต้นไม้เป็นสื่อกลางคือ ถือติดมือไปด้วยทุกที่ เป็นของฝาก ของขวัญ เพื่อให้พื้นที่ที่เราไปเยือนได้น าไปปลูกและขยาย พื้นที่ป่าให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น นายสีหา มงคลแก้ว (ประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี) ผมยอมท างานหนักในวันนี้ เพื่อให้ลูกหลานเรามีป่าในวันข้างหน้า นายบุญเลิศ ประสิทธิ์นอก (ประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดนครราชสีมา) ต้นไม้ เป็นสื่อกลางในการมัดรวมใจชาวบ้านเข้าด้วยกัน
- 9 - เล่าเรื่อง “เด่น” ใต้ ป่าชุมชนทางภาคใต้จะเป็นการอนุรักษ์ป่าในพื้นที่สูง และใกล้ทะเลอันดามัน เน้นบริหารให้คนในชุมชนรู้จักการ จัดการพื้นที่อนุรักษ์คู่กับการท่องเที่ยวหารายได้เข้าป่าชุมชน ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวที่โดดเด่นแต่เรื่องอาหารเราก็เด่น คือ อาหารทะเล ยิ่งป่าชุมชนไหนติดชายเลนติดทะเล อาหารยิ่ง อุดมสมบูรณ์ อยากรณรงค์ให้น้อง ๆ เด็กรุ่นใหม่ให้ ความส าคัญกับป่าให้มาก ยิ่งมีผืนป่า ผืนดินยิ่งมีมูลค่า เห็นได้ ชัดมากในปีปัจจุบันว่าป่าให้คุณค่ากลับคืนสู่ชุมชนเรามาก ขนาดไหน ร่วมกันสร้างและรักษาตั้งแต่ตอนนี้ อนาคตเรา จะได้สบาย ผมรู้สึกยินดีมากที่ทางกรมป่าไม้ได้จัดงาน สัมมนาครั้งนี้ขึ้น เพื่อให้เราได้มีโอกาศได้มาเจอหน้ากัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ตามวิถีคนรักษ์ป่า เหมือนกัน ภาคใต้ของเราถือว่ามีคนดูแลรักษาป่า หลากหลายวัฒนธรรม หลายศาสนา สามจังหวัด ชายแดนใต้ของเรามีเรื่อง เด่น ดัง มากมายอย่างที่เห็น ในข่าว แต่คนดูแลป่าอย่างเราก็ไม่หยุดท า ท าด้วยใจ และชีวิตจริง ๆ ถึงเกิดเป็นป่าชุมชนได้ ทางเครือข่าย ของเราได้มีโอกาสร่วมกันขับเคลื่อนงานและเป็นโมเดล ป่าชุมชนต้นแบบให้ป่าชุมชนข้างเคียงเข้ามาศึกษา ดูงาน การขับเคลื่อนงานเราแบ่งเป็นสองด้านคือ งานด้านวิสาหกิจชุมชน ท าให้คนในชุมชนเห็นว่าเรา ท างานด้านป่าชุมชนเราก็สามารถมีกินมีใช้ เริ่มด้วย จิตศรัทธาและหัวใจจากผลิตผลของป่าชุมชนเพื่อ สร้างรายได้ สร้างศูนย์เรียนรู้เพื่อสร้างจิตส านึกให้ ลูกหลานสร้างต่อจากรุ่นสู่รุ่น เราอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วม แบบเต็มใจท าร้อยเปอร์เซ็น นายมนพ ประพฤติชอบ (ประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดนครศรีธรรมราช) นายมะซี มะเกซง (ประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดนราธิวาส) ยิ่งมีผืนป่า ผืนดินยิ่งมีมูลค่า ป่าชุมชนต้องท าด้วยใจและชีวิต ถึงเกิดเป็นป่าชุมชนได้
- 10 - เล่าเรื่อง “ดัง” ภาคกลาง เครือข่ายป่าชุมชนภาคกลาง มีพื้นที่รวมทั้งหมด 17 จังหวัด การท างานด้านนี้สนุกตื่นเต้น เจอปัญหาก็ให้ มองเป็นเรื่องสนุก อย่างเช่น จังหวัดตากที่ท างานดูแลป่าไป ต้องระวังกับระเบิดไป แบบนี้ก็ถือว่าเป็นปัญหาแต่เราก็ พยายามขับเคลื่อนงานด้านป่าชุมชนให้ผ่านไปได้ แต่ภาค กลางเราจะมีปัญหาเรื่องช้างป่าเข้าบุกรุก เห็นมั้ยครับว่า แต่ละพื้นที่จะมีปัญหาต่างกัน แต่พวกเราก็ไม่เคยหยุดแก้ไข และท างานด้านนี้เลย นายสฤษฎิ์ จิตนอก (ประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดสระบุรี) มองปัญหาและอุปสรรคให้เป็น เรื่องสนุกและท้าทาย เราจะท างานได้ไม่ขาดตอน
- 11 - ป่าชุมชนทางจังหวัดชลบุรีจะแบ่งเป็น 2 โซน คือ ภูเขากับทะล ป่าที่อยู่ติดกับภูเขาจะเป็น เขาหินปูนมีสัตว์ป่านานาชนิดให้ได้เห็นกัน ส่วนใหญ่ หนึ่งในนั้นจะเป็นช้างป่าที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ อีกโซน คือ ทะเล ป่าฝั่งนี้จะเป็นเขาลอยมีพืชพรรณ ค่อยข้างเยอะ เราถือว่าเป็นป่ากลางเมืองเลยเพราะ ล้อมรอบไปด้วยทะเลและสถ านที่ท่องเที่ยว คนชุมชนเมืองจะค่อนข้างเยอะท าให้เราต้องดูแล ป่าผืนนี้จากการบุกรุกเพื่อสร้างตึกอาคารมากขึ้น ส่วนปัญหาเรื่องช้างเราไม่สามารถไปขับไล่ให้เขา ออกจากป่าได้แต่เราแก้ปัญหาโดยการปรับให้อยู่ ร่วมกันอย่างสันติ ด้วยความร่วมมือกันของชุมชน ในการดูแลพื้นที่ จัดเวรเฝ้าระวังและแบ่งพื้นที่ ให้เป็นสัดส่วน แค่นี้เราก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ป่าชุมชนของเราจะติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ห้วยขาแข้ง ปัญหาของเรามีทั้งเรื่องช้างป่าเข้าบุกรุก เนื่องจ ากบ ริเวณรอบป่าเป็นพื้นที่ส วนผลไม้ อ้อย มันส าปะหลัง ซึ่งเป็นอาหารของช้างป่า ทั้งนี้ยังมีวัวแดงที่ ออกมาจากป่าห้วยขาแข้ง และสัตว์ป่าน้อยใหญ่อีก มากมาย เราเลยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยการรวมตัว กันของหลายป่าชุมชน จัดตั้งเรื่องการท่องเที่ยวให้คนเข้า มาเที่ยวป่าชุมชน ดูพืชพรรณธรรมชาติและมีสัตว์ป่าให้ได้ ดูกันอีกด้วย เราเริ่มอย่างเป็นระบบตั้งแต่แรกโดยการ เขียนแผนป่าชุมชน จัดให้มีการอบรมการท่องเที่ยว ท าโฮมสเตย์ ไกด์ท้องถิ่น จัดให้มีการศึกษาดูงานในพื้นที่ ป่าชุมชนอื่นที่เขาท าการท่องเที่ยวประสบความส าเร็จ และน ามาปรับให้เข้ากับพื้นที่เรา จนวันนี้เราสามารถ เดินมาไกลกันมากเพราะความสามัคคี ความเชื่อใจว่าเราจะท าได้ ปัญหาเล็ก ๆ เราช่วยกันแก้ไข เพื่อรางวัลที่ ยิ่งใหญ่ที่เราจะได้รับในวันข้างหน้า ชุมชนคนระบ าเราสัญญาว่าจะไม่หยุดพัฒนาและท างานด้านป่าชุมชนต่อไป ประพลพัฒน์ ณัฐดุลพานิช รองประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดชลบุรี สุนทรี จันทร์เที่ยง เครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดอุทัยธานี การร่วมแรงร่วมใจของคนในชุมชน ท าให้เราผ่านอุปสรรคไปได้ง่ายขึ้น ปัญหาเล็กๆ เราช่วยกันแก้ไข เพื่อรางวัลที่ยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า
- 12 - เล่าเรื่อง “โดน” เหนือ จากวันที่เริ่มต้นจนถึงวันที่ส าเร็จ อุปสรรค เรามีมากมายจริง ๆ เริ่มจากการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อ ขยายพื้นที่ท าไร่เลื่อนลอย แต่เราก็พยายามที่จะเรียกคืน พื้นที่ให้กลับมาเป็นป่าเหมือนเดิม เพราะป่าของคน ภาคเหนือถือว่าเป็นตู้กับข้าวเลยก็ว่าได้ หากป่าหมด ไปก็เท่ากับว่าเราทุบหม้อกับข้าวตัวเอง ดังนั้นเราจึง เริ่มรวมตัวกันของคนมีใจรักษ์ป่า พยายามที่จะสู้เพื่อ ทวงคืนผืนป่าจนได้กลับมา พอได้กลับมาเรารีบติด ป้าย เขตป่าชุมชนเลยครับ แสดงแนวเขตทันที เพราะกลัวเขามาถางท าไร่อีก แต่ “โดน” เลยครับ โดนลูกปืนเต็มป้ายแนวเขตเลย แต่เราก็ไม่เคยย่อท้อ ที่จะดูแลป่า เฝ้าลาดตระเวน ดูแลรักษาตลอดจนมี บริษัทมองเห็นและน างบมาสนับสนุนให้เราปลูกป่า เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับบ้านของเรา นี่ละครับการต่อสู้ ของเราจากอดีตสู่ปัจจุบัน ป่าของเราสมบูรณ์มาก ผลผลิตน ามากินไม่หมด เราน ามาขายสร้างรายได้ให้คนในชุมชน ช่วงนี้เป็นฤดู เห็ดโคน เห็ดถอบ อึ่ง ออกเยอะมาก ท ารายได้เข้าป่าเราปีละล้านไม่เกินจริง นี่ละครับตู้กับข้าวของเรากลับมาเต็มอีกครั้ง ผมเป็นน้องใหม่นะครับมางานป่าชุมชน ของเราเป็นครั้งแรก ป่าชุมชนเราของกว่าจะส าเร็จ จนถึงทุกวันนี้ประสบปัญหาดินถล่มท าให้คนใน พื้นที่เสียชีวิตจ านวน 40 ราย ท าการเกษตรไม่ได้ ขาดน้ า ขาดที่ท ากิน เราจึงต้องมาตั้งสติกันใหม่ว่า เพราะอะไรถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ค าตอบคือ พื้นที่ของเราย่ าแย่มาก ขาดต้นไม้ค้ าจุน ดินขาดป่า กักเก็บน้ า ถ้าป่าดีจะมีน้ า เราจึงสร้างความศรัทธา ท าข้อตกลงโดยเริ่มจากการดูแลป่าสร้างป่าขึ้นให้ ดินแข็งแรง พอมีป่าก็มีน้ าให้ชาวบ้านท าการเกษตร พื้นที่ของเรากลับมามีชีวิตอีกครั้งเพราะมีป่าจริง ๆ นายธวัชชัย เทวะราช (ประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดล าปาง) นายอัจฉริยะพงษ์ ปันฟอง (เครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดแพร่) ป่า คือ ตู้กับข้าวใบใหญ่ ร่วมใจประชา สร้างผืนป่า สร้างแหล่งน้ า
- 13 - การระดมความคิดเห็น “เครือข่ายป่าชุมชนระดับภาค” (แบ่งกลุ่ม 4 กลุ่ม 4 ภาค) ประเด็นส าคัญ ดังนี้ 1. แจ้งหลักเกณฑ์การสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน “กลุ่มผู้แทนประธานเครือข่าย ป่าชุมชนประจ าจังหวัด” 2. การเสนอชื่อตัวแทนเพื่อเป็นตัวแทนภาคเข้าสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน 3. การออกเสียงคัดเลือกตัวแทนเพื่อเป็นตัวแทนภาคเข้าสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน
- 14 - การระดมความคิดเห็น “ภาคเหนือ” ที่ปรึกษากลุ่ม : นายกิตติพร ดุลนกิจ (ผู้อ านวยการส่วนภาคีเครือข่ายป่าชุมชน)
- 15 - การระดมความคิดเห็น “ภาคกลาง” ที่ปรึกษากลุ่ม : นายวรากร เกษมพันธ์กุล (ผู้อ านวยการส่วนนโยบายและกฎหมายป่าชุมชน)
- 16 - การระดมความคิดเห็น “ภาคอีสาน” ที่ปรึกษากลุ่ม : นางสาวถนัดสม นุกูล (ผู้อ านวยการส่วนส่งเสริมการจัดการป่าชุมชน)
- 17 - การระดมความคิดเห็น “ภาคใต้” ที่ปรึกษากลุ่ม : นายเสกสรร กวยะปาณิก (ผู้อ านวยการส่วนพัฒนาวนศาสตร์ชุมชน)
สรุปสาระส าคัญการระดมคประเด็น/หัวข้อ ภาคเหนือ ภาคกลาง ๑. การเสนอชื่อตัวแทนเพื่อ เป็นตัวแทนภาคเข้าสรรหา ผู้ทรงคุณวุฒิใน คณะกรรมการนโยบาย ป่าชุมชน 1. นายเศรษฐ์ฐกรณ์ นาศพัฒน์ (พิจิตร) 2. นายเดช เชียวเขตรวิทย์ (นครสวรรค์) 3. นายเอกชัย สังข์ทอง (สุโขทัย) 4. นายธวัชชัย เทวะราช (ล าปาง) 1. นายสฤษฎิ์ จิตนอก (ส2. นายกัมพลฒ์ ภักดี(สิงห3. นายพนม โนนพิมาย (ร4. นายเซ่ง วงษ์ทอง (ตรา5. นางสาวกัญญา ดุชิตา (6. นายเต้นยิ้ว วชิรพันธ์วิช(กาญจนบุรี) 7. นายชุมพลพันธ์นันทา (สุพรรณบุรี) 8. นายวิศณุ ทรัพย์ศรี(ปร2. การออกเสียงคัดเลือก ตัวแทนเพื่อเป็นตัวแทน ภาคเข้าสรรหา ผู้ทรงคุณวุฒิใน คณะกรรมการนโยบาย ป่าชุมชน ออกเสียงโดยการยกมือ ออกเสียงโดยการยกมือ 3. ผลการคัดเลือกตัวแทน เพื่อเป็นตัวแทนภาคเข้า สรรหาผู้ทรงคุณวุฒิใน คณะกรรมการนโยบาย ป่าชุมชน 1. นายเศรษฐ์ฐกรณ์ นาศพัฒน์ (พิจิตร) 2. นายเดช เชียวเขตรวิทย์ (นครสวรรค์) 3. นายเอกชัย สังข์ทอง (สุโขทัย) 4. นายธวัชชัย เทวะราช (ล าปาง) 1. นายสฤษฎิ์ จิตนอก (ส2. นายกัมพลฒ์ ภักดี(สิงห3. นายพนม โนนพิมาย (ร4. นางสาวกัญญา ดุชิตา (
ความคิดเห็น ประจ าปี 2566 รายละเอียด ภาคอีสาน ภาคใต้ สระบุรี) ห์บุรี) ระยอง) าด) (จันทบุรี) ชาญ ราจีนบุรี) 1. นายสีหา มงคลแก้ว (อุบลราชธานี) 2. นายวัชราพงษ์ ซาไซ (อุดรธานี) 3. นายสรายุทธ เจริญยิ่ง (สุรินทร์) 4. นายค าสอน ชาวยศ (หนองคาย) 1. นายจรูญ จันทบูรณ์ (ระนอง) 2. นายมนพ ประพฤติชอบ (นครศรีธรรมราช) 3. นายวิศิษฐ์ ศิริกุล (พังงา) 4. นายมะซี มะเกซง (นราธิวาส) ออกเสียงโดยการยกมือ ออกเสียงโดยการยกมือ สระบุรี) ห์บุรี) ระยอง) (จันทบุรี) 1. นายสีหา มงคลแก้ว (อุบลราชธานี) 2. นายวัชราพงษ์ ซาไซ (อุดรธานี) 3. นายสรายุทธ เจริญยิ่ง (สุรินทร์) 4. นายค าสอน ชาวยศ (หนองคาย) 1. นายจรูญ จันทบูรณ์ (ระนอง) 2. นายมนพ ประพฤติชอบ (นครศรีธรรมราช) 3. นายวิศิษฐ์ ศิริกุล (พังงา) 4. นายมะซี มะเกซง (นราธิวาส) - 1 8 -
- 19 - บรรยายหัวข้อ " ป่าชุมชนเชื่อมโยงฐานเศรษฐกิจชีวภาพ" ส ำนักงำนพัฒนำเศรษฐกิจจำกฐำน ชี ว ภ ำ พ ( อง ค์ ก ำ ร ม ห ำ ช น ) ห รื อ BEDO ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นองค์กรรองรับกำรขับเคลื่อน ภำรกิจกำรพัฒนำเศรษฐกิจจำกฐำนทรัพยำกร ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ ให้เกิดกำรบริหำร จัดกำรกำรน ำทรัพยำกรควำมหลำกหลำยทำง ชีวภำพมำใช้ประโยชน์ทำงเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับ กำรอนุรักษ์อย่ำงยั่งยืน เพื่อให้เกิดกระบวนกำร ส ร้ ำงง ำน ส ร้ ำง ร ำยได้ ส ร้ ำงโอก ำสให้แก่ ประชำชนโดยกำรส่งเสริมกำรใช้ประโยชน์ควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพและภูมิปัญญำของชุมชน และท้องถิ่นอย่ำงมีระบบและยั่งยืน รวมทั้งกำร พัฒนำงำนวิจัยและกำรรวบรวมองค์ควำมรู้ควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพและภูมิปัญญำของชุมชน และท้องถิ่น ก่อนที่เรำจะสำมำรถท ำให้ชุมชนเกิดรำยได้จำกทรัพยำกรที่มีอยู่ในท้องถิ่นนั้น จ ำเป็นต้องรู้ก่อนว่ำ ในชุมชนของตนเองมีของดีอะไร จึงท ำให้เกิดกระบวนกำรในกำรส ำรวจทรัพยำกรในท้องถิ่นตนเอง ตั้งแต่กำร ส ำรวจ รวบรวม และจ ำแนกชนิด พร้อมทั้งปริมำณ และคัดเลือกจุดเด่นของทรัพยำกรชีวภำพในชุมชน และน ำ ข้อมูลที่ได้มำจัดเก็บเป็นฐำนข้อมูลไว้ เพื่อให้ชุมชนจะสำมำรถมำดูข้อมูลย้อนหลังได้ และน ำไปปรับปรุง วิธีกำรใช้ประโยชน์ตำมยุคสมัยของลูกหลำนในอนำคต นางสาวพิจิตรา ทองประจวบโชค ส านักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) ก่อนที่ชุมชนจะสร้างรายได้ ต้องรู้ก่อนว่าชุมชนมีอะไรดี แล้วจึงจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ ตามยุคสมัยของลูกหลานในอนาคตต่อไป
- 20 - ซึ่งระบบฐำนข้อมูลด้ำนควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ (www.thaibiodiversity.org) ของ BEDO นั้น เป็นระบบฐำนข้อมูลที่ถูกพัฒนำขึ้นให้เก็บรวบรวมและจัดท ำบัญชีรำยกำรพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ที่มี แหล่งก ำเนิดหรือพบได้ในประเทศรวมทั้งภูมิปัญญำของชุมชนและท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ในกำรเป็นฐำนข้อมูล และดูแลกำรใช้ประโยชน์ทำงเศรษฐกิจจำกควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพและภูมิปัญญำของชุมชนและท้องถิ่น โดยควำมร่วมมือจำกหน่วยงำนผู้เป็นเจ้ำของข้อมูล และข้อมูลที่บันทึกลงฐำนข้อมูลที่ได้รับกำรยอมรับจำก นักวิชำกำรแล้ว ในปัจจุบัน ได้มีกำรด ำเนินกำรเชื่อมโยง บูรณำกำรฐำนข้อมูลด้ำนควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ ภำยใต้โครงกำรบูรณำกำรฐำนข้อมูลด้ำนควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพเพื่อกำรใช้ประโยชน์ โดยมีหน่วยงำนทั้ง ภำยในและภำยนอกกระทรวงทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กรมประมง กรมป่ำไม้ กรมวิชำกำร เกษตร กรมทรัพยำกรธรณี กรมทรัพยำกรทำงทะเลและชำยฝั่ง องค์กำรสวนพฤกษศำสตร์ และส ำนักงำน นโยบำยและแผนทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบกำรให้บริกำรองค์ควำมรู้ทำงด้ำนควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพเพื่อกำรใช้ประโยชน์ แบบ One Stop Service ซึ่งข้อมูลที่ได้จำกกำรบูรณำกำรฯ เป็น ข้อมูลอนุกรมวิธำน ข้อมูลกำรน ำไปใช้ประโยชน์ ข้อมูลด้ำนเศรษฐกิจ ข้อมูลด้ำนงำนวิจัย ข้อมูลด้ำนภูมิปัญญำ ท้องถิ่น และข้อมูลด้ำนธรณีวิทยำด้วย
- 21 - ท่องเที่ยวชีวภำพ คือ หนึ่งในรูปแบบ ท่องเที่ยวชุมชน เป็นเครื่องมือกำรตลำดที่ BEDO ใช้สร้ำงคุณค่ำและรำยได้ให้กับชุมชนที่มีควำม โดดเด่นในกำรอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยำกรควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพที่เป็นทุนธรรมชำติและ ภูมิปัญญำท้องถิ่นในชุมชน “ท่องเที่ยวชีวภำพ” ในปัจจุบันศักยภำพชุมชนที่มีส่วนใหญ่จะเน้นใน เรื่องกำรค้ำขำย เพรำะคิดว่ำเป็นช่องทำงกำรหำ รำยได้หลัก กำรเพิ่มช่องทำงของรำยได้ โดยใช้แนวคิดของ "กำรท่องเที่ยวชีวภำพ" และ "ตลำดปันรักษ์" คือ กำรสร้ำงประวัติควำมเป็นมำของพื้นที่ เพื่อสร้ำง Story สื่อควำมน่ำสนใจของพื้นที่ชุมชนและดึงดูดให้คน ภำยนอกเข้ำมำสัมผัสเยี่ยมชมสถำนที่ วิถีชุมชน เลือกชมสินค้ำและบริกำร ซึ่งกำรท่องเที่ยวชีวภำพเป็นกำร ท่องเที่ยวแนวใหม่ที่ดึงจุดเด่นเฉพำะถิ่น ทั้งด้ำนควำมสวยงำมของธรรมชำติ ควำมอุดมสมบูรณ์ ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ และวิถีท้องถิ่นในชุมชน รวมถึงภูมิปัญญำท้องถิ่นมำเป็นจุดขำยจำกทุนธรรมชำติ และควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพมำสร้ำงคุณค่ำและรำยได้ให้กับกลุ่มสินค้ำหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นอัตลักษณ์ของ ท้องถิ่นชุมชน โดยเป็นกำรสร้ำงรำยได้จำกกำรใช้ประโยชน์ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ เพื่อให้ปันกลับมำใช้ใน กำรอนุรักษ์ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพและภูมิปัญญำท้องถิ่น กำรท ำให้สินค้ำจำกภูมิปัญญำและทรัพยำกร ชีวภำพที่เดิมมีปริมำณและมูลค่ำไม่มำก ไม่คุ้มค่ำที่จะน ำไปจ ำหน่ำยพื้นที่ห่ำงไกล รวมทั้งสินค้ำประเภทบริกำร ที่จะสร้ำงเศรษฐกิจให้กับชุมชนได้เมื่อชุมชนมีรำยได้จำกทรัพยำกรในท้องถิ่นตนเอง ก็จะกระตุ้นให้ชุมชนแบ่ง ผลก ำไรหรือรำยได้มำท ำกิจกรรมอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยำกรให้มีควำมยั่งยืน กำรท่องเที่ยวชีวภำพจึงสอดคล้องกับ ค ำกล่ำวที่ว่ำ “อนุรักษ์แล้ว ต้องมีกินมีใช้ด้วย” นายฐาวร บุญราศี เจ้าหน้าที่พัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) ท่องเที่ยวชีวภาพสอดคล้องกับค ากล่าวที่ว่า “อนุรักษ์แล้ว ต้องมีกินมีใช้ด้วย”
- 22 - การสนทนาภาษาคาร์บอน การสนทนาภาษาคาร์บอน “ช่วงที่ 1” จากหมู่บ้านที่ด้อยที่สุดในจังหวัดเพชรบุรี สู่อันดับหนึ่งในการท างานด้านคาร์บอนโดยการท างานมิติใหม่ เพื่อพัฒนาพื้นที่ป่าในหมู่บ้าน ป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง มีเนื้อที่ 3,851 ไร่ ซึ่งกรมป่าไม้ร่วมมือกับองค์การ บริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และคณะกรรมการป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง น าร่องจัดท า โครงการ T-VER ในพื้นที่ป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง โดยมี คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บริษัท ราชกรุ๊ป จ ากัด (มหาชน) และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุน และ คณะกรรมการป่าชุมชนบ้านโค้งตาบางและสมาชิกท าหน้าที่ในการปกป้องรักษาชุมชน ควบคุมดูแล และปลูก ฟื้นฟูป่าชุมชน ซึ่งผลจากการที่ชุมชนเข้ามามีบทบาทในการปกป้องรักษาป่าชุมชน อนุรักษ์ควบคุมดูแล ปลูกฟื้นฟูป่าชุมชนมาโดยตลอด 7 ปี ส่งผลให้ป่าชุมชนบ้านโค้งตาบางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการ ท าลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่าตลอดจนเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอน โดยมีคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการ รับรอง 5,259 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าจึงเป็นป่าชุมชนแห่งแรกของประเทศไทยที่พร้อมเข้าสู่ตลาด คาร์บอนเครดิต กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้บอกเลยว่ายากล าบากทุนต้องถึง ครอบครัวต้องสนับสนุน บางท่านถามว่า เราขายคาร์บอนได้หรือยัง ตอบเลยว่ายังนะครับ ทุกการพัฒนาของเราต้องใช้เงินแล้วเราหาเงินจากไหนมาท า เงินเราได้มาจากป่าชุมชนนี่ละครับ เราจะจัดกิจกรรมให้คนมาศึกษาดูงาน ท าไมเราถึงท าแปลงคาร์บอนส าเร็จ ให้ค าแนะน า ค าปรึกษากับคนที่อย่างท าคาร์บอน เราก็น าเงินจากตรงนี้มาหมุนเพื่อให้เราขับเคลื่อนงานต่อได้ ทุกอย่างมีทางออกเสมอ ทั้งนี้ยังได้รับเกียรติจากนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “Kick off ป่าชุมชนแห่งแรก สู่ตลาดคาร์บอนเครดิต” เป็นป่าชุมชนแห่งแรกที่ขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตาม มาตรฐานของประเทศไทย ท าให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ป่าชุมชนทุกป่าจะมีความแตกต่างกันทั้งสภาพอากาศ สภาพแวดล้อม พื้นที่ ชนิดพันธุ์พืช ป่าของเราจะโดดเด่นด้านสมุนไพร สมุนไพรเยอะมาก เราจึงท าการศึกษา เรื่องสมุนไพรเพิ่มเติม และเกิดเป็นผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ให้คนในชุมชนเพิ่มอีก อาทิ ยาหม่อง ยาดม ยานวด น้ ายาล้างจาน ยาสระผม สบู่ ทั้งนี้ยังมีอาหารจากป่าชุมชนที่สร้างรายได้ตลอดปีคือ เห็ด หน่อไม้ อันนี้มีตลอด ทั้งปี ป่าเราเลยไม่เคยเงียบเหงาเลย นายฉันท์ อัครสกุลภิญโญ (ประธานป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง) “Kick off ป่าชุมชนแห่งแรก สู่ตลาดคาร์บอนเครดิต”
- 23 - การสนทนาภาษาคาร์บอน “ช่วงที่ 2” ตามที่นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเจตนารมณ์ อย่างมุ่งมั่นในการด าเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศของไทย โดยเฉพาะการลดก๊าซเรือนกระจกตาม ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ า ในที่ประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26) ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายส าคัญ คือ การเพิ่มการกักเก็บและดูดซับ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคป่าไม้ให้ได้ 120 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี ค.ศ. 2037 เพื่อบรรลุ เป้ าห ม า ยค ว า มเป็น กล างท างค า ร์บ อน ( Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือน ก ร ะจ กสุท ธิเป็นศูน ย์ ( Net Zero Greenhouse Gas Emission) ในปีค.ศ.2065 ป่าไม้จึงเป็นทรัพยากร ธรรมชาติที่มีบทบาทส าคัญในการช่วยชะลอการเพิ่มขึ้น ของอุณหภูมิโลกและช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions และ Carbon Neutrality โดยป่าไม้จะท าหน้าที่ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่าน กระบวนการสังเคราะห์แสงและเปลี่ยนเป็นคาร์บอนที่กักเก็บอยู่ในเนื้อไม้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือน กระจก ให้ความส าคัญและสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย ผ่านโครงการลดก๊าซเรือนกระจก ภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย หรือ T-VER โดยโครงการ T-VER ที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ มี2 ประเภท คือ การปลูกป่า และการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่า เราจะเห็นได้ชัดว่าปัจจุบันก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปล่อย ออกมาจากหลายภาคส่วน อาทิ ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร ภาคของเสีย แต่มีภาคเดียวที่ดูดกลับคือ ภาคป่าไม้ เราต้องประชุมเพื่อจัดท าแผนยุทธศาสตร์ชาติ20 ปี เพื่อให้ปริมาณการปล่อยและดูดกลับของก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์มีความเหมาะสมและอยู่ในระดับเดียวกัน โดยต้องเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ได้ 55 เปอร์เซ็นของ พื้นที่ประเทศ เพื่อเพียงพอต่อการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ซึ่งนี่คือเป้าหมายของเรา จึงอยากจะให้ชาว ป่าชุมชนของเราได้เห็นภาพในการท างานว่าเราจะเดินไปอย่างไร และอยากเชิญชวนให้พี่น้องป่าชุมชนของเรา เข้าร่วมโครงการT-VER เพื่อประโยชน์ของพี่น้องป่าชุมชนทุกท่านโดยสมัครใจ หากเรามีต้นไม้หรือพื้นที่สีเขียว เพิ่มขึ้นทุก ๆ 1 ตารางเมตร จะสามารถสร้างคาร์บอนเครดิตให้กับประเทศไทย เกิดเป็นรายได้ให้กับพี่น้อง ประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งเป็นการช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ ที่ถือเป็นปัญหาส าคัญของโลกใบนี้ได้ จึงขอให้ทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้และดูแลรักษาให้ต้นไม้ เหล่านั้นเจริญเติบโตขึ้นมาแผ่กิ่งก้านสาขาดูแลมวลมนุษย์และคนไทยตราบนานเท่านาน นางนันทนา บุณยานันต์ (ผู้อ านวยการส านักจัดการป่าชุมชน)
- 24 - สรุปประเด็นการสัมมนา “การพัฒนาศักยภาพผู้น าเครือข่ายป่าชุมชน” การจัดสัมมนาในวันนี้ที่ตั้งเป้าหมายไว้ ถือว่าส าเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ตามวัตถุประสงค์ของเรา เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจการด าเนินงานตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ควบคู่ไปกับการ ขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) ในพื้นที่ป่าชุมชน ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนา และต่อยอดการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของตนเองได้อย่างสมดุลและยั่งยืน และยกระดับกระบวนการมีส่วนร่วมเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้กับผู้น าเครือข่ายป่าชุมชน ในการ ปฏิบัติงานร่วมกับรัฐ และขยายความร่วมมือไปยังภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่าง ๆ ในการร่วมดูแลรักษา ป่า กรมป่าไม้ให้ความส าคัญกับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนเศรษฐกิจสีเขียว โดยมีแนวทางในการส่งเสริม การมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมทั้งภาคประชาชน ซึ่งเป็นหัวใจหลัก ที่ส าคัญในการร่วมสนับสนุนการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในรูปแบบ เครือข่ายป่าชุมชน สุดท้ายนี้ทางกรมป่าไม้ขอขอบคุณพี่น้องป่าชุมชนทุกท่านที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและ ขอให้ทุกท่านเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ และพบกันใหม่ในปีหน้า นายกิตติพร ดุลนกิจ (ผู้อ านวยการส่วนภาคีเครือข่ายป่าชุมชน)
- 25 - สรุปแบบประเมินความพึงพอใจ โครงการสัมมนา เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพผู้น าเครือข่ายป่าชุมชน” ประจ าปี 2566 ตารางที่ 1 ข้อมูลทั่วไป ข้อมูลทั่วไป จ านวน (คน) ร้อยละ เพศ ชาย 176 77 หญิง 49 23 รวม 225 100 สถานะ ประธานเครือข่ายป่าชุมชน 68 30.2 คณะกรรมการเครือข่ายป่าชุมชน 40 17.8 สมาชิกเครือข่ายป่าชุมชน 25 11.1 เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้านป่าชุมชน 39 17.3 ผู้อ านวยการศูนย์ป่าไม้ 40 17.8 ผู้อ านวยการส่วนจัดการป่าชุมชน ส านักจัดการทรัพยากรป่าไม้ 13 5.8 รวม 225 100 จากตารางที่ 1 พบว่า ผู้เข้าร่วมการสัมมนา เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพผู้น าเครือข่าย ป่าชุมชน” ประจ าปี 2566 จ านวนทั้งสิ้น 225 คน เป็นเพศชาย ร้อยละ 77 และเป็นเพศหญิง ร้อยละ 23 ประกอบด้วย ประธานเครือข่ายป่าชุมชน ร้อยละ 30.2 คณะกรรมการเครือข่ายป่าชุมชน ร้อยละ 17.8 สมาชิกเครือข่ายป่าชุมชน ร้อยละ 11.1 เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้านป่าชุมชน ร้อยละ 17.3 ผู้อ านวยการศูนย์ป่าไม้ ร้อยละ 17.8 และผู้อ านวยการส่วนจัดการป่าชุมชน ส านักจัดการทรัพยากรป่าไม้ ร้อยละ 5.8
- 26 - ตารางที่ 2 ความพึงพอใจ / ไม่พึงพอใจต่อการให้บริการงาน “การพัฒนาศักยภาพผู้น าเครือข่ายป่าชุมชน” รายการ ระดับความพึงพอใจ (ร้อยละ) ค่าเฉลี่ย น้อย ที่สุด (1) น้อย (2) ปาน กลาง (3) มาก (4) มากที่สุด (5) 1. ด้านสถานที่และเวลา 1. ความพึงพอใจต่อสถานที่และสภาพแวดล้อม ในการจัดสัมมนา - - 7.5 28.4 62.7 4.52 2. การอ านวยความสะดวกและการบริการ - - 10.4 26.9 62.7 4.53 3. ความเหมาะสมของระยะเวลาจัดสัมมนา - - 6 34.3 59.7 4.53 2. ด้านเนื้อหา/ความรู้ 1. ก่อนเข้าร่วมสัมมนาท่านมีความรู้เกี่ยวกับ เครือข่ายป่าชุมชน การบริหารจัดการป่าชุมชน และกฎหมายป่าชุมชนเพียงใด - 5.2 32.1 4.3 19.4 5 2. หลังเข้าร่วมสัมมนาท่านมีความรู้เกี่ยวกับ เครือข่ายป่าชุมชน การบริหารจัดการป่าชุมชน และกฎหมายป่าชุมชนมากขึ้นเพียงใด - - 3.7 43.3 53 4.49 3. เนื้อหามีประโยชน์ช่วยเสริมสร้างการปฏิบัติงาน ให้ดีขึ้นมากเพียงใด - - 4.5 41.8 53.7 4.49 3. ด้านวิทยากร 1. มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้และ เนื้อหาได้ตรงประเด็น - - 6 35.8 58.2 4.52 2. สอดแทรกแนวคิด ประสบการณ์ ที่ท าให้เข้าใจ ได้ง่าย - - 4.5 47.8 47.8 4.43 3. มีความชัดเจนในการให้ค าแนะน า/ตอบข้อ ซักถาม - - 3 44.8 52.2 4.49 รวม 4.55 จากตารางที่ 2 สรุปความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมการสัมมนา เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพผู้น าเครือข่าย ป่าชุมชน”สประจ าปี 2566 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.55 หรือคิดเป็นร้อยละ 91 ซึ่งอยู่ในระดับมาก ในภาพรวม 6 ด้าน ได้แก่ ด้านเวลา ด้านขั้นตอนการให้บริการ ด้านบุคลากรที่ให้บริการ ด้านสิ่งอ านวยความ สะดวก ด้านเนื้อหาความรู้และความพึงพอใจและไม่พึงพอใจต่อการให้บริการในภาพรวม ดังนี้
- 27 - 1. ด้านสถานที่และเวลา 1) ความพึงพอใจต่อสถานที่และสภาพแวดล้อม ในการจัดสัมมนา พบว่าผู้เข้าร่วมสัมมนามีความพึงพอใจส่วนใหญ่อยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 62.7 รองลงมา คือ ระดับมาก ร้อยละ 28.4 และระดับปานกลาง ร้อยละ 7.5 2) การอ านวยความสะดวกและการบริการ พบว่าผู้เข้าร่วมสัมมนามีความพึงพอใจส่วนใหญ่อยู่ใน ระดับมากที่สุด ร้อยละ 62.7 รองลงมา คือ ระดับมาก ร้อยละ 26.9 และระดับปานกลาง ร้อยละ 10.4 3) ความเหมาะสมของระยะเวลาจัดสัมมนา พบว่าผู้เข้าร่วมสัมมนามีความพึงพอใจส่วนใหญ่อยู่ใน ระดับมากที่สุด ร้อยละ 53.7 รองลงมา คือ ระดับมาก ร้อยละ 41.8 ระดับปานกลาง ร้อยละ 4.5 2. ด้านเนื้อหา/ความรู้ 1) ก่อนเข้าร่วมสัมมนาท่านมีความรู้เกี่ยวกับ เครือข่ายป่าชุมชน การบริหารจัดการป่าชุมชน และ กฎหมายป่าชุมชนเพียงใด พบว่าผู้เข้าร่วมสัมมนามีความพึงพอใจส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 43.3 รองลงมา คือ ระดับปานกลาง ร้อยละ 32.1 ระดับมากที่สุด ร้อยละ 19.4 และระดับน้อย ร้อยละ 5.2 2) หลังเข้าร่วมสัมมนาท่านมีความรู้เกี่ยวกับ เครือข่ายป่าชุมชน การบริหารจัดการป่าชุมชน และ กฎหมายป่าชุมชนมากขึ้นเพียงใด พบว่าผู้เข้าร่วมสัมมนามีความพึงพอใจส่วนใหญ่อยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 53 รองลงมา คือ ระดับมาก ร้อยละ 43.3 และระดับปานกลาง ร้อยละ 3.7 3) เนื้อหามีประโยชน์ช่วยเสริมสร้างการปฏิบัติงาน ให้ดีขึ้นมากเพียงใด พบว่าผู้เข้าร่วมสัมมนามีความ พึงพอใจส่วนใหญ่อยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 53.7 รองลงมา คือ ระดับมาก ร้อยละ 41.8 และระดับ ปานกลาง ร้อยละ 4.5 3. ด้านวิทยากร 1) มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้และ เนื้อหาได้ตรงประเด็น พบว่าผู้เข้าร่วมสัมมนามีความพึง พอใจ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 58.2 รองลงมา คือ ระดับมาก ร้อยละ 35.8 และระดับ ปานกลาง ร้อยละ 6 2) สอดแทรกแนวคิด ประสบการณ์ ที่ท าให้เข้าใจ ได้ง่าย พบว่าผู้เข้าร่วมสัมมนามีความพึงพอใจ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับมากที่สุด และระดับมาก ร้อยละ 47.8 รองลงมา คือ ระดับน้อย ร้อยละ 4.4 3) มีความชัดเจนในการให้ค าแนะน า/ตอบข้อ ซักถาม เช่น สามารถตอบค าถาม ชี้แจ้งข้อสงสัย ให้ค าแนะน าได้พบว่าผู้เข้าร่วมสัมมนามีความพึงพอใจส่วนใหญ่อยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 52.2 รองลงมา คือ ระดับมาก ร้อยละ 44.8 และระดับปานกลาง ร้อยละ 3
- 28 - ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม 1. ขอบคุณคณะวิทยากรที่มาให้ความรู้กับเครือข่ายป่าชุมชนระดับจังหวัดในครั้งนี้ครับขอให้ช่วยกันผลักดัน กฎหมายป่าชุมชนที่เหลืออยู่ให้ส าเร็จครับ 2. ควรแบ่งเวลาเบรคให้เยอะขึ้นเพราะอิสลามต้องละหมาด 3. อยากให้เน้นเนื้อหาสาระมากกว่ากิจกรรม เป็นไปได้เปลี่ยนสถานที่ ประชุมเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทาง ต้องการให้จัดทุกปี 4. ขอบคุณคณะทีมงานวิทยากรผู้จัดอบรมมาก ๆ ที่ให้ความรู้กับเครือข่ายป่าชุมชนระดับจังหวัด 5. เจ้าหน้าที่ป่าชุมชนของกรมป่าไม้ฝ่ายจัดการการอบรมมีการต้อนรับดีมาก 6. อยากให้มีการจัดสัมมนาเป็นประจ าทุกปี 7. ควรเพิ่มค่าเดินทาง 8. อยากให้มีการประชุมพัฒนาศักยภาพเครือข่ายป่าชุมชนทุกปีค่ะ เพื่อเป็นการเเลกเปลี่ยนเรียนรู้และกระชับ สามัคคีกัน 9. สนใจอบรมเบโด้ ส ารวจความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อเศรษฐกิจชุมชน 10. อยากให้มีการประชุมสัญจรไปทุกจังหวัด 11. สถานที่โรงแรมไม่ค่อยเหมาะสมกับราคาเพราะห้องน้ าในห้องพักน้ าไม่ค่อยไหล 12. จัดงานวันป่าชุมชนระดับภาคด้วยก็จะดีมากครับ เพราะวิถีการใช้ประโยชน์ อาจจะแตกต่าง และหลากหลาย 13. น่าจะมีการเวียนการจัดสัมมนาไปภาคอื่นด้วย 14. อาหารเช้ายังไม่ค่อยดีค่ะ ควรมีการแยกอิสลามบ้าง 15. เพิ่มคณะกรรมการป่าชุมชนเข้าร่วมประชุมจังหวัดละ 3 คน
สำ นักจัดการป่าชุมชน กรมป่าไม้